คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2017

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 12 “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรากลับมาสู่ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” กันต่อ ซึ่งการบรรยายวันนี้เป็นตอนที่ 12 มีชื่อตอนว่า “ดาเนียลในถ้ำสิงโต”

เรากำลังเรียนรู้เรื่องชีวิตของดาเนียล และนำมาศึกษาอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้า เราอ่านพระคัมภีร์ดาเนียล ศึกษาร่วมกันมา 5 บทแล้ว วันนี้จะมาดูบทที่ 6

ใน 5 บทที่ผ่านมา ย้อนนิดหนึ่ง อยู่ในยุคสมัยอาณาจักรบาบิโลน ปกครองโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ จนมาจบที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ ที่ให้ดาเนียลแปลอักษรปริศนา บนผนัง ในคืนนั้นกษัติรย์เบลชัสซาร์ของชาวบาบิโลน ถูกลอบปลงพระชนม์ แล้วกษัตริย์ดาริอัส แห่งมีเดียเปอร์เซียยึดอาณาจักรบาบิโลนได้ เป็นอันว่าจบอาณาจักรบาบิโลนไป

ถ้าย้อนกลับไปที่เริ่มต้นเรื่องนี้ จำได้ใช่ไหมครับ เรื่องของรูปปั้น ซึ่งเป็นนิมิต เป็นความฝันที่พระเจ้าได้ให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ และให้ดาเนียลแปลความฝันนั้น ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรบาบิโลนนั้น ก็เป็นอันว่าจบสิ้นไป หนึ่งแล้ว เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้า โดยพระเจ้า ผ่านทางดาเนียล

และกำลังย่างเข้าสู่ส่วนต่อไปของรูปปั้น รองลงมา ก็คือที่หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ซึ่งหมายถึงมีเดียเปอร์เซียในนิมิตนี้

ทุกเหตุการณ์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นแผนการของพระเจ้า หลายคนชอบพูดว่าพระเจ้าทำนาย พระคัมภีร์ทำนายว่า ไม่ใช่ทำนาย บอกล่วงหน้ากับทำนายมันต่างกัน บอกล่วงหน้าว่า …

“ฉันเตรียมแผนการนี้ มันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น”

ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วมันก็เป็นไปตามคำเผยพระวจนะ ก็คือคำบอกเล่าของพระเจ้าให้ผู้รับใช้ของพระองค์จดบันทึกไว้ อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย คือพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ในหนังสือวิวรณ์ ทั้งหมดนั้นเลย คือการบอกกล่าวล่วงหน้าทั้งสิ้น เวลาท่านไปอ่าน ท่านจงรู้เรื่องนี้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น พระเจ้าบอกไว้เลย นี่พูดถึงช่วงนี้ ช่วงที่เรากำลังพูดกันถึงบาบิโลน เกิดขึ้นมาโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์อย่างไร? พระเจ้าเตรียมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ เตรียมให้เขามาเป็นกษัตริย์ ครอบครองบาบิโลน และบอกไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ชาวยิวถูกต้อนมาเป็นเชลย มาอยู่บาบิโลน 70 ปี แล้วมันก็เป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในเรื่องนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน

และบอกต่อไปว่าหลังจากนั้นบาบิโลนจะถูกโค่นอำนาจลง โดยใคร? ก็บอกเรียบร้อยเลย เพราะฉะนั้น บาบิโลน ก็ถูกโค่นอำนาจลงจริงๆ ในวันที่กษัตริย์เบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน  องค์สุดท้ายของบาบิโลนถูกปลงพระชนม์ กษัตริย์ดาริอัสแห่งเปอร์เซียเข้ายึดครอง

เพราะฉะนั้น วันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันต่อในหนังสือดาเนียลบทที่ 6 ว่าหลังจากที่บาบิโลน ถูกโค่นลงแล้ว และมีเดียเปอร์เซียเข้ามาครอบครองอำนาจ มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นกับดาเนียล และชาวยิวที่อยู่ในบาบิโลนนั้น ในสมัยของดาริอัสนี้ ที่จะทำให้เราได้มีความเชื่อเพิ่มขึ้น เราจะได้รู้ว่าอุปนิสัยพระองค์เป็นอย่างไร? ดาเนียล 6:1-9

ดาเนียล 6:1-9 “1 ดาริอัสทรงเห็นชอบให้แต่งตั้งเสนาบดี 120 คน ปกครองทั่วราชอาณาจักร 2 โดยมีผู้บริหารการปกครองสามนาย ปกครองเหนือคนเหล่านั้น หนึ่งในสามนั้น คือดาเนียล เสนาบดีจะรายงานต่อผู้บริหารการปกครอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของกษัตริย์  3 ดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารการปกครองคนอื่นและเสนาบดีทั้งหลาย กษัตริย์จึงดำริจะแต่งตั้งให้เขาดูแลทั่วราชอาณาจักร 4 ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเสนาบดีทั้งหลายจึงพยายามจับผิดดาเนียล ในงานราชการแผ่นดิน แต่ไม่สำเร็จ พวกเขาไม่พบข้อบกพร่องของดาเนียลเลย เพราะเขาซื่อสัตย์ ไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือละเลยหน้าที่ 5 ในที่สุด คนเหล่านี้ก็พูดกันว่า “เราไม่มีทางหาเรื่องจับผิดดาเนียลคนนี้ได้เลย นอกจากเรื่องเกี่ยวกับ พระบัญญัติของพระเจ้าของเขา 6 ฉะนั้น ผู้บริหารการปกครองคนอื่น และเหล่าเสนาบดี จึงรวมกลุ่มกันเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ดาริอัส ขอจงทรงพระเจริญ 7 ข้าพระบาททั้งหลาย ผู้บริหารการปกครอง ข้าหลวงภาค เสนาบดี ราชมนตรี และผู้ว่าการทั้งปวง เห็นพ้องต้องกันว่าฝ่าพระบาทควรออกพระราชกฤษฎีกาว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์ นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันที่จะถึงนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต 8 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้” 9 ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัส จึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร”

 

คุ้นๆ ไหมครับ การแก่งแย่งอำนาจ พอเห็นว่าดาเนียลได้ดีกว่า เด่นที่สุด “จงทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย” มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ดาเนียลรับตำแหน่งผู้บริหารปกครองนี้ ก็คือรองจากกษัตริย์ เป็นจุดอันตรายของดาเนียล คนรอบข้างเขาพยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะกำจัดดาเนียล แต่ก็ทำไม่ได้ง่าย เพราะว่าดาเนียลดีพร้อมทุกอย่าง ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อและฉลาด มีสติปัญญา เจ้านายที่ไหนก็ชอบ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ชอบ ดาริอัสก็ชอบ โปรดปราน พวกขุนนางก็เลยต้องหาวิธีอื่นอีก หาไปเรื่อยๆ จนเจอ คือรู้ว่าดาเนียลรักพระเจ้าและติดสนิทใกล้ชิดพระเจ้ามาก ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด บรรดาขุนนางก็ใช้วิธีนี้ คือให้กษัตริย์ออกกฎหมาย ไม่ให้ผู้ใดอธิษฐานกับเทพเจ้าหรือมนุษย์อื่นใด นอกเหนือจากกษัตริย์ ใครฝ่าฝืนจะถูกโยนลงไปในถ้ำสิงโต ซึ่งในข้อที่ 8 ขุนนางบอกว่า …

”ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้”

มีเดียเปอร์เซีย จริงๆ เป็น 2 ประเทศมารวมกัน ช่วยกันทำสงคราม เป็นมหาอำนาจที่ปกครองหลายประเทศ และขยายอาณาจักรในขณะนั้น  ซึ่งถ้ากฎหมายออกมา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายใดก็แล้วแต่ จะใช้ทุกประเทศที่ครอบครองอยู่ จะไม่สามารถยกเลิกได้ แม้กระทั่งผู้ออกเอง คือกษัตริย์เอง ก็ไม่สามารถยกเลิกกฤษฎีกานี้ได้ ขุนนางรู้เรื่องนี้ จึงรู้ว่านี่เป็นทางเดียวที่จะบีบเค้นกษัตริย์ เพราะรู้ว่าดาเนียลเป็นคนโปรด

ทำไมถึงใช้คำว่าบีบบังคับกษัตริย์ เพราะที่เราอ่านไปตอนต้นว่ากษัตริย์ดาริอัสทรงโปรดปรานดาเนียลมาก เพราะดาเนียลมีคุณสมบัติดีเด่น เหนือกว่าผู้บริหารปกครองคนอื่นๆ กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้ดาเนียลมีอำนาจสูงกว่าคนอื่นๆ คือจริงๆ กษัตริย์ดาริอัสไม่ได้อยากจะทำในเรื่องนี้ รู้ แต่ในทางกฎหมาย จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายไปอย่างนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร? พูดง่ายๆ คือถูกบังคับนั่นเอง มันเป็นแผนการ ความชั่วร้ายของคน เขาเรียกว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล เอาด้วยคาถา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ด้วยคาถา ก็เอาซึ่งๆ หน้าเลย กระชากไปต่อหน้าต่อตา ได้ทั้งหมด คือเป็นความชั่วร้ายที่อยู่ในเชื้อบาปที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพียงแต่ว่าจะบังคับตัวเองได้มากขนาดไหน? ถ้าปล่อยตัวเองไปเรื่อยๆ ก็เยอะ เป็นทาสของความชั่วร้าย  ก็คือเป็นความชั่วร้ายที่คิดขึ้นมา กะจะเลื่อยขา กะจะโค่นอำนาจ เพื่อนร่วมงานของตัวเอง ในยุคปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น วางแผนจัดการกับคู่แข่ง คู่ต่อสู้

ดาเนียลนับจากวันที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยที่บาบิโลน จนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ประมาณ 50 ปีแล้ว ดาเนียลและเพื่อนๆ ทั้งสามคน ผ่านเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน

เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ จึงชินกับเรื่องนี้แล้ว เจอเรื่องนี้ เขาก็เข้าไปปรึกษาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าว่าพระองค์ต้องการทำอะไร? ดาเนียลก็เข้าไปอธิษฐานว่า …

“พระเจ้า ข้าพระองค์ขอการทรงนำ จะให้ข้าพระองค์ทำอย่างไร? ในเรื่องนี้”

คือขอคำแนะนำจากพระเจ้า แล้วจบสุดท้ายว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์”

ดาเนียล 6:10-12 มาดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการอะไร?

