คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 10 แล้วนะ ก่อนเข้าเรื่องตอนที่ 10 เราต้องมาทบทวน และทำหน้าที่ตั้งชื่อตอนที่ 9 ก่อน เพราะว่ายังไม่มีชื่อตอนเลย ฟังกันไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาทบทวนนิดหนึ่ง แล้วก็มาช่วยกันตั้งชื่อกัน ซึ่งจริงๆ ผมตั้งไว้แล้วล่ะ เคยได้ยินไหมครับ อยากตั้งอะไร เชิญเลยนะครับ แต่ผมจะตั้งอย่างนี้ คือตั้งในใจไปแล้ว แต่อาจจะตั้งใหม่ก็ได้นะ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเน้นกันไปแล้ว มัทธิว 5:17-18 ที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์มาเพื่อทำให้บทบัญญัติสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ มัทธิว 5:17-18 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า.-

มัทธิว 5:17-19 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน”

 

บทบัญญัติเดิมที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส กำหนดไว้ว่ามนุษย์ทุกคน ต้องรักษาตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป นี่คือรวมแล้ว คือกฎของโมเสสที่พระเจ้าวางไว้ คืออย่างนี้  เพราะอะไร? เพราะว่าพระเจ้าทราบว่าทำอย่างนี้ จึงจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถเข้าไปหาพระเจ้าได้ สามารถได้พร สิ่งที่ดีๆ จากพระเจ้า เพราะเข้าไปหาพระเจ้า ก็ได้พรไง นึกออกใช่ไหม? นี่คือกำหนดไว้อย่างนี้  แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ปราศจากบาป ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดและบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้อย่างสนิทชิดเชื้อ เป็นหนึ่งเดียวกัน ได้พรเต็มที่ ตามที่พระองค์ต้องการให้เขาได้รับ ไม่มีเลย  ได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง เท่าที่คนนั้นพอจะทำได้ ตามบัญญัติที่บอกไว้

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าคน และเยอะแยะอีกมากมาย อีกหลายกฎ นี่เห็นไหม? นี่คือบทบัญญัติ ที่พระเยซูบอก พระองค์ไม่ได้มาทำให้บทบัญญัตินี้เสียไป ยังคงเหมือนเดิม เหมือนอย่างไร เดี๋ยวฟังต่อไป และไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดบริสุทธิ์ และปราศจากบาปใช่ไหม?  ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สามารถเข้าหาพระเจ้า หรือติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยลักษณะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย  สนิทชิดเชื้อกับพระองค์อย่างนั้น ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติจึงไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าต้องการได้ ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าวางกฎไว้อย่างนี้ แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่สามารถทำให้มนุษย์ได้ครบถ้วนบริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าต้องการ

นี่คือความหมายที่พระเยซูบอกเมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ พระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างบทบัญญัติเหล่านั้น เพราะบทบัญญัติเหล่านั้นยังคงอยู่ และทุกสิ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น คือบทบัญญัติที่บอกว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะหาพระเจ้าได้ บทบัญญัตินั้นยังคงอยู่หรือไม่อยู่? อยู่ ไม่ได้มาลบล้างนะ พวกเธอต้องบริสุทธิ์ ก็ต้องบริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ ฟังให้ดีๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงไม่ได้ตามนั้น มันไม่มีทางสำเร็จได้ตามนั้น พระองค์จึงจำเป็นต้องเข้ามา เพื่อช่วยให้บทบัญญัตินั้น สำเร็จตามที่พระเจ้าต้องการ และเกิดผลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือพระเยซูทรงเข้ามา เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ปราศจากบาป  ผ่านทางการเสียสละ ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์นั่นเอง และผลก็คือมนุษย์ เมื่อได้รับการชำระ ได้รับการไถ่บาป โดยพระเยซูคริสต์เกิดอะไรขึ้น ผลก็คือมนุษย์บริสุทธิ์ขึ้นมาทันทีเลย สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ตามที่พระเจ้าต้องการ จึงทำให้บทบัญญัติ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จ เห็นไหม พระเยซูบอก พระองค์มา ทำให้เขาสำเร็จ มันก็สำเร็จอย่างนี้แหละ มันสำเร็จตามที่พระเจ้าประสงค์ คือมนุษย์บริสุทธิ์ สามารถเข้าหาพระเจ้าได้แล้ว นี่คือความหมายที่พระองค์บอกว่ามา เพื่อทำให้บทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์ เอเมน

บนไม้กางเขน พระองค์จึงบอก “It  is  finished” คือมันเสร็จครบถ้วน บริบูรณ์แล้ว มันสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” นั้น  ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จได้แล้ว คือบริสุทธิ์ มนุษย์บริสุทธิ์ได้  มีโอกาสบริสุทธิ์ได้แล้ว

และที่เราย้ำกันมาตลอดว่าพระเยซูได้ชำระล้างเราให้บริสุทธิ์แล้ว มันก็คือบริสุทธิ์จากที่ไหน? ข้างในวิญญาณของเรา เราจึงพูดกันเสมอว่าคริสเตียนต้องบริสุทธิ์จากข้างใน คริสเตียนไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากข้างนอก ไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากพ่อแม่ ไม่สามารถเป็นคริสเตียนจากการเรียน และพยายามที่จะสอบให้ได้ปริญญาตรีทางศาสนาศาสตร์คริสเตียน ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องมาจากข้างใน โดยความเชื่อเท่านั้น และก็มีผลออกมาที่ข้างนอก ข้างในต้องสะอาดก่อน แล้วจึงออกมาข้างนอก วิญญาณภายใน เป็นวิญญาณที่ต้องดีเสียก่อน แล้วจึงสะท้อนออกมาเป็นการกระทำความดีข้างนอกต่อมา ไม่ใช่พยายามทำความข้างนอก เพื่อไปล้างข้างใน สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อธิบายตรงนี้ไปนิดหนึ่ง

