คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า” (You are God’s Masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

สัปดาห์ที่แล้วตอนที่ 4 มีชื่อตอนว่าอะไร? ใครจำได้บ้าง? ครั้งที่แล้ว “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงถ้อยคำพระเจ้าในเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece”

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความหมาย คือเราเป็นงานศิลปะ เป็นบทกวี เป็นงานฝีมือ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ซึ่งเราควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นฝีมือ เป็นการฝีมือ เป็นบทกวี เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สร้างด้วยความบรรจงอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงตั้งใจที่จะสร้างเราขึ้นมา ให้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระองค์ เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาโด้  ดาวินชี เรามีค่ามากกว่านั้นอีก ซึ่งรูปนี้เขามีค่าขนาดไหน? สูงขนาดที่ขายไม่รู้จะบอกว่าเท่าไร มันเยอะมาก เขาจึงเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์

โมนาลิซ่าในรูป ถ้าพูดได้ เธอคงพูดว่า …

“ฉันเป็นภาพที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

มองภาพ แล้วนึกว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้ และมันเป็นจริง แล้วเราล่ะ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่าขนาดไหน?  เปรียบกันไม่ได้เลยนะครับ

แล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวทิ้งท้ายกันไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรามั่นใจเสมอว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ให้เรามั่นใจอย่างนี้ มากเท่ากับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทย เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบพร้อมกัน มั่นใจ? มั่นใจ ไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลยใช่ไหม? ไม่ต้องเลย เหมือนกัน ต้องดูพระคัมภีร์ไหมว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าตอนนี้ ต้องดูพระคัมภีร์ไหม? ไม่ต้องแล้ว

“ฉันมั่นใจ ข้างในบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับฉัน ในหัวใจของฉันตั้งแต่วันที่ฉันรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ยืนยันกับฉันข้างในว่าฉันเป็นผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าจริงๆ” เอเมน

“ใครจะมาดูถูกว่าฉันไม่สวย ไม่หล่อ ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีความภาคภูมิใจ เพราะฉันเป็นฝีพระหัตถ์ เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ฉันสวย และหล่อที่สุดแล้ว” เอเมน

ลุกขึ้นยืนนิดหนึ่ง พูดตามผมนะครับ ให้มั่นใจ เท่ากับท่านเป็นคนไทยนะ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? เป็น เดี๋ยวพูดตามนะครับ ดังขนาดนี้นะครับ พูดตามผมนะครับ

“ฉันเป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็น Masterpiece ของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีแล้ว ฉันสวย / หล่อที่สุดแล้ว สวย / หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฉันงดงามที่สุดแล้ว งามกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะครับ / นะคะ”

 

แล้วยังจำได้ไหมครับว่าครั้งที่แล้วได้ โปรยเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอก เราได้พูดกันตรงนี้ขึ้นมา ให้ลุกขึ้นมายืนพูดด้วยความกล้าหาญ ฮึกเหิมเลยใช่ไหมครับ? ก็มีคนมาถาม มีสมาชิกมาถาม โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ ข้องใจมาก ก็มาถามผมว่า …

“ในเมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว งั้นแสดงว่าต่อไปนี้ ไม่ต้องแต่งตัวให้สวย  ไม่ต้องแต่งหน้าทำผมแล้วใช่ไหม? ปล่อยตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างเลย สวยที่สุดแล้วไง”

โอไหม? ไม่โอ … โอหรือไม่โอ? แค่นึกภาพก็น่ากลัว สยองแล้วนะ ถ้าคนในนี้มาบอกว่าไม่มีใครแต่งตัวมาเลย ผมเดินเข้ามา คงสยองขวัญแน่ ไม่หวีผม ตื่นเช้า มาเลย ไม่ไหวนะ และโดยเฉพาะคนข้างๆ ที่บ้าน ทำอย่างนี้ แบบสยอง ขนลุกเลย ตื่นขึ้นมาตายแน่ ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ?

วันนี้เลยต้องมาขยายความกันต่อหน่อยนะครับ ถ้าไม่ขยายความ เผื่อว่าถ้าเกิดสัปดาห์หน้า จบเทศนานี้ สมาชิกที่มาที่นี่ มาแบบธรรมชาติๆ มาสวยธรรมชาติเลย เราคงผวากัน เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องมาคุยกันนิดหนึ่ง คุยกันนิดหนึ่ง เพื่อเราจะไม่ได้ธรรมชาติเกินไป ดีไหม? บอกคนข้างๆ สิ อย่าธรรมชาติมาก มันน่ากลัว บอกสิ ไม่กล้าพูดเหรอ มันน่ากลัว เวลาตื่นขึ้นมา ไม่แปรงฟัน ไม่หวีผม นี่ธรรมชาติแล้วนะเนี้ย

การรู้ตัวตนของเราเองว่าเราเป็นใคร?  และพระเจ้าสร้างเราให้มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร?  ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อย่างไร? สวยงามที่สุด  หล่อที่สุด มีคุณค่ามากที่สุด เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และได้บรรจงสร้างเราให้เป็นอย่างนี้  ถ้าเรารักษาความเชื่อของเราแบบนี้ ให้มีความมั่นใจแบบนี้ แบบสักครู่นี้ที่เราพูดพร้อมกัน  มั่นใจเหมือนที่เราบอกว่าเราเป็นคนไทย โดยไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลย หลับๆ ตื่นขึ้นมา

เขาถาม “คนไทยหรือเปล่า?”

เราก็บอก “คนไทย”

ถ้าเรารักษาความมั่นใจอย่างนั้นได้ ในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นบทกวี เป็นผลงานชิ้นเอก  เป็น Masterpiece สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร พระคัมภีร์บอกเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อแบบที่เราเชื่อว่าเราเป็นคนไทยอย่างนั้น

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ ในลักษณะใดรู้ไหมครับ? ในลักษณะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? จะอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานะใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะกล้ายืนหยัด ยืดอก และมีความมั่นใจในการแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นใคร?”

พูดสิ “ฉันเป็นใคร?”

ยืดอกหน่อยสิ ยืดอกหน่อย นี่ยังห่อเหี่ยวอยู่เลย ยืดอกหน่อยเร็ว แล้วบอกสิ

“ฉันเป็นใคร? หือ!”

“ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ”

ไม่กล้าพูดเหรอ ฉันไม่ธรรมดานะ

“ฉันเป็นคนมีชาติตระกูล”

มีชาติตระกูล ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรรู้ไหม? เวลาคนมีชาติตระกูล มีความภูมิใจตัวเอง เขาเรียกว่า Somebody

“I am somebody.” แปลว่า “ฉันมีคุณค่า”

เขาเรียกว่า I am somebody ถ้า I am no body. แปลว่าฉันแย่เหลือเกิน คนก็ไม่เอาฉันแล้ว อะไรอย่างนี้  ไม่ใช่อย่างนั้น

ถ้าเรารู้ เรามั่นใจ เราต้องบอกว่าอะไร? I am somebody.

ลองพูดสิ “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “ฉันมีคุณค่า  ฉันเป็นใครรู้หรือเปล่า?” อะไรประมาณนี้

“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ” อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจได้ ถ้าเรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในพระเจ้าแบบนี้ ในชีวิตของเรา … เราจะยืดอกได้อย่างสง่าเผย แต่ยืดอกแบบถ่อมใจ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไปยืดอกไปทับถมคนอื่น ไม่ใช่ ยืดอกเฉพาะตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง

“ฉันไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”

แต่ไม่ใช่เอาไปทับถมเขา  ยืดอกแบบถ่อมใจ

ให้เราพูดพร้อมกัน “แบบถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง”

นี่คือหนทางที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลาย ที่มาเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตแบบนี้ ยืดอก และเมื่อเรามีความมั่นใจ ยืดอกได้แล้ว อาการ ท่าทางของเราที่แสดงออกมา ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม  เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสง่างาม การจะไปไหน? จะทำอะไร? จะแต่งตัวอย่างไร? จะพูดอย่างไร? ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม

ให้พูดพร้อมกัน “สง่างาม”

ลองนึกถึงภาพ ในอดีตมา เราสง่างามพอหรือยัง? สมกับที่มีคุณค่ามากกว่า มีมูลค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า  กล้าไหม? สง่างามไหม? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราไปคิดเอาเอง แต่ ณ วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องเปลี่ยนท่าทีเรา สง่างามเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้มากขึ้น ถูกไหม? เอเมน ปรบมือให้พระเจ้า ขอบคุณพระองค์

พอเรารู้สถานะของเราว่าเราเป็นใคร? รู้ความจริง ความจริงก็จะทำให้เราภูมิใจ เมื่อภูมิใจแล้ว เราจะดูแลตัวเอง เมื่อภูมิใจ แล้วทำไม?  มีความมั่นใจ แล้วทำไม? ดูแลตัวเอง ให้ดูสง่างาม  สมฐานะ

พูดพร้อมกันสิ “สมฐานะ”

ตอนนี้งาม สมฐานะหรือยัง?  ให้ดูสง่างาม ตามสถานะ หรือสมฐานะของเรา ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรก หน้าตาผมเผ้า ก็จะทำให้มันดูดีขึ้น ให้สมกับสถานะที่พระเจ้าสร้างเรา เป็นผลงานชิ้นเอก (นะโว๊ย) ถ้าในปัจจุบันเขาจะพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราก็จะต้องดูแลระมัดระวังทุกอย่างในตัวของเรา  พยายามทำให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะแค่ทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางการประพฤติเท่านั้น แต่รวมถึงการแต่งตัวทุกอย่างด้วย ทุกอย่างในชีวิต เพราะเราเป็นการฝีมือ เป็นศิลปะ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ทำให้สมกับเป็นอย่างนั้นหน่อย เหมือนอย่างภาพโมนาลิซ่าตะกี้นี้ ที่บอกว่ามีค่ามหาศาล มันสวยของมันอยู่แล้ว ถูกไหม? มีค่าของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเสริมด้วยการทำสปอร์ตไลต์ ทำกรอบ ทำอะไรให้มันสวยขึ้น อยู่ในตำแหน่งที่สวยๆ คือมันสวยอยู่แล้ว แต่ทำให้มันทำไม? สวยขึ้นสมฐานะของมัน สมราคา ไม่ใช่รูปไร้ค่า รูปอะไรก็ไม่รู้ รูปละบาทสองบาท แล้วเรามาใส่กรอบทอง อย่างนั้นมันไม่ใช่ นี่มันสมฐานะ เป็นภาพโมนาลิซ่าของแท้

การแต่งตัว แต่งหน้า  ทำผม ทำเล็บ ศัลยกรรม การเสริมความงามก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ได้ส่องประกายออกมาอย่างเหมาะสมและพอเหมาะ ไม่ดีใจเลยเหรอ? ดีใจไหม?  ดีใจ แต่งได้ แต่เดี๋ยวฟังต่อไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำเพื่ออะไร?  ทำเพื่อเสริมให้ความงาม มันงามขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเมื่อเรารู้ว่าเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าแล้ว สวย ไม่มีใครเหมือนแล้ว  เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไป เราปล่อยมันตามธรรมชาติเลย เหมือนต้นไม้ นี่ชัดที่สุด ผมคิดตั้งนานว่าอะไรจะเหมือนตรงนี้ได้ เหมือนต้นไม้

ถามว่าพระเจ้าสร้างต้นไม้สวยไหม? ตามธรรมชาติสวยไหม? สวย  เราก็ยังสามารถที่จะไปแต่งเติมให้มันสวยขึ้น ดูเหมาะสมได้อีกไหม? ได้ แล้วทำหรือไม่ทำ? ทำ ถ้าสนามหญ้าของท่าน … ท่านคิดดู ถ้าท่านปล่อยมันธรรมชาติเลย สวยหรือไม่สวย? สวยนะ เขียวๆ แต่ถ้าท่านไปตกแต่งมันอย่างดี ไปตัดแต่งมันทุกเดือนๆ สวยกว่าหรือเปล่า? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย เห็นไหม? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย

หรือบางท่านยิ่งชัดใหญ่เลย ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอะไรดี? ต้นไม้บางต้นสวยอยู่แล้วนะ แต่เขาเอาลวดใส่เข้าไปดัดๆ กลายเป็นลิง กลายเป็นตัวสัตว์ต่างๆ เป็นกวาง สวยกว่าเก่าไหม? สวยกว่าเก่า ต้องแต่งไหม? หรือทิ้งธรรมชาติ มันจะเป็นเอง

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมพยายามจะมาเล่าสู่ท่านฟัง ให้ท่านเห็นว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง มันสวยจริง แต่ว่าพระเจ้าทิ้งงานที่เหลือไว้ให้มนุษย์ตกแต่งมัน รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราจะต้องตกแต่ง ดูแลในทุกส่วนในชีวิตของเรา ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ชีวิต จิตใจ ความคิด ต้องดูแลทุกอย่าง  ให้สมกับคุณค่าที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของเรา สร้างเรา ให้เราดูสวย อย่างงดงามขนาดนี้  ไม่ใช่ปล่อยให้มันโทรม เห็นสนามหญ้าโทรม คนเรามันก็โทรมได้ ถ้าเราไม่แต่งตัว ไม่ดูแลเลย

ยกตัวอย่าง ไม่แปรงฟัน โทรมไหมเนี้ย ยิ้มออกมา ดำปี๋ หินปูนก็ไม่ขัด ปล่อยมันธรรมชาติเลย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทั้งเหลือง ทั้งดำ มันก็ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก นี่บทกวีของพระเจ้านะ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

แต่ทั้งนี้ การเสริมแต่งทุกอย่าง ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบของความเหมาะสม หรือทำตามสมควรที่จำเป็น ให้มีสมดุล ให้มันความพอเหมาะ พอดี ไม่ใช่ทำจนเว่อร์ จนเกินไป หรือน้อยเกินไป

ถามว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ใช่มาเทียบกัน คนนี้กับคนนี้มาเทียบกันไม่ได้ ต้นไม้อย่างนี้กับต้นไม้อย่างนี้ ก็มาเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนจะมีความเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน

คราวนี้มีคนถามว่า “และแค่ไหนคือความพอดี? ความเหมาะสม? ความสมดุลอยู่ตรงจุดไหน? เราจะทราบได้อย่างไรว่าเนี้ยตกแต่งขนาดนี้มันดีแล้วในชีวิตของเรา?”

แน่นอนทุกคนต้องถามตรงนี้แน่นอน แล้วเราจะทราบได้อย่างไร?  นึกในใจไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตอบให้ท่าน

วิธีไม่ยากเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้เปรียบเยอะมากเลย เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา … เราอาจจะเริ่มปรึกษา โดยอธิษฐาน เสร็จแล้วอย่างไร? พระเจ้ายังบอกในพระคัมภีร์ สอนเราอีกว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างนี้ คือนอกจากมีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษายิ่งใหญ่สูงสุด อธิษฐานแล้ว เรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์ด้วย ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พูดพร้อมกัน “ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย”

เราก็ควรที่จะไปปรึกษา มีสติในการที่จะไปปรึกษา ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ เราก็ไปปรึกษาคนที่รู้เรื่องสุขภาพ อย่างเช่นหมอที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ที่เขาดูแลเรื่องสุขภาพ ถูกไหม? ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องการตกแต่ง หรือการทำอะไรก็ตาม เราก็ปรึกษาคนที่เขารู้เรื่องนี้  ก็ไปถามคนโน่น คนนี่ พูดง่ายๆ หาความรู้ นี่คือการปรึกษา

ยิ่งทุกวันนี้  หนึ่งในจำนวนผู้ปรึกษาที่ดี ที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้เรามีสติ นั่นคือใครรู้ไหม? คือใครรู้ไหม? ไม่หยาบนะ คือกูเองนะ จริง กูเกิลๆ จริงๆ กูเกิลนี่หมดเลย วิกิพีเดียมีเยอะแยะเลย  ข้อมูลเยอะแยะ ข้อมูลเหล่านี้ คือที่ปรึกษาของเรา ก่อนเราจะทำอะไร? เราคิดดูต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคน … คนที่พูดได้ ไปหาศิษยาภิบาลที่บ้านบ้าง ไปหาคนนั้น เพื่อปรึกษาสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการแต่งหน้า แต่งตัวอย่างเดียว แต่มันคือชีวิตทั้งหมดเลย ถ้าเราได้รับความรู้และก่อนจะตัดสินใจทำอะไร? ให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ชีวิตเราจะราบรื่นที่สุด ทุกข์น้อยกว่าควรจะเป็น ทุกข์น้อยลง พูดง่ายๆ ถูกไหม? ถ้าเราบอกว่าเราใช้กูเกิลไม่เป็น เราก็ให้ลูก ให้ใครเขาช่วยได้ ถามเขาก็ได้ ช่วยค้นให้หน่อย เขาว่าอย่างไร?  ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขาว่าอย่างไร? คนที่ใช้มาแล้วว่าอย่างไร? เอเมน จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยนะครับ

อย่างนี้เขาเรียกว่าที่ปรึกษา นอกจากปรึกษาแล้ว ตะกี้อย่างที่บอกปรึกษาหาพระเจ้า  แล้วพอปรึกษาอะไรต่างๆ แล้ว สมมติว่าเรามั่นใจว่าพระเจ้าให้เราทำ เราก็ทำเลย ถ้าพระเจ้าไม่ให้ทำ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราอธิษฐาน เอเมน ถูกไหม? เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่ ถ้าเราปรึกษาทั้งหมดแล้ว เราก็อธิษฐานด้วย  เพราะฉะนั้น ถ้าอธิษฐานแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมาหลักจากนั้น  ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมน ถูกไหม? เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงควบคุมดูแลทุกอย่าง ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงาม การแต่งตัว การทำศัลยกรรม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อะไรทุกอย่าง พระเจ้าอยู่กับเราตลอด

คืออยากจะตอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าเรานั้น สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ซึ่งเราคิดไม่ถึง หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ ที่อยู่ในกรอบของประเพณีเก่าๆ ของเรา  ทำให้เราไม่กล้าที่จะโผล่มาทำอะไร? เรารู้สึกว่าทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้นตลอด ต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มันดี พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีเหตุผล เรากลัว ไม่มีเหตุผล พอมาพูดถึงเหตุผลอย่างนี้ชัดๆ มันก็ใช่ (นี่หว่า) ใช่ๆ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน สอนท่านต่อไป

เช่น ถ้ารู้สึกว่าอายุมากแล้ว สมมติ มีผมขาวขึ้นมาทำอย่างไร? มีหลายคนกำลังคิด เมื่อไรถึงเรื่องนี้สักที ถ้าอายุมากแล้ว มีผมขาว รู้สึกว่าอยากจะย้อมผม หรือโกรกผม หรือทำสีผม รู้สึกว่าการโกรกผมนั้น มันเหมาะสำหรับเรา คำว่า “เหมาะ” อย่างที่ผมบอก มาเทียบกันไม่ได้นะครับ คนนี้อยู่ในสังคมนี้ คนนี้อยู่ในกลุ่มนี้  เดี๋ยวต่อไป ผมจะอธิบายให้ท่านอย่างละเอียดกว่านี้ เพื่อให้ท่านเป็นอิสระ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นว่ามันเหมาะสำหรับท่าน … ท่านก็ทำอะไร? อธิษฐาน ถ้าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าอนุญาตให้ท่านทำ ก็ทำไปเลย  แล้วถ้าท่านรู้สึกว่าอยากจะไว้ผมขาว พระเจ้าบอกว่าไว้ผมขาวดีกว่า พระเจ้าอนุญาตให้ท่านไว้ผมขาว ท่านก็ไว้ผมขาว ต้องอาบน้ำด้วยนะ ให้ท่านเห็น เข้าใจไหมครับ ท่านก็ถามคนโน่นคนนี่ ท่านอธิษฐาน ก็อธิษฐานไป ท่านจึงจะได้รับคำตอบ

ให้ลองสังเกตดู แล้วก็สรุปว่าน้ำพระทัยพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่ามีที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย ถามคนรอบข้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปด้วย เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว ปรึกษากับคนรอบข้างแล้ว ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัยแล้ว จงทำไปตามความเชื่อ ตามที่เคยเรียนไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความเชื่อ มันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว อะไรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ … เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราทำ เราดีที่สุด แล้วเราก็อธิษฐาน เชื่อว่านี่พระเจ้านำเราทำอย่างนี้ เราก็ทำเลย เอเมน

นอกจากปรึกษาพระเจ้าแล้ว ลองปรึกษาคนอื่นด้วย อย่างที่บอกนะครับ จะแต่งตัวอย่างไร? จะเข้าไปในสถานที่แบบไหน? จะแต่งตัวอย่างไรในการเข้าไปดูคอนเสิร์ต สมมติอย่างนี้ จะแต่งตัวอย่างไรมาโบสถ์ดี บางครั้ง เราคิดของเราไปเอง คิดของเราคนเดียว

“อย่างนี้ดีแล้ว ฉันเป็นตัวฉันเอง”

อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกให้เรามีที่ปรึกษา ไม่ใช่ดูในกระจก แล้ว

“นี่ สวย  ฉันจะไปอย่างนี้”

ใครว่าอะไรก็ไม่ฟัง

“วันนี้ ฉันจะไปโบสถ์ ฉันจะแต่งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”

ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเชื่อมั่นอย่างนี้ ความเชื่อมั่นในทางพระเจ้า มันมีสติปัญญา  อย่างที่บอก มันมีที่ปรึกษา ถามใครหรือยัง? ยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไร ไม่ได้ถามใคร มั่นใจ คือคุณถาม ตามพระคัมภีร์บอก คุณมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ เขาว่าอย่างไร? ทุกคนเขาว่าอย่างไร? ส่วนใหญ่ถามไหม? คุณอธิษฐานไหม? คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มาโบสถ์ มีคนบอกน่าเกลียด แล้วคุณอธิษฐาน บอกว่าพระเจ้ามันน่าเกลียดไหม?  คุณเคยถามคนโน่นคนนี่ไหมว่ามันพร้อมหรือไม่?  อย่างนี้เป็นต้นใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่ของเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่ต้องทำ เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้วางตัวได้ถูกต้องว่าจะวางตัวอย่างไร ที่จะเข้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ ฟังให้ดีๆ นะ เราจะอยู่กับอย่างนี้อย่างไร? กับสังคมนี้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ถ้าเราไม่ทำในลักษณะเดียวกับเขา เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ พระเจ้าจะใช้งานเราในกลุ่มนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงเฉพาะอย่างที่เขาเรียกว่ารสนิยมต่างกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?

คุณจะทำหน้าตาอย่างไร? ทำผมอย่างไร?  แต่งแบบไหน? มันมีสติปัญญาอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเล่นๆ นี่เรื่องจริงๆ มันมีสติปัญญา มันเป็นวิชาการ เหมือนกับเราไปตกแต่งสนามหญ้า  มันมีวิชาการของมันว่าต้องแต่งอย่างนี้ๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง ไม่ใช่เพ้อฝันเอาเอง ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานอยู่ในห้องคนเดียว แล้วออกมา

“พระเจ้าบอกฉันแต่งอย่างนี้”

ทรงผมแบบ อะไรก็ไม่รู้ สมมติแบบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? เราก็ต้องมีสติปัญญา มีความคิด มีสามัญสำนึก มีเขาเรียกคอมมอนเซน เซนธรรมชาติว่าใส่อย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ต โอเค ใส่อย่างนี้งานแต่งงาน โอเค ใส่อย่างนี้ไปงานศพ โอเค ใส่อย่างนี้ไปโบสถ์ โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันไม่สนใจเลย ฉันจะใส่สีสดๆ ไปงานศพ อย่างนี้”

ต้องดูสิงานนั้น เป็นงานใคร? งานอย่างไร? สมควรทำไหม? อย่างนี้เป็นต้น

สรุป ก็คือก่อนที่จะตัดสินใจเสริมแต่ง ทำอะไรก็ตาม ที่คิดว่าจะเป็นการทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น ในร่างกายนี้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ … สรุปให้นะครับ

  1. พิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ถูกต้องตามกาลเทศะ เหมาะสม พอเหมาะ พอควรหรือไม่?
  2. ถ้าคิดว่าข้อ 1 ผ่าน  ลองปรึกษาคนรอบข้าง หาความรู้ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย
  3. ถ้า 2 ข้อนั้นผ่านเรียบร้อยแล้ว  อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้า

เคล็ดลับ คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“รีบไปทำเลย เดี๋ยวมันหมดเขตลดราคาแล้วนะ”

“ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“ถ้าไม่ทำตอนนี้ เขาเลิกเลยนะ ต่อไปนี้ไม่มีขายแล้วนะ นี่ขวดสุดท้าย”

“ใจเย็นๆ อย่าซื้อเลยนะ รอคอยพระเจ้า”

ตรงนี้แหละสำคัญ ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันถูกต้องเอง เดี๋ยวพระเจ้าจะบอกผ่านตรงโน่น ผ่านตรงนี้ แล้วท่านจะมีความมั่นใจว่า …

“ใช่แล้ว ฉันจะไว้ผมขาว … ใช่แล้ว ฉันจะทำผมบ้าง?”

