คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ทำดีเพื่อพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ทำดีเพื่อพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ไหนๆ จะคุยกันเรื่องวันพ่อแล้ว ท่านพอจะทราบประวัติวันพ่อไหม? วันพ่อของประเทศไทยมาได้อย่างไร?

วันพ่อของไทยเรามีมาตั้งแต่ปี 2523 วันที่ 5 ธันวาคม 2523 โดยหลักการและเหตุผลที่มีการจัดการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติขึ้น ก็เนื่องจากพ่อเป็นบุคคลที่มีพระคุณ และมีบทบาทต่อครอบครัวและสังคม ที่ผู้เป็นลูกสมควรจะเคารพเทิดทูนและกตัญญูทดแทนพระคุณ และสังคมควรจะยกย่องให้เกียรติและรำลึกถึงผู้ที่เป็นพ่อ นี่คือหลักการ ความตั้งใจที่เขาตั้งวันพ่อแห่งชาติ

และเพราะเรามีพระมหากษัตริย์ที่มีความยิ่งใหญ่ ทรงเสียสละและรักพสกนิกรชาวไทยเสมือนหนึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ เราจึงถือเอาวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นพ่อแห่งชาติ และหลังๆ มานี้ ช่วงวันพ่อของทุกๆ ปี เราก็จะได้ยินหน่วยงานต่างๆ ทั้งทางภาครัฐบาลและเอกชนมาร่วมกันรณรงค์กิจกรรมที่มีชื่อว่า “ทำดีเพื่อพ่อ”

การบรรยายในวันนี้ก็จะเน้นไปที่ว่าทำดีเพื่อพ่อ ทำอย่างไร? มันหมายความว่าอย่างไร?

พวกเราคริสเตียน ที่เป็นคนไทย อาศัยอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น คำว่า “พ่อ” สำหรับเราในประเทศนี้ จึงมีตั้งแต่ใคร? พระเจ้าพระบิดา พ่อในสวรรค์ของเรา แล้วก็หมายถึงใครอีก? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพ่อหลวงของแผ่นดินไทยของเรา และหมายถึงพ่อ ผู้ให้กำเนิดเรานั่นเอง

ผมจำได้นะครับ ที่ทางหน่วยงานราชการออกมารณรงค์ เรื่องการทำดี เพื่อพ่อ ก็มีคนเอามาวิเคราะห์ ถกเถียงกันว่าทำดีในที่นี่ ครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง? ทำดีเพื่อพ่อ ทำอย่างไร? ทำอะไรบ้าง? เคยคิดไหม? เขาก็คิด … คิดกันใหญ่เลย ทำอะไรล่ะ ก็ไปถกเถียงกันใหญ่ ทำอย่างไร? แล้วก็พยายามวิเคราะห์กันออกมา ต้องทำดีขนาดไหน? ทำให้ใคร? ถึงจะเข้าข่ายคำว่าทำดี เพื่อพ่อ หลายๆ หน่วยงานเขาก็ร่วมมือกัน แล้วก็ประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ แล้วก็ให้ประชาชนมาร่วมโครงการ โดยให้แต่ละคนตั้ง ปณิธานในสิ่ง ที่ตนคิดว่าเป็นความดีที่จะทำให้ได้

คำถาม คือแล้วการกระทำความดีแบบไหน? ทำดีแบบไหน? จึงจะเรียกได้ว่าทำดี เพื่อพ่อ ทำแบบไหน?

น่าคิดไหม? ท่านว่าทำดีแบบไหน? ที่เรียกว่าทำดีเพื่อพ่อ เถียงกันไป เถียงกันมา ราชการ ก็เลยมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ หน่วยกลางจัดประชุม หาให้ได้ว่าทำดีเพื่อพ่อ ทำอย่างไร? มีความหมายอย่างไร? ให้ทำเป็นคู่มือ ทำดีเพื่อพ่อต้องมีคู่มือเลยนะ

ก็เลยได้ผลสรุปความหมายของคำว่าทำดีเพื่อพ่อ หรือการทำดีเพื่อพ่อ สรุปออกมาทั้งเล่มเลยว่าการทำดีเพื่อพ่อ ก็คือทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้พ่อมีความสุข ง่ายเลยนะตอนนี้

“ทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน แต่ต้องทำให้สิ่งนั้น พ่อมีความสุข”

ตามใจฉัน ใช่ แต่แล้วพ่อมีความสุข ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขนะ พ่อมีความสุข แล้วในคู่มือก็มีบอกตัวอย่างการกระทำดี เพื่อพ่อ แบ่งไว้ 4 ระดับอย่างนี้นะ นี่เล่าให้ฟังก่อนนะ ในคู่มือ

ระดับที่ 1 ทำดีต่อตัวเอง

ระดับที่ 2 ทำดีต่อครอบครัว

ระดับที่ 3 ทำดีต่อสังคม หรือชุมชน

ระดับที่ 4 ทำดีต่อโลก หรือสิ่งแวดล้อม

เขาบอกไว้อย่างนี้

ตัวอย่างของการทำดี เพื่อตนเอง ที่ทำให้พ่อมีความสุขนะ ทำดี เพื่อตัวเอง แต่พ่อมีความสุข ก็เช่น เลิกบุหรี่ เลิกสิ่งอบายมุก รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด เริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เริ่มกินน้อย จากที่น้ำหนักเกินเยอะๆ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ถ้าเป็นนักเรียน ก็เช่น จะอ่านหนังสือเพิ่มวันละหนึ่งชั่วโมง อะไรอย่างนี้เป็นต้น ประมาณนี้ นี่คือทำตัวเอง ให้กับตัวเอง แต่ใครมีความสุข พ่อมีความสุข

ตัวอย่างของการทำดีต่อครอบครัว จะจัดสรรเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น  จะกตัญญูต่อพ่อแม่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นต้น อย่างนี้นะครับ ในครอบครัว

ตัวอย่างของการทำดีต่อสังคม มีอะไรบ้าง? เช่น แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส เพื่อสังคมแล้วนะ  อาสาสมัครอ่านหนังสือให้คนตาบอด มีมารยาทในการขับขี่ รักษากฎจราจร อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ทำ แล้วพ่อก็มีความสุข

ตัวอย่างการกระทำดีเพื่อโลกเลย หรือสิ่งแวดล้อม ฟังดูเหมือนไกลนะ แต่จริงๆ มันไม่ไกลนะ ทำได้ไม่ยาก เช่น ช่วยกันปลูกต้นไม้ อย่างนี้เป็นต้น ลดปริมาณการใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ น้ำมัน รักษาความสะอาดในที่สาธารณะ เป็นต้น ใช้น้ำ ไม่มีใครเห็น ก็ใช้ให้มันประหยัดที่สุด อย่างนี้ ไม่ใช่ไม่มีใครเห็น ก็ปล่อยมันล้นอยู่อย่างนั้น อะไรอย่างนี้ ประมาณหนึ่ง คือสร้างจิตสำนึกลงไปในสิ่งที่ดีๆ

ทำอย่างนี้  พอพ่อรู้ พ่อได้ยิน พ่อก็เห็น พ่อก็มีความสุข

และหลังจากมีกิจกรรมทำดี เพื่อพ่อออกมา ก็มีประชาชนออกมาให้ความร่วมมือเป็นจำนวนมาก ท่านลองนึกในใจดูสิว่าท่านจะร่วมทำดี เพื่อพ่อ ท่านตั้งใจจะทำอะไร? ถ้าสมมติตอนนี้เป็นท่าน ท่านเข้าร่วมโครงการ ท่านจะทำอะไร? ตั้งแต่มีโครงการนี้ขึ้นมา ทำดีเพื่อพ่อมาถึงเดี๋ยวนี้ ถึงปัจจุบัน เรามาดูสิว่าเขามีสถิติคนที่ตั้งปณิธานว่าจะทำดีเพื่อพ่อ เขาทำอะไร? เรามาแอบดูของเขานะ

ปณิธานความดี ที่มีผู้ตั้งใจทำมากที่สุด 4 อันดับแรก คือ.- ลองทายดูนะครับ คนที่ตั้งใจจะทำดีมากที่สุด เพื่อพ่อ อันดับแรก คืออะไรรู้ไหม? เบอร์หนึ่งนะ นี่เป็นสถิตินะ ดูสิจะเหมือนไหม? บางคนอาจจะเอาไปใช้ได้

อันดับแรก คือไม่นอนตื่นสาย เหมือนไหม? เหมือนที่ตะกี้นี้คิดไหม?

อันดับที่ 2 คือไม่ดื่มเหล้า อันนี้พอเดาออก

อันดับที่ 3 คือให้อภัยผู้อื่น นี่เป็นสถิตินะ

อันดับที่ 4 คือช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

เห็นไหม? นี่ 4 อันดับที่เขาไปดูสถิติมา ไปแอบดูสถิติเขา และทั้งหมดที่พูดมานี้ ก็เป็นเรื่องของการตั้งปณิธาน หรือตั้งใจวางแผน ที่จะทำความดี เพื่อถวายต่อพ่อหลวง คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพ่อหลวงของปวงชนชาวไทยทั้งปวง  นี่คือสถิติ

ถ้าผมถามว่าเหตุใด ประชาชนคนไทยทั่วประเทศหลายล้านคน จึงพร้อมใจกันลุกขึ้น มาตั้งปณิธานที่จะทำดีเพื่อในหลวงของเรา เพราะอะไรครับ ตอบ เพราะอะไร? บางคน ได้ยินข้างหลังบอก เพราะรักในหลวง ถูก แต่ไม่ใช่ต้นเหตุ

เพราะพระองค์ทรงมีพระคุณมากมายเหลือล้นต่อชาติบ้านเมือง พระองค์ทรงรักพสกนิกรของพระองค์ และก็ได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคนแล้ว นี่คือก่อน นี่คือต้นเหตุ  พระคุณความรักของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา  ที่ได้สำแดงต่อประชาชนชาวไทยแล้ว คือคำตอบที่ถามว่าทำไมคนไทยทั้งประเทศ จึงพร้อมใจกันที่จะทำความดี เพื่อพระองค์ท่าน ก็เพราะว่าท่านรักเราก่อน ท่านให้เราก่อน ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม?  ที่ทุกคนจะให้พร้อมกัน ตั้งปณิธาน ทำความดี เพื่อท่าน ไม่ใช่เพราะมีใครบังคับ ไม่ใช่เพราะเป็นกฎหมาย ไม่ใช่เพราะเป็นกระแสของผู้คน ไม่ใช่ แต่เพราะทุกคนนึกถึงพระคุณของความรักของพระองค์ท่านก่อน ที่ให้เราก่อน ซึ่งมันตรงกับในทางพระเจ้าเป๊ะเลย

ในทางของพระเจ้า พระคัมภีร์สอนในลักษณะอย่างนี้เป๊ะเลย โรม 12:1-2 อ่านพร้อมกันนะครับ อ่านพร้อมกันดังๆ นะครับ

โรม 12:1-2  “1 เหตุฉะนั้น  พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ  ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า”

ก็แปลว่าพระคุณ ความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ต้องเกิดก่อน และเมื่อท่านได้รับพระคุณความรัก ความเมตตาของพระเจ้ามาแล้ว ท่านจึงควรกระทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณ คือถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัย ก็คือพระเจ้ามีความสุข พ่อมีความสุข นั่นเอง เห็นไหมครับ

พระคัมภีร์ 1 ยอห์น 4:19 ก็บันทึกไว้อย่างนี้นะครับว่า “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

 

อะไรมาก่อน พระองค์ทรงรักเราก่อน เราจึงรักพระองค์ พระเจ้าทรงรักเรามาก … มากขนาดไหน? ขนาดที่ยอห์น 3:16 ที่เราท่องกันเป็นประจำ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

 

เพราะว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคนมากยิ่งนัก  จึงได้ทรงเสียสละลูกของตัวเองเลย พระเจ้าทรงรักเราก่อน และไม่ได้บอกว่ารักเฉยๆ แต่พระองค์ได้ทรงสำแดง ตรงนี้สำคัญนะครับ ได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ แสดงความรักของพระองค์ให้เห็น โดยการกระทำ และพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ทรงประทานให้กับเรานั้น สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ที่ไม้กางเขน  นี่ความรักยิ่งใหญ่

ลึกซึ้งที่สุด “พระเจ้ารักเราถึงขนาดนี้  ถึงขนาดเสียสละลูกของเราเองให้กับเขา เพื่อคนบาปอย่างเขา คนบาปอย่างนคร คนบาปอย่างเราแต่ละคน จะได้มีชีวิตนิรันดร์ มันต้องซึ้งตรงนี้ โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ เราอ่านพร้อมกันนะ

โรม 5:8 “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา

 

และเมื่อเราได้รับรู้ถึงความรัก  พระคุณความรัก ความเมตตาของพระเจ้า  ที่ได้ทรงสำแดงให้เราแล้ว สำแดงแล้ว ได้ทำแล้ว กระทำแล้ว เราจึงต้องการที่จะตอบแทนพระคุณความรักของพระองค์ด้วยการทำดี เพื่อพ่อ ตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ในโรม 12:1-2  เราอ่านไปเมื่อตะกี้นี้ว่าถวายตัวของเราแด่พระเจ้า ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์ นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ที่เราอ่านร่วมกัน ที่บริสุทธิ์และที่พระเจ้าพอพระทัย … พอพระทัย คือมีความสุข คืออะไร? คือไม่ดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้  แต่จะรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่ เพื่อที่เราจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ ไม่ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ คือพระประสงค์อันดี อันเป็นที่พอพระทัย อันสมบูรณ์พร้อมของพระองค์ เราจึงจะได้รู้ว่าพ่อเราจะมีความสุขอย่างไร? เมื่อเราทำอะไร? เมื่อเราทำสิ่งนี้ พ่อเราจะมีความสุขแค่ไหน? แล้วเราทำสิ่งนี้ล่ะ มีความสุขมากขึ้น แล้วสิ่งนี้ล่ะ เสียใจมากเลย

เราจะได้รู้ไง เมื่อเราถวายชีวิตเราแด่พระองค์ ถวายเพราะอะไร? เพราะเราซาบซึ้งในความรักของท่าน ที่มีให้กับเราก่อน

คนไทยทั้งประเทศทำดี เพื่อพ่อหลวงของแผ่นดินไทย ก็เพราะพ่อหลวงได้ทรงสำแดงความรักของพระองค์ให้กับคนไทยทั้งประเทศได้เห็นก่อนแล้ว เป็นเวลานาน คริสเตียนทำดีเพื่อพ่อในสวรรค์ ก็เพราะพ่อในสวรรค์ได้ทรงสำแดงพระคุณความรัก ความเมตตาของพระองค์ ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ฉันใดก็ฉันนั้น ท่านทั้งหลาย ที่เป็นพ่อ ที่เป็นมนุษย์ เป็นลูกที่เป็นมนุษย์ ท่านพอจะเห็นภาพอะไรไหมครับว่ามันคืออะไร?  พอเห็นชัดไหม?  มันคืออะไรตอนนี้ ที่เราเปรียบเทียบอย่างนี้ เราเป็นพ่อหรือเป็นลูกธรรมดา อยู่ในครอบครัว เราพอจะมองเห็นอะไรไหมว่ามีหลักการอะไรอยู่ในนี้ ไม่ว่าเรากำลังพูดถึงพ่อในสวรรค์ คือพระเจ้า หรือพ่อของแผ่นดิน คือพระเจ้าแผ่นดิน หรือพ่อที่บ้านของเรา ก่อนที่จะมีการทำดี เพื่อพ่อ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นก่อน คืออะไรครับ?  คือความรักและการสำแดงความรักของผู้ที่เป็นพ่อ เห็นไหม? ตอนนี้เรารู้แล้ว สิ่งนี้ต้องเกิดก่อน ถ้าสิ่งนี้ไม่เกิด อีกอันหนึ่งก็จะไม่เกิด

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดอันแรก เราไปดูต้นเหตุ ก็คือความรักและการสำแดงความรักของผู้ที่เป็นพ่อ ต้องเสียสละก่อน ต้องสำแดงให้ได้เห็นก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าเราต้องการให้ลูกเรา ทำดี เพื่อเรา (อันนี้พ่อก็ได้ แม่ก็ได้)  ถ้าเราต้องการให้ลูกเราทำดี เพื่อเรา

คำว่า “ทำดีเพื่อพ่อ” เราก็ต้องเริ่มจากความรักที่มีให้กับเขาก่อน ต้องสำแดงให้ลูกเราเห็นว่าเรารักเขาจริงๆ และความรักนี่แหละ ที่จะเป็นสิ่งที่ผูกพันลูกๆ กับเรา ทำให้ลูกอยู่ในทางที่เราอยากให้เขาเป็น โดยที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่เขาทำด้วยความเต็มใจ เอเมน

ซึ้งหรือเปล่า? เหม่อเลย ทั้งพ่อแม่ด้วยนะครับ ฟังไปพร้อมๆ กัน รวมถึงผู้ที่จะเป็นพ่อแม่ในอนาคตด้วย ยังเป็นวัยรุ่นในขณะนี้ เหมือนที่เราได้มอบชีวิตให้กับพระเจ้าใช่ไหม? อดทนยืนหยัดอยู่ในทางพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า เราก็ทำด้วยความเต็มใจ  พยายามทำให้ดีที่สุด

ถามว่าเราถวายชีวิตแด่พระเจ้า เราทำเพราะเป็นกฎบัญญัติหรือเปล่า? เป็นหรือเปล่า?  ไม่ใช่

เพราะเรากลัวพระเจ้าลงโทษเหรอ? ไม่ใช่

เพราะกลัวพระเจ้าจะตัดชื่อเราออกจากสมุดของพระองค์ สมุดแห่งความรอดของพระองค์ใช่ไหม? ไม่ใช่

เพราะกลัวพระเจ้าจะไม่รัก และไม่อวยพรเราใช่หรือเปล่า? อาจจะใช่นิดๆ เปล่าเลยใช่ไหม? ไม่ใช่เลยใช่ไหม?

ที่เราทำไปทั้งหมด  เพื่อถวายแด่พระเจ้า ก็เพราะเรารักพระองค์ และที่เรารักพระองค์ ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน และไม่ใช่แค่นั้น  หยุด ไม่ใช่รักเราก่อนแล้วเฉยๆ แต่ได้สำแดงความรักของพระองค์ให้เราได้เห็นแล้ว คือที่พระเยซูทรงคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน ตายที่นั้น เพื่อคนบาปอย่างเรา ตรงนี้  ถึงบอกว่าถ้าใครไม่เห็นตรงนี้ แหม! โอกาสที่มันจะเป็นคริสเตียนที่ดีได้ มันยากมากนะ แต่ถ้าเห็นตรงนี้แล้ว สบายใจได้แล้วคนนั้น ไปรอดแน่ หมายถึงรอดทั้งวิญญาณและการดำเนินชีวิต เป็นที่ถวายเกียรติได้แน่ๆ

คนไทยทั้งประเทศ ทำดี เพื่อถวายในหลวง  เพราะถูกรัฐบาลบังคับหรือ? ใช่ไหม? ไม่ใช่ เราทำ ก็เพราะพระองค์มีพระคุณมหาศาลต่อชาติ บ้านเมือง ทรงเหน็ดเหนื่อย เพื่อพสกนิกรมายาวนาน เราจึงต้องการตอบแทนพระคุณของพระเจ้าอยู่หัว ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญ มีความสุข ถูกหรือไม่ถูก?

