วันนี้จะเป็นการสรุปจบของหัวข้อการบรรยายชุด
“หลักข้อเชื่อของอัครทูต” หรือ Apostle’s Creed หัวข้อเรื่องก็คือ “ข้าเชื่อ
ตอนที่ 5 “ข้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์และความรอด”
ทบทวนสั้นๆ ก่อน หลักข้อเชื่อของอัครทูต ที่เราเรียนกันมา 4
ตอนแล้ว มีอยู่ 12 ข้อ สามารถจัดเป็นกลุ่มได้ 4 กลุ่มหลัก คือ …
กลุ่ม 1 เกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา มี 1 ข้อ
กลุ่ม 2 เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ มี 6 ข้อ
กลุ่ม 3 เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
และสากลคริสตจักร มี 2 ข้อ
กลุ่ม 4 เกี่ยวกับความรอด หรือผลจากความเชื่อ
ที่เราได้รับ มี 3 ข้อ
ทั้งหมดรวมกันจะครบ 12 ข้อ เราได้เรียนกันไปแล้ว ก็คือ กลุ่ม
1 และกลุ่ม 2 คือความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา
ความเชื่อในเรื่องพระเยซูคริสต์ พระบุตร 2 อันรวมกัน
เรียนไปแล้ว 7 ข้อ
วันนี้เราจะมาสรุปจบในเรื่องกลุ่มที่ 3 และ 4
รวมกันเลยนะครับ ก็คือความเชื่อในเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์
และความเชื่อจากผลของความเชื่อ มีอยู่ 5 ข้อ
รวมกันแล้วจะได้ครบ 12 ข้อ คือตั้งแต่ข้อที่ 8
ข้อที่ 8 ข้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ข้อที่ 9 ข้าเชื่อวางใจในสากลคริสตจักรและการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน
ข้อที่ 10 ข้าเชื่อวางใจในการอภัยโทษบาป
ข้อที่ 11 ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
ข้อที่ 12 ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในชีวิตนิรันดร์
วันนี้เราจะย้ำอีกว่าเวลาเราพูดว่าความเชื่อๆ
หรือหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือเรียกว่า Apostle’s Creed
เรากำลังพูดถึงความเชื่อที่มีลักษณะเรียกว่าความเชื่อศรัทธา
ไว้วางใจ ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เชื่อถึงขนาดวางใจ
และเต็มไปด้วยความศรัทธา กล้าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ได้เลย
ไม่สามารถให้ความเชื่อนี้กับใครได้อีกแล้วบนโลกใบนี้
หรือในมหาจักรวาลนี้
ไม่ใช่ความเชื่อที่เกิดจากการสัมผัสด้วยร่างกาย ด้วยผิวหนัง
ความเชื่อที่เรากำลังพูดนี้ เป็นความเชื่อศรัทธา
ที่จับต้องมองเห็นไม่ได้ หรือเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์หรือมีหลักฐาน
ไม่ใช่อย่างนั้น เราเชื่อแม้ไม่มีสิ่งที่พิสูจน์ได้ แล้วไม่มีหลักฐาน
นี่ความเชื่อของเรา ที่กำลังพูดถึงตรงนี้ ถ้าเผื่อมันสัมผัสได้
ถ้าเผื่อมันมีเหตุมีผล ในสิ่งที่เราเข้าใจ ตามความคิดของมนุษย์
เราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อศรัทธานี้แล้ว
ดังนั้น ความเชื่อศรัทธาตรงนี้
มันหมายถึงความเชื่อที่เกินกว่าเหตุผล สัมผัสไม่ได้ด้วยตา
สัมผัสไม่ได้ด้วยร่างกาย ด้วยมือ แต่ความเชื่อศรัทธานี้
หมายถึงความเชื่อศรัทธาตามถ้อยคำพระเจ้า …
ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้น เราเชื่อแล้ว เชื่อศรัทธาในผู้พูด
วางใจในผู้บอก ผู้พูด ก็คือพระเจ้า
เจ้าของถ้อยคำในพระคัมภีร์นั่นเอง
เมื่อถ้อยคำพระเจ้าพูดอย่างนั้น เราก็เชื่อว่าอย่างนั้น ไม่ต้องพิสูจน์
ไม่ต้องจับต้องมองเห็น นั่นคือเรากำลังพูดถึงความเชื่ออย่างนี้
เรามาเริ่มข้อที่ 1 เลยนะครับ
“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์”
ความหมายของการเชื่อและวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ก็คือเราเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์
พระเยซูคริสต์ คือเชื่อในการเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์
มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเรา
หรือเรียกว่าเป็นแพะรับบาปให้กับเรา
และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม
ถ้าเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตามที่พูดมา
พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาสถิตอ
ยู่กับเรา นี่คือพระสัญญา
ถามว่า
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่าน?”