เข้าใจใช่ไหมครับ? อะไรที่เหมาะกับเรา ผู้ที่รู้ คือพระเจ้า แล้วก็ผ่านทางวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา อย่างนี้แหละ ถ้าผ่านทาง 3 ข้ออย่างนี้แล้ว ก็ตัดสินใจทำด้วยความเชื่อเลย ไม่ต้องไปห่วงใคร สบาย รับรองได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว พอใจไหมครับ? โอเคเนอะ ทำตามความเหมาะสมแล้วกัน ทำอะไรทุกครั้งฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วพระองค์จะบอกท่านเองว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร? ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมพูดมาตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม  ให้สมกับค่าที่พระเจ้าสร้างเรามาให้เป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งถามว่าสำคัญไหม?  เป็นสิ่งสำคัญ

ให้พูดพร้อมกัน “สำคัญ”

ไม่อย่างนั้น ผมกระเซิงมา คนตกใจกลัว นึกว่าผีมา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้  สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือลักษณะท่าทางการพูดจา การสำแดงความรักให้กับรอบข้าง สำคัญทั้งสองอย่าง การไม่อิจฉาใคร ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เปรียบเทียบกับใคร เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า  เป็นบทกวีของพระเจ้า ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญอย่างมาก กระทำตัวให้เป็นผลงานชิ้นเอก สมกับที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เอเมน ไม่มีใครเอเมนเลยตรงนี้ ตอนแต่งตัว เอเมนกันใหญ่  เอเมน อย่าทำให้พระเจ้าขายหน้า ไปเห็นแก่ตัว พระเจ้าขายหน้า ไปอิจฉาเขา พระเจ้าขายหน้า

“ฉันทำตัวเธอมีค่าขนาดนี้ เธอยังไปอิจฉาชาวบ้านเขา”

ขายหน้าไหม? ขายหน้า ทำฮึดฮัดๆ กับชาวบ้านเขา ออกอาการเหมือนที่เขาชอบลงคลิปกันทุกวันนี้ ขายหน้าไหม? พระเจ้าอาย

“ลูกฉันเอ่ย” เข้าใจใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่หลัก สำคัญมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ก็คือทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็คือความประพฤติของเรา  มันต้องดี ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

อย่างที่ผมบอก เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นใคร? เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ราคา ที่พระเจ้าไว้ในชีวิต ใส่ไว้ในชีวิตของเรา เหมือนดังที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเป็นลูกของพระเจ้านะ เพราะฉะนั้น ทำตัวให้มันดีหน่อย  เดินไปข้างนอก เอะอะโวยวาย  ยกมือด่าผู้คนชาวบ้านเขา พระเยซูอยู่ไหม? อยู่กับเราด้วย ถูกไหม? ไปถึง ไปช่วยเหลือชาวบ้านเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ช่วยเขา พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อันไหนที่พระเยซูมีความสุข อันนั้นแหละ คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรที่จะต้องตั้งใจ และคุยกันให้ลึกซึ้งนะครับว่ามันต้องทำทั้งสองอย่าง สำคัญทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางฝ่ายร่างกาย สำคัญทั้งสองว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น จริงๆ มันเชื่อมกัน ผมจะบอกให้ฟัง

ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้ แต่มันเชื่อมกัน ถ้าท่านรู้ละเอียดอย่างนั้น เข้าใจลึกซึ้งในถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะทำ 2 อย่าง เพราะท่านอยากให้มันเพอร์เฟค ให้มันดี เพราะว่าท่านจะถวายเกียรติพระเจ้า ข้างในท่านเชื่อมั่นใจเลย  ท่านไม่ได้ทำ เพราะกิเลสตัณหา เพราะอยาก อันนั้นไม่ใช่

“ฉันทำ เพราะฉันถวายเกียรติพระเจ้า”

พระเจ้าจะไม่ใช้เขาแล้ว ก็โอเค เข้าใจใช่ไหมครับ?

มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมั่นใจในคุณค่าของตัวท่านเองหรือยังตอนนี้ มั่นใจแล้วนะว่าท่านมีคุณค่ามากมายขนาดไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า บางคนนะครับยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ? เพราะบางครั้ง พูดในโบสถ์อย่างนี้ บรรยายอย่างนี้ มั่นใจๆ มาก พอเข้าไปหาเพื่อนในกลุ่ม ที่ไม่ใช่โบสถ์ ออกจากโบสถ์ไป ต่างคนก็ต่างอยู่ในสังคมไม่เหมือนกันใช่ไหม?

บางคนเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสู่ในกลุ่มของนักเรียน … เรียนหนังสือ เป็นเพื่อนๆ กัน ปรากฏว่าเพื่อนในกลุ่มบางคนได้เกรดที่ดีกว่าเราตั้งเยอะ เรียนเก่งกว่า บางคนในกลุ่มนั้น มีฐานะดีกว่า รวยกว่า ใช่ไหม?

หรือบางคนเข้าไปในกลุ่มของคนทำงานแล้ว ไม่ใช่เรียน กลับไปที่ทำงาน ในที่ทำงานบางคนก็มีฐานะดีกว่า ขับรถมา รถหรูกว่า แถมมีตำแหน่งสูงอีกต่างหาก เป็นหัวเราอีกต่างหาก ทำงานเก่งกว่าเราอีกด้วย ก็เลยรู้สึกทำไม? มีความรู้สึกด้อย … ด้อยกว่าชาวบ้านเขา

อยากบอกว่าขอให้วันนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดแบบนี้  ขอให้เป็นวันสุดท้ายที่เราคิดแบบนี้  เพราะอะไร? ผมจะบอกให้ท่าน เพราะคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้เขาวัดกันว่าคุณเรียนหนังสือได้ขนาดไหน?  เกรดอะไร?  คุณมีฐานะมั่งมีขนาดไหน? ขับรถอะไร?  นั่นคือมาตรฐานของโลก ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพหลอกลวงทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า คืออยู่ที่ไหนรู้ไหม? อยู่ที่คุณอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?  พระคัมภีร์พูดชัดเจนนะครับ มาตรฐานของพระเจ้า

“คุณอยู่ในพระคริสต์หรือเปล่า?”

“คุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่?”

“คุณเป็นการฝีมือ เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?”

ถ้าใช่ คุณเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จงมั่นใจและมีความภูมิใจเถิด  เอเมน

 

ขอให้วันนี้ เป็นวันที่จบเรื่องนี้สักทีหนึ่ง ไม่ต้องกลัวใครเลย ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเทียบท่านได้ พูดง่าย เพราะว่าเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรรู้ไหมครับ? เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือหมายถึงท่านเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้ากลับมาอยู่ที่ตัวของท่าน ในชีวิตของท่าน ในวิญญาณของท่าน ปกคลุมอยู่ในร่างกายของท่าน ไม่มีใครเอเมน ไม่ตื่นเต้น เอเมนไหม?  เพราะมันมองไม่เห็น ไม่ใช่กำลังเพลินหรืออะไร? แซวเล่นๆ เพื่อให้ท่านตื่น ท่านกำลังงง

“โอโห้! ฉันมีค่ามากมายมหาศาล”

ท่านเป็นการฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ เป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ฟังให้ดีอีกที ให้พูดพร้อมกัน “ในพระเยซูคริสต์”

หมายถึงท่านเชื่อไง มันจึงเกิด ท่านเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เกิดอะไร? เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมาใหม่เลย เป็นผลงานชิ้นเอก

มาถึงตรงนี้ ได้เรียนรู้ขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะเดินไปไหน ไม่ต้องทำตัวหงออีกแล้วครับท่าน ได้ไหม? เราหงอจนเคยเลย ยืดอกเลย ไปที่ไหนเราก็ยืดอก ท่านสามารถเดินยืดอก ไปไหนมาไหน อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว  อย่าลืมนะครับ อย่างที่ผมบอกยืดอกในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์มีแต่คนถ่อมตัว มีแต่คนอยากจะให้เขา ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ยืดอก ไม่ด้อยกว่าใครเลย เอเมน  ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

ขอให้รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้ จบสักทีหนึ่ง เรื่องกลัวนั้น กลัวนี้ กลัวไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ไปเลย เอเมน ผมก็ชอบอย่างนี้ เวลาไปไหน? ตั้งแต่รู้จักพระเจ้ามา ไปไหน มีความรู้สึกนับวันมันยิ่ง ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ แต่มีความมั่นใจ จะรวยขนาดไหน?

“ทำไมฉันต้องไปแคร์เขาล่ะ ใครไม่รู้ (แถมเขายังไม่เชื่อพระเจ้าอีก) แต่ฉันเป็นใครรู้ไหม?”

นี่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขานะ  พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใครรู้ไหม?” พูดจากข้างใน

“ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์นะ ทำไมถึงไปกลัวคนนั้น คนนี้ แค่ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตกว่า หรือเป็นเศรษฐีร่ำรวยเหรอ ทำไมล่ะ”

นี่แหละ คือสิ่งที่แฝงไว้ตรงนี้แหละ คือถ้าท่านมั่นใจในความรอดของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเปลี่ยนแปลงท่าที่ของท่านแบบนี้ ท่านจะยืดอก และถ้าจะให้ดี ก็คือแขม่วท้อง ยืดอก สุขภาพจะแข็งแรง

มาทบทวนข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันอยู่ในพระคัมภีร์ นี่เอาข้อเดียวมาให้อ่าน เอเฟซัส 2:10 อ่านอีกทีหนึ่งนะครับ อ่านดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เลย

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

พูดตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำ ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ฝึกไว้ พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ถามตัวเองนะ ไม่ไปถามคนอื่นเขา เย่อหยิ่งนะ ถ่อมใจรู้ไหม?

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหมเนี้ย”

ไม่ต้องไปกลัวใคร? เราทั้งหลายเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” เราก็ได้เรียนกันไปเยอะแล้ว จบไปหลายตอนแล้ว 10 กว่าตอนแล้ว ยังจำได้ไหมครับที่เราเรียนกันว่า “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” เราเป็นคนที่ได้รับการไถ่บาป … บาปเวรกรรมไม่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว เราเป็นคนที่พระเยซูเอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว เราเป็นคนที่บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ปราศจากบาปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่เอี่ยม วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ดองกับพระเยซูคริสต์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลยในพระเยซูคริสต์ จำได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ ก็สามารถอธิบายความหมายได้อย่างนี้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากบาป และให้เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ใครที่ตะกี้ บอกว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แล้วยังไม่ยอมยืด ยังยืดไม่สุด ยังไม่มีความมั่นใจ ถึงตอนนี้ ก็ควรมีความมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะครับว่าเป็น Masterpiece แล้ว นอกจากนั้นอีก เห็นชัดๆ คือฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่เป็นผลงานนะ เป็นผลงานใช่ แต่ไม่ใช่เป็นงานที่เป็นชิ้นๆ นะ เป็นลูกของพระองค์ เป็นลูกไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป สวยที่สุด หล่อที่สุด ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ยึดได้เยอะหรือยัง? เยอะหรือยัง?

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันไม่เหมือนใคร?”

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ จบการศึกษา อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ตาม จบไปสัมภาษณ์งาน ผมจะบอกให้ท่านดู ท่านจะเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี จบอะไรก็ตาม หรือไม่จบเลย  กำลังไปสัมภาษณ์งาน ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์นี้ วันหนึ่งข้างหน้า หรือไม่เดี๋ยวนี้ ก็มีประสบการณ์แล้ว ไปสมัครงาน แล้วเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมการ (นั่งสัมภาษณ์เรา) บางทีเราเดินเข้าไป นั่งเรียง หน้าตาดุยังกับอะไร?  มาทำไม?  นึกในใจ เขาไม่พูดอย่างนี้  นึกในใจ เขาคงจะขู่เราน่าดู นั่งแต่ละคนแก่ๆ ทั้งนั้น แล้วก็ดูอาวุโส ดูมีฐานะ ดูเก่งๆ เราเดินเพิ่งจบมา ได้งานหรือไม่ได้งาน  แล้วก็เดินหงอๆ เข้าไป ยิ่งกว่านั้น พูดผิดพูดถูก ชื่ออะไร? บอกซอยบ้าน เขาถามชื่อ ดันไปบอกซอยบ้าน นามสกุล ดันบอกชื่อพ่อแม่ มันกลัวไปหมดเลย มีไหม? เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม? มีแน่นอน แล้วมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้จริงๆ วิธีแก้ จากนี้ต่อไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว ให้ท่านมีความมั่นใจในตัวท่านว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เดินเข้าไปถึง บอก

“ผมเป็นใคร?” ไม่ใช่

คุณต้องมั่นใจในตัวคุณก่อนเข้าไป แล้วก็เข้าไปด้วยความมั่นใจนะ แล้วคุณคิดในใจว่า …

“เราจะเลือกบริษัทนี้ทำงานดีไหมเนี้ย?”

ไม่ใช่เขาเลือกเรานะ เราจะเลือกเขาว่าเราจะทำงานบริษัทนี้ดีไหม? เราจะอวยพรเขาไหม? พระเจ้าจะอวยพรผ่านทางเราให้กับบริษัทนี้ไหม? ถ้าเขารับเรา เขาจะได้รับการอวยพรตรงนี้ ไม่ใช่เราไปของานเขาทำ เอเมน เปลี่ยนสิ เปลี่ยนความคิดซะ เดินเข้าไป เขาด้อยกว่าเรามากเลย  กรรมการ 4-5 คนนั่งอยู่ ด้อยกว่าเราเลย  เพราะว่าในใจเราใหญ่กว่าเขาอีก เขาคิดว่าเราไปของานเขา เราฮึดใหญ่กว่าเขาอีก

“ฉันจะมาอวยพรคุณนะเนี้ย ถ้าคุณไม่เอาฉัน ก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจ”

แต่ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหอง เห็นไหม? คุณเข้าไป ก็คุยกับเขา ระดับมันเริ่มเท่าแล้ว มั่นใจในการพูด เห็นไหม? คนที่พูดตะกุกตะกัก เป็นพวกเขามากกว่าแล้ว เพราะบางทีคุณอาจจะถามเขาได้ เอ๊ะ! ถามทำไม? คุณมั่นใจ เพราะคุณไม่กลัวนิ แทนที่คุณจะหงอ นี่พูดถึงว่าถ้าเรามีสติปัญญา แล้วเราทำด้วยความถ่อมใจ ถามว่าอะไรดีกว่ากัน เครียดก็ไม่เครียด ถ้าเขาไม่เอาเรา ก็แสดงว่าพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ไปที่อื่น เอเมน พระเจ้ากำลังนำพาเราไปอวยพรบริษัทไหนไม่รู้ ที่เรากำลังจะไปให้พรเขา ถ้าเขาต้อนรับพรจากพระเจ้า

แตกต่างไหม? เดินเข้าไปผึ่งผายขึ้นไหม?  แต่หลายคนที่นี่ คงไม่ได้สมัครงานใหม่ เพราะอายุมากแล้ว มันจะเกินไปแล้วเนอะ เอาไปสอนลูกสอนหลานได้ 70, 80 อาจารย์ยังมาสอนเรื่องสมัครงาน ไม่ใช่ เอาไปสอนลูกสอนหลานว่า …

“ลูกเอ่ย ไปในนามพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวอธิษฐานกัน ไม่ต้องห่วง ไปเลย จะงานใหญ่ขนาดไหน? หรือจะตกลงงานใหญ่ขนาดไหน? ถ้าพระเจ้าให้ ก็คือให้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็แสดงว่าเราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พระเจ้าพาเราไปอยู่แล้ว เอเมน”

เห็นไหม? ท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาง้อเรานะ เราไม่ได้ไปง้อเขา มันต่างกันเยอะ แค่คิดเปลี่ยนแค่นี้ ท่าทีท่านจะเปลี่ยนไปทันที  ออกมา เพื่อนถาม

“บริษัทนี้เขาจะรับเธอเปล่า?”

“เธอพูดผิดไปแล้ว นี่ฉันคิดว่าฉันจะไปอวยพรเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้ทำที่นี่หรือเปล่า?”

ต่างกันเยอะ เห็นไหม? เอเมน เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้พูดคุยตอนนี้หรือไม่? คิดให้ดีๆ

ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกหรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพูดในนี้ ในโบสถ์ บอกว่าทุกคนเป็น Masterpiece ใช่ไหม? และถามว่าทุกคนนอกโบสถ์นี้ไป คิดให้ดีๆ ตะกี้เราพูดในโบสถ์นี้ ทุกคนเป็นผลงานชิ้นพิเศษของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ถามว่าแล้วข้างนอก มองไปที่ข้างนอก มนุษย์ทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบ ก็คือไม่ใช่  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? เราเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์  เงื่อนไขของการสร้าง Masterpiece หรือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คืออะไร? คือการทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ และคนนั้น ต้องยอมให้พระองค์สร้าง ก็คือยอมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

วิธีการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือต้องยอมถ่อมใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา คือรับข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง เอเมน ซึ่งเราได้ทำไปแล้ว  เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว

สรุป ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด มนุษย์ทุกคนข้างนอก ที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็น Masterpiece ยังไม่ได้เป็นบทวี ยังไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แต่เขามีสิทธิ์ … สิทธิ์เขาง่ายนิดเดียว เหมือนเราทั้งหลาย ที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  โอเคนะครับ

คราวนี้กลับมาดูพระคัมภีร์ต่อเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านพร้อมกัน เอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทางสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เรา

ให้พูดพร้อมกันตรงนี้นะครับ “ที่พระเจ้าทำไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ”

ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ ตอนนี้นะครับ “เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ หรือให้เราทำ”

คำว่า “จัดเตรียมล่วงหน้าให้เราทำ” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม คือคำว่า “เทลอส” แปลว่าเป้าหมายหลัก หรือพระประสงค์ของพระเจ้า

พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา มีพระประสงค์ มีเป้าหมายหลักในชีวิตของท่าน คำว่า “เทลอส” หรือ  “พระประสงค์ของพระเจ้า” ตรงนี้ เป็นการย้ำถึงคุณค่าของผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่บอกว่าเป็น Masterpiece ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เป็นการสำแดงตรงนี้ชัดๆ ว่าไม่มีใครเหมือนเลย ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างผลงานแต่ละชิ้น ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีพระประสงค์ที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคนๆ ทุกคน เอเมน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน  ตามที่พระคัมภีร์ได้พูดใน 1 โครินธ์ 12:4-6 เอาไว้อย่างนี้นะครับ อ่านดูพร้อมกัน

1 โครินธ์ 12:4-6 “4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกัน เป็นผู้ประทาน   5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงกระทำการทั้งหมด ในคนทั้งปวง”

 

เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร และพระองค์มีพระประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละคนๆ

“สำหรับฉัน  สำหรับฉันทีละคน”

เพราะฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเทียบกับใคร? เพราะว่าท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนท่าน พระเจ้าต้องใช้ท่านทำงานนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มาทำไม่ได้ เอเมน สำคัญไหมอย่างนี้ สำคัญที่สุดเลย ใครทำแทนไม่ได้ ต้องเป็นท่านทำ นี่พระเจ้าเจาะจงถึงขนาดนี้ ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อทำงานของพระองค์อย่างนี้

และในลักษณ์เฉพาะของท่าน … ท่านดีที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วในทุกด้าน ในความสามารถตามมาตรฐานของพระเจ้า สวยงามที่สุด  ดีที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีใครจะมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดได้ จงมั่นใจเถิด สำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยแม้แต่นิดเดียว ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้ด้อยเลย  แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ในบ้านคนเดียว อายุก็มากแล้ว แต่พระเจ้าเลือกท่านทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ต้องเป็นท่าน เอเมน ให้รู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร? อย่าไปเทียบกับคนอื่น

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งนะครับ ชื่อ Judy Atcheson เป็นชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็กมาก สูงแค่ประมาณ 140 เซ็นต์ ใครในนี้ 140 เซ็นต์บ้าง? ไม่มีเนอะ ไม่ใช่เด็กนะ หมายถึงโตแล้ว 140 เซ็นต์เท่านั้น แล้วตั้งแต่เล็กๆ ก็โดนเพื่อนล้ออยู่เสมอๆ ใครๆ เรียกเธอว่าอะไร? ไอ้เตี้ย (หยาบคาย)  อย่างนี้เขาเรียกอีเตี้ย เขาเป็นผู้หญิง ไปเรียกไอ้เตี้ยได้อย่างไร? มันก็อย่างนี้ แสดงว่าทั้งโลกเป็นหมด ไม่ใช่เป็นประเทศไทยอย่างเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่าเตี้ย (… เตี้ย) จนเธอรู้สึกมีปมด้อยมาตลอด  และอยากจะสูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากสูง

พอโตขึ้นจูดี้ ก็ไปเรียนพระคัมภีร์ และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันเรื่องพระเจ้า มีพระประสงค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จูดี้ก็มักจะคิดถึงตัวเองว่าแล้วพระองค์ทรงสร้างให้เราตัวเตี้ย ขนาดนี้  นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไรในการเป็นคนตัวเตี้ยอย่างนี้ ถูกเขาล้อตลอด คิดเสมอ สงสัย ปรากฏว่าหลังจากที่จบการศึกษา จากโรงเรียนพระคัมภีร์แล้ว พร้อมที่จะออกไปรับใช้ เธอก็ได้รับการทรงเรียกให้ไปเป็นมิชชันนารี … มิชชันนารี คือคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ออกไปประกาศข่าวดี ให้ไปเป็นมิชชันนารี ที่ชนเผ่าแห่งหนึ่งในแถบแอฟาริกา คือมีชื่อเผ่าว่าเผ่าปิ๊กมี้ นี่เรื่องจริงนะครับ มาหัวเราะ เผ่าปิ๊กมี้ ทุกคนรู้จักดี

ท่านทราบไหมครับว่าชาวปิ๊กมี้ มีลักษณะเด่น คือใครๆ ก็รู้จัก ปิ๊กมี้เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างเตี้ย และในสมัยก่อนโน่น มิชชันนารีที่พยายามจะไปประกาศในเผ่านี้ ก่อนหน้านี้นั้น  ตัวสูงๆ ทั้งนั้น เข้าไป ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปิ๊กมี้ เพราะชาวปิ๊กมี้กลัว แค่สีผิวต่างกัน ก็กลัวแย่อยู่แล้ว นี่เหมือนกับยักษ์โตเข้ามาในท่ามกลางพวกเขา ไม่รับๆ นึกภาพนะครับ พวกชาวเผ่าจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมใกล้ชิดด้วย สำหรับคนผิวขาวตัวใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เป็นการประกาศยากมาก ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร? เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ พูดง่ายๆ

จนกระทั่งจูดี้ มีโอกาสเข้าไปรับใช้ที่นี่ เป็นไงครับ? จูดี้ไปรับใช้ พอไปถึง ปรากฏว่าตัวเท่ากันเลย ตัวเท่ากับพวกเขา ง่ายเลยที่นี่ พวกปิ๊กมี้ คิดว่านี่คือบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเรียนพระคัมภีร์มา นี่คือพวกเดียวกันทั้งนั้น ใช่แน่นอน ก็เลยให้ความสนิทสนมกับจูดี้ ก็เลยกลายเป็นว่าจูดี้ได้ชื่อว่ามิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จมาก ในการประกาศที่ชนเผ่านแห่งนี้  และเธอใช้ชีวิตอยู่กับชาวปิ๊กมี้ รับใช้ชาวปิ๊กมี้ อยู่ที่แถบแอฟาริกา เป็นเวลา 35 ปี จึงกลับประเทศอังกฤษ และได้รับเหรียญรางวัลจากพระราชินีอลิสเบธด้วย ที่เธอทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า

เห็นหรือยัง? เห็นไหมครับ? นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะถูกสร้างมาแบบไหนก็ตาม มีบุคลิกลักษณะอย่างไร? พระเจ้าใช้เราได้ทั้งนั้น เพราะเตรียมไว้แล้วด้วย และจะใช้ด้วย  และพระองค์ก็มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับเราแต่ละคนไม่ต้องเปรียบเทียบกัน เอเมนไหม?

นึกถึงเรื่องนี้ แล้วนึกถึงนี่ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวนะครับ เต๋เขามีเพื่อนคนหนึ่งสูงๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นี่เขาเตี้ย เพื่อนเต๋ก็สูง เป็นคนสูงมาก ซื้อรองเท้าก็ลำบาก ซื้อเสื้อผ้าก็ลำบาก เพราะสูงมาก เป็นคนไทย แต่ตัวสูงมาก ทำอะไรก็ลำบาก ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถเมล์ เครื่องบินที่แบบยาวๆ เพราะเขายาว สูงมาก ปรากฏว่าไปกินข้าวอยู่วันหนึ่ง ไปกินโต๊ะยาวมาก คนหัวโต๊ะเขาก็บอกว่า …

“ช่วยส่งพริกไทยให้หน่อย”

ทุกคนเงื้อมไม่ถึง ปรากฏแป๊บเดี๋ยวมีอะไรบ้างอย่างผ่านไป มันมาได้อย่างไร?  พริกไทยมาได้อย่างไรเนี้ย  เพราะว่าแขนยาว สามารถทำได้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาหรือเปล่า? เห็นไหม? บางวันหลอดไฟเสีย คนต้องไปลากเก้าอี้มาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนได้เลย เสร็จ ใครจะไปรู้ วันข้างหน้า อะตอมคนนี้อาจจะไปเป็นมิชชันนารีก็ได้  ไปหาเผ่าอะไรที่เขาสูงๆ พวกเราเข้าไป เขาไม่รับเรา มองไม่เห็น  พวกท่านไป เขาอาจจะบอก เผ่านี้อาจจะบอก ใครมา เพราะสูงหมด เขาต้องไปหาคนที่สูงเหมือนกันกับเขา ยกตัวอย่างเป็นต้น

ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นแหละ พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นแหละ เอเมน ใช้ท่านไปหาหมู่คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ว่าเขาจะได้ข่าวประเสริฐหรืออะไรแล้วแต่ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นท่านสวยที่สุด ท่านหล่อที่สุด ท่านยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตอนนี้  พอใจหรือยัง? ครั้งต่อไปไม่เทศน์ตรงนี้แล้วนะ ต้องมั่นใจเลยนะว่าเราสวยที่สุด คือผมกำลังอยากจะบอกท่านว่าต่อให้ท่านมีลักษณะอะไรก็ตาม สถานะอะไรก็ตาม ที่ตามมาตรฐานโลก อาจจะบอกว่ามันบกพร่อง หรือดูด้อยกว่าคนอื่น หรือดูแปลกกว่าคนอื่น แต่จงเชื่อและภูมิใจเถิดว่าพระเจ้าทรงตั้งใจ สร้างท่านแบบนั้น  ให้มีเอกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อให้ท่านทำงานอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร?

ลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะครับ “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันสมบูรณ์ครบถ้วน งดงามที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักที่สุด และทรงภูมิใจที่สุด ฉันมีงานที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ให้ฉันทำ คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ แทนฉันได้เลย ฉันจึงมีค่าที่สุด ในสายพระเนตรพระเจ้า เอเมน”

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า” (You are God’s Masterpiece) โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  มกราคม  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 5 “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

(You are God’s Masterpiece)

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 5 มีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “เราเป็นผลงานที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมล่วงหน้า”

สัปดาห์ที่แล้วตอนที่ 4 มีชื่อตอนว่าอะไร? ใครจำได้บ้าง? ครั้งที่แล้ว “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงถ้อยคำพระเจ้าในเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า หรือเรียกว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece”

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความหมาย คือเราเป็นงานศิลปะ เป็นบทกวี เป็นงานฝีมือ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ซึ่งเราควรจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรานี้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นฝีมือ เป็นการฝีมือ เป็นบทกวี เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สร้างด้วยความบรรจงอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงตั้งใจที่จะสร้างเราขึ้นมา ให้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระองค์ เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่า ของลีโอนาโด้  ดาวินชี เรามีค่ามากกว่านั้นอีก ซึ่งรูปนี้เขามีค่าขนาดไหน? สูงขนาดที่ขายไม่รู้จะบอกว่าเท่าไร มันเยอะมาก เขาจึงเอาไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์

โมนาลิซ่าในรูป ถ้าพูดได้ เธอคงพูดว่า …

“ฉันเป็นภาพที่มีมูลค่ามากมายมหาศาล ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

มองภาพ แล้วนึกว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้ และมันเป็นจริง แล้วเราล่ะ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่าขนาดไหน?  เปรียบกันไม่ได้เลยนะครับ

แล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวทิ้งท้ายกันไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้เรามั่นใจเสมอว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ให้เรามั่นใจอย่างนี้ มากเท่ากับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทย เป็นคนไทยหรือเปล่า? ตอบพร้อมกัน มั่นใจ? มั่นใจ ไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลยใช่ไหม? ไม่ต้องเลย เหมือนกัน ต้องดูพระคัมภีร์ไหมว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าตอนนี้ ต้องดูพระคัมภีร์ไหม? ไม่ต้องแล้ว

“ฉันมั่นใจ ข้างในบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับฉัน ในหัวใจของฉันตั้งแต่วันที่ฉันรับเชื่อ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ยืนยันกับฉันข้างในว่าฉันเป็นผลงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของพระเจ้าจริงๆ” เอเมน

“ใครจะมาดูถูกว่าฉันไม่สวย ไม่หล่อ ฉันก็ไม่สนใจ ฉันมีความภาคภูมิใจ เพราะฉันเป็นฝีพระหัตถ์ เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้า เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ฉันสวย และหล่อที่สุดแล้ว” เอเมน

ลุกขึ้นยืนนิดหนึ่ง พูดตามผมนะครับ ให้มั่นใจ เท่ากับท่านเป็นคนไทยนะ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? เป็น เดี๋ยวพูดตามนะครับ ดังขนาดนี้นะครับ พูดตามผมนะครับ

          “ฉันเป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันเป็น Masterpiece ของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเพอร์เฟคที่สุดแล้ว สมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่มีแล้ว ฉันสวย / หล่อที่สุดแล้ว สวย / หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ฉันงดงามที่สุดแล้ว งามกว่านี้ไม่มีอีกแล้วนะครับ / นะคะ”

 

แล้วยังจำได้ไหมครับว่าครั้งที่แล้วได้ โปรยเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอก เราได้พูดกันตรงนี้ขึ้นมา ให้ลุกขึ้นมายืนพูดด้วยความกล้าหาญ ฮึกเหิมเลยใช่ไหมครับ? ก็มีคนมาถาม มีสมาชิกมาถาม โดยเฉพาะผู้หญิงนะครับ ข้องใจมาก ก็มาถามผมว่า …

“ในเมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวยที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือนอีกแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว งั้นแสดงว่าต่อไปนี้ ไม่ต้องแต่งตัวให้สวย  ไม่ต้องแต่งหน้าทำผมแล้วใช่ไหม? ปล่อยตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างเลย สวยที่สุดแล้วไง”

โอไหม? ไม่โอ … โอหรือไม่โอ? แค่นึกภาพก็น่ากลัว สยองแล้วนะ ถ้าคนในนี้มาบอกว่าไม่มีใครแต่งตัวมาเลย ผมเดินเข้ามา คงสยองขวัญแน่ ไม่หวีผม ตื่นเช้า มาเลย ไม่ไหวนะ และโดยเฉพาะคนข้างๆ ที่บ้าน ทำอย่างนี้ แบบสยอง ขนลุกเลย ตื่นขึ้นมาตายแน่ ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ?

วันนี้เลยต้องมาขยายความกันต่อหน่อยนะครับ ถ้าไม่ขยายความ เผื่อว่าถ้าเกิดสัปดาห์หน้า จบเทศนานี้ สมาชิกที่มาที่นี่ มาแบบธรรมชาติๆ มาสวยธรรมชาติเลย เราคงผวากัน เพราะฉะนั้น ก็เลยต้องมาคุยกันนิดหนึ่ง คุยกันนิดหนึ่ง เพื่อเราจะไม่ได้ธรรมชาติเกินไป ดีไหม? บอกคนข้างๆ สิ อย่าธรรมชาติมาก มันน่ากลัว บอกสิ ไม่กล้าพูดเหรอ มันน่ากลัว เวลาตื่นขึ้นมา ไม่แปรงฟัน ไม่หวีผม นี่ธรรมชาติแล้วนะเนี้ย

การรู้ตัวตนของเราเองว่าเราเป็นใคร?  และพระเจ้าสร้างเราให้มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร?  ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร อย่างไร? สวยงามที่สุด  หล่อที่สุด มีคุณค่ามากที่สุด เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และได้บรรจงสร้างเราให้เป็นอย่างนี้  ถ้าเรารักษาความเชื่อของเราแบบนี้ ให้มีความมั่นใจแบบนี้ แบบสักครู่นี้ที่เราพูดพร้อมกัน  มั่นใจเหมือนที่เราบอกว่าเราเป็นคนไทย โดยไม่ต้องดูบัตรประชาชนเลย หลับๆ ตื่นขึ้นมา

เขาถาม “คนไทยหรือเปล่า?”

เราก็บอก “คนไทย”

ถ้าเรารักษาความมั่นใจอย่างนั้นได้ ในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นบทกวี เป็นผลงานชิ้นเอก  เป็น Masterpiece สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร พระคัมภีร์บอกเราเป็นอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อแบบที่เราเชื่อว่าเราเป็นคนไทยอย่างนั้น

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เรานั้น สามารถที่จะอยู่บนโลกนี้ ในลักษณะใดรู้ไหมครับ? ในลักษณะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? จะอยู่ในสังคมใด อยู่ในสถานะใดบนโลกใบนี้ก็ตาม เราก็จะกล้ายืนหยัด ยืดอก และมีความมั่นใจในการแสดงออกให้คนอื่นได้เห็นว่า …

“ฉันเป็นใคร?”

พูดสิ “ฉันเป็นใคร?”

ยืดอกหน่อยสิ ยืดอกหน่อย นี่ยังห่อเหี่ยวอยู่เลย ยืดอกหน่อยเร็ว แล้วบอกสิ

“ฉันเป็นใคร? หือ!”

“ฉันเป็นศิลปะชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ”

ไม่กล้าพูดเหรอ ฉันไม่ธรรมดานะ

“ฉันเป็นคนมีชาติตระกูล”

มีชาติตระกูล ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรรู้ไหม? เวลาคนมีชาติตระกูล มีความภูมิใจตัวเอง เขาเรียกว่า Somebody

“I am somebody.” แปลว่า “ฉันมีคุณค่า”

เขาเรียกว่า I am somebody ถ้า I am no body. แปลว่าฉันแย่เหลือเกิน คนก็ไม่เอาฉันแล้ว อะไรอย่างนี้  ไม่ใช่อย่างนั้น

ถ้าเรารู้ เรามั่นใจ เราต้องบอกว่าอะไร? I am somebody.

ลองพูดสิ “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “I am somebody.”

ยืดอกแล้วบอกว่า “ฉันมีคุณค่า  ฉันเป็นใครรู้หรือเปล่า?” อะไรประมาณนี้

“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ” อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจได้ ถ้าเรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในพระเจ้าแบบนี้ ในชีวิตของเรา … เราจะยืดอกได้อย่างสง่าเผย แต่ยืดอกแบบถ่อมใจ ไม่ใช่ไปเอาเปรียบชาวบ้านเขา ไม่ใช่ไปยืดอกไปทับถมคนอื่น ไม่ใช่ ยืดอกเฉพาะตัวเราเอง เรามั่นใจในตัวเราเอง

“ฉันไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย”

แต่ไม่ใช่เอาไปทับถมเขา  ยืดอกแบบถ่อมใจ

ให้เราพูดพร้อมกัน “แบบถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง”

นี่คือหนทางที่พระเจ้าต้องการให้เราทั้งหลาย ที่มาเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตแบบนี้ ยืดอก และเมื่อเรามีความมั่นใจ ยืดอกได้แล้ว อาการ ท่าทางของเราที่แสดงออกมา ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม  เราก็จะทำทุกอย่างด้วยความสง่างาม การจะไปไหน? จะทำอะไร? จะแต่งตัวอย่างไร? จะพูดอย่างไร? ก็จะเต็มไปด้วยความสง่างาม

ให้พูดพร้อมกัน “สง่างาม”

ลองนึกถึงภาพ ในอดีตมา เราสง่างามพอหรือยัง? สมกับที่มีคุณค่ามากกว่า มีมูลค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า  กล้าไหม? สง่างามไหม? ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เราไปคิดเอาเอง แต่ ณ วันนี้เป็นต้นไป เราจะต้องเปลี่ยนท่าทีเรา สง่างามเพิ่มขึ้น เพราะเรารู้มากขึ้น ถูกไหม? เอเมน ปรบมือให้พระเจ้า ขอบคุณพระองค์

พอเรารู้สถานะของเราว่าเราเป็นใคร? รู้ความจริง ความจริงก็จะทำให้เราภูมิใจ เมื่อภูมิใจแล้ว เราจะดูแลตัวเอง เมื่อภูมิใจ แล้วทำไม?  มีความมั่นใจ แล้วทำไม? ดูแลตัวเอง ให้ดูสง่างาม  สมฐานะ

พูดพร้อมกันสิ “สมฐานะ”

ตอนนี้งาม สมฐานะหรือยัง?  ให้ดูสง่างาม ตามสถานะ หรือสมฐานะของเรา ไม่ปล่อยให้เนื้อตัวสกปรก หน้าตาผมเผ้า ก็จะทำให้มันดูดีขึ้น ให้สมกับสถานะที่พระเจ้าสร้างเรา เป็นผลงานชิ้นเอก (นะโว๊ย) ถ้าในปัจจุบันเขาจะพูดอย่างนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราก็จะต้องดูแลระมัดระวังทุกอย่างในตัวของเรา  พยายามทำให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่เฉพาะแค่ทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางการประพฤติเท่านั้น แต่รวมถึงการแต่งตัวทุกอย่างด้วย ทุกอย่างในชีวิต เพราะเราเป็นการฝีมือ เป็นศิลปะ เป็นงานชิ้นเอกของพระเจ้า ทำให้สมกับเป็นอย่างนั้นหน่อย เหมือนอย่างภาพโมนาลิซ่าตะกี้นี้ ที่บอกว่ามีค่ามหาศาล มันสวยของมันอยู่แล้ว ถูกไหม? มีค่าของมันอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังเสริมด้วยการทำสปอร์ตไลต์ ทำกรอบ ทำอะไรให้มันสวยขึ้น อยู่ในตำแหน่งที่สวยๆ คือมันสวยอยู่แล้ว แต่ทำให้มันทำไม? สวยขึ้นสมฐานะของมัน สมราคา ไม่ใช่รูปไร้ค่า รูปอะไรก็ไม่รู้ รูปละบาทสองบาท แล้วเรามาใส่กรอบทอง อย่างนั้นมันไม่ใช่ นี่มันสมฐานะ เป็นภาพโมนาลิซ่าของแท้

การแต่งตัว แต่งหน้า  ทำผม ทำเล็บ ศัลยกรรม การเสริมความงามก็ตาม เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ได้ส่องประกายออกมาอย่างเหมาะสมและพอเหมาะ ไม่ดีใจเลยเหรอ? ดีใจไหม?  ดีใจ แต่งได้ แต่เดี๋ยวฟังต่อไป คือสิ่งเหล่านี้มันทำเพื่ออะไร?  ทำเพื่อเสริมให้ความงาม มันงามขึ้น ไม่ใช่บอกว่าเมื่อเรารู้ว่าเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าแล้ว สวย ไม่มีใครเหมือนแล้ว  เพราะฉะนั้นจากนี้ต่อไป เราปล่อยมันตามธรรมชาติเลย เหมือนต้นไม้ นี่ชัดที่สุด ผมคิดตั้งนานว่าอะไรจะเหมือนตรงนี้ได้ เหมือนต้นไม้

ถามว่าพระเจ้าสร้างต้นไม้สวยไหม? ตามธรรมชาติสวยไหม? สวย  เราก็ยังสามารถที่จะไปแต่งเติมให้มันสวยขึ้น ดูเหมาะสมได้อีกไหม? ได้ แล้วทำหรือไม่ทำ? ทำ ถ้าสนามหญ้าของท่าน … ท่านคิดดู ถ้าท่านปล่อยมันธรรมชาติเลย สวยหรือไม่สวย? สวยนะ เขียวๆ แต่ถ้าท่านไปตกแต่งมันอย่างดี ไปตัดแต่งมันทุกเดือนๆ สวยกว่าหรือเปล่า? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย เห็นไหม? สวยกว่า แถมใช้งานได้อีกด้วย

หรือบางท่านยิ่งชัดใหญ่เลย ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าอะไรดี? ต้นไม้บางต้นสวยอยู่แล้วนะ แต่เขาเอาลวดใส่เข้าไปดัดๆ กลายเป็นลิง กลายเป็นตัวสัตว์ต่างๆ เป็นกวาง สวยกว่าเก่าไหม? สวยกว่าเก่า ต้องแต่งไหม? หรือทิ้งธรรมชาติ มันจะเป็นเอง

นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ผมพยายามจะมาเล่าสู่ท่านฟัง ให้ท่านเห็นว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง มันสวยจริง แต่ว่าพระเจ้าทิ้งงานที่เหลือไว้ให้มนุษย์ตกแต่งมัน รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราจะต้องตกแต่ง ดูแลในทุกส่วนในชีวิตของเรา ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ชีวิต จิตใจ ความคิด ต้องดูแลทุกอย่าง  ให้สมกับคุณค่าที่พระเจ้าใส่ไว้ในชีวิตของเรา สร้างเรา ให้เราดูสวย อย่างงดงามขนาดนี้  ไม่ใช่ปล่อยให้มันโทรม เห็นสนามหญ้าโทรม คนเรามันก็โทรมได้ ถ้าเราไม่แต่งตัว ไม่ดูแลเลย

ยกตัวอย่าง ไม่แปรงฟัน โทรมไหมเนี้ย ยิ้มออกมา ดำปี๋ หินปูนก็ไม่ขัด ปล่อยมันธรรมชาติเลย แล้วเป็นอย่างไรล่ะ ทั้งเหลือง ทั้งดำ มันก็ส่งกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก นี่บทกวีของพระเจ้านะ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน

แต่ทั้งนี้ การเสริมแต่งทุกอย่าง ก็ต้องทำให้อยู่ในกรอบของความเหมาะสม หรือทำตามสมควรที่จำเป็น ให้มีสมดุล ให้มันความพอเหมาะ พอดี ไม่ใช่ทำจนเว่อร์ จนเกินไป หรือน้อยเกินไป

ถามว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ใช่มาเทียบกัน คนนี้กับคนนี้มาเทียบกันไม่ได้ ต้นไม้อย่างนี้กับต้นไม้อย่างนี้ ก็มาเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนจะมีความเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน

คราวนี้มีคนถามว่า “และแค่ไหนคือความพอดี? ความเหมาะสม? ความสมดุลอยู่ตรงจุดไหน? เราจะทราบได้อย่างไรว่าเนี้ยตกแต่งขนาดนี้มันดีแล้วในชีวิตของเรา?”

แน่นอนทุกคนต้องถามตรงนี้แน่นอน แล้วเราจะทราบได้อย่างไร?  นึกในใจไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตอบให้ท่าน

วิธีไม่ยากเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้เปรียบเยอะมากเลย เรามีที่ปรึกษามหัศจรรย์ คือพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้นำพาชีวิตของเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา … เราอาจจะเริ่มปรึกษา โดยอธิษฐาน เสร็จแล้วอย่างไร? พระเจ้ายังบอกในพระคัมภีร์ สอนเราอีกว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างนี้ คือนอกจากมีพระเจ้าเป็นที่ปรึกษายิ่งใหญ่สูงสุด อธิษฐานแล้ว เรายังจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นมนุษย์ด้วย ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พูดพร้อมกัน “ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย”

เราก็ควรที่จะไปปรึกษา มีสติในการที่จะไปปรึกษา ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ เราก็ไปปรึกษาคนที่รู้เรื่องสุขภาพ อย่างเช่นหมอที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพ ที่เขาดูแลเรื่องสุขภาพ ถูกไหม? ถ้าเราจะไปปรึกษาเรื่องการตกแต่ง หรือการทำอะไรก็ตาม เราก็ปรึกษาคนที่เขารู้เรื่องนี้  ก็ไปถามคนโน่น คนนี่ พูดง่ายๆ หาความรู้ นี่คือการปรึกษา

ยิ่งทุกวันนี้  หนึ่งในจำนวนผู้ปรึกษาที่ดี ที่อยู่รอบข้างเรา แต่ให้เรามีสติ นั่นคือใครรู้ไหม? คือใครรู้ไหม? ไม่หยาบนะ คือกูเองนะ จริง กูเกิลๆ จริงๆ กูเกิลนี่หมดเลย วิกิพีเดียมีเยอะแยะเลย  ข้อมูลเยอะแยะ ข้อมูลเหล่านี้ คือที่ปรึกษาของเรา ก่อนเราจะทำอะไร? เราคิดดูต่างๆ เหล่านี้ แล้วปรึกษาคน … คนที่พูดได้ ไปหาศิษยาภิบาลที่บ้านบ้าง ไปหาคนนั้น เพื่อปรึกษาสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะการแต่งหน้า แต่งตัวอย่างเดียว แต่มันคือชีวิตทั้งหมดเลย ถ้าเราได้รับความรู้และก่อนจะตัดสินใจทำอะไร? ให้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ชีวิตเราจะราบรื่นที่สุด ทุกข์น้อยกว่าควรจะเป็น ทุกข์น้อยลง พูดง่ายๆ ถูกไหม? ถ้าเราบอกว่าเราใช้กูเกิลไม่เป็น เราก็ให้ลูก ให้ใครเขาช่วยได้ ถามเขาก็ได้ ช่วยค้นให้หน่อย เขาว่าอย่างไร?  ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เขาว่าอย่างไร? คนที่ใช้มาแล้วว่าอย่างไร? เอเมน จะได้ไม่ถูกหลอกด้วยนะครับ

อย่างนี้เขาเรียกว่าที่ปรึกษา นอกจากปรึกษาแล้ว ตะกี้อย่างที่บอกปรึกษาหาพระเจ้า  แล้วพอปรึกษาอะไรต่างๆ แล้ว สมมติว่าเรามั่นใจว่าพระเจ้าให้เราทำ เราก็ทำเลย ถ้าพระเจ้าไม่ให้ทำ เราทำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเราอธิษฐาน เอเมน ถูกไหม? เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่ ถ้าเราปรึกษาทั้งหมดแล้ว เราก็อธิษฐานด้วย  เพราะฉะนั้น ถ้าอธิษฐานแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นมาหลักจากนั้น  ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ก็เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เอเมน ถูกไหม? เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงควบคุมดูแลทุกอย่าง ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา  ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความงาม การแต่งตัว การทำศัลยกรรม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อะไรทุกอย่าง พระเจ้าอยู่กับเราตลอด

คืออยากจะตอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนมีความรู้สึกสบายใจ และรู้ว่าเรานั้น สามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง ซึ่งเราคิดไม่ถึง หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ ที่อยู่ในกรอบของประเพณีเก่าๆ ของเรา  ทำให้เราไม่กล้าที่จะโผล่มาทำอะไร? เรารู้สึกว่าทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนั้นตลอด ต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าที่จะออกมาทำสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มันดี พูดง่ายๆ ว่าเราไม่มีเหตุผล เรากลัว ไม่มีเหตุผล พอมาพูดถึงเหตุผลอย่างนี้ชัดๆ มันก็ใช่ (นี่หว่า) ใช่ๆ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน แล้วให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในท่าน สอนท่านต่อไป

เช่น ถ้ารู้สึกว่าอายุมากแล้ว สมมติ มีผมขาวขึ้นมาทำอย่างไร? มีหลายคนกำลังคิด เมื่อไรถึงเรื่องนี้สักที ถ้าอายุมากแล้ว มีผมขาว รู้สึกว่าอยากจะย้อมผม หรือโกรกผม หรือทำสีผม รู้สึกว่าการโกรกผมนั้น มันเหมาะสำหรับเรา คำว่า “เหมาะ” อย่างที่ผมบอก มาเทียบกันไม่ได้นะครับ คนนี้อยู่ในสังคมนี้ คนนี้อยู่ในกลุ่มนี้  เดี๋ยวต่อไป ผมจะอธิบายให้ท่านอย่างละเอียดกว่านี้ เพื่อให้ท่านเป็นอิสระ ถ้าท่านคิดอย่างนั้นว่ามันเหมาะสำหรับท่าน … ท่านก็ทำอะไร? อธิษฐาน ถ้าอธิษฐานแล้ว พระเจ้าอนุญาตให้ท่านทำ ก็ทำไปเลย  แล้วถ้าท่านรู้สึกว่าอยากจะไว้ผมขาว พระเจ้าบอกว่าไว้ผมขาวดีกว่า พระเจ้าอนุญาตให้ท่านไว้ผมขาว ท่านก็ไว้ผมขาว ต้องอาบน้ำด้วยนะ ให้ท่านเห็น เข้าใจไหมครับ ท่านก็ถามคนโน่นคนนี่ ท่านอธิษฐาน ก็อธิษฐานไป ท่านจึงจะได้รับคำตอบ

ให้ลองสังเกตดู แล้วก็สรุปว่าน้ำพระทัยพระเจ้า  พระคัมภีร์บอกว่ามีที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย ถามคนรอบข้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปด้วย เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้าแล้ว ปรึกษากับคนรอบข้างแล้ว ที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัยแล้ว จงทำไปตามความเชื่อ ตามที่เคยเรียนไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรก็ตามที่เราทำด้วยความเชื่อ มันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว อะไรที่เต็มไปด้วยความเชื่อ … เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราทำ เราดีที่สุด แล้วเราก็อธิษฐาน เชื่อว่านี่พระเจ้านำเราทำอย่างนี้ เราก็ทำเลย เอเมน

นอกจากปรึกษาพระเจ้าแล้ว ลองปรึกษาคนอื่นด้วย อย่างที่บอกนะครับ จะแต่งตัวอย่างไร? จะเข้าไปในสถานที่แบบไหน? จะแต่งตัวอย่างไรในการเข้าไปดูคอนเสิร์ต สมมติอย่างนี้ จะแต่งตัวอย่างไรมาโบสถ์ดี บางครั้ง เราคิดของเราไปเอง คิดของเราคนเดียว

“อย่างนี้ดีแล้ว ฉันเป็นตัวฉันเอง”

อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์บอกให้เรามีที่ปรึกษา ไม่ใช่ดูในกระจก แล้ว

“นี่ สวย  ฉันจะไปอย่างนี้”

ใครว่าอะไรก็ไม่ฟัง

“วันนี้ ฉันจะไปโบสถ์ ฉันจะแต่งอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”

ไม่ใช่ ไม่ใช่ความเชื่อมั่นอย่างนี้ ความเชื่อมั่นในทางพระเจ้า มันมีสติปัญญา  อย่างที่บอก มันมีที่ปรึกษา ถามใครหรือยัง? ยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไร ไม่ได้ถามใคร มั่นใจ คือคุณถาม ตามพระคัมภีร์บอก คุณมีที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ เขาว่าอย่างไร? ทุกคนเขาว่าอย่างไร? ส่วนใหญ่ถามไหม? คุณอธิษฐานไหม? คุณจะแต่งตัวอย่างนี้มาโบสถ์ มีคนบอกน่าเกลียด แล้วคุณอธิษฐาน บอกว่าพระเจ้ามันน่าเกลียดไหม?  คุณเคยถามคนโน่นคนนี่ไหมว่ามันพร้อมหรือไม่?  อย่างนี้เป็นต้นใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่ของเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่ต้องทำ เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อเราจะได้วางตัวได้ถูกต้องว่าจะวางตัวอย่างไร ที่จะเข้าไปอยู่ในสังคม กลุ่มคนที่พระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ ฟังให้ดีๆ นะ เราจะอยู่กับอย่างนี้อย่างไร? กับสังคมนี้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าส่งเราเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ถ้าเราไม่ทำในลักษณะเดียวกับเขา เราก็จะอยู่กับเขาไม่ได้ พระเจ้าจะใช้งานเราในกลุ่มนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงเฉพาะอย่างที่เขาเรียกว่ารสนิยมต่างกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?

คุณจะทำหน้าตาอย่างไร? ทำผมอย่างไร?  แต่งแบบไหน? มันมีสติปัญญาอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ว่าเล่นๆ นี่เรื่องจริงๆ มันมีสติปัญญา มันเป็นวิชาการ เหมือนกับเราไปตกแต่งสนามหญ้า  มันมีวิชาการของมันว่าต้องแต่งอย่างนี้ๆ ไม่ใช่คิดเอาเอง ไม่ใช่เพ้อฝันเอาเอง ไม่ใช่ ไม่ใช่อธิษฐานอยู่ในห้องคนเดียว แล้วออกมา

“พระเจ้าบอกฉันแต่งอย่างนี้”

ทรงผมแบบ อะไรก็ไม่รู้ สมมติแบบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ? เราก็ต้องมีสติปัญญา มีความคิด มีสามัญสำนึก มีเขาเรียกคอมมอนเซน เซนธรรมชาติว่าใส่อย่างนี้ไปดูคอนเสิร์ต โอเค ใส่อย่างนี้งานแต่งงาน โอเค ใส่อย่างนี้ไปงานศพ โอเค ใส่อย่างนี้ไปโบสถ์ โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหม?

“ฉันเป็นคริสเตียน ฉันไม่สนใจเลย ฉันจะใส่สีสดๆ ไปงานศพ อย่างนี้”

ต้องดูสิงานนั้น เป็นงานใคร? งานอย่างไร? สมควรทำไหม? อย่างนี้เป็นต้น

สรุป ก็คือก่อนที่จะตัดสินใจเสริมแต่ง ทำอะไรก็ตาม ที่คิดว่าจะเป็นการทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น ในร่างกายนี้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ให้ทำอย่างนี้ คือ … สรุปให้นะครับ

  1. พิจารณาก่อนว่าเป็นสิ่งที่สมควรทำ ถูกต้องตามกาลเทศะ เหมาะสม พอเหมาะ พอควรหรือไม่?
  2. ถ้าคิดว่าข้อ 1 ผ่าน ลองปรึกษาคนรอบข้าง หาความรู้ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าที่ปรึกษามาก ก็ปลอดภัย
  3. ถ้า 2 ข้อนั้นผ่านเรียบร้อยแล้ว อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้าย แล้วก็ฝากไว้ที่พระเจ้า

เคล็ดลับ คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“รีบไปทำเลย เดี๋ยวมันหมดเขตลดราคาแล้วนะ”

“ใจเย็นๆ รอคอยพระเจ้า”

“ถ้าไม่ทำตอนนี้ เขาเลิกเลยนะ ต่อไปนี้ไม่มีขายแล้วนะ นี่ขวดสุดท้าย”

“ใจเย็นๆ อย่าซื้อเลยนะ รอคอยพระเจ้า”

ตรงนี้แหละสำคัญ ใจเย็นๆ เดี๋ยวมันถูกต้องเอง เดี๋ยวพระเจ้าจะบอกผ่านตรงโน่น ผ่านตรงนี้ แล้วท่านจะมีความมั่นใจว่า …

“ใช่แล้ว ฉันจะไว้ผมขาว … ใช่แล้ว ฉันจะทำผมบ้าง?”