ดาเนียล 6:10-12 “10 บัดนี้ ข้าแต่กษัตริย์ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย จะยกเลิกไม่ได้ ฉะนั้น กษัตริย์ดาริอัสจึงให้ออกพระราชกฤษฎีกาเป็นลายลักษณ์อักษร” เมื่อดาเนียลทราบว่าพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้แล้ว เขาก็กลับบ้าน และขึ้นไปยังห้องชั้นบน ซึ่งหน้าต่างเปิดไปทางกรุงเยรูซาเล็ม เขาคุกเข่าอธิษฐาน ขอบพระคุณพระเจ้าของเขา วันละสามครั้งตามที่เคยปฏิบัติเสมอมา 11 แล้วคนเหล่านั้น รวมกลุ่มกันไปเฝ้าดู และพบดาเนียลอธิษฐาน ทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า 12 พวกเขาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ และทูลเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาว่า “ฝ่าพระบาททรงออกพระราชกฤษฎีกาแล้วไม่ใช่หรือว่าหากผู้หนึ่งผู้ใด อธิษฐานต่อเทพเจ้า หรือขอต่อมนุษย์  นอกเหนือจากฝ่าพระบาท ในช่วงสามสิบวันนี้ ข้าแต่กษัตริย์ ผู้นั้นจะต้องถูกโยนลงในถ้ำสิงโต” กษัตริย์ตรัสตอบว่า “กฤษฎีกานั้น มีผลบังคับใช้ ตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งยกเลิกไม่ได้”

 

ตามที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวของดาเนียลและเพื่อนๆ ทุกๆ ครั้งที่เผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม ดาเนียลและเพื่อนๆ จะอธิษฐานกับพระเจ้า ทูลขอการทรงนำ และการช่วยกู้จากพระองค์เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน กฤษฎีกาออกมาบอกว่าห้ามอธิษฐานกับพระเจ้า ในช่วง 30 วันนี้ แล้วจะทำอย่างไร? ดาเนียลรีบกลับไปบ้าน อธิษฐาน ผมเชื่อมั่นว่าดาเนียลต้องอธิษฐานอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าช่วยชนชาติยิวด้วยเถิด ตอนนี้ถูกบีบบังคับในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของความเชื่อจะทำอย่างไร?”

ถูกไหม?  “พระองค์เจ้าข้า อาจจะมีบางคนกำลังปฏิเสธพระองค์อย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขากลัว เขาไม่กล้าเอ่ยนามของพระองค์ในขณะนี้ เขาอยากอธิษฐาน แต่เขาไม่กล้าอธิษฐาน เพราะเขากลัวตาย”

มีเยอะกว่าที่เราคิดว่าคนเหล่านั้นกล้า

“เอาสิ ตายเป็นตาย โยนเข้าถ้ำสิงโตก็ไม่กลัว”

มีสักกี่คน? ผมจะบอกให้ฟัง อันนี้เป็นความเข้าใจธรรมดา 100% มนุษย์ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนไหนขึ้นมาบอกไม่กลัวเหมือนดาเนียล ก็เพราะว่าพระเจ้าใส่ความกล้าหาญลงไปที่เขา เอเมน ต้องคิดถึงตรงนี้ ไม่ใช่เขาเก่ง พระเจ้าให้เขาเป็นฮีโร่ในตอนนั้น เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่หรอก ไม่ใช่ฮีโร่ด้วยซ้ำไป เป็นผู้รับใช้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น พอถึงเวลาของท่าน ถ้าท่านรับไม่ได้อย่างนี้ ท่านบอกว่า …

“30 วันนี้ พระเจ้าเข้าใจลูกด้วย ลูกของดอธิษฐานชั่วคราว”

พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่าน แสดงว่าท่านไม่ได้ถูกเลือกให้มาเป็นผู้รับใช้ในขณะวิกฤต อย่างนั้น แต่ถ้าท่านสามารถ กล้าหาญที่จะอธิษฐานได้ พระเจ้าอาจจะให้ท่านด้วยความกล้าหาญ และไม่มีใครเห็น ท่านก็รอดไป คือไม่มีใครเห็นท่านอธิษฐาน แต่ดาเนียลมีคนเห็น เพราะว่าเขาเฝ้าตามดาเนียลทุกฝีก้าว อธิษฐานเมื่อไร? ฟ้องเลย เราควรจะมองภาพนี้  ไม่ใช่มองภาพอย่างเดียวว่า …

“เราต้องทำตามอย่างดาเนียลหมด”

แล้วใช่น้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเราไหม ให้เราเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าเราทำไม่ได้ เราผิดเหรอ ท่านลองไปคิดดูแล้วกัน เราเชื่อพระเจ้า เพราะต้องการมาขอความช่วยเหลือ ขอกำลังจากพระเจ้า เพราะเราอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ถูกไหม? นี่คือความเข้าใจธรรมดา คิดธรรมดา

หลังจากยุยงกษัตริย์ให้ออกกฎหมายแล้ว พอเจอพฤติกรรมของดาเนียลอย่างนี้ มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ต้องไปฟ้องกษัตริย์ พวกเสนาบดีและผู้ปกครองที่เป็นศัตรูชั่วร้าย ที่คิดปองร้าย นึกในใจ แล้วก็พูดกันเองว่า …

“เป็นไปตามแผนการของเราเลย”

เขานึกว่าเป็นไปตามแผนการของเขา เสร็จเราแน่ ไม่หลุดแน่ สิงโตกินแน่เลย กำจัดได้แล้ว เขาคิดว่าอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ว่านี่คือแผนการของพระเจ้า พวกขุนนางก็นำเรื่องนี้ไปฟ้องกษัตริย์ แล้วก็บีบบังคับให้กษัตริย์ดำเนินตามกฎหมาย ดาเนียล 6:13-18 บันทึกเอาไว้

ดาเนียล 6:13-18 “13 พวกเขาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ดาเนียลซึ่งเป็นเชลยคนหนึ่งจากยูดาห์ ไม่ใส่ใจในฝ่าพระบาท หรือพระราชกฤษฎีกา ที่ทรงให้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  เขายังคงอธิษฐานวันละสามครั้ง 14 เมื่อกษัตริย์ทรงทราบเช่นนี้ ก็ทุกข์พระทัยยิ่งนัก ทรงครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหลือดาเนียลจนพลบค่ำ 15 คนเหล่านั้นก็รวมกลุ่มกันมาเข้าเฝ้า และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงระลึกว่าตามกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซีย คำสั่งหรือกฤษฎีกาใดๆ ของกษัตริย์ที่ออกไป จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย” 16 ฉะนั้น กษัตริย์จึงมีพระบัญชา และพวกเขาก็จับดาเนียลโยนลงในถ้ำสิงโต กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “ขอให้พระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด17 เขานำหินก้อนหนึ่ง มาปิดที่ปากถ้ำ แล้วกษัตริย์ประทับตราพระธำมรงค์ที่หินนั้น และบรรดาขุนนาง ประทับตราแหวนของตน เพื่อไม่ให้ใครมาเปลี่ยนแปลง แก้ไขสถานการณ์ของดาเนียลได้ 18 แล้วกษัตริย์เสด็จกลับวัง ทรงงดเสวยและการบันเทิงทั้งปวง และพระองค์บรรทมไม่หลับตลอดทั้งคืนนั้น”

 

ดาเนียลไม่กลัว ยังกล้าอธิษฐาน แต่หลายคนกลัว ปฏิเสธ ที่ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์ แล้วก็สั่งให้สาวกออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ขณะที่ออกไป ก็ถูกต่อต้านอย่างแรง หนึ่งในจำนวนนั้น คือสเตเฟ่น ถูกหินขว้างตาย เขาก็ไม่กลัว ตายเป็นตาย สาวกอื่นๆ ที่เพิ่งเริ่มเชื่อ ไม่ได้เขียนบันทึกในพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่กลัวตาย ในพระคัมภีร์บอกว่าเขาหนีกระเจิดกระเจิงกัน กระจัดกระจายไป ไกลๆ แอบซ่อนอยู่ในถ้ำ มากกว่าไหมคนที่พลีชีวิตตัวเอง แล้วคนเหล่านั้นผิดเหรอ นั่นก็เป็นแผนการของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะเขากลัว เขาจึงหนีออกไป  พระเจ้าก็นำพาเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐที่เขาหนีไปที่นั่น เป็นพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่เราเลย อยากจะบอกให้ฟัง บางคนชอบฟ้องผิดตัวเอง

“คนนั้นความเชื่อดีจัง ฉันทำไมความเชื่อไม่ดี”

ความเชื่อเป็นของประทาน แต่ความไว้วางใจ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ เมื่อเรามาเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าบ่อยๆ เรามาคบหาสมาคมกับคริสเตียน ผู้ที่มีความเชื่อด้วยกัน บ่อยๆ มันทำให้เกิดความไว้วางใจ แต่ความไว้วางใจ มิได้หมายถึงความเชื่อ เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตขึ้นมา ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง ท่านอาจจะหนีก็ได้ ปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดและกระทำแผนการของพระองค์ในชีวิตของเรา

เรามาต่อเหตุการณ์ก็เป็นไปตามแผนการของขุนนางวางไว้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้อย่าคิดกำจัดใคร พระเจ้ามองลงมา ฝนตกสาดลงมา เปียกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าท่านวางแผนการชั่วร้ายอย่างนี้แล้ว มันจะกลับสนองท่านเองนั่นแหละ

กษัตริย์จึงมีคำสั่งให้จับดาเนียลโยนลงไปในถ้ำสิงโต ทั้งๆ ที่กษัตริย์เองก็รักดาเนียลมาก และไม่อยากจะทำ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่านี่คือแผนการ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เพราะตนเองก็ออกกฎหมายไปแล้ว แล้วดูสิกษัตริย์ทำอย่างไร? ในนี้บอกว่าก่อนที่จะจับดาเนียลไปที่ถ้ำสิงโต กษัตริย์ยังบอกดาเนียลว่า …

“ขอพระเจ้าที่เจ้าปรนนิบัติเสมอมานั้น ช่วยเหลือเจ้าเถิด”

ซาบซึ้งขนาดไหน? ทำให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์ของผู้เชื่อในพระเจ้า คือดาเนียลและกษัตริย์ที่ใหญ่สูงสุดในขณะนั้น เป็นมหาจักรพรรดิ เขาเรียกว่าประเทศมหาอำนาจใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ซึ่งดูเหมือนไม่เชื่อพระเจ้า แต่คำนี้ คือเขาเชื่อ เชื่อเพราะว่าผ่านทางผู้รับใช้ คือดาเนียล ที่เขาทำงานด้วยมาตลอด เคยได้ยินว่ายุคก่อน ที่ทำกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นอย่างนี้ แล้วตัวเขาเองมาเจอประสบการณ์ คนนี้น่ายกย่อง พระเจ้าได้รับเกียรติ

แสดงว่าดาเนียลรักษาความเชื่อเสมอต้นเสมอปลาย จนกระทั่งเห็นชัดเจน และหลังจากที่ออกคำสั่งให้โยนดาเนียลเข้าถ้ำสิงโตแล้ว กษัตริย์ก็ซึมเศร้ากลับวัง กินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

