คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 6 “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็จะเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ชื่อตอนว่า “ความหมายของรูปปั้นในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 5 ใช้ชื่อว่า “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

การบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 5 จบลงตรงที่ว่าดาเนียลทายความฝันได้อย่างถูกต้อง รอดตาย และเริ่มต้นแปลความหมายของความฝันให้กับกษัตริย์  วันนี้เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติม ขยายความให้ละเอียดขึ้นของคำทำนายฝันของดาเนียล เกี่ยวข้องมาถึงพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ในขณะนี้ และต่อไปข้างหน้า อนาคต จนสิ้นยุคเลย จนหมดโลกใบนี้ จนพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่อีกครั้ง

เรามาทบทวนความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก่อน เปิดไปที่หนังสือดาเนียล 2:31-35

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

นี่คือความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่ฝันและให้ดาเนียลทายว่าฝันว่าอะไร?

นิมิตเป็นเหมือนเรื่องราว พูดง่ายๆ ปัจจุบันคือหนัง แต่เป็นหนังจริงๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   แล้วพระเจ้าให้มนุษย์ได้รู้ก่อน โดยใช้สื่อ คือเป็นหนังที่อยู่ในความฝันเขา อยู่ในนิมิต บางคนไม่ได้ฝัน แต่เห็นเป็นนิมิต ก็คือหลับตาเห็น ลืมตายังเห็นเลย เวลาติดตามในเรื่องของการฟังคำบรรยาย หรืออ่านพระคัมภีร์ เรื่องเกี่ยวกับนิมิต เกี่ยวกับความฝัน เกี่ยวกับรูปภาพต่างๆ เหล่านั้น ท่านจงนึกภาพว่าพระเจ้ากำลังฉายหนังให้เราเห็น อธิบายเป็นภาษาอะไรลำบาก ก็ฉายเป็นหนังให้เราดู แล้วเราจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

ทั้งหมดนั้น คือภาพยนตร์ นิมิต ความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ที่พระเจ้าได้ให้ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา ลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้น มีศีรษะทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ถ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันแค่นี้ ก็คงไม่ต้องกลัวแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เนบูคัดเนสซาร์ตกใจ และบอกว่าเป็นฝันร้าย ก็คือข้อความต่อไปนี้ ที่บอกว่า ..

“ขณะที่ฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั่น ก็มีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้นกระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจายไป”

สมมติว่าเรากำลังยืนมองรูปปั้น กำลังพิจารณาส่วนประกอบต่างๆ มีทอง มีเงิน มีดินเหนียว กำลังมองเพลินๆ แล้วกำลังจะตีความฝันด้วยตัวเอง

“ฉันคือรูปปั้นนี้  หมายถึงฉัน ยิ่งใหญ่เหลือเกิน เพราะฉันเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนั้น เป็นกษัตริย์สูงสุดแล้ว บาบิโลนเป็นของฉันแล้ว อาณาจักรบาบิโลนใหญ่ที่สุดในโลก”

ในขณะที่ดูเพลินๆ อยู่นั้น ทันทีทันใดนั้น ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งเล็กๆ ค่อยๆ พุ่งลงมา ใหญ่ขึ้นๆ มากระแทกถูกรูปปั้นนี้ กระจุยกระจาย ไม่เหลือซากเลย สะดุ้งเลย โครมเดียว ตกใจตื่น เหงื่อแตก ผมเดาว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน ต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ เพราะผมก็เคยฝันอย่างนี้ เหมือนกัน ท่านก็เคยฝันอย่างนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้นะ ฝันอื่นๆ ตอนตกใจ มันต้องมีอะไรบางอย่างทำให้เราตกใจในความฝัน เชื่อว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงใช้ชื่อว่าความฝันของเขา เป็นฝันร้ายตกใจกลัว เขาจึงให้โหรมาทำนาย ความฝันนี้สำคัญต่อชีวิตของเขามาก ถ้าทายได้ ให้รางวัลมหาศาลเลย ถ้าทายไม่ได้ ฆ่าให้ตายหมด เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าอะไร? ใหญ่ขนาดไหน? ฉันว่าฉันใหญ่แล้ว อะไรมาทำลายฉันถึงขนาดนี้ ฉันจะได้รู้ก่อนล่วงหน้า จะได้ป้องกันได้

มาดูคำทำนายของดาเนียล ที่ตีความหมายของความฝันว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือไม่? ตามที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันไว้ เราจะค่อยๆ ดูกันไปทีละส่วน เริ่มต้นเลย ดาเนียล 2:37-38

ดาเนียล 2:37-38 “37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

 

ดาเนียลทำนายฝันกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าแต่ละส่วนในรูปปั้น ที่ทำมาจากวัสดุต่างๆ นั้น เล็งถึงอาณาจักรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เริ่มต้นจาก …

ศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คืออาณาจักรบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ที่ทำไม? ที่ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็ม และกวาดต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พระเจ้าได้เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเกิดขึ้นจริง บันทึกไว้ในหนังสือเยเรมีย์ 27:5-6

เยเรมีย์ 27:5-6 “5 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า “เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้  แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ 6 บัดนี้ เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา”

 

พระเจ้าตรัสว่า “เรายกสิ่งเหล่านี้แก่ใครก็ตาม ที่เราพอใจ”

พระเจ้าพอใจ นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ก่อนเหตุการณ์จริงๆ ให้เห็นว่าที่ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย  ที่บาบิโลน  อย่างหฤโหดนั้น  เป็นเพราะพระเจ้าได้กำหนดไว้ เรียบร้อยแล้ว

คำเผยพระวจนะ ที่สะดุดหูที่สุด คำว่า “เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้า”

ก็คือแผ่นดินของชาวยิวทั้งหมด “ให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา”

เวลาพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “โมเสส คือผู้รับใช้ของเรา”

นี่พูดกับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ผู้ซึ่งเป็นผู้โหดร้าย  ทำลายประชากรของพระเจ้า แต่พระเจ้าเรียกเขาว่า “ผู้รับใช้ของเรา” พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ หลายครั้งพระเจ้าจะใช้แต่คนดีๆ นะ หรือคนต้องอย่างนี้ อย่างนั้น ตามที่เราคิด เขาอาจจะดีในแง่หนึ่ง พระเจ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พูดง่ายๆ พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ พระองค์จะใช้ใครก็ได้ ให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เราไม่รู้ เรามองด้วยตาเราเอง คนนี้โหดร้าย คนนี้ไม่ดี คนนี้ดี เราคิดของเราเองไป

แต่พระเจ้าบอก “เราจะใช้คนนี้ๆๆ       และคนเหล่านี้ ที่ใช้ไปทั้งหมด เพื่อแผนการใหญ่ของฉัน เพื่อประชากรของฉันทุกคนบนโลกใบนี้”

เพื่อทุกคน เพื่อสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย พระเจ้าอาจจะใช้บางอย่างที่ดูแล้ว เหมือนตอนนี้ไม่ดี แต่มันจะเป็นเหตุให้เกิดผลดี สำหรับส่วนรวมในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น เยรูซาเล็มล่มสลาย ด้วยน้ำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน เป็นต้น

นี่คือความเสียหาย ที่พระเจ้าเห็นแล้ว เกิดขึ้นกับประชากรของพระองค์ แต่เป็นเรื่องเล็ก เพราะสิ่งนี้จะทำให้เกิดสิ่งที่ใหญ่โตในอนาคต ซึ่งพระเจ้าจะทำให้กับประชากรของพระองค์ทั้งหมดในโลกใบนี้เลย

จากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ซึ่งหมายถึงอาณาจักรบาบิโลน ต่อมา ก็คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน และท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มาดูว่าหมายถึงอะไร?  ดาเนียล 2:39

ดาเนียล 2:39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก”

 

หน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็คืออาณาจักรที่จะรุ่งเรืองขึ้นมา หลังจากจบยุคสมัยของอาณาจักรบาบิโลนนั่นเอง  ตอนนั้น เขาไม่รู้หรอก แต่เรารู้แล้ว เราเรียนประวัติศาสตร์มา มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ในคำเผยพระวจนะ ว่าพระเจ้าจะให้อิสราเอลตกอยู่ภายใต้การครอบ- ครองของบาบิโลน เป็นเวลา 70 ปี ให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้อนชาวยิวมาเป็นเชลย พอครบ 70 ปีเป๊ะเลยนะ เป็นอิสระ สามารถกลับไปเยรูซาเล็มได้

หลังจาก 70 ปี อาณาจักรบาบิโลนของเนบูคัดเนสซาร์ก็ล่มสลาย ถูกอาณาจักรเปอร์เซียตีแตก  เข้ามาครอบครองแทน ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในเยเรมีย์ 25:12

เยเรมีย์ 25:12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาติของเขา ซึ่งก็คือแผ่นดินของชาวบาบิโลน เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขาถูกทิ้งร้างตลอดไป”

 

ตะกี้เราบอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ตอนนี้พระองค์เขียนว่าเราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลน  และชนชาติของเขา

“เราจะลงโทษเขา เพราะความผิดของพวกเขา เราจะทำให้ดินแดนของเขา ถูกทิ้งร้างตลอดไป”

หมดยุคไปเลย สิ้นชาติไปเลยบาบิโลน จากที่พระเจ้าเคยเรียกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ตอนนี้ เรียกกษัตริย์เปอร์เซีย มาครอบครองแทน อิสยาห์ 44:28

อิสยาห์ 44:28 “ทรงกล่าวถึงไซรัสว่า ‘เขาเป็นคนเลี้ยงแกะของเรา และจะทำทุกสิ่งให้สำเร็จตามที่เราพอใจ เขาจะกล่าวถึงเยรูซาเล็มว่า “ให้สร้างมันขึ้นใหม่” และกล่าวถึงพระวิหารว่า “ให้วางฐานรากของมัน”

 

