คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2016
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”
ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เราจะกลับมาสู่การบรรยายในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ตอนที่ 5 ห่างไปนาน จนบางท่าน ไม่รู้ว่าเราบรรยายกันเรื่องอะไร?
ที่ผ่านมา 4 ตอน เราได้เรียนรู้จักเรื่องของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์ ซึ่งผมได้เปรียบเทียบไว้ว่าโลกนี้เปรียบเหมือน โรงละคร ที่มนุษย์ทุกคนเป็นตัวแสดง บางคนก็เป็นพระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย นางร้าย บางคนก็เป็นนางรอง บางคนก็เป็นตัวอิจฉา ผสมผสานกัน แต่ไม่ว่าใครจะแสดงเป็นตัวอะไรก็ตาม ก็จะมีผู้กำกับละคร ที่คอยควบคุมกำกับการแสดงของทุกคน และผู้กำกับผู้นี้ เรารู้จักกันดี ก็คือพระเจ้า
เรื่องราวที่เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลนี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี ที่เชื่อฟัง และยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง
มาทบทวนกันสักนิดว่าเราทิ้งท้ายกันไว้ตรงไหน? พระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ถ้าท่านเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วพระเจ้าเปิดเผยให้ท่านรู้ความจริงไปเรื่อยๆ มันไม่สามารถที่จะมาเปิดอ่าน แล้วก็เรียนรู้เฉยๆ ได้ พระคัมภีร์นี้จะต้องเรียนรู้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น หมายถึงอ่านด้วย และอธิษฐานไปด้วย วันแล้ววันเล่า พระเจ้าจะสำแดงให้กับท่าน เขาเรียกว่านิมิต จะเปิดเผยความจริงให้กับท่านมากขึ้นทุกวันๆ ผู้ใดแสวงหา ผู้นั้นก็พบ ผู้ใดเคาะ ผู้นั้น ก็ถูกเปิดออกให้กับเขา ผู้ใดขอ ผู้นั้นก็จะได้รับ ทั้งหมดนี้ เป็นต่อเนื่อง ก็คือผู้ใดขอ … ขออยู่เรื่อยๆ เขาก็ได้รับอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดเคาะ แล้วก็เคาะอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะได้รับ การเปิดให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ก็จะพบสิ่งที่เขาแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ถ้าตัดคำว่า “เรื่อยๆ” ออกไป แสวงหาครั้งเดียว ก็ได้รับครั้งเดียว อยากรู้เยอะ ก็ต้องแสวงหาบ่อยๆ ผู้ใดที่เปิดพระคัมภีร์อ่านทุกวัน อธิษฐานทุกวัน ขอพระเจ้าเมตตา เรื่องนี้ให้เราทราบ ก็จะถูกเปิดให้กับเขารู้เรื่องทุกวัน … ทุกวันๆ ผู้ใดที่เปิดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะเปิดให้เขา 1 ครั้ง พระองค์สัตย์ซื่อ ไม่บังคับเรา … เราเข้ามาครั้งเดียว ขอครั้งเดียว ก็ให้ครั้งเดียว แต่ถ้าเราขอทุกวัน ได้ทุกวัน ขอก็ได้ พระเจ้าให้เสมอ เอเมน
ต้องทำทุกวัน ครั้งแรกๆ มันจะไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ารู้เรื่องหมด ก็ไม่ใช่เรื่องพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์บอก เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องวิญญาณ พระองค์เป็นวิญญาณ เราต้องเข้ามาหาพระองค์ ด้วยความเชื่อนี้ ในวิญญาณ อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอ่านไปๆ แล้วก็อธิษฐานไป เดี๋ยวก็รู้เอง
เรื่องราวของหนังสือดาเนียล ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นวนิยายที่เขียนขึ้นมา พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นประวัติศาสตร์ สามารถคิด ค้นหาหลักฐาน และย้อนกลับไปได้จริงๆ เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศักราช พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งชาวยิวถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่เมืองบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วย แล้วดาเนียลกับเพื่อนก็ได้รับคัดเลือก ถูกส่งตัวไปฝึกฝนวิชาโหราศาสตร์ คาถาอาคมของบาบิโลน เพื่อเตรียมตัวจะรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ในวัง เข้าไปรวมอยู่กับนักปราชญ์ของชาวบาบิโลน
