คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2016 เรื่อง “พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว … พระองค์ทรงอยู่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย ซึ่งเป็นวันที่ 3 นับจากวันศุกร์ ที่พระองค์ทรงถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน ถามว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  ทำไมเราถึงดีใจ? ทำไมเราต้องมาฉลองกัน เกือบ 2,000 ปีแล้วว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราเรียกว่าวันอีสเตอร์ คือวันฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์  กิจการ 13:32-33 จะบอกว่าทำไมมนุษย์ถึงดีใจมากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย

กิจการ 13:32-33 “32 “สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเหล่าบรรพบุรุษของเรา 33 พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อพวกเรา ผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น โดยทรงให้พระเยซูเป็นขึ้น ตามที่เขียนไว้ในสดุดี บทที่สองว่า ‘เจ้าเป็นบุตรของเรา  วันนี้  เราได้เป็นบิดาของเจ้า’”

 

เอเมน เป็นบิดาของทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ด้วย สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่อาดัมและอีฟล้มลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้า ดื้อกับพระเจ้า เมื่อกบฏต่อพระเจ้า ก็ได้รับการลงโทษ เรียกว่าการสาปแช่ง

กบฏ ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรู เรียกกันว่าบาป

บาป คืออยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า

โทษ ก็คือคำสาปแช่ง อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า เห็นไหมครับ? แต่สัญญานี้บอกว่าวันหนึ่ง เราจะกลับมาดีกันใหม่ วันหนึ่งเราจะอภัยในบาปเหล่านี้ให้ แล้ววันนั้น มาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

 

“ฮาเลลูยา”

ทั้งโลกร้องกันอย่างนี้ ร้องมาแล้ว 2,000 ปี เขาดีใจไง เพราะวันอีสเตอร์ เป็นวันที่เราทั้งหลายมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้สามารถกลับมาเป็นลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์บอกว่าพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จ คือวันคริสตมาส วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ 3 วันนี้รวมกันเป็นข่าวประเสริฐ คือสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา บรรพบุรุษของเรา พระองค์ได้ทำให้สำเร็จแล้ว ในวันนี้ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว คือวันอีสเตอร์ คือวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย จบ … จบเลยนะครับ

เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นแผนการที่ได้ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้า  ผ่านทางการเผยพระวจนะ คือพระคัมภีร์เดิมเขียนบอกไว้ก่อนล่วงหน้า เป็นเวลานับพันๆ ปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และพระเยซูเองก็ทรงทราบถึงเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง เพราะเขียนมาหมดแล้วเรียบร้อย ก่อนพระองค์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป แล้วถูกสาปแช่ง พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะช่วยมนุษย์อย่างไร? บรรทัดหนึ่งที่เขียนไว้บอกว่าพระเยซูจะมาเกิด และจะมาเหยียบหัวมาร บอกเสร็จเลย  คือบอกเลยว่าพระเยซูจะมาถูกตรึงที่ไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหยียบหัวมาร

ทำไมผมถึงบอกว่าพระเยซูทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างล่วงหน้า ก็เพราะว่าพระองค์ทรงบอกเอง ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า ‘บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสสหนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี ที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 จากนั้น พระองค์ทรงเปิดใจเขา เพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์ และเป็นขึ้นจากตาย ในวันที่สาม”

 

ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ในหนังสือผู้เผยพระวจนะ หนังสือสดุดี พูดง่ายๆ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา (พระเยซู) คือแผนการลับของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ มันจะต้องสำเร็จตามที่พระเจ้าสั่งไว้ล่วงหน้าทุกประการ บันทึกไว้ล่วงหน้า เป็นพันๆ ปีว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน  และจะเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พูดมาตลอด และการที่พระคัมภีร์เก่าหรือพระคัมภีร์เดิมบอกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกว่าคำเผยพระวจนะ เป็นการตอกย้ำว่าทั้งหลาย ทั้งปวงเหล่านี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เรียบร้อยแล้ว ที่จะประทานความรอดจากบาปให้กับมนุษยชาติ พูดง่ายๆ เป็นแผนการที่พระเจ้าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโทษ ที่เขากระทำผิด ที่เขาเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อฟัง เขาหลงเชื่อมารไป ตอนนั้น เขาจำเป็นจะต้องได้รับคำพิพากษาลงโทษ แต่เนื่องจากเรารักเขา เขาเป็นลูกเรา เราจะช่วยเขา แต่ช่วยให้เป็นไปตามกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน จึงวางแผนไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเรา (“เรา” นี่หมายถึงพระเยซู)

“ที่พูดถึงเรา ที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ทั้งหมดนั้น  ก็จะต้องเกิดขึ้น เป็นไปตามนั้นแน่นอน”

และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เขียนมาตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ซึ่งไม่รู้ว่ามันกี่ปี? เพราะตอนนั้นยังไม่ได้นับปี แต่ได้เขียนลงไปในนั้นแล้ว  แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ เป็นไปตามที่เขียนทั้งหมด เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจาก 2,000 ปีนั้น เราก็ได้ศึกษากันมาอยู่เรื่อยๆ แล้วมันก็เกิดขึ้น มากขึ้นกว่านั้นอีก ในสิ่งต่างๆ ที่บันทึกไว้

เรามาย้อนดูสักนิดว่าในพระคัมภีร์เดิมบันทึกไว้อย่างไร? ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในสดุดี 22:1-2 ได้บันทึกไว้ประมาณ 1,000 ปีก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขนจริงๆ เป็นเหตุการณ์ที่บอกล่วงหน้าเป็นพันปี

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือ 1,000 ปีก่อนที่เกิดขึ้นจริง พระเจ้าเผยพระวจนะ บอกล่วงหน้า โดยให้กษัตริย์ดาวิด ได้เห็นภาพล่วงหน้าก่อนพันปีว่าพระเยซูจะมาเป็นอย่างไร?  และให้เขียนออกมา แล้วกษัตริย์ดาวิดก็เขียนสิ่งนี้ขึ้นมา เห็นภาพเข้าไปในโลกวิญญาณ แล้วก็เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา สดุดี 22:19-21

สดุดี 22:19-21 “19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

สมมติวันนี้เป็นวันอีสเตอร์ของ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ คือวันศุกร์ พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น    พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง?    มองทุกวินาที   รู้ว่าช็อตต่อไปจะเป็นภาพอะไร?  พระองค์ทรงรู้ว่าตะปูนั้น มันยาวเท่าไร? และจะตอกลงไปที่มือและเท้าของพระองค์อย่างไร? พระองค์ทรงมองเห็นหอก รู้ว่าจะมาแทงที่สีข้างพระองค์ตอนไหน? พระองค์ทรงรู้ว่าเขาจะยกไม้กางเขนขึ้นตั้ง เป็นช่วงที่ทรมานมาก เพราะว่าน้ำหนักตัวจะห้อยลงมา พระองค์ทรงรู้หมดเลย ตั้งแต่ 3 โมงเช้า จนถึงบ่าย 3 โมง มันทรมานขนาดไหน? หายใจแต่ละครั้งเหนื่อยขนาดไหน? และพระองค์ทรงทราบดีว่าตอนที่พระองค์อยู่บนไม้กางเขน 6 ชั่วโมง พระองค์ต้องแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์เอง บาปทุกชนิด ไว้ที่ตัวพระองค์เอง รับแทนเขาไปหมดเลย  เอาง่ายๆ คนเป็นโรคเรื้อน หรือคนเป็นมะเร็งก็ตาม

ท่านรู้ไหมว่ามะเร็ง คืออะไร? มะเร็ง ก็คือโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเรื้อนก็เป็นโรคภัยชนิดหนึ่ง โรคเหล่านี้ มันมาได้อย่างไร? มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้เป็นโรค มนุษย์ถูกสร้างมาให้แข็งแรง พระเจ้าสร้างมนุษย์มา ไม่ให้มีการเจ็บป่วยเลย แต่เพราะมนุษย์ทำบาป เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับการลงโทษ มนุษย์ก็เลยต้องป่วย เพราะว่าอ่อนแอลง นี่คือบาปทั้งนั้น และบาปร้ายแรงที่สุด ก็คือเมื่อมนุษย์ถูกลงโทษ วิญญาณมนุษย์ที่สะอาดเหมือนพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์นั้น ได้กลายเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป วิญญาณก็เรียกว่าวิญญาณบาป รับโทษของความบาป คือความตาย

“ความตาย” ในที่นี้ หมายถึงตายจากพระสิริของพระเจ้า ไม่ใช่ตายแบบสูญสิ้นไปเลย ไม่ใช่ ถ้าตายแบบสูญสิ้นไปเลย ก็ดีนะ แต่นี่มันไม่ได้สูญสิ้น เพราะวิญญาณเรามาจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ อยู่อย่างไรนิรันดร์ อยู่แบบตายนิรันดร์ คือเหี่ยวเฉานิรันดร์ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้นิรันดร์ อยู่ในนรกนิรันดร์ เขาเรียกว่าอยู่ในความพินาศนิรันดร์ นั่นทารุณที่สุด