จำปีลาตได้ไหม? เป็นผู้ครองเมืองที่จักรพรรดิซีซาร์โรมส่งมาปกครองเยรูซาเล็ม สมัยที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นผู้ที่ต้องออกคำสั่งให้พระเยซูถูกตรึง ทั้งๆ ที่พยายามหว่านล้อม อย่าไปทำเขาเลย เขาบริสุทธิ์ จนพวกผู้นำทางศาสนาซ่องสุมผู้คน ร้องเรียกๆ ต้องทำ ถ้าไม่ทำ จะทำให้เกิดปัญหา ยุ่งวุ่นวาย ในการปกครองของท่าน จะเสียชื่อหมดเลย ปีลาตต้องถูกบังคับให้สั่งประหารพระเยซู โดยไม่อยากทำ เป็นไปตามบทบัญญัติ ตามกฎหมาย ที่เขาจำเป็นต้องทำ ย้ำให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะพระเจ้ากำหนดให้มันเป็นเช่นนั้น มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ ดาเนียล 6:19-28

ดาเนียล 6:19-28 “19 ทันทีที่ฟ้าสาง กษัตริย์ก็รีบรุดมายังถ้ำสิงโต 20 เมื่อเข้ามาใกล้ถ้ำ  พระองค์ตรัสเรียกดาเนียล ด้วยพระสุรเสียงอันปวดร้าวว่า โอ ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เจ้ารับใช้เสมอมานั้น ช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตได้หรือเปล่า 21 ดาเนียลทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอจงทรงพระเจริญ 22 พระเจ้าของข้าพระบาท ทรงส่งทูตของพระองค์ มาปิดปากสิงโตไว้ พวกมันไม่ได้ทำอะไรข้าพระบาทเลย เพราะข้าพระบาทบริสุทธิ์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า และไม่เคยทำผิดประการใด ต่อหน้าองค์กษัตริย์เลย” 23 กษัตริย์ทรงยินดีเป็นล้นพ้น  ตรัสสั่งให้ดึงดาเนียลขึ้นจากถ้ำ เมื่อดาเนียลขึ้นมาแล้วปรากฏว่าเขาไม่มีบาดแผลใดๆ เพราะเขาไว้วางใจพระเจ้าของเขา 24 กษัตริย์ทรงบัญชา ให้จับบรรดาผู้ที่กล่าวหาดาเนียลอย่างผิดๆ โยนลงในถ้ำสิงโต พร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ร่างของคนเหล่านั้น ก็ถูกสิงโตขย้ำ จนกระดูกแหลก ก่อนที่จะกระทบพื้นถ้ำ 25 แล้วกษัตริย์ดาริอัส ทรงเขียนถึงพลเมืองทุกชาติทุกภาษา ทั่วอาณาจักรว่า “ขอให้ท่านทั้งหลาย เจริญรุ่งเรืองเถิด 26 ข้าพเจ้าออกกฤษฎีกา ให้ทุกคนทั่วราชอาณาจักร จงเคารพยำเกรงพระเจ้าของดาเนียล เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และทรงดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย ราชอำนาจของพระองค์ ไม่มีที่สิ้นสุด 27 พระองค์ทรงช่วย และทรงกอบกู้ ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงกอบกู้ดาเนียล จากอำนาจของสิงโต” 28 ดังนั้น ดาเนียลจึงเจริญรุ่งเรือง ในรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส และในรัชกาลของกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย”

 

ถ้ำสิงโตในขณะนั้น  เป็นถ้ำที่มืด เขาเลี้ยงสิงโตให้ดุที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วให้มันหิว พอที่มันจะอยู่ได้ มันทั้งหิวทั้งดุด้วย ถ้ำสิงโตเขามีเอาไว้ขู่พวกคอรัปชั่น พวกกบฏ พวกฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะโกงกินบ้านเมือง

ในนี้บอกว่าพระสุรเสียงกษัตริย์ปวดร้าว คือเศร้า เชื่อว่าดาเนียลตายแล้ว ไม่มีกำลังใจ  เพราะว่าไม่เคยมีใครรอดจากถ้ำสิงโตนี้สักคน ลงไปทุกคน ไม่เหลือซากสักคน ดุมาก

“ดาเนียล ผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าช่วยเจ้าให้พ้นจากสิงโตหรือเปล่า! ยังอยู่ไหม?”

ทันทีทันใดนั้น  ดาเนียลก็ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์หลับสบายดี”

กษัตริย์ก็ดีใจใหญ่

“ดาเนียล จริงหรือ! ตะโกนอีกทีสิ”

“ข้าพระองค์อยู่นี่”

กษัตริย์ดาริอัส ตื่นเต้น และรักดาเนียลมากขึ้น โปรโมทมากขึ้นอีก และสิ่งนี้แหละ มันทำให้ความโปรดปรานนี้ ไปถึงชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้นด้วย ท่านเห็นแผนการพระเจ้าไหม? และพระเจ้าก็จะใช้ สิ่งที่ทำให้กษัตริย์ดาริอัส เริ่มรู้ว่าชนชาติยิวไม่ใช่อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ที่มีอะไรบางอย่างสูงสุด ที่เขาเรียกว่าพระเจ้าอยู่กับเขาด้วย เพราะฉะนั้น เกรงใจเขาหน่อย

เวลายิวบอกว่าครบ 70 ปีแล้ว จะกลับไปเยี่ยมบ้าน ไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ดาริอัสไปถึงสมัยไซรัส ก็อนุญาตให้ไป แล้วแถมให้เงินอีก นี่สั้นๆ

ท่านเห็นไหมว่าสิ่งที่พระเจ้าทำ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเห็นแผนการนิดเดียว แต่อย่าไปคิดแค่นั้น ดาเนียลที่ลงไปในถ้ำสิงโต เป็นแผนการของพระเจ้า เพื่อให้เกิดผลดีมาถึงเราที่นั่งที่นี่ทุกคนด้วย

พูดเรื่องนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว ใครเคยได้ยิน ที่สวนสัตว์ประเทศซิลี มีชายคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ปีนรั้วกัน แล้วกระโดดลงไปในกรงสิงโต พอฝูงสิงโตเห็นเขา ก็ตรงดิ่งเข้ามาเล่นงานทันที ผู้คนส่วนมาก คิดว่าชายผู้นี้เป็นโรคจิต และต้องการที่จะฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ เห็นท่าไม่ดี จึงยิงสิงโตตายไป 2 ตัว เพื่อช่วยชายคนนี้ให้มีชีวิตรอด ซึ่งต่อมาถูกนำไปส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส ในข่าวรายงานว่าขณะที่ชายคนนี้ กระโดดลงไปในกรงสิงโต เขาได้ตะโกนข้อพระคัมภีร์ และร้องตะโกนว่า …

“พระเยซูๆ”

ตอนที่กระโดดลงไป และเจ้าหน้าที่ได้ค้นพบกระดาษในกระเป๋าของเขาที่เขียนถ้อยคำ ข้อพระคัมภีร์ในหนังสือดาเนียลที่เรากำลังอ่านนี้ ดาเนียล บทที่ 6 นี่แหละ คงจะอยากทำเหมือนดาเนียลมั้ง อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

และก็ไม่ใช่ครั้งนี้เท่านั้น เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน ก็เคยมีนักเทศน์คนหนึ่งทำแบบเดียวกันนี้ แต่รายนั้นเสียชีวิตในกรงสิงโต ซึ่งจากการพูดคุยกับคนใกล้ชิดกับนักเทศน์คนนี้ ได้รับการบอกเล่าว่าเขามีความเชื่อว่าเขาได้รับการเจิมจากพระเจ้า และทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะปกป้องเขาเหมือนที่ปกป้องดาเนียล

นี่คือตัวอย่างหนึ่งในการเรียนรู้จากพระคัมภีร์ แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ที่ผิด ซึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ก็เพื่อให้เรามีความเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาชีวิตเรา ไปในทางของพระองค์ ไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เป็นหน้าที่ตัดสินใจของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา เพื่อพระสิริของพระองค์ และเพื่อแผนการใหญ่ที่จะเกิดขึ้น  แล้วแต่พระองค์ทั้งสิ้น  ไม่ได้อยู่ที่ความรับผิดชอบของเราเลย ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหนก็ตาม ถ้าเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น นี่คือเราเรียนรู้อย่างนี้  ไม่ใช่ให้เราเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการทดลองความเชื่อ สถานการณ์แบบดาเนียลมีครั้งเดียว แล้วสถานการณ์แบบนั้น ก็จะไม่มีอีกแล้ว อาจจะดูคล้ายๆ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชัดรัด เมชาค และอาเบคเนโก ที่ถูกโยนไปในเตาไฟ แต่ก็ไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายๆ หรือกษัตริย์ดาวิด ก็ไม่เหมือนกันอีกที่ไปสู้กับโกลิอัท มีอยู่ครั้งเดียวที่พระเจ้า จะให้ท่านอย่างนั้น หรือจะใช้อีกคนหนึ่ง อาจจะคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เหมือนกัน

ในหนังสือมัทธิว บทที่ 4 ตอนที่มารทดลองพระเยซูให้กระโดดลงหน้าผา เพื่อให้พระเจ้ามาช่วย

มารบอก “โดดสิ ในถ้อยคำพระเจ้า พระองค์จะส่งทูตสวรรค์มารองรับเท้าของท่าน ไม่ให้กระแทกถูกหิน”

แล้วพระเยซูตอบมารว่า ..

“อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ก็คือถ้าโดดก็แสดงว่าเราตั้งใจจะโดดเอง เพราะเขาเชียร์ เพราะอารมณ์เรา  เพราะอารมณ์คนนั้นใส่ให้เรา แล้วเราคล้อยตาม แต่ถ้าพระเจ้าให้เราโดดจริง เราจะรู้จากข้างใน พระเจ้าจะนำพาเราเอง เราจะรู้ …

“แล้วรู้ได้อย่างไร?”

