คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2015
เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”
ตอน 3 “เราเป็นวิหารของพระเจ้า”
(You are a temple God)
โดย นคร เวชสุภาพร
ตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 3 … ตัวตนในพระคริสต์ วันนี้เป็นตอนที่ 3 แล้ว สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่องในพระคริสต์ เราได้มีส่วนธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ “Divine Nature” ผมได้เล่าย้อนหลังถึงตั้งแต่ปฐมกาลว่าพระเจ้าทรงสร้างบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร? ให้มีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? ซึ่งสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ที่มีชีวิต สรุปแล้ว ได้แก่พืช สัตว์ และมนุษย์ แตกต่างกันอย่างไร?
พืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกาย
สัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกายและความคิดจิตใจ
มนุษย์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกาย และความคิดจิตใจ และวิญญาณ
บางคนบอกมีวิญญาณ แต่ผมอยากบอกว่าไม่ใช่มีวิญญาณ แต่มันสำคัญกว่านั้น มันเป็นวิญญาณ
ให้เราพูดพร้อมกัน “เป็นวิญญาณ … มนุษย์เป็นวิญญาณ”
ไม่ใช่มีวิญญาณ เพราะเราบอกว่ามีวิญญาณ แสดงว่าร่างกายสำคัญกว่า อยู่ตลอดไหม? ไม่ตลอด อะไรอยู่ตลอด วิญญาณ เพราะฉะนั้น ควรจะเป็นวิญญาณและมีร่างกาย มันกลับกันนะ มนุษย์เป็นวิญญาณ และมีร่างกาย มีความคิดจิตใจ
วิญญาณ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Spirit ก็คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทุกชนิด ที่พระเจ้าทรงสร้าง
พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ตามพระฉายของพระองค์ มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระองค์ คือพระเจ้า และมนุษย์เป็นวิญญาณ เพราะมีส่วนของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้านั่นเอง
พระคัมภีร์ใช้คำว่า “Spirit of life” แปลว่า “ลมหายใจแห่งชีวิต” คือวิญญาณแห่งชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าระบายสู่มนุษย์ ทำให้มนุษย์เกิดมาเป็นวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง แต่หลังจากที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ทุกอย่างก็กลายเป็นตรงกันข้ามหมดเลย
อย่างเช่น ร่างกายจากไม่ตาย ก็ต้องกลายเป็นตาย ความคิดจิตใจที่ดีงาม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ก็กลายเป็นชั่วร้าย วิญญาณก็ต้องตาย ถูกตัดขาดออกจากความสัมพันธ์ของพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ในทางวิญญาณ ทางวิญญาณ ก็คือตัวจริงๆ ของเรา ตัวจริงๆ ของมนุษย์ พระเยซูมาไถ่บาปให้กับตัวจริงๆ ของเรา … เราก็ได้กลับสู่สภาพเดิม คือสภาพเริ่มต้นที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ ตามพระฉายของพระองค์ และมีชีวิตเหมือนพระองค์ นั่นเอง กลับมาเหมือนเดิม
ยังจำตารางที่ผมเปรียบเทียบให้ได้ไหมครับ? เรามาดูตารางกันนิดหนึ่ง เพื่อย้อนความจำ เดิมมนุษย์เป็นอย่างไร? พอตกลงไปในความบาปแล้วเป็นอย่างไร? พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมเป็นอย่างไร? ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วผมได้บอก อธิบายอย่างละเอียดเลยว่านี่คัดมาจากจำนวนหนึ่งในพระคัมภีร์ทั้งหมด เพื่อสรุปให้สั้น เห็นชัดๆ เป็นตารางเลย ซึ่งวันนี้จะไม่ลงรายละเอียด เพียงแต่มาทบทวนเท่านั้นเอง ดูตามตารางไปนะครับ
เดิม | มนุษย์ล้มลงในความบาป | พระเยซูมาไถ่บาป |
สะอาด บริสุทธิ์
ปกคลุมด้วยพระสิริ ติดต่อพระเจ้าได้ มีชีวิตนิรันดร์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในสวรรค์ ตาและหู เปิด วิญญาณครบบริบูรณ์ พระพรจากพระเจ้า |
สกปรก มีมลทิน
พระสิริหายไป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตายนิรันดร์ อยู่ในอาณาจักรความมืด อยู่ในความพินาศ (นรก) ตาบอด หูหนวก ป่วยทางวิญญาณ ถูกสาปแช่ง |
สะอาด บริสุทธิ์
เต็มไปด้วยพระสิริ คืนดีกับพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในสวรรค์ มองเห็น ได้ยิน วิญญาณหายป่วย หลุดพ้นจากคำสาป |
เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม
พอมนุษย์ล้มไปในความบาป ก็กลายเป็นสกปรก มีมลทิน
พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ กลับมาเหมือนเดิม คือสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนเดิม
คำเหล่านี้ จะเป็นคำที่อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนะ คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ผมจะพยายามเอาคำที่คุ้นๆ ในพระคัมภีร์มาใช้ เมื่อไรท่านอ่านพระคัมภีร์ ส่วนตัวของท่าน เมื่อท่านอ่านพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ ท่านเห็นตัวนี้ ท่านจึงจะเข้าใจ อ๋อ!