นี่คือผลของความบาป และพระเยซูอยู่บนนั้น รับเอาความบาปทั้งหมด ที่ผมพูดมา ยกตัวอย่างให้นิดหน่อย พระองค์ทรงแบกไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน  นอกจากความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกาย เพราะพระองค์เกิด โดยการอุ้มบุญของมารีย์ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ทั้งร่างกายและเจ็บปวดทั้งวิญญาณ พระเจ้าจึงต้องเสด็จออกจากพระเยซูไป  พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์ทรงทอดทิ้ง

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ เฉพาะที่อ่านสดุดีนี้ 1,000 ปี ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ว่าพระองค์จะต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้  คือความรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า

นี่บันทึกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิม คือหนังสือสดุดี แล้วมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันศุกร์ประเสริฐ พอเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มัทธิวก็ได้บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้ประมาณเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ตอนที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ดูว่ามันตรงกันขนาดไหน? มัทธิวได้บันทึกไว้ในมัทธิว 27:46

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ยกมาให้ท่านดู เป็นอันเดียวกัน พระองค์ทรงรู้แล้วว่ามันทรมานมาก พระองค์ต้องพูดคำนี้แน่นอน แล้วพระองค์ก็หลุดคำนี้ออกมาจริงๆ ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปีที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเลย เพราะช่วงเวลานั้น พระองค์บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปเลย  เพราะว่าเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่วิญญาณของพระองค์มาจากพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด แต่ตอนที่อยู่บนไม้กางเขนนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซู ที่พระองค์รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน

พระองค์เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่อยู่ในร่างกายที่เป็นแบบมนุษย์ พระองค์จึงบริสุทธิ์ ไม่มีบาป ไม่มีความด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด ทรงรับรู้การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา พูดง่ายๆ คุยกับพระเจ้าตลอดเวลาเลย พระเยซูบอกว่า …

“สิ่งที่เราพูดกับท่านทั้งหลาย คือสิ่งที่เราได้ยินจากพระเจ้าพระบิดา เราจึงพูด”

จนกระทั่งมาถึงวันที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงแบกรับเอาบาปของมวลมนุษยชาติทั้งหมดไว้ที่พระองค์ ทั้งร่างกายและวิญญาณ จากที่เคยบริสุทธิ์ สามารถติดต่อกับพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นคนบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้อีกแล้ว เพราะพระเยซูบาป บาปกับบริสุทธิ์อยู่กันไม่ได้ ถึงอยากอยู่ ก็อยู่ไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องละทิ้งพระเยซูไป  จึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างเหลือเกิน กษัตริย์ดาวิดเห็นสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เห็นแต่ศุกร์ประเสริฐอย่างเดียว แต่เห็นทั้งวันอีสเตอร์ด้วย สดุดี 22:22-31

สดุดี 22:22-31 “22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์ แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์ ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ 24 พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์ ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ให้สำเร็จ ต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ 26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลาย มีชีวิตอยู่ตลอดกาล 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลก จะเลี้ยงฉลองและนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์ แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”

 

หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อบ่าย 3 โมงของวันศุกร์ ด้วยความทุกข์ทรมานแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น คือคนยากไร้จะได้อิ่มหนำสำราญ คือยากไร้ในวิญญาณ เหี่ยวแห้งหัวโต ทรมานจริงๆ ชีวิตนี้ เมื่อไรจะพบกับสัจธรรมสักทีหนึ่ง หามาตั้งนาน

ก่อนมารู้จักพระเยซู ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองยากไร้ แต่เมื่อท่านมาพบพระเยซูท่านจะรู้ทันทีว่าจิตวิญญาณมันเหี่ยวแห้งเหลือเกินตอนนั้น หาอะไรก็ไม่เจอ ไม่มีอะไรอิ่มใจสักอย่าง เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่มาพบพระเยซูเหมือนหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ยากไร้อีกต่อไป เอเมน ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แล้วเป็นตามนี้เลยทั้งโลกมาหาพระองค์  นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้าไว้ 1,000 ปี

ทุกวันนี้ พระเจ้าจะฟังเสียงเขา เมื่อเขาร้องทูลพระองค์ สมัยก่อนพระองค์ฟังไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนบาป  แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ฟังได้ เพราะเขาอธิษฐานผ่านพระเยซูคริสต์ เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่า …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ในนามพระเยซู”

ใส่นามพระเยซู หมายถึงเรากำลังประกาศว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ย้ำให้คนข้างๆ มีความมั่นใจ ย้ำให้มารซาตานได้รู้ว่าเราเชื่อจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า

ทำไม? ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตแบบคนละเรื่องขนาดนี้ จากการว้าเหว่ คร่ำครวญกับพระเจ้า ตัดพ้อ เปลี่ยนมาเป็นความชื่นชมยินดี โห่ร้องประกาศ สรรเสริญยกย่องพระเจ้า แบบล้นไปหมดเลย เพราะพระเยซูคริสต์ที่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บัดนี้ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ในวันที่สามตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้จริงๆ ซึ่งถ้อยคำในสดุดี ก็ตรงกับที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ในฮีบรู 2:9-13

ฮีบรู 2:9-13 “9 แต่เราเห็นพระเยซู ผู้ทรงถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย บัดนี้ ได้ทรงมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติแล้ว เพราะพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์ เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสความตาย เพื่อทุกคน 10 ในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าผู้ซึ่งสรรพสิ่งมีอยู่ เพื่อพระองค์ และโดยทางพระองค์  จะทรงทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายนั้นสมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ 11 ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์ กับบรรดาผู้ที่ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอาย ที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง 12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์จะประกาศพระนามพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะร้องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าที่ประชุม” 13 และตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะไว้วางใจในพระองค์” และพระองค์ตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า อยู่ที่นี่แล้ว”

 

ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ก็ฮาเลลูยา ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ ทั่วโลก เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็ค่อยๆ ลืม แล้วปีหน้าก็มาว่ากันใหม่ ธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ แต่นี่คือเหตุที่ทำไม เราจึงต้องมารวมกันอยู่ ณ สถานที่ที่เรียกว่าโบสถ์ในวันอาทิตย์ หรือทำไมเราจึงจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ เพราะว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่เขาทำหนังสือแล้ว เพิ่งจะมี 500 – 600 ปีนี่เอง ก่อนหน้านี้ไม่มี เขาเล่าสู่กันฟัง บอกกัน ต้องไปฟังที่โบสถ์อย่างเดียว ตอนนี้ยังมีให้อ่าน และมาล่าสุด ไม่ใช่อ่านอย่างเดียว แถมเปิดฟังได้อีก มีทั้งยูทูป เต็มไปหมด เราก็ยังไม่ฟังเหมือนเดิม นี่คือมนุษย์ แต่ไม่เป็นไร อย่างที่บอก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ฟัง ฟังแล้วมันก็ดีกับเรา ถ้าไม่ฟัง มันก็ทุกข์มากขึ้นหน่อยหนึ่ง มันใช้ความเชื่อ มันก็เชื่อน้อยบ้าง? มันก็หดหู่  แต่ถ้ามีความเชื่อมาก ก็เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีตลอดเวลา เพราะตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ตราบใดที่วิญญาณเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่  ตราบนั้นพระเจ้ายังใช้เราอยู่บนโลกใบนี้  เราจำเป็นจะต้องใช้ความเชื่อ ซึ่งมันเหนื่อยเหมือนกัน นิดๆ แต่พระเยซูบอกจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าเราติดสนิทอยู่กับถ้อยคำของพระองค์จริงๆ เอเมน อยากหายเหนื่อยไหม? อยาก อ่านพระคัมภีร์สิ ฟังเรื่องราวของพระคัมภีร์ ตอนนี้ไม่อยากบอกอ่านอย่างเดียว เพราะเทคโนโลยีไปไกลนะ อ่านพระคัมภีร์ ฟังพระคัมภีร์บ้าง สูดพระคัมภีร์บ้าง ผมไม่รู้นะ ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมา อาจจะมีเทคโนโลยีใช้เทกลิ่นของมัทธิวลงไปในโถนี้ แล้วดมกลิ่นมัน จะได้รู้เรื่องถ้อยคำหมด อาจจะเป็นไปได้นะ วันหนึ่งข้างหน้า ไม่รู้เป็นไปได้ไหม? วันนี้ เอาเทคโนโลยีแค่นี้  พยายามทำ เขาพยายามยกให้เราทั้งหมดเลย อยากจะทำข้ออะไร? กด เอาข้อนี้ข้อเดียว ออกมา ทั้งเล่มรู้หมดเลย  และความรู้ในนั้นเต็มไปหมดเลย ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งการค้นคว้าต่างๆ เยอะแยะมากมายตลอด 2,000 ปี อ่านบ้างหรือเปล่า?  ติดตามบ้างไหม? พูดแถมให้ พยายามว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้ชีวิตเรามีความมั่นคง