นี่คือกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ที่เข้ามาครอบครองแทนบาบิโลน พระเจ้าให้เขาเป็น “คนเลี้ยงแกะของเรา” เลี้ยงแกะของพระเจ้า คือชนชาติยิวนั่นเอง พระเจ้าให้เปอร์เซียเข้ามาครอบครอง โดยให้กษัตริย์ไซรัสขึ้นมา เป็นคนชอบพอ โปรดปรานชาวยิวที่เป็นผู้อพยพ ถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่สมัยบาบิโลน … 70 ปีที่แล้ว ตอนนี้มีลูก มีหลานเยอะแยะแล้ว ก็โปรดปราน ให้ความดีความชอบ จนกระทั่งให้โอกาส ช่วยเหลือชาวยิว ไปตั้งรกราก กลับไปที่เยรูซาเล็มใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมาอยู่ที่นี่

เห็นไหม? พระเจ้าหยิบคนนั้น ใส่คนนี้ จับคนนั้น คนนี้ เรามองอยู่ข้างล่าง จะเอาเดี๋ยวนี้  จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ ถ้าเรามองดูพระเจ้าอย่างเดียว เราคงมีสันติสุข มีความสงบมากกว่านี้

จากนั้น ก็คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นอาณาจักรที่ 3 ซึ่งจะครอบครองทั่วโลก ตามนิมิตของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ดาเนียลได้ทำนายฝันไว้

ท้องและต้นขาที่เป็นทองสัมฤทธิ์เล็งถึง … เรารู้แล้ว เพราะเราเรียนประวัติศาสตร์มา ก็คืออาณาจักรกรีก ผู้นำมีชื่อว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช … อเล็กซานเดอร์รบชนะเปอร์เซีย ทำให้กรีกมีราชอาณาจักร ที่กว้างใหญ่ไพศาล ปกครองไปทั่วโลกจริงๆ ตรงตามที่ได้บอกล่วงหน้าไว้ ในพระคัมภีร์ ซึ่งอยู่ในช่วงปี 331 – 168  ก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

คำเผยพระวจนะนิมิตที่ดาเนียลพูดถึง ที่เป็นความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ 600 ปีก่อนพระเยซูมาเกิด พูดง่ายๆ เลยมาครึ่งหนึ่ง เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นจริง ที่อเล็กซานเดอร์มหาราชครอบครอง

คราวนี้มาถึงส่วนสุดท้ายของรูปปั้น ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันถึง ก็คือขา ซึ่งทำด้วยเหล็ก และเท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว เล็งถึงอาณาจักรที่ 4 คือจักรวรรดิโรม

ที่ในนี้บอกว่าแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงให้ยับเยิน เรารู้เพราะเราเรียนประวัติมาแล้ว อาณาจักรโรมันขึ้นมายิ่งใหญ่มาก แข็งแกร่งมาก เป็นเหล็กจริงๆ ไปที่ไหนยับเยินที่นั่น จริงตามที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้

หลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ อาณาจักรกรีกก็เริ่มอ่อนแอลง และแยก แตกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย แก่งแย่งชิงดีกัน จนกระทั่งราวปี 168 ก่อนคริสตกาล  168 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด อาณาจักรเหล็ก หรือโรมัน ก็จัดการกรีกย่อยๆ เหล่านั้น จนราบคาบเลย

ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช รบเก่งมาก และนำชนกรีก ไม่เยอะเลยนะ เมื่อเทียบกับเปอร์เซีย ซึ่งครองอำนาจ เป็นมหาอำนาจอยู่ตอนนั้น น้อยกว่าเขาเยอะหลายเท่า แต่ปรากฏว่าเขามีใจที่เด็ดเดียว แข็งแกร่ง เข้มแข็ง และรบเก่ง จึงสามารถที่จะถ่ายทอด อิทธิพลแห่งความมั่นใจ พลังแห่งความเชื่อ หมายถึงความมั่นใจให้กับลูกน้อง แม่ทัพทุกคน ตายเป็นตาย … ตายแล้วได้เกียรติ ดังนั้น ทุกคนจึงมีความมั่นคง มั่นอกมั่นใจ เด็ดเดี่ยวในการต่อสู้ … สู้รบมาก แม้จะมีคนน้อย ก็ทำงานได้เยอะ จึงสามารถถล่มจนเปอร์เซียแพ้ พินาศไป แล้วเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น

ทำไมเรียกเขาว่าอเล็กซานเดอร์มหาราช เพราะเขาเป็นผู้พิชิตทั้งโลก พูดง่ายๆ ใครใหญ่ขึ้นมา เขาจะไปพิชิตหมด ปรากฏว่าเขาเกิดมาเป็นผู้พิชิตจริงๆ  เขาไม่ทำอะไรเลย ไม่วางแผน ไม่เตรียมตัว เรียกว่ากรีกจะเป็นอย่างไรต่อไป บริหารอย่างไร? เขาไปพิชิตอย่างเดียว สู้รบอย่างเดียว สู้ไปเพื่ออะไร? ไม่รู้ เพราะเกิดมาเป็นผู้พิชิต ต้องพิชิต จนกระทั่งไม่มีให้พิชิต เขาเลยเสียใจ กลุ้มใจ เขาบอกว่าเมื่อเขาเป็นผู้พิชิต แล้วไม่มีอะไรให้พิชิต เขาเลยไม่ได้เป็นผู้พิชิต เลยเครียด นี่เรื่องจริง อยากจะไปรบ จนกระทั่งพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญซ้ายขวานักรบต่างๆ ที่อยู่กับเขา ให้ไปรบต่อ นักรบเหล่านี้ เหนื่อย รบตั้งนาน ไปรบเพื่ออะไร? หยุดได้แล้ว ลูกเมียไม่เห็นหน้ามาตั้งหลายปีแล้ว พอแล้ว จะรบต่อไป ไม่ยอมหยุด ในที่สุด ถูกปลงพระชนม์ แล้วทหารคนสนิทเหล่านั้น ก็กระจัดกระจายไปตั้งกลุ่มของตัวเอง ก็อ่อนกำลังลง ในที่สุด ก็เป็นอาณาจักรโรมเข้ามาครอบครองแทน

คิดดูนะ สิ่งที่ดาเนียลบอกความฝัน และทำนายความฝันให้กับกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตามนั้นเป๊ะเลย ถามว่าดาเนียลรู้เองหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เน้นให้กับเราว่าพระเจ้า คือผู้ทรงควบคุมและครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกๆ เหตุการณ์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ทรงเป็นผู้กำกับใหญ่ของโรงละครใหญ่  คือโลกใบนี้  ทั้งสิ้น เอเมน

ผ่านมาแล้ว 4 อาณาจักรตามนิมิต จนมาถึงเท้าที่ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดาเนียลก็ตีความของความฝันว่าอาณาจักรนี้  จะมีส่วนแข็งแกร่ง  และส่วนที่เปราะบาง  เหมือนดินเหนียว  ดินที่ปั้นเซเรมิก เหล็กผสมกับความเปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ดาเนียลบอกไว้อย่างนี้  มาดูว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงไหม?

เท้าที่เป็นเหล็กปนดินเหนียวนั้น เป็นยุคที่อาณาจักรโรมัน ซึ่งเป็นเหล็กเริ่มเสื่อมสลายลง มันไม่ใช่เหล็กแท้ๆ แล้ว มันเป็นเหล็กปนดินเหนียว ปนเซรามิกเข้าไป แล้วแตกแยกเป็นเผ่าๆ เล็กๆ น้อยๆ คืออาณาจักรโรมันเริ่มแตกออก เป็นหลายส่วน

มีการศึกษาค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ และตีความว่าสัญลักษณ์เท้าที่มี 10 นิ้ว ก็คือการแตกแยกของอาณาจักรโรมหรือโรมันเป็น 10 ชนชาติของยุโรปในยุคแรกเริ่ม ซึ่งก็คือ … อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อิตาลี, ออสโทรโกทส์ ซึ่งต่อมาถูกทำลายไปแล้ว สิ้นประเทศไปแล้ว, สเปน, สวิสเซอร์แลนด์, แวนดัลล์ แอฟาริกาเหนือ ซึ่งต่อมา ก็ถูกทำลายสิ้นชาติไปแล้ว, โปรตุเกส และฮีรูลี หลังจากประมาณสัก 200 ปีหลังจากพระเยซูเกิด ก็สูญหายไปเหมือนกัน นี่คือนักประวัติศาสตร์เป็นคนค้นคว้านะว่าหมายถึงอย่างนั้น อันนี้เราไม่ต้องชัดเจนนัก ไม่ต้องไปเรียนรู้ลึกถึงขนาดนั้น  เอาแค่เห็นชัดๆ ง่ายๆ

นี่คือคำอธิบายเรื่องความหมายของรูปปั้นนั้น ในความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงเท้า และหลังจากนั้น ที่ดาเนียลทำนายนิมิตในความฝัน มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ หลังจากบาบิโลนหมดไปแล้ว เปอร์เซียหมดไปแล้ว สิ้นสุดกรีกแล้ว สิ้นสุดโรมแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีอาณาจักรใดรุ่งเรืองและมีอำนาจไปทั่วโลกอีกแล้ว

เพราะในความฝัน บอกว่ามีหินก้อนหนึ่งถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้ารูปปั้นนั้น และแตกกระจายไป แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ไม่เหลืออะไรเลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมา ปกคลุมทั่วโลก

ความหมายของหิน ที่มาทำให้รูปปั้นแตกกระจายไป ไม่ได้เป็นหินที่เกิดจากมือมนุษย์ ก็คือเป็นหินที่มาจากพระเจ้า … พระเจ้าส่งหินนี้มาเอง พูดง่ายๆ แล้วหินนี้มาโค่นล้มรูปปั้น จนไม่เหลือร่องรอย อดีตเขาเรียกว่าเป็นแกลบปลิวไปในลม ถ้าเป็นยุคปัจจุบัน ก็คือไม่เหลือซากเลย  … แล้วหินนั้น ก็กลับกลายเป็นภูเขาปกคลุมไปทั่วโลก ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้ เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้ทั้งหมดทั้งปวง อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป  พูดง่ายๆ ว่าในยุคของอาณาจักรโรมัน เขาใช้ชื่อเรียกกษัตริย์ของเขาว่าซีซาร์ หรือจักรพรรดิ์