ขนลุก ตอนนี้ขนลุกไหม? ไม่ ร้อนวูบวาบๆ ในตัวหรือเปล่า?
เปล่า! แต่เราเชื่อ เพราะบอกไว้ เพราะพระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น
พระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น กิจการ 2:17 บันทึกไว้อย่างนี้
กิจการ 2:17 “พระเจ้าตรัสว่าในวาระสุดท้าย
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง”
“ในวาระสุดท้าย” ก็คือวาระที่พระเยซูคริสต์
พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายที่ไม้กางเขน
หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย
“ในวาระนี้ ใครเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวดีนี้
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาอยู่เหนือประชากรทั้งปวง”
ประชากรทั้งปวง ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้ ใครก็ได้ที่เชื่อ
ก็ได้รับตรงนั้น
พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ขอ
งพระองค์ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาอยู่เหนือประชากร
ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย เงื่อนไขมีอยู่นิดเดียวเท่านั้นเอง ก็คือ …
(1) คนนั้นต้องเป็นประชากรของพระเจ้า …
ประชากรของพระเจ้า ก็คือมนุษย์ จะเป็นต้นไม้ก็ไม่ได้
จะเป็นสัตว์ก็ไม่ได้ ต้องเป็นมนุษย์
(2) มนุษย์คนนั้น ต้องเชื่อในพระเยซูคริสต์
เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์
เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์
เชื่อในสถานะของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกเป็นพระเจ้า
มาเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าทำตามเงื่อนไข 2 ข้อนี้แล้ว
คนนั้นก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเขา ในอดีต
ก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง
ได้เผยพระวจนะไว้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในยุคของพระเยซูคริสต์
คือยุคปลาย ยุควาระสุดท้ายนั่นเอง ลองมาดูยอห์น 7:37-39
ยอห์น 7:37-39 “ 37 ในวันสุดท้าย
ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดของเทศกาล
พระเยซูทรงยืนขึ้นและตรัสเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย
ให้เขามาหาเรา 38 และดื่มเถิด ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้
ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเรา สายธารซึ่งมีน้ำที่ให้ชีวิต
จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น” 39 ที่ตรัสดังนี้
พระองค์ทรงหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์
จะได้รับในภายหลัง”
พระเยซูตรัสเอง
ตอนที่พระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้
เราเชื่อมั่นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเราแล้ว
ก็เพราะว่าถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราอาจจะไม่เข้าใจ
เราอาจจะนึกภาพไม่ออก เราอาจจะสัมผัสไม่ได้ด้วย
เราอาจจะไม่รู้สึกมีอะไรเกิดขึ้นในร่างกายนี้ แต่เรามีความเชื่อมั่น
เชื่อศรัทธา 100% ตามถ้อยคำพระเจ้าว่ามันเป็นไปตามนั้นจริงๆ
นี่แหละเรียกว่าความเชื่อศรัทธา ไว้วางใจ
เพราะฉะนั้น ข้อนี้ก็คือเราเชื่อศรัทธา
และมั่นใจว่าเมื่อเราอ่านถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แล้ว
ไม่ว่าเราจะรู้สึกทุกข์ รู้สึกหงุดหงิด
หรือรู้สึกกำลังโมโหใครก็ตาม ขณะนั้น
พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา
บางคนบอก “อยู่ได้อย่างไร ไม่เห็นบริสุทธิ์เลย
บริสุทธิ์ต้องนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเลยสิ แต่นี้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?
ยังด่าคน ยังดุคนแบบเกรี้ยวกราดอยู่เลย”
ที่คริสเตียนกำลังเกรี้ยวกราดนั้น
พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเขาไหม? อยู่สิ ก็ไม่ใช่เงื่อนไขนั้น
เงื่อนไขบอกว่าคนที่เกรี้ยวกราดอยู่นั้น
เขาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์อยู่หรือเปล่า? ถ้าเขายังเชื่ออยู่
เขาจะหงุดหงิดบ้าง เขาจะทำอะไรบ้าง มันเรื่องของเขา
แต่ว่าเขาเชื่อในพระเยซูคริสต์ หรือว่าใครเชื่อในพระเยซูคริสต์
แล้วไม่หงุดหงิดอีกต่อไปเลย
“อะไร คุณยังนิสัยเป็นอย่างนี้อยู่ คุณยังกินเหล้าอยู่เลย
พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับคุณได้อย่างไร?