เข้าใจใช่ไหมครับ? อะไรที่เหมาะกับเรา ผู้ที่รู้ คือพระเจ้า แล้วก็ผ่านทางวิธีการที่พระเจ้าสอนเรา อย่างนี้แหละ ถ้าผ่านทาง 3 ข้ออย่างนี้แล้ว ก็ตัดสินใจทำด้วยความเชื่อเลย ไม่ต้องไปห่วงใคร สบาย รับรองได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว พอใจไหมครับ? โอเคเนอะ ทำตามความเหมาะสมแล้วกัน ทำอะไรทุกครั้งฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วพระองค์จะบอกท่านเองว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร? ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมพูดมาตรงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมแต่งร่างกายให้สวยงาม  ให้สมกับค่าที่พระเจ้าสร้างเรามาให้เป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งถามว่าสำคัญไหม?  เป็นสิ่งสำคัญ

ให้พูดพร้อมกัน “สำคัญ”

ไม่อย่างนั้น ผมกระเซิงมา คนตกใจกลัว นึกว่าผีมา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้  สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือลักษณะท่าทางการพูดจา การสำแดงความรักให้กับรอบข้าง สำคัญทั้งสองอย่าง การไม่อิจฉาใคร ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่นินทาว่าร้าย ไม่เอาเปรียบใคร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่เปรียบเทียบกับใคร เหล่านี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า  เป็นบทกวีของพระเจ้า ซึ่งเราควรจะให้ความสำคัญอย่างมาก กระทำตัวให้เป็นผลงานชิ้นเอก สมกับที่พระเจ้าสร้างเราขึ้นมา เอเมน ไม่มีใครเอเมนเลยตรงนี้ ตอนแต่งตัว เอเมนกันใหญ่  เอเมน อย่าทำให้พระเจ้าขายหน้า ไปเห็นแก่ตัว พระเจ้าขายหน้า ไปอิจฉาเขา พระเจ้าขายหน้า

“ฉันทำตัวเธอมีค่าขนาดนี้ เธอยังไปอิจฉาชาวบ้านเขา”

ขายหน้าไหม? ขายหน้า ทำฮึดฮัดๆ กับชาวบ้านเขา ออกอาการเหมือนที่เขาชอบลงคลิปกันทุกวันนี้ ขายหน้าไหม? พระเจ้าอาย

“ลูกฉันเอ่ย” เข้าใจใช่ไหมครับ?

นี่คือหน้าที่หลัก สำคัญมาก เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ก็คือทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ก็คือความประพฤติของเรา  มันต้องดี ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

อย่างที่ผมบอก เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นใคร? เราตั้งใจจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ราคา ที่พระเจ้าไว้ในชีวิต ใส่ไว้ในชีวิตของเรา เหมือนดังที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านไม่รู้เหรอว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเป็นลูกของพระเจ้านะ เพราะฉะนั้น ทำตัวให้มันดีหน่อย  เดินไปข้างนอก เอะอะโวยวาย  ยกมือด่าผู้คนชาวบ้านเขา พระเยซูอยู่ไหม? อยู่กับเราด้วย ถูกไหม? ไปถึง ไปช่วยเหลือชาวบ้านเขา เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ช่วยเขา พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อันไหนที่พระเยซูมีความสุข อันนั้นแหละ คือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น สิ่งนี้คือสิ่งที่เราควรที่จะต้องตั้งใจ และคุยกันให้ลึกซึ้งนะครับว่ามันต้องทำทั้งสองอย่าง สำคัญทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณ หรือทางฝ่ายร่างกาย สำคัญทั้งสองว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น จริงๆ มันเชื่อมกัน ผมจะบอกให้ฟัง

ผมไม่มีเวลาอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในวันนี้ แต่มันเชื่อมกัน ถ้าท่านรู้ละเอียดอย่างนั้น เข้าใจลึกซึ้งในถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะทำ 2 อย่าง เพราะท่านอยากให้มันเพอร์เฟค ให้มันดี เพราะว่าท่านจะถวายเกียรติพระเจ้า ข้างในท่านเชื่อมั่นใจเลย  ท่านไม่ได้ทำ เพราะกิเลสตัณหา เพราะอยาก อันนั้นไม่ใช่

“ฉันทำ เพราะฉันถวายเกียรติพระเจ้า”

พระเจ้าจะไม่ใช้เขาแล้ว ก็โอเค เข้าใจใช่ไหมครับ?

มาถึงตรงนี้ ท่านคิดว่าท่านมั่นใจในคุณค่าของตัวท่านเองหรือยังตอนนี้ มั่นใจแล้วนะว่าท่านมีคุณค่ามากมายขนาดไหนในสายพระเนตรของพระเจ้า บางคนนะครับยังไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ? เพราะบางครั้ง พูดในโบสถ์อย่างนี้ บรรยายอย่างนี้ มั่นใจๆ มาก พอเข้าไปหาเพื่อนในกลุ่ม ที่ไม่ใช่โบสถ์ ออกจากโบสถ์ไป ต่างคนก็ต่างอยู่ในสังคมไม่เหมือนกันใช่ไหม?

บางคนเรียนหนังสืออยู่ ก็ไปสู่ในกลุ่มของนักเรียน … เรียนหนังสือ เป็นเพื่อนๆ กัน ปรากฏว่าเพื่อนในกลุ่มบางคนได้เกรดที่ดีกว่าเราตั้งเยอะ เรียนเก่งกว่า บางคนในกลุ่มนั้น มีฐานะดีกว่า รวยกว่า ใช่ไหม?

หรือบางคนเข้าไปในกลุ่มของคนทำงานแล้ว ไม่ใช่เรียน กลับไปที่ทำงาน ในที่ทำงานบางคนก็มีฐานะดีกว่า ขับรถมา รถหรูกว่า แถมมีตำแหน่งสูงอีกต่างหาก เป็นหัวเราอีกต่างหาก ทำงานเก่งกว่าเราอีกด้วย ก็เลยรู้สึกทำไม? มีความรู้สึกด้อย … ด้อยกว่าชาวบ้านเขา

          อยากบอกว่าขอให้วันนี้ เป็นวันสุดท้ายสำหรับความคิดแบบนี้  ขอให้เป็นวันสุดท้ายที่เราคิดแบบนี้  เพราะอะไร? ผมจะบอกให้ท่าน เพราะคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า มันไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้เขาวัดกันว่าคุณเรียนหนังสือได้ขนาดไหน?  เกรดอะไร?  คุณมีฐานะมั่งมีขนาดไหน? ขับรถอะไร?  นั่นคือมาตรฐานของโลก ซึ่งมันไม่ได้เป็นจริงตามนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ภาพหลอกลวงทั้งสิ้น มาตรฐานของพระเจ้า คืออยู่ที่ไหนรู้ไหม? อยู่ที่คุณอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?  พระคัมภีร์พูดชัดเจนนะครับ มาตรฐานของพระเจ้า

          “คุณอยู่ในพระคริสต์หรือเปล่า?”

          “คุณรู้จักพระเจ้าหรือไม่?”      

          “คุณเป็นการฝีมือ เป็นบทกวีที่พระเจ้าสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า?”

          ถ้าใช่ คุณเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จงมั่นใจและมีความภูมิใจเถิด  เอเมน

 

ขอให้วันนี้ เป็นวันที่จบเรื่องนี้สักทีหนึ่ง ไม่ต้องกลัวใครเลย ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครเทียบท่านได้ พูดง่าย เพราะว่าเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไรรู้ไหมครับ? เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือหมายถึงท่านเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่ พระสิริของพระเจ้ากลับมาอยู่ที่ตัวของท่าน ในชีวิตของท่าน ในวิญญาณของท่าน ปกคลุมอยู่ในร่างกายของท่าน ไม่มีใครเอเมน ไม่ตื่นเต้น เอเมนไหม?  เพราะมันมองไม่เห็น ไม่ใช่กำลังเพลินหรืออะไร? แซวเล่นๆ เพื่อให้ท่านตื่น ท่านกำลังงง

“โอโห้! ฉันมีค่ามากมายมหาศาล”

ท่านเป็นการฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ เป็นศิลปะชิ้นเอก เป็นบทกวีชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ฟังให้ดีอีกที ให้พูดพร้อมกัน “ในพระเยซูคริสต์”

หมายถึงท่านเชื่อไง มันจึงเกิด ท่านเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันจึงเกิดอย่างนี้ขึ้น เกิดอะไร? เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวิญญาณของท่าน พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมาใหม่เลย เป็นผลงานชิ้นเอก

มาถึงตรงนี้ ได้เรียนรู้ขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะเดินไปไหน ไม่ต้องทำตัวหงออีกแล้วครับท่าน ได้ไหม? เราหงอจนเคยเลย ยืดอกเลย ไปที่ไหนเราก็ยืดอก ท่านสามารถเดินยืดอก ไปไหนมาไหน อย่างสง่าผ่าเผยได้แล้ว  อย่าลืมนะครับ อย่างที่ผมบอกยืดอกในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์มีแต่คนถ่อมตัว มีแต่คนอยากจะให้เขา ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า แต่ขณะเดียวกัน ยืดอก ไม่ด้อยกว่าใครเลย เอเมน  ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

ขอให้รู้อย่างนี้แล้ว วันนี้ จบสักทีหนึ่ง เรื่องกลัวนั้น กลัวนี้ กลัวไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ไปเลย เอเมน ผมก็ชอบอย่างนี้ เวลาไปไหน? ตั้งแต่รู้จักพระเจ้ามา ไปไหน มีความรู้สึกนับวันมันยิ่ง ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหองนะ แต่มีความมั่นใจ จะรวยขนาดไหน?

“ทำไมฉันต้องไปแคร์เขาล่ะ ใครไม่รู้ (แถมเขายังไม่เชื่อพระเจ้าอีก) แต่ฉันเป็นใครรู้ไหม?”

นี่พูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขานะ  พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใครรู้ไหม?” พูดจากข้างใน

“ฉันเป็นใคร? ฉันเป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างฉันขึ้นมา เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์นะ ทำไมถึงไปกลัวคนนั้น คนนี้ แค่ว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โตกว่า หรือเป็นเศรษฐีร่ำรวยเหรอ ทำไมล่ะ”

นี่แหละ คือสิ่งที่แฝงไว้ตรงนี้แหละ คือถ้าท่านมั่นใจในความรอดของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเปลี่ยนแปลงท่าที่ของท่านแบบนี้ ท่านจะยืดอก และถ้าจะให้ดี ก็คือแขม่วท้อง ยืดอก สุขภาพจะแข็งแรง

มาทบทวนข้อพระคัมภีร์ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านมั่นใจว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันอยู่ในพระคัมภีร์ นี่เอาข้อเดียวมาให้อ่าน เอเฟซัส 2:10 อ่านอีกทีหนึ่งนะครับ อ่านดังๆ ช้าๆ ชัดๆ เลย

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

พูดตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำ ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ฝึกไว้ พูดกับตัวเอง

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหม?”

ถามตัวเองนะ ไม่ไปถามคนอื่นเขา เย่อหยิ่งนะ ถ่อมใจรู้ไหม?

“ฉันเป็นใคร? รู้ไหมเนี้ย”

ไม่ต้องไปกลัวใคร? เราทั้งหลายเป็นผลงานชิ้นเอก ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” เราก็ได้เรียนกันไปเยอะแล้ว จบไปหลายตอนแล้ว 10 กว่าตอนแล้ว ยังจำได้ไหมครับที่เราเรียนกันว่า “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” เราเป็นคนที่ได้รับการไถ่บาป … บาปเวรกรรมไม่มีอยู่ในตัวเราอีกแล้ว เราเป็นคนที่พระเยซูเอาคำสาปแช่งออกไปแล้ว เราเป็นคนที่บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ปราศจากบาปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่เอี่ยม วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ดองกับพระเยซูคริสต์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลยในพระเยซูคริสต์ จำได้ไหม?

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ ก็สามารถอธิบายความหมายได้อย่างนี้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากบาป และให้เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ใครที่ตะกี้ บอกว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แล้วยังไม่ยอมยืด ยังยืดไม่สุด ยังไม่มีความมั่นใจ ถึงตอนนี้ ก็ควรมีความมั่นใจได้มากขึ้นแล้วนะครับว่าเป็น Masterpiece แล้ว นอกจากนั้นอีก เห็นชัดๆ คือฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่เป็นผลงานนะ เป็นผลงานใช่ แต่ไม่ใช่เป็นงานที่เป็นชิ้นๆ นะ เป็นลูกของพระองค์ เป็นลูกไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป สวยที่สุด หล่อที่สุด ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ยึดได้เยอะหรือยัง? เยอะหรือยัง?

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันไม่เหมือนใคร?”

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ จบการศึกษา อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นปริญญาตรีหรือปริญญาโทก็ตาม จบไปสัมภาษณ์งาน ผมจะบอกให้ท่านดู ท่านจะเห็นความแตกต่าง ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี จบอะไรก็ตาม หรือไม่จบเลย  กำลังไปสัมภาษณ์งาน ทุกคนก็ต้องมีประสบการณ์นี้ วันหนึ่งข้างหน้า หรือไม่เดี๋ยวนี้ ก็มีประสบการณ์แล้ว ไปสมัครงาน แล้วเขาเรียกไปสัมภาษณ์ ก็ไม่ต้องไปกลัวกรรมการ (นั่งสัมภาษณ์เรา) บางทีเราเดินเข้าไป นั่งเรียง หน้าตาดุยังกับอะไร?  มาทำไม?  นึกในใจ เขาไม่พูดอย่างนี้  นึกในใจ เขาคงจะขู่เราน่าดู นั่งแต่ละคนแก่ๆ ทั้งนั้น แล้วก็ดูอาวุโส ดูมีฐานะ ดูเก่งๆ เราเดินเพิ่งจบมา ได้งานหรือไม่ได้งาน  แล้วก็เดินหงอๆ เข้าไป ยิ่งกว่านั้น พูดผิดพูดถูก ชื่ออะไร? บอกซอยบ้าน เขาถามชื่อ ดันไปบอกซอยบ้าน นามสกุล ดันบอกชื่อพ่อแม่ มันกลัวไปหมดเลย มีไหม? เคยมีประสบการณ์อย่างนี้ไหม? มีแน่นอน แล้วมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้จริงๆ วิธีแก้ จากนี้ต่อไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ง่ายนิดเดียว ให้ท่านมีความมั่นใจในตัวท่านว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เดินเข้าไปถึง บอก

“ผมเป็นใคร?” ไม่ใช่

คุณต้องมั่นใจในตัวคุณก่อนเข้าไป แล้วก็เข้าไปด้วยความมั่นใจนะ แล้วคุณคิดในใจว่า …

“เราจะเลือกบริษัทนี้ทำงานดีไหมเนี้ย?”

ไม่ใช่เขาเลือกเรานะ เราจะเลือกเขาว่าเราจะทำงานบริษัทนี้ดีไหม? เราจะอวยพรเขาไหม? พระเจ้าจะอวยพรผ่านทางเราให้กับบริษัทนี้ไหม? ถ้าเขารับเรา เขาจะได้รับการอวยพรตรงนี้ ไม่ใช่เราไปของานเขาทำ เอเมน เปลี่ยนสิ เปลี่ยนความคิดซะ เดินเข้าไป เขาด้อยกว่าเรามากเลย  กรรมการ 4-5 คนนั่งอยู่ ด้อยกว่าเราเลย  เพราะว่าในใจเราใหญ่กว่าเขาอีก เขาคิดว่าเราไปของานเขา เราฮึดใหญ่กว่าเขาอีก

“ฉันจะมาอวยพรคุณนะเนี้ย ถ้าคุณไม่เอาฉัน ก็ไม่เป็นไร ไม่สนใจ”

แต่ไม่ใช่เย่อหยิ่งจองหอง เห็นไหม? คุณเข้าไป ก็คุยกับเขา ระดับมันเริ่มเท่าแล้ว มั่นใจในการพูด เห็นไหม? คนที่พูดตะกุกตะกัก เป็นพวกเขามากกว่าแล้ว เพราะบางทีคุณอาจจะถามเขาได้ เอ๊ะ! ถามทำไม? คุณมั่นใจ เพราะคุณไม่กลัวนิ แทนที่คุณจะหงอ นี่พูดถึงว่าถ้าเรามีสติปัญญา แล้วเราทำด้วยความถ่อมใจ ถามว่าอะไรดีกว่ากัน เครียดก็ไม่เครียด ถ้าเขาไม่เอาเรา ก็แสดงว่าพระเจ้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ ไปที่อื่น เอเมน พระเจ้ากำลังนำพาเราไปอวยพรบริษัทไหนไม่รู้ ที่เรากำลังจะไปให้พรเขา ถ้าเขาต้อนรับพรจากพระเจ้า

แตกต่างไหม? เดินเข้าไปผึ่งผายขึ้นไหม?  แต่หลายคนที่นี่ คงไม่ได้สมัครงานใหม่ เพราะอายุมากแล้ว มันจะเกินไปแล้วเนอะ เอาไปสอนลูกสอนหลานได้ 70, 80 อาจารย์ยังมาสอนเรื่องสมัครงาน ไม่ใช่ เอาไปสอนลูกสอนหลานว่า …

“ลูกเอ่ย ไปในนามพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวอธิษฐานกัน ไม่ต้องห่วง ไปเลย จะงานใหญ่ขนาดไหน? หรือจะตกลงงานใหญ่ขนาดไหน? ถ้าพระเจ้าให้ ก็คือให้ ถ้าพระเจ้าไม่ให้ ก็แสดงว่าเราดีอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง พระเจ้าพาเราไปอยู่แล้ว เอเมน”

เห็นไหม? ท่าทีเปลี่ยนไปเลย เขาง้อเรานะ เราไม่ได้ไปง้อเขา มันต่างกันเยอะ แค่คิดเปลี่ยนแค่นี้ ท่าทีท่านจะเปลี่ยนไปทันที  ออกมา เพื่อนถาม

“บริษัทนี้เขาจะรับเธอเปล่า?”

“เธอพูดผิดไปแล้ว นี่ฉันคิดว่าฉันจะไปอวยพรเขาหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าพระเจ้าจะให้ทำที่นี่หรือเปล่า?”

ต่างกันเยอะ เห็นไหม? เอเมน เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้พูดคุยตอนนี้หรือไม่? คิดให้ดีๆ

ถามว่ามนุษย์ทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกหรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? เรากำลังพูดในนี้ ในโบสถ์ บอกว่าทุกคนเป็น Masterpiece ใช่ไหม? และถามว่าทุกคนนอกโบสถ์นี้ไป คิดให้ดีๆ ตะกี้เราพูดในโบสถ์นี้ ทุกคนเป็นผลงานชิ้นพิเศษของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์

คราวนี้ถามว่าแล้วข้างนอก มองไปที่ข้างนอก มนุษย์ทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบ ก็คือไม่ใช่  เพราะพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? เราเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์  เงื่อนไขของการสร้าง Masterpiece หรือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า คืออะไร? คือการทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ และคนนั้น ต้องยอมให้พระองค์สร้าง ก็คือยอมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์

วิธีการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ คือต้องยอมถ่อมใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเขา คือรับข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง เอเมน ซึ่งเราได้ทำไปแล้ว  เราจึงเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว

สรุป ก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอก หรือเป็น Masterpiece ของพระเจ้าเท่านั้น ตามพระคัมภีร์ ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด มนุษย์ทุกคนข้างนอก ที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็น Masterpiece ยังไม่ได้เป็นบทวี ยังไม่ได้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า แต่เขามีสิทธิ์ … สิทธิ์เขาง่ายนิดเดียว เหมือนเราทั้งหลาย ที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  โอเคนะครับ

คราวนี้กลับมาดูพระคัมภีร์ต่อเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านพร้อมกัน เอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่าเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทางสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เรา

ให้พูดพร้อมกันตรงนี้นะครับ “ที่พระเจ้าทำไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ”

ตอนนี้มาคุยเรื่องนี้ ตอนนี้นะครับ “เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้นคร … (ใส่ชื่อเรา) ทำ หรือให้เราทำ”

คำว่า “จัดเตรียมล่วงหน้าให้เราทำ” ตรงนี้ ภาษากรีกเดิม คือคำว่า “เทลอส” แปลว่าเป้าหมายหลัก หรือพระประสงค์ของพระเจ้า

พระเจ้าสร้างท่านขึ้นมา มีพระประสงค์ มีเป้าหมายหลักในชีวิตของท่าน คำว่า “เทลอส” หรือ  “พระประสงค์ของพระเจ้า” ตรงนี้ เป็นการย้ำถึงคุณค่าของผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่บอกว่าเป็น Masterpiece ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน เป็นการสำแดงตรงนี้ชัดๆ ว่าไม่มีใครเหมือนเลย ก็เพราะพระเจ้าทรงสร้างผลงานแต่ละชิ้น ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีพระประสงค์ที่ไม่เหมือนกันสำหรับแต่ละคนๆ ทุกคน เอเมน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ต่างถูกสร้างให้มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน  ตามที่พระคัมภีร์ได้พูดใน 1 โครินธ์ 12:4-6 เอาไว้อย่างนี้นะครับ อ่านดูพร้อมกัน

1 โครินธ์ 12:4-6 “4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกัน เป็นผู้ประทาน   5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์เดียวกัน 6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกัน ทรงกระทำการทั้งหมด ในคนทั้งปวง”

 

เราทุกคนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร และพระองค์มีพระประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง สำหรับแต่ละคนๆ

“สำหรับฉัน  สำหรับฉันทีละคน”

เพราะฉะนั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปเทียบกับใคร? เพราะว่าท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนท่าน พระเจ้าต้องใช้ท่านทำงานนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากนั้น มาทำไม่ได้ เอเมน สำคัญไหมอย่างนี้ สำคัญที่สุดเลย ใครทำแทนไม่ได้ ต้องเป็นท่านทำ นี่พระเจ้าเจาะจงถึงขนาดนี้ ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ เพื่อทำงานของพระองค์อย่างนี้

และในลักษณ์เฉพาะของท่าน … ท่านดีที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วในทุกด้าน ในความสามารถตามมาตรฐานของพระเจ้า สวยงามที่สุด  ดีที่สุดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีใครจะมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่น ไม่สามารถพูดได้ จงมั่นใจเถิด สำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยแม้แต่นิดเดียว ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้ด้อยเลย  แม้ว่าท่านจะเป็นคนที่เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ในบ้านคนเดียว อายุก็มากแล้ว แต่พระเจ้าเลือกท่านทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคนอื่นทำไม่ได้ ต้องเป็นท่าน เอเมน ให้รู้ว่าท่านสำคัญอย่างไร? อย่าไปเทียบกับคนอื่น

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งนะครับ ชื่อ Judy Atcheson เป็นชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างเล็กมาก สูงแค่ประมาณ 140 เซ็นต์ ใครในนี้ 140 เซ็นต์บ้าง? ไม่มีเนอะ ไม่ใช่เด็กนะ หมายถึงโตแล้ว 140 เซ็นต์เท่านั้น แล้วตั้งแต่เล็กๆ ก็โดนเพื่อนล้ออยู่เสมอๆ ใครๆ เรียกเธอว่าอะไร? ไอ้เตี้ย (หยาบคาย)  อย่างนี้เขาเรียกอีเตี้ย เขาเป็นผู้หญิง ไปเรียกไอ้เตี้ยได้อย่างไร? มันก็อย่างนี้ แสดงว่าทั้งโลกเป็นหมด ไม่ใช่เป็นประเทศไทยอย่างเดียว ใครๆ ก็เรียกเธอว่าเตี้ย (… เตี้ย) จนเธอรู้สึกมีปมด้อยมาตลอด  และอยากจะสูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากสูง

พอโตขึ้นจูดี้ ก็ไปเรียนพระคัมภีร์ และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันเรื่องพระเจ้า มีพระประสงค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จูดี้ก็มักจะคิดถึงตัวเองว่าแล้วพระองค์ทรงสร้างให้เราตัวเตี้ย ขนาดนี้  นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่ามีเป้าหมายอะไรในการเป็นคนตัวเตี้ยอย่างนี้ ถูกเขาล้อตลอด คิดเสมอ สงสัย ปรากฏว่าหลังจากที่จบการศึกษา จากโรงเรียนพระคัมภีร์แล้ว พร้อมที่จะออกไปรับใช้ เธอก็ได้รับการทรงเรียกให้ไปเป็นมิชชันนารี … มิชชันนารี คือคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ออกไปประกาศข่าวดี ให้ไปเป็นมิชชันนารี ที่ชนเผ่าแห่งหนึ่งในแถบแอฟาริกา คือมีชื่อเผ่าว่าเผ่าปิ๊กมี้ นี่เรื่องจริงนะครับ มาหัวเราะ เผ่าปิ๊กมี้ ทุกคนรู้จักดี

ท่านทราบไหมครับว่าชาวปิ๊กมี้ มีลักษณะเด่น คือใครๆ ก็รู้จัก ปิ๊กมี้เป็นชนเผ่าที่มีรูปร่างเตี้ย และในสมัยก่อนโน่น มิชชันนารีที่พยายามจะไปประกาศในเผ่านี้ ก่อนหน้านี้นั้น  ตัวสูงๆ ทั้งนั้น เข้าไป ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวปิ๊กมี้ เพราะชาวปิ๊กมี้กลัว แค่สีผิวต่างกัน ก็กลัวแย่อยู่แล้ว นี่เหมือนกับยักษ์โตเข้ามาในท่ามกลางพวกเขา ไม่รับๆ นึกภาพนะครับ พวกชาวเผ่าจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมใกล้ชิดด้วย สำหรับคนผิวขาวตัวใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เป็นการประกาศยากมาก ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขาอย่างไร? เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ พูดง่ายๆ

จนกระทั่งจูดี้ มีโอกาสเข้าไปรับใช้ที่นี่ เป็นไงครับ? จูดี้ไปรับใช้ พอไปถึง ปรากฏว่าตัวเท่ากันเลย ตัวเท่ากับพวกเขา ง่ายเลยที่นี่ พวกปิ๊กมี้ คิดว่านี่คือบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเรียนพระคัมภีร์มา นี่คือพวกเดียวกันทั้งนั้น ใช่แน่นอน ก็เลยให้ความสนิทสนมกับจูดี้ ก็เลยกลายเป็นว่าจูดี้ได้ชื่อว่ามิชชันนารีที่ประสบความสำเร็จมาก ในการประกาศที่ชนเผ่านแห่งนี้  และเธอใช้ชีวิตอยู่กับชาวปิ๊กมี้ รับใช้ชาวปิ๊กมี้ อยู่ที่แถบแอฟาริกา เป็นเวลา 35 ปี จึงกลับประเทศอังกฤษ และได้รับเหรียญรางวัลจากพระราชินีอลิสเบธด้วย ที่เธอทำประโยชน์ในการรับใช้พระเจ้า

เห็นหรือยัง? เห็นไหมครับ? นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะถูกสร้างมาแบบไหนก็ตาม มีบุคลิกลักษณะอย่างไร? พระเจ้าใช้เราได้ทั้งนั้น เพราะเตรียมไว้แล้วด้วย และจะใช้ด้วย  และพระองค์ก็มีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับเราแต่ละคนไม่ต้องเปรียบเทียบกัน เอเมนไหม?