เราได้เรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในช่วงนี้ ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามาก หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนรู้เรื่องคาถาอาคม ต้องฝึกที่จะอยู่ในวิถีชีวิตของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมของบาบิโลนอีกด้วย ภายนอกเราดูเหมือนว่าเขาและเพื่อนๆ อ่อน ผ่อนตามชาวโลก ก็ไปเรียนสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งไม่ควรจะไปเรียน แต่ภายในดาเนียลและเพื่อนๆ ยืนหยัดในความเชื่อ ยังคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว อย่างนั้นจริงๆ ภายนอกกับภายในต่างกันเยอะเลย
และหลังจากที่เรียนรู้เรื่องตำราโหราศาสตร์ของชาวบาบิโลน มาได้สักพักหนึ่ง อยู่ๆ วันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เกิดความฝันประหลาด ไม่ใช่ประหลาดธรรมดา เขาเรียกว่าฝันร้าย ตื่นขึ้นมาตกใจ เหงื่อแตก กลัวมากเลย แล้วก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ และนักปราชญ์ในวังมาทำนายฝันให้ แต่แทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง ให้พวกโหรแปล ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟัง แต่บอกว่าให้พวกโหรเป็นคนทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทายได้ ก็ให้รางวัล ถ้าทายไม่ได้ก็จะฆ่าให้ตายทั้งหมดเลย บรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย ไม่มีใครทำได้เลย แล้วก็ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …
“สิ่งที่พระองค์ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น จะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์” ในดาเนียล 2:11 ที่บันทึกไว้
เทพเจ้า หมายถึงรูปเคารพต่างๆ ที่บรรดาชาวบาบิโลนเขานับถืออยู่
พวกโหราจารย์ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็เลยโกรธมาก เรียกให้นำตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต ซึ่งหมายถึง รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อนด้วย เพราะเข้าไปอยู่ในกลุ่มบรรดานักปราชญ์ไปเรียบร้อยแล้ว
พอดาเนียลรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาไปประหาร ดาเนียลก็เริ่มเจรจาต่อรองกับทหารที่มาคุมตัว
“เดี๋ยวๆ ขอเวลาสักนิดหนึ่ง เราจะขออาสา เป็นคนไปทำนายฝันให้กษัตริย์เอง”
ซึ่งตอนที่เจรจาอยู่นั้น ดาเนียลรู้ไหมว่ากษัตริย์ฝันว่าอะไร? ไม่รู้ แต่เอาไว้ก่อน
เพราะสิ่งที่กษัตริย์สั่งให้ทำนั้น ไม่ใช่เรื่องของสติปัญญา หรือวิชาการ ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้แบบมนุษย์ แต่เป็นความล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น สามารถทราบและสามารถเปิดเผยและทำสิ่งเหล่านี้ได้ ดาเนียลกับเพื่อนจึงอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้พระองค์ประทานสติปัญญาให้หยั่งรู้ในเรื่องล้ำลึกนี้ แล้วในที่สุด พระเจ้าได้ทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ คือเปิดเผยให้รู้เลยว่าคืออะไร? เพราะสติปัญญามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจได้ แม้สติปัญญานั้นจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่สิ่งนี้ต้องการการเปิดเผยจากพระเจ้า เผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?
เหมือนกับที่ผมบอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์ โดยใช้สติปัญญามนุษย์ ท่านอาจจะบอกเข้าใจได้ในเชิงประวัติศาสตร์บางอย่าง แต่เรื่องจริงๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร? ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หนาขนาดนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเลย มันเป็นไปได้อย่างไร? อ่านบางทีก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นคือท่านใช้สติปัญญาของตนเอง แต่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้งที่ท่านอ่าน ท่านจะรู้แล้วว่ามันลึกเข้าไปกว่านั้น เข้าไปกว่านั้น มองไม่เห็น มันคืออะไร? ท่านก็จะอ๋อ! ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็ประทานให้ดาเนียลได้รู้ว่านิมิตคืออะไร?
หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งนี้แล้ว ดาเนียลก็ขอบคุณพระเจ้าใหญ่ แล้วก็ให้ทหารรีบพาตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์
ท่านนึกภาพนะ เรารู้แล้วพระเจ้าอยู่กับเรา บอกเรา สิ่งเหล่านี้ ยืนยันว่ามันใช่เลย เพราะฉะนั้นดาเนียลจึงเดินเข้าไปหากษัตริย์ โดยไม่มีความกลัวเลย ไม่ใช่ไม่มีความเคารพ คนละเรื่อง ไม่มีความกลัวเลย ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลา และเขากำสิ่งนี้ไว้ ก็คือเขารู้ความจริงแล้วว่าคืออะไร? ถ้าเขาพูดไป กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยอมจำนนแน่ๆ เพราะมนุษย์ไม่มีใครทำได้ แต่พระเจ้าทำได้ และพระเจ้าได้สำแดงสิ่งนี้ให้เขารู้แล้ว ดาเนียลจึงทูลต่อกษัตริย์ว่า …
ดาเนียล 2:27 “ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”
นี่คือคำตอบแรกที่ดาเนียลตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นี่สำแดงถึงความมั่นคงในความเชื่อ และความไม่กลัวของดาเนียล ถ้าเป็นเรา … เรากล้าเหรอ! ถ้าดาเนียลไม่ได้มั่นคงอย่างนี้ ไม่ได้รับจากพระเจ้าอย่างนี้ว่าพระเจ้าสำแดงนิมิตอย่างนี้ คงไม่กล้าตอบคำถามอย่างนี้หรอก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สามารถสั่งฆ่าใครก็ได้ เดี๋ยวนั้นทันที ง่ายๆ ก็ทำมาตลอด ดาเนียล 2:27-30
ดาเนียล 2:27-30 “27 ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28 แต่มีพระเจ้า องค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น มีดังนี้ 29 “ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่ และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30 ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”
ในคำตอบตรงนี้ ดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่กษัตริย์ให้ทำ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้หรอก ดาเนียลต้องการประกาศให้เนบูคัดเนสซาร์รู้ว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ลี้ลับ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้ และดาเนียลก็สำแดงความถ่อมใจ บอกว่าที่พระเจ้าทรงบอกสิ่งล้ำลึก ความลับในโลกวิญญาณให้ ก็ไม่ใช่เพราะว่า …
“ตัวเองเก่ง ฉันเป็นคนที่มีอะไรดีมากกว่าคนอื่น”
ไม่ใช่ แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ที่ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทราบความหมายของความฝัน เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้ความหมายของความฝันแปลว่าอะไร? ตัวดาเนียลเอง เป็นแค่ตัวแสดงตัวหนึ่ง ที่พระเจ้าใช้มาแค่นั่นเอง อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตว่าเราควรจะจดจำสิ่งนี้ไว้ แล้วก็ทำตาม อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าใช้เราทำ ดูอัศจรรย์มากมาย คนอาจจะมากราบไหว้เรา ยกย่องเรา ระวังให้ดีนะ ไม่ใช่ตัวเราเลย พระเจ้าให้เราทั้งนั้น มองแล้วรีบๆ ผ่านไปเร็วๆ คือดาเนียลกำลังบอกกษัตริย์ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือพระเจ้า ทุกอย่างเป็นแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งความฝัน ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันด้วย
ก่อนจะเฉลยว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? ผมจะเสริมข้อมูลนิดหนึ่ง คือมีผู้ศึกษาพระคัมภีร์ ในเรื่องนี้ ให้คำอธิบายไว้อย่างนี้ว่าปกติแล้ว เวลากษัตริย์ฝันอะไร? ก็จะเรียกพวกนักปราชญ์และโหราจารย์มาเข้าเฝ้า ให้ช่วยแปลความฝันให้ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ กษัตริย์ก็จะเล่าความฝันของตัวเองว่าฝันว่าอะไร?
ให้ก่อน แล้วบรรดาโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ก็จะมารวมกันประชุมทำนายฝันนั้น เปิดตำราบ้าง? นับดวงดาวบ้าง? เดาบ้าง? แล้วสรุปเป็นผลมาว่าเป็นอย่างนี้ๆ ก็ถวายไป แต่มาครั้งนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันก่อน แต่ให้เหล่านักปราชญ์เป็นคนทำนายว่าฝันว่าอะไรก่อน? ก็เพราะในความฝันครั้งนี้ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุการณ์ร้ายล่วงหน้า ที่เป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและบัลลังก์ของเขา อาณาจักรของเขาในอนาคต เป็นเราก็ต้องตื่นเต้น ก็ต้องกลัวแล้วล่ะ บอกว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? และในรัชกาลเขา เพิ่งจะครอบครองมา 2 ปีเอง มาแล้วเหรอ จะไปไม่รอดแล้วเหรอ กลัว อย่างน้อยเขาก็อยากจะรู้ว่าใครจะมาทำลายอาณาจักรของเขา ศัตรูเขา คือใคร? เขาจะได้เตรียมป้องกัน ในอดีตเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้ารู้ก่อนได้ เขาจะได้ป้องกันได้ คนนี้มาจากทิศนี้ เราจะได้ป้องกัน อะไรประมาณนั้น
ท่านจะได้รู้ว่าทำไมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เหงื่อแตกกับเรื่องนี้ เพราะเป็นข่าวร้าย เป็นฝันร้ายสำหรับเขา แต่ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาอาจจะเตรียมตัวพร้อม แล้วป้องกันได้