ถ้าเริ่มจากข้างนอก ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? ถ้าเริ่มจากข้างนอก ทำดีขนาดไหน? เท่าไร? ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปชำระล้างวิญญาณข้างในได้ และการที่จะทำให้วิญญาณข้างในบริสุทธิ์ มนุษย์ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว มนุษย์จึงต้องทำไม? พึ่งพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ไบเบิลจึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่าพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู การเสียสละพระชนม์ของพระองค์ มีเพียงพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น ที่บันทึกไว้อย่างนี้ว่ามีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะบริสุทธิ์ได้ คือทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำ นี่เราหลายคนก็รู้ดี ได้ยินอยู่บ่อยๆ

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้กันไป สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 9 ซึ่งเราจะใช้ชื่อตอนว่า “จากข้างใน มาข้างนอก” เห็นไหม ตั้งไปแล้ว ท่านตั้งหรือยัง? ตกลงชื่อตอนครั้งที่แล้ว ชื่ออะไร? “ข้างใน มาข้างนอก”

พูดพร้อมกันสิ ตอนที่แล้วชื่อตอนอะไร? “จากข้างใน มาข้างนอก”

เห็นไหม? ทุกท่านตั้งพร้อมผมเลย ทุกคนบอกตั้งชื่อนี้ดีกว่า คนมาฟังคำเทศนาซีรี่ส์ชุดนี้ คนงง พวกเราเสมือนมีโค๊ดอะไรกันในคริสตจักรนี้  ก่อนหน้านี้มีอะไรนะ ตั้งชื่ออะไรนะ “นั่งเครื่องบิน”  “กระเทียมดอง”  “แค่หลับตา”  “ปลูกแตงโม”  ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แล้วมาคราวนี้ “จากข้างใน มาข้างนอก” ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างหนึ่ง เราตั้งใจแล้ว รู้แล้วไงว่าที่สอน ที่เทศน์ ที่บรรยายไปทั้งหมดนี้ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจเลยนะ ให้ฟังไปอย่างนั้นแหละ แต่ให้เชื่อ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวกับวิญญาณที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งนั้น ซึ่งต้องใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ใช้ความเข้าใจ … เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ตั้งชื่ออะไรก็ได้ ตั้งไปเถอะ แต่ตั้งให้มันกลมกลืนนิดหนึ่ง

และวันนี้ เราก็จะมาคุยกันต่อถึงประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน อย่างนี้มันเป็นอย่างไร? อย่างที่เราบอกว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอะไร? เราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนที่ 10 ชื่อตอนตั้งไปเลยนะ ฟังแล้วตั้งไปเลยนะ แล้วสัปดาห์หน้า เรามาลงมติอีกทีหนึ่งว่าจะใช้ชื่ออะไร? ซึ่งลงมติที่ไร ก็ตรงกันทุกทีเลยนะ ไม่มีใครแย้งสักคน

เริ่มต้นตอนที่ 10 ยังจำเรื่องเครื่องบินได้ใช่ไหม? ที่เราย้ำกันไปย้ำกันมา จำได้ใช่ไหมเรื่องเครื่องบิน ที่บอกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถบินไปไหนมาไหน? บินไปไกลๆ ไปไหนได้ โดยการนั่งในเครื่องบิน โดยการอาศัยในเครื่องบิน อาศัยเครื่องบินที่ทำการ กิจการในกฎของการยกขึ้น  ซึ่งมันชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบินลอยอยู่ในอากาศได้

นั่งอยู่ในเครื่องบินเฉยๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าคอยกางแขน ช่วยกัปตันในการบินไปด้วยกัน มีใครนั่งในเครื่องบิน แล้วช่วยกัปตัน ไม่มี ชีวิตคริสเตียนหลายคนเป็นอย่างนี้จริงๆ คือชอบช่วยกัปตันบินครับ นั่งเครื่องบินเฉยๆ ไม่ได้ ต้องช่วยเขาบินด้วย คือพวกไหน? ทราบไหมครับ? ถ้าพูดอย่างนี้ คิดไม่ออก ช่วยกัปตันบินอย่างไร? กัปตันของเรา คือใคร ถ้าพูดในทางพระเยซูคริสต์ กัปตันของเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ มีใครช่วยพระเยซูบ้าง? ช่วยพระเยซูนำเรา มีไหม? ไม่มีเหรอ เอ๊า! ฟังดูสิ ยกตัวอย่าง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำตัวเองให้ชอบธรรมมากขึ้น”

เคยคิดอย่างนี้ไหม? ไม่เคยจริงๆ เหรอ  แล้วเคยคิดอย่างนี้ไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้น โดยทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันดี”

เคยคิดอย่างนี้ไหม?  เคยน่า หรือเคยคิดไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ฉันต้องออกไปรับใช้เยอะๆ”

หรือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องนำคนมาเชื่อพระเจ้ามากๆ”

โดนไม่โดน? โดนในอดีต ตอนนี้อาจจะหลายคนจะเปลี่ยนไป  หรืออีกอันหนึ่ง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องดำเนินชีวิตคริสเตียน แบบครบถ้วนบริบูรณ์”

โดนไหม? โดน จะบอกให้นะครับ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ดำเนินชีวิตคริสเตียน ได้แบบครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุดเลย แล้วได้อย่างแท้จริงเลย  และผู้นั้นอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้นั้น คือพระเยซูคริสต์ ที่สามารถดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง อย่างนั้นได้

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บอกเคล็ดลับให้กับเรา โดยการให้เราทำอะไร? จดจ่อ ปักใจ ตั้งความคิด Set your mind ก็คือตั้งความคิด ตั้งโปรแกรมไว้ที่ไหน? ตะกี้นี้ ที่บอกมีคนเดียวที่ทำได้ มีผู้เดียวที่ทำได้ ไว้ที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และเราทั้งหลายนั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น และอยู่ในพระองค์ ให้เราอยู่ตรงนั้นแหละ ให้พระองค์นำเราไปด้วย เหมือนเรานั่งในเครื่องบิน คล้ายๆ อย่างนั้น เอเมน

ให้พระองค์นำพาชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ชีวิต แล้วเราจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราสามารถทำได้ และอยากให้เราเป็นอย่างนั้น เอเมน ให้พระเยซูนำ จำเพลงที่เราร้องกันได้ไหม? จำแม่นหรือเปล่า?

“พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ

พระองค์กลับมา เพื่อรับข้าไป

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์”

“ข้าจะยืนหยัด” นี่คืออะไรรู้ไหม? ข้าจะตั้งโปรแกรมของข้าไว้ที่ Power ของพระคริสต์ ความสามารถ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ ข้าจะจดจ่อ ปักใจ ดำเนินชีวิต มันหมายถึงข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์ ถามว่ายืนหยัดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ไม่ว่าพระองค์จะกลับมารับข้าไป คือเราตายจากโลกนี้ หรือเรายังไม่ตาย พระองค์กลับมาก่อน ได้ทั้งสองอย่าง ให้พระองค์ทรงนำ เราจะไม่นำตัวเราเอง หรือไม่ช่วยพระองค์บิน เราจะคอยตามพระองค์อย่างเดียว  เอเมน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกไว้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาในความตายของพระองค์แล้ว ในโรมอธิบายตรงนี้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว โดยวิญญาณของเรา ก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ร่วมกับพระองค์ อ่านดูในโรม 6:3-6 จะเห็นภาพชัดเจนว่าวิญญาณเราเป็นอย่างไรตอนนี้ อะไรที่มันตายไป? อะไรที่มันบังเกิดใหม่? อะไรที่มันเหมือนพระเยซู? โรม 6:3-6

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ โอโห้! มีส่วนรวมกับพระองค์ ในการตาย และมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย ตรงนี้สำคัญมาก รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แยกกันไม่ออก พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นด้วย เหมือนตัวอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม?  เหมือนถุงชาใช่ไหม? ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำ เราก็จะได้น้ำชา ถุงชากับน้ำได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกมาทีหลัง เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับชาได้จากกันอีกแล้ว เพราะทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

แล้วก็เหมือนชานะครับ มันมีทั้งเข้มและอ่อน แต่อย่างไงๆ ทั้งอ่อนและเข้ม ก็เป็นชาเหมือนกันทั้งนั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เราอาจจะเป็นคริสเตียน แบบชาอ่อน หรือเป็นคริสเตียนแบบชาแก่ก็ตาม จะเป็นอ่อนหรือแก่ก็ตาม แต่เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณเราไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเป็นคริสเตียนจริงๆ ในวิญญาณของเรา ทันทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เราไม่ใช่น้ำหรือใบชาอีกต่อไป แต่เราเป็นน้ำชา หรือที่ผมยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พูดกันจนจำได้แล้ว ก็คือเราเป็นกระเทียมดอง

พูดพร้อมกันจะได้จำแม่นดี “เราเป็นกระเทียมดอง”

“เราเป็นกระเทียมดอง” ก่อนเป็นกระเทียมดอง เราเป็นกระเทียมสด แล้วตอนนี้ เป็นอะไร? กระเทียมดอง แล้วจะกลับเป็นกระเทียมสดได้อีกไหม? ไม่ได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น กระเทียมดองที่เราคุยกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเมื่อกระเทียมสดถูกกลายสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย อันนี้ไม่ต้องถามแม่บ้านเลย ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แน่นอน

ฉันใด ก็ฉันนั้น เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว เชื่อในพระเจ้าแล้ว จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว บัพติศมา คือจุ่มลงไป ท่านก็ไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว จำไว้เลย ท่านไม่ใช่คนเก่าที่ต้องพยายามทำดีด้วยตัวเองอีกต่อไป ท่านได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นไทจากบาป โดยสมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เอเมน นี่คือความหมายของมันเมื่อตะกี้นี้ มันเชื่อยาก ต้องพูดให้ตัวเราฟังเยอะๆ พูดบ่อยๆ จดจ่อความคิดเราอยู่ตรงนี้ เรื่อยๆ นี่คือเรื่องจริงของธรรมชาติ ของฝ่ายวิญญาณที่มันบังเกิดขึ้น และพระคัมภีร์สอนเราเรื่องวิญญาณทั้งนั้น 2 โครินธ์ 5:17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อเกิดอย่างนี้ขึ้นแล้ว สภาพทางวิญญาณเราเป็นอย่างไร?

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

อ่านตามผมดังๆ “ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

“นี่แน่ะ” ชี้ไปที่ใคร? ชี้ไปลึกๆ เลย ที่ไหน? วิญญาณของเรา เอาใหม่อีกทีหนึ่ง

“ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป หมดเลย นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

กำลังจะบอกว่าวิญญาณใหม่ทั้งนั้น โอเค วิญญาณเดิม แต่มันบังเกิดใหม่ ไม่ใช่วิญญาณใหม่ … แต่ว่าตัวเก่าเปลี่ยนเป็นใหม่ ไม่ใช่ เอาอันใหม่มาใส่ เปลี่ยนใหม่เอี่ยมเลย จากวิญญาณที่ตาย เป็นวิญญาณใหม่ นี่คือข้อความตะกี้นี้ ถ้าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้นั้น ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว ท่านเป็นวิญญาณที่ทรงสร้างใหม่แล้วในพระคริสต์ ท่านได้กลายสภาพจากคนบาป กลายมาเป็นลูกของพระเจ้าทันที มันจึงเชื่อยากไง