นึกถึงเรื่องนี้ แล้วนึกถึงนี่ก็อยู่ใกล้ๆ ตัวนะครับ เต๋เขามีเพื่อนคนหนึ่งสูงๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่นี่เขาเตี้ย เพื่อนเต๋ก็สูง เป็นคนสูงมาก ซื้อรองเท้าก็ลำบาก ซื้อเสื้อผ้าก็ลำบาก เพราะสูงมาก เป็นคนไทย แต่ตัวสูงมาก ทำอะไรก็ลำบาก ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถเมล์ เครื่องบินที่แบบยาวๆ เพราะเขายาว สูงมาก ปรากฏว่าไปกินข้าวอยู่วันหนึ่ง ไปกินโต๊ะยาวมาก คนหัวโต๊ะเขาก็บอกว่า …

“ช่วยส่งพริกไทยให้หน่อย”

ทุกคนเงื้อมไม่ถึง ปรากฏแป๊บเดี๋ยวมีอะไรบ้างอย่างผ่านไป มันมาได้อย่างไร?  พริกไทยมาได้อย่างไรเนี้ย  เพราะว่าแขนยาว สามารถทำได้ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาหรือเปล่า? เห็นไหม? บางวันหลอดไฟเสีย คนต้องไปลากเก้าอี้มาเปลี่ยน เขาเปลี่ยนได้เลย เสร็จ ใครจะไปรู้ วันข้างหน้า อะตอมคนนี้อาจจะไปเป็นมิชชันนารีก็ได้  ไปหาเผ่าอะไรที่เขาสูงๆ พวกเราเข้าไป เขาไม่รับเรา มองไม่เห็น  พวกท่านไป เขาอาจจะบอก เผ่านี้อาจจะบอก ใครมา เพราะสูงหมด เขาต้องไปหาคนที่สูงเหมือนกันกับเขา ยกตัวอย่างเป็นต้น

ยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นแหละ พระเจ้าจะใช้ตรงนั้นแหละ เอเมน ใช้ท่านไปหาหมู่คน ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ว่าเขาจะได้ข่าวประเสริฐหรืออะไรแล้วแต่ ทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เอเมน

เพราะฉะนั้นท่านสวยที่สุด ท่านหล่อที่สุด ท่านยอดเยี่ยมที่สุดแล้วตอนนี้  พอใจหรือยัง? ครั้งต่อไปไม่เทศน์ตรงนี้แล้วนะ ต้องมั่นใจเลยนะว่าเราสวยที่สุด คือผมกำลังอยากจะบอกท่านว่าต่อให้ท่านมีลักษณะอะไรก็ตาม สถานะอะไรก็ตาม ที่ตามมาตรฐานโลก อาจจะบอกว่ามันบกพร่อง หรือดูด้อยกว่าคนอื่น หรือดูแปลกกว่าคนอื่น แต่จงเชื่อและภูมิใจเถิดว่าพระเจ้าทรงตั้งใจ สร้างท่านแบบนั้น  ให้มีเอกลักษณะพิเศษเฉพาะตัว เพื่อให้ท่านทำงานอะไรบางอย่างให้กับพระองค์ ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร?

ลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะครับ “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ฉันสมบูรณ์ครบถ้วน งดงามที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักที่สุด และทรงภูมิใจที่สุด ฉันมีงานที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ให้ฉันทำ คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ แทนฉันได้เลย ฉันจึงมีค่าที่สุด ในสายพระเนตรพระเจ้า เอเมน”

 

***********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” (You are God’s masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้นะครับ เราจะกลับมาฟังคำบรรยายกันต่อ ในซีรี่ส์ชุดเดิมนะครับ ที่ค้างกันไว้ตั้งแต่ก่อน คริสตมาส ยังจำได้ไหมครับ ซีรี่ส์เรื่องอะไร? เราคุยอะไรกันค้างไว้ ตั้งแต่ก่อนคริสตมาส ผมได้เริ่มต้นซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Identity in Christ” คุยไป 3 ตอนแล้ว  วันนี้จะเป็นตอนที่ 4 งงเลยใช่ไหม?

เรามาทวน 3 ตอนก่อน เพราะว่าเว้นระยะไปนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มตอนที่ 4 วันนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดหนึ่งก่อนนะครับว่า 3 ตอนที่แล้วเราได้คุยอะไรกันไปแล้วบ้าง?

เริ่มต้นที่ความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” มันสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันเรื่องนี้  พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้งและการรับการประทับตราจากพระเจ้า

พวกเราคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้ง แต่งตั้งโดยพระเจ้า และประทับตราของพระองค์อยู่ในชีวิตของเรา แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเรา บนชีวิตของเรา และแสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้าในครอบครัวของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

มาทบทวน 2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงใน  พระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ในข้อที่ 22 เมื่อตะกี้นี้บอกว่าทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา แต่ละคนเลยที่เชื่อในพระเยซู และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เพื่ออะไร? เป็นมัดจำ ค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง ก็คือสวรรค์สถานที่พระองค์บอกเราว่าเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ตอนนี้เราได้ก่อน มัดจำไปก่อนแล้ว เรียบร้อยแล้ว คืออะไร? คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจเรา

และผมก็ได้ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จัก ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สำคัญมากเลยนะครับ เพื่อเราจะสามารถแยกแยะได้ระหว่างตัวตนจริง ก็คือ True Identity ตัวจริงๆ ของเรา  ข้อมูลที่เป็นตัวจริงของเรา กับ Liedentity  ก็คือข้อมูลปลอมที่เขาหลอกเรา  เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ ได้สร้างข้อมูลปลอมๆ โดยผ่านทางสื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ สร้างข้อมูลปลอม หลอกเรา ยัดเหยียดใส่ชีวิตของเราเต็มไปหมด และเราก็ถูกหลอกมานาน ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า

ถูกหลอกว่าอะไร? หลอกว่าเราเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  เรารู้ความจริงตรงไหน? ตรงที่เราไปอ่านพระคัมภีร์ เราถึงรู้

อ้าว! เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนะ พระเจ้าบอกเราอีกแบบหนึ่ง แต่มารซาตานบอกเราอีกอย่างหนึ่ง ผ่านทางสังคม ผ่านทางโลกใบนี้

จำตัวอย่างได้ไหมครับ ที่บอกว่าใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เหมือนยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองจริงๆ ยังทำตัวเหมือนแปลกๆ เราก็จะเปรียบเทียบกันว่าทำตัวเหมือนทาร์ซาน นี่คืออะไร? นี่คือชื่อของตอน “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 แสดงว่าจำได้ จึงใช้ชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน”

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าเป็นทาร์ซาน”

อยากรู้รายละเอียด ไปหาฟังเอาในตอนที่แล้วนะครับ ไปค้นเอา ประวัติตอนที่แล้ว เพราะเขาลงในยูทูปมีหมดนะครับ Holy live มีตั้งหลายตอนอยู่ในนั้น  เพราะฉะนั้น ไปดูแล้วกันว่าตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 1 ทาร์ซานว่าอย่างไรบ้าง?

มาถึงตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า” จำได้ไหม? เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ได้สอนเราอย่างนั้น ภาษาอังกฤษจำได้เลย ภาษาอังกฤษว่าเราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature

พูดพร้อมกัน “Divine Nature”

จำแม่นเลยนะ จากทาร์ซานมา Divine Nature ที่ผมเล่าให้ฟังว่าย้อนไปตั้งแต่สมัยปฐมกาล สมัยโน้นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายให้มีคุณลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? มีพืช สิ่งที่มีชีวิต ที่มีร่างกาย สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ หรือเรียกว่า Soul เรียกว่า Body and Soul แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ Body  Soul and Spirit วิญญาณหรือ Spirit ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา หรือพระฉายของพระองค์ ให้มีส่วนใน Divine Nature ธรรมชาติลักษณะของพระองค์ตรงไหน? ตรงที่มีวิญญาณเหมือนพระองค์ จริงๆ แล้วคือเป็นวิญญาณเหมือนพระองค์

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทรงระบายลมหายใจ” แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าระบายลมหายใจ ลมปราณของพระองค์ คือวิญญาณของพระองค์เข้ามาในมนุษย์ สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น คำว่าระบายนั้นก็คือแบ่งชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ จำได้ใช่ไหมครับว่าแบ่งเชื้อสายให้กับเรา แบ่งให้มีลูกขึ้นมา เป็นลูกของเรา และในองค์ประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ ก็คือทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น  ทางวิญญาณของเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที ณ วินาทีที่เราเชื่อในพระเจ้า ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว วินาทีไหน? ไม่รู้ วิญญาณของเราเปลี่ยนไปทันที ใหม่เอี่ยม เข้ามาสู่ Divine Nature ของพระเจ้าทันที สำหรับทางความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความคิดจิตใจก็เริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มัดใจ ที่มาสถิตอยู่กับเรา และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา นำพาเราเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ  ความคิดจิตใจของเรา ก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวันๆ นั่นเอง

ส่วนทางร่างกายล่ะ ก็มีการเปลี่ยนแปลง คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะมีร่างกายใหม่ไว้ให้กับเรา เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่ต้องเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีสิวอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว จำได้ใช่ไหม?

และในตอนที่ 3 ที่เราทิ้งท้ายกันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตมาส มีชื่อตอนว่า “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 3 ผมได้เล่าถึงจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่มีไปถึงชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งชาวเมืองโครินธ์ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางอบายมุข เพราะเจริญเติบโตเป็นเมืองค้าขายมากมายนะครับ คล้ายๆ กรุงเทพ นิวยอร์กอะไรอย่างนี้ของสมัยนั้น ผู้คนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเยอะแยะ และประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย ซึ่งรวมทั้งชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียนด้วย รับเชื่อแล้ว

เปาโลเลยต้องการสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในโครินธ์เหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า แต่แทนที่จะสั้งว่า.-

“อย่าทำอย่างโน้น อย่าทำอย่างนี้ อย่างทำอย่างนั้น”

เปาโลกลับสอนบอกว่าให้ผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้ที่เชื่อแล้ว รู้ตัวตนของตัวเองในพระเยซูคริสต์ว่า.-

“เธอเป็นใคร? เธอมีค่ามากเท่าไร? เธอเป็นวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในเธอนะ เธอจะไปทำอะไร พระเจ้าตามๆ ไปด้วยตลอดเวลา” ให้เขารู้ตรงนี้  

เห็นไหมครับว่าเรามาเรียนรู้เรื่องตัวตนของพระคริสต์ มันสำคัญอย่างไร? ต่อให้ไปสั่ง …

“อย่าทำอย่างนั้น อย่างทำอย่างนี้”

มันทำไม่ได้ กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ มันก็จะว่ากันไปตามนั้นแหละ แต่พอเรารู้ตัวตนของเรา … เรารู้ว่าข้างในเราใหญ่กว่า ข้างในเรามี Divine Nature อยู่ในนั้น  เราเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นี่คือตอนที่ 3

และตัวตนในพระคริสต์ที่เปาโล ย้ำเตือนกับผู้คนเมืองโครินธ์ ก็คืออะไร? ก็คือ 1 โครินธ์ 6:19-20 ที่บอกว่าเรามีค่าขนาดไหน? ดูสิ อ่านย้อนดูอีกทีหนึ่ง มาทบทวนอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด

 

ชาวโครินธ์เยอะแยะมากมาย ทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ในอบายมุกต่างๆ มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ส่วนหนึ่งคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปาโลพูดเฉพาะคนที่เชื่อในพระเจ้า และบอกว่า.-

“พวกท่านรู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านมีราคาที่สูงมาก พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

นี่การสอนของเปาโล คือให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียน คือให้รู้ว่าเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในร่างกายของเรานี้ เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป ไม่ได้เป็นตัวเราแล้ว แต่เป็นพระเจ้า  เราเดินไปไหน พระวิญญาณเดินอยู่กับเรา  ไปไหนพระเจ้าอยู่กับเราด้วย ตาดูอะไร? พระเจ้าก็ดูด้วย มือทำอะไร? พระเจ้าก็ทำด้วย ปากพูดอะไร? พระเจ้าก็พูดด้วย เหมือนกับพูดด้วยรู้ด้วยตลอดเวลา

นี่คือการรู้ตัวตนของตัวเอง จะได้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นวิหารของพระเจ้า ก็จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่สกปรกหลายอย่างได้ บนโลกใบนี้ (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะมันไม่มีทางที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างที่บอกแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีทางที่เราจะบังคับมันให้ถูกต้องหมด 100% แต่มันทำให้มากขึ้นได้ ถ้าเผื่อเรารู้ความจริง คือ Identity ของเรา  True Identity  ก็คือตัวตนแท้ๆ จริงของเราว่าเราเป็นใคร?

เมื่อทาร์ซานรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว ทุกอย่าง มันจะเปลี่ยนไปเอง เอเมน เราทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่แล้ว

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราจะเข้าสู่การบรรยายในชุดนี้นะครับ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ให้เราพูดพร้อมกัน “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้า ตามหนังสือเอเฟซัสก่อนนะครับ  ในหนังสือเอเฟซัสได้พูดถึงคริสตจักรต่างๆ ในสมัยนั้น ที่มาจากหลายๆ ชนชาติ ในคริสตจักรในเอเฟซัส คนที่เป็นคริสเตียนมาจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งจะเรียกรวมเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ในหนังสือนี้นะครับ คือเป็นพวกยิวและพวกไม่ใช่ยิว  ซึ่งเรียกว่าชาวต่างชาติ

และในเนื้อหาสำคัญของหนังสือเอเฟซัส ไม่ว่าเราจะมาจากชนชาติไหน? ก็ตาม เป็นเชื้อชาติไหนมาก็ตาม เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาให้เป็นพระกายของพระองค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเตรียมเราไว้ สำหรับใช้เรา สำหรับงานรับใช้

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเจ้าเตรียมเราทุกคน ที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว ให้เป็นผู้รับใช้พระองค์”

ไม่ว่าท่านจะคิดว่าท่านอายุมากขนาดไหน? ไม่ได้ทำอะไรเลย? อยู่บ้านเฉยๆ อธิษฐานก็น้อย พระเจ้าใช้ท่าน ถ้าพระเจ้าเลิกใช้ท่าน หมดแล้ว ให้ท่านพักผ่อน ก็คือให้ท่านทำอย่างไร? ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย ก็คือเอาท่านกลับบ้าน แต่ถ้าตราบใดที่ท่านยังหายใจอยู่ พระเจ้าก็ยังกำลังให้ท่านทำงานอยู่ ไม่ต้องไปคิดว่างานนั้น คืออะไร? พระเจ้าทำอยู่แล้วกัน เอเมนนะ

และถ้อยคำหลักที่เราได้ดูกันวันนี้นะครับ อยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:10 ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างละเอียด เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และได้เชื่ออย่างมั่นใจถึงความหมายของถ้อยคำนี้แล้ว ชีวิตท่านหรือชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ความคิด ความอ่านของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จะเปลี่ยนไปเลยนะครับ พระเยซูบอกท่านรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้ ลึกซึ้ง

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

 

“เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้นะครับ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “We are God’s masterpiece.   He has created us anew in Christ Jesus.”

คำว่า “ผลงานของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ตรงนี้นะครับ  พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า … ภาษาไทยนะครับ ใช้คำว่า “ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า” ก็คือฝีมือของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ท่านลองนึกภาพไปเรื่อยๆ ตามนะครับ เป็นการฝีมือของพระเจ้า

ภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece” มาจากคำในภาษากรีก ภาษาเดิมว่า “Poiema”

ท่านเป็น Poiema ของพระเจ้า … Poiema ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่เราคุ้นๆ กัน Poem  แปลว่าบทกวี  … บทกวีคืออะไร? คืออะไรบางอย่าง ที่มันเพราะพริ้ง เลิศประเสริฐศรี เขาจึงให้ชื่อว่าบทกวี

ท่านเป็นบทกวีของพระเจ้า … พระเจ้าที่สร้างมหาจักรวาลนี้ ทำการฝีมือ ก็คือชีวิตของท่าน

ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษากรีกก็ตาม ความหมายของถ้อยคำนี้ ข้อนี้กำลังบอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ หรือเป็นงานฝีมือของพระเจ้า ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เรียกว่าผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามชื่อเรื่อง

พูดอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

คำว่า “บทกวี” หรือ Poem ซึ่งแปลว่าผลงานชิ้นเอก สื่อให้เห็นถึงอะไร? ถึงงานที่เป็นศิลปะ เป็นผลงานที่บรรจงสร้างขึ้น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีการทำซ้ำ ที่เรียกว่าเป็นแบบ ถ้าโดยทั่วๆ ไป ทางการค้า เขาเรียกว่า Hand made ไม่ใช่เป็นการผลิตแบบโรงงานซ้ำๆ กัน มีจำนวนเยอะๆ มีแม่พิมพ์ แล้วก็ปั้มๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าทีละอัน ทีละตัว นี่พูดถึงสินค้านะ เพราะฉะนั้น พวกท่าน พระเจ้าผลิต สร้างทีละ … ปั้นทีละคน ทีละคนๆ เป็นแบบที่เราเรียกว่าเป็นแบบไม่มีใครเหมือนเลย และไม่เหมือนใคร

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? พระเจ้าสร้างแบบไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

ถ้าเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล ตอนเริ่มต้น ที่พระเจ้าสร้างบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ เราจะเห็นได้เลยว่าวิธีการที่พระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ กับวิธีการที่พระเจ้าสร้างหรือปั้นมนุษย์นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร? เรามาดูนะครับ

มาดูเหตุการณ์ที่เกิดในช่วง 5 วันแรก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 1

วันที่ 1 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง”

วันที่ 2 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้า ในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”

วันที่ 3 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดิน”

วันที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงดาวต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า”

วันที่ 5 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ  และนกนานาชนิด บินไปบินมาในท้องฟ้า”

แต่พอมาถึงวันที่ 6 ตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น  ปั้นมนุษย์นั้น  มาดูว่าพระองค์ทรงทำอย่างไร?

พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”

ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ แตกต่างเลยนะครับ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับว่าตอนสร้างอย่างอื่น พระเจ้าเพียงแค่สั่ง ตรัสก็คือสั่ง … สั่งให้มันเกิด มันก็เกิด ตรัสก็คือคำสั่งนะครับ

สมัยก่อน คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? สั่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพาเราไปใกล้เคียงตรงนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่องจักรต่างๆ แค่พูดมันก็ยังทำตามเลย

ขึ้นไปในรถ บอก “โทรกลับบ้าน”

มันก็โทรกลับบ้านเลย ใช่ไหม?

“เปิด” มันเปิดเลย

“ปิด” มันปิด

พระเจ้าทำมาตั้งก่อนโน้น ท่านลองคิดดู ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว พระเจ้าสั่งตรัส สั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นสิ่งของ ให้เกิด  สิ่งนั้นก็เกิด ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พอมาถึงมนุษย์ทรงบอกว่าเกิดมนุษย์ อย่างนี้เหรอ ไม่ใช่ บอกว่าอย่างไร?  เกิด ก็ไม่ใช่

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ … สมมตินะ สมมติ นี่ผมใส่ความรู้สึกลงไป ตอนที่สร้างดวงอาทิตย์ บอก

“ดวงอาทิตย์เกิด” ดวงสว่างเกิด

พอสร้างมนุษย์นะ “ให้เรามาสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบอย่างเราดีไหม? เรามีลูกดีกว่าเนอะ”

เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเศรษฐี อยู่ในครอบครัว คุยกับคนในบ้าน

ผมก็บอกว่า “ซื้อตู้เย็นมาสิ อยากได้ตู้เย็น”  เขาก็วิ่งไปซื้อตู้เย็น

“อยากได้สุนัขสวยๆ สักคู่หนึ่ง”  เขาก็ไปซื้อมา

เสร็จแล้ว ผมก็หันมาบอกภรรยา “เราอยากจะมีลูกนะ”

ใช่ไหม? ความรู้สึกมันต่างกัน  เหมือนกันเลยเนี้ย พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ พระเจ้าก็ใช่วิธีนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า.-

“ให้เรามาสร้างมนุษย์ ให้เป็นเหมือนเรานะ”

ก็คือมาสร้างลูกเรา ให้เรามีลูก อย่างอื่นพระองค์ทรงสั่งให้มันเกิด แต่พอมาถึงมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้น โยบ 10:8 จึงบันทึกอย่างนี้นะครับ ในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทำ” หรือ “ปั้น”

โยบ 10:8 “พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้าง และทรงปั้นข้าพระองค์มา

 

ท่านเริ่มเห็นภาพว่าเราแตกต่างกับสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดอย่างไร?

อิสยาห์ 43:21 “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา”

 

ใช้คำว่า “ปั้น” ในหนังสือสดุดี ได้บรรยายให้เห็นภาพถึงฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ในการบรรจงสร้าง มีลูก คือมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ให้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีที่ทรงตั้งใจที่จะปั้นขึ้น สร้างขึ้นมา และทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ผลงานแต่ละชิ้นของพระองค์ออกมาเป็นใคร? ทีละอัน พาท่านไปดูนะครับ ซึ่งตะกี้นี้ ก่อนจะอ่านสดุดีบทนี้ ให้ท่านพูดอีกที แต่ละอันๆ นั้นมันทำไม? มันไม่เหมือนใคร? และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

นี่คือตัวอย่างนิดหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ตั้งเป็นหลายพันปีว่าพระเจ้าสร้างอย่างไร? ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าสร้างทีละคนอย่างไร? นิดเดียวนะ แต่ความหมายลึกซึ้งมาก อยู่ในสดุดี 139:13-16 อ่านด้วยความลึกซึ้ง เห็นภาพนะครับว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เหมือนเรามีลูก  เรารักลูกขนาดไหน? พระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ที่รักเรามาก แต่ละคนๆ ซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

สดุดี 139:13-16 “13 เพราะพระองค์ทรงสร้างส่วนลึกล้ำ ภายในตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา 14 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี 15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”

 

เหมือนไหม? เหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่เราจะมีครอบครัว อยากจะมีลูก มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เราเตรียมทุกอย่าง  ทุกคนไปซื้อมาก่อนแล้ว ซื้ออะไร? ซื้ออุปกรณ์ แล้วในที่สุด ก็ต้องไปเปลี่ยน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย ดันเป็นผู้หญิง แต่รักหมดแหละ เห็นไหม?  เราก็เตรียมอย่างนี้แหละ นี่คืออะไร? นี่คือหัวใจของพระเจ้าที่สร้างเรามา พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา ถักทอ

คุณเข้าใจคำว่า “ถักทอ” ไหม? ถักทอ แปลว่าทีละนิดๆ  ถักทอคำนี้เขาใช้กับคำว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกอะไร? ถักโครเชต์ ภาษาไทย ก็คือถักโครเชต์ เสื้อถัก เสื้อไหมพรมถัก มีใครไหมถักเร็วมากๆ แป๊บเดียวเสร็จ ถักแปลว่านาน ประณีต ทีละนิดๆ ถักไปเรื่อยๆ ตัวหนึ่งอาจจะใช้เวลา ตั้งเป็นปี เป็นเดือน ถักไปเรื่อยๆ นี่แหละ พระเจ้าสร้างเรา

พระคัมภีร์ต้องการให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าประณีตในการสร้างเราขนาดไหน?  พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนะ ที่ว่าสวยงามแล้วนะ ยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะว่าพระองค์ให้ความสำคัญของท่านมากกว่านั้นตั้งเยอะ พระองค์ไม่ได้ถักทอดวงอาทิตย์ทีละนิดๆ  พระองค์สั่งให้มันเกิด มันก็เกิดนะ แต่ท่านคนเดียว พระองค์ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร? ผมไม่รู้

“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ น่าครั่นคร้าม”

สร้างท่านอย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม แบบมันเหลือเชื่อ พูดง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ

“เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก”

แอบไปทำอะไรบางอย่าง งานฝีมือ แบบไม่มีใครรู้เลย  ทำอะไร? สร้างท่าน แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนพระองค์เข้าไปในห้องส่วนตัว เข้าไปในห้องส่วนตัว ห้องแล็ปส่วนตัวเลย สร้าง ถักตรงนั้น ถักตรงนี้ เสื้อตัวนี้เสร็จเมื่อไร ไม่รู้ แต่ถักเป็นพิเศษ เสร็จออกมา ชื่อ “นคร” ตัวต่อมา ชื่อใคร? ชื่อท่านนั่นแหละ ท่านอาจจะถูกถักก่อน ผมว่าท่านอาจจะแก่กว่าผมแล้ว ท่านอาจจะถูกถักๆ ทีละตัวๆ ที่ไหน? ที่ส่วนล้ำลึก ก็คือที่ห้องส่วนตัวของพระเจ้า ผมอยากจะบอกท่าน พยายามให้ท่านได้รู้เรื่อง พาท่าน อธิบายภาษาง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นว่ามันแปลว่าตรงนี้ ส่วนลึกๆ มันหมายถึงห้อง ภาษาราชาศัพท์เขาเรียกอะไรนะ ห้องรโหฐานของพระองค์  ห้องล้ำลึกของพระองค์เงียบๆ ตรงนั้นแหละ ห้องส่วนตัว

“ไม่มีใครรู้ ลูกของฉัน น่ารักจัง ลูกเป็นอย่างไรหนอ”

เหมือนแม่ที่ดูลูกในท้อง แล้วก็คลำอยู่ตลอดเวลา เงียบๆ อยู่คนเดียว หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ 9 เดือน คล้ายๆ อย่างนั้น

ยกมาให้ท่านดูทีละนิด เพื่อจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความรัก และการมีคุณค่าในตัวของท่าน ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้

“พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าเป็นอะไร? พระเนตรของพระองค์ ก็คือพูดง่ายๆ ตาพระองค์เห็นเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด เหมือนไหม? เหมือนลูกเราไหม? เรานึกภาพ ลูกเราคงเป็นอย่างนี้ๆ  พระเจ้าเห็นภาพก่อนแล้ว เหมือนศิลปินที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องเห็นภาพ ในมโนภาพของเขา และเขาต้องเห็น เขาจึงจะจินตนาการตามภาพที่เขาเห็น เขียนอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตรงนี้ต้องสวยอย่างนั้น เหมือนเวลาผมแต่งเพลง ผมต้องคิดก่อนว่าเพลงนี้มันจะต้องเพราะอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ มันต้องเห็นอย่างนั้นก่อน ถึงจะทำทีหลัง ไม่ใช่ทำไปเห็นไป ไม่ใช่ มันต้องมีใจลึกๆ รักในสิ่งนั้น แล้วรู้ว่ามันคืออะไร? แล้วก็ทำให้มันเป็นไปตามภาพในจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าก็ทำกับเราอย่างนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเลย  และไม่ซ้ำแบบ

ถักนครเสร็จ ไปถักอีกคนหนึ่ง ถักเหมือนกันเลย อย่างนี้ไม่เรียก Masterpiece อย่างนี้ไม่เรียกว่าผลงานชิ้นเอก อย่างนี้เรียกว่าของโหล ปั้มเอานี้หว่า ของปลอม ตำรวจจับ อย่างนี้ของปลอม ถ้าของจริงไม่ใช่ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน มันถึงมีราคาไง

ตอนที่อ่านเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” ใช่ไหมครับ? หรือภาษาอังกฤษบอกว่า “Masterpiece” อาจไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไร? แต่พอได้มาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้ คราวนี้ ทำไมท่านรู้แล้วว่าคำว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ท่านพองตัวใหญ่เลยนะ รู้สึกหรือยังว่ามีค่า หรือว่ายังรู้สึกว่าไม่มีค่าเหมือนเดิม พูดมาตั้งนานแล้ว พูดให้ชื่นใจหน่อย มีค่าขึ้นไหม? เห็นแต่ละคนอกใหญ่ขึ้น ตะกี้ฟังไปตอนแรกๆ ทำไมเหี่ยวอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิม

พูดพร้อมกันสิ “ฮึกเหิม”

รู้ว่าเรามีค่าอย่างไร? ใช่ไหม?