ยกตัวอย่าง ถ้าท่านเห็นคำว่า “มลทิน” ท่าน อ๋อ! รู้แล้ว มลทินคืออะไร? เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านเห็นคำว่า “บริสุทธิ์” ท่าน อ๋อ! มนุษย์เป็นอย่างไร? ในพระเยซูแล้ว เรากลับมาบริสุทธิ์อย่างไร? ชอบธรรม คืออะไร? ซึ่งคำเหล่านี้ ศัพท์เหล่านี้อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม
เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์ถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า
พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป ก็กลายเป็นพระสิริของพระเจ้าหายไป
พระเยซูมาไถ่บาปให้มนุษย์ … มนุษย์ก็กลับมาเต็มไปพระสิริของพระเจ้าเหมือนเดิม
ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ติดต่อกับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ทุกวัน ตลอดเวลา
มนุษย์ล้มลงไปในความบาป กลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดกับพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้
แต่พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ … มนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า คืนดีกัน คุยกันได้ทุกวัน
ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์มีชีวิตนิรันดร์ แบบพระเจ้า
พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ล้มลงไปในความตาย กลายเป็นตายนิรันดร์
พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ กลับคืนมามีชีวิตนิรันดร์
ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่ในความสว่าง หรือเรียกว่าอาณาจักรสว่าง
มนุษย์ล้มลงไปในความบาป จึงกลายเป็นไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด
พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสุข อาณาจักรแห่งความสว่างอีกครั้งหนึ่ง
ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่ในสวรรค์ที่เรารู้จักกันดี เอเดนนั่นแหละ คืออาณาจักรสวรรค์
มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ต้องถูกไล่อัปเปหิออกไปจากสวรรค์ไป ไปอยู่ในที่นี่หนึ่ง ที่พระคัมภีร์เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก
พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้กลับมาอยู่ในสวรรค์ เหมือนเดิม
ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตาทางฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เปิดออก ได้ยินเสียงพระเจ้า ตาก็เห็นพระเจ้า เห็นในเรื่องโลกวิญญาณชัดเจน
แต่พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่าตาบอด หูหนวกทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้รู้เรื่องทางฝ่ายวิญญาณเลย มัวไปหมดเลย
พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ … มนุษย์ถึงกลับมา มองเห็น ได้ยินฝ่ายวิญญาณ ได้ยินเสียงพระเจ้าเหมือนเดิม
ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ วิญญาณของมนุษย์ เรียกว่าครบบริบูรณ์ สมบูรณ์นะสมบูรณ์
แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ล้มลงไปในความป่วยทางวิญญาณ พิการในวิญญาณ ป่วยทางวิญญาณ
พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว ไม่ป่วยอีกต่อไป วิญญาณกลับคืน แข็งแรงดีแล้ว เอเมน
พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์ได้พรจากพระเจ้า เพราะอยู่กับพระเจ้า
พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป หลุดจากพระเจ้าไป ตรงกันข้ามกับพร เข้ามาทันที คือคำสาปแช่ง ต้นมงต้นไม้กลายเป็นหนาม ทำมาหากินลำบากลำบน
พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมาสู่พระพรของพระเจ้า หลุดจากคำสาปแช่ง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน รับเอาคำสาปแช่งของเราไปแล้ว
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตามตารางนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่วิญญาณก่อน ที่วิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงของเรา ณ วินาทีที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ วินาทีที่เรารับเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามตาราง เมื่อตะกี้นี้ ทันทีทันใดเล
มนุษย์มี 3 องค์ประกอบใช่ไหมครับ คือร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับเชื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไหนขึ้น พระเยซูไถ่เราที่ไหน? ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ทบทวนครั้งที่แล้ว
- ที่วิญญาณ ใช่ไหม? ตัวจริงเรา ที่วิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทันทีปุ๊บ วิญญาณเปลี่ยนทันทีเลย เปลี่ยนใหม่ทันทีเลย
- ที่ความคิดจิตใจ เกิดอะไรขึ้น ความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็ได้ประทาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาเป็นพี่เลี้ยง ให้มาดูแลเรา เป็นกำลัง เป็นสติปัญญา ให้เราสามารถค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเราไปทีละนิดๆ ทีละหน่อย หนึ่งในนั้น ก็คือนำพาเรามาโบสถ์ มาวันอาทิตย์ เพื่อเราจะได้ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเราไป เหมือนชีวิตเก่านั่นเอง แล้วต่อไปอะไร? ต่อไปที่ร่างกาย
- ที่ร่างกาย … ที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไหม? มีไหม? มี เราจะได้
พูดพร้อมกันว่า “จะได้”
ไม่ใช่เราได้แล้ว เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอก่อน รอให้จากโลกนี้ก่อน คือออกจากร่างนี้ก่อน เพราะฉะนั้น นี่คือใครๆ ก็อยากจะไป จึงเรียกว่าได้กำไร ตายจากโลกนี้ไป ได้กำไร เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป เตรียมตัวไปรับร่างกายใหม่ เอเมน
นี่คือสรุปครั้งที่แล้ว นี่คือบทสรุปการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 2 มีชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”
“ในพระคริสต์ ฉันมีส่วนเข้าไปใน Divine Nature มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า”
และวันนี้เราจะมาดูกันต่อ ว่านอกจากการได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ มีอะไรอีก ได้อะไรอีก เมื่อตอนเรามาเชื่อพระเยซู ตอนนี้เราได้อะไรมาบ้าง? ตัวตนจริงๆ เราเป็นใคร? ได้อะไรบ้าง? เมื่อเราได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราก็ได้มาอยู่ในบ้านเดียวกันกับพระเจ้า นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น บ้านเดียวกัน เหมือนกัน เหมือนอะไรรู้ไหม? พระเยซูบอกอย่างไงรู้ไหม? พระเยซูบอกว่าใครๆ ก็ตามว่าพระองค์จะมาสำแดงอัศจรรย์ ไม่ใช่สำแดงอัศจรรย์ พระองค์จะมาสำแดงสวรรค์ให้กับพวกเราทั้งหลาย ที่เดินอยู่บนโลกนี้
คนเขาถามว่า “แล้วสวรรค์เป็นอย่างไร?”