ในฮีบรู 2:9-13 เป็นใครก็อยากอ่าน เพราะเป็นเรื่องราวของการสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แห่งการไถ่บาป เป็นเวลาแห่งชัยชนะ ไม่ใช่เวลาแห่งการทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน

ในนี้บอกว่าอย่างไร? “เพราะพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน จนถึงสิ้นพระชนม์”

ก็คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐตอนบ่าย 3 โมง ด้วยความทุกข์ทรมานอย่างมาก

ถามว่าตายเพื่ออะไร? เพื่อว่าโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ทรงลิ้มรสของความตาย เพื่อทุกคน

รู้ไหมว่า “ลิ้มรสของความตาย” แปลว่าอะไร? เพื่อจะได้เป็นผู้แรกที่รู้ว่าตายมันเป็นอย่างไร? และเป็นขึ้นมาใหม่ มันเป็นฉันท์ใด เพื่อจะได้รู้รส เพื่อว่าจะได้มาช่วยเราทั้งหลาย ผู้กลัวความตาย จะได้ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป และเพื่อว่าพระองค์จะมารับเรา เมื่อวันที่เราจะจากโลกนี้ไป เพราะรู้ว่าลึกๆ ของเรา แม้เราจะเชื่อพระเยซูแล้ว เราก็ยังกลัวเหมือนเดิม แต่พระเยซูบอก …

“ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะว่าเราผ่านมาแล้ว เรารู้ว่าเธอกลัวเหมือนเราเลย เพราะฉะนั้น เราจะมารับเธอเอง”

ตอนที่ท่านนอนทุกข์ทรมาน เมื่อไรจะตายสักที ท่านก็นึกในใจ พระเยซูมาแล้ว พี่น้อง ญาติพี่น้องที่รักท่าน เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านพึ่งเขาไม่ได้หรอก เขามาให้กำลังใจท่าน  ท่านก็ได้แต่ยิ้ม เพราะว่าพอถึงเวลานั้น เวลาแห่งความตาย  ภาษาไทยเขาเรียกตัวใครตัวมัน รักเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เรารักเขาอย่างไร? เราก็ไปกับเขาไม่ได้ เขาอยากจะช่วยเราอย่างไร? เขาก็ไปกับเราไม่ได้ เราต้องไปคนเดียวแน่ๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูรู้ พระเยซูบอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมารับเอง  เอเมน

 

นี่หมายถึงพร้อมไปนะ  เราคริสเตียน เราพร้อมไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พระเยซูจะมารับเราด้วยตัวเอง พระองค์ทรงลิ้มรสของความตาย พวกเราจะไม่ต้องลิ้มรส

ถามว่าพระองค์ทรงตาย เพราะอะไร? แล้วทุกข์ทรมาน เพราะอะไร? ในนี้บอกว่าในการนำบุตรมากมายมาสู่พระเกียรติสิริ เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้า ผู้ซึ่งสรรพสิ่ง มีอยู่เพื่อพระองค์ จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น  สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ก็หมายถึงสมควรแล้ว ที่พระเยซูทนทุกข์ทรมาน แบกรับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้เรียบร้อยแล้วนั้น  จะทำให้มนุษย์ทั้งหลาย มาเป็นบุตรมากมายของพระเจ้า เต็มไปหมดเลย มาถึงทุกวันนี้ ไม่รู้กี่ล้านคนแล้ว

สมควรแล้ว และต่อไปนี้ บอกไว้อย่างนี้ว่า “โดยทางพระองค์จะทำให้ผู้ลิขิตความรอดของเขาทั้งหลายเหล่านั้น สมบูรณ์พร้อม โดยการทนทุกข์ ทั้งพระองค์ผู้ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหลายบริสุทธิ์”

คือการทุกข์ทรมานของพระองค์บนไม้กางเขน ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ

ใส่ชื่อท่าน “การทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนของพระเยซูทำให้ …. (ใส่ชื่อท่าน) บริสุทธิ์”

นั่นแหละ ทำให้ท่านเป็นสุข กับบรรดาผู้ได้ทรงทำให้บริสุทธิ์นั้น  เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่บริสุทธิ์อย่างเดียว นครไม่ได้บริสุทธิ์ เพราะความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์อย่างเดียว แต่ได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเราทุกคน กับพระเยซูด้วย

พระเยซูไม่อายเลยที่จะเรียก … (ใส่ชื่อท่าน) ว่าพี่น้อง

ท่านคิดดูสิ นี่คือพระคุณขนาดไหน? เราเป็นใคร? พอพูดถึงพระเจ้า ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยพระองค์เอง แต่เรียกเราว่าพี่น้อง เพราะอยากจะอยู่กับเรา เป็นครอบครัว บรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

“ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพระเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว”

หมายถึงอยู่ในครอบครัวพระเจ้า  นึกถึงภาพตรงนี้ไหม? พระเยซูกำลังเข้าไปหาพระเจ้าในวันหนึ่ง และพระเยซูก็บอกว่า …

“พระบิดา ข้าพเจ้าและบุตรทั้งหลายที่พระองค์ทรงประทานให้ ผ่านทางการตายของข้าพระองค์บนไม้กางเขนนั้นอยู่ที่นี่แล้ว กำลังสรรเสริญพระองค์อยู่”

ลองใส่ชื่อท่านสิ “ข้าพเจ้าและนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ที่พระองค์ทรงประทานให้ อยู่ที่นี่แล้ว”

บุตรทั้งหลาย ก็คือตัวท่านเอง นี่คือบทสรุปของแผนการ และความประสงค์ของพระเจ้า ที่ทรงให้มี วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ การตายบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามของพระเยซู เป็นการทำให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงบริสุทธิ์และได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ กับพระบิดา ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกใครก็ตาม ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ที่ไม้กางเขนว่าพี่น้อง เขาเหล่านั้น ก็คือทุกคนที่ถูกทำให้บริสุทธิ์แล้ว รวมทั้งพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเราเชื่อไง? พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว แต่ถ้าเราไม่เชื่อ มันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เราก็ยังสกปรกอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เราบริสุทธิ์แล้วเปล่าๆ แค่นี้เอง พระเยซูจึงบอกให้เราออกไปประกาศๆ ข่าวดีนี้ … ข่าวดีนี้ หมายถึงเขาสามารถบริสุทธิ์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แค่เชื่อพระเยซู

 

“เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตายเพื่อฉัน วันอีสเตอร์ เป็นขึ้นมาใหม่ ก็เพื่อฉัน ฉันนะ ไม่ใช่บ้านฉัน ครอบครัวฉัน ฉันคนเดียว คนนั้นก็จะได้รับสิทธินี้ไปทั้งหมด”

ไม่มีอะไรเลย ฟรี และฟรี และฟรี ฟรีหมด ง่ายมากเลย  พระองค์จึงบอกแค่นี้  ไม่ต้องให้เราทำอะไร? ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย พระองค์เคยสั่งไหม?  ไปสอนนะ สอนศีลธรรม ไม่มีเลย มีแต่ออกไปประกาศสิ ประกาศข่าวดี  ตรงนี้มันสำคัญที่สุด  พระเยซูเขาเรียกว่าไพโอเนีย หรือเป็นผู้นำที่ชนะความตายแล้ว เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วจากนั้น ก็จะมีคนจำนวนเยอะแยะมากมาย ที่เป็นขึ้นจากความตายด้วย ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกันกับพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนที่พระองค์ได้รับจากพระเจ้าว่าเมื่อทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นจากความตาย เป็นตัวแทนให้กับเรา พูดง่ายๆ  เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับอย่างนั้น  เราก็จะเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน เหมือนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะมีชีวิตอยู่ ในหลุมของคริสเตียนทั้งหลาย ตั้งนานมาแล้ว จะมีข้อพระคัมภีร์นี้อยู่ ยอห์น 11:25 นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย” เอเมน

 

ไม่ใช่เขียนไว้ที่หลุมศพเฉยๆ เท่ห์ๆ มันเป็นความจริง เรารู้เพราะอะไร? “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราคริสเตียนจะไม่กลัวตายเลย เพราะว่าพระเยซูมารับเราด้วย ขอบคุณพระเจ้า