ในยุคของจักรพรรดิ หลายองค์ของจักรวรรดิโรมัน พระเจ้าจะส่งหินนี้มาในยุคนั้นแหละ ยกตัวอย่าง จักรพรรดิ หรือซีซาร์ หรือกษัตริย์ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน มีชื่อว่าออกัสตัส ที่ออกพระราชกฤษฎีกาให้ผู้คนไปลงทะเบียน ประกาศถึงผู้ที่ครอบครองจักรวรรดิโรมันทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย  พระเยซูมาเกิดช่วงนั้นแหละ

สรุปว่าหินที่เป็นลักษณะของอาณาจักรสุดท้าย

ถ้าเอาความหมายตรงนี้ ไปใส่ตรงคำเผยพระวจนะของดาเนียล  ผมจะอ่านให้ท่านฟัง …

“ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้ จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ คืออาณาจักรของพระเยซู จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล เอเมน”

ตอนเริ่มต้นของจักรพรรดิ องค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นเหล็ก มีชื่อว่าออกัสตัสนั้น พระเจ้าจะเริ่มตั้งอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมา เป็นอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครทำลายล้างได้

หลังจากที่ดาเนียลทำนายฝันทั้งหมด จนถูกเป๊ะเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย ดูในดาเนียล 2:46-49

ดาเนียล 2:46-49 “46 แล้วกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็ทรงทรุดองค์ลงกราบดาเนียล และรับสั่งให้นำเครื่องบูชากับเครื่องหอมมาถวายดาเนียล 47 กษัตริย์ตรัสกับดาเนียลว่า “พระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระทั้งหลายแน่นอน ทรงเป็นจอมราชัน และทรงเป็นผู้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งมวล เพราะท่านสามารถเปิดเผยความล้ำลึกนี้ได้” 48 แล้วกษัตริย์ทรงแต่งตั้งดาเนียล ให้ดำรงตำแหน่งสูง และประทานบำเหน็จรางวัลมากมาย ทรงตั้งให้ปกครองบาบิโลนทั้งมณฑล และให้ดูแลปราชญ์ทั้งปวงของบาบิโลน 49 ยิ่งกว่านั้น กษัตริย์ทรงแต่งตั้งชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก ให้เป็นผู้บริหารมณฑลบาบิโลน  ตามที่ดาเนียลทูลขอ ส่วนดาเนียลเอง อยู่ที่ราชสำนัก”

 

หลังจากที่ทำนายฝันเสร็จปุ๊บ  เรารู้ทันทีว่าถูกต้องแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เข่าอ่อนเลย เพราะตกใจมาก ทำไม ยอดเยี่ยมขนาดนี้  เขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาจึงนึกว่าดาเนียล คือพระเจ้ายกย่องดาเนียลมาก

สิ่งที่ทายมาทั้งหมด มันตรงเป๊ะ ตามที่เขาฝันเลย เนบูคัดเนสซาร์เชื่อทันทีว่าสิ่งล้ำลึกเหล่านี้ คำเผยพระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าแน่ๆ เขานึกว่าดาเนียล คือพระเจ้าเดินบนโลกใบนี้แหละ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ กราบดาเนียล ไม่ใช่กราบพระเจ้า และให้รางวัลดาเนียลอย่างมากมาย เป็นผู้ทรงอำนาจอิทธิพลสูงสุด รองจากกษัตริย์อีกทีหนึ่ง คือเบอร์ 2 พอได้ปุ๊บ ดาเนียลหันไปหาข้างๆ ชัดรัด, เมชาค และอาเบคเนโก เป็นรองผู้บังคับการใหญ่ของมหาอำนาจบาบิโลนที่ใหญ่สูงสุด สรุปแล้วยิวมีอิทธิพลในบาบิโลนนี้  อยู่ไปอีก 70 ปี ยังพออยู่ได้ ท่านพอมองเห็นไหมว่าพระเจ้าทำอะไร? บอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ … วีรบุรุษอย่าเย่อหยิ่ง อยู่เฉยๆ เพราะไม่ใช่เธอทำหรอก พระเจ้าเป็นผู้ทำ ถ้าวีรบุรุษเย่อหยิ่ง เดี๋ยวโดน  พระคัมภีร์จึงบอกว่าความเย่อหยิ่งนำหน้า ความพินาศ

เราย้อนกลับมาดูคำทำนายของดาเนียล สิ่งสำคัญตรงนั้น ก็คือก้อนหิน อาณาจักรสุดท้ายในรูปปั้น ปฏิมากรนั้น เรื่องก้อนหินที่บอกว่าเล็งถึงพระเยซู ซึ่งทั้งพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ มีเยอะแยะมากมาย ที่สอดคล้องกับคำทำนายนี้ว่าพระเยซู คือ “ศิลา” ก็คือหินนั้น

ภาษาฮีบรู ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อมีการกล่าวถึงพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์สัญญาว่าจะส่งมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป พระคัมภีร์หลายแห่งใช้คำว่าหิน ศิลา เพื่อเล็งถึงพระมาซีฮาห์ หรือพระเมซียาห์ ที่บันทึกไว้ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ส่วนใหญ่จะใช้คำนี้แทนทั้งหมด เล็งถึงผู้ที่กำลังจะเสด็จมาช่วยมนุษย์  คือพระมาซีฮาห์นั้น  ใช้คำว่า “หิน” แทน ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสืออิสยาห์ 26:16 ได้บันทึกไว้

อิสยาห์ 26:16 “ฉะนั้น พระยาห์เวห์ องค์เจ้าชีวิต ตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่ง  ไว้ในศิโยน เป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เหมาะเป็นรากฐานอันมั่นคง ผู้ที่วางใจจะไม่มีวันท้อแท้”

 

ศิลา คือพระเยซู ศิลามุมเอก หมายถึงเสาที่สำคัญ หินก้อนที่สำคัญที่สุดของอาคารหลังนั้น เราเรียกว่าศิลามุมเอก ในหนังสือสดุดี ก็มี ยกตัวอย่างให้เห็น สดุดี 118:19-23

สดุดี 118:19-23 “19 จงเปิดประตูแห่งความชอบธรรมให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเข้าไป และถวายคำขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 นี่คือประตูขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ชอบธรรมจะเข้าไปทางประตูนี้ 21 ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ พระองค์ทรงมาเป็นความรอดของข้าพระองค์ 22 ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลับกลายเป็นศิลามุมเอก 23 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา”

 

“ความชอบธรรม” คือการพ้นจากบาป … บาป คือผู้ไม่ชอบธรรม ได้ถูกชำระให้เป็นผู้ชอบธรรม โดยศิลานี้ ก็คือโดยพระเยซู เป็นศิลามุมเอกนั่นเอง พระเจ้าได้ทรงกระทำการนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา เอเมน จากคนบาป ผ่านพระเยซูได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม มหัศจรรย์ ยิ่งใหญ่มาก และพระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระเยซูมาเกิดแล้ว หลังจากที่ดาเนียลได้ทำนายความฝันให้กับเนบูคัดเนสซาร์ ในนิมิตนี้ และแปลความฝันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นมาประมาณ 600 ปี พระเยซู คือหินก้อนนั้น มาเกิดในยุคของเหล็ก คือโรมัน

แล้วพระเยซูก็พูดถึงตนเองว่าเป็นหินก้อนนั้นแหละ พระองค์ได้พูดถึงคำเผยพระวจนะนั้น ที่พูดถึงพระมาซีฮาห์ ก็คือศิลานี้ ศิลามุมเอกที่คนขว้างทิ้ง ที่คนไม่ต้อนรับ คนปฏิเสธ คนต่อต้าน เป็นศัตรูกับพระเยซู ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้  ผมจะพาท่านไปดู แล้วท่านจะเห็นความอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ในนิมิตนี้ ที่ดาเนียลได้ผ่านทางพระเจ้าบอกเขา ให้มาบอกเราทุกคน บอกใครก็ตามที่พระเจ้าเรียกมาให้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงสมัยนี้ ให้มีความเชื่อวางใจในพระองค์เถิดว่าจบแล้ว พระองค์ชนะอย่างไร? แล้วเราอยู่ฝ่ายชนะอย่างไรบ้าง? ฟังพระเยซูพูด ในมัทธิว 21:33-43 พระเยซูกำลังพูดถึงอุปมาในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พูดง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรมที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ สวรรค์ ก็คือผู้ชอบธรรม ผู้ที่พ้นจากบาป จึงจะเข้าไปอยู่ได้นั่นเอง พระเยซูยกเป็นอุปมาให้ฟาริสีฟัง ผู้นำทางศาสนา ผู้ที่สะดุดก้อนหินนี้ ไม่รับก้อนหินนี้ ไม่เชื่อในก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับก้อนหินนี้ เป็นศัตรูกับพระเยซู ดูสิว่าพระเยซูสอนเขาอย่างไรบ้าง? มัทธิว 21:33-43 บอกอย่างนี้ …

มัทธิว 21:33-43 “33 จงฟังคำอุปมาอีกเรื่อง คือเจ้าของสวนแห่งหนึ่งทำสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน 34 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาผู้เช่า เพื่อรับผลผลิตของเขา  35 “พวกผู้เช่าก็จับเหล่าคนรับใช้ของเขามาทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง และเอาหินขว้างคนที่สามจนตาย 36 เจ้าของสวนจึงส่งคนไปอีก มากยิ่งกว่าครั้งแรก แต่ก็ถูกผู้เช่าเล่นงานเหมือนครั้งก่อน 37 สุดท้ายเจ้าของสวนส่งลูกชายไปหาพวกเขากล่าวว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ 38 “แต่เมื่อผู้เช่าเห็นลูกชายเจ้าของสวนก็พูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขา แล้วยึดเอามรดกของเขา’ 39 พวกนั้นจึงจับลูกชายเจ้าของสวนองุ่น โยนออกมานอกสวน แล้วฆ่าเสีย  40 “เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา  เขาจะทำอย่างไรกับผู้เช่าเหล่านั้นดี?” 41 พวกเขาทูลตอบว่า “เจ้าของสวนย่อมจะจัดการกับคนเลวๆ เช่นนั้นอย่างสาสม และให้ผู้เช่ารายอื่นที่ยอมส่งส่วนแบ่งของผลผลิตให้เขา เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวมาเช่าสวนองุ่นนี้” 42 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า  “พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า  “‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้  เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา 43 “ฉะนั้น เราบอกท่านว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะถูกริบไปจากท่าน และยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน”

 

ท่านคิดดู ผู้นำทางศาสนา ฟาริสีต่างๆ เหล่านั้น เขาทำอะไร? ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ส่งมา ไม่ว่าเป็นโมเสส อาโรน ผู้เผยพระวจนะอีกเยอะแยะ ผู้นำศาสนา ที่คิดว่าตัวเองเคร่งศาสนาเหล่านี้ จริงๆ แล้วแอบแฝงไปด้วยความอยากจะเป็นใหญ่ ต่อต้านผู้รับใช้พระเจ้าทั้งนั้น กลั่นแกล้งบ้าง ฆ่าบ้าง ในอุปมานี้ พระเยซูบอกว่า …

“พระเจ้าเลยบอก โอเค ส่งลูกชายไป  เขาอาจจะเห็นเป็นลูก เขาจะได้เกรงใจบ้าง?”