ปฐมกาลเมื่อตะกี้บอกว่าพระเจ้าสร้างอย่างอื่น ใช้คำว่า “ตรัส” “จงเกิด” ทุกอย่างก็เกิดขึ้น แต่พอสร้างมนุษย์ พระเจ้าบอกว่า “ปั้นและถักทอเขาขึ้นมา” พอเห็นภาพงานศิลปะไหม? อย่างที่ผมบอก อย่างนี้เรียกว่าศิลปะใช่ไหม?  แล้วก็ไม่ใช่งานฝีมือหรืองานศิลปะแบบทั่วๆ ไป  แต่เป็นงานศิลปะเป็นแบบ Masterpiece คือเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างที่ผมบอกแล้ว ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

ทุกท่านคงรู้จักภาพนี้นะครับ ผมเอามาให้ท่านดู ภาพนี้คือภาพ … ภาพใครครับ? คุณน้าโมนาลิซ่า เขาเอาไปใช้ชื่อเยอะเลย คุณน้าบ้าง คุณป้าบ้าง แต่จริงๆ ภาพนี้คือภาพโมนาลิซ่า ดังมาก ใครเป็นคนวาดภาพ? ลีโอนาร์โด ดาวินชี แล้วท่านคิดว่าภาพโมนาลิซ่าที่เป็นต้นฉบับ  ที่วาดโดยดาวินชี จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ต้นฉบับนะ  Masterpiece  ของก๊อปไม่เอานะ เอาแต่ของแท้มีอันเดียว  ดาวินชีไม่ได้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ทำเยอะนะ ทำอันเดียว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? ไม่ทำซ้ำ นึกออกใช่ไหมว่ามีมูลค่าเท่าไร? มันมีค่ามหาศาล จนกระทั่ง ประเมินคุณค่าไม่ได้เลย  นี่ขนาดฝีมือมนุษย์นะ

ข้อมูลของภาพนี้ ก็คือโมนาลิซ่า วาดโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ภาพหนึ่งที่รู้จักในฐานะของภาพของสุภาพสตรี ที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะหรือยิ้มแบบร้องไห้กันแน่ ปัจจุบัน ต้นฉบับของภาพนี้อยู่ในความครอบครองดูแลของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หามูลค่าไม่ได้เลย มากมายมาก ภาพนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?

ท่านลองคิดดูนะครับ ขนาดศิลปินดัง ไมเคิล แองเจโล,  ดาวินชี ซึ่งแต่ละคนจะมีผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของตนเองนะครับ   และผลงานชิ้นเอกของศิลปินเหล่านี้  ต้องเรียกว่ามีมูลค่ามหาศาลมากมาย ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์หมดเลยนะครับ  แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของศิลปิน ผู้มีนามว่าพระเยโฮวาห์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้นี้ … เฉยๆ เลย  ไม่ปรบมือเลย ไม่ภูมิใจเลยเหรอ หรือภูมิใจจนกระทั่งตะลึง คิดอะไรไม่ออก

 

“ไม่นึกเลยว่าฉันจะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า ฉันมีค่ามากกว่ารูปบนผนังเพดานของเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ไมเคิล  แองเจโลวาด ฉันมีค่ามากกว่านั้นเหรอ”

ใช่ บอกว่าใช่เลย เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น เมื่อท่านดูความงามของธรรมชาติ ใครเคยดูความงามของธรรมชาติบ้าง ทุกคนได้ดูหมดแหละ ดูมากดูน้อย แล้วแต่คนที่ไปเที่ยว หรือไม่เที่ยวเลย  ก็เห็น … เห็นความงามเยอะแยะมากมายไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า สวยงาม ใครเป็นคนสร้างเหล่านั้น  แล้วท่านมีค่ามากกว่านั้นอีก

วันก่อนนี้ ผมได้ไปเล่นน้ำในทะเล โอโห้! แค่เห็นทะเล แล้วอากาศมันดี ทะเล คลื่นเล็กๆ ว่ายน้ำในทะเล ตอนเช้า สรรเสริญพระเจ้า ทำไมมันงดงาม ทะเลที่พระเจ้าสร้าง เมฆต่างๆ ประมาณสัก 9 โมงเช้า ทันทีทันนั้น ฝนไม่ตก แต่เหมือนกับฝนตก แต่มันไม่ตก ทันทีทันใดนั้น มันก็มีรุ้งน้ำ ครอบทะเล มองออกไปนอกฝั่ง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  สวยไหม?  สวยหรือไม่สวย?  ท่านไม่เห็น ท่านรู้ได้อย่างไร?  ท่านรู้ ท่านเคยเห็นบ้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ มันสวยมาก  นั่นคือหนึ่งในจำนวนที่เคยเห็นในชีวิต อย่างอื่นๆ อีกมากมายในธรรมชาติ ที่สวยงาม และพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ใครสร้าง? พระเจ้าสร้าง และสร้างเราสวยกว่านั้นอีกตั้งกี่เท่าก็ไม่รู้ เห็นภาพตัวเราเองอยู่กลางรุ้งเลย สร้างเหล่านั้น เพื่อให้สนับสนุนเรา

เราย้อนกลับมาที่ภาพโมนาลิซ่าอีกครั้ง เห็นไหม? สมมติพระเจ้าสร้างท่าน … ท่านเป็นโมนาลิซ่า ภาพนี้  รุ้งกินน้ำ หรือดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกว่าสวยงาม เหมือนต้นไม้รางๆ ข้างหลังภาพ ท่านพอมองเห็นไหม? ทางขวามือสุดๆ เงาๆ ลึกๆ นั้น มันต่างกันกับความงามของโมนาลิซ่าไหม? ท่านพอเข้าใจไหม?  ที่ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างคุณค่าของท่านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดว่ามันยิ่งใหญ่แล้วนะ ท่านใหญ่กว่านั้น ท่านสำคัญกว่านั้น ท่านมหัศจรรย์กว่านั้นตั้งเท่าไร?

แล้วท่านคิดว่าตัวท่านเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ท่านมีค่าขนาดไหน? ควรจะเก็บท่านเข้าพิพิธภัณฑ์ไหม? ท่านมีค่ามากไหม? ไม่ต้องแต่งงานแล้ว เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลยดีไหม? พูดเล่น อันนี้พูดเล่น ตะกี้นี้บอกของมีค่ามากจนขายไม่ได้  ต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมีค่ามากกว่านั้นเท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถ้าท่านรู้อย่างนี้ แล้วแต่ละคนทำไม? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

พูดอีกครั้งหนึ่ง  “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”

แต่ที่น่าเสียใจ ก็คือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไร้ค่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาไงว่าเขา คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ที่พระเจ้าสร้างและใส่ไว้ในชีวิตของคนๆ นั้น เอเมน รู้หรือยังตอนนี้ รู้แล้ว

ถ้าคริสเตียนไม่รู้ พอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ก็คือไม่รู้ตัวว่าเรามีค่าขนาดไหน? เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า หลายคนก็เลยทำไหม?  ก็เลยเป็นคริสเตียนแล้ว มีคุณค่าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว หลายคนก็เลยพยายามที่จะหาหนทาง ทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวเอง  เคยไหม? เราเคยทำไหม? หรือเราเคยเห็นใครทำไหม? ทุกคนมีส่วนอยู่ในการกระทำอย่างนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

หลายคนก็พยายามหาหนทาง สร้างค่าให้ตัวเอง ทั้งๆ ตัวเองมีค่าอยู่แล้ว คือคิดเองตามระบบโลกว่าต้องทำแบบนี้นะ ถึงจะเรียกว่าคนที่มีคุณค่า คืออะไร? คือต้อง … ภาษาไทยเขาเรียกว่าเสแสร้ง คุ้นๆ คำนี้ไหม? มาแล้ว ชักแรงแล้วนะ หลอกชาวบ้านเขา หลอก เสแสร้ง หลอกตัวเองด้วย หลอกชาวบ้านเขาด้วย มันไม่ใช่หลอกแบบหลอกลวง ไปขโมยเขา ไม่ใช่ ไม่ได้ความหมายนั้น นี่หมายถึงเสแสร้งให้คนยอมรับเรา ให้เรามีคุณค่าขึ้นมา

ไม่มีกำลังจะซื้อของแบรด์เนม รู้จักของแบรด์เนมใช่ไหม? ของแบรด์เนม ภาษาไทยเขาเรียกว่าของมียี่ห้อ พวกเศรษฐีเขาใช้กัน แต่เราเป็น “เศษ” ไม่มี “ฐี” แต่เราอยากจะใช้แบรด์เนม จะได้เข้าสังคมเขาได้ ก็ไปซื้อแบรด์เนมที่เป็นของปลอมมาใส่ อุตส่าห์ไปซื้อของปลอมมาใส่ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราก็ใช้แบรด์เนมเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าการที้ใช้แบรด์เนม จะทำให้เราดูมีค่าขึ้นมา ดูสวยขึ้นมา ดูดี มีฐานะ

พูดถึงฐานะยิ่งชัดเจน บางคนขับรถ ใช้รถ ไม่ได้ว่าใครนะ บางคนใช้รถราคารถมันเกินกว่าทรัพย์สินอยู่ อุตส่าห์ไปผ่อนมา เกินกำลังมาก รถถูกกว่านี้ก็มี แต่เราจะใช้หรูๆ เพราะจะได้มีระดับ

นี่คือไม่รู้ตัวตน ทุกคนเป็นหมดล่ะ เป็นมากหรือน้อย นี่ยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมกลับบ้านไม่ได้ แต่ละคนตาเริ่มเขียว ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้ว ผมเลยไม่อยากยกเยอะ

บางคนชัดเลย อันนี้โดนหลายคนเลย โทรศัพท์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรเลย เปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนรุ่นใหม่ เพราะอะไร? เพราะเพื่อนๆ ที่ห้องเรียนเขาใช้กันอย่างนี้ทั้งหมด เห็นไหม? นี่คืออะไร? ก็ไม่รู้คุณค่าของตัวเขาเอง  แล้วคนที่พูด คือใคร? ไม่รู้ ในห้องเรียนเขาพูดกันอย่างนี้  ว่าอย่างนี้มันเชยแล้ว ปรากฏว่าในห้องเรียนนั้น ไม่มีใครเป็นคริสเตียนสักคน มีตัวเขาเองเป็นคริสเตียน เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองมีค่าที่สุดกว่านักเรียนที่เหลือ ที่พูดทั้งหมดเลย เขาควรจะบอกนักเรียนที่เหลือบอกว่า

“ฉันมีค่ามากเลย พวกเธอควรมีพระเยซูนะ ฉันมีพระเยซูแล้ว ฉันมีค่ามาก เพราะฉันเป็นผลงานชิ้นเอกในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่แล้วนะเนี้ย สวยงามขนาดไหนนะ”

แทนที่จะพูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ตัวเอง เขากลับไปพูดว่าเขาอยากจะอยู่กับเพื่อนๆ … เพื่อนๆ บอกในสังคมนี้เขาต้องใช้โทรศัพท์ 5 พลัส 6, 7 พลัส เราก็พลัสกับเขาบ้าง? พลัสไปพลัสมา เสียเงินเปล่าๆ ใช้อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ใช้นิดๆ หน่อยๆ แต่ดันไปซื้อแพง ไม่ได้ว่าใครนะ

เห็นไหม? เพราะเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือตัววัดคุณค่าของเราเอง ทำให้เราเองมีคุณค่าขึ้นมา เขาเรียกว่าเสแสร้ง มันเป็นทุกคนแหละ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง มันเป็นทุกคน มนุษย์เราทุกวันนี้ มันมองเห็นสิ่งต่างๆ  เหล่านี้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราถูกหลอกไง?

เพราะฉะนั้น การมาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเจ้า … พระเจ้ามองเราอย่างไร? พระเจ้าสร้างเราอย่างไร?  มันทำให้เรารู้คุณค่าของเราเอง และเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครเลย เราจะทำไม? เราจะภูมิใจ เราไม่ต้องสร้างมูลค่าของเราเองขึ้นมา เพราะพระเจ้าให้เรา และมูลค่าเราเป็นเพชร เป็นพลอย เอเมน ใช่ไหม?

ท่านรู้ไหม พระเจ้าพูดอย่างไร? เมื่อมองเห็นท่าน พระเจ้าบอก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก ภูมิใจมาก ตรงนั้นก็สวย ตรงนี่ก็สวย เหมือนผมแต่งเพลงมา ผมก็โอโห้! เพราะมาก ใครจะว่าอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมแต่งเอง ผมก็บอกว่าเพราะมาก เพราะจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าบ้าตัวเอง หลงตัวเอง แล้วจะให้ไปบ้าคนอื่นทำไมล่ะ  เพราะเราสร้างของเราขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่รู้ใครจะดีหรือไม่ดี ไม่รู้ แต่เพลงที่เราแต่ง ที่เราร้อง มันเพราะที่สุดของเราแล้ว เอเมน  เพราะอะไร?  เพราะเราไม่ได้ลอกใคร มันเป็นของเราเอง เป็นของแท้

“ใครจะร้องดีกว่านี้ เป็นนักร้องยอดเยี่ยม นิยมจากเวทีไหนไม่รู้ ร้องยังไง ก็เพราะสู้ฉันไม่ได้หรอก”

 

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันเป็นคนสร้างเพลงนี้เอง เอเมน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สร้างท่าน เป็นผลงานของพระองค์เอง ไม่มีใครดีกว่าท่านอีกแล้ว เข้าใจไหม? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันว่าคนนี้สวยกว่าๆ

“สวยสู้ฉันไม่ได้ แล้วกัน  (แบบเฉพาะของฉันนะ) ที่พระเจ้าสร้าง”

เข้าใจไหม?  สังคมบอกอย่างนี้สวยกว่า ไม่ใช่ ไม่ต้องไปฟังสังคม ฟังพระเจ้าพูด พระเจ้าบอก

“อย่างเธอต้องแต่งอย่างนี้  ตัวไม่ต้องสูงมาก”

อะไรอย่างนี้  ถูกไหม? เราก็ไม่ต้องไปตัดขา พยายามต่อขาให้ยาว ให้จมูกเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำจมูกมากกว่านี้  ก็แค่นั้นแหละ พระเจ้าบอกสวยมาก สังคมเขาจะว่าอย่างไร? เรื่องของเขา  แต่พระเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน  “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

พูดตามผมนะครับ “พระองค์ภาคภูมิใจในนคร …. (ใส่ชื่อท่าน) อย่างมาก พระองค์ภาคภูมิใจในผลงานชิ้นเอกคุณนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผลงานชิ้นเอก พระองค์ภาคภูมิใจในนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มากเลย  ทำไมลูกคนนี้หล่อ (สวย) อย่างนี้”

ใส่ชื่อท่าน หัวเราะทำไมล่ะ  จะให้ผมพูดอย่างไร?  พูดสิ สวยๆ หล่อ ไม่กล้าพูดอีก ท่านยังไม่มั่นใจตัวเองเลย พระเจ้ามั่นใจกว่าท่านมาก พูด ไม่มั่นใจอีก แสดงว่าท่านถูกสังคมหลอกนานแล้วสิ หลอกมา 60, 70 ปีเลยใช่ไหมว่า “ไม่หล่อๆ” เลยไม่กล้าพูด “ไม่สวยๆ” ไม่กล้าพูด วันนี้เปลี่ยนใหม่ ความจริงมาทำให้เป็นไทแล้ว The truth shall make you free. ก็คือความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านนะสวย, หล่อที่สุดแล้ว  บอกสิ  ไม่กล้าพูดอีก

“สวย, หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นแบบเฉพาะของฉัน” ใช่ไหม?

เพราะถ้าเราสามารถเชื่อและมั่นใจว่าเราเป็นใครในพระเจ้า เชื่อว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่าเมื่อตะกี้นี้ เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ไม่พยายามที่จะเสแสร้งหลอกคนอื่น เราก็จะเป็นตัวของเราเองมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้ และคุยกันบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือเรียกว่าผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดดังๆ เลย “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เพราะฉะนั้น เราควรจะมีความเชื่อ และมั่นใจในลักษณะเดียวกันกับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า?  ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถามจริง? จริง มั่นใจไหม? ถามอีกที ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? มั่นใจขนาดไหน? คิดในใจว่าที่ท่านพูดว่าจริงเมื่อตะกี้นี้ว่า

“ฉันเป็นคนไทย”

ท่านมั่นใจขนาดไหน?  ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อกว่าท่านอีกแล้ว ท่านมั่นใจไหม? มั่นใจ … มั่นใจกว่าตะกี้นี้ไหม? เท่าที่ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนไทยไหม?  เท่ากันไหม? คิดเองก็แล้วกัน กลับไปบ้าน ไปพูดหน้ากระจกว่าท่านมั่นใจไหม? ถ้าท่านมั่นใจพูดไปเลย  ต่อหน้าคนมหาศาล ท่านสามารถพูดได้ไหมว่าท่านเป็นไทย?

สมมติว่าให้ท่านขึ้นไปบนธรรมาส หรือบนเวที ท่านสามารถพูดได้ไหมว่า.-

“ผมเป็นคนไทย” หรือ “ฉันเป็นคนไทย”

สามารถไหม? สามารถ ท่านขึ้นไปเวทีเดียวกัน บอก.-

“ฉันเป็นคนสวยที่สุด” กล้าไหม?

เห็นไหม? ไม่กล้า ทำไมล่ะ  อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ เราพูดให้ฟัง อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริงของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ไม่ได้ว่าใคร? ผมก็เป็น แต่เรามาเรียนรู้ที่เราจะฝึกฝน ที่เราจะเป็นน้อยหน่อยไง เข้าใจใช่ไหม?  ไม่ใช่ว่าพอพูดเสร็จ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องโกรกผม … ผมก็จะไปโกรกเหมือนเดิม ทำไมหล่อ แล้วไปโกรกทำไม? วันนี้ คือวันที่พระเจ้าจัดไว้ว่าโกรก ก็ทำไปสิ แต่มั่นใจในตัวเอง  มันไม่ได้สวยขึ้นหรอก พระเจ้าทำให้สวยอยู่แล้ว โกรก แล้วเราดูดีขึ้น เราเองนะดูดีขึ้น ใจเราสบายใจขึ้น ถึงไม่โกรกมันก็ดีอยู่แล้ว แต่โกรก เราสบายใจขึ้น ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิมเรา เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนั่น นครก็ยังเป็นนครเหมือนเดิม จะนครผมขาวหรือนครผมดำ มันก็นครคนเดิม ที่พระเจ้าสร้างเป็น Masterpiece เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และ … ที่สุดเลย  ท่านก็ไปเติมของท่านแล้วกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?  ผมจะบอกว่าเราอยู่ในกระทะเดียวกัน ไม่ได้พูดเพื่อจะไปบอกใครว่าใครแย่กว่ากัน หรือเราแย่กว่าใคร เราไม่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เราเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าสร้างทุกคน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน จึงไม่มาเปรียบเทียบกันไง เปรียบเทียบกันไม่มีประโยชน์ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร? ใครสวยกว่ากัน? ภาพโมนาลิซ่ากับภาพของไมเคิล แองเจโล เปรียบไม่ได้  เพลงไหนเพราะกว่ากัน ต่างคนต่างเป็นของแท้ เพลงนี้กับเพลงนี้ เทียบกันไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน

เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจ ให้เรารู้ว่าเรานั้นมีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ให้เรามั่นใจเหมือนที่เราพูดกับผู้คนทั้งหลาย 100% ว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาเราจะเหมือนคนต่างด้าว แต่เราก็ยังเป็นคนไทย จะมาชี้อะไรต่างๆ เราก็อาจจะเกรี้ยวกราดกับตำรวจ

“ฉันเป็นคนไทย ไม่รู้หรือไง”

“ทำไมหน้าตาเหมือน …”

“เหมือนอย่างไร ฉันก็ยังเป็นคนไทย”

มั่นใจไหม?  เหมือนกัน

“ฉันเป็นการฝีมือของพระเจ้า สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก”

เอเมน … เข้าใจใช่ไหม?

อย่างบางคนที่เกิดมามีส่วน หรือลักษณะในร่างกายที่เสียหายไป จงมั่นใจว่าพระเจ้าสร้างท่านมาอย่างนั้น ท่านก็เป็นชิ้นพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามาก และถ้าเรารู้อย่างนี้ ท่านคิดดู ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะเห็นคุณค่า

“พระเจ้าสร้างเรา เพราะมีความต้องการอะไรบางอย่างในชีวิตของฉัน สร้างฉันเพื่ออะไร? เพื่อจะใช้ฉันในอนาคต ถ้าฉันไม่ตาบอด ฉันก็อาจจะแต่งเพลงนี้ไม่ได้หรอก”

เข้าใจใช่ไหม?

“ถ้าฉันไม่เป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็จะไม่สามารถใช้ฉันให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นได้”

มันต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราเป็นอะไรบางอย่าง เพื่อพระเจ้าจะใช้เราไง เอเมน … เอเมนไหม?

ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะ พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนที่ท่านบอกว่าท่านเป็นคนไทย? เข้าใจใช่ไหม? เข้าใจความรู้สึก สภาพที่ว่าถ้าใครมาบอกท่านเหมือนคนต่างด้าว ท่านจะบอกเขาว่า

“ฉันเป็นไทย”

ท่านมั่นใจมาก ให้ท่านพูดอย่างนั้นนะ พูดตามนะครับ ใส่ชื่อท่านเอง เวลาผมใส่ชื่อผม

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า”

นี่คนไทยหรือเปล่าเนี้ย ทำไมตอบแค่นี้เอง  พูดแค่นี้เองเหรอ เขาบอกว่าท่านเป็นต่างด้าว ไม่ให้ท่านเข้าเมือง ไม่ให้เข้าประเทศนี้แล้วนะ ท่านจะตอบเขาอย่างนี้  ไม่ให้ท่านเข้าแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ ท่านเข้าใจไหม? ให้ท่านพูดด้วยความมั่นใจว่าตอนนี้ มีความรู้สึกว่าท่านกำลังไปเมืองนอกกลับมา  เขาไม่ให้ท่านเข้าเมือง เขาบอกว่าท่านเป็นคนต่างด้าว ท่านบอกเขาว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นคนไทย”

พูดนะ พูดชื่อท่านนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หล่อ (สวย) ที่สุดแล้ว หล่อ (สวย) กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) แก้วตา ดวงใจของพระเจ้า”

คืออยากให้ท่านมีความมั่นใจ เอาอย่างนี้ไปพูดหน้ากระจกบ่อยๆ ได้ไหม? ได้ อย่าให้ใครฟังเหรอ ใครจะฟังช่างเลย มันเรื่องจริง ใช่ไหม? นะ เอาไปพูดบ่อยๆ หมั่นพูดอย่างนี้เสมอ  แล้วก็ติดตามตอนต่อไป  ตอนโน่นตอนนี้ต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นตัวตนในพระคริสต์อย่างไร? เอาไปพูด … พูดให้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่พูด เราจะกลัวโน่นกลัวนี่ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านเขา เพราะเรามีค่ามากที่สุดแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่าในชีวิตจริง เราอาจจะขับรถเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีรถขับเลย ต้องนั่งรถเมล์ เราก็มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจที่พระองค์รักที่สุดแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าท่านจะนั่งรถเมล์หรือขี่รถเบนซ์ พระเจ้าสร้างท่านพิเศษเฉพาะสำหรับท่าน เอเมน

วันนี้ให้เรามั่นใจตรงนี้นะครับว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีค่ามากมายมหาศาล พระเจ้าสร้างท่านด้วยความระมัดระวัง ด้วยความรักทะนุถนอม ด้วยความทุ่มชีวิตของพระองค์ลงไป เพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านคนเดียวเลยนะ ท่านอย่าคิดว่าท่านนิสัยตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี หน้าตาตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี พระเจ้าบอกดี โอเค ใช้ได้ ยอดเยี่ยมเลย ดีๆ เชื่อให้ได้อย่างนี้ เหมือนที่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย แล้วการดำเนินชีวิตทุกอย่างจากนี้ต่อไป ท่านจะเปลี่ยนไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะท่านรู้คุณค่าของตัวเองว่า.-

“พระเจ้าสร้างฉันอย่างไร? ฉันอยากจะสรรเสริญพระเจ้าที่สร้างฉันอย่างงดงามอย่างนี้ เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” (You are God’s masterpiece” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มกราคม  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 4 “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

(You are God’s masterpiece”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้นะครับ เราจะกลับมาฟังคำบรรยายกันต่อ ในซีรี่ส์ชุดเดิมนะครับ ที่ค้างกันไว้ตั้งแต่ก่อน คริสตมาส ยังจำได้ไหมครับ ซีรี่ส์เรื่องอะไร? เราคุยอะไรกันค้างไว้ ตั้งแต่ก่อนคริสตมาส ผมได้เริ่มต้นซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Identity in Christ” คุยไป 3 ตอนแล้ว  วันนี้จะเป็นตอนที่ 4 งงเลยใช่ไหม?

เรามาทวน 3 ตอนก่อน เพราะว่าเว้นระยะไปนาน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มตอนที่ 4 วันนี้ เรามาทบทวนกันสักนิดหนึ่งก่อนนะครับว่า 3 ตอนที่แล้วเราได้คุยอะไรกันไปแล้วบ้าง?