“ไม่รู้”

ถามว่าวันนี้ มีคนเอาปืนมาจ่อศีรษะท่าน แล้วบอกให้ท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านต้องตอบว่าอย่างไร? ไม่รู้ ถึงวันนั้นผมก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้ คำว่าไม่รู้หมายถึง ฉันอาจจะยอมให้เขายิงไปเลย หรือฉันอาจจะบอกว่าไม่เอา ยอมปฏิเสธ เราไม่สามารถวางใจในตัวเราเองได้ แต่เราสามารถที่จะวางใจพระเจ้าในทุกเรื่องได้

เปโตรปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง แต่พอพระเยซูกลับมา พระเยซูให้เป็นหัวหน้าเลย สาวก 12 คน ที่เป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐเมื่อ 2,000 กว่าปี หัวหน้าใหญ่สุด คือเปโตร ผู้ซึ่งปฏิเสธพระเยซู 3 ครั้ง ทุกคนปฏิเสธหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะไม่ได้เขียนบันทึกถึง เปโตรปฏิเสธ แต่เป็นคนที่เดินตามพระเยซูตอนถูกจับ ยอมเสี่ยงชีวิตไปอยู่ใกล้ๆ เอาอย่างไรล่ะ เราไปตัดสินใจได้หรอกว่าเขากระทำอย่างนั้น เพราะอะไร? แต่วางใจและเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ควบคุม ครอบครองทุกอย่าง

ทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้คน ที่มีความคิดแบบที่ยกตัวอย่างมา และทำในสิ่งที่เป็นการทดลองความเชื่อ อย่างเช่น ท่านเชื่อไหมว่ามีอย่างนี้จริงๆ คือ …

นำงูพิษ มาปล่อยในที่ประชุม แล้วช่วยกันอธิษฐาน เพื่อจะพิสูจน์คำตรัสของพระเยซู ที่บอกว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ จะจับงูพิษได้ด้วยมือเปล่า แล้วไม่เป็นอันตรายใดๆ เลย มีอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ

บางกลุ่มก็เอายาพิษมาดื่มด้วยความเชื่อที่ว่าเขาจะดื่มยาพิษใดๆ จะไม่เป็นอันตรายต่อเขา บันทึกในพระคัมภีร์จริงๆ

ตัวอย่างเปาโลเรือแตก น้ำซัดไปที่เกาะ ไปเก็บฟืนเอามาเผาไฟ  เพื่อให้ความร้อนกับผู้คนและตัวเองด้วย ขณะที่หอบฟืนอยู่นั้น งูแอบอยู่ในกองไม้นั้น เป็นงูพิษแรงที่สุด ชาวบ้านรู้ดี ถ้างูนี้กัดใคร? ตายแน่ๆ ปรากฏว่ากัดเปาโล แล้วเปาโลสลัดมันลงในเตาไฟ คนชาวเกาะตกใจ คอยมองเปาโล อีกไม่ถึงนาทีต้องล้มลงแน่ๆ ปรากฏไม่ตาย นึกว่าเทพเจ้า ทุกคนแห่กัน เรียกทั้งเกาะมาเลย ยกเปาโลแบกเลย จนเปาโลต้องบอกว่าเป็นคนธรรมดา เลยดูแลเปาโลอย่างดี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพื่อเปาโลและพวกที่มาด้วยกันทั้งหมดนั้นจะได้มีข้าวกิน จะมีอะไรดีๆ เพราะคนเหล่านี้ ก็เลี้ยงดูปูเสื่อ แล้วเปาโลก็มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวเกาะเหล่านั้น แค่นี้เอง

เราต้องคิดอย่างนี้ แผนการใหญ่ของพระเจ้า ตอนนี้มีคนมาเรียนรู้อย่างนี้ แล้วก็เอาไปใช้ผิดๆ น่าเศร้าไหม? เรามาเรียนรู้เรื่องดาเนียล และการอัศจรรย์ที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นในชีวิตของดาเนียล ก็เพื่อตอกย้ำความเชื่อที่บอกว่าพระเจ้าทรงควบคุม ครอบครองทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ จำได้ไหม?  โลกนี้ คือละคร พระเจ้าเป็นผู้กำกับเวทีนี้ พระองค์เป็นพระเจ้า เจ้าของความมั่งคั่ง  ทรัพย์สินเป็นของพระองค์ กำลังเป็นของพระองค์ พระองค์จะให้กับใครก็ได้ อย่างไรก็ได้ แล้วแต่พระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำทุกสิ่งให้กับลูกของพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์ด้วยความรัก และวิถีทางของพระองค์ที่กระทำนั้น ไม่ใช่วิถีทางเดียวกับที่มนุษย์ทุกคนคิด รวมทั้งเราด้วย  ไม่เหมือนไม่พอ ยัง ไกลกว่ากันมาก

ยกตัวอย่าง บางคนเกิดวิกฤตปัญหาการเงิน ก็ขอพระเจ้าช่วยว่า …

“ลูกขาดอยู่ ขอพระเจ้าช่วยลูกด้วยเถิด”

แต่บางครั้งการขาดของคนนั้น มันไม่ได้ขาดจริงหรอก มันใช้เกินตัวไป ไม่มีคำว่าพอเพียง แล้วพระเจ้าปล่อยไหม? พอเขาบอกขาด ให้เลย ให้ไปก็เสียคนสิ ไม่มีความพอเพียงอยู่ในตัว อย่างนี้เป็นต้น

เราจะเห็นชัดเจนเลยว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นพิษ เป็นภัยกับคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้ารู้อยู่ ถ้าพระเจ้ารักเขา พระเจ้าก็ต้องช่วยเขาให้หลุดออกมาจากความคิดอย่างนั้น น้ำพระทัยของพระองค์ไม่ใช่อย่างนั้นเลยลูกเอ่ย พระเจ้าก็จะตอบคำอธิษฐานของเราให้ดีกว่าที่เราคิดอยู่ ให้เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ ไม่ใช่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้ แต่ให้เราได้ในสิ่งที่ดีกว่าที่เราอยากได้ ซึ่งแรกๆ เราอาจจะไม่อยากได้ก็ได้ สอนเราให้มีสติปัญญาที่จะรู้จักคำว่า “เพียงพอ” หรือ “พอเพียง” ซึ่งรวยที่สุด ไม่ใช่รวยทรัพย์สินเงินทอง แต่รวยพอเพียง มีพอจะรวยที่สุด

หรือบางคนอธิษฐานขอพระเจ้าให้ดูแลสุขภาพ

“พระเจ้าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง”

แล้วตัวเอง พอแข็งแรงดี ก็ใช้ร่างกายนั้น ทำมาหากิน หาเงินหามรุ่งหามค่ำ อดหลับอดนอน ไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง เครียด กังวลกับธุรกิจการงานของเรานั่นแหละ แล้วก็อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพรการเงินให้เยอะขึ้นอีก ถ้าพระเจ้าทำตามนั้น เราก็เครียดขึ้นอีก เอาอีกๆ เอาไม่พอ แล้วจะได้สุขภาพตามที่เราขอได้ไหม? ก็ไม่ได้ พระองค์ก็จะเอาสิ่งที่ยึดเรานั้น ออกไปจากเราซะ มันจะเจ็บตอนแรก เหมือนผ่าตัดวิญญาณ ดึงมันออกมาเลย ทุกข์ทรมาน แต่มันดีสำหรับเรา เหมือนผีเสื้อที่ออกจากดักแด้ใหม่ๆ จริงๆ มันไม่ยากหรอก แต่วิธีการของพระเจ้ากับเราไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ในหลายๆ เรื่องก็เช่นเดียวกัน หลายอย่างที่เราคิดว่าเราควรจะได้หรืออยากได้ พระเจ้ามองการไกลว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ดีที่สุด สำหรับเรา พระองค์ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติ พระสิริ และเป็นไปตามแผนการใหญ่ที่พระองค์ทรงวางไว้สำหรับชีวิตของเรา คือใช้เราให้เป็นประโยชน์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่คนที่ขึ้นมาเทศน์ คนที่เป็นศิษยาภิบาล คนที่เป็นคนรับใช้ แต่ทุกคนเป็นผู้รับใช้ แม้กระทั่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ยังเป็นผู้รับใช้ กษัตริย์ดาริอัสยังเป็นผู้รับใช้

ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสืออิสยาห์ พระเจ้าว่า …

“ความคิดของเรา ไม่มีทางเหมือนความคิดของเจ้า ฟ้าสวรรค์ห่างจากแผ่นดินโลกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น  ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร ความคิดของเรา ก็ห่างจากความคิดของเจ้าเท่านั้น”

ท่านไปคิดดู ห่างกันเท่าไร? เพราะฉะนั้น ทางเดียวของเรา ก็คือวางใจในพระเจ้า และรับรู้ว่าพระองค์ทรงครอบครองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นในชีวิตเรา มันจะต้องเกิดเป็นผลดีกับเราเสมอ เอเมน ไม่ว่าขณะนั้น เรามองดูแล้วมันไม่ดี หรือคนข้างๆ บอกไม่เห็นจะดีเลย ป่วยมันดีที่ไหน? แต่เรารู้ว่ามันดีสำหรับเรา นี่คือการเชื่อและวางใจในพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงให้กับเราอย่างนั้น เอเมน

เราไม่สามารถที่จะเข้าใจและรู้ได้ว่าบางครั้ง พระเจ้าจะให้เราเดินผ่านพายุ โดยทำให้พายุสงบ หรือเมื่อไรพระเจ้าจะจูงมือเราฝ่าพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ มี 2 ทางเท่านั้นเอง อย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน จะไปแบบไหน? ก็แล้วแต่พระเจ้า

ทำไมพระเจ้าปล่อยให้คนหนึ่งเจ็บป่วย ทั้งที่เราเห็นว่าเขาทำสิ่งที่ดีงาม ตามตาเรามองเห็น แต่ขณะเดียวกัน คนหนึ่งแข็งแรง ทั้งๆ ที่ไม่เห็นทำอะไรดีมากมายเลย หรือทำไมพระเจ้าทำให้บางคนร่ำรวยขึ้น ทั้งๆ ที่เราคิดว่าทำอย่างนี้ไม่น่ารวย แต่อีกคนหนึ่งดูเหมือนจนลงทุกวัน เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดหรอกที่พูดไปทั้งหมดนี้ แต่วันหนึ่ง เราจะเข้าใจ วันที่เราไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ที่สวรรค์สถาน เราจะรู้ว่า …

“อ๋อออออ มันเป็นอย่างนี้เอง”

“พระเจ้าอภัยลูกด้วย”

ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ

เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ เราต้องใช้ความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียว ความเชื่ออย่างเดียวมันผิดเพี้ยนไปโน่นไปนี่ได้ แต่ถ้าท่านวางใจด้วย จบ

คำว่า “วางใจ” คือวางภาระลงแล้ว ไม่คิดแล้ว เชื่อบางทียังคิดอยู่ว่า …

“ฉันทำได้อันนั้น อันนี้ ฉันต้องสร้างความเชื่อ ฉันต้องอัดความเชื่อไป ฉันจะต้องมีความเชื่อ จะได้ …”

แต่ตอนนี้ท่านบอกว่า “ถึงไม่เชื่อ ฉันก็วางใจ ฉันได้แค่นี้ จบแล้ว เป็นอย่างไร เป็นกัน แล้วแต่พระองค์เข็นลูกไปด้วยเถิด ลูกเดินไม่ไหวแล้ว”

ถามว่าวางใจเป็นอย่างไร?