ในคู่มือทำดี เพื่อพ่อ ที่ราชการทำออกมา จึงได้บอกไว้ว่าการทำดีเพื่อพ่อ คือการทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าสิ่งนั้น ทำแล้ว พ่อมีความสุข

เราอยากให้ในหลวงเรามีความสุข เราคิดว่าเราทำสิ่งนี้แล้วท่านจะสุขไหม? คิดในใจ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นตัววัดชีวิตของเราว่าเราจะทำอะไรบ้าง? เพื่อพระองค์ท่าน สังเกตให้ดีนะครับ หลักการ คือทำดี เพื่อพ่อ ไม่ใช่แค่ทำดีต่อพ่อนะ หรือทำดีให้พ่อ ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อพ่อ หรือให้อะไรแก่พ่อเท่านั้น ทำดีเพื่อพ่อ คือทำดีให้พ่อมีความสุข เพราะบางครั้งเราทำไป พ่อไม่ได้รับหรอก ในสิ่งที่เราทำ อย่างที่บอกว่าเราอดอาหารให้มันน้ำหนักไม่เกิน หรือเราออกกำลังกาย พ่อเราไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย แต่สิ่งที่พอพ่อรู้ พ่อทำไม? มีความสุข นี่คือยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

เหมือนที่ยกตัวอย่างไปตอนแรกแล้วว่าทำดี ต่อตัวเองก็ได้ ทำดีต่อครอบครัวก็ได้  ทำดีต่อสังคม ต่อประเทศชาติก็ได้  เป็นการทำดี เพื่อพ่อทั้งนั้น ตราบใดที่สิ่งที่ทำไปนั้น ทำให้พ่อ เมื่อได้รู้ ได้ยินแล้ว มีความสุข รวมความ ก็คือให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อพ่อ วันนี้รวมแม่ด้วย รวมหมดล่ะ พ่อแม่เลยล่ะ ก็คือพูดง่ายๆ ก็คืออยู่ เพื่อคนที่เรารัก

คนที่เรารัก ผมจะบอกให้ มันควรจะเกิดจากเขารักเราก่อน แล้วเราทนไม่ไหวแล้ว เข้าใจไหม? ทนไม่ไหว จนสุดแล้ว กลับกลายเป็นเรารักนั่นแหละ รักไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปรักแรกพบ ไม่ไปเจอกันเลย อะไรอย่างนั้น  โอกาสเปลี่ยนแปลงมันมีเยอะ รักแบบที่เรารักเขามาก เขาเสียสละเพื่อเรา … เราไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว แย่อะไร? ต้องรักเขาแน่ๆ อย่างนี้มันรักแท้ ใช่ไหมครับ?

จะมีชีวิตอยู่ เพื่อคนที่เรารัก มันจะเป็นกำลัง เป็นแหล่ง เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา ดังนั้น เขาจะอยู่เพื่อคนๆ นี้ เขาบอกว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้อยู่เพื่อตัวเราเอง บางครั้งเราเกลียดตัวเอง บางครั้งเราเกิดความเครียด เราก็เบื่อตัวเอง  เราเกิดซึมเศร้า แล้วก็ไม่ชอบตัวเอง หลายครั้งเราโกรธตัวเอง ที่เราทำอะไรไม่ดีไป ถูกไหม? เราอาจจะทำร้ายตัวเองก็ได้ ถูกไหม? แต่ถ้าเรามีใครคนหนึ่งที่เรารักมากๆ เทิดทูนมากๆ เราอยากให้เขามีความสุข เราจะทำอะไรให้เขามีความสุข เราจะทำอะไร? เราคิดก่อน ตัวเราอะไรก็ได้ แต่เพื่อเขา เราอดทน พอเข้าใจใช่ไหมครับ? มันจึงเป็นแหล่งพลังงานที่บอกไม่ถูก มันลึกลับ มันอยู่ในใจของผู้คนนั้น ที่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น

เพราะถ้าบอกว่าให้ทำเพื่อตัวเอง  สมมติบอกว่าให้ทำดี เพื่อตัวเอง บางครั้ง บางคนก็ไม่ได้รักตัวเองหรอก แม้ไม่เกิดอะไรขึ้น ก็ไม่รักตัวเอง  เพราะอะไรไม่รู้เนอะ หลายคนที่หลงไปทำสิ่งที่ชั่วร้าย สิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นผลร้ายต่อตัวเองนั้น ก็เพราะอะไร? ก็เพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะรักตัวเอง ไม่มีกำลังพอที่จะกระทำดีได้ เพราะอาศัยการรักตัวเอง

บางคนบอก “ทำดีนะเหรอ ออกกำลังกายให้มันแข็งแรง เพื่อตัวเองจะได้มีชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรง ฉันก็เป็นอย่างนั้น มันต้องรอชาติหน้าก็แล้วกัน เกิดใหม่อีกหลายครั้ง คงทำไม่ได้”

แต่ถ้าบอกว่า “ถ้าคุณไม่สบาย  คนที่รักคุณ พ่อแม่คุณจะต้องเสียใจมาก”

จะมีกำลังขึ้นมาทันที นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ พูดกันเล่นๆ นะ ถ้าเราอยู่เพื่อพ่อแม่ อยู่เพื่อคนที่เรารัก อยู่เพื่อคนอื่น  เพราะรู้ว่าเขารักเรา รักเราก่อนด้วย  เราก็จะมีกำลังอย่างมหัศจรรย์ขึ้นภายใน และมีความอดทนได้มากขึ้น สามารถที่จะควบคุมตัวเอง และตั้งใจพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด ที่บางครั้งตัวเองก็ไม่ชอบด้วย  แต่ทำเพื่อคนๆ นี้ เราทำได้ เพื่อทำให้คนที่เรารัก มีความสุข มีความปลาบปลื้มใจ นี่คือเคล็ดลับในวันนี้ เคล็ดลับอยู่ตรงนี้ อยู่เพื่อคนที่เรารัก อยู่เพราะเห็นว่าเขารักเรา อยู่เพราะทดแทนพระคุณความเมตตาของเขา

พูดถึงตรงนี้แล้ว นึกถึงคำพูดของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเข้ามาลึกซึ้งกับพระเจ้ามาก เมื่อพระเจ้าพาไปอยู่ในสวรรค์ชั้น 3 กี่วันไม่รู้ แล้วก็ลงมาจากสวรรค์ เห็นสวรรค์หมดแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่คำหนึ่งที่เปาโลพูดเพราะมากเลย คืออะไรรู้ไหม? ท่านอาจจะไม่ได้สังเกต แต่วันนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เลยพูดให้ท่านได้เห็น สังเกตดู เปาโลบอกว่าอะไร?

บอกว่า “ถ้าให้ข้าพเจ้าเลือก ข้าพเจ้าเลือกที่จะไปอยู่กับพระเจ้าดีกว่า ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

แล้วว่าแต่ข้าพเจ้ายังต้องอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อใคร? เพื่อตัวเองเหรอ ไม่ใช่ ตัวเองบอกอยากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว แต่ถามว่าเพื่อใคร? เพื่อท่านทั้งหลาย หมายถึงผู้คนบนโลกใบนี้ เพื่อคริสเตียน เพื่อคนที่ไม่เชื่อ ที่พระเจ้าจะนำเปาโลไปสอน เพื่อพระเจ้าต่อไป  เปาโลบอกจะทนอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ไปเห็นสวรรค์มาแล้ว จะทนอยู่อย่างนี้เพื่อใคร? เพื่อเขาเหล่านั้น อยู่บนโลกนี้ทำไม? สุขใจ สบายดีเหรอ ทรมาน ถูกเขากลั่นแกล้ง ข่มเหง ทุกข์ทรมานจะตาย แต่บอกอยู่ได้ เพราะอะไร? เพราะอยู่เพื่อเขา อย่างนี้เป็นต้น อยู่เพื่อเขา ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง ถ้าอยู่เพื่อตัวเอง ไม่เอาดีกว่า ไปดีกว่า อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าเรามีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักเรา  และมีพระคุณต่อเรา ก่อนจะทำอะไร เราก็จะคิดก่อนว่าทำสิ่งนี้แล้ว พระเจ้า พ่อเรา แม่เรามีความสุขไหม? ในหลวงมีความสุขไหม? ถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าเราขับรถ ไม่มีกฎจราจรเลย เขาฝ่าฝืนมัน เรื่อยเปื่อยอย่างนั้น พ่อหลวงเราจะมีความสุขไหม?  ถ้าเราทำข้าราชการเช้าชาม เย็นชาม ไม่ทำงานทำการ มีช่องโหว่ที่ไหน ก็จะหารายได้เข้าสู่ตัว อะไรอย่างนี้ พ่อเรารู้จะมีความสุขไหม?  อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราโลภ คิดว่าพ่อมีความสุขไหม?  ถ้าเราไม่ดูแลสุขภาพ กินอาหารไม่ระวัง ปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม พ่อจะมีความสุขไหม?  แต่ถ้าเราหมั่นออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพอย่างดี พ่อจะดีใจไหม?  กินผักบ้าง? พ่อพูดมาตั้งหลายครั้ง กินปลา กินผัก ไม่กินสักที บางครั้งมันเลี่ยนมาก เพราะอะไร? เพราะตัวเองไม่อยากกิน ไม่ชอบ ถูกไหม? แต่ได้ยินเสียงพ่อ ถ้ากินผักให้พ่อเห็น พ่อจะยิ้มเลย กินสักหน่อย ไม่ใช่กินนิดหนึ่ง แล้วเอาไปคายทิ้ง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงกินจริงๆ เข้าใจนะ มันได้ตัวเราเองด้วย แล้วพ่อมีความสุข อย่างนี้ เห็นไหม? มันก็มีกำลังที่จะชนะตรงนั้นได้ แม้ว่ามันจะแหยะๆ ขมๆ ในที่สุด เพื่อพ่อเพื่อแม่เรา เราทำได้ เรากินได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้นนะครับ

ตัวอย่างที่พูดมาทั้งหมดนี้ มีอะไรที่ทำให้พ่อของเราบ้าง? ตะกี้ที่พูดมา ไม่มีเลย พ่อเราไม่ได้รับอะไรเลย กินผัก พ่อเราก็ไม่ได้แข็งแรงไปด้วย ออกกำลังกาย พ่อเราก็ไม่ได้แข็งแรงไปด้วย ไม่มีเลย ทำให้ตัวเองทั้งนั้น ดูแลสุขภาพตัวเอง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตัวเองได้ดีเองทั้งนั้น พ่อไม่ได้รับอะไรเลย แต่สิ่งที่ตัวเองได้ดีนั่นแหละ คือสิ่งที่ทำให้พ่อมีสุข เพราะพ่ออยากให้เรามีชีวิตที่ดี

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าก็ต้องการเหมือนกับเรา  ที่เป็นพ่อ เป็นมนุษย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็พระประสงค์อย่างนี้เหมือนกัน อยากให้คนไทยมีความสุข ให้อยู่อย่างพอเพียงอย่างนี้  เป็นอย่างนี้ การเป็นอยู่อย่างพอเพียง พระองค์ท่านก็ไม่ได้อะไรกับที่เราอยู่หรอก แต่ว่าพอรู้ ก็มีความสุข อย่างนี้เป็นต้น เพราะเรามีความสุขด้วย

ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ชีวิตของผมเอง ย้อนไปตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่น ตอนเริ่มเล่นดนตรี ย้อนไปตอนเรียนอยู่มัธยม เป็นคนที่ชอบเล่นดนตรีมาก ตั้งวงดนตรีกับเพื่อน แล้วก็ไปประกวด ได้รางวัลมา ก็เป็นรางวัลระดับนักเรียนเล่น มันก็ไม่ได้เล่นเก่งอะไรมากมาย เป็นนักเรียนสมัครเล่น อะไรประมาณนี้แหละ

จุดเปลี่ยนของชีวิตผมเกิดขึ้นตอนนี้แหละ ประกวดแล้วได้รับรางวัล ก็เป็นช่วงที่เรียนจบมัธยมพอดีเลย  แล้วก็ต้องสอบเอ็นทรานซ์ เข้ามหาวิทยาลัย สอบติด แต่เพื่อนๆ ในวงหลายคน ที่เล่นดนตรีด้วยกัน เขาสอบไม่ติดกัน แล้วด้วยความที่ผมและพวกรักในการเล่นดนตรีอยู่ ก็เลยตัดสินใจเอาดีทางดนตรีให้ได้ ในตัวผมคิดเองนะ แล้วก็ไปเริ่มปรึกษาพ่อ ท่านคิดดูว่าผมน่าจะไปปรึกษาพ่อไหมตอนนั้น ตอนเรียนอยู่มัธยม ไปสายจนกระทั่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน เขาเชิญผู้ปกครอง เขาเตือนอยู่แล้ว ที่มันสายเพราะอะไร?  เพราะมันซ้อมดนตรีดึก มันอดไม่ได้ เล่นกีต้าร์ตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึงตี 1, ตี 2 นั่งเล่น เดินเล่น หลับตานึกว่าเล่นอยู่ในวงดนตรี ซ้อมแบบจริงจัง มือเลือดไหลเลยนะบางที เล่นกีต้าร์จนเลือดไหล สมัยก่อนมันไม่มีอุปกรณ์อะไรมากมาย เหมือนเดี๋ยวนี้นะ ไม่ได้ไปทำอะไรเกเรเลย เล่นดนตรีมันดึกดื่น แล้วทำไม มันก็ตื่นสาย พอตื่นสายก็รีบๆ ไปโรงเรียน มันก็เกือบทันทุกทีเลย มันวันละนิดวันละหน่อย เขาก็เตือน เตือนในที่สุด เขาก็ต้องส่งหนังสือไปเชิญผู้ปกครองมา เป็นเรื่องน่าอับอายของบรรดาผู้ปกครองที่จะมาฟังเรื่องนี้

“นครมาสาย ถ้ามาสายอีกต่อไป เขาจะคัดชื่อออกจากโรงเรียนเลย”

นึกออกใช่ไหมครับ? สมัยนั้นเป็นอย่างไร? ก็ไปปรึกษาพ่อว่าพอจบมา สอบติดนะ คิดดูในสมัยนั้น ท่านคิดดูว่านักดนตรีในสมัยนั้น 40 กว่าปีที่แล้ว นักดนตรีสมัยนั้น ไม่เหมือนสมัยนี้นะ สมัยนี้นักดนตรีมีเกียรตินะ มีชื่อเสียงนะ มองดูว่ายังเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่สมัยนั้น เขาถือว่าไม่มั่นคง เต้นกิน รำกิน แล้วมันไม่มีอนาคตเลย ไว้ผมยาว แบบไม่ค่อยจะมีอนาคต ไม่เหมือนศิลปินยุคนี้

จำได้ตอนนั้นไปปรึกษาพ่อ พูดกับพ่อครั้งแรกว่า.-

“ผมจะสละสิทธิ์มหาวิทยาลัยที่สอบติด แล้วจะพักเรื่องเรียนหนังสือสักปีหนึ่งซะก่อน อยากออกมาเล่นดนตรี”

ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? วัยขนาดนั้น  ให้ทายว่าคุณพ่อเห็นด้วยไหม? ปฏิกิริยาครั้งแรก ท่านไม่เห็นด้วยหรอก แต่ไม่ตอบอะไร? ในสิ่งที่ผมพยายามจะแบ่งปันให้กับพ่อกับแม่ว่ามันคืออะไร? ท่านยังมองไม่เห็น แล้วอย่างไรรู้ไหมครับ? แล้วเมื่อได้คุยกัน พ่อบอกนึกไม่ออก ไม่เห็นภาพเลย แล้วจะไปทำดนตรี ไปเล่นอะไร? สมัยก่อนไม่มีการว่าเล่นคอนเสิร์ต ไม่มีนะ เขาเรียกว่าไปแสดงดนตรี สมัยก่อนนี้ ไปทำมาหากินอะไร? ไปแสดงดนตรีหากิน มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอนาคต พูดง่ายๆ แล้วจะไปเล่นดนตรี แล้วไปเล่นอย่างไร? เล่นที่ไหน? หากินอย่างไร? ไม่มีวี่แววว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น แต่เขาก็ไม่เอะอะโวยวาย แล้วก็ฟังดู แล้วเขาก็มาคุยกัน เอาไปคิดดูอีกที แน่ใจเหรอ คิดดูอีกที แล้วมาคุยกันแล้วกัน ประมาณอาทิตย์ สองอาทิตย์ก็ต้องรีบตัดสินใจ เพราะว่าก่อนที่เขาจะไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัย จะต้องตัดสินใจ เมื่อมาคุยกัน พ่อก็เห็นความตั้งใจของผม ในที่สุด  เราก็พบกันครึ่งทาง ตกลงกันอย่างนี้ว่าขอเวลาหนึ่งปี พ่อให้หนึ่งปี เราก็โอเค หนึ่งปีเหมือนดร๊อปไว้ ไม่ไปเรียนหนังสือแล้ว ไม่เรียน จะไปเรื่องดนตรีใช่ไหม? อยากเล่น ไปเล่นเลย หนึ่งปี ถ้าหนึ่งปีผ่านไป พิสูจน์ว่ามันไม่สำเร็จ เลิก โอเคไหม? กลับมาเรียนเหมือนเดิม ผมก็บอกโอเค ตกลงกันอย่างนั้น เห็นไหม? พ่อที่มีสติปัญญา พ่อที่มีความเข้าใจลูก ก็ต้องทำกันอย่างนี้  ถ้าผมพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ ก็เลิก ผมเองก็ตั้งใจอย่างนั้นนะ ถ้าไม่ได้ ก็เลิก ก็มันไม่ได้จริงๆ จะไปทูซี้ทำไม?  ท่านนึกออกไหมครับว่าสมัยโน่น สอบติดมหาวิทยาลัย แต่ไม่ยอมไปเรียน หัดมาเล่นดนตรี มันเป็นเรื่องที่น่าเกลียดมากเลยนะ ไปพูดให้ใครฟัง น่าเกลียดจริงๆ บอกมาเล่นดนตรี … ดนตรีตอนนั้น มันมีวี่แววเป็นอาชีพอะไรเลยนะครับ ผู้ใหญ่รับไม่ได้ด้วย ผู้ใหญ่ดูเราเหมือนคนสกปรก ผมยาวๆ รุงรังๆ

ซึ่งผมก็เชื่อว่าพ่อผมตอนนั้น ก็ต้องคิดอย่างนี้เหมือนกัน คือเป็นห่วง เป็นห่วงอนาคตของลูก แต่เมื่อเห็นว่าลูก คือผมตอนนั้น รักสิ่งนี้จริงๆ ตั้งใจจะทำสิ่งนี้จริงๆ ก็เลยเชื่อมั่นในตัวลูก เชื่อมั่นว่าอะไร ว่าเขาทำได้ ไม่ใช่ เชื่อมั่นว่าเขาตั้งใจดี มันก็ไม่ได้เสียอะไร? ก็ให้เขาลองไปสิ ยอมทั้งๆ ที่เป็นห่วง  ยอมทั้งๆ ที่ใจจริงอยากให้ลูกไปเรียนหนังสือดีกว่าตั้งเยอะ คงจะเตรียมแผนการอะไรเยอะว่าจะให้ทำอะไร เป็นอะไรต่อไป

นี่หลังจากที่ตกลงกันอย่างนั้นแล้ว พ่อผมก็กลายเป็นนักสำรวจเส้นทางดนตรีอาชีพ ที่ผมพยายามจะตั้งฉายานี้ ฉายาตำแหน่งของพ่อ ตอนนี้เพิ่งหามาตั้งได้ คือเก่งจริงๆ ยกนิ้วให้เลย  พ่อเอาหนังสือเกี่ยวกับดนตรีทั้งหมด ไม่ว่ายุคไหนๆ ยุคโน้น บีทเทิล โรลลิงสโตนส์ ยุคไหนๆ เรียนรู้ทั้งหมดเลย เพราะพ่อผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ปกติ อ่านหนังสือเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว อ่านหนังสืออะไร ดาราศาสตร์ เยอะแยะ เที่ยวนี้หยุดหมดทุกอย่าง มาเรียนเพื่อลูกอย่างเดียว เรียนอะไร? เรียนดนตรี ไม่ใช่เรียนเล่นดนตรีนะ เปิดดูว่ามันเป็นอาชีพได้ไหม?  มันเล่นอะไรกัน ผมเล่นดนตรีอยู่ ก็มาถามผม

“ของวงดนตรีอะไร?”