เนบูคัดเนสซาร์เลยต้องการให้มีคนมาแปลความฝันเขา ให้มั่นใจว่าใช่แน่ ไม่ใช่ศัตรูมาทางทิศเหนือ ไปแปลความฝันว่ามาจากทิศใต้ ไปเตรียมทิศใต้ ก็ตายสิ เนบูคัดเนสซาร์ฉลาดมาก จึงบอกให้เอาอย่างนี้ดีกว่าทำนายฝันมาเลย ถ้าทำนายฝันถูกแสดงว่า …
“รู้ว่าฉันฝันอะไร? ฉันก็ยอมแล้ว สยบแล้ว รู้ว่ามาจากพระเจ้าแน่ เพราะฉะนั้น พอบอกว่าศัตรูมาจากทิศไหน? ฉันก็จะได้เชื่อ แน่นอนนี่ถูกต้อง”
นี่ขนาดคนไม่รู้จักพระเจ้ายังรู้ว่าทำอย่างไร? ถึงสามารถเชื่อ และมีเหตุมีผล และมั่นใจได้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? ดาเนียล 2:31-35 ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตเราด้วยนะ
ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”
บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องนี้ตื่นเต้น เพราะว่ามันเกี่ยวกับเราด้วย นี่เป็นคำเผยพระวจนะล่วงหน้า ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ หลายร้อยปีก่อน อาณาจักรต่างๆ พูดในนี้จะเกิดขึ้น และเป็น 2,000 กว่าปี มาถึงปัจจุบันที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของในนี้ ส่วนของเราอยู่ตรงข้อ 35
“แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”
“กลับกลาย” แปลว่าไม่ได้เป็นเดี๋ยวนั้นเลย แต่แปลว่าค่อยๆ เป็นภูเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่กระแทกปุ๊บ เป็นภูเขาใหญ่ แต่เริ่มเป็นภูเขาใหญ่ แล้วภูเขานี้ก็ใหญ่ไปเรื่อยๆ ปกคลุมอยู่เหนือทั่วโลก
ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือพระองค์ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา มีลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้นนั้น ฟังจากเมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน มีศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คำว่า “ดินเหนียว” ไม่ใช่ดินเหนียวธรรมดา เหล็กปนดินเหนียว ที่เอามาทำเซรามิก คือต้องการให้เห็นว่าตรงนี้มันแตกง่าย มันบอบบาง มันตรงกันข้ามกับเหล็กเลย แต่มันผสมกับเหล็ก
ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ในช่วงนี้ ต้องการเน้นให้เห็นว่าผู้กำกับใหญ่ ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ก็คือพระเจ้า … พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วสั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน โดยไม่บอกว่าฝันอะไร แล้วประทานนิมิตให้ดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน บอกว่าฝันนั้นแปลว่าอะไร? พูดง่ายๆ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมบอก พระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างฮีโร่หรือวีรบุรุษ สรุป ก็คือพระเจ้าสร้างวีรบุรุษ ใครก็ได้ ขึ้นมาแป๊บเดียว ก็เป็นวีรบุรุษแล้ว ฉะนั้น อย่านึกว่ามาจากตัวเอง เหมือนอย่างที่ดาเนียลตอบกษัตริย์ไปว่า …
“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่น เพื่อฝ่าพระบาทจะทราบความหมายและสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”
ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เรามาดูว่าความฝันตรงนี้ เกี่ยวพันอะไรกันกับเนบูคัดเนสซาร์ … เนบูคัดเนสซาร์ต้องเตรียมตัวอะไร? ดาเนียล 2:36-43 ตั้งใจอ่านให้ดี เกี่ยวกับพวกเราในนี้ด้วย
ดาเนียล 2:36-43 “36 นั่นคือความฝัน บัดนี้ ข้าพระบาทขอทูลความหมายให้ทรงทราบ 37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น 39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก” 40 ท้ายสุด คืออาณาจักรที่สี่ ซึ่งแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เหล็กฟาดฟันทุกสิ่งให้ย่อยยับ อาณาจักรนั้นจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวง ให้ยับเยิน เหมือนเหล็กที่ทำให้สิ่งอื่นๆแหลกลาญ 41 ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นว่าเท้าและนิ้วเท้า เป็นดินเหนียวปนเหล็ก แสดงว่าอาณาจักรนี้ แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ก็จะมีกำลังแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นเป็นเหล็กปนดินเหนียว 42 ดังที่นิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก อาณาจักรนี้ ก็จะมีส่วนที่แข็งแกร่ง และส่วนที่เปราะบาง 43 และตามที่ฝ่าพระบาททรงเห็นเหล็กปนกับดินเหนียว ประชาชนก็จะผสมผสาน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหล็กผสมดินเหนียว”
อีกอันหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกอย่าง เราเรียนรู้กันว่าเนบูคัดเนสซาร์ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แถมเป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ฆ่าใครง่ายๆ เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห แล้วก็เย่อหยิ่ง แต่ดูดาเนียลแปลความฝันนี้ว่าอย่างไร?
“ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี”
ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง
“พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกร และเกียรติแก่ฝ่าพระบาท”
“และพระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”
ทุกอย่างอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในขณะนั้น ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้ให้อำนาจทั้งหมด ท่านคิดดู เนบูคัดเนสซาร์ที่ย่ำยีหัวใจของชาวยิว ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของพระเจ้า ประชาชนของพระเจ้า ย่ำยีเยรูซาเล็ม แล้วก็ลากเอาผู้คนของพระองค์ที่ไม่ได้ฆ่าตาย ที่ยังเหลืออยู่ เอาคนดีๆ มาใช้งาน มาเป็นทาสที่บาบิโลน เผาเมืองเลย ทำเหี้ยมโหดต่อเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า
“พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”
พระเจ้าเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถสอนตัวเราเองได้ พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของผู้ใด เราควรจะตามพระเจ้าให้เกียรติผู้นั้น สิทธิอำนาจเป็นของใคร? พระเจ้าให้ เราต้องยอม ไม่ว่าทำตามมนุษย์ หรือด้วยเหตุผลอะไร? อาจจะหลายอย่าง เป็นคนไม่ดี ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย กษัตริย์อย่างนี้ มาตีเมืองเยรูซาเล็ม ทำร้ายประชากรของพระองค์ … พระองค์ทำนิดหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ไปแล้ว ทำไมปล่อยให้เขาย่ำยีอิสราเอลถึงขนาดนั้น ทำไมเขาครอบครองอิสราเอล พระเจ้าเสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ ประชากรของพระองค์ก็เสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ แล้วทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้ล่ะ ก็ต้องตอบว่า …
“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือพระเจ้าสัญญาว่ามันจะเป็นสิ่งดี สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่ถวายพระสิริแก่พระองค์”
เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ แผนการจะเป็นอย่างไร? หลายครั้งพระองค์ใช้แผนการเล็กๆ ให้ความเสียหาย หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย เป็นที่อิจฉาริษยาสำหรับคนที่เชื่อพระเจ้ามากเลย แต่พระเจ้าบอก …
“เล็กๆ ที่เขาสำเร็จนั้น เอามาสนับสนุนแผนการใหญ่ของฉัน ที่มีไว้สำหรับพวกเธอทั้งหลาย ลูกๆ ของฉันทั้งนั้น เทียบกันไม่ติดเลย แผนการที่เธอเห็นเขาสำเร็จ นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่ทำให้แผนการใหญ่ที่ฉันวางไว้ สำหรับพวกเธอ ลูกๆ ของฉันสำเร็จ”
พระเจ้าถามเราว่า …
“เข้าใจไหม?”
ยอมให้เป็นอย่างนี้ เพื่อสิ่งนี้จะมาสนับสนุนแผนการใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ให้สำเร็จ โอเคไหม? ยกตัวอย่างง่ายๆ ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ ให้กับเธอทั้งหลาย ที่ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไปจนนิรันดร์เลย อันไหนใหญ่กว่า อันนี้ ดูท่าทางแย่ แต่อีกอันหนึ่ง มันใหญ่กว่า ดีกว่า ใครได้เกียรติยศกว่า? พระเจ้าได้รับเกียรติ พระสิริเป็นของพระองค์ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ พูดง่ายๆ ที่สุดแล้ว ใครเชื่อพระองค์ ก็ชนะด้วย เพราะว่าที่สุดแล้ว พระองค์เป็นฝ่ายชนะ นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ได้เห็นตรงนี้
จากความฝันรูปปั้นมหึมา ที่แต่ละส่วน ทำด้วยส่วนผสมต่างๆ ดาเนียลก็ตีความให้กษัตริย์ได้เห็นว่าแปลว่าอะไร?