ปรากฏว่าส่งพระเยซูลงมา พระเยซู เป็นพระบุตร เป็นลูกชายจริงๆ  ก่อนหน้านี้ โมเสส อาโรน ก็เป็นผู้รับใช้เฉยๆ เป็นคนธรรมดา นี่ส่งพระเยซูลงมานะ แทนที่จะ … ลูกเจ้าของสวน ลูกของโลกใบนี้ ลูกของพระเจ้า มายิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สรรพสิ่งและผู้คนทั้งหลาย ก็เป็นของพระองค์ นี่เจ้าของมาเองนะ แทนที่จะให้เกียรติ กลับฆ่าตายเลย ไม่ใช่เป็นศัตรูอย่างเดียว แอบฆ่า แล้วนึกในใจว่า …

“ฆ่าเสีย จะได้ยึดให้หมดเลย”

เมื่อเป็นอย่างนี้ เจ้าของสวนก็จัดการไล่พวกนี้ออกไปซะ แล้วก็ริบสิ่งของทั้งหมด ไม่ให้ดูแล้ว ดูเอง อาณาจักรทั้งหมดนี้  คือโลกใบนี้ เอามาดูเองหมดเลย แล้วยกให้ใคร? อาณาจักรสวรรค์ ยกให้ใคร?

ในนี้ใช้คำว่า “ยกให้แก่ชนชาติที่จะผลิตผลของมัน” พูดง่ายๆ แทนที่จะเป็นของคนยิวอย่างเดียว เป็นของพวกเราด้วย เพราะชาวยิวเป็นอย่างนี้  พระเยซูตรัสว่า …

“ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว บัดนี้ กลายเป็นศิลามุมเอก องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ในสายตาของเรา”

จากสดุดีเมื่อตะกี้ พระเยซูได้อ้างตรงนี้ขึ้นมาว่า …

“ศิลานี้ ท่านไม่เอาใช่ไหม? ไม่เป็นไร เราจะไปให้คนอื่น”

ก็คือพวกเราทั้งหลายที่จะเกิดผลจากสวรรค์ จากศิลานี้ คือคนที่มาเชื่อ ในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นลำต้น และเราเป็นกิ่ง  ไม่มีทางที่กิ่งจะออกผลด้วยตัวของมันเอง มันจะต้องมาต่อกับลำต้น ก็คือพระเยซูนั่นเอง  พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ที่เรียกว่าบัพติศมา หรือการฝังรากลึกเข้าในตัวพระองค์ เมื่อเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อไร? เราก็เกิดเป็นผลขึ้นมาทันที ผลนั่นแหละ ได้รับสวรรค์ ได้รับความชอบธรรมนี้ไป เพราะฉะนั้น สวรรค์เป็นของเรา

สรุป นิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ สมัยที่พูดนี้ คือ 600 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด และมันก็เกิดขึ้นตามนั้นหมดแล้ว ในที่สุดอาณาจักรสวรรค์นี้ก็จะถูกมอบให้กับพวกเรา ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกวัน ไปจนถึงวันสุดท้าย จากนิมิตที่บอกว่าจากหินก้อนหนึ่ง ที่กระแทกถูกรูปปั้น จนแหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือร่องรอย ได้กลายเป็นภูเขา ค่อยๆ โตขึ้น ก็หมายถึงพวกเราที่ได้ก่อตั้งบนศิลานี้ บนพระเยซูนี้ ผู้เชื่อทุกคนที่ถูกก่อตั้งบนศิลานี้ เราต่างคน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขานี้ ภูเขาที่เรียกว่าศิโยนของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก เป็นฐาน ก็หมายถึงคริสตจักร

พระเยซูบอก “เราจะสร้างคริสตจักร และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรนี้ได้เลย”

เราทุกคนต่างก็เป็นหินก้อนเล็ก ก้อนน้อยจากที่ต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลาเราไปไหน เราก็มีอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเราเดินไปด้วย อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในใจของท่าน พระเยซูบอก พอเราเชื่อปุ๊บ อาณาจักรของพระเจ้าก็มาอยู่ในตัวเรา  ทุกวันนี้ อาณาจักรของพระเจ้าขยายไป ทั่วโลก ดั่งที่พระคัมภีร์ ที่เราได้เรียนรู้กันในคำทำนายนี้ ที่ดาเนียลได้บอกไว้ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ บอกว่ามันเป๊ะเลย

เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว อย่ากลัว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แม้ว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ อยู่ที่ตรงไหนก็ตาม รู้สึกน่ากลัว ไม่ต้องกลัว อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ หรือในชีวิตเรา อาจจะดูเหมือนเลวร้าย ท่านเห็นตัวอย่างที่เราเรียนรู้มา ไม่ต้องกังวล พระเจ้าทรงควบคุมดูแลอยู่ พระเจ้าองค์นี้ ยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง และดูแลทุกอย่างได้ ถ้าเราเรียนมาทั้งหมดนี้ ตามนิมิตนี้มันตรงหมด  เพราะฉะนั้น ที่เหลือมันก็ตรงด้วย ก็คือพระเจ้าได้รับชัยชนะ และเราอยู่ในพระเจ้า เราก็ได้รับชัยชนะไปด้วย พระเยซูได้รับชัยชนะนิรันดร์กาล เราก็อยู่ในพระเยซู เราก็ได้รับชัยชนะนี้ นิรันดร์กาล เราจะได้ครอบครองกับพระองค์นิรันดร์กาล เราได้รับความรอด เพราะเราอยู่ในศิลานี้ ศิลานี้คือพระเยซูคริสต์        ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2016

เรื่อง  “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 5 “ดาเนียลทำนายฝันให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราจะกลับมาสู่การบรรยายในซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนนี้ตอนที่ 5 ห่างไปนาน จนบางท่าน ไม่รู้ว่าเราบรรยายกันเรื่องอะไร?

ที่ผ่านมา 4 ตอน  เราได้เรียนรู้จักเรื่องของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสถานการณ์ ซึ่งผมได้เปรียบเทียบไว้ว่าโลกนี้เปรียบเหมือน โรงละคร ที่มนุษย์ทุกคนเป็นตัวแสดง บางคนก็เป็นพระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย นางร้าย บางคนก็เป็นนางรอง บางคนก็เป็นตัวอิจฉา ผสมผสานกัน แต่ไม่ว่าใครจะแสดงเป็นตัวอะไรก็ตาม ก็จะมีผู้กำกับละคร ที่คอยควบคุมกำกับการแสดงของทุกคน และผู้กำกับผู้นี้ เรารู้จักกันดี ก็คือพระเจ้า

เรื่องราวที่เราเรียนรู้จากหนังสือดาเนียลนี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี ที่เชื่อฟัง และยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง

มาทบทวนกันสักนิดว่าเราทิ้งท้ายกันไว้ตรงไหน? พระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ถ้าท่านเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วพระเจ้าเปิดเผยให้ท่านรู้ความจริงไปเรื่อยๆ มันไม่สามารถที่จะมาเปิดอ่าน แล้วก็เรียนรู้เฉยๆ ได้ พระคัมภีร์นี้จะต้องเรียนรู้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น หมายถึงอ่านด้วย และอธิษฐานไปด้วย วันแล้ววันเล่า พระเจ้าจะสำแดงให้กับท่าน เขาเรียกว่านิมิต จะเปิดเผยความจริงให้กับท่านมากขึ้นทุกวันๆ ผู้ใดแสวงหา ผู้นั้นก็พบ  ผู้ใดเคาะ ผู้นั้น ก็ถูกเปิดออกให้กับเขา ผู้ใดขอ ผู้นั้นก็จะได้รับ ทั้งหมดนี้ เป็นต่อเนื่อง ก็คือผู้ใดขอ … ขออยู่เรื่อยๆ เขาก็ได้รับอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดเคาะ แล้วก็เคาะอยู่เรื่อยๆ เขาก็จะได้รับ การเปิดให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้ใดแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ก็จะพบสิ่งที่เขาแสวงหาอยู่เรื่อยๆ ถ้าตัดคำว่า “เรื่อยๆ” ออกไป แสวงหาครั้งเดียว ก็ได้รับครั้งเดียว อยากรู้เยอะ ก็ต้องแสวงหาบ่อยๆ ผู้ใดที่เปิดพระคัมภีร์อ่านทุกวัน อธิษฐานทุกวัน ขอพระเจ้าเมตตา เรื่องนี้ให้เราทราบ ก็จะถูกเปิดให้กับเขารู้เรื่องทุกวัน … ทุกวันๆ ผู้ใดที่เปิดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะเปิดให้เขา 1 ครั้ง พระองค์สัตย์ซื่อ ไม่บังคับเรา  … เราเข้ามาครั้งเดียว ขอครั้งเดียว ก็ให้ครั้งเดียว แต่ถ้าเราขอทุกวัน ได้ทุกวัน  ขอก็ได้ พระเจ้าให้เสมอ เอเมน