ผมถามว่า “จะไปรู้ทำไมพ่อ”

“เอ้อ! น่าเอามาให้ดูแล้วกัน”

คือขอชื่อเท่านั้นเอง แต่ก่อนมันไม่มี google แบบนี้นะ ท่านเข้าใจไหมครับ? มันไม่มี google อย่างนี้ แต่พ่อ พอเอาชื่อมาปุ๊บ  ไปศึกษาหมดว่าที่ผมเล่นดนตรีนี้ วงดนตรีร็อค … ร็อคอะไร? วงอะไรต่างๆ มันเกิดขึ้นอย่างไร?  เขาเล่นดนตรีกันอย่างไร?  เขามีอาชีพอยู่กันอย่างไร? เวลามันจะมีปัญหา ในวงมีปัญหาเพราะอะไร? บอกละเอียดยิบ แล้วก็เขียนเป็นตำราให้ผมว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ๆ เสร็จแล้ว เลยไปหลายเดือน มาคุยกับผมบอกว่า.-

“ตั้งใจทำให้ดีๆ นะ ที่ลูกทำอยู่นี้ มันเป็นอาชีพได้อย่างดีเลย ในอนาคตมันจะไปได้ไกลมากเลย ในเมืองไทย”

แล้วก็ผมก็เป็นนักดนตรี แล้วก็เริ่มเล่นอาชีพแล้ว มีคนมาจ้างให้เล่น ก็เล่นในกรุงเทพ ในที่สุด มีคนมาติดต่อไปเล่นที่จังหวัดนครพนม ให้กับทหารอเมริกัน ในแคมป์ทหารที่นครพนม เป็นสถานพัก ที่จะส่งทหารไปรบที่เวียดนาม ทหารพักก็มาที่นี่ แล้วก็มาเที่ยวกัน เราก็ไปเล่นดนตรีให้เขาฟัง ซึ่งท่านคิดดูนะครับ ก็ตกลงไป เด็กหนุ่มๆ ไปอยู่ที่นั่น  อยู่ต่างหาก มีอิสรภาพ เสรีภาพทุกอย่างเลย  แล้วเมืองทั้งเมือง มันเป็นเมืองที่มีทหารทั้งนั้น ทุกอย่างเงินสะพัดทุกอย่างเลย แล้วก็ไม่ใช่เงินสะพัดอย่างเดียว อบายมุกสะพัดหมด ทุกอย่าง มีหมดทุกชนิด ตั้งแต่เรื่องเหล้า ยา … ยาจริงๆ นะ หมายถึงยาเสพติด ผู้หญิง มีเยอะแยะไปหมดทุกอย่าง แล้วเราเด็กหนุ่มๆ ไปอยู่ที่นั่น  พ่อแม่ก็เป็นห่วง  ถูกไหม? ก็เป็นห่วง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ลูกมาถึงเส้นทางนี้แล้ว จะทำอย่างไร?

แล้วพ่อเริ่มต้นเขียนจดหมายครับ จดหมายมันไม่เหมือนกับอีเมล์สมัยนี้ ท่านต้องพิมพ์ดีด ไม่ใช่ลายมือเขียน กลัวจะอ่านไม่ออก พิมพ์ดีดทีละปึกหนึ่ง ปึกหนึ่งมีประมาณ 10 กว่าแผ่น เป็นปึกนะ พิมพ์ดีด แล้วก็สอนผมในจดหมายนั้น อาทิตย์หนึ่ง 1 ฉบับ … ฉบับหนึ่งมีประมาณ 10 กว่าแผ่น บอกให้หมดเลยว่าต้องเป็นอย่างไรบ้าง? เรื่องโน้นเรื่องนี้ ตั้งแต่เรื่องการอยู่ การกิน การระวังตัว รวมถึงการเล่นดนตรี  และวิชาการดนตรีต่อไปด้วยในอนาคตควรจะเป็นอย่างไร?

ท่านคิดดู นี่คือการสำแดงความรักของผู้ที่เป็นพ่อ ถ้าเขาไม่รักเราจริง เขาไม่สำแดงอย่างนี้ เราจะสัมผัสความรักเขาไหม? ได้แต่บอกรักเหรอ แล้วมากกว่านั้น อะไรรู้ไหมครับ? ผ่านไป 4 เดือน เป็นห่วงมาก แม้เขียนจดหมายแล้วยังเป็นห่วง ทำอย่างไรรู้หรือเปล่า? เดินทางไปนครพนม เดินทางไปนครพนม 2 คนพ่อกับแม่ ลำบากลำบนมาก สมัยก่อนนี้ ถ้าจะไปนครพนม มันสุดโน่นเลย ชายแดน จะข้ามไปอีกนิด ก็ถึงลาวแล้ว ยากมาก เดินทางไปลำบากลำบน คนอายุมากแล้วด้วย  พอไปดูการเป็นอยู่ของเราที่นั่น ยิ่งเป็นห่วง กลับมา เป็นห่วงใหญ่เลย แย่แล้ว ลูกเราสงสัยไม่รอด ตายแน่ๆ หมายถึงว่าดูการเป็นอยู่แล้ว ลำบากมาก ลำบากในที่นี่ หมายถึงในอบายมุกทั้งหมด กลัวมากว่าลูกจะเป็นอย่างนั้น

ความรักที่พ่อสำแดงให้กับเราก่อน และความรักตัวนี้ จึงทำให้ผม เวลาจะทำอะไร ตัวเองไม่กลัว เพราะเรายังวัยรุ่น เราไม่รู้อนาคตจะเป็นอย่างไร? เรากำลังสนุก แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงผมไว้ ก็คือพระคุณ ความรักของพ่อและแม่ที่ให้กับผมก่อน เราจึงจะทำอะไร ไม่อยากทำ ให้เขาเสียใจ ไม่อยากจะทำให้เขาเป็นห่วง อยากทำให้เขามีความสุข เห็นไหม?  ผมจึงได้สิ่งนี้มา มันได้สิ่งนี้มา

มันตรงกับสิ่งที่กำลังคุยกันในวันนี้ว่ารัฐบาลเขายังพยายามรณรงค์ในเรื่องนี้ว่าทำดี เพื่อพ่อ คือทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พ่อมีความสุข เพราะถ้าบอกว่าไปทำโน่นทำนี่ บางทีเราไปอยู่ตรงโน้นแล้ว เราไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร?  แต่รู้เลยว่าทำสิ่งนี้ แล้วพ่อจะมีความสุขไหม ถ้าเราทำอย่างนี้

พอเราไปเสพยา ถ้าเราไปลอง แล้วพ่อเราจะมีความสุขไหม? อะไรอย่างนี้ เห็นไหม?  มันก็เลยรอด เพราะไม่ใช่ตัวเองดี ไม่ใช่ตัวเองเก่ง แต่รอด เพราะความรักของพ่อของแม่ สำแดงให้ผมเห็นก่อน จนผมทนไม่ไหว ทนไม่ไหวจึงต้องตอบแทนพระคุณของท่าน โดยการมอบชีวิตให้ท่าน เป็นสิ่งที่ดีให้กับท่าน เป็นที่สบายใจของท่าน

นี่คือเรื่องเดียวกัน อยากจะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟัง จริงๆ มีเยอะมากมาย จริงๆ เอามาสอนเดี๋ยวนี้ได้ ให้ทั้งพ่อและแม่เดี๋ยวนี้ได้รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่เราสามารถที่จะสำแดงความรักของเราต่อลูกของเราได้

นี่คือตัวอย่างของคนที่เป็นพ่อ ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ที่สมควรจะได้รับการทดแทนพระคุณ จากลูกๆ ด้วยการที่ลูกเป็นคนดี เป็นคนที่กตัญญู รู้คุณต่อพ่อแม่ เชื่อฟังพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าด้วย และทุกอย่างที่ทำเพื่อท่านนั้น  เพื่อว่าท่านจะได้มีความสุข คิดอยู่แค่นี้เอง

แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด? ที่มหากษัตริย์ของเรา คือในหลวงของเรา ผู้ทรงเหน็ดเหนื่อย เพื่อพสกนิกร สมควรจะได้รับการทดแทนพระคุณ จากประชาชนชาวไทย ด้วยการประพฤติตนให้เป็นคนดีของสังคม และทำทุกสิ่ง เพื่อให้ในหลวงของเรา ทรงเกษมสำราญ มีความสุข เหมือนกัน ถูกไหม? นี่คืออยู่ในใจเราเลยแหละ จำอะไรไม่ได้ รู้ทันทีเลยว่าเราจะทำสิ่งนี้แหละ ในหลวงมีความสุขไหม?  ถ้าในหลวงมีความสุข ทำเลย  ถ้าในหลวงไม่มีความสุข หยุดๆ เพราะเรารักท่าน

และมากกว่านั้นสักเท่าใด? ที่พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้ทรงรักและเสียสละต่อเราอย่างมาก ถึงขนาดยอมเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ และเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการทดแทนพระคุณ จากพวกเราทุกคน ที่เป็นคริสเตียน ที่มาได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์แล้ว โดยการมอบถวายชีวิตของเรา เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่แด่พระองค์ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ก็คือให้เป็นที่สุขใจของพ่อเรา คือพระบิดา

โรม 12:1-2 เราอ่านข้อนี้ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง ให้มันจำอยู่ในหัวของเราเลยว่าถ้าเรารักพ่อ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเรา หรือเป็นพ่อหลวงของเรา หรือเป็นพ่อแม่ในครอบครัวของเราก็ตาม พระคัมภีร์ข้อนี้ ก็ยังใช้ได้เสมอ ทำให้พอพระทัย หรือทำให้ท่านมีความสุขนั่นเอง อ่านพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง

โรม 12:1-2  “1 เหตุฉะนั้น  พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ  ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ เปลี่ยนทางของท่าน ให้เป็นทางของพระเจ้า ที่จะทำให้พระองค์มีความสุข”

เอเมน … ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 3 “เราเป็นวิหารของพระเจ้า” (You are a temple God) โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 3 “เราเป็นวิหารของพระเจ้า”

(You are a temple  God)

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ตัวตนในพระคริสต์ ตอนที่ 3 … ตัวตนในพระคริสต์ วันนี้เป็นตอนที่ 3 แล้ว สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันเรื่องในพระคริสต์ เราได้มีส่วนธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ซึ่งภาษาอังกฤษ “Divine Nature” ผมได้เล่าย้อนหลังถึงตั้งแต่ปฐมกาลว่าพระเจ้าทรงสร้างบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร? ให้มีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างไร? ยังจำได้ไหมครับ? ซึ่งสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า ที่มีชีวิต สรุปแล้ว ได้แก่พืช สัตว์ และมนุษย์ แตกต่างกันอย่างไร?

พืช เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกาย

สัตว์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกายและความคิดจิตใจ

มนุษย์ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีร่างกาย และความคิดจิตใจ และวิญญาณ

บางคนบอกมีวิญญาณ แต่ผมอยากบอกว่าไม่ใช่มีวิญญาณ แต่มันสำคัญกว่านั้น มันเป็นวิญญาณ

ให้เราพูดพร้อมกัน “เป็นวิญญาณ … มนุษย์เป็นวิญญาณ

ไม่ใช่มีวิญญาณ เพราะเราบอกว่ามีวิญญาณ แสดงว่าร่างกายสำคัญกว่า อยู่ตลอดไหม? ไม่ตลอด  อะไรอยู่ตลอด วิญญาณ เพราะฉะนั้น ควรจะเป็นวิญญาณและมีร่างกาย มันกลับกันนะ มนุษย์เป็นวิญญาณ และมีร่างกาย มีความคิดจิตใจ

วิญญาณ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Spirit ก็คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทุกชนิด ที่พระเจ้าทรงสร้าง

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ตามพระฉายของพระองค์ มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระองค์ คือพระเจ้า และมนุษย์เป็นวิญญาณ เพราะมีส่วนของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้านั่นเอง

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “Spirit of life” แปลว่า “ลมหายใจแห่งชีวิต” คือวิญญาณแห่งชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าระบายสู่มนุษย์ ทำให้มนุษย์เกิดมาเป็นวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง แต่หลังจากที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ทุกอย่างก็กลายเป็นตรงกันข้ามหมดเลย

อย่างเช่น ร่างกายจากไม่ตาย ก็ต้องกลายเป็นตาย ความคิดจิตใจที่ดีงาม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ก็กลายเป็นชั่วร้าย วิญญาณก็ต้องตาย ถูกตัดขาดออกจากความสัมพันธ์ของพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ในทางวิญญาณ ทางวิญญาณ ก็คือตัวจริงๆ ของเรา ตัวจริงๆ ของมนุษย์ พระเยซูมาไถ่บาปให้กับตัวจริงๆ ของเรา … เราก็ได้กลับสู่สภาพเดิม คือสภาพเริ่มต้นที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ ตามพระฉายของพระองค์ และมีชีวิตเหมือนพระองค์ นั่นเอง กลับมาเหมือนเดิม

ยังจำตารางที่ผมเปรียบเทียบให้ได้ไหมครับ? เรามาดูตารางกันนิดหนึ่ง เพื่อย้อนความจำ เดิมมนุษย์เป็นอย่างไร? พอตกลงไปในความบาปแล้วเป็นอย่างไร? พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิมเป็นอย่างไร? ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วผมได้บอก อธิบายอย่างละเอียดเลยว่านี่คัดมาจากจำนวนหนึ่งในพระคัมภีร์ทั้งหมด เพื่อสรุปให้สั้น เห็นชัดๆ เป็นตารางเลย ซึ่งวันนี้จะไม่ลงรายละเอียด เพียงแต่มาทบทวนเท่านั้นเอง ดูตามตารางไปนะครับ

เดิม มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเยซูมาไถ่บาป
สะอาด บริสุทธิ์

ปกคลุมด้วยพระสิริ

ติดต่อพระเจ้าได้

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

ตาและหู เปิด

วิญญาณครบบริบูรณ์

พระพรจากพระเจ้า

สกปรก มีมลทิน

พระสิริหายไป

เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตายนิรันดร์

อยู่ในอาณาจักรความมืด

อยู่ในความพินาศ (นรก)

ตาบอด  หูหนวก

ป่วยทางวิญญาณ

ถูกสาปแช่ง

สะอาด บริสุทธิ์

เต็มไปด้วยพระสิริ

คืนดีกับพระเจ้า

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

มองเห็น  ได้ยิน

วิญญาณหายป่วย

หลุดพ้นจากคำสาป

 

เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม

พอมนุษย์ล้มไปในความบาป ก็กลายเป็นสกปรก มีมลทิน

พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ กลับมาเหมือนเดิม คือสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนเดิม

คำเหล่านี้ จะเป็นคำที่อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนะ คือพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ผมจะพยายามเอาคำที่คุ้นๆ ในพระคัมภีร์มาใช้ เมื่อไรท่านอ่านพระคัมภีร์ ส่วนตัวของท่าน เมื่อท่านอ่านพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ ท่านเห็นตัวนี้ ท่านจึงจะเข้าใจ อ๋อ!

ยกตัวอย่าง ถ้าท่านเห็นคำว่า “มลทิน” ท่าน อ๋อ! รู้แล้ว มลทินคืออะไร?  เข้าใจใช่ไหมครับ?  ท่านเห็นคำว่า “บริสุทธิ์” ท่าน อ๋อ! มนุษย์เป็นอย่างไร? ในพระเยซูแล้ว เรากลับมาบริสุทธิ์อย่างไร? ชอบธรรม คืออะไร?  ซึ่งคำเหล่านี้ ศัพท์เหล่านี้อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม

          เดิมพระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์ถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า

          พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป ก็กลายเป็นพระสิริของพระเจ้าหายไป

          พระเยซูมาไถ่บาปให้มนุษย์ … มนุษย์ก็กลับมาเต็มไปพระสิริของพระเจ้าเหมือนเดิม

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ติดต่อกับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ทุกวัน ตลอดเวลา

          มนุษย์ล้มลงไปในความบาป กลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดกับพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้

          แต่พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ … มนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า คืนดีกัน คุยกันได้ทุกวัน

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์มีชีวิตนิรันดร์ แบบพระเจ้า

          พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ล้มลงไปในความตาย กลายเป็นตายนิรันดร์

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ กลับคืนมามีชีวิตนิรันดร์

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่ในความสว่าง หรือเรียกว่าอาณาจักรสว่าง

          มนุษย์ล้มลงไปในความบาป จึงกลายเป็นไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสุข อาณาจักรแห่งความสว่างอีกครั้งหนึ่ง

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่ในสวรรค์ที่เรารู้จักกันดี เอเดนนั่นแหละ คืออาณาจักรสวรรค์

          มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ต้องถูกไล่อัปเปหิออกไปจากสวรรค์ไป ไปอยู่ในที่นี่หนึ่ง ที่พระคัมภีร์เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้กลับมาอยู่ในสวรรค์ เหมือนเดิม

 

          ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตาทางฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เปิดออก ได้ยินเสียงพระเจ้า  ตาก็เห็นพระเจ้า เห็นในเรื่องโลกวิญญาณชัดเจน

          แต่พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่าตาบอด หูหนวกทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้รู้เรื่องทางฝ่ายวิญญาณเลย มัวไปหมดเลย

          พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ … มนุษย์ถึงกลับมา มองเห็น ได้ยินฝ่ายวิญญาณ ได้ยินเสียงพระเจ้าเหมือนเดิม

 

          ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ วิญญาณของมนุษย์ เรียกว่าครบบริบูรณ์ สมบูรณ์นะสมบูรณ์

          แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ล้มลงไปในความป่วยทางวิญญาณ พิการในวิญญาณ ป่วยทางวิญญาณ

          พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว ไม่ป่วยอีกต่อไป วิญญาณกลับคืน แข็งแรงดีแล้ว เอเมน

 

          พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์ได้พรจากพระเจ้า เพราะอยู่กับพระเจ้า

          พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป หลุดจากพระเจ้าไป ตรงกันข้ามกับพร เข้ามาทันที คือคำสาปแช่ง ต้นมงต้นไม้กลายเป็นหนาม ทำมาหากินลำบากลำบน

          พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมาสู่พระพรของพระเจ้า หลุดจากคำสาปแช่ง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  รับเอาคำสาปแช่งของเราไปแล้ว

 

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตามตารางนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่วิญญาณก่อน ที่วิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงของเรา ณ วินาทีที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  วินาทีที่เรารับเชื่อพระเจ้า  วิญญาณเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงตามตาราง เมื่อตะกี้นี้ ทันทีทันใดเล

มนุษย์มี 3 องค์ประกอบใช่ไหมครับ คือร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับเชื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไหนขึ้น พระเยซูไถ่เราที่ไหน? ผมจะอธิบายให้ท่านเห็นชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง ทบทวนครั้งที่แล้ว

  1. ที่วิญญาณ ใช่ไหม? ตัวจริงเรา ที่วิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทันทีปุ๊บ วิญญาณเปลี่ยนทันทีเลย เปลี่ยนใหม่ทันทีเลย
  2. ที่ความคิดจิตใจ เกิดอะไรขึ้น ความคิดจิตใจ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็ได้ประทาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาเป็นพี่เลี้ยง ให้มาดูแลเรา เป็นกำลัง เป็นสติปัญญา ให้เราสามารถค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเราไปทีละนิดๆ ทีละหน่อย หนึ่งในนั้น ก็คือนำพาเรามาโบสถ์ มาวันอาทิตย์ เพื่อเราจะได้ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของเราไป  เหมือนชีวิตเก่านั่นเอง แล้วต่อไปอะไร?  ต่อไปที่ร่างกาย
  3. ที่ร่างกาย … ที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไหม? มีไหม? มี เราจะได้

พูดพร้อมกันว่า “จะได้”

ไม่ใช่เราได้แล้ว เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องรอก่อน รอให้จากโลกนี้ก่อน คือออกจากร่างนี้ก่อน เพราะฉะนั้น นี่คือใครๆ ก็อยากจะไป จึงเรียกว่าได้กำไร ตายจากโลกนี้ไป ได้กำไร เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป เตรียมตัวไปรับร่างกายใหม่ เอเมน

นี่คือสรุปครั้งที่แล้ว นี่คือบทสรุปการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 2 มีชื่อตอนว่า “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

“ในพระคริสต์ ฉันมีส่วนเข้าไปใน Divine Nature มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า เหมือนพระเจ้า”

และวันนี้เราจะมาดูกันต่อ ว่านอกจากการได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ มีอะไรอีก ได้อะไรอีก เมื่อตอนเรามาเชื่อพระเยซู ตอนนี้เราได้อะไรมาบ้าง? ตัวตนจริงๆ เราเป็นใคร? ได้อะไรบ้าง?  เมื่อเราได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราก็ได้มาอยู่ในบ้านเดียวกันกับพระเจ้า นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น บ้านเดียวกัน เหมือนกัน เหมือนอะไรรู้ไหม? พระเยซูบอกอย่างไงรู้ไหม? พระเยซูบอกว่าใครๆ ก็ตามว่าพระองค์จะมาสำแดงอัศจรรย์ ไม่ใช่สำแดงอัศจรรย์ พระองค์จะมาสำแดงสวรรค์ให้กับพวกเราทั้งหลาย ที่เดินอยู่บนโลกนี้

คนเขาถามว่า “แล้วสวรรค์เป็นอย่างไร?”