พระเยซูยกตัวอย่างๆ มีตัวอย่างหนึ่ง พระองค์ทรงยกตรงนี้ สวรรค์เป็นเหมือนอะไร? เป็นเหมือนลูกา บทที่ 15 เป็นเหมือนบุตรหลงหายไป บุตรของมหาเศรษฐี
“อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ไม่สนใจพ่อแล้ว แบ่งสมบัติมา ฉันจะไปแล้ว”
พ่อก็จะทำอย่างไงได้ เขามีสิทธิ์ พ่อไม่ได้บังคับเขาเป็นทาส เอาไปเลย พระเยซูเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บุตรคนนั้น ก็เลยเอาทรัพย์สมบัติจากพ่อไป แล้วก็ออกนอกบ้านไป ไปใช้ชีวิตเกเร ยุ่งวุ่นวายในอบายมุก จนกระทั่งหมดเกลี้ยง ทรัพย์สินเกลี้ยง จนไม่มีอะไรจะกินแล้ว ต้องไปเลี้ยงหมู ทุกข์ทรมานมาก ทรมานอย่างแสนสาหัส ในชีวิต นึกขึ้นมาได้ว่า.-
“สมัยก่อนที่อยู่บ้านพ่อ … พ่อเราเป็นมหาเศรษฐี ขนาดคนใช้นะ ขนาดทาสในบ้านของเรานะ ยังมีกินดีกว่านี้เลย ไม่ได้กินข้าวหมูอย่างนี้ ไม่ได้ทรมานอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เรากลับไปหาพ่อเราดีกว่า อย่างน้อยเราไปขอเป็นทาสก็ยังดี เราไม่กล้าเข้าไปสู่หน้าพ่อเรา เพราะเราแย่มากตอนนั้น เราจะขอพ่อยกโทษให้ลูกด้วย ขอการเป็นทาสยังดี ขอข้าวของคนรับใช้ในบ้านมาทาน ก็พอแล้ว”
ปรากฏว่าเด็กคนนี้ ก็เลยขอกลับไปบ้าน ไปถึงบ้านปุ๊บ เจออะไร? ยังไม่ทันถึงบ้านเลย ถึงแค่หน้าบ้านเอง เจอไม้กวาดไล่ ไม่ใช่ เจออะไร? เจอหนังสติ๊กยิง ไม่ใช่ นั่นมันคนๆ พระเยซูเล่าให้ฟัง นี่ว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ พ่อเห็นแต่ไกล ยังไม่ทันเข้าบ้านเลย
“ลูกเรานี่หว่า”
ท่านคิดดูสิ เห็นแต่ไกล ยังจำได้ว่าลูก แสดงว่าพ่อทำไม? พ่อคิดถึงลูกตลอด
“ลูกเรากลับมา”
ไม่ได้คิดโกรธอะไรต่างๆ เลย แสดงว่าคิดอยู่ตลอดเวลา คิดถึงลูกตลอดเวลา เมื่อไรลูกจะกลับมาบ้านสักทีหนึ่ง กลับมาบ้านสักที บัดนี้ลูกเรากลับมาแล้ว ดีใจใหญ่ ลูกก็กลัวจะตาย โดนแน่ โดนไม้เรียว โดนไล่แน่ เปล่า พ่อกลับรับไว้อย่างดีเลย แล้วทำไม? ลูกกะว่าจะขอกินข้าวนิดๆ หน่อยๆ ก็ปรากฏว่าพระเยซูเล่าให้ฟังว่ากลับความคาดหมายของลูกอย่างตาลปัดเลย พ่อมาถึงปุ๊บ พ่อสวมกอด ไม่ได้ว่าอะไรลูก … ลูกจะขอโทษ ไม่ต้องขอโทษ ขึ้นมากอดๆ … กอดเสร็จทำอย่างไร? เรียกคนใช้ ไปหยิบเสื้อคลุม แหวนมาใส่ให้เขา
เสื้อคลุม แหวน คืออะไร? คือตำแหน่งของเขาเหมือนเดิม คือเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม เหมือนก่อนเขาไป อภัย ลูกไม่ต้องไปพูดหรอกว่ากลับมาเป็นทาส ไม่ใช่ แต่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอกว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูไถ่เราให้กลับมาเหมือนเดิม คือเรากลับไปอยู่ในบ้านเดิมของเรา ที่มาตั้งแต่เกิด คือบ้านเรา คืออยู่ในสวรรค์ อยู่กับใคร? อยู่กับพ่อเรา ก็คือพระเจ้า พระบิดา เหมือนตัวอย่างตะกี้นี้บอก เพราะพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ใครๆ ก็รู้ ตอนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราก็รู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทุกคนตอบพร้อมกันเลยว่าทุกคนในโลกนี้ รู้หมด พระเจ้าก็ต้องอยู่ที่สวรรค์สิ ตอนนี้เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว และตัวเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? ตัวเราตอนนี้ เรานั่งอยู่ที่ไหน? เราดำเนินชีวิตบนโลก เอาล่ะสิ ตะกี้ยังเพลินๆ อยู่ แล้วมาบอกว่าอยู่บ้านเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? ตอนนี้อยู่บนโลก งงไหม? งงหรือไม่งง? ตอบตามจริง งง เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ เชื่อเพราะอะไร? เชื่อเพราะผมพูด เพราะอะไร? เชื่อเพราะอะไร? เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น และในจิตวิญญาณของเรา ในใจของเรา ในวิญญาณของเรา
พระวิญญาณบริสุทธิ์ย้ำยืนยันว่า “ใช่”
เอเมน ปากเราจึงพูดคำว่า “เอเมน”
เอเมนไหม? เอเมน ไม่ต้องเข้าใจหรอก ไม่ต้องเข้าใจ งงก็งงไป
“พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้”
มาดูข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ แล้วท่านพอจะเห็นคำตอบ ลูกา 17:20-21 ตะกี้ที่ผมเล่าให้ฟัง มันอยู่ที่ลูกา 15:1 เป็นต้นมา อาณาจักรของพระเจ้า เป็นลักษณะไหน? บุตรหลงหาย ใช่ไหม? ตอนนี้มาดูว่าพอเลยมาสักนิดหนึ่ง พระเยซูพูดว่าอะไร?