ต้องทำทุกวัน  ครั้งแรกๆ มันจะไม่รู้เรื่องหรอก ถ้ารู้เรื่องหมด ก็ไม่ใช่เรื่องพระเจ้า เพราะพระคัมภีร์บอก เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องวิญญาณ พระองค์เป็นวิญญาณ เราต้องเข้ามาหาพระองค์ ด้วยความเชื่อนี้ ในวิญญาณ อธิษฐานกับพระองค์ แล้วอ่านไปๆ แล้วก็อธิษฐานไป  เดี๋ยวก็รู้เอง

เรื่องราวของหนังสือดาเนียล ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นวนิยายที่เขียนขึ้นมา พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นประวัติศาสตร์ สามารถคิด ค้นหาหลักฐาน และย้อนกลับไปได้จริงๆ เป็นประวัติศาสตร์ในช่วงประมาณ 600 ปีก่อนคริสตศักราช พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งชาวยิวถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลย ที่เมืองบาบิโลน ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วย แล้วดาเนียลกับเพื่อนก็ได้รับคัดเลือก ถูกส่งตัวไปฝึกฝนวิชาโหราศาสตร์ คาถาอาคมของบาบิโลน เพื่อเตรียมตัวจะรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ในวัง เข้าไปรวมอยู่กับนักปราชญ์ของชาวบาบิโลน

เราได้เรียนรู้จักชีวิตของดาเนียลในช่วงนี้ ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามาก หลายครั้งที่ต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนรู้เรื่องคาถาอาคม ต้องฝึกที่จะอยู่ในวิถีชีวิตของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วต้องเรียนรู้ขนบธรรมเนียมของบาบิโลนอีกด้วย ภายนอกเราดูเหมือนว่าเขาและเพื่อนๆ อ่อน ผ่อนตามชาวโลก ก็ไปเรียนสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งไม่ควรจะไปเรียน  แต่ภายในดาเนียลและเพื่อนๆ ยืนหยัดในความเชื่อ ยังคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว อย่างนั้นจริงๆ ภายนอกกับภายในต่างกันเยอะเลย

และหลังจากที่เรียนรู้เรื่องตำราโหราศาสตร์ของชาวบาบิโลน มาได้สักพักหนึ่ง อยู่ๆ วันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เกิดความฝันประหลาด ไม่ใช่ประหลาดธรรมดา เขาเรียกว่าฝันร้าย ตื่นขึ้นมาตกใจ เหงื่อแตก กลัวมากเลย แล้วก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ และนักปราชญ์ในวังมาทำนายฝันให้ แต่แทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง ให้พวกโหรแปล ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟัง แต่บอกว่าให้พวกโหรเป็นคนทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทายได้ ก็ให้รางวัล ถ้าทายไม่ได้ก็จะฆ่าให้ตายทั้งหมดเลย บรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย ไม่มีใครทำได้เลย  แล้วก็ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่พระองค์ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น จะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์”  ในดาเนียล 2:11 ที่บันทึกไว้

เทพเจ้า หมายถึงรูปเคารพต่างๆ ที่บรรดาชาวบาบิโลนเขานับถืออยู่

พวกโหราจารย์ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็เลยโกรธมาก เรียกให้นำตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต ซึ่งหมายถึง รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อนด้วย เพราะเข้าไปอยู่ในกลุ่มบรรดานักปราชญ์ไปเรียบร้อยแล้ว

พอดาเนียลรู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาไปประหาร ดาเนียลก็เริ่มเจรจาต่อรองกับทหารที่มาคุมตัว

“เดี๋ยวๆ ขอเวลาสักนิดหนึ่ง เราจะขออาสา เป็นคนไปทำนายฝันให้กษัตริย์เอง”

ซึ่งตอนที่เจรจาอยู่นั้น ดาเนียลรู้ไหมว่ากษัตริย์ฝันว่าอะไร? ไม่รู้ แต่เอาไว้ก่อน

เพราะสิ่งที่กษัตริย์สั่งให้ทำนั้น  ไม่ใช่เรื่องของสติปัญญา หรือวิชาการ ที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้แบบมนุษย์ แต่เป็นความล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น สามารถทราบและสามารถเปิดเผยและทำสิ่งเหล่านี้ได้ ดาเนียลกับเพื่อนจึงอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า ให้พระองค์ประทานสติปัญญาให้หยั่งรู้ในเรื่องล้ำลึกนี้  แล้วในที่สุด พระเจ้าได้ทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ คือเปิดเผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?  เพราะสติปัญญามนุษย์ไม่มีทางเข้าใจได้ แม้สติปัญญานั้นจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่สิ่งนี้ต้องการการเปิดเผยจากพระเจ้า เผยให้รู้เลยว่าคืออะไร?

เหมือนกับที่ผมบอกว่าท่านอ่านพระคัมภีร์ โดยใช้สติปัญญามนุษย์ ท่านอาจจะบอกเข้าใจได้ในเชิงประวัติศาสตร์บางอย่าง แต่เรื่องจริงๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร? ตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หนาขนาดนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเลย มันเป็นไปได้อย่างไร? อ่านบางทีก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง นั่นคือท่านใช้สติปัญญาของตนเอง แต่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้าทุกครั้งที่ท่านอ่าน ท่านจะรู้แล้วว่ามันลึกเข้าไปกว่านั้น เข้าไปกว่านั้น มองไม่เห็น มันคืออะไร? ท่านก็จะอ๋อ! ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็ประทานให้ดาเนียลได้รู้ว่านิมิตคืออะไร?

หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งนี้แล้ว ดาเนียลก็ขอบคุณพระเจ้าใหญ่ แล้วก็ให้ทหารรีบพาตัวเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

ท่านนึกภาพนะ เรารู้แล้วพระเจ้าอยู่กับเรา บอกเรา สิ่งเหล่านี้ ยืนยันว่ามันใช่เลย เพราะฉะนั้นดาเนียลจึงเดินเข้าไปหากษัตริย์ โดยไม่มีความกลัวเลย  ไม่ใช่ไม่มีความเคารพ คนละเรื่อง ไม่มีความกลัวเลย  ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลา  และเขากำสิ่งนี้ไว้ ก็คือเขารู้ความจริงแล้วว่าคืออะไร? ถ้าเขาพูดไป  กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องยอมจำนนแน่ๆ เพราะมนุษย์ไม่มีใครทำได้ แต่พระเจ้าทำได้ และพระเจ้าได้สำแดงสิ่งนี้ให้เขารู้แล้ว ดาเนียลจึงทูลต่อกษัตริย์ว่า …

ดาเนียล 2:27 “ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

 

นี่คือคำตอบแรกที่ดาเนียลตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ นี่สำแดงถึงความมั่นคงในความเชื่อ และความไม่กลัวของดาเนียล ถ้าเป็นเรา … เรากล้าเหรอ! ถ้าดาเนียลไม่ได้มั่นคงอย่างนี้ ไม่ได้รับจากพระเจ้าอย่างนี้ว่าพระเจ้าสำแดงนิมิตอย่างนี้ คงไม่กล้าตอบคำถามอย่างนี้หรอก กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์สามารถสั่งฆ่าใครก็ได้ เดี๋ยวนั้นทันที ง่ายๆ ก็ทำมาตลอด ดาเนียล 2:27-30

ดาเนียล 2:27-30 “27 ดาเนียลทูลตอบว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถาอาคม  และโหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึก ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28 แต่มีพระเจ้า องค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น   มีดังนี้ 29 “ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่ และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30 ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

 

ในคำตอบตรงนี้ ดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้าว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่กษัตริย์ให้ทำ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้หรอก ดาเนียลต้องการประกาศให้เนบูคัดเนสซาร์รู้ว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ลี้ลับ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ให้คำตอบได้  และดาเนียลก็สำแดงความถ่อมใจ บอกว่าที่พระเจ้าทรงบอกสิ่งล้ำลึก ความลับในโลกวิญญาณให้ ก็ไม่ใช่เพราะว่า …

“ตัวเองเก่ง ฉันเป็นคนที่มีอะไรดีมากกว่าคนอื่น”

ไม่ใช่ แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ที่ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ทราบความหมายของความฝัน เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้รู้ความหมายของความฝันแปลว่าอะไร? ตัวดาเนียลเอง เป็นแค่ตัวแสดงตัวหนึ่ง ที่พระเจ้าใช้มาแค่นั่นเอง อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตว่าเราควรจะจดจำสิ่งนี้ไว้ แล้วก็ทำตาม อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าใช้เราทำ ดูอัศจรรย์มากมาย คนอาจจะมากราบไหว้เรา ยกย่องเรา ระวังให้ดีนะ ไม่ใช่ตัวเราเลย พระเจ้าให้เราทั้งนั้น มองแล้วรีบๆ ผ่านไปเร็วๆ คือดาเนียลกำลังบอกกษัตริย์ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือพระเจ้า ทุกอย่างเป็นแผนการของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งความฝัน ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันด้วย

ก่อนจะเฉลยว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? ผมจะเสริมข้อมูลนิดหนึ่ง คือมีผู้ศึกษาพระคัมภีร์ ในเรื่องนี้ ให้คำอธิบายไว้อย่างนี้ว่าปกติแล้ว เวลากษัตริย์ฝันอะไร? ก็จะเรียกพวกนักปราชญ์และโหราจารย์มาเข้าเฝ้า ให้ช่วยแปลความฝันให้ และตามธรรมเนียมปฏิบัติ กษัตริย์ก็จะเล่าความฝันของตัวเองว่าฝันว่าอะไร?