พระเยซูยกตัวอย่างๆ มีตัวอย่างหนึ่ง พระองค์ทรงยกตรงนี้ สวรรค์เป็นเหมือนอะไร? เป็นเหมือนลูกา บทที่ 15 เป็นเหมือนบุตรหลงหายไป บุตรของมหาเศรษฐี

“อยากจะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง ไม่สนใจพ่อแล้ว แบ่งสมบัติมา ฉันจะไปแล้ว”

พ่อก็จะทำอย่างไงได้ เขามีสิทธิ์ พ่อไม่ได้บังคับเขาเป็นทาส เอาไปเลย พระเยซูเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บุตรคนนั้น ก็เลยเอาทรัพย์สมบัติจากพ่อไป แล้วก็ออกนอกบ้านไป ไปใช้ชีวิตเกเร ยุ่งวุ่นวายในอบายมุก จนกระทั่งหมดเกลี้ยง ทรัพย์สินเกลี้ยง จนไม่มีอะไรจะกินแล้ว ต้องไปเลี้ยงหมู ทุกข์ทรมานมาก ทรมานอย่างแสนสาหัส ในชีวิต นึกขึ้นมาได้ว่า.-

“สมัยก่อนที่อยู่บ้านพ่อ … พ่อเราเป็นมหาเศรษฐี ขนาดคนใช้นะ ขนาดทาสในบ้านของเรานะ ยังมีกินดีกว่านี้เลย ไม่ได้กินข้าวหมูอย่างนี้ ไม่ได้ทรมานอย่างนี้  เพราะฉะนั้น เรากลับไปหาพ่อเราดีกว่า อย่างน้อยเราไปขอเป็นทาสก็ยังดี เราไม่กล้าเข้าไปสู่หน้าพ่อเรา เพราะเราแย่มากตอนนั้น เราจะขอพ่อยกโทษให้ลูกด้วย ขอการเป็นทาสยังดี ขอข้าวของคนรับใช้ในบ้านมาทาน ก็พอแล้ว”

ปรากฏว่าเด็กคนนี้ ก็เลยขอกลับไปบ้าน ไปถึงบ้านปุ๊บ เจออะไร? ยังไม่ทันถึงบ้านเลย ถึงแค่หน้าบ้านเอง เจอไม้กวาดไล่ ไม่ใช่ เจออะไร? เจอหนังสติ๊กยิง ไม่ใช่ นั่นมันคนๆ พระเยซูเล่าให้ฟัง นี่ว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ พ่อเห็นแต่ไกล ยังไม่ทันเข้าบ้านเลย

“ลูกเรานี่หว่า”

ท่านคิดดูสิ เห็นแต่ไกล ยังจำได้ว่าลูก แสดงว่าพ่อทำไม? พ่อคิดถึงลูกตลอด

“ลูกเรากลับมา”

ไม่ได้คิดโกรธอะไรต่างๆ เลย แสดงว่าคิดอยู่ตลอดเวลา คิดถึงลูกตลอดเวลา เมื่อไรลูกจะกลับมาบ้านสักทีหนึ่ง กลับมาบ้านสักที บัดนี้ลูกเรากลับมาแล้ว ดีใจใหญ่ ลูกก็กลัวจะตาย โดนแน่ โดนไม้เรียว โดนไล่แน่ เปล่า พ่อกลับรับไว้อย่างดีเลย  แล้วทำไม? ลูกกะว่าจะขอกินข้าวนิดๆ หน่อยๆ ก็ปรากฏว่าพระเยซูเล่าให้ฟังว่ากลับความคาดหมายของลูกอย่างตาลปัดเลย  พ่อมาถึงปุ๊บ พ่อสวมกอด ไม่ได้ว่าอะไรลูก … ลูกจะขอโทษ ไม่ต้องขอโทษ ขึ้นมากอดๆ … กอดเสร็จทำอย่างไร? เรียกคนใช้ ไปหยิบเสื้อคลุม แหวนมาใส่ให้เขา

เสื้อคลุม แหวน คืออะไร? คือตำแหน่งของเขาเหมือนเดิม คือเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม เหมือนก่อนเขาไป อภัย ลูกไม่ต้องไปพูดหรอกว่ากลับมาเป็นทาส ไม่ใช่ แต่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูบอกว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูไถ่เราให้กลับมาเหมือนเดิม คือเรากลับไปอยู่ในบ้านเดิมของเรา ที่มาตั้งแต่เกิด คือบ้านเรา คืออยู่ในสวรรค์ อยู่กับใคร? อยู่กับพ่อเรา ก็คือพระเจ้า พระบิดา เหมือนตัวอย่างตะกี้นี้บอก เพราะพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ใครๆ ก็รู้ ตอนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราก็รู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทุกคนตอบพร้อมกันเลยว่าทุกคนในโลกนี้ รู้หมด พระเจ้าก็ต้องอยู่ที่สวรรค์สิ ตอนนี้เราอยู่กับพระเจ้าแล้ว และตัวเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? ตัวเราตอนนี้ เรานั่งอยู่ที่ไหน? เราดำเนินชีวิตบนโลก เอาล่ะสิ ตะกี้ยังเพลินๆ อยู่ แล้วมาบอกว่าอยู่บ้านเดียวกับพระเจ้าได้อย่างไร? ตอนนี้อยู่บนโลก งงไหม? งงหรือไม่งง? ตอบตามจริง งง เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ เชื่อเพราะอะไร? เชื่อเพราะผมพูด เพราะอะไร? เชื่อเพราะอะไร? เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น และในจิตวิญญาณของเรา ในใจของเรา  ในวิญญาณของเรา

พระวิญญาณบริสุทธิ์ย้ำยืนยันว่า “ใช่”

เอเมน ปากเราจึงพูดคำว่า “เอเมน”

เอเมนไหม? เอเมน ไม่ต้องเข้าใจหรอก ไม่ต้องเข้าใจ งงก็งงไป

“พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ ฉันก็บอกอย่างนี้”

มาดูข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ แล้วท่านพอจะเห็นคำตอบ ลูกา 17:20-21 ตะกี้ที่ผมเล่าให้ฟัง มันอยู่ที่ลูกา 15:1 เป็นต้นมา อาณาจักรของพระเจ้า เป็นลักษณะไหน? บุตรหลงหาย ใช่ไหม? ตอนนี้มาดูว่าพอเลยมาสักนิดหนึ่ง  พระเยซูพูดว่าอะไร?

ลูกา 17:20-21 “20 คราวหนึ่ง พวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่าอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ 21 ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน”

 

เอเมน

เอ๊า! พูดพร้อมกันดังๆ เลย  “เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในฉันนี่เองแหละ”

ก็คือในร่างกายเรานี่แหละ … ที่บอกว่าอยู่บ้านเดียวกับพระเจ้า และบ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ยังจำได้ไหมครับ เราเคยเรียนกันแล้วว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้อยู่ วิญญาณของเรา ได้อยู่กับพระเจ้า ที่ไหน? เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ ในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว  ถูกไหม?  ซึ่งทุกวันนี้ เราก็ยังเรียนอยู่ เราก็ยังไม่เข้าใจหรอก แต่เราก็เชื่อเป็นไปตามนั้น ข้างในของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย้ำยืนยันว่ามันใช่

ข้อนี้อธิบายเพิ่มเติม เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน อธิบายเพิ่มเติมว่าอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน อาณาจักรของพระเจ้า ก็คือสวรรค์

สรุป คือสวรรค์อยู่ภายในร่างกายท่าน ร่างกายของเรา  นี่แหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  ไม่ต้องขึ้นจรวดไปที่ไหน? อยู่ตรงนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ที่เราเคยงงกันว่าตัวเรานั่งอยู่ที่นี่ แต่วิญญาณเรา ไปอยู่ที่สวรรค์ได้อย่างไร? ความหมาย ก็คือแบบนี้ คือพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา นี่ตามประสามนุษย์นะ พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายนี้ นี้ภาษาความคิด ความเข้าใจแบบมนุษย์ที่พยายามอธิบายให้เราเข้าใจ แต่สำหรับพระเจ้าไม่มีลงหรือขึ้นหรอก เพราะพระเจ้าเป็นนิรันดร์ เป็นวิญญาณ  มิติ เกินกว่ามิติของมนุษย์ มิติมนุษย์ มี 3 มิติเองใช่ไหม? กว้าง ยาว ลึกใช่ไหม? ของพระเจ้าเลย ไป 4, 5 มิติโน่น มนุษย์ไม่เข้าใจ เหมือนมดไม่เข้าใจคน … คนรู้ว่าตรงนี้มีภูเขาอยู่ มดไม่รู้ เดินไป มันราบตลอด อะไรประมาณนี้นะ

เพราะฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ พอจะเข้าใจได้ คือพระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเรา กับมนุษย์นั่นเอง ในร่างกายนี้แหละ ร่างกายของเราจึงเป็นอาณาจักรของพระเจ้า หรืออาณาจักรพระเจ้าที่เรียกว่าสวรรค์

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ คุ้นๆ นะครับ

“สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ”

เรื่องจริง คือคนที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ข้างในใจ ก็จะมีสภาพของสวรรค์ อยู่ภายในร่างกาย ภายในความคิด จิตใจของเขา เอเมน

สวรรค์อยู่ในใจเรา  … เมื่อพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา เพราะฉะนั้น …

ร่างกายของเรานี่ ก็คือที่ประทับของพระเจ้า

และที่ประทับของพระเจ้า ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า

อาณาจักรของพระเจ้า ก็คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง เอเมน

ซึ่งพระคัมภีร์บางแห่งนะครับ ก็จะใช้คำว่า “วิหาร” ที่ประทับพระเจ้า ก็คือวิหาร พลับพลา

1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในท่าน”

 

พูดตามผม “ร่างกายของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

พระคัมภีร์บันทึกเหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดขึ้นตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนหนึ่งในนั้น มัทธิว 27:50-51 อ่านดูนะครับ

มัทธิว 27:50-51 “50 เมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”

 

ศุกร์ประเสริฐ บ่ายสามโมง พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้กับเรา ก่อนสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ที่ตะกี้เราอ่านด้วยกัน

ม่านในวิหารขาดเป็นสองส่วน พระวิหาร ก็คือพลับพลาที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในสมัยโมเสส ตามที่พระเจ้าได้บัญชาให้พวกเขาทำ และเหตุการณ์ที่ม่านในวิหารขาดออก เป็นการเล็งให้เห็นว่าพระเจ้าจะไม่ประทับอยู่ในวิหาร ที่ทำด้วยฝีมือมนุษย์ ที่เป็นหิน เป็นเหล็ก เป็นทอง นี้ต่อไปอีกแล้ว กิจการ 17:24 อ่านพร้อมกัน

กิจการ 17:24 “พระเจ้าองค์นี้ ผู้ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งในโลก ทรงเป็นเจ้าเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ประทับในวิหาร ที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์”

 

พระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ที่พลับพลา หรือวิหารที่มนุษย์ทำจำลองขึ้นอีกแล้ว แต่ทรงมาประทับอยู่กับมนุษย์ที่เป็นผู้เชื่อ เพราะว่าพระองค์ส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาทำการไถ่บาปให้กับมนุษย์กลับคืนสู่สภาพดีแล้ว ทำเสร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง ตอนที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่น เอเมน พระองค์จึงประกาศก้อง ลั่นว่า “It is finish.” คือแปลว่า “มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว” พระเจ้าก็ไปเลย ไปไหน?  ไปเตรียมตัว เก็บข้าว เก็บของ สมมติตามภาษามนุษย์นะ เก็บผ้าเก็บผ่อนต้อนรับใคร? ต้อนรับพวกเรากลับเข้ามาสู่บ้านเกิดของเรา เห็นภาพไหม? โอโห้! ซึ้งเลยนะ

พระเจ้าไม่ต้องสถิตอยู่ที่วิหาร ที่ทำขึ้น ด้วยฝีมือมนุษย์อีกต่อไป สวรรค์จำลองที่สมัยโมเสส ทำพลับพลาขึ้นมานั่นนะ ไม่ต้องเป็นที่อยู่ของพระเจ้าอีกแล้ว มาอยู่ที่บ้านที่เป็นมนุษย์ คือร่างกายของผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เกิดผลกับเขา แต่ถ้าเขาเชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ตาย เพื่อเขาจริงๆ เขาก็ได้รับสิทธินั่นทันที เดี๋ยวนี้เลย เอเมน ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 3:16 ที่ตะกี้ ที่เราอ่านกันไป ที่บอกว่า

“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า  และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน”

หนังสือโครินธ์นี้ ก็คือจดหมายฝากที่อาจารย์เปาโล เขียนถึงชาวโครินธ์ ซึ่งถ้าจะให้ท่านเข้าใจในความหมายของคำพูด ของอาจารย์เปาโลข้อนี้นะ ผมต้องเล่าย้อนให้ท่านได้เห็น หรือทราบ รู้ถึงเบื้องหลังของชาวโครินธ์ ในยุคนั้นก่อนว่าเขียนไว้ให้ชาวโครินธ์นั้น เขาเป็นอย่างไร? เขาเป็นอยู่กันอย่างไร? ตอนนั้น ดูนะ ตื่นเต้นมากเลย

ย้อนกลับไป ประมาณ 2,000 ปี เร็ว คือเมืองโครินธ์ในยุคนั้นนะ เป็นเมืองใหญ่ และเป็นศูนย์กลางการค้าขาย ทำให้ความเป็นของชาวโครินธ์สมัยนั้นรายล้อมไปด้วยความฟุ่มเฟือย และแหล่งอบายมุกต่างๆ มากมาย และมีชาวโครินธ์ที่เป็นผู้เชื่อและเป็นคริสเตียนจำนวนมาก ที่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในอบายมุกเหล่านั้นอยู่เหมือนเดิม ยังทำตัวเหลวไหล ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เชื่อเลยสมัยนั้น

ท่านจะเห็นภาพเลย 2,000 ปีผ่านไป ทำไมปัจจุบันกับแต่ก่อนเหมือนกันเลยนะ ทำไมเมืองใหญ่ๆ มีความชั่วร้าย อบายมุกเยอะแยะ เพราะคนแห่กันไปที่นั่น จริงๆ ที่ไหนๆ ก็มีความชั่วร้ายหมด ตามพระคัมภีร์บอก แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าแต่ขนาด คนโครินธ์เหล่านั้น ประพฤติตัวเหลวไหลถึงแบบนั้นนะ เป็นคริสเตียนแล้วนะ เปาโลยังเรียกชาวโครินธ์ ที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซู ทั้งหลายเหล่านั้นว่าเป็นผู้ชอบธรรม และเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “เซนท์” ที่แปลว่าผู้ชอบธรรม นึกออกไหม ที่การ์ตูนชอบเขียนภาพ เดินไปตรงไหน แล้วก็มีสิริอยู่ตรงศีรษะกลมๆ

 

          นี่คือการย้ำยืนยันในสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาตลอด ว่าความชอบธรรมของมนุษย์นั้น ได้มาจากการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่มาจากกระทำของเราเอง มนุษย์เอง ไม่ได้อยู่กับการกำหนดของระบบของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ อาจจะบอกว่าใครที่มีความประพฤติหรือมีการกระทำที่ชั่วร้ายต่างๆ เช่น กินเหล้า เมายา ล่วงประเวณี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โกหก หลอกลวง ลักขโมย คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรม คนเหล่านี้จะไม่ได้ไปสวรรค์ด้วย ถูกไหม?  แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในเมืองโครินธ์  ชาวโครินธ์นี้ ที่ทำตัวแบบนี้ เต็มไปหมดเลย เชื่อแล้วนะ เปาโลยังเรียกพวกคนเหล่านี้ว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม คือเปาโลไม่ได้กำหนดตัวตนของพวกเขา จากความประพฤติ หรือการกระทำของพวกเขาเอง แต่เป็นการกำหนดตัวตนของพวกเขา จากความเชื่อ ในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์

 

เพราะฉะนั้น  ทุกคนจึงถูกเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม  เพียงเพราะว่าเขาเหล่านั้น คริสเตียนชาวโครินธ์เหล่านั้น ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว และได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว โดยไม่ได้มองที่การกระทำของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เปาโลไม่มองเลย  มองว่าเขาอยู่ที่ไหน วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? วิญญาณเขาอยู่ในพระคริสต์ และเขาเชื่อแล้ว เพราะฉะนั้น เขาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ย้ำยืนยันว่าเราเรียนเหล่านี้ เราเรียนไปตั้งหลายตอน ลองอ่านตรงนี้ดู 1 โครินธ์ 6:9-11 ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ผมจะพาท่านไปดูชัด 1 โครินธ์ 6:9-11 แล้วจะเปลี่ยนแปลงความคิดของท่านใหม่ นี่คือการเจริญเติบโต ทางวิญญาณของเราในพระคริสต์ เราต้องรู้ และยิ่งรู้มากเท่าไร? ยิ่งทำไม? ยิ่งเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้มากขึ้น

1 โครินธ์ 6:9-11 “9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า อย่าหลงผิดเลย ไม่ว่าคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว  หรือคนรักร่วมเพศ 10 หรือขโมย หรือคนโลภ หรือคนขี้เมา หรือคนชอบนินทาว่าร้าย หรือคนฉ้อฉล  จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า 11 และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า และโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา”

 

เปาโลพยายามสอนผู้เชื่อทุกคนในเมืองโครินธ์  คริสเตียนในเมืองโครินธ์  ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา  รู้จักอะไร?  รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นหัวข้อซีรี่ส์ที่เรากำลังบรรยายกันอยู่ในช่วงนี้ สังเกตให้ดีเปาโลขึ้นต้นประโยค ด้วยข้อความว่า.-

“ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า”