จากคนบาป กลายเป็นบาปเหลือครึ่งหนึ่ง ก็ยังดี นี่จากคนบาป กลายเป็นลูกพระเจ้า มันห่างกันมาก เขาถึงจับพระเยซูไปตรึง แล้วก็จับสาวกของพระเยซู ตั้งแต่เปโตรและอีกหลายคน ที่ประกาศตอนนั้น ไปทรมาน หาว่าไปหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาไม่เข้าใจในตอนนั้น แต่ความจริงได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้ ใครๆ ก็เริ่มรู้จักเรื่องนี้เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่พระเจ้านำทางวิญญาณแล้ว  ไม่ยาก แต่อย่างที่บอก ต้องเห็นใจจริงนะ ใหม่ๆ มามันรับยาก ถ้าท่านคนเก่า ซึ่งเป็นคนบาป  ก่อนที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิ์ของท่านในพระเยซูคริสต์ ท่านยังไม่มาเชื่อ ท่านยังไม่มารับสิทธิ์ของท่าน ตอนนั้นท่านเป็นคนเก่า ตามข้อพระคัมภีร์นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระคริสต์ ก็คือวิญญาณท่าน ตอนที่พระเยซูตาย  เท่ากับท่านได้ตายไปด้วย  พระเยซูเป็นตัวแทนให้ท่าน และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว รวมกับพระคริสต์ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านมีสิทธิ์เป็นตามเหมือนพระองค์ด้วย มันหมายถึงเป็นตัวแทนให้กับเรา มนุษย์ทุกคน ทำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่  ที่มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป ซึ่งท่านได้รับมาโดยพระคุณ ไม่ต้องกระทำ ไม่ใช่โดยการกระทำของตัวท่านเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยพระคุณ คือโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวแทนให้กับเรา โดยที่ท่านไม่ต้องตาย พระองค์ทรงตายแทนเรา มันหมายถึงตรงนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้  ถ้าท่านคิดว่านะ ท่านสามารถแสวงหาด้วยตัวเองได้ หรือคิดว่าสามารถพยายามทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้ ท่านไม่ต้องพึ่งพระองค์เลย แต่ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็จงปล่อยวางและมอบให้พระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงทำให้กับท่านทั้งหมดในชีวิตของท่านเถิด ลองพระองค์เลย ลองในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงทดลองแบบอย่างนั้นนะ หมายถึงว่าในเมื่อเราทำไม่ได้ นี่บอกมีทางออกอยู่ทางหนึ่ง พระเยซูทำให้ได้ … เอ๊า! ดูสิว่ามันเป็นจริงหรือไม่? มันหมายถึงอย่างนี้ พิสูจน์เลย พิสูจน์ดีกว่า พิสูจน์เลยว่าจริงหรือไม่? บางทีเรานั่งอยู่ที่นี่ รู้จักแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ลองดูสิ พิสูจน์ดูสิว่ามันเป็นจริงไหม?  ลองมาศึกษาดู เขาเรียกว่าทดสอบพระเจ้าดู พิสูจน์พระเจ้า พระองค์อยู่ที่นี่แล้ว รอคนมาพิสูจน์เท่านั้น

พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาท่านและมนุษย์ทุกคนพบกับชีวิตใหม่ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกที พระองค์สามารถนำพาท่านมาสู่ชีวิตใหม่ โดยที่ท่านไม่ต้องทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกทีหนึ่ง ไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ซึ่งในอดีต เราพยายามทำด้วยตัวเราเองมาโดยตลอด เพื่อทำให้เราบริสุทธิ์ ทำให้เราครบถ้วน

นี่คือความหมายที่บอกว่าการอยู่ในพระคริสต์ ก็คือการมอบชีวิตไว้กับพระองค์ พึ่งพาพระองค์ ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกขณะจิตนั่นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จดจ่อ มอบชีวิต พึ่งพาพระองค์ทุกอย่างๆ มันหมายถึงอย่างนี้

เชื่อและวางใจให้พระคริสต์นำพาชีวิตของเรา ในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ สถานการณ์ เหมือนกับเวลาที่เรานั่งเครื่องบิน ที่ตะกี้นี้บอก เรานั่งเครื่องบิน เราก็เชื่อวางใจในกัปตันว่าจะนำพาเราไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยได้  โดยที่เราไม่ต้องช่วยบิน ไม่ต้องช่วยลุ้น ไม่ต้องช่วยดูแผนที่ ไม่ต้องทำตัวเองเหมือนกับว่าเรากำลังควบคุมเครื่องบินด้วยตัวเราเองตลอด ขณะที่นักบินเขาก็อยู่ที่ห้องบิน เราผู้โดยสาร นั่งอยู่ข้างหลัง ก็ทำท่าบินกับเขาด้วย ขำเนอะ แต่พอนึกถึงวิญญาณ นึกถึงความเป็นจริงในชีวิตคน หลายครั้งเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอาใหม่ คิดใหม่ เราจะไม่ทำอย่างนั้นนะ  ทางวิญญาณมองมา เราคงเป็นตัวตลกนะ

สมมติเราขึ้นเครื่องบิน ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าบิน เราก็จะบอกว่าคนนี้ เพี้ยนๆ ยังไง ชอบกล

พอเครื่องบินจะออก กัปตันก็จะประกาศว่า.-

“ขณะนี้เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว ขอให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่ สบายๆ จะนอนหลับ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือก็ดูไป เพราะเราเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อจะถึงที่หมาย กัปตันก็จะประกาศว่า “เราจะบอกท่านอีกครั้งหนึ่ง จะถึงที่หมายภายใน 15 นาทีนี้ ให้เตรียมตัว อาบน้ำ อาบท่า ไปแปรงฟัน ล้างหน้าให้เรียบร้อย เครื่องบินกำลังจะลงแล้ว ถึงที่หมายแล้ว”

แต่ก็ยังมีผู้โดยสารบางคน ที่ตะกี้นี้บอกนั่งโดยสายอยู่ กังวลไปตลอดทาง คอยจับเก้าอี้ไว้แน่นตลอดเวลา สั่นทั้งตัว กลัว เครื่องสั่นที่หนึ่ง ก็ตกใจทีหนึ่ง เครื่องบินตกหลุมอากาศทีหนึ่ง ก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมา ท่านลองคิดดู ไม่กล้าทานอาหารที่เขาให้มา ไม่กล้านอน ไม่กล้าทำอะไร คอยกางแผนที่เช็คเส้นทางตลอดว่าไปตรงหรือเปล่า?