เป็นไปได้อย่างไร?”
เราบอกเขาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่
เพราะว่าพระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างนั้น
นี่ไม่ได้พูดให้เราไปกินเหล้านะ
กำลังบอกท่านว่าคนอื่นเขาจะคิดอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าบริสุทธิ์สะ
อาดมาก เราสกปรกขนาดนี้ พระเจ้าจะอยู่กับเราได้อย่างไร?
เราบอกเขาว่าเราสะอาดหมดจด ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเอง
แต่เพราะเราเชื่อในการไถ่บาป ในการชำระบาปจากพระเยซูคริสต์
เอเมน เราไม่ต้องทำด้วยตัวเราเอง
เพราะพระคัมภีร์บอกว่าเป็นพระคุณๆ เป็นอะเมชิ่งเกรซ
เกรซ แปลว่าอะไรก็ตามที่เราได้รับ
โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ แม้ว่าเราไม่สมควร
ก็จะให้ เขาเรียกว่าโปรดปรานพิเศษ เอเมน แล้วเราทุกคน
ก็ได้รับตรงนั้น
มีใครไหมครับที่บอกว่า
“ตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉันแล้ว เพราะฉะนั้น
ฉันสามารถสัมผัสได้ ขนลุกซู่เลย ร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเลย”
เคยได้ยินไหม? เคย ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา ถามว่ามีไหม?
มีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น
จึงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่ถ้ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว มีพระเจ้าสถิตอยู่แล้ว
บางครั้งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็โอเคไป
แต่มันไม่ได้เป็นสาระสำคัญ เราต้องไปเอาหลักฐานตรงนั้น
มาบอกว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่
หลักฐานของการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของใครคนใดคนหนึ่
ง อยู่ที่ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า
ถ้อยคำพระเจ้าบอกถ้าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์
พระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน นั่นแหละ คือหลักฐานชัดเจน
เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินใคร ในขณะที่แต่ละคนเต้นโลด
พระวิญญาณสถิตอยู่กับเขา คนนี้นั่งนิ่งๆ
แล้วบอกว่าพระวิญญาณไม่สถิตอยู่กับเขา อย่าไปตัดสินอย่างนั้น
มันอาจจะตรงกันข้ามก็ได้นะ เราก็ไม่รู้
ฉะนั้นให้เรารู้ว่าสาระสำคัญมันอยู่ตรงไหน?
แล้วท่านรู้ไหมว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตกับท่าน
จะมาคอยช่วยเหลือ คอยสอน ให้เรารู้จักพระเจ้า ตามพันธสัญญา
มาเป็นพี่เลี้ยงเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
ให้เราได้สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า
เชื่อไหม? เชื่อ
แล้วทำไมไม่เห็นทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าหลายอย่างเลย
ก็เคยบอกแล้วใช่ไหม? พอเราเชื่อพระเยซูปุ๊บ
พระเยซูประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับเราใช่ไหม?
ขณะเดียวกัน พระเยซูก็ปักป้ายอยู่ที่หลังเรา เขียนว่า
“อยู่ในการก่อสร้าง ขออภัยในความไม่สะดวก”
ชีวิตเราทุกคนก็อย่างนี้ มันก็ไม่สะดวก ยังไม่เสร็จ เพราะฉะนั้น
อาจจะมีตกหล่น บกพร่องไป พระเยซูบอก “อภัยด้วยค่ะ/ครับ
คนนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง” ถ้าท่านไม่เชื่อ
ท่านลองเอาป้ายติดตัวเองก็ได้ ต่อไปนี้เกิดอะไรขึ้น หงุดหงิดไป
พูดจาเลอะเทอะไป กรุณาอภัยด้วย
เพราะว่าพระเยซูบอกว่าอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
ขออภัยล่วงหน้า เอเมน ลองมาอ่านดูในโรม 8:26-27
โรม 8:26-27 “ 26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเรา
เมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใด
อย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา
ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ 27
และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์
ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ
เพราะว่าพระวิญญาณทรงอธิษฐานขอ เพื่อธรรมิกชน
ตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า”
บางครั้งเราไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไร? เราเซ็งตัวเองเหลือเกิน
ทำไมโลภอีกแล้ว ทำไมหงุดหงิดอีกแล้ว ทำไมโมโหอีกแล้ว
ทำไมอีกหลายๆ อย่าง ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอีกแล้ว
เคยไหม? เคย มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
แล้วพระวิญญาณก็จะช่วยเราทีละนิดทีละหน่อย ก่ออิฐไปทีละก้อน
โบกปูนไปทีละนิด ค่อยๆ แกร่งขึ้นๆ สร้างไปเรื่อยๆ เสร็จเมื่อไร?