เริ่มต้นที่ความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” มันสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจะต้องเรียนรู้กันเรื่องนี้  พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้งและการรับการประทับตราจากพระเจ้า

พวกเราคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมตั้ง แต่งตั้งโดยพระเจ้า และประทับตราของพระองค์อยู่ในชีวิตของเรา แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเรา บนชีวิตของเรา และแสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้าในครอบครัวของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

มาทบทวน 2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงใน  พระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ในข้อที่ 22 เมื่อตะกี้นี้บอกว่าทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา แต่ละคนเลยที่เชื่อในพระเยซู และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เพื่ออะไร? เป็นมัดจำ ค้ำประกันในสิ่งที่จะมาถึง ก็คือสวรรค์สถานที่พระองค์บอกเราว่าเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ตอนนี้เราได้ก่อน มัดจำไปก่อนแล้ว เรียบร้อยแล้ว คืออะไร? คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจเรา

และผมก็ได้ย้ำแล้วย้ำอีก เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่าสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จัก ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สำคัญมากเลยนะครับ เพื่อเราจะสามารถแยกแยะได้ระหว่างตัวตนจริง ก็คือ True Identity ตัวจริงๆ ของเรา  ข้อมูลที่เป็นตัวจริงของเรา กับ Liedentity  ก็คือข้อมูลปลอมที่เขาหลอกเรา  เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ ได้สร้างข้อมูลปลอมๆ โดยผ่านทางสื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ สร้างข้อมูลปลอม หลอกเรา ยัดเหยียดใส่ชีวิตของเราเต็มไปหมด และเราก็ถูกหลอกมานาน ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า

ถูกหลอกว่าอะไร? หลอกว่าเราเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย  เรารู้ความจริงตรงไหน? ตรงที่เราไปอ่านพระคัมภีร์ เราถึงรู้

อ้าว! เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยนะ พระเจ้าบอกเราอีกแบบหนึ่ง แต่มารซาตานบอกเราอีกอย่างหนึ่ง ผ่านทางสังคม ผ่านทางโลกใบนี้

จำตัวอย่างได้ไหมครับ ที่บอกว่าใครที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เหมือนยังไม่รู้จักตัวตนของตัวเองจริงๆ ยังทำตัวเหมือนแปลกๆ เราก็จะเปรียบเทียบกันว่าทำตัวเหมือนทาร์ซาน นี่คืออะไร? นี่คือชื่อของตอน “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 แสดงว่าจำได้ จึงใช้ชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน”

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าเป็นทาร์ซาน”

อยากรู้รายละเอียด ไปหาฟังเอาในตอนที่แล้วนะครับ ไปค้นเอา ประวัติตอนที่แล้ว เพราะเขาลงในยูทูปมีหมดนะครับ Holy live มีตั้งหลายตอนอยู่ในนั้น  เพราะฉะนั้น ไปดูแล้วกันว่าตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 1 ทาร์ซานว่าอย่างไรบ้าง?

มาถึงตอนที่ 2 ชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า” จำได้ไหม? เราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ได้สอนเราอย่างนั้น ภาษาอังกฤษจำได้เลย ภาษาอังกฤษว่าเราได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature

พูดพร้อมกัน “Divine Nature”

จำแม่นเลยนะ จากทาร์ซานมา Divine Nature ที่ผมเล่าให้ฟังว่าย้อนไปตั้งแต่สมัยปฐมกาล สมัยโน้นว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายให้มีคุณลักษณะเฉพาะ ที่แตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? มีพืช สิ่งที่มีชีวิต ที่มีร่างกาย สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและจิตใจ หรือเรียกว่า Soul เรียกว่า Body and Soul แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ Body  Soul and Spirit วิญญาณหรือ Spirit ซึ่งคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงสร้าง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา หรือพระฉายของพระองค์ ให้มีส่วนใน Divine Nature ธรรมชาติลักษณะของพระองค์ตรงไหน? ตรงที่มีวิญญาณเหมือนพระองค์ จริงๆ แล้วคือเป็นวิญญาณเหมือนพระองค์

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทรงระบายลมหายใจ” แล้วผมก็อธิบายให้ฟังว่าระบายลมหายใจ ลมปราณของพระองค์ คือวิญญาณของพระองค์เข้ามาในมนุษย์ สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น คำว่าระบายนั้นก็คือแบ่งชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ จำได้ใช่ไหมครับว่าแบ่งเชื้อสายให้กับเรา แบ่งให้มีลูกขึ้นมา เป็นลูกของเรา และในองค์ประกอบทั้ง 3 ของมนุษย์ ก็คือทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น  ทางวิญญาณของเรา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที ณ วินาทีที่เราเชื่อในพระเจ้า ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว วินาทีไหน? ไม่รู้ วิญญาณของเราเปลี่ยนไปทันที ใหม่เอี่ยม เข้ามาสู่ Divine Nature ของพระเจ้าทันที สำหรับทางความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความคิดจิตใจก็เริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มัดใจ ที่มาสถิตอยู่กับเรา และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ สอนเรา นำพาเราเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ  ความคิดจิตใจของเรา ก็จะเปลี่ยนไปเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวันๆ นั่นเอง

ส่วนทางร่างกายล่ะ ก็มีการเปลี่ยนแปลง คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ตายจากโลกใบนี้แล้ว หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะมีร่างกายใหม่ไว้ให้กับเรา เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ แล้วร่างกายที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่ต้องเจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีสิวอย่างนี้ต่อไปอีกแล้ว จำได้ใช่ไหม?

และในตอนที่ 3 ที่เราทิ้งท้ายกันไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนคริสตมาส มีชื่อตอนว่า “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 3 ผมได้เล่าถึงจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่มีไปถึงชาวเมืองโครินธ์ ซึ่งชาวเมืองโครินธ์ในยุคนั้น ส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางอบายมุข เพราะเจริญเติบโตเป็นเมืองค้าขายมากมายนะครับ คล้ายๆ กรุงเทพ นิวยอร์กอะไรอย่างนี้ของสมัยนั้น ผู้คนก็ดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเยอะแยะ และประพฤติตัวเหลวไหลมากมาย ซึ่งรวมทั้งชาวโครินธ์ที่เป็นคริสเตียนด้วย รับเชื่อแล้ว

เปาโลเลยต้องการสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในโครินธ์เหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า แต่แทนที่จะสั้งว่า.-

“อย่าทำอย่างโน้น อย่าทำอย่างนี้ อย่างทำอย่างนั้น”

เปาโลกลับสอนบอกว่าให้ผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้ที่เชื่อแล้ว รู้ตัวตนของตัวเองในพระเยซูคริสต์ว่า.-

“เธอเป็นใคร? เธอมีค่ามากเท่าไร? เธอเป็นวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในเธอนะ เธอจะไปทำอะไร พระเจ้าตามๆ ไปด้วยตลอดเวลา” ให้เขารู้ตรงนี้

เห็นไหมครับว่าเรามาเรียนรู้เรื่องตัวตนของพระคริสต์ มันสำคัญอย่างไร? ต่อให้ไปสั่ง …

“อย่าทำอย่างนั้น อย่างทำอย่างนี้”

มันทำไม่ได้ กิเลสตัณหาของเรา ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ มันก็จะว่ากันไปตามนั้นแหละ แต่พอเรารู้ตัวตนของเรา … เรารู้ว่าข้างในเราใหญ่กว่า ข้างในเรามี Divine Nature อยู่ในนั้น  เราเป็นใคร?  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นี่คือตอนที่ 3

และตัวตนในพระคริสต์ที่เปาโล ย้ำเตือนกับผู้คนเมืองโครินธ์ ก็คืออะไร? ก็คือ 1 โครินธ์ 6:19-20 ที่บอกว่าเรามีค่าขนาดไหน? ดูสิ อ่านย้อนดูอีกทีหนึ่ง มาทบทวนอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด

 

ชาวโครินธ์เยอะแยะมากมาย ทำสิ่งที่ไม่ดี อยู่ในอบายมุกต่างๆ มีส่วนหนึ่งที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ส่วนหนึ่งคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปาโลพูดเฉพาะคนที่เชื่อในพระเจ้า และบอกว่า.-

“พวกท่านรู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านมีราคาที่สูงมาก พระเจ้าซื้อท่านมาด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ เพียงองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์ ท่านควรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

นี่การสอนของเปาโล คือให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคริสเตียน คือให้รู้ว่าเราเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในร่างกายของเรานี้ เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกต่อไป ไม่ได้เป็นตัวเราแล้ว แต่เป็นพระเจ้า  เราเดินไปไหน พระวิญญาณเดินอยู่กับเรา  ไปไหนพระเจ้าอยู่กับเราด้วย ตาดูอะไร? พระเจ้าก็ดูด้วย มือทำอะไร? พระเจ้าก็ทำด้วย ปากพูดอะไร? พระเจ้าก็พูดด้วย เหมือนกับพูดด้วยรู้ด้วยตลอดเวลา

นี่คือการรู้ตัวตนของตัวเอง จะได้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น และการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นวิหารของพระเจ้า ก็จะทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งที่สกปรกหลายอย่างได้ บนโลกใบนี้ (เท่าที่จะทำได้นะ) เพราะมันไม่มีทางที่จะครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างที่บอกแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่มีทางที่เราจะบังคับมันให้ถูกต้องหมด 100% แต่มันทำให้มากขึ้นได้ ถ้าเผื่อเรารู้ความจริง คือ Identity ของเรา  True Identity  ก็คือตัวตนแท้ๆ จริงของเราว่าเราเป็นใคร?

เมื่อทาร์ซานรู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว ทุกอย่าง มันจะเปลี่ยนไปเอง เอเมน เราทิ้งท้ายไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่แล้ว

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราจะเข้าสู่การบรรยายในชุดนี้นะครับ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

ให้เราพูดพร้อมกัน “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

เรามาเริ่มดูถ้อยคำพระเจ้า ตามหนังสือเอเฟซัสก่อนนะครับ  ในหนังสือเอเฟซัสได้พูดถึงคริสตจักรต่างๆ ในสมัยนั้น ที่มาจากหลายๆ ชนชาติ ในคริสตจักรในเอเฟซัส คนที่เป็นคริสเตียนมาจากหลายเชื้อชาติ ซึ่งจะเรียกรวมเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ในหนังสือนี้นะครับ คือเป็นพวกยิวและพวกไม่ใช่ยิว  ซึ่งเรียกว่าชาวต่างชาติ

และในเนื้อหาสำคัญของหนังสือเอเฟซัส ไม่ว่าเราจะมาจากชนชาติไหน? ก็ตาม เป็นเชื้อชาติไหนมาก็ตาม เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสร้างเราขึ้นมาให้เป็นพระกายของพระองค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเตรียมเราไว้ สำหรับใช้เรา สำหรับงานรับใช้

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเจ้าเตรียมเราทุกคน ที่มาเชื่อพระเยซูแล้ว ให้เป็นผู้รับใช้พระองค์”

ไม่ว่าท่านจะคิดว่าท่านอายุมากขนาดไหน? ไม่ได้ทำอะไรเลย? อยู่บ้านเฉยๆ อธิษฐานก็น้อย พระเจ้าใช้ท่าน ถ้าพระเจ้าเลิกใช้ท่าน หมดแล้ว ให้ท่านพักผ่อน ก็คือให้ท่านทำอย่างไร? ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย ก็คือเอาท่านกลับบ้าน แต่ถ้าตราบใดที่ท่านยังหายใจอยู่ พระเจ้าก็ยังกำลังให้ท่านทำงานอยู่ ไม่ต้องไปคิดว่างานนั้น คืออะไร? พระเจ้าทำอยู่แล้วกัน เอเมนนะ

และถ้อยคำหลักที่เราได้ดูกันวันนี้นะครับ อยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:10 ซึ่งถ้าเราได้เรียนรู้อย่างละเอียด เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และได้เชื่ออย่างมั่นใจถึงความหมายของถ้อยคำนี้แล้ว ชีวิตท่านหรือชีวิตเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะครับ ความคิด ความอ่านของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ จะเปลี่ยนไปเลยนะครับ พระเยซูบอกท่านรู้ความจริง … ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ วันนี้เราจะมาเรียนรู้ตรงนี้ ลึกซึ้ง

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ

 

“เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้นะครับ ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “We are God’s masterpiece.   He has created us anew in Christ Jesus.”

คำว่า “ผลงานของพระเจ้า” ในพระคัมภีร์ตรงนี้นะครับ  พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า … ภาษาไทยนะครับ ใช้คำว่า “ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า” ก็คือฝีมือของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ท่านลองนึกภาพไปเรื่อยๆ ตามนะครับ เป็นการฝีมือของพระเจ้า

ภาษาอังกฤษ คือ “God’s masterpiece” มาจากคำในภาษากรีก ภาษาเดิมว่า “Poiema”

ท่านเป็น Poiema ของพระเจ้า … Poiema ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษที่เราคุ้นๆ กัน Poem  แปลว่าบทกวี  … บทกวีคืออะไร? คืออะไรบางอย่าง ที่มันเพราะพริ้ง เลิศประเสริฐศรี เขาจึงให้ชื่อว่าบทกวี

ท่านเป็นบทกวีของพระเจ้า … พระเจ้าที่สร้างมหาจักรวาลนี้ ทำการฝีมือ ก็คือชีวิตของท่าน

ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษากรีกก็ตาม ความหมายของถ้อยคำนี้ ข้อนี้กำลังบอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ หรือเป็นงานฝีมือของพระเจ้า ที่มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เรียกว่าผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ตามชื่อเรื่อง

พูดอีกครั้งหนึ่ง “ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า”

คำว่า “บทกวี” หรือ Poem ซึ่งแปลว่าผลงานชิ้นเอก สื่อให้เห็นถึงอะไร? ถึงงานที่เป็นศิลปะ เป็นผลงานที่บรรจงสร้างขึ้น มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีการทำซ้ำ ที่เรียกว่าเป็นแบบ ถ้าโดยทั่วๆ ไป ทางการค้า เขาเรียกว่า Hand made ไม่ใช่เป็นการผลิตแบบโรงงานซ้ำๆ กัน มีจำนวนเยอะๆ มีแม่พิมพ์ แล้วก็ปั้มๆ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาเรียกว่าทีละอัน ทีละตัว นี่พูดถึงสินค้านะ เพราะฉะนั้น พวกท่าน พระเจ้าผลิต สร้างทีละ … ปั้นทีละคน ทีละคนๆ เป็นแบบที่เราเรียกว่าเป็นแบบไม่มีใครเหมือนเลย และไม่เหมือนใคร

พูดพร้อมกัน “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? พระเจ้าสร้างแบบไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?”

ถ้าเราย้อนกลับไปดูในปฐมกาล ตอนเริ่มต้น ที่พระเจ้าสร้างบรรดาสรรพสิ่งต่างๆ เราจะเห็นได้เลยว่าวิธีการที่พระเจ้าสร้างสิ่งต่างๆ กับวิธีการที่พระเจ้าสร้างหรือปั้นมนุษย์นั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร? เรามาดูนะครับ

มาดูเหตุการณ์ที่เกิดในช่วง 5 วันแรก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆ บันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 1

วันที่ 1 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง”

วันที่ 2 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดแผ่นฟ้า ในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”

วันที่ 3 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดพืชพันธุ์บนแผ่นดิน”

วันที่ 4 พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดดวงดาวต่างๆ ขึ้นในแผ่นฟ้า”

วันที่ 5 พระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ  และนกนานาชนิด บินไปบินมาในท้องฟ้า”

แต่พอมาถึงวันที่ 6 ตอนที่พระเจ้าจะสร้างมนุษย์นั้น  ปั้นมนุษย์นั้น  มาดูว่าพระองค์ทรงทำอย่างไร?

พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้น ตามแบบเรา ตามอย่างเรา”

ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ แตกต่างเลยนะครับ เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนไหมครับว่าตอนสร้างอย่างอื่น พระเจ้าเพียงแค่สั่ง ตรัสก็คือสั่ง … สั่งให้มันเกิด มันก็เกิด ตรัสก็คือคำสั่งนะครับ

สมัยก่อน คนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? สั่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพาเราไปใกล้เคียงตรงนี้ ทำให้เราเห็นภาพว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆ ใส่เข้าไปในเครื่องจักรต่างๆ แค่พูดมันก็ยังทำตามเลย

ขึ้นไปในรถ บอก “โทรกลับบ้าน”

มันก็โทรกลับบ้านเลย ใช่ไหม?

“เปิด” มันเปิดเลย

“ปิด” มันปิด

พระเจ้าทำมาตั้งก่อนโน้น ท่านลองคิดดู ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว พระเจ้าสั่งตรัส สั่งเหล่านี้ เหมือนเป็นสิ่งของ ให้เกิด  สิ่งนั้นก็เกิด ตามคำสั่งของพระเจ้า แต่พอมาถึงมนุษย์ทรงบอกว่าเกิดมนุษย์ อย่างนี้เหรอ ไม่ใช่ บอกว่าอย่างไร?  เกิด ก็ไม่ใช่

พระเจ้าตรัสอย่างนี้ … สมมตินะ สมมติ นี่ผมใส่ความรู้สึกลงไป ตอนที่สร้างดวงอาทิตย์ บอก

“ดวงอาทิตย์เกิด” ดวงสว่างเกิด

พอสร้างมนุษย์นะ “ให้เรามาสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบอย่างเราดีไหม? เรามีลูกดีกว่าเนอะ”

เข้าใจหรือเปล่า?  เหมือนเศรษฐี อยู่ในครอบครัว คุยกับคนในบ้าน

ผมก็บอกว่า “ซื้อตู้เย็นมาสิ อยากได้ตู้เย็น”  เขาก็วิ่งไปซื้อตู้เย็น

“อยากได้สุนัขสวยๆ สักคู่หนึ่ง”  เขาก็ไปซื้อมา

เสร็จแล้ว ผมก็หันมาบอกภรรยา “เราอยากจะมีลูกนะ”

ใช่ไหม? ความรู้สึกมันต่างกัน  เหมือนกันเลยเนี้ย พระเจ้าก็อย่างนี้แหละ พระเจ้าก็ใช่วิธีนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า.-

“ให้เรามาสร้างมนุษย์ ให้เป็นเหมือนเรานะ”

ก็คือมาสร้างลูกเรา ให้เรามีลูก อย่างอื่นพระองค์ทรงสั่งให้มันเกิด แต่พอมาถึงมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้น โยบ 10:8 จึงบันทึกอย่างนี้นะครับ ในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ทำ” หรือ “ปั้น”

โยบ 10:8 “พระหัตถ์ของพระองค์ทรงสร้าง และทรงปั้นข้าพระองค์มา

 

ท่านเริ่มเห็นภาพว่าเราแตกต่างกับสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดอย่างไร?

อิสยาห์ 43:21 “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา”

 

ใช้คำว่า “ปั้น” ในหนังสือสดุดี ได้บรรยายให้เห็นภาพถึงฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า การฝีมือของพระเจ้า ในการบรรจงสร้าง มีลูก คือมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ให้เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เป็นบทกวีที่ทรงตั้งใจที่จะปั้นขึ้น สร้างขึ้นมา และทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะให้ผลงานแต่ละชิ้นของพระองค์ออกมาเป็นใคร? ทีละอัน พาท่านไปดูนะครับ ซึ่งตะกี้นี้ ก่อนจะอ่านสดุดีบทนี้ ให้ท่านพูดอีกที แต่ละอันๆ นั้นมันทำไม? มันไม่เหมือนใคร? และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

นี่คือตัวอย่างนิดหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ตั้งเป็นหลายพันปีว่าพระเจ้าสร้างอย่างไร? ท่านจะได้เห็นภาพว่าพระเจ้าสร้างทีละคนอย่างไร? นิดเดียวนะ แต่ความหมายลึกซึ้งมาก อยู่ในสดุดี 139:13-16 อ่านด้วยความลึกซึ้ง เห็นภาพนะครับว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? เหมือนเรามีลูก  เรารักลูกขนาดไหน? พระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าใด ที่รักเรามาก แต่ละคนๆ ซึ่งไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

สดุดี 139:13-16 “13 เพราะพระองค์ทรงสร้างส่วนลึกล้ำ ภายในตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา 14 ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์ ข้าพระองค์ทราบดี 15 โครงร่างของข้าพระองค์ ไม่ได้ซ่อนเร้นจากพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นในที่ลี้ลับ เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก 16 พระเนตรของพระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทุกวันคืนที่กำหนดไว้ สำหรับข้าพระองค์ ทรงบันทึกไว้ในสมุดของพระองค์ ก่อนที่วันเหล่านั้นจะมาถึง”

 

เหมือนไหม? เหมือนกันไม่มีผิด ตอนที่เราจะมีครอบครัว อยากจะมีลูก มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? เราเตรียมทุกอย่าง  ทุกคนไปซื้อมาก่อนแล้ว ซื้ออะไร? ซื้ออุปกรณ์ แล้วในที่สุด ก็ต้องไปเปลี่ยน เพราะนึกว่าเป็นผู้ชาย ดันเป็นผู้หญิง แต่รักหมดแหละ เห็นไหม?  เราก็เตรียมอย่างนี้แหละ นี่คืออะไร? นี่คือหัวใจของพระเจ้าที่สร้างเรามา พระองค์ทรงถักทอข้าพระองค์ขึ้น ในครรภ์มารดา ถักทอ

คุณเข้าใจคำว่า “ถักทอ” ไหม? ถักทอ แปลว่าทีละนิดๆ  ถักทอคำนี้เขาใช้กับคำว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกอะไร? ถักโครเชต์ ภาษาไทย ก็คือถักโครเชต์ เสื้อถัก เสื้อไหมพรมถัก มีใครไหมถักเร็วมากๆ แป๊บเดียวเสร็จ ถักแปลว่านาน ประณีต ทีละนิดๆ ถักไปเรื่อยๆ ตัวหนึ่งอาจจะใช้เวลา ตั้งเป็นปี เป็นเดือน ถักไปเรื่อยๆ นี่แหละ พระเจ้าสร้างเรา

พระคัมภีร์ต้องการให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าประณีตในการสร้างเราขนาดไหน?  พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนะ ที่ว่าสวยงามแล้วนะ ยังสู้ท่านไม่ได้เลย เพราะว่าพระองค์ให้ความสำคัญของท่านมากกว่านั้นตั้งเยอะ พระองค์ไม่ได้ถักทอดวงอาทิตย์ทีละนิดๆ  พระองค์สั่งให้มันเกิด มันก็เกิดนะ แต่ท่านคนเดียว พระองค์ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร? ผมไม่รู้

“ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์ น่าครั่นคร้าม”

สร้างท่านอย่างมหัศจรรย์ และน่าครั่นคร้าม แบบมันเหลือเชื่อ พูดง่ายๆ แบบเหลือเชื่อ

“เมื่อข้าพระองค์ถูกถักทอขึ้น ในห้วงลึกแห่งแผ่นดินโลก”

แอบไปทำอะไรบางอย่าง งานฝีมือ แบบไม่มีใครรู้เลย  ทำอะไร? สร้างท่าน แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนพระองค์เข้าไปในห้องส่วนตัว เข้าไปในห้องส่วนตัว ห้องแล็ปส่วนตัวเลย สร้าง ถักตรงนั้น ถักตรงนี้ เสื้อตัวนี้เสร็จเมื่อไร ไม่รู้ แต่ถักเป็นพิเศษ เสร็จออกมา ชื่อ “นคร” ตัวต่อมา ชื่อใคร? ชื่อท่านนั่นแหละ ท่านอาจจะถูกถักก่อน ผมว่าท่านอาจจะแก่กว่าผมแล้ว ท่านอาจจะถูกถักๆ ทีละตัวๆ ที่ไหน? ที่ส่วนล้ำลึก ก็คือที่ห้องส่วนตัวของพระเจ้า ผมอยากจะบอกท่าน พยายามให้ท่านได้รู้เรื่อง พาท่าน อธิบายภาษาง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นว่ามันแปลว่าตรงนี้ ส่วนลึกๆ มันหมายถึงห้อง ภาษาราชาศัพท์เขาเรียกอะไรนะ ห้องรโหฐานของพระองค์  ห้องล้ำลึกของพระองค์เงียบๆ ตรงนั้นแหละ ห้องส่วนตัว

“ไม่มีใครรู้ ลูกของฉัน น่ารักจัง ลูกเป็นอย่างไรหนอ”

เหมือนแม่ที่ดูลูกในท้อง แล้วก็คลำอยู่ตลอดเวลา เงียบๆ อยู่คนเดียว หน้าตาเป็นอย่างไรหนอ 9 เดือน คล้ายๆ อย่างนั้น

ยกมาให้ท่านดูทีละนิด เพื่อจะได้เห็นความมหัศจรรย์ ความรัก และการมีคุณค่าในตัวของท่าน ที่พระเจ้าได้ให้เอาไว้

“พระเนตรของพระองค์ ทรงเห็นข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าเป็นอะไร? พระเนตรของพระองค์ ก็คือพูดง่ายๆ ตาพระองค์เห็นเราตั้งแต่เรายังไม่เกิด เหมือนไหม? เหมือนลูกเราไหม? เรานึกภาพ ลูกเราคงเป็นอย่างนี้ๆ  พระเจ้าเห็นภาพก่อนแล้ว เหมือนศิลปินที่จะทำอะไรต่างๆ เขาต้องเห็นภาพ ในมโนภาพของเขา และเขาต้องเห็น เขาจึงจะจินตนาการตามภาพที่เขาเห็น เขียนอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตรงนี้ต้องสวยอย่างนั้น เหมือนเวลาผมแต่งเพลง ผมต้องคิดก่อนว่าเพลงนี้มันจะต้องเพราะอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ มันต้องเห็นอย่างนั้นก่อน ถึงจะทำทีหลัง ไม่ใช่ทำไปเห็นไป ไม่ใช่ มันต้องมีใจลึกๆ รักในสิ่งนั้น แล้วรู้ว่ามันคืออะไร? แล้วก็ทำให้มันเป็นไปตามภาพในจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าก็ทำกับเราอย่างนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเลย  และไม่ซ้ำแบบ

ถักนครเสร็จ ไปถักอีกคนหนึ่ง ถักเหมือนกันเลย อย่างนี้ไม่เรียก Masterpiece อย่างนี้ไม่เรียกว่าผลงานชิ้นเอก อย่างนี้เรียกว่าของโหล ปั้มเอานี้หว่า ของปลอม ตำรวจจับ อย่างนี้ของปลอม ถ้าของจริงไม่ใช่ แต่ละชิ้นไม่เหมือนกัน มันถึงมีราคาไง

ตอนที่อ่านเอเฟซัส 2:10 ที่บอกว่า “เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า” ใช่ไหมครับ? หรือภาษาอังกฤษบอกว่า “Masterpiece” อาจไม่ค่อยเห็นภาพชัดเท่าไร? แต่พอได้มาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้ คราวนี้ ทำไมท่านรู้แล้วว่าคำว่าท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของพระเจ้า ท่านพองตัวใหญ่เลยนะ รู้สึกหรือยังว่ามีค่า หรือว่ายังรู้สึกว่าไม่มีค่าเหมือนเดิม พูดมาตั้งนานแล้ว พูดให้ชื่นใจหน่อย มีค่าขึ้นไหม? เห็นแต่ละคนอกใหญ่ขึ้น ตะกี้ฟังไปตอนแรกๆ ทำไมเหี่ยวอย่างนั้น ตอนนี้รู้สึกฮึกเหิม

พูดพร้อมกันสิ “ฮึกเหิม”

รู้ว่าเรามีค่าอย่างไร? ใช่ไหม?