ปรากฏว่าพอเครื่องบินถึงที่หมาย ลงจอด ผู้โดยสารคนนี้ถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเครียดจัด ความดันขึ้นสูง กลัวตลอดทาง เหนื่อย ฟังดู มันน่าขำนะ แต่ประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนบางคน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเองก็เคยเป็นอย่างนั้น  ผมถึงรู้ไง มันหมายถึงอะไร? เป็นอย่างนั้นเลย  เปรียบเทียบชัดเลย  ประสบการณ์ชีวิตหลายคนที่เป็นคริสเตียน ก็จะเป็นอย่างนี้ คือมีชีวิตแบบเป็นห่วง เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นกังวลเรื่องบาปเวรกรรมของตัวเอง เมื่อไรจะหมด

พระคัมภีร์ก็ย้ำ … ย้ำจนไม่รู้จะย้ำอย่างไงแล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความชื่นชมยินดีที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้วนะครับ จำหลายข้อพระคัมภีร์ เต็มไปหมดเลย แต่ในทางปฏิบัติเราก็ยังคงแสวงหา ยังคงพยายาม ที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้มากขึ้นอีก อยากทำ … อยากทำให้มากขึ้นอีก เพราะในใจมันยังไม่ชอบธรรมพอ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้พักสักที เหนื่อย ไม่ได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเลย บางคนบอก

“ไหนมาหาพระเยซูจะหายเหนื่อยเป็นสุข นี่มันหนักกว่าเก่าอีกนะ”

เคยไหม? เคยคิดอย่างนั้นไหม? เคย เพราะเราจดจ่อผิดที เพราะเราไม่เข้าใจไง เพราะเราไปเชื่อผิดที่ เข้าใจใช่ไหม? เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ที่บอกเราว่าเราเป็นอิสระแล้ว เรียบร้อยแล้วจริงๆ Free indeed เป็นอิสรภาพแล้วจริงๆ เรายังไม่เชื่อตรงนั้นพอ

ฟังให้ดีนะครับ ตั้งใจตรงนี้ให้ดี สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงกับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ โดยทางความเชื่อด้วยเช่นเดียวกัน

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

ทำไมเขาให้เราพูด “เอเมน” รู้ไหม? เพราะไม่เข้าใจไง  เอเมน แปลว่า “ฉันเชื่อตามนั้น” เอเมนไม่ได้แปลว่าเข้าใจนะ เอเมน แปลว่าฉันเชื่อ เพราะฉะนั้น ผมถามว่าท่านเข้าใจไหม? ท่านตอบว่าเอเมน … เอเมน แปลว่าเชื่อ เอานะ จำไว้นะ

          สิ่งที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ธรรมชาติของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คิดในใจ คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นผู้ชอบธรรมชาติ ทรงสะอาดบริสุทธิ์ ทรงสะอาด ปราศจากบาป  เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาและการอภัย และเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พูดถึง ที่เขาเรียกว่าธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ ถูกไหม?  ถูกหรือไม่ถูก? ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ดองกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เห็นภาพแล้วนะ ลักษณะธรรมชาติของเรา หรือของคนที่เชื่อ ก็ได้เป็นเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเป็น คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาป เปี่ยมด้วยความรักเมตตา อภัย เหมือนกันไม่มีผิดเลยแม้แต่นิด

 

ไม่เอเมนเหรอ กำลังตกใจเนอะ ได้เยอะไปนะเนี้ย เอ๊า! 1, 2, 3 เอเมน

แต่สิ่งที่เราได้รับมาทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเราทำด้วยตัวเอง ให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ แต่เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน … ท่านจึงเหมือนกับพระองค์ไม่มีผิดเลย นี่พูดถึงทางวิญญาณทั้งนั้นนะ ท่านไม่กล้าพูดใช่ไหม? พระเยซูจึงเป็นพระบุตรพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเลยมีธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูชอบธรรม เราก็ชอบธรรม พระเยซูสะอาดบริสุทธิ์ เราสะอาดบริสุทธิ์ พระเยซูเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา เต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย เราก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา การให้อภัย

“แล้วเมื่อวานนี้ โมโหเขาล่ะ ยังนินทาเขาอยู่เลย”

นั่นมันเนื้อหนังนะครับ นี่กำลังพูดถึงวิญญาณท่าน เห็นภาพไหม? ชัดไม่ชัด? เข้าใจไหม? เอเมนสิ … เอเมน แปลว่าฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่เข้าใจหรอก

นี่พูดถึงทางวิญญาณเท่านั้นนะ คืออย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ คือก่อนที่เราจะได้มาอยู่ในพระคริสต์นะ คือพูดง่ายๆ ก่อนที่เราจะมารับเชื่อ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน พูดง่ายๆ ก่อนนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู ธรรมชาติ ลักษณะของเราตอนนั้น แทนที่จะเหมือนกับพระเยซู ถามว่าเหมือนใครครับ ตอนนั้น เหมือนคุณนคร ไม่ใช่ ถ้าเหมือนผม ก็ไปตายด้วยกันทั้งคู่ เหมือนใคร? เหมือนแม่ ไม่ใช่ เหมือนใครนะ อันนี้หนักเลย เหมือนมาร  ถูกๆ  ถูกแบบลึกเลยล่ะ นึกในใจว่าเหมือนใคร? เดี๋ยวผมตอบให้ ฟังให้ดีๆ นะ

สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของอาดัม Nature ธรรมชาติของอาดัม มนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าตกไปในความบาป เราเป็นลูกหลานของเขา สิ่งใดที่เป็นจริง ธรรมชาติของอาดัม สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับมนุษย์ทุกคนด้วย มีอะไรบ้างที่เป็นธรรมชาติลักษณะของอาดัม

ธรรมชาติลักษณะของอาดัมคืออะไรครับ? ตะกี้นี้ เรารู้แล้วพระลักษณะธรรมชาติของพระเยซู เรารู้แล้ว ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า ตอนนี้ ลักษณะธรรมชาติของอาดัมเป็นอย่างไร? อาดัมกบฏพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เลยเป็นคนบาปไปด้วย เราก็เลยกบฏกับพระเจ้าไปด้วย เราก็ไม่เชื่อพระเจ้าไปด้วย เราก็เป็นคนที่ไม่มีความรักความเมตตา ไม่มีการให้อภัย เหมือนอาดัมไม่มีผิดเลย เพราะเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เพราะว่าเราอยู่ในอาดัมตอนนั้น เรายังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่พูดถึงตอนก่อนที่เราจะมารับเชื่อนะ ก่อนที่เราจะรู้จักพระเยซู มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? จำตอนก่อนที่ผมพูดได้ไหม? ที่พระเยซูบอกข้างนอกไม่สามารถทำให้ข้างในสกปรกได้  แต่ข้างในมันจะเอาความสกปรกออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา จำได้ใช่ไหม?

มาระโก 7:21-23 นึกออกใช่ไหม? ที่บอกว่าเพราะที่ออกมาจากภายใน (คือภายในวิญญาณ) จากวิญญาณของมนุษย์ … มนุษย์ คืออาดัม นึกออกใช่ไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าเพราะที่ออกมาจากวิญญาณของเรา คือออกมาจากอาดัมนั่นนะ คือความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การล่วงประเวณี ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา ซึ่งมีอีกมากมายกว่านี้ สิ่งสารพัด ความชั่วเหล่านั้น มาจากภายในวิญญาณ และทำให้อาดัมเป็นมลทิน คืออาดัมเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ และเราเป็นลูกหลานของอาดัม เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัม เราจึงอยู่ในนี้ ในวิญญาณของเรา ก็เลย  ถ้าเราไม่รู้จักพระเจ้า เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู ไม่รู้ ถ้าตราบใดที่เราไม่เชื่อพระเยซู ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพระคัมภีร์นี้เป็นจริง สิ่งที่ออกจากวิญญาณเรา ตอนก่อนเชื่อพระเยซู คืออะไร?

ยกตัวอย่าง คืออะไร? พระเยซูบอกว่าคืออะไร? ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข็ญฆ่า ความโลภ ความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา และอื่นๆ อีกมากมายเยอะแยะ สารพัดความชั่วเหล่านี้ ออกมาจากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกหลาน ที่มาจากอาดัม ทำให้เราเป็นมลทิน คือเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  เพราะอย่างนี้ ไม่ใช่ เพราะเราไปทำ แล้วมันเป็นบาป เราไปทำ มันเป็นผลข้างในออกมาแล้ว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเราต้องไปฆ่าคนตาย เราถึงจะเป็นคนบาป  แต่บาปมันอยู่ข้างใน เราไม่ต้องไปทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วจะกลายเป็นคนบาป ทำแค่อันเดียว ก็เป็นคนบาป ไม่ทำเลย ข้างใน เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมาเอง  พอเข้าใจไหม?

 

บางคนบอก “บาปคนนั้นหนักกว่าคนนี้ คนนี้หนักกว่าคนนั้น”

มันไม่มีหนักกว่าหรอก เพราะข้างในมันเป็นบาป  ตัดสินกันอยู่ที่ข้างใน บริสุทธิ์ไหม?  นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  เป็นความบริสุทธิ์แบบมาตรฐานของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์คิด แบบของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่เราจะมารู้จักกับพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? เมื่อเราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ในตระกูลเก่าของเรา บรรพบุรุษเก่าของเรา ก็คืออาดัมและอีฟ เราก็ได้รับธรรมชาติของอาดัมเข้ามาอยู่ในตัวเราเต็มๆ ไม่ว่าเราจะอยากได้หรือไม่อยากได้ ก็อยู่เต็มๆ  เหมือนกับลูกของครอบครัวที่เป็นเอดส์ เขาไม่อยากได้เอสด์หรอก แต่อย่างไง มันก็เข้ามาอยู่ในตัวเขา โดยที่เป็นธรรมชาติ เกิดมาก็เป็นเลย เราเอง ก็เกิดมา ก็เป็นเลย อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

          อาดัมอวดดี ต้องการรู้ดี รู้ชั่วด้วยตัวเอง นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ เราก็รับสภาพ ลักษณะธรรมชาติตรงนั้น เข้ามาในตัวของเรา แล้วก็พยายามที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง ในการที่จะพยายามทำ สิ่งที่เรียกว่าดี ในสายตาของตัวเอง สะสมความดีในสายตาของตัวเอง พยายามที่จะละเว้นการทำบาป หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยความคิดว่ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  สามารถแก้ปัญหาได้  นี่เราก็คิดอย่างนั้นแหละ พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง นี่คือธรรมชาติของบาป ซึ่งอยู่ในอาดัม ซึ่งตกทอดมาถึงเรา แต่ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ แทนที่เราจะรับมรดกธรรมชาติ ลักษณะจากอาดัม เราก็เปลี่ยนมารับจากใคร พระเยซู ที่ตะกี้นี้บอก