ผู้ที่ตายไป แต่เขายังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่เป็นมนุษย์ ถึงเวลาก็ต้องตาย จากโลกนี้ไป  แต่เขาจะมีชีวิตอยู่นิรันดร์ในพระนิเวศของพระเจ้ากับเรา พูดง่ายๆ คือกำลังจะตาย เป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เรารู้ว่าผู้คนรอบข้างเรา ที่เราพึ่งพาบนโลกใบนี้ ไม่มีใครเลย ที่สามารถจะไปกับเราได้ เรากำลังไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? เราไม่รู้ ทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราไม่มีพระเยซู เราก็จะไม่มีความหวัง เราจะว้าเหว่มากเลย เพราะในใจเราทุกคน จิตใต้สำนึกของเรา  เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ลึกๆ มนุษย์ทุกคนรู้ นิ่งๆ ก็รู้ทันที ก่อนตายจะนิ่งที่สุด และเวลาเรากำลังจะจากไป จิตใต้สำนึกของเรา จะต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาวที่แม้จะมีจุดดำเล็กๆ เพียงจุดเดียว มันก็จะเด่นชัดตรงจุดดำนั่นแหละ และถือว่าผ้านั้นมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ครบถ้วน มันมีรอย

มนุษย์ทุกคนเป็นบาป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น และเราก็รู้ตัวเอง จริงๆ มนุษย์ส่วนใหญ่จะรู้ตัวเอง เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้เลย ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัว และว้าเหว่ที่สุด พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้นว่ามันเป็นช่วงที่น่ากลัวมาก เหมือนที่พระเยซูเผชิญในวันศุกร์บนไม้กางเขน รับบาป เป็นคนบาปจริงๆ แล้วตายให้เราเห็นจริงๆ แล้วก็เขียนบันทึกให้เราเห็นว่าตอนตาย มันทรมานอย่างไร? เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่ และอะไรอยู่ล่ะ ความตายไง มารไง มารซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือความตาย มันรออยู่ มันมารับเรา รับพระเยซูไปด้วย พระเยซูต้องไป เพราะพระองค์แบกรับบาปของเราทั้งหลายไว้ ไม่ใช่บาปของพระองค์ แต่เราทั้งหลายสมควร เพราะเราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราไม่ดีพร้อมอะไร? มีใครบ้างที่ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำอะไรผิดเลย  ตั้งแต่เกิดมา  ตอนที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป เราจะต้องคิดถึงอะไรบางอย่างที่เราทำ และตรงนั้นแหละ เป็นตัวยืนยันให้เราเห็นว่าเราว้าเหว่ พระเจ้าอยู่กับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป พระเจ้าอยากจะช่วยเหลือเราเต็มแก่เลย ช่วยไม่ได้ เหมือนพระเยซูเรียกพระเจ้า … พระเจ้าอยากจะลงมาช่วยพระเยซู ทุกข์ทรมานเหลือเกิน พระเจ้าก็ลงมาไม่ได้ เพราะพระเยซูเป็นคนบาปไปแล้วตอนนั้น เพราะรับเอาบาปแทนเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา แต่ตัวเราเป็นคนบาป และถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา เราก็ยังติดอยู่ที่บาปตรงนั้น แล้วพระเจ้าก็อยากจะลองเข้าไปช่วยเราในวินาทีสุดท้ายในความว้าเหว่นั้น ถ้าเรายังไม่มีพระเยซู ถ้าเรายังไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ใครมารับเราไป จะไปไหน? เราไม่รู้เราจะไปไหน?  แต่เรารู้ว่าใครมารับเราไป ไม่ใช่พระเจ้า สถานที่อยู่นั้น ก็ไม่ใช่สวรรค์แน่นอน ถ้าไม่ใช่พระเจ้า ก็ไม่ใช่สวรรค์ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ อันนี้ใครๆ ก็รู้

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็เลยฝากไว้ว่าแม้ขณะที่เราชื่นชมยินดี ก็จำไว้อย่างหนึ่งว่าเราขอบคุณพระเจ้า แต่สำหรับพี่น้องเราบางคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา ในวันศุกร์ประเสริฐบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่จากความตาย เอาชนะเหนือความตายมาให้กับเขา เขายังไม่ได้ใช้สิทธินี้ อธิษฐานให้กับเขา วิงวอนขอพระเจ้าให้กับเขา ขอพระเมตตาให้กับเขา ให้เขารู้และใช้สิทธิของเขาก่อนวันที่เขาจะหมดลม ด้วยความว้าเหว่บนโลกใบนี้ ส่วนเรานั้น เราขอบคุณพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราวางไว้ที่พระองค์ทั้งสิ้น ที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ มีชีวิตอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เราก็จะอยู่เหมือนกับพระองค์  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2016 เรื่อง “ศุกร์ประเสริฐ” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้วันสำคัญมาก ที่เราจำเป็นต้องมา ถึงไม่มาด้วยตัว ก็มาด้วยจิตวิญญาณ มาด้วยใจ มีใครมีความรู้สึกตื่นเต้นกับวันนี้ ตั้งแต่เช้าบ้าง? ผมมีทุกปี ผมมีมากกว่าวันคริสตมาสอีก บอกตรงๆ นะ พอถึงเทศกาลศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์ ผมซาบซึ้งทุกปีเลย แล้วแปลกมากทุกปี ศุกร์ประเสริฐกับอีสเตอร์ ผมรู้จักพระเจ้ามา 28 ปี ทุกอีสเตอร์ใน 28 ครั้ง เป็นวันศุกร์ประเสริฐ จะเป็นวันที่เมฆครึ้มตลอด แปลก ทั้งๆ ที่อากาศร้อน ผมสังเกตดู เพราะตั้งแต่เช้า ผมจะดูว่าอะไรเกิดขึ้น  ถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ถูกลากไป ตอนใกล้ๆ จะ 9 โมงเช้า จนถึงโกละโกธา กำลังแบกกางเขนของตัวเอง ทุกข์ทรมานอย่างไร? การตอกไม้ที่กางเขนที่ตรึงพระองค์แล้ว ตั้งตรง ประมาณเวลา 9 โมงเช้า

ผมก็จะนึกถึงว่า 9 โมงเช้าเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระองค์เป็นอย่างไร? ในพระคัมภีร์มีเขียนในนั้น  วันนั้นมืดฟ้ามัวดิน  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกปี ปีนี้ก็เป็น แปลกดีนะ ขอบคุณพระเจ้า

สิ่งหนึ่งที่จะคิดอยู่เสมอว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นวันที่อยู่ในเทศกาลช่วงนี้ ซึ่งเป็นใกล้ๆ กับวันสงกรานต์บ้านเรา ตั้งแต่ปลายๆ มีนาคม จนถึงปลายๆ เมษายน จะเป็นช่วงของเทศกาลอีสเตอร์ สงกรานต์ก็เป็นวันครอบครัวของประเทศไทยใช่ไหม? นี่เทศกาลอีสเตอร์วันครอบครัวใหญ่ วันครอบครัวทั้งโลกเลย  พระเจ้าอยากจะมีครอบครัวที่กลับคืนมาใหม่ ครอบครัวที่แตกแยกกันไป ครอบครัวที่ไปไกล ไม่เจอกันตั้งนาน ต้องกลับมาเจอกัน พระเจ้าก็อยากให้พวกเราที่เป็นลูกๆ ได้มารวมกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เหมือนแต่ก่อนนี้ มีสันติสุขร่วมกัน มีพระสิริของพระเจ้าร่วมกัน มีความสุขนิรันดร์ร่วมกัน ในสวรรค์ของพระองค์

วันนี้เราก็จะมาร่วมระลึกถึงการเสียสละพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรักให้กับมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้นั่นเอง คือความรักต้องประกอบด้วยการให้เสมอ พระองค์ทรงให้เป็นตัวอย่าง ให้สิ่งที่พระองค์ทรงรักที่สุดเลย ก็คือลูกชายเพียงผู้เดียวของพระองค์ มายอมตาย ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  ท่านเคยสงสัยไหมครับว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก จากการถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี และถูกตรึงบนไม้กางเขน  พระเยซูในขณะนั้น จะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

จริงๆ แล้วเหตุการณ์วันศุกร์ประเสริฐ เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันตลอดทั้งสัปดาห์มาแล้ว เรียกว่าสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Passion Week หรือ Easter Week ที่ยุโรป หลายๆ ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ ตั้งแต่วันอาทิตย์มา เขาฉลองกันมาตลอด เขาถึงเรียกว่าสัปดาห์อีสเตอร์ ไม่ใช่อีสเตอร์แค่ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์แค่นั้น ไม่ใช่

เริ่มจากเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งนับเป็นวันแรกของสัปดาห์ พระเยซูได้เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ในขณะนั้น พวกฟาริสีพยายามหาทางจับพระเยซูไปฆ่า พยายามหาเรื่องใส่ร้าย เพื่อจะจับพระเยซู บรรดาสาวกพยายามที่จะคัดค้าน