แล้วก็ต่อด้วย การบรรยายสรรพคุณความชั่วร้ายสารพัด ยกตัวอย่างให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นคนผิดศีลธรรมทางเพศ หรือคนกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนคบชู้ หรือผู้ชายขายตัว หรือคนลักร่วมเพศ หรือขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนชอบนินทาว่าร้าย หรือฉ้อฉล จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าเลย และในนี้บอกว่า.-

“และพวกท่านบางคนเคยเป็นเช่นนั้น”

เอ๊ะ! ในที่นี่บางคนก็เคยเป็นนะ ยังนินทาอยู่หรือเปล่า? ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวติดตามต่อ จะได้สบายใจขึ้น บางคนสะดุ้ง

“เอ๊ะ! ฉันเคยหรือเปล่านะ? ทุกวันนี้ยังนินทาอยู่เลย”

เปาโลถามว่า             “ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่ว หรือคนทำสิ่งเหล่านี้ ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ ท่านไม่รู้หรือว่าคนชั่วจะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า”

ถ้าข้อความนี้จบเพียงอย่างนี้นะครับ เท่านี้เอง ถามว่าผู้เชื่อในโครินธ์ ที่ประพฤติตัวแบบนี้จะได้ไปสวรรค์ไหม? ได้ไปไหม? ไม่ได้ไป ไม่ได้ไปแน่นอน ก็เป็นคนชั่ว  เป็นคนบาป เป็นคนสกปรก แล้วจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างไร? สวรรค์เขาไม่มีการนินทาว่าร้ายแล้ว ไม่ได้ฉ้อฉลแล้ว ท่านจะขึ้นไปในสวรรค์ได้อย่างไร?  มนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้ใช่ไหม? วันนี้ท่านจะเห็นว่าเปาโลไม่ได้อธิบายให้เราอย่างนั้น แต่เปาโลบอกว่าอย่างไร? แต่เปาโลมีบอกต่อไปว่า.-

“แต่ท่านได้รับการล้าง ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า และโดยพระวิญญาณของพระเจ้าของเรา”

 

          “แต่” เห็นหรือยัง? เห็นอะไรบางอย่างไหม? แต่ท่านได้รับการชำระแล้ว  ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เอเมนไหม? ไม่เอเมน ไม่เห็นมีใครพูดเลย หรือยังตกใจอยู่ ยังนึกไม่ออก ทำไมมันง่ายเกินไป เอเมน ดังๆ หน่อย เอเมนเลย

 

          นี่คือสิ่งที่ย้ำยืนยันว่าการเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้มาจากการกระทำของเราเอง ทำดีมามากขนาดไหน?  ก็เป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้ ถูกหรือไม่ถูก? และเคยทำชั่วมาขนาดไหน? แต่ถ้าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในพระนามพระเยซูแล้ว ก็นับว่าเป็นผู้ชอบธรรมตลอดกาล ไม่เอเมนอีก? เอเมน ยังงงอยู่ มันงงนะ

 

แต่ในขณะเดียวกัน   เปาโลก็อยากหรือต้องการ   ที่จะทำไม?     สอนให้คริสเตียนในโครินธ์เหล่านี้ ได้ดำเนินชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ซึ่งวิธีการสอนของเปาโล ก็ไม่ใช่บอกว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้  ห้ามทำอย่างนั้น  ห้ามทำอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่เปาโลเลือกที่จะสอนให้พวกเขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าเขาเป็นใคร? มีคุณค่าขนาดไหน สำหรับพระเจ้า? เขาเป็นใคร?  เห็นหรือยัง?  เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ตัวตนเราเป็นใคร จริงๆ เป็นอย่างไร?  และเปาโลรู้ว่าเมื่อเขาได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเองแล้ว เขาก็จะประพฤติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมเอง ตามธรรมชาติ มันจะเกิดขึ้นเอง คือธรรมชาติลักษณะของคนที่เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ เอเมน

เพราะยุคนี้ หมายถึงยุคพระเยซู ยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้เรียบร้อยแล้ว มันไม่เหมือนยุคก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด มันไม่ใช่เป็นการบังคับที่ใช้กฎระเบียบ ใช้โทษแห่งความตาย  โทษ ใช้ความตายเป็นโทษ ใช้คำสาปแช่ง ต้องทำตามกฎ ถ้าไม่ทำจะถูกลงโทษ เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นคือยุคพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาไถ่ มันหมดยุดแบบนั้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ยุคพระเยซูนี้ เป็นยุคที่เรียกว่ายุคพระคุณแล้ว

ยุคพระคุณ ก็คือด้วยความรัก ความเข้าใจ และการอภัย ดังๆ เลย เอเมน อย่างนี้ต้องปรบมือแล้ว เพราะเราอยู่ในยุคนี้ โมเสสเอ่ย อาโรนเอ่ย กษัตริย์ดาวิด เขาอยากจะเห็นยุคนี้ อยากจะมาอยู่ในยุคนี้ แต่เขามาไม่ได้ เขาถูกเกิดขึ้นในยุคนั้น เขาอิจฉาเราจะตาย แต่เราดันไปอิจฉาเขา มีพลับพลา … พลับพลาอยู่ในใจเราแล้วตอนนี้ เปาโลจึงพยายามสอนผู้เชื่อชาวโครินธ์เหล่านั้น เป็นตัวอย่างให้เราได้เห็นด้วย  ให้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เพื่อจะได้ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอบายมุก ความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทำตัวเหมือนกับก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซู ไม่กลับไปสกปรกเหล่านั้นอีกแล้ว ให้มันเป็นธรรมชาติ แทนที่จะใช้วิธีสั่ง ห้าม ว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ แต่ไม่หรอก แต่สอนโดยวิธีให้เขารู้จักตัวตน ด้วยการบอกว่า.-

“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถิตภายในท่าน”

เห็นไหม? แทนที่จะมาสอนอย่าอย่างนั้น อย่าอย่างนี้  บอกท่านเป็นใคร? ตอนนี้ใครอยู่ในตัวท่าน ตรงนี้ คือสิ่งที่เปาโลต้องการที่จะให้คริสเตียนได้รู้ ถ้ารู้ตรงนี้แล้ว ธรรมชาติที่ดีๆ งามๆ มันจะโผล่ออกมาเอง

ตัวท่านเองเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งตอนนี้พระเจ้าสถิตอยู่ในท่านแล้ว ชาวโครินธ์ที่กำลังทำอะไรไม่ดีเหล่านั้น พระเจ้าสถิตอยู่กับเขาหรือยัง? สถิตแล้ว เขารับเชื่อแล้ว ไปไหนมาไหนกับเขาตลอดเวลา? ไปแล้ว และเมื่อท่านได้รู้อย่างนี้แล้ว พี่น้องเอ่ย ท่านควรจะประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร? เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า นี่เปาโลจะสอนอย่างนี้ ดีกว่าไหม? ดีกว่า เพราะถ้าสอนอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ สอนวิธีเก่า มันเป็นวิธียุคโบราณ ยุคก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด มนุษย์ก็จะสอนอย่างนี้ แล้วมนุษย์ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษ โดนลงโทษยิ่งหงุดหงิด ยิ่งไปไม่ได้ ยิ่งหลุดไปใหญ่เลย หาที่ไปไม่เจอ นี่คือเราเห็นภาพชัดเจน 1 โครินธ์ 6:19-20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

 

          นี่คือวิธีการสอนของพระเจ้า ผ่านทางเปาโล ผ่านทางเปโตร ผ่านทางผู้รับใช้พระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่ม สอนผู้เชื่ออย่างนี้  เพราะฉะนั้น หลายแห่ง หรือหลายครั้ง เราก็สอนผู้เชื่อแบบที่เราต้องการ เราคิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะชีวิตเก่าๆ เราก็เป็นอย่างนั้น ความคิดเก่าๆ เราก็เป็นอย่างนั้น กว่าจะรับพระคุณพระเจ้าทีหนึ่ง มันยากเย็นเข็ญใจ พอรับได้ ก็รับไม่ครบ เขาเรียกว่าไม่ Full Gospel ไม่ได้รับข่าวดี 100% รับข่าวดีมา 20% บ้าง 30% บ้าง แต่นี่มันข่าวดี 100% มันต้องเป็นอย่างนี้ เอเมน มันจะได้แตกต่างกับชีวิตเดิมๆ มันจะได้แตกต่างกับที่ชาวโลกเขาสอนกัน มันจะได้แตกต่างกับทั้งระบบของโลกนี้ไง มันพิเศษกว่าเขาไง เพราะอะไร?  เพราะเป็นพระเจ้า  ทำงานในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ หนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ทำอย่างนี้ได้ เอเมน เพราะพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่มนุษย์มาสอนกันเอง ไม่ใช่มนุษย์มาไถ่กันเอง ไม่ใช่ นี่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว ไม่มีที่ไหนเป็นข่าวดีอย่างนี้ ไม่มีที่ไหนเหมือนอย่างนี้  ไม่มีที่ไหนคล้ายๆ อย่างนี้ เอเมน

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ตัวตนของเราแล้ว เปาโลบอกว่าอย่างไร?

“จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยร่างกายของท่านเถิด”

ให้รู้ว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? ก็คือให้รู้ว่าร่างกายของเรา เป็นที่ประทับของพระเจ้า เราไม่ใช่เจ้าของร่างกายนี้อีกแล้วนะ เมื่อก่อน คือก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราอาจจะคิดว่าร่างกายนี้ เป็นของเราเอง

“เราจะทำอย่างไรกับร่างกายของเรา กับชีวิตของเราก็ได้ เรื่องของฉัน จะทำตัวเหลวไหลอย่างไรก็ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของฉัน จะกินอะไรเข้าไป ก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของฉัน จะนอนดึกดื่นอย่างไร ก็เรื่องของฉัน อดหลับอดนอน ก็เป็นเรื่องของฉัน ทำอะไรก็ได้ ที่ฉันอยากทำ”

เคยได้ยินใช่ไหม?  เคยได้ยินหรือเปล่า? ถึงได้ยิน ทำหรือเปล่า? ทำ แล้วแต่ว่าจะทำมากทำน้อย ทำหรือเปล่าถามจริง? ทำ และทุกวันนี้ทำไหม? นิดหน่อย นอนลง แต่พี่น้อง เมื่อท่านรู้ว่าท่านเป็นใคร? วันนี้เราถึงมาเรียนเรื่องนี้กันหลายตอนๆ เป็นซีรี่ส์เยอะแยะเลย ว่าตัวตนของท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้ลดการกระทำเหล่านั้นน้อยลงไง ท่านจะได้ไม่ทำตามใจตัวเอง ท่านจะได้ทำตามพระทัยพระเจ้ามากขึ้น เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้วนะครับ

เมื่อท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ร่างกายของท่านเป็นพระวิหาร หรือวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือของพระเจ้านั่นเอง ท่านไปไหน? พระวิญญาณบริสุทธิ์ไปด้วย ตาของท่านดูอะไร? พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระเยซู พระเจ้า พระวิญญาณ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน ดูด้วย มือของท่านทำอะไร พระเจ้าทำด้วย ถูกหรือไม่ถูก? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเองอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด ถ้าท่านได้ยิน ได้ฟังอย่างนี้บ่อยๆ เชื่ออย่างสนิทใจ ท่านจะลดสิ่งเหล่านั้น ที่จะทำตามใจตัวเองที่เหลวแหลกอยู่หรือไหม? ท่านลองกลับไปคิดดู

เปาโลคงอยากจะบอกชาวโครินธ์อย่างนี้นะครับ

“ชาวโครินธ์ ท่านไม่ใช่ทาร์ซานอีกต่อไปแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นลิงอีกนะ จะทานข้าว ก็จงใช้บันไดเดินลงมา อย่าปีนทางหน้าต่าง เดินลงมาดี ก็ได้ ท่านรู้แล้วใช่ไหม ทาร์ซาน? ท่านเป็นลูกของเจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นมหาเศรษฐีนะ ลูกของมหาเศรษฐี แต่งตัวให้มันดีหน่อย อย่าแก้ผ้าลงมา” ถูกหรือไม่ถูก?

“จะไปไหนมาไหน ก็ให้มันเรียบร้อย ไม่ใช่แก้ผ้าเดินโทงๆ มันอายเขา” ถูกหรือไม่ถูก?

“เวลากิน ก็ให้ใช้ช้อน ใช้อะไรเครื่องมือ ไม่ใช่เอามือหยิบกิน เหมือนเป็นลิง” ถูกหรือไม่ถูก?

ท่านลองนึกภาพสิ ผมนึกถึงทาร์ซาน แล้วมันใช่มากเลย ใช่นี่มันเหมือนพวกเรา … เรา หมายถึงรวมตัวผมด้วยนะ เราเหมือนทาร์ซานจริงๆ เลย  เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว หลายครั้งแล้ว ยังหนีเข้าป่า หนีออกไปอยู่ในนรก หนีออกไปอยู่ในความพินาศ ไปทำอะไรน่าเกลียดๆ แล้วอายเขาไหม?

คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราก็ต้องรู้ตัวตนของเราเองก่อนว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน? เราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เดินไปกับเราทุกหนทุกแห่ง และการรู้ตัวตนของเรา จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้  เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ เหมือนตะกี้นี้ เรื่องทาร์ซาน พ่อแม่ทาร์ซานไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องลงโทษทาร์ซาน ลงโทษ ก็จะยิ่งหนีเข้าป่าไปหาลิงเหมือนเดิม ยิ่งลงโทษเท่าไร ยิ่งหนีไปเท่านั้น พ่อแม่ก็ต้องทำอะไร? ก็ต้องรัก อภัยให้ทาร์ซานตลอดเวลา แล้วทำไม? ไม่ใช่แค่นั้น พูดอยู่เรื่อยๆ ว่า.-

“ทาร์ซานเอ่ย แกเป็นใคร? เธอเป็นลูกฉัน เธอเป็นอย่างนี้”

สมมตินะว่าตอนนั้นมีทีวี คงให้ทาร์ซานดูทีวี วีดีโอ

“เนี้ย มนุษย์เขาทำกันอย่างนี้ ต้นตระกูลเรามาอย่างนี้  ตอนคลอดเป็นอย่างนี้ เอารูปตอนคลอดให้ดู … ดูสิ ที่โรงพยาบาล ตอนแม่คลอดแก … แกอยู่ในนี้”

บ่อยๆ ดูบ่อยๆ ทาร์ซานก็เริ่มเข้าใจว่าตัวเองเป็นใคร? ก็จะไม่แก้ผ้าลงมา จะไม่ทำอะไรน่าเกลียดๆ จะได้ไม่วิ่งกลับเข้าสู่ป่า ไปหาลิงเหมือนเดิม

มันเหมือนกันอย่างนี้เลย แล้วต้องฟังบ่อยๆ ดูบ่อยๆ ถ้อยคำพระเจ้ามีประโยชน์ในชีวิตเรา ก็อย่างนี้แหละ ทำไมเราต้องมาโบสถ์ ก็เพราะอย่างนี้แหละ การมาโบสถ์ไม่ใช่พิธีกรรมว่าต้องถูกพระเจ้าสั่งให้มา ไม่ใช่ การมาโบสถ์ ก็คือท่านมา เพื่อจะได้รู้ว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? ทุกครั้งที่มีการบรรยาย ก็คือบรรยายว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? บรรยายที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่บรรยายไป ยิ่งไปกันใหญ่เลย  คนมาเชื่อเลยเข้ารกเข้าพง กลายเป็นลิงไปด้วยเหมือนกัน อย่างนี้เข้าใจไหม?

โรม 12:1-2  “1 เหตุฉะนั้น  พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อพิจารณาถึงพระคุณ  ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”

 

“อย่าดำเนินชีวิตให้เป็นเหมือนสัตว์ป่า ที่เจ้าเคยอยู่มาตลอด ข้างนอก นอกคฤหาสน์ มันก็คือป่า เจ้าไม่ได้เป็นของบริเวณนั้นอีกต่อไป ตระกูลเจ้าไม่ได้อยู่ในป่า นี่คือตระกูลเจ้าที่อยู่ในคฤหาสน์นี้นะ”

พูดให้เขาฟังบ่อยๆ เพราะฉะนั้น จงเปลี่ยนแปลงความคิดนะทาร์ซาน … ทาร์ซานเปลี่ยนแปลงความคิดซะนะ ทาร์ซานเปลี่ยนแปลงจิตใจสะใหม่นะ อย่าไปดำเนินชีวิตเหมือนลิง เหมือนค่าง เหมือนสัตว์ป่าในนั้นอีกต่อไปนะ มาดำเนินชีวิตเหมือนคนที่อยู่ในนี้ และเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีด้วย เป็นถึงมหาเศรษฐี เจ้าของคฤหาสน์ เรียนรู้ถึงการดำเนินชีวิตแบบมีศักดิ์ศรี คนเขาดำเนินชีวิตอย่างไร เป็นผู้ดี เขาทำกันอย่างนี้ เป็นอย่างไง? เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ตรงนี้ ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ เน้นมากเลย เพื่อเห็นแก่พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า

พระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า คืออะไร? คือที่ได้ถวายพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ได้มอบพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นหนอนเล็กๆ แย่กว่าหนอนอีก คือสูงกลับมาที่ต่ำมาก เละเทะมากมาย เพื่อมารับเอาความบาปสกปรกของมนุษยชาติทั้งหมด ไปไว้ที่ตัวของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้พ้นจากบาป กลับสู่พระเจ้าได้ มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มากๆ เลย พระคัมภีร์จะพูดตรงนี้เยอะเลย ถามว่าเยอะ เพื่อจะทวงบุญคุณเหรอ? ไม่ใช่ เยอะ เพื่อจะให้เราเห็นบุญคุณของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหล่านี้ แล้วทำไม? ถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า คือการถวายตัวเราเองแด่พระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราถวายตัวของเราแด่พระเจ้า เพราะกลัวว่าเราจะตกนรก เพื่อกลัวว่าเราจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่ให้เราถวายตัวแด่พระเจ้า เพื่อเป็นการระลึก ทดแทนความรักของพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เรามากขนาดไหน? เราทำไม่ลงหรอก เราทำไม่ได้ พระเจ้ารักเราขนาดไหน? เป็นอย่างนี้

นี่คือพระคุณ ไม่ใช่การลงโทษ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และนี่คือวิธีการที่เปาโลสอนแนวทาง ในการดำเนินชีวิต ให้แก่ผู้ที่เชื่อในเมืองโครินธ์ รวมทั้งผู้เชื่อทั้งหมดด้วย ก็คือมาจากพระเจ้านั่นเอง คืออะไร? คือให้สำนึกในตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเราเองจริงๆ เราเป็นใครในพระคริสต์ เรามาเชื่อแล้ว เชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราเป็นใคร? เราไม่ใช่เจ้าของตัวเราเองอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพระวิหารของพระเจ้า … พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเรา พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเราถูกซื้อมาด้วยราคาแพง … แพงมาเลย แพงขนาดไหน? ราคาที่จ่ายไป คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลาย เราเป็นที่ประทับของพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ในตัวเรา … เราเป็นอภิสุทธิสถาน ที่เดินไปไหนมาไหน อภิสุทธิสถานอยู่ในตัวเรานี่แหละ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 2 “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วน ในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  พฤศจิกายน  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 2 “ในพระคริสต์ เราได้มีส่วน

ในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ยังจำกันได้ไหมครับว่าช่วงนี้เราอยู่ในซีรี่ส์ของการบรรยาย “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 2