ลูกา 17:20-21 “20 คราวหนึ่ง พวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่าอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ 21 ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน”
เอเมน
เอ๊า! พูดพร้อมกันดังๆ เลย “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในฉันนี่เองแหละ”
ก็คือในร่างกายเรานี่แหละ … ที่บอกว่าอยู่บ้านเดียวกับพระเจ้า และบ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ยังจำได้ไหมครับ เราเคยเรียนกันแล้วว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้อยู่ วิญญาณของเรา ได้อยู่กับพระเจ้า ที่ไหน? เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ ในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว ถูกไหม? ซึ่งทุกวันนี้ เราก็ยังเรียนอยู่ เราก็ยังไม่เข้าใจหรอก แต่เราก็เชื่อเป็นไปตามนั้น ข้างในของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย้ำยืนยันว่ามันใช่
ข้อนี้อธิบายเพิ่มเติม เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน อธิบายเพิ่มเติมว่าอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน อาณาจักรของพระเจ้า ก็คือสวรรค์
สรุป คือสวรรค์อยู่ภายในร่างกายท่าน ร่างกายของเรา นี่แหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหน? ไม่ต้องขึ้นจรวดไปที่ไหน? อยู่ตรงนี้แหละ
เพราะฉะนั้น ที่เราเคยงงกันว่าตัวเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่วิญญาณเรา ไปอยู่ที่สวรรค์ได้อย่างไร? ความหมาย ก็คือแบบนี้ คือพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา นี่ตามประสามนุษย์นะ พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายนี้ นี้ภาษาความคิด ความเข้าใจแบบมนุษย์ที่พยายามอธิบายให้เราเข้าใจ แต่สำหรับพระเจ้าไม่มีลงหรือขึ้นหรอก เพราะพระเจ้าเป็นนิรันดร์ เป็นวิญญาณ มิติ เกินกว่ามิติของมนุษย์ มิติมนุษย์ มี 3 มิติเองใช่ไหม? กว้าง ยาว ลึกใช่ไหม? ของพระเจ้าเลย ไป 4, 5 มิติโน่น มนุษย์ไม่เข้าใจ เหมือนมดไม่เข้าใจคน … คนรู้ว่าตรงนี้มีภูเขาอยู่ มดไม่รู้ เดินไป มันราบตลอด อะไรประมาณนี้นะ
เพราะฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ พอจะเข้าใจได้ คือพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา กับมนุษย์นั่นเอง ในร่างกายนี้แหละ ร่างกายของเราจึงเป็นอาณาจักรของพระเจ้า หรืออาณาจักรพระเจ้าที่เรียกว่าสวรรค์
เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คุ้นๆ นะครับ
“สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”
เรื่องจริง คือคนที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ข้างในใจ ก็จะมีสภาพของสวรรค์ อยู่ภายในร่างกาย ภายในความคิด จิตใจของเขา เอเมน
สวรรค์อยู่ในใจเรา … เมื่อพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา เพราะฉะนั้น …
ร่างกายของเรานี่ ก็คือที่ประทับของพระเจ้า
และที่ประทับของพระเจ้า ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า
อาณาจักรของพระเจ้า ก็คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง เอเมน
ซึ่งพระคัมภีร์บางแห่งนะครับ ก็จะใช้คำว่า “วิหาร” ที่ประทับพระเจ้า ก็คือวิหาร พลับพลา
1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในท่าน”
พูดตามผม “ร่างกายของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”
พระคัมภีร์บันทึกเหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดขึ้นตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนหนึ่งในนั้น มัทธิว 27:50-51 อ่านดูนะครับ
มัทธิว 27:50-51 “50 เมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”
ศุกร์ประเสริฐ บ่ายสามโมง พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา ก่อนสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ที่ตะกี้เราอ่านด้วยกัน
ม่านในวิหารขาดเป็นสองส่วน พระวิหาร ก็คือพลับพลาที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในสมัยโมเสส ตามที่พระเจ้าได้บัญชาให้พวกเขาทำ และเหตุการณ์ที่ม่านในวิหารขาดออก เป็นการเล็งให้เห็นว่าพระเจ้าจะไม่ประทับอยู่ในวิหาร ที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ ที่เป็นหิน เป็นเหล็ก เป็นทอง นี้ต่อไปอีกแล้ว กิจการ 17:24 อ่านพร้อมกัน
กิจการ 17:24 “พระเจ้าองค์นี้ ผู้ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก ทรงเป็นเจ้าเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ประทับในวิหาร ที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์”
พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่พลับพลา หรือวิหารที่มนุษย์ทำจำลองขึ้นอีกแล้ว แต่ทรงมาประทับอยู่กับมนุษย์ที่เป็นผู้เชื่อ เพราะว่าพระองค์ส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาทำการไถ่บาปให้กับมนุษย์กลับคืนสู่สภาพดีแล้ว ทำเสร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง ตอนที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่น เอเมน พระองค์จึงประกาศก้อง ลั่นว่า “It is finish.” คือแปลว่า “มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว” พระเจ้าก็ไปเลย ไปไหน? ไปเตรียมตัว เก็บข้าว เก็บของ สมมติตามภาษามนุษย์นะ เก็บผ้าเก็บผ่อนต้อนรับใคร? ต้อนรับพวกเรากลับเข้ามาสู่บ้านเกิดของเรา เห็นภาพไหม? โอโห้! ซึ้งเลยนะ