เริ่มต้นจากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คือยุคของอาณาจักรบาบิโลน เป็นยุคที่ 1 ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองคำ
ต่อมาหน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็เล็งถึงอาณาจักรที่จะครอบครองต่อจากบาบิโลน มาโค่นล้มบาบิโลนในอนาคต ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย หรือเมโดเปอร์เซีย หรือมีเดียเปอร์เซีย ซึ่งจะรุ่งเรืองน้อยกว่าอาณาจักรบาบิโลน
ส่วนที่สาม คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก
สุดท้าย คือขา ทำด้วยเหล็ก และเท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คือปนเซรามิก เล็งถึงอาณาจักรโรมัน จักรวรรดิโรมัน ซึ่งมาโค่นล้มอาณาจักรกรีกอีกทีหนึ่ง ที่ในนี้บอกว่าโรมันแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวงให้กระเจิง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่กรุงโรม หรือจักรวรรดิโรมรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจตอนนั้น เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งมาก ไปที่ไหนทำลายหมด
และที่เท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดินที่เอามาทำเซรามิก ก็ตีความได้ว่าอาณาจักรนี้ มีส่วนที่แข็งแกร่งและส่วนที่เปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน และไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงที่เท้า ก็คือต่อจากเหล็ก จะไม่มีอาณาจักรแล้ว จะมีเศษๆ อาณาจักรผสมกันอยู่ เป็นเหล็กผสมกับเซรามิก ซึ่งไม่แข็งแรงแล้ว ดูเหมือนแข็งแรง แต่ก็เปราะบาง ไม่เหมือนอาณาจักรก่อนๆ หน้านี้แล้ว ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของเหล็ก อิทธิพลของโรมัน ยังคงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ และเป็นบ่อเกิดของประเทศต่างๆ เหล่านี้ มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คืออิทธิพลตะวันตก … ตะวันตก คือยุโรป … ยุโรป คือจักรวรรดิโรมันในอดีตนั่นเอง
ถ้าท่านเรียนรู้ไป แล้วท่านได้รับการสำแดงจากพระเจ้าด้วย ท่านจะเข้าใจด้วย และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในชัยชนะได้ตลอด ดาเนียล 2:44-45
ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงินและทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาท ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”
ในข้อที่ 44 บอกว่า “ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น ไม่เหมือนเยรูซาเล็ม ไม่เหมือนประเทศอิสราเอล อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป”
ยุคของกษัตริย์เหล่านั้น ก็คือกษัตริย์ที่อยู่ในช่วงเหล็ก ก็คือในยุคของจักรพรรดิซีซาร์และผู้มีอำนาจสืบต่อไปเรื่อยๆ อาณาจักรเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งในช่วงนั้น ถามว่าเริ่มต้นช่วงไหน? หนังสือลูกาบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูบังเกิดมาเป็นมนุษย์ ในสมัยของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสนั่นแหละ และไปเรื่อยๆ ของกษัตริย์เหล่านั้นเยอะแยะ ผู้ครองเหล่านั้น เริ่มต้นตรงนั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คือช่วงเดียวกัน และในนี้บอกว่านี่คือความหมายของนิมิต เรื่องหิน
นิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ คำว่า “ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์” คุ้นๆ ไหม? ตอนที่พระคัมภีร์สอนเรื่องเกี่ยวกับพลับพลาของพระเจ้า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าวัดของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ที่พระเจ้าให้โมเสสสร้างขึ้น ที่เป็นเต็นท์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนชำระพวกเราให้พ้นจากบาปแล้ว บอกว่าเต็นท์นี้ ยกเลิกไปแล้ว พระเยซูนำเอาโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เข้าไปยังพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คำเดียวกันนั่นนะ คำว่าไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ ก็คือคำว่า “โดยพระเจ้า” นั่นเอง
เพราะฉะนั้น นิมิตเรื่องหิน ก็คือหินนี้ถูกสกัดจากภูเขา เป็นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องมนุษย์แล้ว พูดง่ายๆ เป็นพระเจ้าสกัดหินก้อนหนึ่งออกมา หิน ซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำกระจายไป
“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องจริง”
สิ่งเหล่านี้ ตอนนั้น เขาไม่รู้ แม้กระทั่งดาเนียลอาจจะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? แต่เรามาเรียนย้อนกลับไป เรารู้ พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นศิลา พระองค์บอกว่า …
“เราจะสร้างคริสตจักรของเราบนศิลา และศัตรูจะไม่มีชัยชนะ เหนือคริสตจักรของเราได้”