“วางใจว่าพระเจ้าเป็นพ่อฉัน แล้วพระองค์เป็นพ่อที่ดี แล้วฉันเป็นลูกของพ่อ และพระองค์ทรงรักลูกทุกๆ คน พระองค์ทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ไว้ให้กับลูกของพระองค์เกินกว่าลูกจะคิดได้ว่าเป็นอย่างไร?”

และที่สำคัญที่สุด พระคัมภีร์บอกเสมอ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่มีอะไรที่พระองค์ทำไม่ได้เลย ต้องวางใจขนาดนี้

และสุดท้าย คือพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ สุจริต ไม่หลอกลวง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหวเลย

“รักก็คือรัก ต่อให้ลูกจะเลวอย่างไร? เขาเป็นลูกเรา ฉันก็จะรักเขา มีอะไรหรือเปล่าซาตาน”

“เขาทำไม่ดีอย่างนี้ ไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

“ก็ลูกชายฉัน พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปเขาแล้ว มีอะไรหรือเปล่า?”

“เขาไม่เห็นจะเป็นคนดีเลย ไม่เหมาะเข้าสวรรค์เลย”

“มีอะไรไหม? พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตชำระเขาแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์ได้แล้ว มีอะไรไหม?”

จบสุดท้ายต้องเป็นอย่างนี้ คือวางใจ ถ้าท่านไม่วางใจในพระเจ้า ท่านจะตายอยู่ตรงความเชื่อนั้น เพราะท่านจะนั่งคิดว่าตรงนี้ยังไม่พร้อม ตรงนี้ความเชื่อก็น้อย ตรงนี้ความเชื่อหล่นไป ตรงนี้ความเชื่อล้มไป ตรงนี้ก็เชื่อไม่พอ แต่ท่านวางใจเลยว่าตรงนี้พูดว่าอย่างไร?

“พระองค์เป็นพ่อของฉัน ไถ่บาปฉันแล้ว ฉันเชื่อและวางใจ ฉันจบแล้ว อย่างไร ฉันก็ไปสวรรค์”

ถ้าอย่างนั้นง่าย ในชีวิตของเรา เราอาจจะไม่เคยประสบปัญหาหรือประสบการณ์แบบดาเนียล หรือของชัดรัด เมชาค อาเบดเนโก แบบใหญ่ๆ เราอาจจะไม่เคยเจอ เราอาจจะเชื่อพระเยซูมาปีหนึ่ง สองปี ห้าสิบปี อาจจะรู้สึกประสบการณ์เราไม่เคยมีอัศจรรย์ใหญ่ๆ ผ่านชีวิตเราเลย อาจจะคิดอย่างนั้น เราสามารถมองคนอื่นได้ นี่คือเหตุหนึ่งที่เรามาเรียนเรื่องดาเนียล พระเจ้าให้ดาเนียลบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะว่าเป็นอัศจรรย์ในหนังสือดาเนียลตั้งหลายบท เพราะพระเจ้าต้องการให้คนมาเชื่อในพระองค์ในยุคเราได้เห็น คนมาเชื่อพระองค์ในยุคก่อนได้เห็นตัวอย่าง นี่พระองค์เป็นอย่างนี้ เป็นผู้ที่ทำอย่างนี้ พระองค์เป็นพระองค์อย่างนี้แหละ เอาประสบการณ์ของเขา มาเป็นกำลังใจให้เรา พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ไม่ใช่ดาเนียลเขียน เพื่อจะโชว์ตัวเองว่า …

“ฉันผ่านอัศจรรย์มาเยอะแยะ พระเจ้ารักฉันมาก ฉันยิ่งใหญ่”

พระเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้เขาเขียนอย่างนั้น แต่เขียนเพื่อให้เราได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระองค์ทำเช่นนั้นอย่างไร? ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ อีก 2 คนหลุดออกจากเตาไฟ เพื่ออะไร?  เพื่อให้เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความสัตย์ซื่อสุจริตของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้าง และไม่ว่าจะช่วยออกมา หรือไม่ช่วย พระองค์ก็อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา พระเจ้าต้องการให้เราได้เห็น ได้มีประสบการณ์ร่วมกัน โดยที่เราไม่ได้เข้าไป อย่างเช่นการข้ามทะเลแดงของชาวอิสราเอล ในอดีต ก็เหมือนกัน เพื่อประจักษ์กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ว่านี่คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่คือพระเจ้าผู้ที่ท่านสามารถวางใจได้ ผู้ที่ประทานพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับท่าน ลองคิดดูนะว่าตั้งแต่เรารู้จักพระเจ้ามา มีอะไรไหมที่พระเจ้าทำอัศจรรย์ในชีวิตเรา เคยนำพาเราผ่านอะไรบ้าง แบบที่เห็นว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อจริงๆ พระองค์ไม่เคยมาสายเลย

บางครั้งเราเห็นว่ามันเล็ก เราไม่สนใจ แต่มีหมดทุกคน พยายามจดจำเอาไว้ เพราะประสบการณ์นั้น ที่ท่านผ่านมา แม้ว่ามันเล็กนิดเดียว เผอิญๆ ว่าวันนั้น ท่านต้องการเงินจำนวนเท่านี้ แล้วไม่รู้จะเอาที่ไหนแล้ว สุดท้ายมาพอดีเลย ไม่เคยสาย หรือว่าเป็นความเจ็บป่วยของท่าน ไม่น่าเชื่อว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ได้อย่างไร?  มันหายได้อย่างไร? ต่างๆ เหล่านี้ แล้วแต่จิปาถะ

สิ่งเหล่านั้นต้องจดจำไว้ เพื่อทำให้ท่าน เกิดความวางใจเพิ่มขึ้น มากขึ้น แล้วเรียนรู้จักคนอื่น คนรอบข้าง คนมีประสบการณ์อะไร เราก็ฟัง ในพระคัมภีร์มีเรื่องอะไร? เราก็ฟัง พระเจ้าผู้เดียวกัน ทำเหมือนเดิม พระองค์ทรงรักและเมตตา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราสามารถระลึกได้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สัตย์ซื่อนำพาเราผ่าน ขณะที่เราเกิดความกลัวว่าเราจะเผชิญกับอนาคตอย่างไร? พรุ่งนี้จะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม พรุ่งนี้จะมีแรงไหม? มะรืนจะนอนป่วยเหมือนคนนอนอยู่โรงพยาบาล ที่เราไปเยี่ยมไหม?  มะเรื่องนี้จะเกิดอุบัติเหตุขึ้น เหมือนกับในหนังสือพิมพ์เขาลงกับเราหรือไม่?  เราอาจจะกลัว แต่ถ้าเรายังจำได้ว่าพระเจ้าผู้นี้ ผู้ที่ช่วยดาเนียลออกจากถ้ำสิงโต ผู้ที่ช่วยชาวยิวผ่านทะเลแดง ช่วยอาเบดเนโกและเพื่อนๆ จากเตาไฟ โดยอัศจรรย์ เคยช่วยเราวันนั้น เราจำได้ ช่วยเราหลุดพ้นออกมา ที่เราป่วยอยู่ ไม่มีแรงแล้ว จำเป็นต้องไปทำงานหนัก วันนั้น พระเจ้าให้กำลังพิเศษออกไปทำงาน แล้วเกิดอัศจรรย์ใหญ่เลย อะไรก็แล้วแต่ วันนั้นที่บ้านแทบจะไม่มีข้าวกินเลย ไฟฟ้าก็ถูกตัดไป ตกเย็น สามารถเชื่อว่าอยู่ดีๆ มีเงิน 2,000 บาทมาจากที่ไหน ลงตัวเป๊ะในการที่จะมีข้าวกิน 1 มื้อและจ่ายค่าไฟได้พอดีเป๊ะ

ท่านอาจจะเห็นว่าเล็กๆ น้อยๆ  แต่ท่านต้องจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ นั่นแหละสิ่งที่พระเจ้ากำลังสร้างในชีวิตของเรา จดจำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นกำลังใจว่า …

“ถ้าฉันเชื่อในพระองค์ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าฉันวางใจในพระองค์ มันจะเป็นอย่างนี้”

วางใจว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงดูฉันได้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และครอบครองควบคุมทุกสิ่งสารพัด พระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้ สามารถๆ ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระพละกำลังมากมาย และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในความรักของพระองค์ที่มีต่อลูกของพระองค์ทุกๆ คน และฉันเป็นลูกของพระองค์

ข้อสำคัญ คือมันเป็นพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีไว้ให้กับเราทุกคน และพระเจ้าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ที่ดาเนียลอธิษฐาน ต้องหันไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะในช่วงนั้น พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเจ้าต้องอยู่ในพระนิเวศน์ที่สร้างด้วยมือมนุษย์ ก็คือเหมือนวัดวาอาราม พระเจ้าให้สร้างไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะฉะนั้น เมื่อเขาจะติดต่อกับพระเจ้า ต้องสื่อให้เห็น แล้วแต่เขาจะอยู่ที่ไหน? เขาต้องหันหน้าไปที่ทิศกรุงเยรูซาเล็ม แล้วก็ตรงไปที่วิหารของพระเจ้า หลับตา หรือลืมตา แต่พุ่งความคิดของเขาไปอยู่ที่การทรงสถิตของพระเจ้าที่วิหารที่นั่น วิหารซาโลมอน ที่เยรูซาเล็ม แต่เราในทุกวันนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดไว้ในหนังสือฮีบรูว่าพระเจ้าอยู่กับเราแล้วตอนนี้ 2,000 ปีมาแล้ว เมื่อพระเยซูตายไป แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระเจ้าอยู่กับเรา เราไม่ต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเฉียงไหน ก็ไม่ต้องแล้ว หันดูตัวเราเอง พระเจ้าอยู่ในเรา นี่แหละคือความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จะไม่กลัว เอเมน พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงเมตตา ทรงรักษาคำพูดของพระองค์เสมอ และตอนนี้พระองค์ทรงอยู่ในเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “ความรัก ยิ่งให้ ยิ่งได้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2017

เรื่อง “ความรัก ยิ่งให้ ยิ่งได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

อีก 2 วัน วันอังคารนี้ก็จะเป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก ถ้าถามว่าความรักคืออะไร? ก็ต้องตอบว่าความรักคือการเสียสละ ความรักคือการให้ … ความรัก คือการเสียสละ ความรัก คือการให้ นี่คือพวกเราทั้งหลายที่ได้เรียนรู้ความรักของพระเจ้า และกฎแห่งความรัก หรือกฎแห่งการให้ ตามพระคัมภีร์ สรุปแล้วบอกว่ายิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากให้คนอื่นมีความสุข เรายิ่งได้ความสุข ยิ่งอยากให้คนอื่นมีทุกข์ เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งเกลียดคนอื่น เราก็ยิ่งมีทุกข์ ยิ่งรักคนอื่น เราก็ยิ่งสุข เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย จำไว้ให้ดีๆ ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ แต่ยิ่งอยากให้ ยิ่งได้ นี่คือหลักการของพระเจ้า