พระเจ้าไม่ต้องสถิตอยู่ที่วิหาร ที่ทำขึ้น ด้วยฝีมือมนุษย์อีกต่อไป สวรรค์จำลองที่สมัยโมเสส ทำพลับพลาขึ้นมานั่นนะ ไม่ต้องเป็นที่อยู่ของพระเจ้าอีกแล้ว มาอยู่ที่บ้านที่เป็นมนุษย์ คือร่างกายของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เกิดผลกับเขา แต่ถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ตาย เพื่อเขาจริงๆ เขาก็ได้รับสิทธินั่นทันที เดี๋ยวนี้เลย เอเมน ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 3:16 ที่ตะกี้ ที่เราอ่านกันไป ที่บอกว่า
“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน”
หนังสือโครินธ์นี้ ก็คือจดหมายฝากที่อาจารย์เปาโล เขียนถึงชาวโครินธ์ ซึ่งถ้าจะให้ท่านเข้าใจในความหมายของคำพูด ของอาจารย์เปาโลข้อนี้นะ ผมต้องเล่าย้อนให้ท่านได้เห็น หรือทราบ รู้ถึงเบื้องหลังของชาวโครินธ์ ในยุคนั้นก่อนว่าเขียนไว้ให้ชาวโครินธ์นั้น เขาเป็นอย่างไร? เขาเป็นอยู่กันอย่างไร? ตอนนั้น ดูนะ ตื่นเต้นมากเลย
ย้อนกลับไป ประมาณ 2,000 ปี เร็ว คือเมืองโครินธ์ในยุคนั้นนะ เป็นเมืองใหญ่ และเป็นศูนย์กลางการค้าขาย ทำให้ความเป็นของชาวโครินธ์สมัยนั้นรายล้อมไปด้วยความฟุ่มเฟือย และแหล่งอบายมุกต่างๆ มากมาย และมีชาวโครินธ์ที่เป็นผู้เชื่อและเป็นคริสเตียนจำนวนมาก ที่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเหล่านั้นอยู่เหมือนเดิม ยังทำตัวเหลวไหล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เชื่อเลยสมัยนั้น
ท่านจะเห็นภาพเลย 2,000 ปีผ่านไป ทำไมปัจจุบันกับแต่ก่อนเหมือนกันเลยนะ ทำไมเมืองใหญ่ๆ มีความชั่วร้าย อบายมุกเยอะแยะ เพราะคนแห่กันไปที่นั่น จริงๆ ที่ไหนๆ ก็มีความชั่วร้ายหมด ตามพระคัมภีร์บอก แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าแต่ขนาด คนโครินธ์เหล่านั้น ประพฤติตัวเหลวไหลถึงแบบนั้นนะ เป็นคริสเตียนแล้วนะ เปาโลยังเรียกชาวโครินธ์ ที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซู ทั้งหลายเหล่านั้นว่าเป็นผู้ชอบธรรม และเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “เซนท์” ที่แปลว่าผู้ชอบธรรม นึกออกไหม ที่การ์ตูนชอบเขียนภาพ เดินไปตรงไหน แล้วก็มีสิริอยู่ตรงศีรษะกลมๆ
นี่คือการย้ำยืนยันในสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาตลอด ว่าความชอบธรรมของมนุษย์นั้น ได้มาจากการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่มาจากกระทำของเราเอง มนุษย์เอง ไม่ได้อยู่กับการกำหนดของระบบของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ อาจจะบอกว่าใครที่มีความประพฤติหรือมีการกระทำที่ชั่วร้ายต่างๆ เช่น กินเหล้า เมายา ล่วงประเวณี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โกหก หลอกลวง ลักขโมย คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรม คนเหล่านี้จะไม่ได้ไปสวรรค์ด้วย ถูกไหม? แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในเมืองโครินธ์ ชาวโครินธ์นี้ ที่ทำตัวแบบนี้ เต็มไปหมดเลย เชื่อแล้วนะ เปาโลยังเรียกพวกคนเหล่านี้ว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม คือเปาโลไม่ได้กำหนดตัวตนของพวกเขา จากความประพฤติ หรือการกระทำของพวกเขาเอง แต่เป็นการกำหนดตัวตนของพวกเขา จากความเชื่อ ในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์
เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงถูกเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม เพียงเพราะว่าเขาเหล่านั้น คริสเตียนชาวโครินธ์เหล่านั้น ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว และได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว โดยไม่ได้มองที่การกระทำของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เปาโลไม่มองเลย มองว่าเขาอยู่ที่ไหน วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? วิญญาณเขาอยู่ในพระคริสต์ และเขาเชื่อแล้ว เพราะฉะนั้น เขาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ย้ำยืนยันว่าเราเรียนเหล่านี้ เราเรียนไปตั้งหลายตอน ลองอ่านตรงนี้ดู 1 โครินธ์ 6:9-11 ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ผมจะพาท่านไปดูชัด 1 โครินธ์ 6:9-11 แล้วจะเปลี่ยนแปลงความคิดของท่านใหม่ นี่คือการเจริญเติบโต ทางวิญญาณของเราในพระคริสต์ เราต้องรู้ และยิ่งรู้มากเท่าไร? ยิ่งทำไม? ยิ่งเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้มากขึ้น
1 โครินธ์ 6:9-11 “9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า อย่าหลงผิดเลย ไม่ว่าคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว หรือคนรักร่วมเพศ 10 หรือขโมย หรือคนโลภ หรือคนขี้เมา หรือคนชอบนินทาว่าร้าย หรือคนฉ้อฉล จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า 11 และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า และโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา”
เปาโลพยายามสอนผู้เชื่อทุกคนในเมืองโครินธ์ คริสเตียนในเมืองโครินธ์ ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา รู้จักอะไร? รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นหัวข้อซีรี่ส์ที่เรากำลังบรรยายกันอยู่ในช่วงนี้ สังเกตให้ดีเปาโลขึ้นต้นประโยค ด้วยข้อความว่า.-
“ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า”
แล้วก็ต่อด้วย การบรรยายสรรพคุณความชั่วร้ายสารพัด ยกตัวอย่างให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว หรือคนลักร่วมเพศ หรือขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนชอบนินทาว่าร้าย หรือฉ้อฉล จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าเลย และในนี้บอกว่า.-
“และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น”
เอ๊ะ! ในที่นี่บางคนก็เคยเป็นนะ ยังนินทาอยู่หรือเปล่า? ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวติดตามต่อ จะได้สบายใจขึ้น บางคนสะดุ้ง
“เอ๊ะ! ฉันเคยหรือเปล่านะ? ทุกวันนี้ยังนินทาอยู่เลย”
เปาโลถามว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่ว หรือคนทำสิ่งเหล่านี้ ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า”
ถ้าข้อความนี้จบเพียงอย่างนี้นะครับ เท่านี้เอง ถามว่าผู้เชื่อในโครินธ์ ที่ประพฤติตัวแบบนี้จะได้ไปสวรรค์ไหม? ได้ไปไหม? ไม่ได้ไป ไม่ได้ไปแน่นอน ก็เป็นคนชั่ว เป็นคนบาป เป็นคนสกปรก แล้วจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างไร? สวรรค์เขาไม่มีการนินทาว่าร้ายแล้ว ไม่ได้ฉ้อฉลแล้ว ท่านจะขึ้นไปในสวรรค์ได้อย่างไร? มนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้ใช่ไหม? วันนี้ท่านจะเห็นว่าเปาโลไม่ได้อธิบายให้เราอย่างนั้น แต่เปาโลบอกว่าอย่างไร? แต่เปาโลมีบอกต่อไปว่า.-
“แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า และโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา”
“แต่” เห็นหรือยัง? เห็นอะไรบางอย่างไหม? แต่ท่านได้รับการชำระแล้ว ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เอเมนไหม? ไม่เอเมน ไม่เห็นมีใครพูดเลย หรือยังตกใจอยู่ ยังนึกไม่ออก ทำไมมันง่ายเกินไป เอเมน ดังๆ หน่อย เอเมนเลย
นี่คือสิ่งที่ย้ำยืนยันว่าการเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้มาจากการกระทำของเราเอง ทำดีมามากขนาดไหน? ก็เป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้ ถูกหรือไม่ถูก? และเคยทำชั่วมาขนาดไหน? แต่ถ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในพระนามพระเยซูแล้ว ก็นับว่าเป็นผู้ชอบธรรมตลอดกาล ไม่เอเมนอีก? เอเมน ยังงงอยู่ มันงงนะ
แต่ในขณะเดียวกัน เปาโลก็อยากหรือต้องการ ที่จะทำไม? สอนให้คริสเตียนในโครินธ์เหล่านี้ ได้ดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ซึ่งวิธีการสอนของเปาโล ก็ไม่ใช่บอกว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่เปาโลเลือกที่จะสอนให้พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าเขาเป็นใคร? มีคุณค่าขนาดไหน สำหรับพระเจ้า? เขาเป็นใคร? เห็นหรือยัง? เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ตัวตนเราเป็นใคร จริงๆ เป็นอย่างไร? และเปาโลรู้ว่าเมื่อเขาได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเองแล้ว เขาก็จะประพฤติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมเอง ตามธรรมชาติ มันจะเกิดขึ้นเอง คือธรรมชาติลักษณะของคนที่เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ เอเมน
เพราะยุคนี้ หมายถึงยุคพระเยซู ยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้เรียบร้อยแล้ว มันไม่เหมือนยุคก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด มันไม่ใช่เป็นการบังคับที่ใช้กฎระเบียบ ใช้โทษแห่งความตาย โทษ ใช้ความตายเป็นโทษ ใช้คำสาปแช่ง ต้องทำตามกฎ ถ้าไม่ทำจะถูกลงโทษ เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือยุคพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาไถ่ มันหมดยุดแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ยุคพระเยซูนี้ เป็นยุคที่เรียกว่ายุคพระคุณแล้ว
ยุคพระคุณ ก็คือด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอภัย ดังๆ เลย เอเมน อย่างนี้ต้องปรบมือแล้ว เพราะเราอยู่ในยุคนี้ โมเสสเอ่ย อาโรนเอ่ย กษัตริย์ดาวิด เขาอยากจะเห็นยุคนี้ อยากจะมาอยู่ในยุคนี้ แต่เขามาไม่ได้ เขาถูกเกิดขึ้นในยุคนั้น เขาอิจฉาเราจะตาย แต่เราดันไปอิจฉาเขา มีพลับพลา … พลับพลาอยู่ในใจเราแล้วตอนนี้ เปาโลจึงพยายามสอนผู้เชื่อชาวโครินธ์เหล่านั้น เป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นด้วย ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เพื่อจะได้ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอบายมุก ความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทำตัวเหมือนกับก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซู ไม่กลับไปสกปรกเหล่านั้นอีกแล้ว ให้มันเป็นธรรมชาติ แทนที่จะใช้วิธีสั่ง ห้าม ว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ แต่ไม่หรอก แต่สอนโดยวิธีให้เขารู้จักตัวตน ด้วยการบอกว่า.-
“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถิตภายในท่าน”
เห็นไหม? แทนที่จะมาสอนอย่าอย่างนั้น อย่าอย่างนี้ บอกท่านเป็นใคร? ตอนนี้ใครอยู่ในตัวท่าน ตรงนี้ คือสิ่งที่เปาโลต้องการที่จะให้คริสเตียนได้รู้ ถ้ารู้ตรงนี้แล้ว ธรรมชาติที่ดีๆ งามๆ มันจะโผล่ออกมาเอง