 

เห็นไหม พอเราเปลี่ยน ทันทีเลย  เปลี่ยนสายพันธุ์ทันที ปุ๊บ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับพระลักษณะธรรมชาติจากพระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ก็กลายเป็นอย่างนั้นเลย  สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับเรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระคุณของพระองค์เท่านั้น ฮาเลลูยา เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ คือตอนที่เรายังมีธรรมชาติลักษณะของอาดัมอยู่ในตัว พระคัมภีร์ใช้คำว่าเรายังอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เราอยู่ในความมืด แต่หลังจากที่เราได้มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว  คือได้มาเป็นผู้ชอบธรรม หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้รับธรรมชาติลักษณะของพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา พระคัมภีร์ใช้ความหมายคำนี้ว่าเราได้รับการย้าย เราได้ถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรหนึ่ง ที่ชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ตลอดเลย มืด แสงสว่าง สวรรค์ ตรงข้ามกับสวรรค์ คือนรก

ยกตัวอย่างเช่น โคโลสี 1:13-14  ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าขณะที่ท่านมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับตัวฉันไหม?  ขณะที่ฉันรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าอธิบายให้เราฟังในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเข้าใจลำบากมาก ไม่เข้าใจเลย แต่เราสามารถที่จะเชื่อได้  เอเมน เราจึงใช้คำว่าเอเมนอยู่เสมอ ไม่บอกเข้าใจแล้ว  เพราะไม่มีทางเข้าใจหรอก

“ย้ายอย่างไง ฉันก็ยังอยู่ที่เดิม ขณะที่ไม่รับเชื่อพระเจ้า ยังไม่รู้จักพระเจ้า ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรี พอรับเชื่อแล้ว ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรีเหมือนเดิม แล้วย้ายที่ไหน”

แต่ในโลกวิญญาณพระคัมภีร์บอกย้ายก็ย้าย เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เอเมนอย่างเดียว อ้าว! อ่านเอง โคโลสี 1:13-14

โคโลสี 1:13-14 “13 พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรา เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนั้น เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

อ่านตามผมนะครับ ตรงนี้ต้องดังๆ “พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ย้ายนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

ที่พูดมาตะกี้นี้ เกิดขึ้นตอนที่เรารับเชื่อ ผมรับเชื่อมาเกือบ 28 ปีแล้ว มันเป็นอย่างนี้มา 28 ปีแล้ว ตอนนั้นยังเหนื่อยอยู่ ตอนนี้เห็นชัดขึ้น  เพราะทุกอย่าง เป็นการกระทำผ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณเราได้รับการกระทำให้บริสุทธิ์ วิญญาณเราได้รับการย้ายที่จากที่หนึ่ง ไปสู่อีกทีหนึ่งใช่ไหม ตามพระคัมภีร์นี้ คือจากอาณาจักร ที่เรียกว่าความมืด ย้ายจากอาณาจักรของความมืด … อาณาจักรความมืด คืออะไร? อาณาจักรแห่งการสาปแช่ง อาณาจักรที่ไม่ใช่อาณาจักรสวรรค์ ก็คือนรก อาณาจักรที่เต็มไปด้วยความบาป  อาณาจักรที่ไม่มีพระพรเลย ถูกย้ายจากอาณาจักรนั้นแหละ เข้ามาสู่ที่ไหน? เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ อาณาจักรที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน และจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ นิรันดร์ นี่คือพระคัมภีร์

เราไม่ได้อยู่ในอาดัม และไม่ได้เป็นเหมือนอาดัมอีกต่อไปแล้ว ใช่ไหม? ก่อนหน้านี้ เราเป็นเหมือนอาดัม แต่ตอนนี้ไม่ใช่นะครับ เราย้ายแล้ว

พูดพร้อมกันว่า “เราย้ายแล้ว เราไปที่เขต และย้ายแล้ว ย้ายเข้าไปสู่ บ้านแห่งสวรรค์ หัวหน้าบ้าน เจ้าบ้าน ชื่อพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ที่นั่น เอเมน”

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้  เมื่อตะกี้ผมบอกว่าให้เราไปเขต จริงๆ เราไปเขตจริงๆ เขตอยู่ที่ไหนรู้ไหม? เขตอยู่ที่เราตั้งใจและอธิษฐาน … อธิษฐาน คืออะไรรู้ไหม? อธิษฐาน คือการใช้สิทธิของเราในวิญญาณว่าเราจะเอาอย่างนี้  คำว่าอธิษฐาน ไม่ใช่การพูดลอยๆ การที่อธิษฐาน คือการตั้งใจว่า.-

“ฉันจะเอาอย่างนี้จริงๆ”

เคาะเลยนะ ที่พระเยซูบอกขอ เคาะ … เคาะไปเรื่อยๆ แล้วจะเปิดให้กับท่าน หาแล้วท่านจะพบ ขอแล้วท่านจะได้ นี่หมายถึงตรงนั้น  เราตั้งใจ เราอธิษฐาน คือวิญญาณเราเอาจริงๆ เราต้องการรู้จักพระเยซู เราก็จะพบพระองค์ มันหมายถึงอย่างนั้น เราไม่ยอมหยุดเลย เรารู้จักพระองค์ให้ได้ เขาพูดอะไร? ได้ยิน ที่เขาคุยกันตอนนี้ เขาคุยอะไรกันอยู่ เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตเราจริงๆ เลย เราไม่อายตัวเอง และไม่อายใครอีกแล้วว่าชีวิตเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเป็นคนบาปจริงๆ เราคิดอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์พูดถูกจริงๆ เลย ถ้าเรากล้าพูดอย่างนั้นนะ มันจะชัดเอง ส่วนใหญ่เราไม่กล้า เพราะเราอาย เพราะเราไม่รับความเป็นจริงไง ถ้าเราเปิดรับความเป็นจริง ยอมเลย