โน่น อยู่ในสวรรค์จึงจะเสร็จ บนโลกนี้ไม่เสร็จ
ตอนที่ท่านล่วงหลับไป ร่างกายบนโลกใบนี้หยุดทำงาน
ตอนนั้นก็ยังไม่เสร็จ แต่วิญญาณออกไป เมื่อรับร่างกายใหม่
จากพระเจ้าแล้ว เสร็จเรียบร้อย เอเมน เพราะไม่มีเชื้อบาปแล้ว
เมื่อเราเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราอย่างนี้แล้ว
พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ
เราก็พร้อมแล้วที่จะเชื่อวางใจในหลักข้อเชื่อต่อไป
ที่เรากำลังจะเรียนต่อไป ก็คือ …
“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในสากลคริสตจักร
และในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน”
คำว่า “สากลคริสตจักร” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Catholic Church”
คาทอริค ที่เขาเรียกกันว่าโบสถ์คาทอริค
คำว่า “Catholic” เป็นภาษาดั้งเดิม แปลว่าสากล
หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือภาษาอังกฤษ คือคำว่า Oneness
แปลว่าหนึ่งเดียว
คำว่า “Catholic Church”
จึงมีความหมายว่าคริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียว พวกเราส่วนใหญ่
เวลาพูดถึงคริสตจักร ก็มักจะนึกถึงสถานที่ คริสตจักรโน้น
คริสตจักรนี้ โบสถ์โน้น โบสถ์นี้ วิหารโน้น วิหารนี้
ที่คริสเตียนไปรวมกัน ผู้ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว มาร่วมกันนมัสการ
มาร่วมกันศึกษาพระคัมภีร์ ฟังคำบรรยาย มารู้จักกันอะไรต่างๆ
เหล่านั้น
แต่จริงๆ แล้ว คำว่า “คริสตจักร” หรือ “Church”
ไม่ได้หมายถึงเป็นแค่สถานที่ หรือแค่ตัวอาคารเท่านั้น
แต่คริสตจักรจริงๆ หมายถึงครอบครัวที่ประกอบไปด้วยกลุ่มคน
ผู้ซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์
เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ นี่แหละเรียกว่าคริสตจักร
คริสตจักร ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์นั่นเอง หรือ Kingdom of
Christ
เมื่อเราเชื่อพระเยซู
เราถูกนำเข้าไปอยู่ในราชอาณาจักรของพระเยซูคริสต์
เหมือนประเทศ ประเทศหนึ่งของพระเจ้า ใหญ่มาก
เพราะว่าพระคัมภีร์บอกแล้วว่าอาณาจักรของพระองค์
จะไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาล ทุกยุคทุกสมัย
ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์
ที่ตั้งต้นตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย
จนถึงวันนี้ ก็ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ครอบครองไปทุกๆ ปี
ในอนาคตตลอดไป
พอเราเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู
เราได้ถูกจับใส่เข้ามา โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทางวิญญาณ
เข้าไปอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรของพระเยซูคริสต์
เรียกว่าคริสตจักร
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามบนโลกใบนี้ ถูกจับเข้าไปในอาณาจักร
ท่านเห็นไหม? ประเทศเดียว เรียกว่าประเทศพระคริสต์
ประเทศพระเยซู เรียกว่าอาณาจักรของพระเยซู
เราทั้งหลายอยู่ในนั้นแหละ
อธิบายอย่างนี้ ท่านพอจะมองเห็นภาพไหม? มีหนึ่งเดียว
มีประเทศเดียว ก็คือประเทศพระเยซู ไม่ว่าอยู่แห่งไหน?
กาลาเทีย 3:26
“เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมกันในพระเยซูคริส
ต์ โดยความเชื่อ”
ท่านทั้งหลาย หมายถึงทั้งหมดบนโลกใบนี้
เป็นบุตรของพระเจ้าร่วมกัน ก็คือเป็นครอบครัวเดียวกัน
เอเฟซัส 2:19 “เหตุฉะนั้น บัดนี้
ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป
แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับวิสุทธิชน
และเป็นครอบครัวของพระเจ้า”
ความหมายของการเชื่อและวางใจในสากลคริสตจักร
หรือ Catholic Church
ก็คือข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของ
พระเจ้า ในราชอาณาจักรของพระเยซูคริสต์
ที่มีพระเจ้าเป็นพระบิดา หรือมีพระเจ้าเป็นพ่อ
และมีพระเยซูเป็นเสมือนพี่ชาย …
พี่ชายพาพวกเราทั้งหมดมาหาพ่อ และคืนดีกับพ่อ ไถ่บาปให้กับเรา
แล้วก็กลับเข้ามาอยู่ในอาณาจักรที่พ่อประทานให้พวกเรา
โดยให้พระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็เหมือนน้องๆ เข้ามา
อย่างนี้ ต้องใช้ความเชื่อศรัทธา
ใครถามท่านตอนนี้ว่าสำมะโนครัวของท่านอยู่ที่ไหน?