ให้ก่อน แล้วบรรดาโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ก็จะมารวมกันประชุมทำนายฝันนั้น  เปิดตำราบ้าง? นับดวงดาวบ้าง? เดาบ้าง? แล้วสรุปเป็นผลมาว่าเป็นอย่างนี้ๆ ก็ถวายไป แต่มาครั้งนี้ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันก่อน  แต่ให้เหล่านักปราชญ์เป็นคนทำนายว่าฝันว่าอะไรก่อน? ก็เพราะในความฝันครั้งนี้ เนบูคัดเนสซาร์เชื่อว่าเป็นการบอกเหตุการณ์ร้ายล่วงหน้า ที่เป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและบัลลังก์ของเขา อาณาจักรของเขาในอนาคต เป็นเราก็ต้องตื่นเต้น ก็ต้องกลัวแล้วล่ะ บอกว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? และในรัชกาลเขา เพิ่งจะครอบครองมา 2 ปีเอง มาแล้วเหรอ จะไปไม่รอดแล้วเหรอ กลัว อย่างน้อยเขาก็อยากจะรู้ว่าใครจะมาทำลายอาณาจักรของเขา ศัตรูเขา คือใคร? เขาจะได้เตรียมป้องกัน ในอดีตเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้ารู้ก่อนได้ เขาจะได้ป้องกันได้ คนนี้มาจากทิศนี้ เราจะได้ป้องกัน อะไรประมาณนั้น

ท่านจะได้รู้ว่าทำไมกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จึงตื่นเต้นกับเรื่องนี้ เหงื่อแตกกับเรื่องนี้ เพราะเป็นข่าวร้าย เป็นฝันร้ายสำหรับเขา แต่ถ้าเขารู้ล่วงหน้า เขาอาจจะเตรียมตัวพร้อม แล้วป้องกันได้

เนบูคัดเนสซาร์เลยต้องการให้มีคนมาแปลความฝันเขา ให้มั่นใจว่าใช่แน่ ไม่ใช่ศัตรูมาทางทิศเหนือ ไปแปลความฝันว่ามาจากทิศใต้ ไปเตรียมทิศใต้ ก็ตายสิ เนบูคัดเนสซาร์ฉลาดมาก จึงบอกให้เอาอย่างนี้ดีกว่าทำนายฝันมาเลย ถ้าทำนายฝันถูกแสดงว่า …

“รู้ว่าฉันฝันอะไร? ฉันก็ยอมแล้ว สยบแล้ว รู้ว่ามาจากพระเจ้าแน่ เพราะฉะนั้น พอบอกว่าศัตรูมาจากทิศไหน? ฉันก็จะได้เชื่อ แน่นอนนี่ถูกต้อง”

นี่ขนาดคนไม่รู้จักพระเจ้ายังรู้ว่าทำอย่างไร? ถึงสามารถเชื่อ และมีเหตุมีผล และมั่นใจได้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร?  ดาเนียล 2:31-35 ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตเราด้วยนะ

ดาเนียล 2:31-35 “31 “ข้าแต่กษัตริย์ ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรเห็นรูปปั้นมหึมา ตั้งอยู่ต่อหน้า เปล่งประกายเจิดจ้า มีลักษณะน่าครั่นคร้าม 32 ศีรษะของรูปปั้นนั้น ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หน้าอกและแขน ทำด้วยเงิน ท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์  33 ขาทำด้วยเหล็ก เท้าเป็นเหล็กปนดินเหนียว 34 ขณะฝ่าพระบาททอดพระเนตรอยู่นั้น ก็มีหินก้อนหนึ่ง ถูกสกัดออกมา แต่ไม่ใช่ด้วยมือของมนุษย์ หินนั้น กระแทกเท้าของรูปปั้น ซึ่งทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว แตกกระจาย 35 แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก”

 

​            บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องนี้ตื่นเต้น เพราะว่ามันเกี่ยวกับเราด้วย นี่เป็นคำเผยพระวจนะล่วงหน้า  ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่ 600 ปีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ หลายร้อยปีก่อน อาณาจักรต่างๆ พูดในนี้จะเกิดขึ้น และเป็น 2,000 กว่าปี มาถึงปัจจุบันที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็เป็นส่วนหนึ่งของในนี้  ส่วนของเราอยู่ตรงข้อ 35

“แล้วเหล็ก ดินเหนียว ทองสัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ ก็แหลกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นเหมือนแกลบ ที่ลานนวดข้าวในฤดูร้อน ซึ่งลมพัดปลิวหายไป ไม่เหลือร่องรอยไว้เลย แต่หินที่กระแทกรูปปั้น กลับกลายเป็นภูเขามหึมาปกคลุมทั่วโลก

“กลับกลาย” แปลว่าไม่ได้เป็นเดี๋ยวนั้นเลย  แต่แปลว่าค่อยๆ เป็นภูเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ใช่กระแทกปุ๊บ เป็นภูเขาใหญ่ แต่เริ่มเป็นภูเขาใหญ่ แล้วภูเขานี้ก็ใหญ่ไปเรื่อยๆ ปกคลุมอยู่เหนือทั่วโลก

ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็คือพระองค์ฝันเห็นรูปปั้นขนาดมหึมา มีลักษณะน่าเกรงกลัว และรูปปั้นนั้น  ฟังจากเมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน มีศีรษะ ที่ทำด้วยทองคำ หน้าอกและแขนทำด้วยเงิน ท้องและต้นขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขาทำด้วยเหล็ก  เท้าทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คำว่า “ดินเหนียว” ไม่ใช่ดินเหนียวธรรมดา เหล็กปนดินเหนียว ที่เอามาทำเซรามิก คือต้องการให้เห็นว่าตรงนี้มันแตกง่าย มันบอบบาง มันตรงกันข้ามกับเหล็กเลย แต่มันผสมกับเหล็ก

ประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ในช่วงนี้ ต้องการเน้นให้เห็นว่าผู้กำกับใหญ่  ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ก็คือพระเจ้า … พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น  เริ่มตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วสั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน โดยไม่บอกว่าฝันอะไร แล้วประทานนิมิตให้ดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน บอกว่าฝันนั้นแปลว่าอะไร?  พูดง่ายๆ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ผมบอก พระเจ้าสร้างสถานการณ์ … สถานการณ์สร้างฮีโร่หรือวีรบุรุษ สรุป ก็คือพระเจ้าสร้างวีรบุรุษ ใครก็ได้ ขึ้นมาแป๊บเดียว ก็เป็นวีรบุรุษแล้ว ฉะนั้น อย่านึกว่ามาจากตัวเอง เหมือนอย่างที่ดาเนียลตอบกษัตริย์ไปว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่น เพื่อฝ่าพระบาทจะทราบความหมายและสิ่งที่เข้ามาในพระดำริ”

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

เรามาดูว่าความฝันตรงนี้ เกี่ยวพันอะไรกันกับเนบูคัดเนสซาร์ … เนบูคัดเนสซาร์ต้องเตรียมตัวอะไร? ดาเนียล 2:36-43 ตั้งใจอ่านให้ดี เกี่ยวกับพวกเราในนี้ด้วย

ดาเนียล 2:36-43 “36 นั่นคือความฝัน บัดนี้ ข้าพระบาทขอทูลความหมายให้ทรงทราบ 37 ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกรและเกียรติแก่ฝ่าพระบาท 38 พระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศ  ไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น 39 “หลังจากฝ่าพระบาทแล้ว จะมีอีกอาณาจักรหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมา แต่ด้อยกว่าของฝ่าพระบาท จากนั้น เป็นอาณาจักรที่สาม คือทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะปกครองทั่วโลก” 40 ท้ายสุด คืออาณาจักรที่สี่ ซึ่งแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก เหล็กฟาดฟันทุกสิ่งให้ย่อยยับ อาณาจักรนั้นจะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวง ให้ยับเยิน เหมือนเหล็กที่ทำให้สิ่งอื่นๆแหลกลาญ 41 ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นว่าเท้าและนิ้วเท้า เป็นดินเหนียวปนเหล็ก แสดงว่าอาณาจักรนี้ แยกออกเป็นส่วนๆ แต่ก็จะมีกำลังแข็งแกร่งเหมือนเหล็กอยู่บ้าง ตามที่ฝ่าพระบาทเห็นเป็นเหล็กปนดินเหนียว 42 ดังที่นิ้วเท้าเป็นดินเหนียวปนเหล็ก อาณาจักรนี้ ก็จะมีส่วนที่แข็งแกร่ง และส่วนที่เปราะบาง 43 และตามที่ฝ่าพระบาททรงเห็นเหล็กปนกับดินเหนียว  ประชาชนก็จะผสมผสาน แต่ไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหล็กผสมดินเหนียว”

 

อีกอันหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงกำหนดทุกอย่าง เราเรียนรู้กันว่าเนบูคัดเนสซาร์ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แถมเป็นคนที่เหี้ยมโหดมาก ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง ฆ่าใครง่ายๆ เจ้าอารมณ์ ขี้โมโห แล้วก็เย่อหยิ่ง แต่ดูดาเนียลแปลความฝันนี้ว่าอย่างไร?

“ฝ่าพระบาททรงเป็นจอมกษัตริย์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี”

ฟังให้ดีๆ อีกทีหนึ่ง

“พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบารมี อำนาจ ความเกรียงไกร และเกียรติแก่ฝ่าพระบาท”

“และพระองค์ทรงมอบมนุษยชาติ สัตว์ป่าในท้องทุ่ง และนกในอากาศไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

ทุกอย่างอยู่ในกำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในขณะนั้น ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าเป็นผู้ให้อำนาจทั้งหมด ท่านคิดดู เนบูคัดเนสซาร์ที่ย่ำยีหัวใจของชาวยิว ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของพระเจ้า  ประชาชนของพระเจ้า ย่ำยีเยรูซาเล็ม แล้วก็ลากเอาผู้คนของพระองค์ที่ไม่ได้ฆ่าตาย ที่ยังเหลืออยู่ เอาคนดีๆ มาใช้งาน มาเป็นทาสที่บาบิโลน เผาเมืองเลย  ทำเหี้ยมโหดต่อเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงให้ฝ่าพระบาทครอบครองสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝ่าพระบาท คือศีรษะที่ทำด้วยทองคำนั้น”

พระเจ้าเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่เราสามารถสอนตัวเราเองได้ พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของผู้ใด เราควรจะตามพระเจ้าให้เกียรติผู้นั้น สิทธิอำนาจเป็นของใคร? พระเจ้าให้ เราต้องยอม ไม่ว่าทำตามมนุษย์ หรือด้วยเหตุผลอะไร? อาจจะหลายอย่าง เป็นคนไม่ดี ทำไมพระเจ้าไม่เอาออกไปเลย กษัตริย์อย่างนี้ มาตีเมืองเยรูซาเล็ม ทำร้ายประชากรของพระองค์ … พระองค์ทำนิดหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ไปแล้ว ทำไมปล่อยให้เขาย่ำยีอิสราเอลถึงขนาดนั้น ทำไมเขาครอบครองอิสราเอล พระเจ้าเสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ ประชากรของพระองค์ก็เสียชื่อ เสียหน้ามากๆ เลยนะ แล้วทำไมพระเจ้าทำอย่างนี้ล่ะ ก็ต้องตอบว่า …