ตัวท่านเองเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งตอนนี้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว ชาวโครินธ์ที่กำลังทำอะไรไม่ดีเหล่านั้น พระเจ้าสถิตอยู่กับเขาหรือยัง? สถิตแล้ว เขารับเชื่อแล้ว ไปไหนมาไหนกับเขาตลอดเวลา? ไปแล้ว และเมื่อท่านได้รู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องเอ่ย ท่านควรจะประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า นี่เปาโลจะสอนอย่างนี้ ดีกว่าไหม? ดีกว่า เพราะถ้าสอนอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ สอนวิธีเก่า มันเป็นวิธียุคโบราณ ยุคก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด มนุษย์ก็จะสอนอย่างนี้ แล้วมนุษย์ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ โดนลงโทษยิ่งหงุดหงิด ยิ่งไปไม่ได้ ยิ่งหลุดไปใหญ่เลย หาที่ไปไม่เจอ นี่คือเราเห็นภาพชัดเจน 1 โครินธ์ 6:19-20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ
1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”
นี่คือวิธีการสอนของพระเจ้า ผ่านทางเปาโล ผ่านทางเปโตร ผ่านทางผู้รับใช้พระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่ม สอนผู้เชื่ออย่างนี้ เพราะฉะนั้น หลายแห่ง หรือหลายครั้ง เราก็สอนผู้เชื่อแบบที่เราต้องการ เราคิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะชีวิตเก่าๆ เราก็เป็นอย่างนั้น ความคิดเก่าๆ เราก็เป็นอย่างนั้น กว่าจะรับพระคุณพระเจ้าทีหนึ่ง มันยากเย็นเข็ญใจ พอรับได้ ก็รับไม่ครบ เขาเรียกว่าไม่ Full Gospel ไม่ได้รับข่าวดี 100% รับข่าวดีมา 20% บ้าง 30% บ้าง แต่นี่มันข่าวดี 100% มันต้องเป็นอย่างนี้ เอเมน มันจะได้แตกต่างกับชีวิตเดิมๆ มันจะได้แตกต่างกับที่ชาวโลกเขาสอนกัน มันจะได้แตกต่างกับทั้งระบบของโลกนี้ไง มันพิเศษกว่าเขาไง เพราะอะไร? เพราะเป็นพระเจ้า ทำงานในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ หนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ทำอย่างนี้ได้ เอเมน เพราะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่มนุษย์มาสอนกันเอง ไม่ใช่มนุษย์มาไถ่กันเอง ไม่ใช่ นี่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว ไม่มีที่ไหนเป็นข่าวดีอย่างนี้ ไม่มีที่ไหนเหมือนอย่างนี้ ไม่มีที่ไหนคล้ายๆ อย่างนี้ เอเมน
เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ตัวตนของเราแล้ว เปาโลบอกว่าอย่างไร?
“จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”
ให้รู้ว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? ก็คือให้รู้ว่าร่างกายของเรา เป็นที่ประทับของพระเจ้า เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกแล้วนะ เมื่อก่อน คือก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราอาจจะคิดว่าร่างกายนี้ เป็นของเราเอง
“เราจะทำอย่างไรกับร่างกายของเรา กับชีวิตของเราก็ได้ เรื่องของฉัน จะทำตัวเหลวไหลอย่างไรก็ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของฉัน จะกินอะไรเข้าไป ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของฉัน จะนอนดึกดื่นอย่างไร ก็เรื่องของฉัน อดหลับอดนอน ก็เป็นเรื่องของฉัน ทำอะไรก็ได้ ที่ฉันอยากทำ”
เคยได้ยินใช่ไหม? เคยได้ยินหรือเปล่า? ถึงได้ยิน ทำหรือเปล่า? ทำ แล้วแต่ว่าจะทำมากทำน้อย ทำหรือเปล่าถามจริง? ทำ และทุกวันนี้ทำไหม? นิดหน่อย นอนลง แต่พี่น้อง เมื่อท่านรู้ว่าท่านเป็นใคร? วันนี้เราถึงมาเรียนเรื่องนี้กันหลายตอนๆ เป็นซีรี่ส์เยอะแยะเลย ว่าตัวตนของท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้ลดการกระทำเหล่านั้นน้อยลงไง ท่านจะได้ไม่ทำตามใจตัวเอง ท่านจะได้ทำตามพระทัยพระเจ้ามากขึ้น เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้วนะครับ
เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ร่างกายของท่านเป็นพระวิหาร หรือวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือของพระเจ้านั่นเอง ท่านไปไหน? พระวิญญาณบริสุทธิ์ไปด้วย ตาของท่านดูอะไร? พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน ดูด้วย มือของท่านทำอะไร พระเจ้าทำด้วย ถูกหรือไม่ถูก? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเองอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด ถ้าท่านได้ยิน ได้ฟังอย่างนี้บ่อยๆ เชื่ออย่างสนิทใจ ท่านจะลดสิ่งเหล่านั้น ที่จะทำตามใจตัวเองที่เหลวแหลกอยู่หรือไหม? ท่านลองกลับไปคิดดู
เปาโลคงอยากจะบอกชาวโครินธ์อย่างนี้นะครับ
“ชาวโครินธ์ ท่านไม่ใช่ทาร์ซานอีกต่อไปแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นลิงอีกนะ จะทานข้าว ก็จงใช้บันไดเดินลงมา อย่าปีนทางหน้าต่าง เดินลงมาดี ก็ได้ ท่านรู้แล้วใช่ไหม ทาร์ซาน? ท่านเป็นลูกของเจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นมหาเศรษฐีนะ ลูกของมหาเศรษฐี แต่งตัวให้มันดีหน่อย อย่าแก้ผ้าลงมา” ถูกหรือไม่ถูก?
“จะไปไหนมาไหน ก็ให้มันเรียบร้อย ไม่ใช่แก้ผ้าเดินโทงๆ มันอายเขา” ถูกหรือไม่ถูก?
“เวลากิน ก็ให้ใช้ช้อน ใช้อะไรเครื่องมือ ไม่ใช่เอามือหยิบกิน เหมือนเป็นลิง” ถูกหรือไม่ถูก?
ท่านลองนึกภาพสิ ผมนึกถึงทาร์ซาน แล้วมันใช่มากเลย ใช่นี่มันเหมือนพวกเรา … เรา หมายถึงรวมตัวผมด้วยนะ เราเหมือนทาร์ซานจริงๆ เลย เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว หลายครั้งแล้ว ยังหนีเข้าป่า หนีออกไปอยู่ในนรก หนีออกไปอยู่ในความพินาศ ไปทำอะไรน่าเกลียดๆ แล้วอายเขาไหม?
คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราก็ต้องรู้ตัวตนของเราเองก่อนว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน? เราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เดินไปกับเราทุกหนทุกแห่ง และการรู้ตัวตนของเรา จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ เหมือนตะกี้นี้ เรื่องทาร์ซาน พ่อแม่ทาร์ซานไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องลงโทษทาร์ซาน ลงโทษ ก็จะยิ่งหนีเข้าป่าไปหาลิงเหมือนเดิม ยิ่งลงโทษเท่าไร ยิ่งหนีไปเท่านั้น พ่อแม่ก็ต้องทำอะไร? ก็ต้องรัก อภัยให้ทาร์ซานตลอดเวลา แล้วทำไม? ไม่ใช่แค่นั้น พูดอยู่เรื่อยๆ ว่า.-
“ทาร์ซานเอ่ย แกเป็นใคร? เธอเป็นลูกฉัน เธอเป็นอย่างนี้”
สมมตินะว่าตอนนั้นมีทีวี คงให้ทาร์ซานดูทีวี วีดีโอ
“เนี้ย มนุษย์เขาทำกันอย่างนี้ ต้นตระกูลเรามาอย่างนี้ ตอนคลอดเป็นอย่างนี้ เอารูปตอนคลอดให้ดู … ดูสิ ที่โรงพยาบาล ตอนแม่คลอดแก … แกอยู่ในนี้”
บ่อยๆ ดูบ่อยๆ ทาร์ซานก็เริ่มเข้าใจว่าตัวเองเป็นใคร? ก็จะไม่แก้ผ้าลงมา จะไม่ทำอะไรน่าเกลียดๆ จะได้ไม่วิ่งกลับเข้าสู่ป่า ไปหาลิงเหมือนเดิม
มันเหมือนกันอย่างนี้เลย แล้วต้องฟังบ่อยๆ ดูบ่อยๆ ถ้อยคำพระเจ้ามีประโยชน์ในชีวิตเรา ก็อย่างนี้แหละ ทำไมเราต้องมาโบสถ์ ก็เพราะอย่างนี้แหละ การมาโบสถ์ไม่ใช่พิธีกรรมว่าต้องถูกพระเจ้าสั่งให้มา ไม่ใช่ การมาโบสถ์ ก็คือท่านมา เพื่อจะได้รู้ว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? ทุกครั้งที่มีการบรรยาย ก็คือบรรยายว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? บรรยายที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่บรรยายไป ยิ่งไปกันใหญ่เลย คนมาเชื่อเลยเข้ารกเข้าพง กลายเป็นลิงไปด้วยเหมือนกัน อย่างนี้เข้าใจไหม?
โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”
“อย่าดำเนินชีวิตให้เป็นเหมือนสัตว์ป่า ที่เจ้าเคยอยู่มาตลอด ข้างนอก นอกคฤหาสน์ มันก็คือป่า เจ้าไม่ได้เป็นของบริเวณนั้นอีกต่อไป ตระกูลเจ้าไม่ได้อยู่ในป่า นี่คือตระกูลเจ้าที่อยู่ในคฤหาสน์นี้นะ”
พูดให้เขาฟังบ่อยๆ เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนแปลงความคิดนะทาร์ซาน … ทาร์ซานเปลี่ยนแปลงความคิดซะนะ ทาร์ซานเปลี่ยนแปลงจิตใจสะใหม่นะ อย่าไปดำเนินชีวิตเหมือนลิง เหมือนค่าง เหมือนสัตว์ป่าในนั้นอีกต่อไปนะ มาดำเนินชีวิตเหมือนคนที่อยู่ในนี้ และเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีด้วย เป็นถึงมหาเศรษฐี เจ้าของคฤหาสน์ เรียนรู้ถึงการดำเนินชีวิตแบบมีศักดิ์ศรี คนเขาดำเนินชีวิตอย่างไร เป็นผู้ดี เขาทำกันอย่างนี้ เป็นอย่างไง? เข้าใจใช่ไหมครับ?
เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ตรงนี้ ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ เน้นมากเลย เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า
พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า คืออะไร? คือที่ได้ถวายพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ได้มอบพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นหนอนเล็กๆ แย่กว่าหนอนอีก คือสูงกลับมาที่ต่ำมาก เละเทะมากมาย เพื่อมารับเอาความบาปสกปรกของมนุษยชาติทั้งหมด ไปไว้ที่ตัวของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้พ้นจากบาป กลับสู่พระเจ้าได้ มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลย พระคัมภีร์จะพูดตรงนี้เยอะเลย ถามว่าเยอะ เพื่อจะทวงบุญคุณเหรอ? ไม่ใช่ เยอะ เพื่อจะให้เราเห็นบุญคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหล่านี้ แล้วทำไม? ถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า คือการถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราถวายตัวของเราแด่พระเจ้า เพราะกลัวว่าเราจะตกนรก เพื่อกลัวว่าเราจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่ให้เราถวายตัวแด่พระเจ้า เพื่อเป็นการระลึก ทดแทนความรักของพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เรามากขนาดไหน? เราทำไม่ลงหรอก เราทำไม่ได้ พระเจ้ารักเราขนาดไหน? เป็นอย่างนี้
นี่คือพระคุณ ไม่ใช่การลงโทษ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และนี่คือวิธีการที่เปาโลสอนแนวทาง ในการดำเนินชีวิต ให้แก่ผู้ที่เชื่อในเมืองโครินธ์ รวมทั้งผู้เชื่อทั้งหมดด้วย ก็คือมาจากพระเจ้านั่นเอง คืออะไร? คือให้สำนึกในตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราเองจริงๆ เราเป็นใครในพระคริสต์ เรามาเชื่อแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราเป็นใคร? เราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพระวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเรา พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเราถูกซื้อมาด้วยราคาแพง … แพงมาเลย แพงขนาดไหน? ราคาที่จ่ายไป คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลาย เราเป็นที่ประทับของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา … เราเป็นอภิสุทธิสถาน ที่เดินไปไหนมาไหน อภิสุทธิสถานอยู่ในตัวเรานี่แหละ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
**************************