“พระองค์อย่าเข้าไปเลย อย่าเข้าไปเลย”

ก่อนหน้านี้ คือเดินตระเวนสอน อยู่รอบๆ กรุง ถามว่าพระเยซูรู้ตัวไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงทราบทุกอย่างว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าพระองค์เข้ากรุงเยรูซาเล็ม แต่เพราะรู้ว่านั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่จะให้พระองค์เสด็จเข้าเยรูซาเล็ม ในวันอาทิตย์ เพื่อนำไปสู่การถูกประหารชีวิต ในวันศุกร์ประเสริฐ หรือวันศุกร์นั่นเอง แล้ววันอีสเตอร์จะเป็นขึ้นมาใหม่ พระองค์ทรงเชื่อฟังและทำตาม ในขณะที่ทุกคนโห่ร้องต้อนรับ ในขณะที่เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ที่ผ่าน

สมมติย้อนกลับไป 2,000 ปีก่อน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับสาวก และเหล่าผู้คนที่วางใจและเชื่อในพระองค์ ที่พระองค์รักษาโรคให้หายบ้าง ทำอัศจรรย์ต่างๆ ทุกคนก็ตามพระองค์เข้ามา ตัวพระเยซูเอง พระองค์ทรงทราบดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นจากนี้ไป ใจของพระองค์เริ่มทุกข์แล้ว เริ่มลำบากใจ แต่คนไม่รู้ คนกำลังเฮใหญ่เลย ต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ยกให้พระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนั้น แต่พูดไป ไม่ได้เชื่อจริงๆ หรอก เชื่อเพราะเห็นการอัศจรรย์ แล้วนึกว่าพระเยซูจะมาปราบพวกกบฏ ปราบพวกโรมัน ปราบอะไรต่างๆ ที่มาข่มเหงชาวยิว พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ดาวิด คิดว่าคงจะรบเก่ง ทำอัศจรรย์ คราวนี้เสร็จแน่ เขาคิดกันอย่างนั้น แต่พระเยซูไม่ได้คิดอย่างนั้น พระเยซูรู้แล้วว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? อะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์บ้าง? พระองค์รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามาเกิด เพื่อทำอะไร?

ลองนึกภาพ สมมติว่าเรามีการกำหนดที่จะเดินทางไปเมืองใด เมืองหนึ่ง โดยที่เรารู้ตัวว่าที่เมืองนั้น เต็มไปด้วยอันตราย มีความเสี่ยงสูงมาก ที่เราจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา ถ้าเลือกได้ เราก็คงไม่ไป ไม่อยากไป หรือจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็ต้องระมัดระวังตัวสุดขีดเลย พวกเราส่วนใหญ่มักจะพูดถึงแต่ความทุกข์ทรมานของพระเยซูในวันศุกร์ประเสริฐจริงๆ วันนี้ วันที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่จริงๆ แล้วอย่างที่ผมบอก ความทุกข์ทรมานในใจของพระเยซู เริ่มตั้งแต่วันเดินทางเข้าเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์นั้นแล้ว เพราะพระองค์ตัดใจแล้วว่าต้องเข้า เพราะพระองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าหมดแล้วว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ เพราะพระองค์กลัวนั่นเอง แปลกใจไหม?  พระองค์กลัว (กลัวมากด้วย) แต่พระองค์ก็ยอมที่จะเดินไปสู่เหตุการณ์นั้น  เพราะรู้ว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ทั้งๆ ที่กลัวมาก

ในคืนวันพฤหัสฯ เมื่อคืนวานนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นเทศกาลในช่วงเทศกาลปัสกา หรือเราเรียกกันว่าเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งตามธรรมเนียมของสมัยนั้นนะครับ ชาวยิวจะมีพิธีถวายแกะให้พระเจ้า เป็นเครื่องสัตวบูชาที่เรียกว่าแกะปัสกา ก็คือแพะรับบาป เอามาแทนบาปเรา แต่ว่าไม่ได้แทนเลย เอามาเพียงแต่ว่าพระเจ้าจะผ่านบาปเราไปชั่วคราว พระเยซูก็ได้สั่งให้มีการจัดเตรียมพิธีปัสกาขึ้น เพื่อจะรับประทานอาหารร่วมกับสาวก ตามพิธี แล้วทรงบอกว่าครั้งนี้จะเป็นการรับประทานปัสการ่วมกับสาวกเป็นครั้งสุดท้าย มีบันทึกไว้ในหนังสือลูกา 22:7-16

ลูกา 22:7-16 “7 เมื่อถึงวันเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ ซึ่งจะต้องถวายแกะปัสกา 8 พระเยซูทรงสั่งเปโตรกับยอห์นว่า “จงไปจัดเตรียม ปัสกาสำหรับพวกเรา” 9 พวกเขาทูลถามว่า   “พระองค์ทรงประสงค์ให้จัดเตรียมปัสกาถวายที่ไหน?” 10 พระองค์ตรัสตอบว่า “เมื่อท่านเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้น ไปในบ้านที่เขาเข้าไป 11 และกล่าวแก่เจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ตรัสถามว่าห้องรับรองแขก ที่เราจะรับประทานปัสกา ร่วมกับเหล่าสาวกของเราอยู่ที่ไหน? 12 เขาจะให้ดูห้องใหญ่ชั้นบน ซึ่งตกแต่งเตรียมไว้เรียบร้อย  จงเตรียมปัสกาที่นั่น” 13 ทั้งสองก็ไป และได้พบสิ่งต่างๆ ตามที่พระเยซูตรัสไว้ พวกเขาจึงเตรียมปัสกา 14 เมื่อถึงเวลา พระเยซูกับเหล่าอัครทูต ก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับประทานปัสกานี้ ร่วมกับพวกท่าน ก่อนที่เราจะทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า”

 

พระองค์บอกว่าก่อนที่เราจะทนทุกข์ พระองค์ทรงทราบแล้ว นี่พระองค์ทรงรู้ว่าเดี๋ยววันศุกร์ หนักกว่านี้อีก วันพฤหัสฯ ก็หนัก พระเยซูบอกว่า …

“เราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้สำเร็จครบถ้วนในอาณาจักรสวรรค์”

ปัสกา ก็คือแพะรับบาป จนกว่าการเป็นแพะรับบาปของพระองค์จะเสร็จสิ้นบนไม้กางเขน ในสวรรค์ คือพระองค์เอาเลือดของพระองค์เข้าไปในสวรรค์เลย ไปถวายพระเจ้า ครั้งเดียวจบ นั่นหมายถึงตรงนี้

 

นี่คือเหตุการณ์อาหารมื้อสุดท้าย หรือเรียกว่า Last supper ในคืนวันพฤหัสฯ เมื่อคืนวานนี้ เราย้อนกลับไปนะ

ในคืนวานนี้ คืนวันพฤหัสฯ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงโศกเศร้าและหนักใจมาก เป็นทุกข์มาก ใจจริงแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเลี่ยง ไม่อยากจะเดินทางเข้าไปสู่ไม้กางเขน แม้ว่าจะเข้ากรุงเยรูซาเล็มแล้วก็ตาม แม้รู้ว่าจะต้องเจออะไรก็ตาม ไม่ไหว นี่ย้อนถึงเมื่อคืนนี้นะ ทารุณมากเลย ไม่ไปได้ไหม? เพราะเนื้อหนังก็ยังกลัวความเจ็บปวด เพราะพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เจ็บปวดจริงๆ ด้วย กลัวความทรมานที่ต้องเผชิญ

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ เมื่อคืนวาน พระองค์ทุกข์ใจมากจนเจียนตาย กลัวจนตัวสั่น เหงื่อออกมาเป็นเลือด เครียดมาก จะเอาอย่างไรดี ไม่ไหวแล้ว อธิษฐาน 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 ทรุดตัวลงไป ยืนไม่ไหว คือคนกลัวมาก เข่าอ่อน ลุกไม่ไหวเลย แล้วแทนที่ลุกไม่ไหว แล้วจะบอก ไม่ไปแล้ว แต่เปล่า ลุกไม่ไหว แล้วบอกว่า …

“ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า แล้วแต่พระองค์”

จากนั้น พระเจ้าก็เสริมกำลังให้กับพระองค์เข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ลุกขึ้นมา แล้วก็ทำตามน้ำพระทัย

 

พระคัมภีร์บันทึกหลักฐานว่าพระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง? ทั้งหมดในชีวิตของพระองค์ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์จะต้องเจออะไรบ้าง?  ลูกา 24:44-46

ลูกา 24:44-46 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดสดุดี กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาล ให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมาน และทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม”

 