พระองค์เป็นศิลา … ศิลาก้อนหนึ่ง ถูกคนปฏิเสธ แต่พระเจ้าได้ทำให้ศิลาก้อนนี้ เป็นศิลามุมเอก หมายถึงชุดที่ก่อร่างสร้างอาคารขึ้นมาใหญ่โต เริ่มจากเสาเอก พูดง่ายๆ เพราะฉะนั้น หินนี้ ก็คือพระเยซู พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากคำทำนายนี้ ประมาณ 600 ปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยของเหล่ากษัตริย์ ก็คือของโรมันที่กำลังครอบครองอยู่เหนือทุกแห่งเลย รวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย พระเยซูเกิดในช่วงสมัยออกัสตัส ซีซาร์ แล้วพระองค์ก็ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อน 30 เป็นคนธรรมดา เป็นช่างไม้อะไรก็ว่าไป แต่อายุ 30 ปุ๊บ เริ่มต้นประกาศข่าวดี เริ่มต้นทำงานให้พระเจ้าแล้ว ประกาศคำแรกว่า …
“สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่แล้ว กำลังมาๆ เรากำลังพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้า”
ตลอดเวลา 3 ปี พูดแต่เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าตั้งอยู่ๆ พระองค์มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้ แต่เป็นอาณาจักรที่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ อาณาจักรที่ตามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และทุกวันนี้มันปกคลุมไปทั่วโลกเลย จากวันนั้น แค่หินก้อนเดียว คือพระเยซู และเดี๋ยวนี้เป็นเท่าไร? ในขณะที่ 4 ประเทศมหาอำนาจ ที่ตะกี้เราพูด ไม่เหลือซากแล้ว เป็นแกลบกระจุยกระจายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ตามคำทำนายหมด โรมยังไม่เหลือเลย โรมันเหลือแต่ซาก เหลือแต่กลิ่น เหลือแต่อิทธิพลที่ติดตามต่อไป ในประเทศที่ใช้ชื่ออื่นๆ แม้กระทั่งทั่วโลกทุกวันนี้ เราก็อยู่แบบหลายอย่าง มาจากโรมทั้งนั้น มาจากตะวันตก พูดง่ายๆ
ท่านพอเห็นภาพไหมว่าที่ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร? แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น ตูมออกมา ไม่ใช่อาณาจักรพระเจ้าเกิดขึ้นมาเลยนะ ตูมมาปุ๊บ เกิดหน่อเล็กๆ ขึ้นมาหน่อหนึ่ง แล้วค่อยๆ บานไปเรื่อยๆ เป็น The Kingdom of Jesus อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ครอบครอง พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่ มันหมายถึงอย่างนี้ แล้วมันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีน้อยลง มีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เข้าไปแทรกทุกซอก ทุกมุมของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ไม่ว่าจะเป็นคนพันธุ์ใด เผ่าใดที่ไกลจากความเจริญ เดี๋ยวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรของพระองค์ไปถึงหมดทุกแห่งเหล่านั้น
สมัยก่อนนี้อาณาจักรที่เราเห็น สุดท้ายที่เราดูในรูปปั้น ตั้งแต่บาบิโลน เมโดเปอร์เซีย กรีก และโรม ก็ใช้วิธีนี้ เวลาเขาครอบครอง เป็นมหาอำนาจ เขาต้องไปตี แผ่อำนาจไปให้ที่สุด เท่าที่ทำได้ ตามกำลังของมนุษย์ เหมือนอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีก ตีไป บุกไปถึงอินเดีย จนสุดได้แค่ไหน ก็จบ หมดแรง โรมก็เหมือนกัน พยายามคุมให้ทุกซอกทุกมุม เจอบาบาเลียนที่ไหน? เจอชนเผ่า กลุ่มที่เป็นคนป่าที่ไหนต่อต้าน ก็เข้าไปตี เข้าไปยึดครองให้หมด จะแผ่อำนาจไปให้หมด แต่ในที่สุด อาณาจักรเหล่านั้นก็เป็นศูนย์ ไม่มีเลย แต่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ทำอย่างนั้น แล้วเป็นอยู่จริงตามคำทำนายนี้ ตามนิมิตนี้เป๊ะ ทุกวันนี้เราแต่ละก้อน ก็รวมกันเป็นภูเขาของพระเจ้า เราทั้งหลายเป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เคยได้ยินใช่ไหม?
“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”
ที่ไหนๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนของโลกนี้ พอเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นประชากรคนหนึ่งในอาณาจักรของพระคริสต์ เป็นพี่น้องกับเรา เป็นเพื่อน เหมือนร่วมอาณาจักรเดียวกัน ก็คืออาณาจักรพระคริสต์
วันแรกที่อาณาจักรของพระเยซูปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ก็คือวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และวันที่ 3 ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงประกาศชัยชนะเหนือความตาย ประกาศการเริ่มต้นอาณาจักรใหม่ของพระองค์บนโลกใบนี้ ท่านไปอ่านดูในพระคัมภีร์หมดเลย โดยเฉพาะในหนังสือจดหมายฝาก ในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด จะประกาศถึงชัยชนะแห่งอาณาจักรนี้ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงครอบครอง พระเจ้าให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ บนบัลลังก์นี้ ในอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วพวกเราทั้งหลาย ก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเรา พระองค์เลือกเราทุกคนไว้แล้วว่าเป็นประชากรของพระองค์ นั่งอยู่กับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ที่ได้รับชัยชนะแล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า รับเราไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปี แต่ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีใครมาบอกเรา หรือบอกแล้วเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ พระองค์ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นอีกแล้วทุกวันนี้ พระองค์ทำอย่างเดียว คือเอาข่าวดีไปบอกเขาสิ เอาอันนี้ไปบอกเขา ช่วยกันบอกเขา บอกเขาว่า …