“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือพระเจ้าสัญญาว่ามันจะเป็นสิ่งดี สำหรับผู้ที่เชื่อในพระองค์ และถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่ถวายพระสิริแก่พระองค์”

เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่จะรู้ว่าทำไมเป็นอย่างนี้  แผนการจะเป็นอย่างไร? หลายครั้งพระองค์ใช้แผนการเล็กๆ ให้ความเสียหาย หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าประสบความสำเร็จเยอะแยะมากมาย เป็นที่อิจฉาริษยาสำหรับคนที่เชื่อพระเจ้ามากเลย  แต่พระเจ้าบอก …

“เล็กๆ ที่เขาสำเร็จนั้น เอามาสนับสนุนแผนการใหญ่ของฉัน ที่มีไว้สำหรับพวกเธอทั้งหลาย ลูกๆ ของฉันทั้งนั้น เทียบกันไม่ติดเลย แผนการที่เธอเห็นเขาสำเร็จ นั่นคือส่วนหนึ่ง ที่ทำให้แผนการใหญ่ที่ฉันวางไว้ สำหรับพวกเธอ ลูกๆ ของฉันสำเร็จ”

พระเจ้าถามเราว่า …

“เข้าใจไหม?”

ยอมให้เป็นอย่างนี้  เพื่อสิ่งนี้จะมาสนับสนุนแผนการใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ให้สำเร็จ โอเคไหม? ยกตัวอย่างง่ายๆ ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ ให้กับเธอทั้งหลาย ที่ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไปจนนิรันดร์เลย อันไหนใหญ่กว่า อันนี้ ดูท่าทางแย่ แต่อีกอันหนึ่ง มันใหญ่กว่า ดีกว่า ใครได้เกียรติยศกว่า? พระเจ้าได้รับเกียรติ พระสิริเป็นของพระองค์ตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ พูดง่ายๆ  ที่สุดแล้ว ใครเชื่อพระองค์ ก็ชนะด้วย เพราะว่าที่สุดแล้ว พระองค์เป็นฝ่ายชนะ นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ได้เห็นตรงนี้

จากความฝันรูปปั้นมหึมา ที่แต่ละส่วน ทำด้วยส่วนผสมต่างๆ ดาเนียลก็ตีความให้กษัตริย์ได้เห็นว่าแปลว่าอะไร?

เริ่มต้นจากศีรษะที่ทำด้วยทองคำ ก็คือยุคของอาณาจักรบาบิโลน เป็นยุคที่ 1 ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองคำ

ต่อมาหน้าอกและแขนที่ทำด้วยเงิน ก็เล็งถึงอาณาจักรที่จะครอบครองต่อจากบาบิโลน มาโค่นล้มบาบิโลนในอนาคต ก็คืออาณาจักรเปอร์เซีย หรือเมโดเปอร์เซีย หรือมีเดียเปอร์เซีย ซึ่งจะรุ่งเรืองน้อยกว่าอาณาจักรบาบิโลน

ส่วนที่สาม คือท้องและต้นขา ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เล็งถึงอาณาจักรกรีก

สุดท้าย คือขา ทำด้วยเหล็ก  และเท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว คือปนเซรามิก เล็งถึงอาณาจักรโรมัน จักรวรรดิโรมัน ซึ่งมาโค่นล้มอาณาจักรกรีกอีกทีหนึ่ง ที่ในนี้บอกว่าโรมันแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก ซึ่งจะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวงให้กระเจิง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่กรุงโรม หรือจักรวรรดิโรมรุ่งเรือง เป็นมหาอำนาจตอนนั้น เป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งมาก ไปที่ไหนทำลายหมด

และที่เท้า ทำด้วยเหล็กปนดินเหนียว ดินที่เอามาทำเซรามิก ก็ตีความได้ว่าอาณาจักรนี้ มีส่วนที่แข็งแกร่งและส่วนที่เปราะบาง ประชาชนจะผสมผสานกัน และไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ตรงที่เท้า ก็คือต่อจากเหล็ก จะไม่มีอาณาจักรแล้ว จะมีเศษๆ อาณาจักรผสมกันอยู่ เป็นเหล็กผสมกับเซรามิก ซึ่งไม่แข็งแรงแล้ว ดูเหมือนแข็งแรง แต่ก็เปราะบาง ไม่เหมือนอาณาจักรก่อนๆ หน้านี้แล้ว ซึ่งหมายถึงอิทธิพลของเหล็ก อิทธิพลของโรมัน ยังคงแทรกซึมเข้าไปอยู่ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ และเป็นบ่อเกิดของประเทศต่างๆ เหล่านี้ มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คืออิทธิพลตะวันตก … ตะวันตก คือยุโรป … ยุโรป คือจักรวรรดิโรมันในอดีตนั่นเอง

ถ้าท่านเรียนรู้ไป แล้วท่านได้รับการสำแดงจากพระเจ้าด้วย ท่านจะเข้าใจด้วย และมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงในความเชื่อ มั่นคงในชัยชนะได้ตลอด ดาเนียล 2:44-45

ดาเนียล 2:44-45 “44 ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้ จะยั่งยืนมั่นคงตลอดกาล 45 นี่คือความหมายของนิมิตเรื่องหินที่ถูกสกัดจากภูเขา ซึ่งไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ หินซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงินและทองคำให้แตกกระจาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาท ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันนี้เป็นความจริง และการตีความนี้ ก็เชื่อถือได้”

 

ในข้อที่ 44 บอกว่า “ในยุคของกษัตริย์เหล่านั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครทำลายล้างได้ ทั้งจะไม่ตกเป็นของชนชาติอื่น ไม่เหมือนเยรูซาเล็ม ไม่เหมือนประเทศอิสราเอล อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรอื่นๆ ทั้งปวงจนราบคาบ อาณาจักรนี้จะยั่งยืนมั่นคงตลอดไป”

ยุคของกษัตริย์เหล่านั้น ก็คือกษัตริย์ที่อยู่ในช่วงเหล็ก ก็คือในยุคของจักรพรรดิซีซาร์และผู้มีอำนาจสืบต่อไปเรื่อยๆ อาณาจักรเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งในช่วงนั้น ถามว่าเริ่มต้นช่วงไหน? หนังสือลูกาบันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูบังเกิดมาเป็นมนุษย์ ในสมัยของจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัสนั่นแหละ และไปเรื่อยๆ ของกษัตริย์เหล่านั้นเยอะแยะ ผู้ครองเหล่านั้น เริ่มต้นตรงนั้น พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่ง คือช่วงเดียวกัน และในนี้บอกว่านี่คือความหมายของนิมิต เรื่องหิน

นิมิตเรื่องหิน ที่ถูกสกัดจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ คำว่า “ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์” คุ้นๆ ไหม? ตอนที่พระคัมภีร์สอนเรื่องเกี่ยวกับพลับพลาของพระเจ้า ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าวัดของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ที่พระเจ้าให้โมเสสสร้างขึ้น ที่เป็นเต็นท์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขนชำระพวกเราให้พ้นจากบาปแล้ว บอกว่าเต็นท์นี้ ยกเลิกไปแล้ว พระเยซูนำเอาโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขนนั้น เข้าไปยังพลับพลาที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คำเดียวกันนั่นนะ คำว่าไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ ก็คือคำว่า “โดยพระเจ้า” นั่นเอง

เพราะฉะนั้น นิมิตเรื่องหิน ก็คือหินนี้ถูกสกัดจากภูเขา เป็นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องมนุษย์แล้ว พูดง่ายๆ เป็นพระเจ้าสกัดหินก้อนหนึ่งออกมา หิน ซึ่งกระแทกเหล็ก ทองสัมฤทธิ์ ดินเหนียว เงิน และทองคำกระจายไป

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงสำแดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นเรื่องจริง”

สิ่งเหล่านี้ ตอนนั้น เขาไม่รู้ แม้กระทั่งดาเนียลอาจจะไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? แต่เรามาเรียนย้อนกลับไป เรารู้ พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นศิลา พระองค์บอกว่า …

“เราจะสร้างคริสตจักรของเราบนศิลา และศัตรูจะไม่มีชัยชนะ เหนือคริสตจักรของเราได้”

พระองค์เป็นศิลา … ศิลาก้อนหนึ่ง ถูกคนปฏิเสธ แต่พระเจ้าได้ทำให้ศิลาก้อนนี้ เป็นศิลามุมเอก หมายถึงชุดที่ก่อร่างสร้างอาคารขึ้นมาใหญ่โต เริ่มจากเสาเอก พูดง่ายๆ  เพราะฉะนั้น หินนี้ ก็คือพระเยซู พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากคำทำนายนี้ ประมาณ 600 ปี พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ในสมัยของเหล่ากษัตริย์ ก็คือของโรมันที่กำลังครอบครองอยู่เหนือทุกแห่งเลย รวมทั้งเยรูซาเล็มด้วย พระเยซูเกิดในช่วงสมัยออกัสตัส ซีซาร์ แล้วพระองค์ก็ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อน 30 เป็นคนธรรมดา เป็นช่างไม้อะไรก็ว่าไป แต่อายุ 30 ปุ๊บ เริ่มต้นประกาศข่าวดี เริ่มต้นทำงานให้พระเจ้าแล้ว ประกาศคำแรกว่า …

“สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าลงมาตั้งอยู่แล้ว กำลังมาๆ เรากำลังพูดถึงอาณาจักรของพระเจ้า”