นี่คือกฎธรรมชาติ ถ้าบอกว่าหลักการของพระเจ้า บางคนก็จะบอกว่า …

“ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันไม่เชื่อพระเจ้า”

แต่อยากจะบอกว่านี่คือกฎธรรมชาติ และทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ดวงอาทิตย์ฉายแสงสาดไปบนโลกใบนี้ ก็ไปโดนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนขี้เกียจ ขยัน ก็โดนแสงอาทิตย์เหมือนกัน ถูกไหม? ไม่ว่าจะเป็นคนแข็งแรง หรือเจ็บป่วย เดินไปใต้ดวงอาทิตย์ ก็ได้รับแสงอาทิตย์เช่นเดียวกันหมด เหมือนฝนตก ไปที่ไหน? มันก็เปียกหมด ไม่ใช่ว่าฝนตกมา คนทำดีไม่เปียก เปียกไหม? เปียก ท่านทำดี ทำไมต้องเปียกด้วย  ก็เพราะมันเป็นกฎ ถ้าคุณทำดี คุณต้องถือร่มด้วย มันจะได้ไม่เปียก มันเป็นกฎใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นเอะอะอะไรก็จะบอกว่าไม่ยุติธรรมๆ ก็มันเป็นกฎ เราต้องเรียนรู้จากกฎ เราจะได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎ

ใครทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้ ถ้าใครทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ เขาก็จะได้รับตามที่พระเจ้าบอกไว้ ถ้าเขายิ่งให้ เขาก็ยิ่งได้รับเลย ถ้าเขายิ่งเห็นแก่ตัว เขาก็ยิ่งสูญเสีย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งไม่ได้ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ยิ่งเสียหายเยอะ ยิ่งให้ยิ่งได้ นี่คือกฎธรรมชาติ กฎของพระเจ้า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎนี้ หมดเลย ฟังนิทานเรื่องนี้ดู รู้ว่าทุกคนอยากฟัง …

… พ่อค้าคนหนึ่ง เขาขนสินค้าจำนวนมาก จะไปขายต่างเมือง โดยเอาลาและม้าไปอย่างละหนึ่งตัว (สมัยก่อนเวลาจะไปไหน ก็จะเอาม้ากับลาไป) และด้วยความที่พ่อค้าเขาอยากจะถนอมม้าไว้ เอาไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น ม้าเอาไว้สำหรับขี่เร็วได้ เขาก็เลยจัดสินค้าทั้งหมด เอาไปไว้บนหลังลา แล้วให้ม้าเดินตัวเปล่าไป ไม่ต้องแบกอะไรเลย ก็ให้ลาแบกเพียงผู้เดียว ม้าก็บอกว่าอย่างนี้ก็สบายจัง ไม่ต้องทำอะไรเลย เดินผิวปาก สบายใจ

แต่สำหรับลา เมื่อถูกให้แบกของหนัก พอมันเดินไปได้ครึ่งทางเท่านั้น มันก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า

หมดแรง ลาก็เลยหันมาหาเพื่อน คือม้า แล้วก็บอกม้าว่า …

“ม้าข้าเริ่มรู้สึกหมดแรงแล้ว ถ้ายังขืนแบกของบนหลังต่อไปนะ อีกนิดเดียว ฉันตายแน่ ไม่ไหวแล้ว เพื่อนม้าพอจะแบ่งเบาภาระข้าสักนิดได้ไหมเนี้ย เอาแบ่งไปสักหน่อย เอาสักนิดหนึ่งก็ยังดี ถ้าต่อไปนะ ข้าตายแน่ๆ ช่วยหน่อยนะเพื่อนรัก ไหนบอกรักข้าไง”

ฝ่ายเจ้าม้าผู้หยิ่งทะนง พอได้ยินลา ร้องขอความช่วยเหลือ ก็หันไปพูดอย่างเพื่อนที่ไร้น้ำใจ

“ฮิ ฮิ ฮิ ได้หมด ถ้าสดชื่น แต่ตอนนี้ข้าไม่สดชื่นเลย ถ้าทำอย่างนั้นไป ข้าไม่สดชื่นเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้ เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าไม่มีหน้าที่แบกของหนักๆ การแบกของหนักๆ เป็นหน้าที่ของข้า ข้าเป็นม้านะ เจ้าเป็นลา ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ให้เจ้านายขี่เท่านั้นเอง ข้าคงไม่สามารถช่วยเจ้าได้หรอก  ฮิ ฮิ ฮิ ตัวใครตัวมันนะ” ม้ามันก็เดินหัวเราะฮิฮิ ไปเรื่อยๆ

ได้ยินดังนั้น เจ้าลาผู้น่าสงสารก้มหน้าก้มตาแบกของทั้งหมด แล้วก็อดทนเดินต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไร? แต่ว่าเพียงเดินต่อไปไม่กี่ก้าว มันก็ล้มลง และขาดใจตายไปเลย พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็เลยขนสินค้าทั้งหมด จากหลังลา เอาไปไว้ที่หลังม้า แค่นั้นยังไม่พอ ยังเอาศพลาที่ตายให้ม้าแบกไปด้วย เพราะศพลาก็มีราคา จะได้ไปขายในเมืองด้วย ถูกหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ม้าได้รับ 2 ต่อ ต้องแบกของทั้งหมดนั้น ร่วมทั้งศพของเพื่อนด้วย หนัก เห็นไหมครับ?

เพราะม้าไร้น้ำใจ ไม่ช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระ ความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนลา ผลสุดท้าย มันก็แบกหนักขึ้นไปอีกกว่าเพื่อนด้วยซ้ำไป ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าลาอีก อาจจะไม่ตายนะ แต่คางเหลืองไปจนตาย ม้าจะทุกข์ทรมานไปจนตาย เพราะมันต้องทำงานหนัก ถ้ามันตาย ก็ดี แต่ถ้ามันไม่ตาย มันก็ทุกข์ทรมานหนักกว่าลาอีกเยอะมาก จนกว่ามันจะสิ้นชีวิตไป เพราะมันต้องทำงานแทนลาทั้งหมด

ถ้าเจ้าม้าตัวนั้น มันรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้จักแบ่งเบาภาระคนที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่แรก ม้ามันก็คงไม่รู้ตัว มันกำลังทำไม? มันนึกว่ามันไปช่วยลาเช่นไหม? แต่จริงๆ มันช่วยใคร? มันช่วยตัวเองอยู่ เห็นไหม? ถ้าม้าบอกว่า …

“โอเค แบ่งมา”

มันก็นึกว่ามันกำลังช่วยลา ลาจะขอบคุณมัน มันไม่รู้ตัวหรอก ที่ทำไป มันช่วยตัวเองในอนาคต มันไม่รู้ตัว นี่แหละ อุทาหรณ์ บางครั้งเราเห็นว่าเราช่วยคนออกไป เรานึกว่าเราช่วยเขา อย่าคิดอย่างนั้น ท่านกำลังช่วยตัวเอง เวลาเขาขอบคุณท่าน ท่านบอกว่า …

“ไม่ต้องหรอก ผมควรขอบคุณคุณมากกว่า คุณกำลังช่วยผม”

ถูกไหม? มันกลับกัน คิดให้มันกลับกันซะ เขากำลังช่วยเรา เขาเปิดโอกาสให้เรามีโอกาสได้ช่วยเขา เพื่อว่าเราจะได้รับทีหลัง เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  แต่แดดส่องมา มันร้อนแน่ ฝนตกมา มันเปียกแน่ กฎพระเจ้าว่าไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราช่วยเขา เรากำลังช่วยตัวเองนั่นเอง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือสัจจะธรรม  นี่คือตัวอย่างให้เห็นภาพว่าการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระผู้อื่น ปลอบประโลมใจผู้อื่น ตัวเราเองก็จะได้รับ ให้สิ่งดีๆ กับผู้อื่น เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา โดยที่เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราจะไม่รู้เรื่องเลย มันได้รับแน่นอน มันเด้งกลับมาแน่นอน จะเป็นกี่เด้งเราไม่รู้ แต่เรารู้ว่ามันได้กลับมาแน่นอน

ในพระคัมภีร์จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:17-18 ได้บันทึกถึงความรัก ในฐานะเพื่อนร่วมโลกกันอย่างนี้ เพื่อนร่วมโลก คือพี่น้องกันนั่นแหละ เห็นหน้าเป็นมนุษย์ คือเหมือนพี่น้องกัน

1 ยอห์น 3:17-18 “17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน แต่ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร? 18 ลูกที่รัก อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่ให้เรารักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”

 

เพื่อประโยชน์ของพระเจ้าใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ เพื่อประโยชน์ของอีกคนหนึ่ง? ก็ไม่เชิง เพื่อประโยชน์ของท่านเอง สอน เพื่อให้ได้ดีนะ ไม่ใช่มาบังคับ เพื่อให้มาเบียดเบียน ไม่ใช่ กำลังจะบอกว่านี่คือทางที่จะทำให้เจริญ ได้พระพรจากพระเจ้า จะได้เจริญรุ่งเรือง นี่คือหนทางที่ดี เพราะฉะนั้น ทำอย่างนี้นะ ให้เขาไป ถ้ามีความรักของพ่ออยู่ ให้เขาไป แล้วจะได้รับ

ให้ทรัพย์สินในนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทองอย่างเดียว ทุกอย่าง อย่างเมื่อตะกี้ ลาก็ไม่ได้ต้องการเงิน … เงินก็ช่วยเขาไม่ได้ เขาต้องการเอาสินค้าที่เขาแบกอยู่แบ่งเบาไปบ้างเท่านั้นเอง อาหารก็ช่วยเขาไม่ได้นะ อาหารเขาก็ไม่เอา เขาต้องการแบ่งเบาภาระ ปลอบโยนใจเขา แล้วเอามาสัก 2 ถุง ยังพอไหว พอแบกได้มากขึ้น เอาเพิ่มเป็น 3 ได้ไหม? เขาต้องการอย่างนั้นมากกว่า เห็นไหม? ทรัพย์ไม่ได้หมายถึงเงินอย่างเดียว ไม่ได้หมายถึงอาหารอย่างเดียว หมายถึงอะไรที่ดีๆ ที่แบ่งเบาภาระเขาได้ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ในสถานการณ์เช่นใด สิ่งที่เขาจำเป็นอยู่ เราแบ่งเบาภาระเขา เราเองจะได้รับในอนาคต  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017 เรื่อง “ใครคือพี่น้องที่แท้จริงของเรา?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2017