บรรดาคำที่เขียนไว้ในนี้ทั้งหมด แปลตรงๆ คือเน้น พระคัมภีร์ทั้งหมด ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ที่กล่าวถึงพระเยซูนั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราต้องดีใจ ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะวันศุกร์อย่างเดียว ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนอย่างเดียว ไม่ใช่สำเร็จเฉพาะความทุกข์ทรมานที่บนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐเท่านั้น แต่สำเร็จไปจนถึงวันอาทิตย์ เป็นขึ้นมาจากความตาย และสำเร็จไปถึงวิวรณ์เลย  ที่เราทั้งหลายจะไปอยู่ร่วมกันในครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เรียกว่าครอบครัวสวรรค์ นี่หมายถึงอย่างนั้น

คำเผยพระวจนะ มีบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นพันปี คำเผยพระวจนะแปลว่าคำบอกกล่าวล่วงหน้าที่พระเจ้าพูดไว้  ให้บันทึกไว้เลยว่า “เราพูดอย่างนี้” พูดแล้วมันต้องเป็นตามนั้น พระเจ้าบอกอย่างนั้น  เหมือนที่พระเจ้าสั่งดวงอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก มันก็ขึ้นอย่างนั้นแหละ

คำเผยพระวจนะนี้บอกว่าบันทึกไว้ล่วงหน้าเป็นพันปี ว่าพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเยซูทรงทราบดีว่าคำเผยพระวจนะเหล่านี้ เล็งถึงตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงทราบหมดแล้ว

ตรงนี้คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เรามาระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย สมมติถ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ ไม่เคยทราบมาก่อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐ ที่ถูกตรึงนั้น เป็นเพราะพระองค์ไม่มีทางเลือก ไม่ได้เต็มใจจะทำหรอก พวกเราคงไม่ได้มองเห็น เป็นเรื่องใหญ่มากมายขนาดนี้ แต่พระองค์รู้หมด จะเปลี่ยนใจก็ได้ แต่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย พระองค์รู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้รู้ล่วงหน้าว่าจะเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และต้องทรมานขนาดไหนด้วย เห็นชัดเลย แม้จะสามารถเลี่ยงได้ แม้จะสามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ได้ ไม่มีใครบังคับพระองค์นะ พระเยซูก็ยอมให้ทุกอย่างเกิดขึ้น

พระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์ทรงยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้บอกว่าพระองค์ทรงถูกส่งมาให้เป็นมนุษย์ ทรงยอมถ่อมพระองค์ จากการเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย พระองค์ยอมให้พวกทหารจับพระองค์ ไม่ใช่พระองค์ฝืนไม่ได้นะ พระองค์สู้ได้สบายมาก ยอมทนทุกข์ทรมาน ยอมถูกเขาโบยตี ไม่ใช่โซ่ที่รัดพระองค์ แล้วทำให้ทหารโบยตีพระองค์ได้ ถ้าพระองค์จะสลัดออก แป๊บเดียว มันก็ไปแล้ว แต่ที่รัดพระองค์ไว้ หนีไม่ได้ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราทั้งหลาย รัดพระองค์ไว้ ทำให้พระองค์ไปไหนไม่ได้  ต้องถูกเฆี่ยน ถูกทุบตี  ถูกเหยียบหยาม ถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกสวมมงกุฎหนาม จนกระทั่งถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพราะความรักอยากให้พวกเขาพ้นจากความบาป พ้นจากความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องไปอยู่ในนรก อยู่ในความพินาศ แต่ได้กลับมีชีวิตนิรันดร์ กลับไปอยู่กับพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ไปอยู่ในสวรรค์ บ้านของพระองค์ร่วมกัน

 

กษัตริย์ดาวิด พระเจ้าได้เปิดตาให้เห็น ทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อ 1,000 ปีก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า จะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขนอย่างไรบ้าง? ทุกข์ทรมานขนาดไหน? กษัตริย์ดาวิดเห็นหมด และเขียนบันทึกเป็นบทเพลง ภาษาเดิมเขาเรียกว่าบทเพลงของพระมาซีฮาห์ คือบทเพลงของพระเยซู โดยเฉพาะ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าสดุดี  ดูในสดุดี 22:1-2 ก่อน

สดุดี 22:1-2 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์  ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์ 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืน ข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน”

 

นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นพันปีก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติเป็นมนุษย์ และเป็นถ้อยคำที่ตรงกันเป๊ะกับคำพูดของพระเยซูบนไม้กางเขน ตอนที่ถูกตรึง เมื่อบ่ายนี้ บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว 7:46 นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบ แล้วพระองค์กำลังมองอยู่บนไม้กางเขน แล้วพระองค์บอกว่านี่กำลังเกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า เดี๋ยวจะตอกตะปู เดี๋ยวเขาจะยกพระองค์ขึ้นบนไม้กางเขน ซึ่งถ่วงน้ำหนักของพระองค์ลง พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และอีกสักครู่หนึ่ง เขาจะเอาหอกแทงสีข้าง พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าหมดแล้วว่าเลือดพระองค์จะไหลอย่างไร? กระดูกลั่นเปรี้ยงอย่างไรในร่างกาย เพราะน้ำหนักมันถ่วงลงมา

มัทธิว 27:46 นี่ของจริง บันทึกไว้ตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ

มัทธิว 27:46 “ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  แปลว่า  “พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

 

ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ตรัสถ้อยคำนี้ว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ทำไมพระเยซูจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะตลอดเวลา 33 ปี พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ไม่เคยรู้สึกห่างไกลจากพระเจ้าเลย ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาครั้งแรกในชีวิตของพระเยซูที่พระเจ้าไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้อยู่กับพระองค์แล้ว ตอนที่พระองค์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าก็อยู่ด้วย เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นบาป ไม่เคยเป็นบาป ไม่เคยทำบาป ไม่เคยทำสิ่งที่ผิดเลย พระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ใช่เป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนไม่ได้ และตัวแทนภาษาพระคัมภีร์ พระเจ้าให้ใช้คำว่า “Priest” หรือปุโรหิต หรือพระ นั่นเอง พระคือใคร? ปุโรหิตคือใคร? Priest คือใคร? คือตัวแทนของมนุษย์ที่มีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้า  เหมือนอาโรน  เพราะฉะนั้น พระองค์จึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ขณะเดียวกัน พระองค์เป็นพระเจ้าด้วย  ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น พระองค์จะทำอะไรในช่วง 33 ปีตอนนั้น พระเจ้าควบคุมตลอด คุยกับพระเจ้าตลอด  ไม่เคยห่างกันเลย

ทำไมพระเยซูจึงรู้สึกเช่นนี้? เพราะตลอดชีวิตพระเยซูไม่เคยทำบาป  แม้แต่นิดหนึ่ง แม้พระองค์จะเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ 100% เพราะเป็นพระเจ้ามาบังเกิดในหญิงพรหมจารี ไม่มีบาป  ไม่ด่างพร้อยเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ตลอด  ทรงรับรู้การทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ คือวันศุกร์ประเสริฐ 2,000 ปีที่ผ่านมา วันที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติเลย คือวันที่พระเยซูทรงแบกรับเอาบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้เอง ทำให้พระองค์บาป และพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว เมื่อบาปเข้ามา พระเจ้าก็ต้องไป คือละจากไป เมื่อพระองค์แบกรับบาปของมวลมนุษยชาติไว้กับพระองค์ จากที่เคยบริสุทธิ์สะอาด สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เลยกลายเป็นคนบาป  ถูกตัดขาดจากพระเจ้า เหมือนเราทั้งหลายที่เป็นคนบาป และถูกตัดขาดจากพระเจ้า แต่เราเคยชินแล้ว ถูกตัดจนชิน หาพระเจ้าไม่เจอ จนชิน แต่พระองค์ไม่เคยบาปเลยสักนิดเดียว อยู่ดีๆ รับบาปเราทั้งหลายเข้าไป แล้วพระเจ้าหายไปเลย โอ้โห! ช็อก

เหตุการณ์นี้จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของพระเยซูตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ที่อยู่กับพระเจ้าพระบิดาตลอดมา รู้จักกันตลอดมา อยู่ติดกันตลอดมา ณ บ่าย 3 โมง ผมไม่รู้ช่วงเวลาไหนเป็นอันไหน? ถ้ามานึกตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงบ่าย 3 ที่พระองค์ทรงแบกรับบาปเราไว้ ไม่รู้ว่าช่วงวินาทีไหนที่พระเจ้าเสด็จไป ละพระองค์ไปแล้ว อาจจะเป็นช่วงเวลา 9 โมงเลยก็ได้ พอไม้กางเขนตั้งตรงปุ๊บ พระองค์ทรงแบกรับบาป พระเจ้าไปแล้ว ผมไม่รู้ แต่รู้ว่าช่วงที่ตรึงที่ไม้กางเขนนั่นแหละ คือช่วงที่พระเจ้าทอดทิ้งพระเยซู พระเยซูถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน เกิดมาในชีวิต ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก จนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้เท่าไร? กี่ล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน บวกกับอีก 33 ปีบนโลกใบนี้ อยู่ด้วยกันมาตลอด อยู่ดีๆ พ่อทิ้งไปเลย  โอ้โห! มันทุกข์ทรมานมาก

นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบ่ายวันนี้ ท่านลองนึกภาพดูนะครับว่ารู้ทั้งรู้ว่าเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แล้วท่านคิดว่าความรู้สึกของพระเยซูในขณะที่ถูกตรึงไม้กางเขน จะเป็นอย่างไร?  สดุดี 22:4-21

สดุดี 22:4-21 “4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์ เขาเหล่านั้น วางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา 5 พวกเขาร้องทูลพระองค์ และได้รับการช่วยกู้ พวกเขาวางใจในพระองค์ และไม่ผิดหวัง 6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน 7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ ก็เย้ยหยัน พวกเขาส่ายหน้า และพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า 8 เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ” 9 ถึงกระนั้น พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ ออกมาจากครรภ์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ 10 ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่ ตั้งแต่เกิด ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ 11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์ เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้ และไม่มีใครช่วยได้เลย 12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์ ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์ 13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์ ดั่งสิงโตคำราม และกัดฉีกเหยื่อ 14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไป ดั่งสายน้ำ กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง หลอมละลายภายในข้าพระองค์ 15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา ลิ้นของข้าพระองค์ เกาะติดเพดานปาก พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอนเกลือกธุลีแห่งความตาย 16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์ กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์ พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์ 17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์  ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ 18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข 21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า”

 

นี่คือสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อเช้าถึงบ่าย และทั้งหมดนี้อยู่ในความคิดของพระเยซูตลอดเวลา พระองค์ใคร่ครวญอย่างนี้ตลอดเวลา ตั้งแต่ 9 โมงเช้าเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยความว้าเหว่ ทรงคร่ำครวญ ตัดพ้อ ร้องทูลขอการช่วยกู้จากพระเจ้า ไม่เคยทำอย่างนี้เลย ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย ในพระคัมภีร์ตะกี้เราอ่าน พระองค์คิดในนั้นตลอดเวลา เราอยู่กันมาตั้งนาน

ในนี้บอก “ข้าพระองค์อยู่ในครรภ์มารดา” ก็สอนแล้ว คือตั้งแต่เกิดมา ก็อยู่กับพระเจ้าตลอด ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาเจออะไรประมาณนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะกลัวขนาดไหน? จะว้าเหว่ขนาดไหน? จะทุกข์ทรมานขนาดไหน? และทรงรู้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่สุดท้าย พระเยซูก็ทรงยอมจำนนต่อน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น บางคนก็บอกว่าเพราะทหารคุมอยู่ ไม่ใช่ พระองค์จะลงมาจากไม้กางเขนไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว แต่พระองค์ทรงลงมาไม่ได้ เพราะถูกความรักรัดเอาไว้ ความรักพวกเราทั้งหลาย เห็นพวกเรา … เขาบอกกันว่าเมื่อบ่ายวันนี้ ที่ไม้กางเขน พระเยซูทุกข์ทรมานอยู่บนนั้น  มีกำลังใจอยู่อันเดียว ที่ทำให้สามารถทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราอ่านไปในสดุดี บทที่ 22 คือพระองค์มองเห็นเขาจับฉลากก็จริง แต่มองผ่านทะลุไปในโลกวิญญาณ เห็นคนโน้นคนนี้ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พวกเขาก็ตายหมด ลงนรกแน่ เข้าใจใช่ไหม?

นี่คือกำลังอันเดียวของพระองค์ที่สามารถทำตรงนี้ได้ ผ่านความทุกข์ยากลำบากตรงนี้ได้ เพราะความรักและห่วงใยพวกเราขนาดนี้ และเมื่อพระเยซูทรงตัดสินใจที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมให้แผนการของพระบิดาสำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็คือยอห์น 19:30 ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย 3 โมง ยอห์น 19:30

ยอห์น 19:30 “เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”

 

ตอนบ่าย 3 โมง เหตุการณ์วันศุกร์ประเสริฐ ก่อนสิ้นพระชนม์ พระเยซูได้กล่าวคำนี้ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

ซึ่งในภาษากรีกใช้คำว่า “Tetelestai”

แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “It is finished”

หรือภาษาไทยว่า “สำเร็จแล้ว”

และก็มีการใช้คำว่า “Tetelestai” หรือคำภาษากรีกนี้ ในเอกสารทางการเงิน สมัยที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน สมัย 2,000 ปีก่อน เขาใช้เอกสารนี้ เวลาที่มีการชำระหนี้หมด ก็จะใช้ตราประทับ คำว่า “Tetelestai” แทนคำว่า  “Pay in full” หรือภาษาไทย แทนคำว่า “จ่ายครบแล้ว” นั่นเอง

ความหมายของคำว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “จ่ายครบถ้วนแล้ว” ที่พระเยซูตรัส ตรงนี้ ก็คือพระองค์กำลังประกาศว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จแล้ว แผนการของพระเจ้าที่ได้ถูกบันทึกไว้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะทั้งหมด จนกระทั่งถึงถูกประหารของพระองค์นั้น ได้ทำสำเร็จแล้ว การได้ทำลายแผนการอันชั่วร้ายของมารซาตาน ก็สำเร็จแล้ว การชำระหนี้แห่งความบาปทั้งหมด ให้กับมวลมนุษยชาติ ก็สำเร็จแล้ว และสุดท้ายการนำมนุษย์ให้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ก็สำเร็จแล้ว สิ้นพระชนม์ได้แล้ว จบแล้ว สิ้นภาระแล้ว เสร็จสิ้นมิชชั่น เคยได้ยิน Mission Impossible  คล้ายอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนจบ พีคสุด ตื่นเต้น พระเอกเหมือนตกเหวเลย ขอบคุณพระเจ้าที่หนังไม่ได้จบอย่างนี้  ตกเหว แล้วพวกเราไม่ลืมตา ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขียนต่ออีก พระเยซูบอกว่าทุกอย่างที่เขียนถึงเราในพระคัมภีร์ จะต้องเป็นอย่างนี้ทั้งหมด ถูกไหม? แต่ไม่ได้เขียนแค่บอกว่าตายที่ไม้กางเขน จ่ายบาปให้กับเรา แล้วก็จบอยู่แค่นั้น แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันที่ 3 พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเป็นไปตามนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน หนังสือเล่มเดียวกัน คนสั่งคนเดียวกัน พระเจ้าสั่งเหมือนกัน เขียนถึงพระองค์เหมือนกัน ก็ต้องเป็นไปตามนี้เหมือนกัน

พระองค์จึงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม คือวันอาทิตย์นั่นเอง พระองค์จึงเอาความหวังในชีวิตที่จะมีชัยชนะเหนือความตายมาให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ที่เชื่อในข่าวดีนี้ เชื่อในการกระทำของพระองค์นี้ เชื่อในพระเยซูคริสต์นี้  เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐนี้  เชื่อในการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระองค์ เพื่อรับบาปของเราไปแล้ว เชื่อตรงนี้ ความหวังที่จะไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไป เพราะมนุษย์ทุกคนกลัวตายหมด ทุกวันนี้ ก็ยังกลัวอยู่ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้ากลัวความตายทั้งนั้น เพียงแต่จะบอกหรือไม่บอกเท่านั้นเอง

 

พระเยซูตรัสไว้ว่าในยอห์น 11:25 ว่า “ผู้ที่วางใจในเรา แม้เขาตายแล้ว เขาก็ยังมีชีวิตอยู่”

ยอห์น 11:25 “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย”

 

ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เรางง แต่ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความตายทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนกลัวตายทั้งนั้นแหละ ถามว่ากลัวเพราะอะไร? ลองคิดดู เรากำลังจะตาย พูดง่ายๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุด เพราะเรารู้ว่าคนที่อยู่รอบข้าง คนที่รักเรา คนที่ห่วงใยเรา คนรอบข้างเหล่านี้ ที่เราพึ่งพาบนโลกนี้ เราพึ่งพาเขาไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ ตัวใครตัวเขา เขาจะไปกับเรา ก็ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถไปกับเราได้เลย  ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรเราได้ เรากำลังเดินทางไปคนเดียวจริงๆ ไปไหน? ก็ไม่รู้ หรือมีใครรู้? ถ้าไม่เชื่อพระเจ้า และสิ่งสำคัญที่สุด คือถ้าเราไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่กับเรา สัญญาว่าอยู่กับเรา และเป็นความหวังของเราว่าจะมารับเรา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เราจะว้าเหว่มากถึงมากที่สุดเลย