“คุณเป็นของพระเยซู คุณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คุณเป็นของอาณาจักรของพระเยซู … พระเยซูทำให้คุณแล้ว คุณไม่ต้องระเหเร่ร่อน เป็นเหมือนคนพเนจรอีกแล้ว ไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว เข้ามาเถอะ มารับสิทธิของคุณ”
แล้วพอรับสิทธิแล้ว พระองค์ก็ทรงครอบครอง พอครอบครองคนๆ นั้นปุ๊บ พอมาเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา แปลว่าบัลลังก์ของพระองค์อยู่ที่นั่น อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของคนนั้น แล้วในใจคนนั้น มากมาย ทั้งโลกร่วมกัน ทุกวันนี้ไปที่ไหน ก็มีบัลลังก์ของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย บัลลังก์อยู่ที่ใครก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาปเขาทันที มีพระเยซูอยู่กับเขา และบัลลังก์ของพระองค์อยู่ในใจเขา อยู่กับเขา และอาณาจักรของพระองค์ ที่เผยพระวจนะไว้เมื่อตะกี้นี้ คือมันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อ 30 ปีก่อน ผมมารู้จักพระเจ้าและวันนี้ยังอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ผมเห็นชัดๆ เลย มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการชะงักว่าหยุดแล้ว เยอะขึ้นทุกวันๆ แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ตามที่เผยพระวจนะเมื่อตะกี้ คือจะใหญ่ที่สุด จนครอบครองเหนือทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้ และในโลกวิญญาณด้วย
เพราะฉะนั้น จงดีใจและชื่นชมยินดีเถิด เราคือผู้ที่อยู่ในอาณาจักร อยู่ในชัยชนะนี้ เราเป็นประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นอาณาจักรแห่งชัยชนะ อาณาจักรที่ถาวรนิรันดร์แล้ว อาณาจักรที่เริ่มต้นสร้างตั้งแต่สมัยโน่น และบอกล่วงหน้ามาเป็นพันๆ ปี ว่าพระเยซูจะมาเกิด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดที่เยรูซาเล็ม ชัดเจนแม้กระทั่งเบธเลเฮ็ม ตำบลเล็กๆ ก็จะบอกด้วยซ้ำ เกิดเมื่อไร? บอกด้วยซ้ำ จะเกิด แล้วเป็นอย่างไร? บอกด้วยซ้ำ เกิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาณาจักรพระเจ้ามาตั้งอยู่จริงๆ เป็นไปตามนั้นทุกอย่างเลย ทั้งเล่มนี้ พูดถึงเรื่องนี้อย่างเดียวเลย รวมทั้งดาเนียลที่เราเรียนรู้นี้ด้วย แล้วบอกไปจนจบเลย ซึ่งตอนจบ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป ในหนังสือดาเนียลได้บอกเรื่องนี้หมด เราได้อะไรจากการเรียนรู้ในเรื่องนี้ เรามั่นคง แข็งแกร่งในความเชื่อ เรารู้แล้ว เราได้รับชัยชนะนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า เราไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แม้ความตาย เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าควบคุมและครอบครอง ดูแลอยู่ทุกอย่าง ถ้าพระเจ้าจะให้เกิด มันเกิดแน่ แต่มันดีสำหรับเราเสมอ พระเจ้าจะให้กำลังเราทนได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น และพระเจ้าใช้การเกิดนั้น ให้เป็นผลดีในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการใหญ่ของพระองค์ ซึ่งมันสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้กำลังรอให้ครบถ้วนบริบูรณ์
เราควรจะภูมิใจ แม้หลายครั้งเราจะต้องเจ็บปวด แม้หลายครั้งเราอาจจะต้องทุกข์ทรมาน แต่เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เทียบอะไรกับที่เราจะอยู่นิรันดร์ มันเทียบกันไม่ได้เลย ให้สิ่งนี้ หนุนใจเรา อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้เรามั่นใจในสิ่งนี้ พระเจ้าจะนำพาเราไป หลายครั้งเราอาจจะตอบไม่ได้ ทำไมพระเจ้าต้องอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น? แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างเดียว ก็คือ …
“พระเจ้าทำให้มันดีต่อฉัน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์แน่นอน เพราะฉันได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้มารอรับชัยชนะ ฉันได้ชัยชนะไปแล้ว ตอนนี้ อยู่ก็ทำงานให้พระเจ้า ฉันกำลังทำงาน หมดงาน พระเจ้าก็เอาฉันกลับไป”
พระคัมภีร์จึงบอก คนที่ไปก่อน ก็ได้รับกำไร ตาย ก็ได้กำไร ตายก่อน ก็ได้รับกำไร อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่อสานงาน ให้พระองค์ต่อไปว่าพระองค์จะใช้เราต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพื่อเขาจะได้รู้ข่าวประเสริฐ เพื่อเขาจะได้รับความรอด เหมือนเรา เขาจะได้เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเราทั้งหลาย เอเมน
นั่นคือความเชื่อและเป็นการประกาศว่าราชา จอมราชา เจ้านาย ผู้ครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด และโลกฝ่ายวิญญาณด้วย ของทุกผู้ทุกนาม ตลอดนิรันดรกาล คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราเสมอ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************