เรื่อง “ใครคือพี่น้องที่แท้จริงของเรา?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับ วันนี้เป็นอาทิตย์แรกของเดือนแห่งความรัก พระคัมภีร์สอนเราว่าอย่างไร? กาลาเทีย 5:14-15 ได้บันทึกอย่างนี้ พระเจ้าสอนเราอย่างไร? พระเยซูสอนเราอย่างไร? ข้อพระคัมภีร์กาลาเทีย 5:14-15 บอกเราอย่างนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเทศกาลนี้ เดือนนี้ทั้งเดือนจะได้เตือนเรา ปีหนึ่งก็ได้ระลึกถึงเรื่องนี้สักทีหนึ่ง เตือนสติ

กาลาเทีย 5:14-15 “14 บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 15 หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

 

ถ้าวิวาทกัน แก่งแย่งกัน กินเนื้อกัน ไม่ใช่แย่งกันกินเนื้อวัว ไม่ใช่นะ หมายถึงกินเนื้อกันเอง เราจะตายไปด้วยกัน นี่คือสัจจธรรมบนโลกใบนี้  แต่ถ้าแบ่งเบาภาระกัน แบ่งให้กัน เอื้ออาทรกัน ท่านก็จะไปดีด้วยกันทั้งหมด แล้วลองคิดดูนะว่าโลกจะน่าอยู่ขนาดไหน? ถ้าทำตามพระเยซูบอก แล้วลองสังเกตดูโลกใบนี้ เป็นอย่างนั้นไหมตอนนี้ ทุกวันนี้ แบ่งเบากันไหม? แบ่งกันไหม? เอื้ออาทรกันไหม? หรือกำลังแย่กัน กัดกินเนื้อกัน ใครล้มเหยียบ ใครป่วย ไปแทะเนื้อเขาเลย หรือเผลอๆ เดินอยู่ มาแทะเนื้อเราเล่น อะไรอย่างนี้  เราก็จะกลับไปแทะเนื้อเขาบ้าง?

ลองคิดดู โลกใบนี้เป็นอย่างนี้ไหม? ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูบอก เราก็อยู่กันสบายเลยนะ แต่ถ้าทุกคนมีความคิดอย่างลักษณะนี้ คือกำลังจะเล่าเรื่องให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง ท่านลองนึกถึงภาพว่าโลกใบนี้ ตอนนี้อยู่อย่างนี้ แล้วท่านคิดดูสิว่าจะอยู่กันอย่างไร? จะเกิดผลดีต่อสังคมไหม? สังคมมันจะเป็นอย่างที่พระเยซูอยากให้เป็นไหม? นี่ก็ใกล้ตัวเราเหมือนกันเรื่องนี้ ลองคิดดูว่าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?

… ลูกค้ากับแม่ค้า ต่างก็ทำไม? เห็นแก่ตัว เจอหน้ากัน ลูกค้า คือคนซื้อ กับคนขาย แม่ค้า ต่างคนต่างวางแผนมา ทั้งสองฝ่าย

สำหรับคนซื้อก็ต้องอย่างไร? … “ฉันจะซื้อให้ถูกที่สุด”

แม่ค้าก็จะคิดอย่างไร? … “ฉันจะขายให้แพงที่สุด”

ไม่รู้ล่ะ ลูกค้า ในกลุ่มของลูกค้าเองก็จะคุยกันว่า … “เวลาเราไปซื้อของนะ แม่ค้าชอบทำแบบนี้ ขายผลไม้ ก็เอาผลไม้ดีๆ วางไว้ตรงหน้าๆ จัดให้เราดูสวยๆ พอเราซื้อ ก็หยิบเน่าๆ มาให้เรา” ลูกค้าก็คุยกันอย่างนี้ ต่อว่าแม่ค้า

พวกแม่ค้าด้วยกัน ก็จะคุยว่า … “ถ้าตานี้มาเมื่อไรนะ หรือแม่คนนี้มาเมื่อไรนะ อย่าลดราคาเด็ดขาด มันต่อทุกร้านเลย ต่อจนร้านสุดท้าย เดินต่อไปๆ บาทหนึ่งก็จะเอา อย่าไปขาย อย่าไปยอม”

นี่เรื่องจริงนะครับ ไปดูร้านค้าที่คล้ายๆ กัน คนนี้มาปุ๊บ เขาจะพูดกันต่อๆ เลย เขาจะปรึกษากันไว้ก่อนด้วยซ้ำ อย่างเราไปทัวร์ เขาจะปรึกษากันเลยว่าห้ามขายต่ำกว่าราคานี้ เพราะเขาจะต่อจากร้านแรกจนไปถึงร้านสุดท้าย เพราะฉะนั้น ร้านแรกและร้านสุดท้าย ราคาเหมือนกัน อะไรประมาณนี้  คือต่างคนต่างป้องกันผลประโยชน์ของตัวเอง ต่างฝ่าย ต่างตั้งใจว่าจะเอามากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความสุขเลย เพราะว่าอยากได้ทั้งคู่

จนกระทั่งในใจไม่ได้คิดอะไร นอกจากว่าผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่ที่สุด แล้วก็ทำให้เสียผลประโยชน์ไป โดยไม่รู้ตัว เสียหายอย่างไร? ลองฟังเรื่องนี้นะครับ ท่านลองคิดดูนะ เรื่องจริงนะ ผมสังเกตดู แล้วผมก็เอามาให้ฟังดู นี่เรื่องจริง หลายคน ก็โดน

… แม่ค้าตั้งราคามังคุดไว้ กิโลกรัมละ 30 บาท นึกในใจตลอดว่า …

“ไม่ให้ใครต่อเด็ดขาด ฉันไม่ยอมลดเด็ดขาด ฉันจะต้องเอากำไรให้สูงที่สุด”

โลละ 30 บาท

คนซื้อก็คิดตลอดเหมือนกัน … “ฉันจะต้องต่อราคาให้ถูกที่สุด”

เกิดมาเพื่อต่อโดยเฉพาะ เพราะต่อแล้วมีความสุข แม้กระทั่งต่อให้สักบาทหนึ่ง ก็มีความสุข นี่คือลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งหมด  มีใครไหมไปซื้อของอย่างเดียวกัน  ร้านเดียวกัน แล้วมีมาบอก

“ฉันดีใจจังเลย ฉันซื้อแพงกว่าเธออีก”

มีไหม? ส่วนใหญ่จะบอกว่าอย่างไร? ดีใจ “เธอซื้อร้านนั้น ฉันซื้อเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกันเลย”

แล้วลงสุดท้ายว่า “ฉันซื้อถูกกว่าเธออีก” ใช่หรือไม่ใช่?

เราอยากจะเยาะเย้ยเขา เพราะว่าเราได้ซื้อถูก … ถูกไหม? ถูกกว่าบาทหนึ่ง ก็ถูกกว่า ดีใจ เอามาอวดกันว่า “ฉันซื้อถูกกว่าเธอ”

ฝ่ายแม่ค้า ก็คิดในใจ … “ไม่ลดเด็ดขาดๆ”

ฝ่ายคนซื้อ ก็คิด … “ไม่ยอมเด็ดขาด อย่างไรก็ต้องลดๆ”

คือมีความสุขอยู่กับบนความทุกข์ของคนอื่น พูดง่ายๆ แล้วในที่สุด ทั้งคู่ก็ไปจะเอ๋กันบนเวที

คนซื้อไปถึงปุ๊บ … “แม่ค้า โลเท่าไร?”

แม่ค้าก็ตอบว่า … “โลละ 30 บาท”

คนซื้อก็คิดในใจ ต้องต่อ เพราะฉะนั้น พอตอบมา 30 ปุ๊บ ในสมองเกิดอะไรขึ้น สงครามเกิดขึ้นแล้ว สงครามในสมองเกิดขึ้น

“ฉันจะซื้อเยอะนะ ซื้อหลายกิโลเลย ลดหน่อยสิ”

“ไม่ได้เด็ดขาด” คุ้นๆ ไหม?  “30 บาทขาดตัว อย่างไรก็ไม่ได้”

“ก็จะซื้อเป็นสิบๆ โลนะ”

“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็ 30”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะซื้อสัก 20 กิโล”

แม่ค้าตั้งใจ หูพึ่งเลย ปกติขาย 2-3 โล นี่จะขอซื้อ 20 โล

“ฉันจะขอซื้อ 20 โล เอาอย่างนี้แล้วกัน เมื่อกี้บอกโลเท่าไรนะ 30 บาท ฉันจะซื้อ เอาอย่างนี้เหมาไปแล้วกัน 3 โล 100 แล้วกัน”

แม่ค้าตกใจ แล้วก็ตอบ “ไม่ได้ ยังไงฉันก็ไม่ให้ ลดไม่ได้เด็ดขาด อย่างไร ก็โลละ 30 เด็ดขาด ขาดตัว ลดไม่ได้ขาด”

ในใจคิดอย่างนั้นตลอดเวลา ป้องกันผลประโยชน์ตัวเองเต็มที่ เข้าใจไหม? ทะเลาะกันแทบตาย ถามว่าเหตุการณ์นี้ มีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้

นี่เป็นอุทาหรณ์อันหนึ่ง บางทีเราฟัง เราหัวเราะ แต่จริงๆ แล้ว เรานั่นแหละ พูดกับใคร?  พูดกับตัวเองนั่นแหละ

“ฉันนั่นแหละ เป็นอย่างนั้น”

มันลึกซึ้ง ที่เรากำลังหัวเราะอยู่ มันลึกซึ้งมาก แปลกไหม? โลละ 30 บาท ถ้า 3 โลร้อย มันโลละ 33 บาทกว่าด้วย แล้วทำไมไม่ขายล่ะ ลองคิดในใจ เพราะว่าต่างฝ่าย ต่างคิดอยากได้ไง เลยลืมผลประโยชน์ที่ดีๆ ไปไง เห็นแก่ตัวไง

จำที่ผลให้คติกับท่านได้ไหม? “ถ้าอยากได้ มันจะเสีย” ถ้าไม่อยากได้ คือให้ออกไป มันจะได้ นี่คือหลักของพระเจ้า อีกฝ่ายก็ต่อใหญ่ แทนที่จะซื้อโลละ 30 สบายๆ แล้ว ไปต่อเขา 3 โลร้อย

เพราะอะไรรู้ไหม? ทำไมถึงต่ออย่างนั้น เพราะในใจมันคิดแต่จะหาผลประโยชน์ และคิดจะต่ออย่างเดียวๆ มันก็คุ้นหูมาตลอด ที่เคยซื้อ 3 โลร้อยมันถูกไง ความรู้สึกไง  เวลาเราไปซื้อที่ไหน ก็บอก 3 โล หรือ 3 ชิ้นร้อย มันถูกไง ใจก็คิดว่าอันนี้ถูก ทั้งๆ ที่โง่ เสียผลประโยชน์ไปแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก

“3 โลร้อยแล้วกัน”

ลืมหารไป เพราะในใจมันคิดแต่จะเอาถูก “ฉันจะเอาเปรียบกับเขา” นี่แหละคือสิ่งที่ถูก ได้ราคาถูกแล้ว 3 โลร้อย