ใครเป็นหัวหน้าครอบครัว ท่านอาจจะนึกในใจ
“หัวหน้าครอบครัวผม ก็คือพระเยซู”
นี่เรื่องจริง พระคัมภีร์บันทึกไว้ เข้าใจอย่างไร?
คุณอยู่บนโลกใบนี้ คุณนามสกุลนี้ พ่อคุณ ปู่คุณอยู่ตรงนี้
อยู่ประเทศไทยนี้ คุณบอกว่าตอนนี้
คุณอยู่ในอาณาจักรพระเยซูคริสต์
มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าครอบครัว พูดแล้วคนไม่เข้าใจเราเลย
ไม่มีเหตุผลเลย มันจึงต้องใช้ความเชื่อศรัทธาไง
พยายามเน้นความเชื่อศรัทธาท่านว่ามันแปลว่าอย่างนี้
ความเชื่อศรัทธา เชื่อ วางใจ เชื่อศรัทธา คือไม่ต้องสงสัย
พระคัมภีร์พูดอย่างไร? ก็เอาอย่างนั้น ไม่ต้องเข้าใจ
ไม่ต้องมาอธิบายว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?
ไม่ต้องพยายามค้นหาว่าหลักฐานตรงไหนที่เขียนบอกไว้ …
“เอาหลักฐานมาให้ฉันดูหน่อยว่าเธอเป็นประชากรของอาณาจักรข
องพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่ตรงไหน?
ไม่ต้อง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น
“เธอเป็นญาติกับพระเยซูตอนไหน? อยู่ดีๆ
พระเยซูไปเป็นพี่ชายเธอ เพราะอะไร? ปู่ชื่อโยเซฟเหรอ”
อะไรอย่างนี้ ไม่ต้อง มันเป็นเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ
ตอบได้อย่างเดียว คือตอบตามพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น จบ เอเมน ไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
ไม่ต้องรอให้เขาถาม อธิบายอย่างนั้นอย่างนี้
นี่คือความเชื่อศรัทธาแปลว่าอย่างนี้ ในเรื่องนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ไม่ต้องมานั่งคิดว่า
“แล้วความเชื่อศรัทธาสายของเธอมาจากฮาม ยาเฟท
หรือตั้งแต่สมัยโนอาห์”
พระคัมภีร์บอกผู้เชื่อทุกคนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวของพ
ระเจ้า ทุกคนเป็นพี่น้อง มีความสัมพันธ์
ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเนื้อหนัง
แต่เป็นความสัมพันธ์ทางฝ่ายวิญญาณ ผูกพันกัน
ในฐานะที่ต่างฝ่าย ต่างก็เป็นลูกของพระเจ้า
มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต เหมือนกัน
ได้รับการไถ่บาปจากพี่ชายคนโต คือพระเยซูเหมือนกัน
ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับโดยผ่านทางความเชื่อ
โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า
ที่ทรงประทานให้กับเราด้วยความรัก สำแดงสิ่งต่างๆ ค่อยๆ
สอนเราทีละนิดทีละหน่อย
ตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกที่พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา
ก็จะสอนเราในเรื่องพระเจ้านี่แหละ
มีคำกล่าวไว้ว่าอย่างนี้ …
“ครอบครัวของพระเจ้า เป็นสิ่งเดียวเท่านั้น”
นึกถึงครอบครัวของพระเจ้า ก็คือ Catholic Church นั้น
ครอบครัวของพระเจ้า เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้นบนโลกนี้
และจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นครอบครัวเดียวเท่านั้น ครอบครัวอื่นๆ
เกิดแล้วก็ดับๆ แต่ใครที่เข้ามาเกิดในครอบครัวของพระเจ้านี้แล้ว
ในคริสตจักรสากลนี้แล้ว ใน Catholic Church นี่แล้ว
เขาจะคงอยู่ในครอบครัวนี้ นิรันดร์ คือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
ต้องมีวันเสื่อมสลาย สูญสิ้นไป
แต่ครอบครัวของพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป แม้จนวันหนึ่ง
ร่างกายเรา ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ล่วงหลับไป หยุดทำงาน
หัวใจหยุดเต้น วิญญาณเราออกจากร่าง
เราก็ยังคงสถานะอยู่ในครอบครัว เป็นสมาชิกนี้
อยู่ในครอบครัวนี้เหมือนเดิม และอยู่ไปตลอดเลย เอเมน
และจากความเชื่อทั้งหมดนี้ ที่เราเรียนรู้มาทั้งหมดนี้ 9 ข้อแล้ว
คราวนี้เราก็มาเรียนรู้กันต่อ และเชื่อไม่ยาก ในข้อต่อไป
ง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะมันต่อกันมา
เรามาติดตามหัวข้อนี้กันต่อ
“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในการอภัยโทษบาป
ในร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่พระเจ้าสัญญาไว้
และชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้”
ข้าพเจ้าเชื่อทั้งหมดนี้เลย
ย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าทั้งหลายทั้งปวง
ที่เราพูดกันในเรื่องหลักข้อเชื่อ เป็นความเชื่อ
ที่เกินกว่าความคิดจะเข้าใจ ไม่ต้องใช้ความเข้าใจเลย
ไม่ต้องใช้ความรู้สึก ไม่ต้องใช้การสัมผัส
แต่ใช้ความเชื่อง่ายๆ สั้นๆ แต่ก็คือเชื่อศรัทธา
ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างไร ก็เชื่อตามนั้น
หลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อนี้ ที่มีการรวบรวมกันมาตั้งแต่ยุคแรกๆ
ยุคอัครทูตเดิมๆ ที่เดินกับพระเยซู ยุคเริ่มต้น
รวบรวมสาระสำคัญและแก่นแท้ของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู
คริสต์ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก จากพระคัมภีร์มารวมกัน
ขมวดเป็นข้อที่สำคัญๆ มากๆ อยู่ใน 12 ข้อนี้นั่นเอง
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อมา 9 ข้อแล้ว ในอีก 3 ข้อนี้
มันไม่ยากแล้ว เพราะมันต่อเนื่องกัน
เราสามารถเชื่อวางใจในเรื่องเกี่ยวกับการอภัยโทษบาป
ในร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายและชีวิตนิรันดร์นี้ไม่ยาก
เราเชื่อในสิ่งเหล่านี้ได้ ก็เพราะว่าพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้
ท่านมีความรู้สึกไหมว่าท่านได้รับการอภัยโทษ ไม่มี แต่ท่านรู้ได้
เพราะท่านเชื่อ ไม่ใช่รู้สึก รู้สึกไม่ได้ ถ้ารู้สึก
เกิดวันหนึ่งท่านไม่รู้สึก จะทำอย่างไร? ท่านเคยรู้สึกไหมว่า …
“ฉันไม่ได้รับการอภัยโทษบาป”
“ฉันทำแย่มาก ฉันทำผิดบาปมาก ฉันแย่มากๆ”
เคยไหม? มีความรู้สึกนี้ เคยใช่ไหม? ตัดมันทิ้งไปซะ
เริ่มต้นใหม่ ท่านไม่ต้องรับผิด ท่านก็ไม่ต้องรับชอบ
ท่านไม่ต้องมีความรู้สึกว่า …
“ตอนนี้ฉันได้รับการอภัย เพราะฉันทำดี”
ไม่ต้อง
“ฉันจะดีหรือเลว ในสายตาของใครก็ตาม
หรือตามศีลธรรมก็ตาม”
พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็จะเข้าใจผิด ไม่รู้ล่ะ ยกตัวอย่าง
รู้สึกกำลังโกรธใคร หรือรู้สึกว่า …
“ฉันเลวมากเลย”
ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกว่าท่านรู้สึกอย่างนั้น
ท่านต้องขึ้นตรงต่อถ้อยคำพระเจ้า ท่านได้รับการอภัยโทษบาป
เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า
ท่านต้องยืนกรานตรงนี้ ตราบใดที่ท่านบอกความรู้สึก ผิดหมดเลย
ต้องไม่ใช้ความรู้สึก ต้องใช้ความเชื่อความศรัทธาเพียงอย่างเดียว
พระเยซูก็รู้ว่าเราจะเป็นอย่างนี้
พระเยซูยกตัวอย่างในหนังสือลูกา บทที่ 15
เรื่องเกี่ยวกับบุตรน้อยหลงหาย ตอนหลงหายไปแล้ว
เขารู้ว่าเขาทำอะไร? ผิดต่อใคร? เขารู้สึกว่าเขาผิดต่อพ่อเขา …
เขาคิดเอง พ่อเขาพูดหรือเปล่า? พระเยซูพูดไหมว่าเขาผิด
พระเยซูบอกว่าเขาเอง นั่นแหละ รู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองแย่
เพราะฉะนั้น ขอแค่กลับไปหาพ่อ แล้วขอเป็นแค่ทาส เป็นลูกจ้าง
ขอแค่ไปกินเศษข้าวของพ่อก็ยังดี นี่คือความคิดผิดหมดเลย
นี่คือความคิดในทางติดลบ ขณะนั้น
พ่อไม่ได้คิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นลูกเดินมาแต่ไกล โน่น
มาแล้ว จะจัดการให้ เดี๋ยวลงโทษให้สาสมเลย
คิดอย่างนี้หรือเปล่า? พ่อเห็นมาแต่ไกลเลย ลูกมาถึงบอกคนรับใช้
ไปเอาเสื้อ เอาเสื้อคลุมมา เอาแหวนมา เอารองเท้ามา
จัดงานเลี้ยงเลย ไม่ได้คิดถึงว่าทำผิดอะไร? แม้แต่นิดเดียว
ความแตกต่าง พระเยซูให้เห็นว่าพระเจ้าเมตตา พระคุณ
ตรงนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ตรงนี้เป็นหัวใจความรอด
หัวใจของคำว่าเชื่อศรัทธา ไม่เอาความรู้สึกเกี่ยวข้องเด็ดขาด
เอเมน โคโลสี 1:13-14
โคโลสี 1:13-14 “ 13
เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความ
มืด
และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระอ
งค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป
คือการอภัยโทษบาปของเรา”
“ฉันได้รับการไถ่บาป เพราะฉันเชื่อในพระบุตรแล้ว”
ไม่ต้องใช้ความรู้สึก อ่าน แล้วเชื่อ