อย่างที่ตะกี้นี้บอก  เพราะในใจทุกคน จิตใต้สำนึกของเราทุกคน รู้ตัวเองว่าเป็นคนบาปแน่นอน และเวลาที่เรากำลังจะจากไป จิตของเราต้องคิดแต่เรื่องความบาปทั้งสิ้น เหมือนผ้าขาว แม้มีจุดดำเพียงเล็กๆ มันก็เด่นชัดออกมา และถือว่าผ้าขาวนั้นไม่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว มันมีจุดด่างพร้อย มันไม่มีคำว่าด่างน้อย ด่างมาก ด่างก็คือด่าง จุดก็คือจุด มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เราไม่มีทางที่จะหนีจากความตายและความบาปไปได้ ช่วงเวลาที่เรากำลังจะจากโลกนี้ไป มันจะเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวและว้าเหว่ที่สุด เหมือนที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเผชิญบนไม้กางเขน เมื่อบ่ายวันนี้ ที่แบกรับเอาความบาปของเราทั้งหลายไว้ พระเจ้าก็ไม่อยู่ด้วย ตกลงไปในนรก เข้าไปอยู่ในความมืด

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาในวันที่ 3  และเป็นแบบอย่างให้กับคนไหนที่เชื่อในพระองค์ ก็จะเป็นขึ้นมาใหม่อย่างนั้น แต่ถ้าไม่เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์ เขาก็ต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมของเขาเอง ในความพินาศ อย่างที่พระเยซูเดินทางเข้าไปให้เราเห็นในบ่ายวันนี้ แต่ถ้าเราเชื่อในพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอ จะไม่ทอดทิ้งเราเลย จะรับเราไปอยู่กับพระองค์ ไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ … ในสวรรค์มีที่มากมายเลย ถ้าไม่มีเราบอกท่านแล้ว แต่นี้มันมีเยอะแยะไปหมดเลย  มีสำหรับท่านทุกคนเลย ที่มาเชื่อในพระองค์ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จะมารับเรา เมื่อลมหายใจสุดท้ายของเรา … มาเลย  เราก็จะเห็นพระเยซู ไปกับพระองค์

เพราะฉะนั้น นี่คือความหวังใจที่แท้จริง ที่ชัดเจนของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเราชนะความตายแล้ว เผลอๆ เราอาจจะบอก หรือหลายคนมีประสบการณ์นี้ว่าตอนเจ็บป่วยอยู่ ถึงเวลาแก่เฒ่าแล้ว เจ็บป่วยอยู่

“เมื่อไรจะได้ไปสักที ไปจะได้หายเจ็บ หายป่วยหมดแล้ว ไปจะได้มีความสุขกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน จะได้พักผ่อนสักทีหนึ่ง”

มันกลายเป็นความคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำ สันติสุข อย่างนี้เป็นต้น

นอกจากพระเยซูแล้ว ไม่เคยมีใครที่ไหนสัญญากับเราเลยว่าจะไปกับเรา ตอนเราตาย ในวันที่เรากำลังจะตายจากโลกใบนี้ไป ไม่มีใครสัญญากับเราเลยว่าจะไปกับเรา  มีแต่คนบอกว่า …

“เมื่อจะตาย กรรมที่เราทำไว้ สิ่งที่เราทำไว้ ไม่ว่าจะดีหรือเลวจะตามเราไป”

น่ากลัวไหม? บาปเพียงน้อยนิด ก็กลายเป็นคนบาปแล้ว ในสายพระเนตรพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เราทั้งหลายในนี้เชื่อในพระเยซูแล้ว ขอเมตตาพี่น้องใครก็ตามนะครับ ที่อยู่ที่นี่ ที่ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงไถ่บาป ไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อบ่ายวันนี้ ตอน 2,000 ปีก่อนนะ ก็ให้ตัดสินใจใหม่ ยังมีเวลาให้กับท่าน รีบตัดสินใจเชื่อเสียเถิด แล้วถ้าเป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอก มีแต่คนบอกว่าตายไปแล้ว เราจะต้องดูแลตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง สิ่งที่ตามเราไป คือสิ่งที่เรากระทำ กรรมบนโลกใบนี้ ดีหรือเลวจะตามเราไป แล้วมันดีหรือเลวล่ะ ดีเราคงไม่จำเยอะหรอก แล้วมันมีเลวไหม?  แล้วเราจะใช้อย่างไรหมด แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราทำดีทั้งหมด ไม่มีแม้แต่นิด ตอนที่เรามีชีวิตอยู่

เพราะฉะนั้น มีทางเดียว มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย พึ่งพระเยซูเถิด ให้วันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน สำคัญที่สุด เมื่อบ่ายวันนี้  เริ่มต้นจาก 3 โมงเช้าถึงบ่าย 3 โมง ให้เป็นเป้าหมายในชีวิตของเราเลย จำวันนี้ให้ได้ จำคริสตมาสไม่ได้ ไม่เป็นไร จำวันนี้ให้ได้ วันสำคัญที่สุด ก็คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

นี่แหละ คือเหตุที่พอพูดถึงคริสเตียน ทำไมมีกางเขน  ไม่ใช่กางเขนไล่ผีหรอก กางเขน เพื่อให้ท่านรู้ว่าพระเยซูทำอะไรกับเรา

“นี่ คือสิทธิของฉัน ที่ฉันควรจะได้ พระเจ้า พระเยซูทำให้กับฉัน อย่าลืมสิ”

พูดกับตัวเอง มันชอบลืม สิทธิของเราอยู่ที่ตรงนั้น เชื่อสิ วางใจ มันเป็นของเรา

กางเขน จึงเป็นสัญลักษณ์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เสมอ สำหรับคริสเตียนทั้งหลาย เป็นเป้าหมายของเราทุกคนที่ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออกแล้ว หูฝ่ายวิญญาณได้ยินแล้ว จิตใจหยั่งรู้แล้วว่าเหตุการณ์ การทนทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ เกิดขึ้น เพื่ออะไร? เมื่อบ่ายวันนี้ 2,000 ปีก่อนหน้านั้น เกิดขึ้น เพื่ออะไร? พระเยซูทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น เพื่ออะไร? เพื่อใคร? การมองไปที่ไม้กางเขน เพื่อให้รู้ว่าเราก็ไม่ได้ใหญ่กว่าพระอาจารย์ คือพระเยซู เราก็ยังต้องทุกข์ของเรา ในระหว่างอยู่โลกนี้เหมือนกัน ก็ขอให้เป็นไปตามแผนการพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูอธิษฐาน แล้วก็วางใจในพระองค์ว่าถ้าพระเจ้า วางแผนไว้ในชีวิตของเรา เป็นเช่นไร อดทนนิดหนึ่ง ได้ไหม? ได้ นี่คือไม้กางเขน นอกจากไถ่บาปให้กับเรา เห็นคุณค่าการไถ่บาปแล้ว เป็นเป้าหมายที่เราจะทำเหมือนพระเยซู เราจะทนได้ ถ้าพระเจ้าให้ภาระกับเราอะไรบางอย่าง มันอาจจะทนทุกข์บ้าง? อดทน เราต่างคนต่างมีศุกร์ประเสริฐของตัวเอง ไปคิดกันเองว่าศุกร์ประเสริฐของเราเป็นอะไร?

ทุกครั้งที่เรามองไปที่ไม้กางเขน ให้เราได้รับรู้ถึงชัยชนะที่พระเยซูได้ทำให้กับเราแล้ว เป็นหลักชัยที่เราจะมองไปในชีวิต ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อที่จะวางภาระทั้งสิ้น ลงให้ได้ วางความกังวลทุกอย่างให้ได้ มองไปที่วันข้างหน้าที่วันหนึ่งเราจากโลกนี้ไป วันนั้นแหละ คือวันแห่งชัยชนะนิรันดร์ ถ้าเราไม่เชื่อพระเยซู วันตาย คือวันทุกข์ทรมานที่สุด แต่สำหรับคริสเตียนที่รู้จักพระเยซูแล้ว วันตาย คือเริ่มต้นชีวิตอันสดใสใหม่ มันกลับกันหมดเลย หมดสิ้นกันเสียทีความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ หมดสิ้นกันที การต่อสู้ที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หมดสิ้นกันที สำหรับการยึดถือ ในการใช้ความเชื่อ เพราะว่าจากนี้ต่อไป เราจะไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว เพราะเราตายไปแล้ว เราจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไปอยู่กับพระเยซูเลย เห็นพระเยซู ไม่ต้องแล้ว เพราะเห็นแล้ว ทุกวันนี้เชื่อ เพราะว่าพระเยซูอยู่ด้วย แต่เรามองไม่เห็น เราอยู่ในเนื้อหนังนี้ เรามองไม่เห็น แต่เมื่อวันหนึ่งที่วิญญาณเราออกไปปุ๊บ เราเห็นแล้ว เราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป นี่คือชัยชนะ ให้ไม้กางเขนเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของเราบนโลกใบนี้ เอเมน