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เราฟังดูแล้วเหมือนตลกๆ แต่มันไม่ตลก ถ้าเกิดในชีวิตของเรา  เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ แบบที่พระเยซูสอนเรา  คือการให้ แบ่งเบาภาระ ให้ แล้วเราจะได้

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบ และเป็นแหล่งกำเนิดของความรักแท้ ที่วิเศษที่สุด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คือพระองค์ทรงยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เอง เพื่อมวลมนุษยชาติ พระองค์ทรงรักมวลมนุษยชาติอย่างมาก ยอมตาย เพื่อเขาที่ไม้กางเขน ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนบาป ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายด้วย ที่นั่งอยู่ที่นี่ ให้เราดูแบบอย่างของความรักของพระเยซูคริสต์นี้ และแบบอย่างการเสียสละในความรักแท้นี้ ให้เราหมั่นฝึกฝนในการดำเนินตามรอยเท้า รอยพระบาทของพระองค์ เท่าที่กำลังเราจะสามารถทำได้  คือฝึกฝนนั่นเอง ล้มไป ก็ลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็หัดใหม่ ฝึกไปเรื่อยๆพระคัมภีร์บันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจนมาก

1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร? คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

 

ไม่ใช่ “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรัก คือมังคุด เราจึงควรจะต่อให้สุด” อย่างนั่นเหรอ ไม่ใช่

ความรัก คือพระเยซูเสียสละ ท่านลองคิดดูนะ  ถ้าเกิดโลกใบนี้ เป็นอย่างนี้ เกิดความสุข มีความสุขมากขนาดไหน? เกิดไปซื้อของ แล้วกลับใหม่ซะ จะมีความสุขมากขนาดไหน? สมมติท่านดำเนินชีวิตแบบนี้ แบบที่พระเยซูกำลังสอน

พระเยซูสอนบอกว่าและเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้องได้อย่างไร?

คุณรู้ไหม? “พี่น้อง” คืออะไร? ไม่ใช่คริสเตียนเท่านั้นนะ พี่น้องหมายถึงคนที่ไม่เชื่อด้วยนะ พระเยซูสอน พี่น้องหมายถึงคนที่อยู่ใกล้เรา  … ใครที่อยู่ใกล้เรา?  ใครก็ตาม ที่เราเดินไป แล้วเขาอยู่ใกล้เรา คนนั้นแหละ พี่น้องเรา ถ้าท่านเดินออกไปข้างนอก เจอยามข้างนอก ยามข้างนอกเป็นพี่น้องเรา พี่น้องของท่าน ถ้าท่านออกไปเจอจราจร จราจรเป็นพี่น้อง ถ้าท่านออกไปเจอคนที่มาแย่งชิงกระเป๋าท่านไป เอามือถือท่านไปเลย เขาเป็น … ไม่กล้าตอบ เขาก็คือพี่น้อง แต่ตอนนี้มาขโมยของเราไป ก็จบ ก็ใส่พี่น้องไปสิ ไม่กล้าใส่เหรอ เห็นไหม?

นี่มันหนีไม่พ้น นี่คือพี่น้องของเรา ท่านลองคิดดูสิ สังคมเปลี่ยน เรื่องตะกี้นี้ ง่ายๆ ลองยกตัวอย่างใหม่ เราอดทนตามที่พระเยซูบอก อดทนตามนี้ ไปซื้อมังคุดเขาตั้งไว้ 30 บาท

“แม่ค้าเอาไปโลละ 35 เลยแล้วกัน ขับรถมาตั้งไกล ระยะนี้น้ำมันก็แพง อะไรก็แพง ช่วยนะ ซื้อ 2-3 โล โลหนึ่ง 30 เอ๊าให้อีกห้าบาท” แม่ค้าก็ยิ้ม

แม่ค้าก็บอกว่า “มาซื้อกันประจำ ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้ โลละ 28 ก็พอแล้ว เอาไปเถอะ”

ต่างฝ่าย ต่างให้กันใหญ่เลย มีความสุขทั้งคู่ ได้ทั้งคู่ สิ่งนี้มันจะกำเนิดสิ่งที่เห็นๆ เลยนะ เอาแบบตรรกะ เอาแบบมีเหตุและผลแบบมนุษย์ง่ายๆ ก็คือพอมีสติปัญญา มีสันติสุขอย่างนี้ มันเกิดอะไร แม่ค้าก็ปิ๊ง ในสมองมีสติปัญญา โล่ง สมาธิก็ดี ลูกค้าก็ปิ๊ง โล่ง เดินไปไหนก็สมาธิดี คิดงานก็ออก เราไปทำอันนี้ขาย ได้กำไรเยอะแยะ แม่ค้าเราไปขายทุเรียนช่วงนี้ ได้กำไร? ลูกค้าก็เยอะขึ้น เพราะเอื้ออาทรให้เขา ลูกค้าก็ไปบอกคนนั้นคนนี้

“ร้านนี้ขายดี ขายนี้ผลไม้ดี”

ลูกค้าก็สมองใส คิดอะไรก็ดี แค่นี้ก็เกิดแล้ว ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว ไม่ใช่ กว่าจะได้มา 2 บาท ต่อเขามา 2 บาทแล้ว หน้านิ่ว คิ้วขมวด ลืมคิดถึงงานดีๆ ที่แผนการดีๆ ที่ตัวเองทำอะไรอยู่ สมมติตัวเองขายข้าวแกงอยู่ ลืมคิดว่ามีอะไรดีๆ ที่พระเจ้าจะนำเขา ให้เขาขายต่อไป ซึ่งถ้าเขาสมองดีๆ ใสๆ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งที่รก สกปรกอยู่ในสมองเขา เห็นหรือยัง? นี่เห็นภาพชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำตามถ้อยคำพระเจ้า มันเกิดประโยชน์เสมอ อย่าลืมนะครับ คนที่ใกล้ตัวเรา ไม่ใช่คนที่โบสถ์เท่านั้น คนที่ใกล้ตัวเรา ไม่ใช่คนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น คนที่ใกล้ตัวเรา คือคนที่อยู่ข้างๆ เรา ในขณะที่เราเดินอยู่ข้างนอก คนที่ใกล้ตัวเราที่สุด ไม่ใช่ญาติพี่น้องเราที่บ้านนะ เพราะตอนนั้น เขาอยู่ไกลเรา แต่คือใคร? ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เรา มองไป แล้วใช่คน คนไหนก็ตามที่เป็นมนุษย์ ที่อยู่ใกล้ตัวเรา นั่นแหละ คือพี่น้อง ที่พระเยซูบอกว่าเราต้องเห็นแก่เขา

ฝึกฝน มันไม่ง่าย แต่ว่ามันก็ไม่ยากที่จะฝึกฝนไป อย่างที่บอก ฝึกฝนไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การซื้อของ ไม่ใช่ต่อไปนี้ ซื้อมังคุดไม่ต่อ อย่าอื่นต่อหมด ไม่ใช่นะ ทุกอย่างเลย ไม่ใช่เกี่ยวกับการซื้อของอย่างเดียว อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา ที่เกี่ยวกับการต้องเสียผลประโยชน์ หรือจะได้ผลประโยชน์ นึกในใจว่าหัดเสียบ้าง? ยอม เพื่อเขา คิดถึงเขาก่อน ก่อนคิดถึงตัวเราเอง ก่อนทำอะไรก็ตาม คิดถึงเขาก่อนว่าเขาจะเสียอะไรไหม? เขาจะเป็นอย่างไร? คิดอย่างนี้ ตัวเองกับได้ แต่จะคิดเอาตัวเองก่อน เป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นมาตรฐาน กลับเสียผลประโยชน์มากมาย

นี่คือสัจจธรรม ที่เป็นเคล็ดลับที่พระเจ้าสอนเรา พระเจ้าไม่เคยสอนเรา ให้เป็นคนเสียเปรียบเลยนะ เราเข้าใจผิด พระเจ้าสอนให้เราเป็นคนที่รักแท้ ให้ เสียสละ ไม่เคยเสียเปรียบเลยนะ ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ บทที่ 13 “ความรัก ไม่เคยล้มเหลวเลย” ไม่เคยทำให้ใครล้มเหลว ไม่เคยเห็นมีใครสักคนเสียสละ แล้วให้จนกระทั่งจน ไม่มีอะไรจะกิน ตายไปเลย เคยเห็นไหม? ไม่มีนะ เคยแต่ให้ไปแล้ว จะได้ ได้เรื่อยๆ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ได้ในสันติสุข ความสงบสุขกลับเข้ามาด้วย

เพราะฉะนั้น ขอพระเจ้าเมตตาให้เรามีความรักอย่างนี้ อย่างที่พระเยซูได้มอบให้กับเรา และส่งมอบความรักแท้ของพระเยซูที่มอบให้กับเรานี้ ให้กับผู้คนรอบข้างเรา ฝึกฝน แล้วก็ย้ำตัวเองอยู่ทุกๆ ปี ปีหนึ่งก็อย่างน้อยมีเดือนหนึ่งที่เขาว่ากันว่าเป็นเดือนแห่งความรัก ไม่ว่ามันจะจริงเท็จอย่างไร ก็อย่างน้อย มีเดือนหนึ่งที่เราจะมานั่งนิ่งๆ ดูตัวเอง ดูตลอด 28 หรือ 29 วันนี้ กุมภาพันธ์ว่าเราเป็นไปตามนี้หรือเปล่า? เรายังอยู่ในประโยชน์ของความรัก ในการดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าสอนเราหรือไม่? หรือเราหลุดออกไปแล้ว เราทำได้แค่ไหน? ปีนี้ ทำได้มากกว่าปีที่แล้วไหม? อดทนได้มากขึ้น เสียสละได้มากขึ้นไหม? หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น ปีหนึ่งได้วิเคราะห์ทีหนึ่ง เหมือนเราวิเคราะห์วันคริสตมาสครั้งหนึ่ง ในความรอด ที่พระเยซูคริสต์สละพระชนม์ชีพของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้เป็นต้น หรือวันอีสเตอร์ที่เรามาระลึกถึงการตายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นต้น เดือนกุมภาพันธ์เป็นการระลึกถึงอะไรบ้าง? เศษเล็ก เศษน้อยในชีวิตของเรา ที่สามารถฝึกฝนตรงนี้ได้ ให้เราฝึกฝน ข้อสำคัญที่สุด ง่ายที่สุด คือเราสามารถอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า และสติปัญญาจากพระเจ้า ให้เราสามารถทำได้ ตรงนี้ ได้เปรียบกว่าใครเพื่อนตรงนี้เลย อยากทำ ทำไม่ได้ พระเจ้าให้กำลัง เอเมน และพระเจ้าให้แน่นอนเลย เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ขออะไรก็ตามที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ได้แน่ๆ เอเมน

 

*****************************