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เริ่มอธิบายความหมายของคำว่า “ตัวตนในพระคริสต์” หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “Identity in Christ”  และได้เน้นย้ำเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ว่าในการดำเนินชีวิตของพวกเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่เราจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา และให้รู้ตัวตนของตัวเองอยู่เสมอว่าตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้ เมื่อเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราต้องรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้  หรือตามกระแสของโลกนี้ ตามสังคมหรือผู้คนรอบข้างที่พูด หรือบอกมา เข้าหูเรามา แต่ตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ได้ถูกกำหนด โดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ ต้องจำตรงนี้ให้แม่นเลยนะ เราจะได้รู้ ถ้าเรากำหนดผิดไปปุ๊บ เหมือนกลัดกระดุมเสื้อผิด เม็ดแรกเท่านั้นเอง เสร็จสุดท้าย ผิดหมด เสียเวลาเปล่าๆ

เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นหัวใจ เราคือใคร? ตัวตนจริงๆ คือใคร? ต้องไปดูที่การทำงานของพระเยซูคริสต์เพื่อเรา? ทำอะไรเพื่อเราบ้าง? ตรงนี้สำคัญที่สุด อย่าไปฟังโลกใบนี้ ที่เขาบอก เราอาจจะถูกหลอกได้

จำได้ใช่ไหมครับว่าครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายความแตกต่างของข้อมูลของตัวตน 2 ประเภท คือ.-

  1. ข้อมูลตัวตนที่แท้จริง ที่เรียกว่า True identity
  2. ข้อมูลตัวตนที่เป็นเท็จ ข้อมูลตัวตนปลอมนั่นเอง ที่เรียกว่า Liedentity

Liedentity ก็คือการปลอมแปลงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อหลอกคนอื่นบ้าง? หรือบางทีเราได้รับข้อมูลมาหลอกตัวเองบ้าง? ตั้งใจให้เขาหลอกบ้าง? หรือยินดีให้เขาหลอก ก็มี เพราะอยากได้อย่างอื่นแทน ความโลภ ทำให้เราถูกหลอก ซึ่งหมายถึงการหลอกลวงต่างๆ ชนิดต่างๆ นั่นเอง

ซึ่งบนโลกนี้ เราถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูล Liedentity การหลอกลวงอย่างนี้เยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบัน  ยุคของข่าวสารข้อมูลผ่านกันง่ายๆ ทางอินเตอร์เนต ไลน์ เฟสบุ๊ค โกหกหลอกลวงเต็มไปหมดเลย ถือโอกาสเตือนท่าน เวลาใช้สื่อเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ก็ตาม  เป็นเฟสบุ๊คก็ตาม หรือเป็นอินเตอร์เนตอะไรก็ตาม เวลาจะโพสต์อะไร? คิดให้ดีๆ ก่อนจะโพสต์ บางครั้งเรานึกว่าโพสต์เล่นๆ โพสต์ง่ายๆ ก็ส่งต่อ ดีนะ เรารู้ไหมว่าข้อมูลนั้น มันจริงหรือไม่จริง เวลาเราส่งไป มันไปแล้ว … แล้วคนอื่นส่งไปเรื่อยๆ ก็นึกว่าจริง เราก็ต้องรับผิดชอบนะ บางครั้งรับผิดชอบทางกฎหมายด้วย แต่บางครั้ง ถึงแม้ไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย เราควรจะรับผิดชอบในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่ควรจะทำให้สังคมมันเสื่อมทราม หรือสกปรก ด้วยข้อความหลอกลวงเหล่านี้ ถูกเขาหลอกต่อมา เราก็ใส่ลงไปเลย เห็นไหม? เพราะฉะนั้นต้องพยายามคิดก่อนนะ คิดก่อนที่จะโพสต์ คิดก่อนที่จะกด ไม่ว่าจะ like กดอะไรแล้วแต่ สิ่งเหล่านี้สำคัญมากๆ เพราะว่าจะได้ช่วยกันลดขยะ ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสังคมโลกนี้  ให้มันน้อยๆ หน่อยอย่างนี้ มีค่ามากยิ่งกว่า ที่เราเดินบนถนน เราเห็นขยะ แล้วเราหยิบเศษขยะนั้น ใส่ถังขยะนั้น อันนั้นก็ดีนะครับ แต่ตรงนี้ ตอนนี้ต้องช่วยกันเก็บ วิธีเก็บก็คือง่ายนิดเดียว ถ้าใครส่งมา เราอ่าน แล้วข้ามไปเลย ถ้าเราไม่รู้ความเป็นจริง ว่ามันจริงไหม? มันสำคัญไหม? แล้วมันเป็นจริงตามนั้นหรือเปล่า? เป็นประโยชน์ต่อผู้คนไหม?

คือจริงๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้ บางครั้งที่มันมาบอกเรา หรือเข้ามาในตัวเราเอง จริงๆ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เราฟังบ่อยๆ เราได้ยินบ่อยๆ เราก็นึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ และในที่สุด พอเรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็นึกว่าตัวตนเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็เลยไปทำมัน ก็เลยเสียหายใหญ่โต  ทั้งตัวเราเอง ทั้งสังคมด้วย เรียกกันว่าถูกหลอกด้วยข้อมูลรอบข้าง นึกออกใช่ไหม? ข้อมูลรอบข้างบอกเรา  สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนกันเรื่องนี้ไปนะ พอหลงเชื่อ แล้วมันจะเกิดปัญหาขึ้น พอถูกหลอก แล้วก็ผิดตัวตน แล้วก็มีปัญหาเกิดขึ้น

ครั้งที่แล้ว ผมยกตัวอย่างหลายเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้  เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น ตัวอย่างลูกเศรษฐี จำได้ใช่ไหมครับ? ที่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วก็ถูกเลี้ยงเป็นขอทานใช่ไหมครับ จนในที่สุด ตัวเอง ก็นึกว่าตัวเองเป็นขอทานจริงๆ แล้วก็เลยปฏิบัติตัวเองเป็นขอทาน จนกระทั่งพ่อซึ่งเป็นเศรษฐีมาพบทีหลัง นี่เรื่องจริงนะ

หรือในทางกลับกัน ครั้งที่แล้วก็ยกตัวอย่าง ในฐานะของบางคน ที่เคยรวย เคยร่ำรวย แล้ว เกิดเป็นคนยากจน ติดหนี้ ติดสินมากมาย ไม่กล้าบอกลูก พอไม่กล้าบอกลูก … ลูกก็นึกว่าตัวเองยังเป็นลูกเศรษฐีอยู่ ก็ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไป ทำตัวเป็นเศรษฐี มันก็ลำบาก อันนี้ก็เรื่องจริงนะ อันนี้เรื่องจริงในสังคม ซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเขาเอง และต่อสังคม ต่อผู้คนรอบข้างมากมายไปหมด เกิดความเดือดร้อน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งลูกเขาก็ไม่เข้าใจ เห็นไหมครับ? ถามว่าเขาไม่เข้าใจเพราะอะไร? เพราะพ่อแม่ปิดบังความจริงไว้ พ่อแม่หลอกเขา โดยที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันเป็นการหลอกลวงไปแล้ว

หรืออีกอันหนึ่งที่ยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว ซึ่งเป็นกรณีที่สำคัญมาก ที่ผมย้ำครั้งที่แล้วว่าอันนี้เป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดเลย  คือกรณีที่ถูกหลอกด้วยข้อมูลต่างๆ หรือแม้กระทั่งตั้งใจให้เขาหลอก เพื่อต้องการผลประโยชน์ต่างๆ ก็คือกรณีของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษกว่าคนอื่นเขา สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ หรือหนักกว่านั้น บางคนถึงขั้นอุปโลกน์ตัวเองว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็มี นี่เราก็ได้ยินบ่อยๆ ตัวเองเป็นพระเจ้าก็มี เหล่านี้ก็เป็นตัวอย่างข้อมูล Liedentity

หรือตัวปลอมเข้ามาสู่ชีวิตของคนเหล่านั้น ซึ่งบางคนไม่รู้ตัวจริงๆ ถูกหลอกจริงๆ แต่บางคนรู้ว่ามันหลอก แล้วเลยสวมรอยหลอกไปเลย เพราะว่ามันได้ผลประโยชน์ มันได้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญเข้ามา อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งการดำเนินชีวิต ตามข้อมูลประเภทหลอกๆ เหล่านี้ จะทำให้เราเกิดพลาดพลั้งในชีวิต การดำเนินชีวิต เกิดการเสียหาย ตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว ผู้คนรอบข้าง ไปจนถึงสามารถที่จะเกิดความเสียหายให้ใหญ่โต สำหรับโลกนี้ได้เลยทั้งโลก รับข้อมูลหลอกๆ เหล่านี้ เห็นไหม? ท่านเห็นไหม? ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมยกขึ้นมา จนถึงเรื่องใหญ่ๆ ท่านเห็นไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ รู้ตัวตนจริงๆ ของเรา มันเป็นประโยชน์ต่อคนๆ นั้นอย่างมากมายมหาศาล

และตัวอย่างที่ผมคิดว่าเห็นภาพชัดเจนที่สุด  เพราะทุกคนรู้จักกันดี ครั้งที่แล้วจำได้ไหมว่าผมยกเรื่องอะไร? ทุกคนรู้จักกันหมดเลย นี่ยกมาตั้งหลายเรื่อง จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เรื่องนี้น่าจะจำได้ คือเรื่องของใคร? เรื่องของทาร์ซานไง จำไม่ได้เลยเหรอ ครั้งที่แล้วยกเรื่องทาร์ซาน

ทาร์ซานเป็นมนุษย์ที่ถูกเลี้ยงโดยฝูงลิงตั้งแต่เกิด ก็เลยคิดว่าตัวเป็นลิงไปด้วย เป็นสัตว์ไปแล้ว จนพ่อแม่ไปหาจนเจอ ได้กลับมาอยู่ในเมือง มาอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของตนเอง มารู้จักครอบครัวของตัวเองจริงๆ ก็ยังไม่วายที่จะทำอะไร? ความเคยชิน ทำตัวเป็นลิงเหมือนเดิม ตามที่ตัวเองคุ้นเคย เห็นไหม? ถูกหลอกจนกระทั่งมันฝังเข้าไปในหัว นี่คือครั้งที่แล้วที่ได้เรียนรู้กันไปนะครับ

เพราะฉะนั้น ชื่อตอนของการบรรยายในสัปดาห์ที่แล้ว “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1 จึงมีชื่อตอนว่า “อย่าเป็นทาร์ซาน” ดีไหม? เพราะว่ามีคนเอาไปล้อกัน หลังจากที่บรรยายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคนเอาไปล้อกัน

ล้อกันอย่างไร? “เธออย่าทำอะไรน่าเกลียดนะ ทำเป็นทาร์ซานไปได้”

ทาร์ซานทำอย่างไร? ทาร์ซานแก้ผ้าลงมากินข้าวเช้า ทาร์ซานปีนหน้าต่างลงมาตอนเช้า สำหรับคนที่ไม่ได้มาสัปดาห์ที่แล้ว ปีนหน้าต่างลงมา เพื่อจะมากินอาหารเช้ากับพ่อแม่ในห้องอาหารเช้าของบ้านเศรษฐี แทนที่จะลงบันไดมาดีๆ ไม่  ปีนลงมาไม่พอ ยังแถมแก้ผ้าลงมาอีกต่างหาก ลืมตัวไป นึกว่าตัวเองเป็นลิง

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายในที่นี่ เราเป็นลูกของพระเจ้า หลายครั้ง เราก็ทำเหมือนลูกของ … ไม่บอก เราก็ทำตัวแปลกๆ เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราเห็นใคร ข้างๆ ทำตัวแปลกๆ เราก็บอกอย่าทำตัวเป็นเหมือนทาร์ซาน

บอกคนข้างๆ สิ ทดลอง ฝึกดูๆ “อย่าทำตัวเป็นทาร์ซาน”

เวลาทำอะไรน่าเกลียดๆ หันกลับไปเลย บอกจะเป็นทาร์ซานหรือไง? สมมติว่าสามีขับรถอยู่ แล้วเกิดหงุดหงิดอยู่ข้างๆ บอกเลย

“จะเป็นทาร์ซานหรือไง บินไปเลยไหม?”

กล้าพูดไหม? กล้าพูดหรือเปล่า? ถามจริง กลับไปเมียหงุดหงิด จ้ำจี้จ้ำไซ ไม่มีเหตุผล หันกลับไปเลย ผู้ชายหันกลับไปเลย บอก

“จะเป็นทาร์ซานเหรอ”

เอ๊ะ! ทาร์ซานผู้หญิงไม่มีหรอก เอ๊า! เป็นทาร์ซานก็ได้ หยวนกันไป

และครั้งที่แล้ว เราก็ได้สรุปทิ้งท้ายกันว่าถ้อยคำในพระคัมภีร์ ที่บอกเราว่าเรามีตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์เป็นอย่างไร?  “Identity in Christ” ว่าเราเป็นใคร? มีลักษณะอย่างไร?  และมีสิทธิอะไรบ้างในพระคริสต์? ถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าตัวตนเราเป็นอย่างไร? จำนวนหนึ่งที่ผมเอาออกมา ที่เราได้อ่านกัน พูดกัน พร้อมๆ กันตอนท้ายๆ เยอะแยะ วันนี้เรามาทวนนิดหนึ่ง อย่างเร็วๆ นะครับ

ยกตัวอย่าง ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใคร? ซึ่งทั้งหมด ที่ย้ำกันไปนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกเราทั้งสิ้นนะ ไม่ใช่ผมมาบอกนะครับ เพราะมันอยู่ในพระคริสต์ทั้งสิ้น  ซึ่งผมยก ก่อนจะพูด ผมก็บอกอยู่ตรงไหน? หนังสืออะไร? ข้อที่เท่าไร? บทอะไร? จำได้ใช่ไหมครับ? วันนี้จะไม่เอาบทนั้นนะ เอาแค่พูดเฉยๆ ว่าในพระเยซูคริสต์ ตัวตนของเราในพระเยซูคริสต์ จำนวนหนึ่งที่พระเจ้าบอกเรา จดบันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

“ตัวตนเราเป็นอย่างนี้นะลูกเอ่ย”

บอกไว้อย่างนี้ว่า.-

–  เราเป็นลูกของพระเจ้า

–  เป็นผู้ชอบธรรม

–  เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

–  เราได้คืนดีกับพระเจ้า

–  เป็นผู้บริสุทธิ์

–  ปราศจากตำหนิ

–  มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

–  เราเป็นพลเมืองสวรรค์

–  เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว

–  เราเป็นผลงานของพระเจ้า

–  เราเป็นวิหารของพระเจ้า

และยังมีอื่นๆ อีกมากมายในพระคัมภีร์อีกเยอะแยะมากมายไปหมดเลย กลับไปท่องหรือเปล่า?

“ท่องหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ?”

“ฟังหรือเปล่า?”

“ก็กลับไปฟังบ้างนิดๆ หน่อย”

ก็กลับไปฟังเรื่อยๆ แล้วกัน ผมรู้ เรื่องนี้ไม่สำคัญ หมายความว่าไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไซ แต่ถึงวันหนึ่งท่านจะเข้าใจว่าตรงนี้ มันสำคัญอย่างไร? ที่เราจะต้องรู้ตัวตน แล้วจะรู้ได้อย่างไร? มันต้องฟังเยอะๆ ฟังว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร? ไม่ใช่ฟังวิทยุบอก ไม่ใช่ฟังทีวีบอก หนังสือพิมพ์บอก เพื่อนเราบอก คนข้างๆ บอก  ไม่ใช่ ไม่ใช่ฟังจากไลน์ ที่ส่งมา บอกว่าเราเป็นใคร? ไม่ใช่ แต่ฟังจากฟังพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร?  บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราต้องไปอ่าน พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร?  นั่นแหละคือความจริงของตัวตนของเราจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ เราจะได้รู้ เราจะได้ดำเนินชีวิตถูกต้อง ให้เป็นไปตามตัวจริงของเรา  มันจะเกิดประโยชน์อย่างมากมาย

แล้วอย่างที่ผมได้เกริ่นไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนนะครับว่าจากนี้ไป ซีรี่ส์การบรรยายชุดนี้  ผมก็จะค่อยๆ อธิบายเพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น ในความหมายของคำว่าตัวตนในพระคริสต์ หรือ “Identity in Christ” ในทุกๆ หัวข้อเรื่องที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมดว่าพระคัมภีร์ บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เอาตรงนั้นแหละมาเจาะทีละอันๆ ที่มีเยอะแยะมากมาย เพื่อเราจะได้ทำอะไรรู้ไหม? จะได้ฟัง จะได้ข้อมูล จะได้อธิบายกัน ไซซอนกันอย่างลึกซึ้งถึงว่าพระเจ้าบอกเราว่าตัวตนเราในพระคริสต์เป็นอย่างนี้ๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ยังไงๆ เพื่อเราฟังให้เยอะ ฟังคำอธิบายให้เยอะ เราก็จะมั่นใจในตัวตนของเราจริงๆ ในพระคริสต์ แล้วจะเกิดประโยชน์ต่อเรา ชีวิตของเราอย่างมากมาย และไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของเราคนเดียว แต่ผู้คนรอบข้างด้วย งานของพระเจ้าด้วย

วันนี้ เรามาเริ่มต้น “ตัวตนในพระคริสต์” ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ใน 2 เปโตร 1:4 ซึ่งเราคุ้นกันดีว่าในพระเยซูคริสต์ เราได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า วันนี้เราจะมาไซซอนอธิบายตรงนี้ ให้มันลึกซึ้ง จบวันนี้นะ ท่านจะลอยเลย  ถ้าท่านมั่นคงในนี้นะ ชีวิตท่านจะเต็มไปด้วยสันติสุข สงบสุข ความพอเพียง พักเหนื่อย แล้วหายเหนื่อยจริงๆ นะครับ 2 เปโตร 1:4 พระเจ้าตรัสกับพวกเราอย่างนี้ว่า.-

2 เปโตร 1:4 “พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์ แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไร? จำได้ไหม?  ที่เราได้ฝึกกันไปครั้งที่แล้ว 2 ครั้ง เราพูดอย่างนี้กัน จนกระทั่งบอกจำได้แล้วไง ธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ภาษาอังกฤษบอกว่า Divine Nature

เอ้า! พูดตามสิ “Divine Nature”

พูดไปเถอะ ให้พอจำได้ มันจะเข้าสู่ยุค AEC แล้วนะ

การได้มีส่วนใน Divine Nature การได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ธรรมชาติ พระลักษณะของพระเจ้า  คือมีส่วนใน Divine Nature มีความเป็นไปมาอย่างไร? ความหมายว่าอย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? คือสิ่งที่เราจะมาคุยอย่างละเอียดในวันนี้ ให้ท่านเห็นชัดเจนว่าเราเข้าไปมีส่วนใน Divine Nature อย่างไร? เดี่ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ได้อย่างไร?  ตอนนี้ท่านฟัง ท่านเชื่อเอา แต่วันนี้เขามาเจาะเข้าไปลึกๆ เพื่อจะใส่ข้อมูลเล่านี้ลงไปในจิตวิญญาณของเรา เพื่อเราจะได้มั่นคงในความเชื่อตรงนี้ เยอะขึ้นนะครับ ตัวตนของเราจริงๆ ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างนี้ และหนึ่งในนั้น คือเราเข้าไปมีส่วนใน Divine Nature

ซึ่งถ้าจะอธิบายความหมายของคำว่า Divine Nature หรือธรรมชาติ พระลักษณะของพระเจ้าในบริบทนี้ เราต้องย้อนกลับไปดู การทรงสร้างของพระเจ้า ตั้งแต่เมื่อสมัยปฐมกาล พระคัมภีร์ปฐมกาล บทที่ 1 ได้บรรยายเหตุการณ์ การทรงสร้างของพระเจ้าไว้ตั้งแต่วันแรก จนถึงวันที่ 6 เริ่มต้นความจริงของพระเจ้า บันทึกตรงนี้ไว้เลย  เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ลูกของพระองค์ทุกคนได้รู้ถึง เขาเรียกว่าอะไร? รากวงศ์ตระกูลของเจ้าว่ามาจากใคร? เป็นปู่ย่าตาทวดของเจ้าเป็นใคร? เจ้ามาจากไหน? สำคัญมาก ใส่ในบทแรก หน้าแรก บรรทัดแรก ไล่มาเลยนะครับ

ใน 6 วันนี้ โดยพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสร้างตั้งแต่ความสว่าง ท้องฟ้า ผืนน้ำ แผ่นดิน ต้นไม้และพืชนานาชนิด ดวงดาวต่างๆ สัตว์ต่างๆ จนถึงทรงสร้างมนุษย์ ในวันสุดท้าย คือวันที่ 6 แล้วในบรรดาสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า ที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในพื้นน้ำและบนพื้นดิน สามารถแยกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ อย่างนี้ ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงสร้าง แยกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. แร่ธาตุต่างๆ ที่รวมกันเป็นดิน หิน กรวด ทราย มองไปก็เห็นเลย
  2. ต้นไม้และพืชต่างๆ พืชนานาชนิด มองไปก็เห็น ถูกไหม? นี่คือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
  3. สัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มองไปก็เห็น บางตัวเล็กๆ มองไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่จริงๆ ต้องใช้กล้องไปส่องให้มันใหญ่ๆ ก็จะเห็น

ทรงสร้างทั้งหมด 3 ประเภทแล้ว ประเภทที่ 4 ที่พระเจ้าทรงสร้างคือใคร?