การอภัยโทษบาปของเรา
ตรงนี้ก็คือเราได้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย
อย่างครบถ้วนถาวรแล้ว โลหิตของพระเยซูคริสต์
หรือเลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งจากไม้กางเขนนั้น
ได้ชำระล้างบาปให้กับเรา บาปที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด
ที่เรียกว่าเชื้อบาปของมนุษยชาติ บาปที่เราเคยทำในอดีต
ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์แล้ว บาปในปัจจุบันที่กำลังทำอยู่
และบาปในอนาคตที่อาจจะทำ ถามว่ามีทางทำไหม?
หรือจะไม่ทำอีกแล้ว ทำแน่นอน เยอะหรือน้อยเท่านั้นเอง
บาปเหล่านี้ ได้ถูกอภัยเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้าเลย
ตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ในยอห์น 8:36 พระเยซูตรัสเอง
“เราทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านก็เป็นอิสระอย่างแท้จริง”
พระบุตรช่วยให้ท่านเป็นไท เรียกว่าอิสรภาพ
ท่านก็จะเป็นไทอย่างแท้จริง ก็คือเป็นไทอย่างจริงๆ เลย
ไม่มีใครปรับโทษท่านอีกแล้ว มีผู้เดียวที่ปรับโทษท่านได้
คือตัวท่านเอง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน พระคัมภีร์บอก
ไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว รักท่านอย่างมาก มีผู้เดียวที่ทำท่านได้
คือตัวท่านเอง เพราะท่านรู้สึกอย่างนั้น
และผลต่อเนื่องจากการอภัยโทษบาป
ก็คือรับร่างกายใหม่ และชีวิตนิรันดร์
ตามพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าทรงจัดเตรียมให้กับปร
ะชากรของพระองค์ คือคนเหล่านั้น
ที่เชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์
คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” มีความหมายอยู่ 2 มุม นี่ภาษาไทยนะครับ
คำว่า “นิรันดร์” ที่แปลเป็นระยะทาง ก็คือตลอดกาล
เรียกว่านิรันดร์
และอีกอย่างหนึ่ง “นิรันดร์” แบบมีคุณภาพ
ในมุมมองเรื่องระยะเวลา หมายถึงชีวิตที่ไม่มีสูญสิ้น
ซึ่งเรื่องของระยะเวลาที่ไม่มีการสูญสิ้น
พระเจ้าให้กับเราทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่วันที่สร้างมนุษย์คู่แรก
มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณที่มาจากพระเจ้า
ที่เป็นนิรันดร์แบบไม่สูญสิ้น อยู่แบบตลอดไป
แม้กายภายนอกจะสูญสิ้นไป คือหมดลมหายใจ หัวใจหยุดเต้น
แต่กายทางวิญญาณจะคงอยู่ตลอดไป
ตรงนี้เรียกว่านิรันดร์เหมือนกัน ซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
ที่ต้องการสร้างมนุษย์ให้เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกๆ
ระบายลมหายใจของพระองค์เข้าไปอยู่ในมนุษย์
มนุษย์ก็เป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่สูญสิ้น เป็นนิรันดร์อยู่แล้ว
พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนเป็นนิรันดร์ ที่คงอยู่ตลอดไป
ไม่สูญสิ้น เหมือนที่พระองค์ทรงเป็น แต่มนุษย์ทำบาป
มนุษย์ต้องตายทางฝ่ายวิญญาณ คนละเรื่องกัน
ตายทางฝ่ายวิญญาณเหมือนกัน คือไม่สูญสิ้นเหมือนกัน
แต่ไม่สูญสิ้นแบบตาย ตายแปลว่าตายในวิญญาณ
ถ้าตายในร่างกาย พระคัมภีร์ใช้คำว่า “หลับ” “ล่วงหลับ”
ตายในวิญญาณ ก็คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า
การเป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า
อยู่คนละข้างกับพระเจ้า นี่แหละตายทางฝ่ายวิญญาณ
ไม่รู้จักพระเจ้า
ความหมายของ “ชีวิตนิรันดร์” ในมุมของคุณภาพ
คือเรามีชีวิตนิรันดร์ ที่ไม่มีวันสูญสิ้นเหมือนกัน
แต่เป็นความไม่สูญสิ้น ที่มีคุณภาพ
มีลักษณะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้จักพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้
กลับไปคืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า
อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เห็นพระเจ้า
ได้ยินเสียงพระเจ้าตลอดไป นี่เขาเรียกว่าคุณภาพ มีพระสิริ
สง่าราศี สติปัญญาเหมือนพ่อ เหมือนพระเจ้า พูดง่ายๆ