ปฐมกาลเมื่อตะกี้บอกว่าพระเจ้าสร้างอย่างอื่น ใช้คำว่า “ตรัส” “จงเกิด” ทุกอย่างก็เกิดขึ้น แต่พอสร้างมนุษย์ พระเจ้าบอกว่า “ปั้นและถักทอเขาขึ้นมา” พอเห็นภาพงานศิลปะไหม? อย่างที่ผมบอก อย่างนี้เรียกว่าศิลปะใช่ไหม?  แล้วก็ไม่ใช่งานฝีมือหรืองานศิลปะแบบทั่วๆ ไป  แต่เป็นงานศิลปะเป็นแบบ Masterpiece คือเป็นผลงานชิ้นเอก อย่างที่ผมบอกแล้ว ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

ทุกท่านคงรู้จักภาพนี้นะครับ ผมเอามาให้ท่านดู ภาพนี้คือภาพ … ภาพใครครับ? คุณน้าโมนาลิซ่า เขาเอาไปใช้ชื่อเยอะเลย คุณน้าบ้าง คุณป้าบ้าง แต่จริงๆ ภาพนี้คือภาพโมนาลิซ่า ดังมาก ใครเป็นคนวาดภาพ? ลีโอนาร์โด ดาวินชี แล้วท่านคิดว่าภาพโมนาลิซ่าที่เป็นต้นฉบับ  ที่วาดโดยดาวินชี จะมีมูลค่าสักเท่าไร? ต้นฉบับนะ  Masterpiece  ของก๊อปไม่เอานะ เอาแต่ของแท้มีอันเดียว  ดาวินชีไม่ได้ทำอย่างนี้ ไม่ได้ทำเยอะนะ ทำอันเดียว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? ไม่ทำซ้ำ นึกออกใช่ไหมว่ามีมูลค่าเท่าไร? มันมีค่ามหาศาล จนกระทั่ง ประเมินคุณค่าไม่ได้เลย  นี่ขนาดฝีมือมนุษย์นะ

ข้อมูลของภาพนี้ ก็คือโมนาลิซ่า วาดโดยลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ภาพหนึ่งที่รู้จักในฐานะของภาพของสุภาพสตรี ที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะหรือยิ้มแบบร้องไห้กันแน่ ปัจจุบัน ต้นฉบับของภาพนี้อยู่ในความครอบครองดูแลของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หามูลค่าไม่ได้เลย มากมายมาก ภาพนี้ เป็นภาพที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร?

          ท่านลองคิดดูนะครับ ขนาดศิลปินดัง ไมเคิล แองเจโล,  ดาวินชี ซึ่งแต่ละคนจะมีผลงานชิ้นเอก หรือ Masterpiece ของตนเองนะครับ   และผลงานชิ้นเอกของศิลปินเหล่านี้  ต้องเรียกว่ามีมูลค่ามหาศาลมากมาย ประเมินค่าไม่ได้ เพราะเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์หมดเลยนะครับ  แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่ท่านเป็นผลงานชิ้นเอก เป็น Masterpiece ของศิลปิน ผู้มีนามว่าพระเยโฮวาห์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้นี้ … เฉยๆ เลย  ไม่ปรบมือเลย ไม่ภูมิใจเลยเหรอ หรือภูมิใจจนกระทั่งตะลึง คิดอะไรไม่ออก

 

“ไม่นึกเลยว่าฉันจะมีค่ามากกว่าภาพโมนาลิซ่า ฉันมีค่ามากกว่ารูปบนผนังเพดานของเซนต์ปีเตอร์ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ ที่ไมเคิล  แองเจโลวาด ฉันมีค่ามากกว่านั้นเหรอ”

ใช่ บอกว่าใช่เลย เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น เมื่อท่านดูความงามของธรรมชาติ ใครเคยดูความงามของธรรมชาติบ้าง ทุกคนได้ดูหมดแหละ ดูมากดูน้อย แล้วแต่คนที่ไปเที่ยว หรือไม่เที่ยวเลย  ก็เห็น … เห็นความงามเยอะแยะมากมายไปหมด ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า สวยงาม ใครเป็นคนสร้างเหล่านั้น  แล้วท่านมีค่ามากกว่านั้นอีก

วันก่อนนี้ ผมได้ไปเล่นน้ำในทะเล โอโห้! แค่เห็นทะเล แล้วอากาศมันดี ทะเล คลื่นเล็กๆ ว่ายน้ำในทะเล ตอนเช้า สรรเสริญพระเจ้า ทำไมมันงดงาม ทะเลที่พระเจ้าสร้าง เมฆต่างๆ ประมาณสัก 9 โมงเช้า ทันทีทันนั้น ฝนไม่ตก แต่เหมือนกับฝนตก แต่มันไม่ตก ทันทีทันใดนั้น มันก็มีรุ้งน้ำ ครอบทะเล มองออกไปนอกฝั่ง ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  สวยไหม?  สวยหรือไม่สวย?  ท่านไม่เห็น ท่านรู้ได้อย่างไร?  ท่านรู้ ท่านเคยเห็นบ้าง มันเหลือเชื่อจริงๆ มันสวยมาก  นั่นคือหนึ่งในจำนวนที่เคยเห็นในชีวิต อย่างอื่นๆ อีกมากมายในธรรมชาติ ที่สวยงาม และพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ใครสร้าง? พระเจ้าสร้าง และสร้างเราสวยกว่านั้นอีกตั้งกี่เท่าก็ไม่รู้ เห็นภาพตัวเราเองอยู่กลางรุ้งเลย สร้างเหล่านั้น เพื่อให้สนับสนุนเรา

เราย้อนกลับมาที่ภาพโมนาลิซ่าอีกครั้ง เห็นไหม? สมมติพระเจ้าสร้างท่าน … ท่านเป็นโมนาลิซ่า ภาพนี้  รุ้งกินน้ำ หรือดวงดาว ดวงอะไรต่างๆ ที่ท่านบอกว่าสวยงาม เหมือนต้นไม้รางๆ ข้างหลังภาพ ท่านพอมองเห็นไหม? ทางขวามือสุดๆ เงาๆ ลึกๆ นั้น มันต่างกันกับความงามของโมนาลิซ่าไหม? ท่านพอเข้าใจไหม?  ที่ผมกำลังพูดให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างคุณค่าของท่านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งหมดว่ามันยิ่งใหญ่แล้วนะ ท่านใหญ่กว่านั้น ท่านสำคัญกว่านั้น ท่านมหัศจรรย์กว่านั้นตั้งเท่าไร?

แล้วท่านคิดว่าตัวท่านเอง ถ้ารู้อย่างนี้ ท่านมีค่าขนาดไหน? ควรจะเก็บท่านเข้าพิพิธภัณฑ์ไหม? ท่านมีค่ามากไหม? ไม่ต้องแต่งงานแล้ว เก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปเลยดีไหม? พูดเล่น อันนี้พูดเล่น ตะกี้นี้บอกของมีค่ามากจนขายไม่ได้  ต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมีค่ามากกว่านั้นเท่าไร?  ท่านลองคิดดู ถ้าท่านรู้อย่างนี้ แล้วแต่ละคนทำไม? ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

พูดอีกครั้งหนึ่ง  “ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร”

แต่ที่น่าเสียใจ ก็คือมีคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ที่ยังมีความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า หรือไร้ค่า ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาไงว่าเขา คือผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีคุณค่ามากมายมหาศาล ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ไม่มีการทำซ้ำอีกแล้ว มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ที่พระเจ้าสร้างและใส่ไว้ในชีวิตของคนๆ นั้น เอเมน รู้หรือยังตอนนี้ รู้แล้ว

ถ้าคริสเตียนไม่รู้ พอไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ก็คือไม่รู้ตัวว่าเรามีค่าขนาดไหน? เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า หลายคนก็เลยทำไหม?  ก็เลยเป็นคริสเตียนแล้ว มีคุณค่าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว หลายคนก็เลยพยายามที่จะหาหนทาง ทำให้ตัวเองมีค่าด้วยตัวเอง  เคยไหม? เราเคยทำไหม? หรือเราเคยเห็นใครทำไหม? ทุกคนมีส่วนอยู่ในการกระทำอย่างนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

หลายคนก็พยายามหาหนทาง สร้างค่าให้ตัวเอง ทั้งๆ ตัวเองมีค่าอยู่แล้ว คือคิดเองตามระบบโลกว่าต้องทำแบบนี้นะ ถึงจะเรียกว่าคนที่มีคุณค่า คืออะไร? คือต้อง … ภาษาไทยเขาเรียกว่าเสแสร้ง คุ้นๆ คำนี้ไหม? มาแล้ว ชักแรงแล้วนะ หลอกชาวบ้านเขา หลอก เสแสร้ง หลอกตัวเองด้วย หลอกชาวบ้านเขาด้วย มันไม่ใช่หลอกแบบหลอกลวง ไปขโมยเขา ไม่ใช่ ไม่ได้ความหมายนั้น นี่หมายถึงเสแสร้งให้คนยอมรับเรา ให้เรามีคุณค่าขึ้นมา

ไม่มีกำลังจะซื้อของแบรด์เนม รู้จักของแบรด์เนมใช่ไหม? ของแบรด์เนม ภาษาไทยเขาเรียกว่าของมียี่ห้อ พวกเศรษฐีเขาใช้กัน แต่เราเป็น “เศษ” ไม่มี “ฐี” แต่เราอยากจะใช้แบรด์เนม จะได้เข้าสังคมเขาได้ ก็ไปซื้อแบรด์เนมที่เป็นของปลอมมาใส่ อุตส่าห์ไปซื้อของปลอมมาใส่ เพื่อให้คนอื่นมองว่าเราก็ใช้แบรด์เนมเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าการที้ใช้แบรด์เนม จะทำให้เราดูมีค่าขึ้นมา ดูสวยขึ้นมา ดูดี มีฐานะ

พูดถึงฐานะยิ่งชัดเจน บางคนขับรถ ใช้รถ ไม่ได้ว่าใครนะ บางคนใช้รถราคารถมันเกินกว่าทรัพย์สินอยู่ อุตส่าห์ไปผ่อนมา เกินกำลังมาก รถถูกกว่านี้ก็มี แต่เราจะใช้หรูๆ เพราะจะได้มีระดับ

นี่คือไม่รู้ตัวตน ทุกคนเป็นหมดล่ะ เป็นมากหรือน้อย นี่ยกตัวอย่างนิดๆ หน่อยๆ เพราะผมกลับบ้านไม่ได้ แต่ละคนตาเริ่มเขียว ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้ว ผมเลยไม่อยากยกเยอะ

บางคนชัดเลย อันนี้โดนหลายคนเลย โทรศัพท์มันก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นอะไรเลย เปลี่ยนรุ่นใหม่ เปลี่ยนรุ่นใหม่ เพราะอะไร? เพราะเพื่อนๆ ที่ห้องเรียนเขาใช้กันอย่างนี้ทั้งหมด เห็นไหม? นี่คืออะไร? ก็ไม่รู้คุณค่าของตัวเขาเอง  แล้วคนที่พูด คือใคร? ไม่รู้ ในห้องเรียนเขาพูดกันอย่างนี้  ว่าอย่างนี้มันเชยแล้ว ปรากฏว่าในห้องเรียนนั้น ไม่มีใครเป็นคริสเตียนสักคน มีตัวเขาเองเป็นคริสเตียน เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองมีค่าที่สุดกว่านักเรียนที่เหลือ ที่พูดทั้งหมดเลย เขาควรจะบอกนักเรียนที่เหลือบอกว่า

“ฉันมีค่ามากเลย พวกเธอควรมีพระเยซูนะ ฉันมีพระเยซูแล้ว ฉันมีค่ามาก เพราะฉันเป็นผลงานชิ้นเอกในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่แล้วนะเนี้ย สวยงามขนาดไหนนะ”

แทนที่จะพูดอย่างนี้ เขาไม่รู้ตัวเอง เขากลับไปพูดว่าเขาอยากจะอยู่กับเพื่อนๆ … เพื่อนๆ บอกในสังคมนี้เขาต้องใช้โทรศัพท์ 5 พลัส 6, 7 พลัส เราก็พลัสกับเขาบ้าง? พลัสไปพลัสมา เสียเงินเปล่าๆ ใช้อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ใช้นิดๆ หน่อยๆ แต่ดันไปซื้อแพง ไม่ได้ว่าใครนะ

เห็นไหม? เพราะเข้าใจผิด คิดว่านั่นคือตัววัดคุณค่าของเราเอง ทำให้เราเองมีคุณค่าขึ้นมา เขาเรียกว่าเสแสร้ง มันเป็นทุกคนแหละ มากหรือน้อยเท่านั้นเอง มันเป็นทุกคน มนุษย์เราทุกวันนี้ มันมองเห็นสิ่งต่างๆ  เหล่านี้ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราถูกหลอกไง?

เพราะฉะนั้น การมาเรียนรู้เรื่องพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเจ้า … พระเจ้ามองเราอย่างไร? พระเจ้าสร้างเราอย่างไร?  มันทำให้เรารู้คุณค่าของเราเอง และเมื่อเรารู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครเลย เราจะทำไม? เราจะภูมิใจ เราไม่ต้องสร้างมูลค่าของเราเองขึ้นมา เพราะพระเจ้าให้เรา และมูลค่าเราเป็นเพชร เป็นพลอย เอเมน ใช่ไหม?

          ท่านรู้ไหม พระเจ้าพูดอย่างไร? เมื่อมองเห็นท่าน พระเจ้าบอก ภูมิใจในผลงานชิ้นนี้มาก ภูมิใจมาก ตรงนั้นก็สวย ตรงนี่ก็สวย เหมือนผมแต่งเพลงมา ผมก็โอโห้! เพราะมาก ใครจะว่าอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมแต่งเอง ผมก็บอกว่าเพราะมาก เพราะจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าบ้าตัวเอง หลงตัวเอง แล้วจะให้ไปบ้าคนอื่นทำไมล่ะ  เพราะเราสร้างของเราขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่รู้ใครจะดีหรือไม่ดี ไม่รู้ แต่เพลงที่เราแต่ง ที่เราร้อง มันเพราะที่สุดของเราแล้ว เอเมน  เพราะอะไร?  เพราะเราไม่ได้ลอกใคร มันเป็นของเราเอง เป็นของแท้

          “ใครจะร้องดีกว่านี้ เป็นนักร้องยอดเยี่ยม นิยมจากเวทีไหนไม่รู้ ร้องยังไง ก็เพราะสู้ฉันไม่ได้หรอก”

 

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันเป็นคนสร้างเพลงนี้เอง เอเมน”

พระเจ้าก็เหมือนกัน สร้างท่าน เป็นผลงานของพระองค์เอง ไม่มีใครดีกว่าท่านอีกแล้ว เข้าใจไหม? ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันว่าคนนี้สวยกว่าๆ

“สวยสู้ฉันไม่ได้ แล้วกัน  (แบบเฉพาะของฉันนะ) ที่พระเจ้าสร้าง”

เข้าใจไหม?  สังคมบอกอย่างนี้สวยกว่า ไม่ใช่ ไม่ต้องไปฟังสังคม ฟังพระเจ้าพูด พระเจ้าบอก

“อย่างเธอต้องแต่งอย่างนี้  ตัวไม่ต้องสูงมาก”

อะไรอย่างนี้  ถูกไหม? เราก็ไม่ต้องไปตัดขา พยายามต่อขาให้ยาว ให้จมูกเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำจมูกมากกว่านี้  ก็แค่นั้นแหละ พระเจ้าบอกสวยมาก สังคมเขาจะว่าอย่างไร? เรื่องของเขา  แต่พระเจ้าบอกไว้แล้ว ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน  “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

พูดตามผมนะครับ “พระองค์ภาคภูมิใจในนคร …. (ใส่ชื่อท่าน) อย่างมาก พระองค์ภาคภูมิใจในผลงานชิ้นเอกคุณนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผลงานชิ้นเอก พระองค์ภาคภูมิใจในนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มากเลย  ทำไมลูกคนนี้หล่อ (สวย) อย่างนี้”

ใส่ชื่อท่าน หัวเราะทำไมล่ะ  จะให้ผมพูดอย่างไร?  พูดสิ สวยๆ หล่อ ไม่กล้าพูดอีก ท่านยังไม่มั่นใจตัวเองเลย พระเจ้ามั่นใจกว่าท่านมาก พูด ไม่มั่นใจอีก แสดงว่าท่านถูกสังคมหลอกนานแล้วสิ หลอกมา 60, 70 ปีเลยใช่ไหมว่า “ไม่หล่อๆ” เลยไม่กล้าพูด “ไม่สวยๆ” ไม่กล้าพูด วันนี้เปลี่ยนใหม่ ความจริงมาทำให้เป็นไทแล้ว The truth shall make you free. ก็คือความจริงทำให้ท่านเป็นอิสระ ท่านนะสวย, หล่อที่สุดแล้ว  บอกสิ  ไม่กล้าพูดอีก

“สวย, หล่อกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นแบบเฉพาะของฉัน” ใช่ไหม?

เพราะถ้าเราสามารถเชื่อและมั่นใจว่าเราเป็นใครในพระเจ้า เชื่อว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า เรามีคุณค่ามากมายมหาศาล มากกว่ารูปโมนาลิซ่าเมื่อตะกี้นี้ เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องดิ้นรน ไม่พยายามที่จะเสแสร้งหลอกคนอื่น เราก็จะเป็นตัวของเราเองมากขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้ และคุยกันบ่อยๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือเรียกว่าผลงานชิ้นเอกที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดดังๆ เลย “ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เพราะฉะนั้น เราควรจะมีความเชื่อ และมั่นใจในลักษณะเดียวกันกับที่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนไทยหรือเปล่า?  ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? ถามจริง? จริง มั่นใจไหม? ถามอีกที ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า? มั่นใจขนาดไหน? คิดในใจว่าที่ท่านพูดว่าจริงเมื่อตะกี้นี้ว่า

“ฉันเป็นคนไทย”

ท่านมั่นใจขนาดไหน?  ท่านเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่ไม่มีใครสวย ไม่มีใครหล่อกว่าท่านอีกแล้ว ท่านมั่นใจไหม? มั่นใจ … มั่นใจกว่าตะกี้นี้ไหม? เท่าที่ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนไทยไหม?  เท่ากันไหม? คิดเองก็แล้วกัน กลับไปบ้าน ไปพูดหน้ากระจกว่าท่านมั่นใจไหม? ถ้าท่านมั่นใจพูดไปเลย  ต่อหน้าคนมหาศาล ท่านสามารถพูดได้ไหมว่าท่านเป็นไทย?

สมมติว่าให้ท่านขึ้นไปบนธรรมาส หรือบนเวที ท่านสามารถพูดได้ไหมว่า.-

“ผมเป็นคนไทย” หรือ “ฉันเป็นคนไทย”

สามารถไหม? สามารถ ท่านขึ้นไปเวทีเดียวกัน บอก.-

“ฉันเป็นคนสวยที่สุด” กล้าไหม?

เห็นไหม? ไม่กล้า ทำไมล่ะ  อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะ เราพูดให้ฟัง อยากให้เราเห็นภาพที่แท้จริงของเรา ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ไม่ได้ว่าใคร? ผมก็เป็น แต่เรามาเรียนรู้ที่เราจะฝึกฝน ที่เราจะเป็นน้อยหน่อยไง เข้าใจใช่ไหม?  ไม่ใช่ว่าพอพูดเสร็จ ต่อไปนี้ผมไม่ต้องโกรกผม … ผมก็จะไปโกรกเหมือนเดิม ทำไมหล่อ แล้วไปโกรกทำไม? วันนี้ คือวันที่พระเจ้าจัดไว้ว่าโกรก ก็ทำไปสิ แต่มั่นใจในตัวเอง  มันไม่ได้สวยขึ้นหรอก พระเจ้าทำให้สวยอยู่แล้ว โกรก แล้วเราดูดีขึ้น เราเองนะดูดีขึ้น ใจเราสบายใจขึ้น ถึงไม่โกรกมันก็ดีอยู่แล้ว แต่โกรก เราสบายใจขึ้น ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิมเรา เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนั่น นครก็ยังเป็นนครเหมือนเดิม จะนครผมขาวหรือนครผมดำ มันก็นครคนเดิม ที่พระเจ้าสร้างเป็น Masterpiece เป็นคนที่ไม่เหมือนใคร เป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน และ … ที่สุดเลย  ท่านก็ไปเติมของท่านแล้วกัน เข้าใจใช่ไหมครับ?  ผมจะบอกว่าเราอยู่ในกระทะเดียวกัน ไม่ได้พูดเพื่อจะไปบอกใครว่าใครแย่กว่ากัน หรือเราแย่กว่าใคร เราไม่มาเปรียบเทียบกันแล้ว เราเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าสร้างทุกคน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน จึงไม่มาเปรียบเทียบกันไง เปรียบเทียบกันไม่มีประโยชน์ เปรียบเทียบกันได้อย่างไร? ใครสวยกว่ากัน? ภาพโมนาลิซ่ากับภาพของไมเคิล แองเจโล เปรียบไม่ได้  เพลงไหนเพราะกว่ากัน ต่างคนต่างเป็นของแท้ เพลงนี้กับเพลงนี้ เทียบกันไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน

เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจ ให้เรารู้ว่าเรานั้นมีค่าที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ให้เรามั่นใจเหมือนที่เราพูดกับผู้คนทั้งหลาย 100% ว่าเราเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาเราจะเหมือนคนต่างด้าว แต่เราก็ยังเป็นคนไทย จะมาชี้อะไรต่างๆ เราก็อาจจะเกรี้ยวกราดกับตำรวจ

“ฉันเป็นคนไทย ไม่รู้หรือไง”

“ทำไมหน้าตาเหมือน …”

“เหมือนอย่างไร ฉันก็ยังเป็นคนไทย”

มั่นใจไหม?  เหมือนกัน

“ฉันเป็นการฝีมือของพระเจ้า สวยที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้ว ใครจะพูดอย่างไร ฉันไม่รู้หรอก”

เอเมน … เข้าใจใช่ไหม?

อย่างบางคนที่เกิดมามีส่วน หรือลักษณะในร่างกายที่เสียหายไป จงมั่นใจว่าพระเจ้าสร้างท่านมาอย่างนั้น ท่านก็เป็นชิ้นพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามาก และถ้าเรารู้อย่างนี้ ท่านคิดดู ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะเห็นคุณค่า

“พระเจ้าสร้างเรา เพราะมีความต้องการอะไรบางอย่างในชีวิตของฉัน สร้างฉันเพื่ออะไร? เพื่อจะใช้ฉันในอนาคต ถ้าฉันไม่ตาบอด ฉันก็อาจจะแต่งเพลงนี้ไม่ได้หรอก”

เข้าใจใช่ไหม?

“ถ้าฉันไม่เป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็จะไม่สามารถใช้ฉันให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นได้”

มันต้องมีเหตุอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เราเป็นอะไรบางอย่าง เพื่อพระเจ้าจะใช้เราไง เอเมน … เอเมนไหม?

ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วพูดตามผมนะ พูดด้วยความมั่นใจ เหมือนที่ท่านบอกว่าท่านเป็นคนไทย? เข้าใจใช่ไหม? เข้าใจความรู้สึก สภาพที่ว่าถ้าใครมาบอกท่านเหมือนคนต่างด้าว ท่านจะบอกเขาว่า

“ฉันเป็นไทย”

ท่านมั่นใจมาก ให้ท่านพูดอย่างนั้นนะ พูดตามนะครับ ใส่ชื่อท่านเอง เวลาผมใส่ชื่อผม

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า”

นี่คนไทยหรือเปล่าเนี้ย ทำไมตอบแค่นี้เอง  พูดแค่นี้เองเหรอ เขาบอกว่าท่านเป็นต่างด้าว ไม่ให้ท่านเข้าเมือง ไม่ให้เข้าประเทศนี้แล้วนะ ท่านจะตอบเขาอย่างนี้  ไม่ให้ท่านเข้าแล้วนะ รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ ท่านเข้าใจไหม? ให้ท่านพูดด้วยความมั่นใจว่าตอนนี้ มีความรู้สึกว่าท่านกำลังไปเมืองนอกกลับมา  เขาไม่ให้ท่านเข้าเมือง เขาบอกว่าท่านเป็นคนต่างด้าว ท่านบอกเขาว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นคนไทย”

พูดนะ พูดชื่อท่านนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์ ลักษณะเฉพาะตัวนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หล่อ (สวย) ที่สุดแล้ว หล่อ (สวย) กว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) แก้วตา ดวงใจของพระเจ้า”

คืออยากให้ท่านมีความมั่นใจ เอาอย่างนี้ไปพูดหน้ากระจกบ่อยๆ ได้ไหม? ได้ อย่าให้ใครฟังเหรอ ใครจะฟังช่างเลย มันเรื่องจริง ใช่ไหม? นะ เอาไปพูดบ่อยๆ หมั่นพูดอย่างนี้เสมอ  แล้วก็ติดตามตอนต่อไป  ตอนโน่นตอนนี้ต่อไป ในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นตัวตนในพระคริสต์อย่างไร? เอาไปพูด … พูดให้เกิดความมั่นใจ ถ้าเราไม่พูด เราจะกลัวโน่นกลัวนี่ แล้วเราก็ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านเขา เพราะเรามีค่ามากที่สุดแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าสร้างเราอย่างมีคุณค่าในชีวิตจริง เราอาจจะขับรถเก่าๆ หรือแม้กระทั่งไม่มีรถขับเลย ต้องนั่งรถเมล์ เราก็มีค่ามากมายมหาศาลสำหรับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจที่พระองค์รักที่สุดแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าท่านจะนั่งรถเมล์หรือขี่รถเบนซ์ พระเจ้าสร้างท่านพิเศษเฉพาะสำหรับท่าน เอเมน

วันนี้ให้เรามั่นใจตรงนี้นะครับว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่มีค่ามากมายมหาศาล พระเจ้าสร้างท่านด้วยความระมัดระวัง ด้วยความรักทะนุถนอม ด้วยความทุ่มชีวิตของพระองค์ลงไป เพื่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะท่านคนเดียวเลยนะ ท่านอย่าคิดว่าท่านนิสัยตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี หน้าตาตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี พระเจ้าบอกดี โอเค ใช้ได้ ยอดเยี่ยมเลย ดีๆ เชื่อให้ได้อย่างนี้ เหมือนที่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย แล้วการดำเนินชีวิตทุกอย่างจากนี้ต่อไป ท่านจะเปลี่ยนไป ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะท่านรู้คุณค่าของตัวเองว่า.-

“พระเจ้าสร้างฉันอย่างไร? ฉันอยากจะสรรเสริญพระเจ้าที่สร้างฉันอย่างงดงามอย่างนี้ เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************