  1. มนุษย์ คือฉันเอง คือมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้

ซึ่งทั้ง 4 ประเภทนี้ จะมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เริ่มจากกลุ่มแรก คือดิน หิน กรวด ทราย ซึ่งมีแร่ธาตุและมีพลังงาน แต่ไม่มีชีวิตในลักษณะของการหายใจ ทำไมพูดอย่างนี้ เพราะในพระคัมภีร์บอกสิ่งเหล่านี้ ก็สรรเสริญพระเจ้า แต่เรารู้ว่าไม่ได้หายใจ แต่มีพลังงานอยู่ในนั้น นี่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบมาทีหลังนี่เอง ตอนที่พระคัมภีร์บันทึก ไม่มีใครรู้หรอกว่ามีพลังงานอยู่ในนั้นอยู่แล้ว มีแร่ธาตุอยู่ในนั้น รู้แต่ว่ามันเป็นก้อนเฉยๆ อยู่นิ่งๆ ไม่หายใจ ถูกไหมครับ?

กลุ่มที่ 2 คืออะไร? ต้นไม้ และพืชต่างๆ มีชีวิตไหม? ต้นไม้ มี พืชมีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ ไหมครับ ถามจริง คิดให้ดีๆ พืชมีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ ไหม? มีหรือไม่มี? มี พืชหายใจไหม?  เห็นไหม? แตกต่างแล้วนะ พืชหายใจด้วย และพืชเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์หรือมนุษย์อย่างไร?  เรามาดูกันต่อว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? มาดูกลุ่มที่ 3 นะครับ

กลุ่มที่ 3 คือสัตว์ต่างๆ ทุกชนิดที่ตะกี้เราพูดมา ซึ่งแน่นอน สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต เรารู้ ที่มีร่างกาย มีอวัยวะและมีลมหายใจ เหมือนกับพืชเลย แล้วมันแตกต่างกันตรงไหน? เหมือนกับ ไม่ใช่พืชอย่างเดียว แถมเหมือนกับคนด้วย คนก็มี 3 อย่างนี้เหมือนกัน แต่สัตว์ มีสิ่งที่พืชไม่มี คืออะไร? คือสัตว์ทุกชนิดมีความคิด จิตใจ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Soul” หมายถึงมันสามารถคิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีการตัดสินใจ สัตว์ทุกชนิด มีความรู้สึก มีอารมณ์ มีการตัดสินใจ เช่นเดียวกับมนุษย์เหมือนกัน แม้จะไม่สูงเหมือนมนุษย์ แต่มีเหมือนกัน ถูกหรือไม่ถูก?

เตะสุนัข มันก็ทำไม? ไม่ว่าจะหมาหรือสุนัข มันก็ร้อง เอ๋งๆ เหมือนกัน  ถ้าไม่ชอบมาพากล เรารู้สึกว่าเราไม่รักมัน … มันก็จะทำไม? มันจะยืนอยู่ตรงนั้นไหม?  มันทำอย่างไร? มันก็เดินหนีเราไป

แต่ต้นไม้ มันไม่ชอบเรา มันทำอย่างไร? มันก็ต้องยืนอยู่ตรงนั้น

“เกลียดแก มาฉี่รดฉัน”

แล้วมันทำได้อะไร? มันทำไม่ได้ เราไปฉี่รดหมา … หมามันเดินหนีไปเลย อย่างนี้เป็นต้น มันมีความรู้สึกเหมือนกับอย่างนี้ ตรงนี้ เขาเรียกว่าความคิดจิตใจ … ความคิดจิตใจนี้เป็น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Soul สัตว์ต่างๆ ก็มีสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับมนุษย์เหมือนกัน มีอารมณ์โกรธ รู้สึกดีใจ เสียใจ เจ็บปวด ถามว่าถ้าเช่นนั้น สัตว์มีอะไรแตกต่างจากมนุษย์เล่า ตอนนี้เราเห็นแล้วนะ ตั้งแต่ต้นมา หิน แตกต่างจากพืช … พืชแตกต่างกับสัตว์ ตอนนี้มาถึงสัตว์กับมนุษย์แล้ว

กลุ่มที่ 4 คือมนุษย์ … มนุษย์มีร่างกาย มีอวัยวะต่างๆ มีลมหายใจ อันนี้ไม่ต้องถามล่ะนะ มีหรือไม่มี?  แล้วก็มีอะไร?  มีความคิดจิตใจ มีความรู้สึก มีอารมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์มี แต่พืชและสัตว์ไม่มี ก็คือวิญญาณ … ถูกต้องแล้วครับ มารับรางวัลเลย ทุกคนตอบถูกหมดเลย เพราะมนุษย์มีวิญญาณที่พิเศษกว่าเขา พืชเป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีร่างกาย มี Body สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายและมีความคิดจิตใจด้วย  มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทั้งร่างกาย  ความคิดจิตใจ  และวิญญาณ … วิญญาณหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Spirit คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ทั้งปวง ทั้งสิ้น ที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง เพราะเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น ที่มีหรือเป็นวิญญาณ เป็นสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งนี้พิสูจน์ได้นิดเดียวเลยว่าจริง ถามว่าท่านเคยเห็นก้อนหิน … ก้อนหินยกตัวอย่างไปแล้ว ท่านเชื่อแล้วว่าไม่ใช่ ท่านเคยเห็นต้นไม้ หรือสัตว์ที่ไหน?  รวมตัวกัน จุดธูปหาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหม? ท่านเคยเห็นสัตว์มารวมตัวกัน เพื่อแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักแห่งหนึ่งไหม? ไม่เคย ท่านเคยเห็นสัตว์มารวมตัวกันอธิษฐาน หรือสวดมนต์มีไหม?  ไม่มี   สิ่งเหล่านี้ที่ตะกี้ผมพูดมา เป็นอาการของการแสวงหาทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น เรารู้ดีว่ามันเป็นอย่างนั้น ถูกไหม? นี่แหละ เห็นอย่างชัดเจน

มาดูว่าพระคัมภีร์มีบันทึกไว้อย่างไร? ยืนยันว่าพระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมบอก ว่าเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงสร้างบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้ ไม่ใช่ผมพูดนะ ปฐมกาล 2:19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า.-

ปฐมกาล 2:19 “พระเจ้าได้ทรงปั้นสัตว์ และนกทุกชนิด ขึ้นจากดิน พระองค์ทรงนำมายังชายผู้นั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกมันว่าอย่างไร สัตว์เหล่านั้น ก็ได้ชื่อตามที่เขาเรียก”

 

นี่ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์นะ คราวนี้มาดูเหตุการณ์ตอนที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ ลองดูนะครับว่ามีอะไรที่แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ สร้างสัตว์บ้าง อยู่ในปฐมกาล 1:26 เลย

ปฐมกาล 1:26 “พระเจ้าตรัสว่า ‘ให้เราสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบเรา ตามอย่างเรา’”

 

“สร้างมนุษย์ ตามอย่างเรา” คือตามอย่างใคร? ตามอย่าง ก็คือเหมือนใคร? เหมือนพระเจ้า นี่ผมไม่ได้พูดเลย นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาล บทที่ 1 เลย เริ่มต้น มาดูข้อ 27 อีก ปฐมกาล 1:27 มาดูสิว่าพระเจ้าบันทึกว่าต้นตระกูลของเรา … เราเกิดอย่างไร? ใคร? อย่าไปฟังคนอื่น ฟังพระเจ้าพูดดีกว่าว่าบันทึกเราเป็นใคร? ปฐมกาล 1:27

ปฐมกาล 1:27 “ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ตามพระฉายของพระองค์ ตามพระฉายของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้น พระองค์ทรงสร้างทั้งผู้ชายและผู้หญิง”

 

“ตามพระฉายของพระองค์” ก็คือตามพระฉายของพระเจ้า รู้ไหมว่าพระฉาย คืออะไร? พระฉาย คือรูปเหมือน ตามความเหมือน ใช้ภาษาอังกฤษว่า Image ใช่ไหม? Image ก็แปลว่าเป็นภาพ ความลักษณะเหมือนพระเจ้า ปฐมกาล 2:27 อีกอันหนึ่ง

ปฐมกาล 2:27 ““แล้วพระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ จากธุลีดิน และทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิต เข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต”

 

“และทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าไปทางจมูกของเขา มนุษย์จึงมีชีวิต” นี่คือสิ่งที่แตกต่างกับการทรงสร้างทั้งหมดก่อนหน้านี้ ทุกชนิดของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง

ในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ตามแบบความเหมือนอย่างพระองค์ หรือเรียกว่าพระฉายาหรือตามพระฉายของพระองค์ และทรงให้มี หรือให้เป็นวิญญาณด้วย

ในบทที่ 2 ข้อ 27 ที่บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่า “ทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิต” ลมหายใจแห่งชีวิตตรงนี้ ก็คือ Spirit of life. ซึ้งหมายถึงวิญญาณนั่นเอง วิญญาณที่อยู่ในตัวของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณมีชีวิต วิญญาณชีวิตๆ ซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่เป็นสิ่งนี้ ไม่อยากจะบอกว่ามีเลย  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างให้เป็นวิญญาณ … เป็นวิญญาณที่เรียกว่าชีวิต วิญญาณที่มีชีวิต พูดง่ายๆ คือถ้าอ่านตรงนี้  ก็คือพระเจ้าระบายลมหายใจ ก็คือพระเจ้าแบ่งส่วนชีวิตของตนเอง  คือของพระองค์เอง เปรียบเหมือนผู้เป็นพ่อ แบ่งชีวิตให้กำเนิดลูก นึกออกหรือยัง? เห็นภาพไหม? แบ่งชีวิตของตัวเองออกมา เหมือน คือเหมือนอย่างนี้ คือมาจากเรานั่นเอง สายเลือด เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ แบ่งชีวิตของเขา มาเป็นลูกของเขา … เขาเรียกว่าลูกในสายเลือด เรามนุษย์ทุกคนเป็นสายเลือดของพระเจ้า โดยทางวิญญาณ เพราะพระเจ้าเป็นวิญญาณ พระเจ้าแบ่งมา ให้กำเนิดมนุษย์ เป็นลูกของพระองค์ เป็นวิญญาณ

และตรงนี้ ก็คือสิ่งที่อธิบายถ้อยคำใน 2 เปโตร 1:4 ที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนต้น ที่บอกว่า

“พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า”

ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ท่านได้เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า จริงๆ แล้วพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ให้มีส่วนในพระลักษณะของพระองค์ ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว มนุษย์ได้รับลมหายใจแห่งชีวิต จากพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มนุษย์ถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว มนุษย์ได้สวมใส่พระสิริของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาลแล้ว แต่หลังจากนั้น เมื่ออาดัมและเอวา ก็คือมนุษย์เริ่มต้นคู่แรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้ล้มไปในความบาป คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องได้รับผล คือคำสาปแช่ง ซึ่งโทษนั้น ก็คือการหลุดออกจากพระสิริของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า … พระสิริของพระเจ้าหายไปในมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือจากที่ถูกสร้างตั้งแต่เริ่มแรก ให้มีพระฉายเหมือนพระเจ้า ก็กลายเป็นไม่เหมือนแล้ว ลมหายใจแห่งชีวิต หรือวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า ที่ได้มาจากพระเจ้า ก็ไม่เหมือนอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างถูกเปลี่ยนไปหมด พระสิริหายไป ความตาย ความมืดเข้ามาปกคลุมแทนที่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

สรุปง่ายๆ ก็คือคุณลักษณะของมนุษย์ ที่บอกว่ามี 3 สิ่ง คือมีร่างกาย มีความคิดจิตใจ และวิญญาณนั้น ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ ตามแบบเหมือนของพระองค์ทั้งหมดเลยนั้น และพระองค์ทรงตรัสไว้ในนั้นว่า “พระองค์ทรงเห็นว่าดี”

ให้พูดพร้อมกันว่า  “พระองค์ทรงเห็นว่าดี”

ตอนสร้างมานั้น เห็นว่าดีทั้งหมด แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีทั้งหมดนั้น หลังจากที่มนุษย์คู่แรกล้มลงในความบาปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็กลายเป็นตรงกันข้าม ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามหมดเลย ร่างกายต้องตาย จากที่ต้องอยู่ ไม่ต้องตายเลย ก็ต้องตาย จากที่ไม่ต้องเจ็บป่วยเลย ก็ต้องเจ็บป่วย ความคิดจิตใจ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  จากความคิดเหมือนพระเจ้า ดีงามบริสุทธิ์ กลายเป็นมีแต่ชั่วร้าย วิญญาณก็ต้องตาย

จำได้ไหมตะกี้นี้ผมบอกว่าวิญญาณพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณที่มีชีวิต วิญญาณที่เป็นแบบชีวิต กลายเป็นวิญญาณที่เป็นแบบตาย  เห็นไหม? ตายนี้หมายถึงไม่ใช่สูญสิ้นไป ไม่ใช่นะ ชนิดลักษณะตายอยู่  กับลักษณะเป็นชีวิตแบบพระเจ้า มันต่างกันมาก

และสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะจากที่เคยสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นสายเลือดพระเจ้า กลายเป็นสกปรก ไม่ใช่สายเลือดพระเจ้าอีกต่อไป ถูกตัดไป กลายเป็นไปอยู่กับมารแทน เพราะฉะนั้น  เลยเข้าหาพระเจ้าไม่ได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อย่าเพิ่งเศร้าสิ นั่งเครียดกันหมดเลย  นั่นมันคืออดีตครับ แต่ว่าเลยมาเร็วๆ เลยนะ เดี๋ยวไม่จบ กดฟอร์เวิร์ดอย่างเร็วเลย กาลเวลาล่วงเลยมานานเหลือเกิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมตัวตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปนั้น วันที่มนุษย์ถูกตัดขาดออกจากพระสิริของพระเจ้า … พระเจ้าเตรียมตัวแล้วว่า.-

“วันหนึ่งฉันวางแผนไว้ว่าจะส่งพระบุตรองค์เดียวของฉัน ซึ่งอยู่กับฉันมาตั้งนาน ก่อนฉันจะสร้างมนุษย์อีก ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ เขาจะมีชื่อว่าเยซู ซึ่งแปลว่าผู้ช่วยให้รอด เขาจะมาช่วยมนุษย์เหล่านี้แหละ ลูกของฉันกลับมา”

กาลเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่พระเยซูได้มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาไถ่มนุษย์ ด้วยการเสียสละพระชนม์ชีพของพระองค์เอง  หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน

ถามว่าที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษย์นั้น มนุษย์มาไถ่ทางไหน? ร่างกาย ความคิดจิตใจหรือวิญญาณ พระองค์มาไถ่บาปทางไหน? ทางวิญญาณ แน่ใจ? แน่ใจ พูดดังๆ เท่านั้น ทางไหน? 1, 2, 3 ทางไหน?  พูดดังๆ  ทางวิญญาณ พระองค์มาไถ่บาป ทางวิญญาณ ความหมาย คือในทางวิญญาณ เราได้กลับสู่สภาพเดิม คือสภาพเริ่มต้น  ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างเรา  ตามพระฉายของพระองค์ และทรงระบายลมหายใจเข้ามาในตัวเรา ในปฐมกาลที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ กลับมาเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น หลังจากที่พระเยซูได้มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คืออะไรครับ? คือสิ่งที่หายไปทั้งหมด ทางวิญญาณ เกลี้ยงเลยที่หายไปแล้ว ตั้งแต่ที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  ได้กลับมาสู่ที่เดิม ยืนยันด้วยพระองค์อธิบายให้เราฟังเอง ไม่ใช่ผมอธิบาย พระเยซูอธิบายให้เราฟังเอง พระเจ้าอธิบายให้เราฟังเอง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ในโรม 5:8-11 ฟังและอ่านให้ชัดๆ จำใส่

โรม 5:8-11 “8 พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เอง แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้ เราได้ถูกนับ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เรา คืนดีกับพระเจ้าแล้ว

 

เอเมน … ชัด ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? ชัด  ขอแถมนิดหนึ่งได้ไหม? พูดตามผมดังๆ ขอนิดหนึ่งสุดท้ายแล้วกัน

พูดตามผมนะครับ “แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) คืนดีกับพระเจ้าแล้ว เอเมน”

การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน  ทำให้เราได้กลับเข้าไปสู่ที่เดิม ได้รับกลับไปคืนดีกับพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว เอเมน

ก็คือทางวิญญาณเราได้กลับมาเหมือนเดิม เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ เลย ผมเลยทำตารางเปรียบเทียบให้ท่านดู … ท่านดูไปด้วย แล้วก็ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง ท่านจะเห็นภาพ นี่คือจำนวนหนึ่งที่ผมพยายามคิดว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไรบ้าง?  มันเหมือนวางเป็นตาราง แต่ก่อนนี้ ตอนเดิมที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ฐานะเราเป็นอย่างไร?  พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป มันเกิดอะไรขึ้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? แล้วพอพระเยซูมาไถ่บาป มันกลับมาคืนดีเหมือนเดิมอย่างไร?

คือตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ชอบธรรม พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป  เกิดอะไรขึ้น สกปรก มีมลทิน ตรงกันข้ามทั้งหมด พอพระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ … มนุษย์กลับมาคืนดีสู่สภาพเดิม คือสะอาดบริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนเดิม เห็นหรือยัง? ตอนเดิม พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ในปฐมกาลนั้น มนุษย์ปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระสิริหายไป พอพระเยซูมาไถ่บาป ให้กับมนุษย์ … มนุษย์ก็กลับมาเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าเหมือนเดิม ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์ติดต่อกับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ พอมนุษย์ล้มลงในความบาป  มนุษย์เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกตัดขาดกับพระเจ้า ด่าว่าพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า แต่พอพระเยซูมาไถ่บาป ให้กับมนุษย์ … มนุษย์กลับคืนมาใหม่ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ไม่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว ตอนที่มนุษย์ถูกสร้างใหม่ๆ พระเจ้าสร้างให้มีชีวิตนิรันดร์ แต่มนุษย์ล้มลงในความบาป  ต้องตายนิรันดร์

 

เดิม มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเยซูมาไถ่บาป
สะอาด บริสุทธิ์

ปกคลุมด้วยพระสิริ

ติดต่อพระเจ้าได้

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

ตาและหู เปิด

วิญญาณครบบริบูรณ์

พระพรจากพระเจ้า

สกปรก มีมลทิน

พระสิริหายไป

เป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตายนิรันดร์

อยู่ในอาณาจักรความมืด

อยู่ในความพินาศ (นรก)

ตาบอด  หูหนวก

ป่วยทางวิญญาณ

ถูกสาปแช่ง

สะอาด บริสุทธิ์

เต็มไปด้วยพระสิริ

คืนดีกับพระเจ้า

มีชีวิตนิรันดร์

อยู่ในความสว่าง

อยู่ในสวรรค์

มองเห็น  ได้ยิน

วิญญาณหายป่วย

หลุดพ้นจากคำสาป

 

          พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ ทำให้มนุษย์กลับมามีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์อยู่ในความสว่าง แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ตกลงไปในอาณาจักรของความมืด พอพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ถูกย้ายกลับไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างเหมือนเดิม  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ … มนุษย์ใหม่ๆ อยู่ในสวนเอเดนเรียบร้อย เรียกว่าสวรรค์กับพระเจ้า แต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  โดนลงโทษ  มนุษย์ต้องถูกอัปเปหิออกไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกกันว่าที่พินาศ หรือเรียกกันว่านรก แต่พระเยซูมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทุกคน แล้วทำให้มนุษย์สามารถทางพระเยซู ในความเชื่อของพระองค์นั้น สามารถกลับมาอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

 

          ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ตาและหูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เปิดออก ได้ยินเสียง ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย  พอมนุษย์ล้มลงไปในความบาป ตาวิญญาณของมนุษย์ หูฝ่ายวิญญาณของมนุษย์เสียหายไปทั้งสองอย่างเลย ทั้งไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงพระเจ้าเลย พระเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้มัวไปหมด แสวงหาอะไรก็ไม่รู้ อันนั้นก็พระเจ้า อันนี้ก็พระเจ้า อันนี้ก็ใช่ มันเป็นไปหมดเลย มันใช่ ไปแล้ว ทางวิญญาณ แต่พอพระเยซูมาไถ่บาปให้มนุษย์ และถ้ามนุษย์เชื่อในข่าวประเสริฐนั้น มนุษย์ก็กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมทางฝ่ายวิญญาณเห็นแล้ว รู้แล้วว่านี่คือเสียงของพระเจ้า  รู้แล้วนี่คือใคร?  ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์มีวิญญาณที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ป่วยเลย แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป เรียกกันว่าป่วยทางวิญญาณ พิการทางวิญญาณ พระเยซูมาไถ่มนุษย์

 

          พระคัมภีร์บันทึกว่า “ด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ เราได้รับการรักษาให้หายป่วยทางวิญญาณแล้ว”

          หายพิการแล้ว อีกต่อไปแล้ว ในทางวิญญาณ สุดท้าย คือตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ มนุษย์อยู่กับพระเจ้า มีแต่พระพร จากพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งเลวร้ายเลยสักนิดเดียว แต่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป มนุษย์ถูกสาปแช่ง แต่พระเยซูมาไถ่บาปมนุษย์ พระคัมภีร์บันทึกว่าพระเยซูมาช่วยให้เราหลุดพ้นจากคำแช่งสาป … คำสาปแช่งทั้งหลายแล้ว ทุกอย่างที่พูดมานี้ เป็นมาแล้วทั้งหมดเลยนะ เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ผมพูดนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเริ่มต้นที่วิญญาณก่อน  เริ่มต้นแล้วที่วิญญาณก่อน อะไรที่เคยเสียหายทางด้านวิญญาณ ณ วินาทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ณ ขณะนั้น ณ วินาทีนั้น วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด ทันทีเลย ณ นาทีนั้นเลย ท่านเชื่อในข่าวดีนี้ เมื่อไหร่? เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า  มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต มาไถ่บาปให้กับท่านเมื่อไร? ทันทีทันใด มาเชื่อปั๊บ เกิดอันนี้ขึ้นทันทีในวิญญาณของท่าน 100% ทันที

 

2 โครินธ์ 5:17-18 “17 ดังนั้น ใครก็ตามที่มีส่วนในพระคริสต์ ก็เข้าสู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งเก่าๆ หายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น 18 ทั้งหมดนี้ ก็เกิดมาจากพระเจ้า พระเจ้าทำให้เรากลับมาคืนดีกับพระองค์ใหม่ โดยผ่านทางพระคริสต์ และพระเจ้าได้มอบหมายงาน ให้กับเราทำ คือไปนำคนอื่นๆ กลับมาคืนดีกับพระองค์ด้วย”

 

เอเมน … ตัวตนของเรา คือใคร?  “ดังนั้น นครที่มีส่วนในพระคริสต์ ก็เข้าสู่โลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาแล้ว สิ่งเก่าๆ หายไปหมดแล้ว ดูสิ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ เกิดจากพระเจ้า”

ตัวท่านก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้เลย ไม่ต้องรอไปตายแล้ว เกิดใหม่ ตอนนี้วิญญาณใหม่เอี่ยมเลย

ใหม่เอี่ยม 100% ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

ส่วนความคิดจิตใจ หรือ Soul ของเรานั้น ก็เริ่มต้นเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทันทีเหมือนกัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลง แบบเป็นกระบวนการ เริ่มเปลี่ยนๆ ไปเรื่อยๆ อาทิตย์ที่แล้ว วันนี้ก็เปลี่ยนมากขึ้น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา ค่อยๆ สอนเรา ให้รู้จักพระเจ้าอย่างไร? เดินกับพระเจ้าอย่างไร?  คิดอย่างไร? ให้เหมือนพระเจ้าคิด รู้สึกอย่างไร? มีความต้องการอย่างไร? ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เริ่มต้น ตั้งแต่วินาทีแรกในการรับเชื่อ ในข่าวประเสริฐเหมือนกันเลย แต่จะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ

คราวนี้สุดท้าย ฝ่ายร่างกาย เป็นอย่างไร? ส่วนทางฝ่ายร่างกาย อยากรู้ใช่ไหม? ทางฝ่ายร่างกายเป็นอย่างไร? ส่วนทางฝ่ายร่างกาย ซึ่งเรายังคง แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ฝ่ายร่างกายเรา ก็ยังคงต้องซี่แหงแก๋ ต้องตาย จากโลกนี้ไป เหมือนกันนะครับ ร่างกายนี้ยังต้องเน่าเปื่อยอยู่เหมือนกัน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น  แต่พระเจ้าก็ทรงได้เตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับเราแล้วในสวรรค์สถาน แต่เราจำเป็นต้องอยู่ในร่างกายนี้ก่อน อย่าเพิ่งรีบไปไหนนะ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะเป็นกฎของพระเจ้า วางไว้ว่าไม่มีมนุษย์คนใดอยู่บนโลกใบนี้ แล้วอยู่ตลอดไป ไม่ตาย เพราะมันเป็นกฎวางไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องอยู่ในร่างกายเก่านี้แหละ เป็นกฎวางไว้แล้ว  ตัวพระเจ้าเอง  พระองค์เองก็ไม่ละเมิดกฎของพระองค์เอง เพราะฉะนั้น  พระองค์วางกฎไว้แล้วว่ายังอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังอยู่ในร่างกายนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้  เราก็จำเป็นต้องอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งพระองค์จะทรงใช้เรา ในขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์บนโลกใบนี้แหละ ผมพูดอยู่เสมอๆ ถ้าพระองค์ไม่ใช้ท่าน จบแล้วนะครับ พาท่านกลับบ้านแล้ว สบายแล้ว คิดถึง (แย่) อยู่แล้ว อยากพาท่านไป รู้ว่าท่านทุกข์ทรมาน รู้ว่าท่านไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว

“แต่มันต้องอยู่ต่อลูกเอ่ย เพราะงานยังไม่เสร็จ ในชีวิตลูก พ่อเตรียมไว้ให้งานเจ้า”

คำว่าออกไปประกาศข่าวดี นำพาผู้คน กลับมาคืนดีกับพระเจ้า มิได้หมายถึงท่านต้องออกไปเคาะตามบ้าน แล้วก็เอาใบปลิวไปแจก เพียงแค่นั้นอย่างเดียว มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันอาจจะหลายๆ อย่าง ติดต่ออะไรต่างๆ เอาว่าถ้าพระเจ้ายังใช้ท่านอยู่ ตราบใดที่ท่านอยู่ในร่างกายนี้ อยู่บนโลกใบนี้ เข้าใจใช่ไหมครับ?  พระเจ้าจะใช้เราได้ ก็คือเรายอมอยู่บนโลกใบนี้ต่อ

เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ แม้เราจะทุกข์ทรมานเท่าไร? เราอยากจะไปเท่าไร? จงรับรู้ว่าพระเจ้ายังจะใช้เราอยู่นะ เราจะได้มีกำลัง อดทนต่อไป เปาโลก็ไม่อยากอยู่นะ เขาทรมานเหมือนกัน เขาก็ทุกข์เหมือนกันนะ แต่เขามีสันติสุข มีความสงบ เพราะเขายังรู้ว่าพระเจ้าทรงใช้เขาอยู่ วันหนึ่งที่พระเจ้าบอกเขา

“หมดหน้าที่แล้ว ไปเที่ยวนี้ประกาศครั้งสุดท้ายแล้ว เจ้าจะถูกตัดคอ ถูกประหารชีวิต กลับไปอยู่กับเรา”

ดีใจเลย

เราจำเป็นต้องรู้ตัวตนของเราที่แท้จริง เราจึงจะเป็นอิสระ สิ่งเหล่านี้ไง เราจะได้ไม่มีความรู้สึกกลับกัน จะตาย ก็กลายเป็นกลัว อยากอยู่ต่อ ก็เป็นอย่างนี้อีก มันควรจะอยากจะไปมากกว่านะ แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้ายังใช้งานท่านอยู่ ท่านต้องอดทน พระเจ้าจะยังใช้งานท่านอยู่ ไม่ใช่อยู่โลกนี้ ท่านจะสบายๆ ไม่ใช่อย่างนั้น มันอาจจะมีความทุกข์ แต่ในความทุกข์นั้น พระองค์จะทรงใช้เรา เอเมน

 

          เมื่อเราทิ้งร่างนี้ วิญญาณเราก็ออกจากร่างไปใช่ไหม? ตะกี้นี้เห็นภาพแล้วใช่ไหม? วิญญาณเราได้ไถ่กลับมาที่เดิมใช่ไหม? วิญญาณก็ออกจากร่างไป แล้วก็ไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว ในสวรรค์สถาน เป็นร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เหมือนกับตอนที่พระเจ้าทรงเริ่มต้นสร้างมนุษย์ ในปฐมกาลเลยทีเดียวเชียวล่ะ ฝันสิ  นึกสิ นี่คือความจริงเหล่านี้ทั้งหมด เห็นภาพสิ นี่คือความจริง นี่คือความหวังใจทั้งหมดของเรา ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์  สิ่งที่สำคัญที่สุด  คือเราต้องรู้ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์  เหมือนชื่อเรื่อง  ตอนซีรี่ส์นี้แหละ เราต้องรู้ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์ว่าเป็นใคร? เป็นอย่างไร?  นี่คือสำคัญที่สุด  เมื่อเรามาเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้เข้าไปสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ เรียบร้อยไปแล้ว เราได้อยู่ในพระคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า  กลับมาเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม  เหมือนจริงๆ เลย  เหมือนทันทีเลย เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์ วิญญาณเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ทุกวันก็นั่งอยู่ที่นี่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ณ ขณะนี้ จริงๆ ในวิญญาณเรา ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ วิญญาณก็อยู่กับเราตรงนี้แหละ อยู่ในวิญญาณของเรานั่นแหละ

 

นี่คือความเป็นจริง ในตัวตนของเราในพระคริสต์ ที่พระคัมภีร์บอกเราแล้วว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราต้องย้ำกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่าตัวตนจริงๆ ของเราเป็นอย่างนี้  เหมือนทาร์ซานที่ต้องบอกตัวเองอยู่เรื่อยๆ

“ฉันอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ ฉันไม่ได้เป็นลูกลิงๆ ฉันอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ ฉันอยู่ที่นี่ ฉันต้องใส่กางเกง ใส่อะไรลงไปกินข้าว ฉันต้องใส่กางเกงๆ อย่าเผลอถอดกางเกงลงไป”

เราก็ต้องย้ำยืนยัน “ฉันเป็นลูกของพระเจ้านะ ฉันเป็นอย่างที่พูดมาเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด มันหนีไม่พ้นเลย”

นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ที่เราเอามาพูดกันในวันนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น เราก็ได้อยู่กับพระเจ้า ในขณะที่เรากำลังเดิน ไม่ใช่บนโลกใบนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ พร้อมๆ กันเลย  เรากำลังอยู่กับพระเจ้า อยู่ในครอบครัวพระเจ้า ที่เรียกว่าในพระคริสต์นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาเราเดินบนโลกใบนี้ ตลอดเวลา หลับพระองค์ก็ไม่หลับ เคยได้ยินไหม? เมื่อเราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ พระองค์ไม่เคยหลับใหล พรองค์อยู่กับเราตรงนั้น ดูแลเราตรงนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาเราเดินตลอดเวลา พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาเป็น … พระคัมภีร์บอกมาเป็นอะไรรู้ไหม? เป็นพี่เลี้ยง น่ารักขนาดไหน? เป็นพี่เลี้ยงเรา  เพื่ออะไร? เคยช่วยดูแลเรา  เพราะเราเพิ่งเกิดใหม่ เหมือนลูกของพระองค์ที่เกิดใหม่ๆ ซึ่งพระองค์ทรงรักและทะนุถนอมมาก เหมือนพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์คลอดลูกออกมา แล้วตัวเองก็ดูด้วย แล้วก็มีพี่เลี้ยงมาช่วยดูตลอดเวลาเลย ทะนุถนอมตลอดเวลาเลย เราก็เป็นเช่นนั้นในพระคริสต์ เช่นเดียวกันแหละ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

และวิญญาณของเราก็จะค่อยๆ ต๊อกแตะๆ เจริญเติบโตขึ้น ควบคุมไปกันกับความคิดจิตใจ หรือว่า Soul ของเรา  เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์สถานนิรันดร์นั่นเอง ส่วนในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรารู้ รับรู้ ตระหนักอยู่ตลอดเวลา  ถึงความจริงตรงนี้แหละว่ามันเป็นลักษณะอย่างนี้นะ มันเป็นลักษณะอย่างนี้ อย่าให้ไปหลอกเรา อย่าให้ทีวีมาหลอกเรา อย่าให้หนังสืออื่นมาหลอกเรา  อย่าให้หนังสือพิมพ์มาหลอกเรา  อย่าให้วิทยุมาหลอกเรา อย่าให้แม้กระทั่งพระคัมภีร์ที่ใครมาแปล มันผิดไปกว่านี้ มาหลอกเรา … เราไม่เชื่อ นี่คือความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ พระเจ้าบอกเรา มันเป็นอย่างนี้  เราก็เป็นอย่างนี้ มันจบแล้ว ชีวิตเรา จบในทางดีนะ มันจบในทางดีแล้ว พระเยซูจึงบอกเลย บนไม้กางเขน It is finish. มันครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว  มันครบแล้วไง เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตนเองอีกต่อไปแล้ว เข้าใจไหม?  ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู มันจบแล้ว

มันจบแล้ว มันบริบูรณ์ เขาเรียกว่า Happy ending แล้ว เมื่อวันที่ท่านเชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน มันจบแล้ว Happy ending แล้ว

พระเจ้าจึงไว้ใจเราไง ว่าพระองค์มาสถิตอยู่กับเรา แค่นั้นพอแล้ว เดี๋ยวพระองค์จัดการทั้งหมดเอง

พักผ่อนได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองอีก แล้วเมื่อวันที่เราเข้ามาเชื่อในพระเจ้า ก่อนเชื่อในพระเจ้า ทำไปเถอะ ถึงบอกไม่ให้ทำ ท่านก็ทำ เพราะท่านไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใคร? พึ่งคนนั้น ก็ไม่ได้ พึ่งคนนี้ ก็ไม่ได้ ตรงนั้นก็หลอก ตรงนี้ก็หลอก ก็ไม่ใช่ แล้วก็ไม่อิ่มใจสักที จนมาเจอพระเยซู มันหยุดตรงนั้น มันถูกแล้ว มันหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ควรจะพึ่งพระองค์ไปตลอดเลย เราสามารถพึ่งพระเจ้า และวางทุกอย่างไว้ที่พระองค์ได้ทั้งสิ้น

“ทุกอย่าง ทุกเรื่อง”

ไม่ใช่เรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างเดียว ทุกอย่าง ทุกเรื่องบนโลกใบนี้  ที่ท่านเดินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ อะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับท่าน ให้ท่านรับรู้ว่าตัวตนของเราเป็นใครอยู่ในพระคริสต์ เป็นอย่างไร?  และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉันด้วย อยู่กับเราด้วย พระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างอยู่ … อยู่ในทุกสถานการณ์ ไม่เคยมีการทอดทิ้งเราเลยแม้แต่หนึ่งวินาที พอใจหรือยัง? มันต้องย้ำยืนยัน มันต้องอย่างนี้  มันต้องย้ำอย่างนี้  พระองค์สามารถที่จะนำพาเรา ผ่านพ้นทุกปัญหาไปได้ ในทุกสถานการณ์ ด้วยวิธีการและแผนการของพระองค์ที่ทรงวางไว้ ในชีวิตของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพื่อเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ที่พระองค์เรียกเรามาทำงานพระองค์ เมื่ออยู่บนโลกใบนี้ต่อไป นี่มันหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือเชื่อในพระเยซูแล้ว เราได้บังเกิดในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ไม่ต้องห่วงอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวผมจะยกข้อพระคัมภีร์ขึ้นมา ท่านจะได้เห็น และไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องกลัวใครอีกเลย ไม่ต้องกลัวทุกข์ยาก ไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เพราะมันจบไปแล้ว เราชนะเรียบร้อยไปแล้ว อ่านดูเองแล้วกัน ท่านจะได้สบายใจ ท่านจะได้รู้สึกพักผ่อนสักทีหนึ่ง ท่านจะได้ไม่ต้องกลัว  เอาถ้อยคำเหล่านี้ไปอ่าน

“ไม่ว่าสถานการณ์ใดเกิดขึ้นกับฉัน ไม่ว่าฉันจะหวาดกลัวขนาดไหนก็ตาม พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และฉันชนะแน่นอน เพราะมันชนะไปแล้ว”

โรม 8:37-39 “37 แต่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เราก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ ผู้ได้แสดงความรักกับเรา 38 เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตาย หรือชีวิต ทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของวิญญาณ 39  สิ่งที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตาม ที่ถูกสร้างขึ้นมาพวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า ที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

พูดตามผมดังๆ เลยนะครับ “แต่ในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ ผู้ได้แสดงความรักกับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) มั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฤทธิ์อำนาจต่างๆ ของวิญญาณ สิ่งที่อยู่เหนือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่านคร … (ใส่ชื่อท่าน) หรืออะไรก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  ออกจากความรักของพระเจ้า ที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้ เอเมน”

จำไว้เลย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เดินไปกับเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราเกิดในพระองค์แล้ว จวบจนวันตาย บนโลกใบนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์นำหน้าเรา  พระคริสต์นำหน้าเรา  พระหัตถ์ของพระองค์นำหน้าเรา  ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกวินาที เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่มีสถานการณ์ใด หรืออะไร ทำอะไรเราได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น จงพักผ่อน หายเหนื่อย และเป็นสุข ปล่อยให้พระองค์ทำการงานของพระองค์ นำพาเราไป จนถึงวันสุดท้ายของเราแต่ละคน ที่พระองค์วางไว้ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************