เป็นวิญญาณที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ไม่ได้ตายแล้ว ตรงนี้
เขาเรียกว่าชีวิตนิรันดร์
ซึ่งเป็นความหมายหลักของพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระองค์ทรงสัญญา
ว่าเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์
คือเราจะได้รับชีวิตที่ไม่ต้องตายอีกต่อไป
คือไม่ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าอีกต่อไป
เราจะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์ ตลอดไปเลย
เราจะได้ไปอยู่ในสถานที่ที่พระเจ้าปกครอง ควบคุมอยู่ คือสวรรค์
เราไม่ต้องไปอยู่ในที่อบาย ที่ที่ไม่มีพระเจ้า
ชีวิตนิรันดร์แบบคุณภาพตรงนี้ ที่เป็นมรดกจากพระเจ้า
ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา
ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า
คือชีวิตที่มีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่บาปนั่นเอง บริสุทธิ์
ถ้าวิญญาณตายอยู่ ก็คือวิญญาณที่บาปอยู่ บาป
ก็คือเป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า
อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า
แล้วจะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? อยู่ในสวรรค์ไม่ได้อยู่แล้ว
ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่
นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สัญญาว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้คืออะไร?
และบวกกับที่ตะกี้นี้เราบอก ร่างกายใหม่ที่เราเชื่อในร่างกายใหม่
เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือร่างกายที่เราหมดลมหายใจไปแล้ว
พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อถึงวันนั้น
พระเจ้าจะประทานร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายใหม่
ที่เต็มไปด้วย พระสิริของพระเจ้า ให้กับเรา ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด
ไม่ต้องป่วยอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องมีเชื้อบาป
ไม่ต้องต่อสู้กับความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความหงุดหงิดอะไรต่างๆ อีกแล้ว สบายเลย นั่นแหละ
คือสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับเราไว้ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์
เราจะได้รับสิ่งนี้ และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้ความรู้สึกได้ว่า …
“ฉันได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ฉันได้รับแล้ว
ฉันรู้สึกว่าฉันเชื่ออย่างนี้”
ไม่ใช่รู้สึก
“ฉันเชื่อ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น
เป็นพันธสัญญาของพระเจ้า”
เรียกว่าความหวังนั่นเอง
จบแล้วนะ ในหลักข้อเชื่อของอัครทูต ซึ่งเป็นแก่น
เป็นสาระสำคัญของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เกี่ยวกับความรอด
รวมกันมาจากพระคัมภีร์ 12 ข้อ ขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เลย
เราจะมาร่วมกันอ่านตรงนี้ชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง
1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์
พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
3. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง
ทรงถูกตรึงที่กางเขน จนถึงมรณา
ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สาม
ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับ ณ
เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
7. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น พระองค์จะเสด็จมา
พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ
ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา
9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์
ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน
10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น
11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน
ขอพระเจ้าอวยพรครับ