ตลอดเวลา 3 ปี พูดแต่เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าตั้งอยู่ๆ พระองค์มาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้ แต่เป็นอาณาจักรที่ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ อาณาจักรที่ตามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และทุกวันนี้มันปกคลุมไปทั่วโลกเลย จากวันนั้น แค่หินก้อนเดียว คือพระเยซู และเดี๋ยวนี้เป็นเท่าไร? ในขณะที่ 4 ประเทศมหาอำนาจ ที่ตะกี้เราพูด ไม่เหลือซากแล้ว เป็นแกลบกระจุยกระจายหมดเกลี้ยงไปแล้ว ตามคำทำนายหมด โรมยังไม่เหลือเลย โรมันเหลือแต่ซาก เหลือแต่กลิ่น เหลือแต่อิทธิพลที่ติดตามต่อไป ในประเทศที่ใช้ชื่ออื่นๆ แม้กระทั่งทั่วโลกทุกวันนี้ เราก็อยู่แบบหลายอย่าง มาจากโรมทั้งนั้น มาจากตะวันตก พูดง่ายๆ

ท่านพอเห็นภาพไหมว่าที่ผมบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราอย่างไร? แต่หินที่กระแทกรูปปั้นนั้น ตูมออกมา ไม่ใช่อาณาจักรพระเจ้าเกิดขึ้นมาเลยนะ ตูมมาปุ๊บ เกิดหน่อเล็กๆ ขึ้นมาหน่อหนึ่ง แล้วค่อยๆ บานไปเรื่อยๆ เป็น The Kingdom of Jesus อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ครอบครอง พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่  มันหมายถึงอย่างนี้ แล้วมันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีน้อยลง มีแต่มากขึ้นไปเรื่อยๆ เข้าไปแทรกทุกซอก ทุกมุมของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ไม่ว่าจะเป็นคนพันธุ์ใด เผ่าใดที่ไกลจากความเจริญ เดี๋ยวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็คืออาณาจักรของพระองค์ไปถึงหมดทุกแห่งเหล่านั้น

สมัยก่อนนี้อาณาจักรที่เราเห็น สุดท้ายที่เราดูในรูปปั้น ตั้งแต่บาบิโลน เมโดเปอร์เซีย กรีก และโรม ก็ใช้วิธีนี้  เวลาเขาครอบครอง เป็นมหาอำนาจ เขาต้องไปตี แผ่อำนาจไปให้ที่สุด เท่าที่ทำได้ ตามกำลังของมนุษย์ เหมือนอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีก ตีไป บุกไปถึงอินเดีย จนสุดได้แค่ไหน ก็จบ หมดแรง โรมก็เหมือนกัน พยายามคุมให้ทุกซอกทุกมุม เจอบาบาเลียนที่ไหน? เจอชนเผ่า กลุ่มที่เป็นคนป่าที่ไหนต่อต้าน ก็เข้าไปตี เข้าไปยึดครองให้หมด จะแผ่อำนาจไปให้หมด แต่ในที่สุด อาณาจักรเหล่านั้นก็เป็นศูนย์ ไม่มีเลย แต่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ทำอย่างนั้น แล้วเป็นอยู่จริงตามคำทำนายนี้ ตามนิมิตนี้เป๊ะ ทุกวันนี้เราแต่ละก้อน ก็รวมกันเป็นภูเขาของพระเจ้า เราทั้งหลายเป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เคยได้ยินใช่ไหม?

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์          เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

ที่ไหนๆ ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนของโลกนี้ พอเขามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นประชากรคนหนึ่งในอาณาจักรของพระคริสต์ เป็นพี่น้องกับเรา เป็นเพื่อน เหมือนร่วมอาณาจักรเดียวกัน ก็คืออาณาจักรพระคริสต์

วันแรกที่อาณาจักรของพระเยซูปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ก็คือวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และวันที่ 3 ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงประกาศชัยชนะเหนือความตาย ประกาศการเริ่มต้นอาณาจักรใหม่ของพระองค์บนโลกใบนี้ ท่านไปอ่านดูในพระคัมภีร์หมดเลย โดยเฉพาะในหนังสือจดหมายฝาก ในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด จะประกาศถึงชัยชนะแห่งอาณาจักรนี้ อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงครอบครอง พระเจ้าให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ บนบัลลังก์นี้ ในอาณาจักรของพระคริสต์ แล้วพวกเราทั้งหลาย ก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาร่วมกับพระเยซูคริสต์  เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเรา พระองค์เลือกเราทุกคนไว้แล้วว่าเป็นประชากรของพระองค์ นั่งอยู่กับพระองค์ กับพระเยซูคริสต์ที่ได้รับชัยชนะแล้ว ที่เบื้องขวาของพระเจ้า รับเราไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปี แต่ถ้าเราไม่รู้ ไม่มีใครมาบอกเรา หรือบอกแล้วเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ พระองค์ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นอีกแล้วทุกวันนี้ พระองค์ทำอย่างเดียว คือเอาข่าวดีไปบอกเขาสิ เอาอันนี้ไปบอกเขา ช่วยกันบอกเขา บอกเขาว่า …

“คุณเป็นของพระเยซู คุณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน คุณเป็นของอาณาจักรของพระเยซู … พระเยซูทำให้คุณแล้ว คุณไม่ต้องระเหเร่ร่อน เป็นเหมือนคนพเนจรอีกแล้ว ไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว เข้ามาเถอะ มารับสิทธิของคุณ”

แล้วพอรับสิทธิแล้ว พระองค์ก็ทรงครอบครอง พอครอบครองคนๆ นั้นปุ๊บ พอมาเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่กับเขา แปลว่าบัลลังก์ของพระองค์อยู่ที่นั่น  อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของคนนั้น แล้วในใจคนนั้น มากมาย ทั้งโลกร่วมกัน ทุกวันนี้ไปที่ไหน ก็มีบัลลังก์ของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย บัลลังก์อยู่ที่ใครก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นผู้ไถ่บาปเขาทันที มีพระเยซูอยู่กับเขา และบัลลังก์ของพระองค์อยู่ในใจเขา อยู่กับเขา และอาณาจักรของพระองค์ ที่เผยพระวจนะไว้เมื่อตะกี้นี้ คือมันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อ 30 ปีก่อน ผมมารู้จักพระเจ้าและวันนี้ยังอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ผมเห็นชัดๆ เลย มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการชะงักว่าหยุดแล้ว เยอะขึ้นทุกวันๆ  แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุด ตามที่เผยพระวจนะเมื่อตะกี้ คือจะใหญ่ที่สุด จนครอบครองเหนือทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างบนโลกใบนี้ และในโลกวิญญาณด้วย

เพราะฉะนั้น จงดีใจและชื่นชมยินดีเถิด เราคือผู้ที่อยู่ในอาณาจักร อยู่ในชัยชนะนี้ เราเป็นประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในอาณาจักรนี้ เป็นอาณาจักรแห่งชัยชนะ อาณาจักรที่ถาวรนิรันดร์แล้ว อาณาจักรที่เริ่มต้นสร้างตั้งแต่สมัยโน่น และบอกล่วงหน้ามาเป็นพันๆ ปี ว่าพระเยซูจะมาเกิด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดที่เยรูซาเล็ม ชัดเจนแม้กระทั่งเบธเลเฮ็ม ตำบลเล็กๆ ก็จะบอกด้วยซ้ำ เกิดเมื่อไร? บอกด้วยซ้ำ จะเกิด แล้วเป็นอย่างไร? บอกด้วยซ้ำ เกิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อาณาจักรพระเจ้ามาตั้งอยู่จริงๆ เป็นไปตามนั้นทุกอย่างเลย ทั้งเล่มนี้ พูดถึงเรื่องนี้อย่างเดียวเลย รวมทั้งดาเนียลที่เราเรียนรู้นี้ด้วย แล้วบอกไปจนจบเลย  ซึ่งตอนจบ เราจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป ในหนังสือดาเนียลได้บอกเรื่องนี้หมด เราได้อะไรจากการเรียนรู้ในเรื่องนี้ เรามั่นคง แข็งแกร่งในความเชื่อ เรารู้แล้ว เราได้รับชัยชนะนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า เราไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แม้ความตาย เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าควบคุมและครอบครอง ดูแลอยู่ทุกอย่าง ถ้าพระเจ้าจะให้เกิด มันเกิดแน่ แต่มันดีสำหรับเราเสมอ พระเจ้าจะให้กำลังเราทนได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น และพระเจ้าใช้การเกิดนั้น ให้เป็นผลดีในพระราชกิจของพระองค์ ในแผนการใหญ่ของพระองค์ ซึ่งมันสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้กำลังรอให้ครบถ้วนบริบูรณ์

เราควรจะภูมิใจ แม้หลายครั้งเราจะต้องเจ็บปวด แม้หลายครั้งเราอาจจะต้องทุกข์ทรมาน แต่เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เทียบอะไรกับที่เราจะอยู่นิรันดร์ มันเทียบกันไม่ได้เลย ให้สิ่งนี้ หนุนใจเรา อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ให้เรามั่นใจในสิ่งนี้ พระเจ้าจะนำพาเราไป หลายครั้งเราอาจจะตอบไม่ได้ ทำไมพระเจ้าต้องอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น? แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างเดียว ก็คือ …

“พระเจ้าทำให้มันดีต่อฉัน และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์แน่นอน เพราะฉันได้รับชัยชนะไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้มารอรับชัยชนะ ฉันได้ชัยชนะไปแล้ว ตอนนี้ อยู่ก็ทำงานให้พระเจ้า ฉันกำลังทำงาน  หมดงาน พระเจ้าก็เอาฉันกลับไป”

พระคัมภีร์จึงบอก คนที่ไปก่อน ก็ได้รับกำไร ตาย ก็ได้กำไร ตายก่อน ก็ได้รับกำไร อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่อสานงาน ให้พระองค์ต่อไปว่าพระองค์จะใช้เราต่อไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพื่อเขาจะได้รู้ข่าวประเสริฐ เพื่อเขาจะได้รับความรอด เหมือนเรา เขาจะได้เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเราทั้งหลาย เอเมน

นั่นคือความเชื่อและเป็นการประกาศว่าราชา จอมราชา เจ้านาย ผู้ครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด และโลกฝ่ายวิญญาณด้วย ของทุกผู้ทุกนาม ตลอดนิรันดรกาล คือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราเสมอ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************