“พระเจ้าพูดในพระคัมภีร์ มันตรงกับฉันหมด ฉันมันเลวจริงๆ ฉันมันชั่วจริงๆ ฉันเป็นคนบาปจริงๆ”

คนนั้นแหละจะได้พบกับแสงสว่างนี้

เราต้องยอมรับว่าเรานั้น ไม่สบาย เราถึงไปหาหมอใช่ไหม?  มีใครไหมบอกว่า.-

“ฉันสบายดี แข็งแรงมากเลย”

แล้วไปโรงพยาบาล ไปทำไม? จะไปหาหมอ แสดงว่าคนนั้น ยอมรับว่าตนเองป่วย และช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าป่วย อยู่บ้าน ยังช่วยตัวเองได้ เขาก็ไม่ไปหา

พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้เดียวเท่านั้นที่รักษาเราให้หายจากบาปได้ ถ้าเราคิดว่า.-

“ฉันเป็นบาปอยู่ (ป่วยทางวิญญาณ)”

แต่บางคนอาจจะบอกว่า “ฉันเป็นบาปอยู่ แต่ฉันรักษาตัวเองได้”

ก็หมายความว่าไม่มาหาหมอ เขาก็ไม่มาหาพระเยซู นึกออกใช่ไหม?

อันดับหนึ่ง คือคนนั้นต้องอธิษฐาน ต้องรู้ข้างในวิญญาณว่า.-

“ฉันเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว เป็นคนเลว”

อย่างนั้นจริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์เราเป็นคนบาป ต้องใช้เวรกรรมจริงๆ อันนี้ผ่านข้อหนึ่งแล้ว แต่ข้อหนึ่ง อย่างเดียวไม่ได้ เขาไม่ไปหาพระเยซูหรอก ถ้าเขาบอกว่า.-

“แต่ฉันยังสามารถทำอันโน่น ทำอันนี้ ช่วยตัวเองได้ ให้มันบาปน้อยลงอะไรต่างๆ ฉันรู้สึกสบายใจแล้ว มันดีขึ้นนิดหนึ่ง กินยาแก้ปวด ก็พออยู่ได้ ไม่ไปหาหมอ”

ก็ไม่หาย แต่ว่าอาการมันก็ทรงๆ ถูกหรือเปล่า? มันต้องมีอีกขั้นหนึ่ง ก็คือว่าคนนั้นต้องรู้ว่าตัวเองบาป ตัวเองไม่สบาย และสอง.-

อันดับที่สอง คนนั้นต้องตัดสินใจว่า.-

“ฉันช่วยตัวเองมาตั้งนาน ไม่หาย ท่าทางตายแน่ๆ ปวดหัวตั้งหลายครั้งแล้ว ปวดหัวมาตั้งหลายครั้ง กินพาราฯ มาตั้งหลายแล้ว ไม่หายเลย ฉันไปหาหมอดีกว่า ข้างบ้านเขาบอกหมอคนนี้เก่ง รักษาโรคนี้ได้ โรคนี้มีชื่อว่าโรคบาป ข้างบ้านเขาบอกว่าไปหาหมอที่ชื่อพระเยซูสิ ฉันก็เลยไปหา ฉันเลยพบพระเยซู ฉันจึงหายจากบาป เอเมน”

เห็นไหม? มันแค่นี้เอง ที่บอกว่าอธิษฐาน ขอสิ เคาะสิ มันต้องอย่างนี้ เงื่อนไขมันเป็นอย่างนั้น

ตอนที่เราเกิดจากครรภ์มารดานะ เรายังเป็นเหมือนอาดัมถูกไหม? คือเป็นคนบาปจากครรภ์เลย ออกจากครรภ์มา ก็บาปแล้ว ยังไม่ทันทำอะไรเลย  แต่บัดนี้ เราได้รับการบังเกิดใหม่ เชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ เป็นพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นของเราจริงๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ โดยทางพระคุณเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ก็ขณะที่เราออกจากครรภ์ เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เราก็บาปแล้ว เพราะฉะนั้น ออกจากครรภ์ของพระเยซูคริสต์ หมายถึงออกจากครรภ์ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกันสิ เอเมน

เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะได้รับสิ่งที่เหล่านี้มา เพราะพระเยซูทรงกระทำแทนเราเรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่เป็นผู้รับ โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ให้ท่านจำถ้อยคำตรงนี้ให้ขึ้นใจเลยนะครับ ต้องจำให้แม่นเลยว่า.-

“สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับฉัน ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณ ผ่านทางพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น”

ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ เลย ต้องท่อง ต้องจำให้แม่นๆ อย่างที่ผมบอกว่าเอาเข้าใจ มันลำบาก ต้องใช้จำเอา แล้วก็เชื่อ เอเมน

พระเยซูคริสต์ทรงกระทำทุกอย่างให้เราเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรด้วยตัวเองอีกแล้ว แค่บอกว่า.-

“ฉันได้มีส่วนในลักษณะธรรมชาติของพระเยซูคริสต์แล้ว”

แค่นี้ก็เกินพอแล้ว สำหรับชีวิตคนเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าเป็นคริสเตียนอยู่ เราหามาเหนื่อยพอแล้ว แต่ถ้าคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับสิทธินี้ ยังไม่ได้เชื่อนี้  เขาก็ต้องแสวงหาต่อไป เขาต้องอย่าหยุดเคาะ เขาต้องเคาะต่อไป ต้องแสวงหาต่อไป ต้องขอต่อไป  อย่างที่ตะกี้นี้บอก จนกระทั่งพบหมอ ถ้าหายแล้ว ก็ไม่ต้องไปหาพระเยซูแล้ว เพราะหายแล้ว จะเข้าไปหาทำไม พระเยซูเข้ามาอยู่กับเขาเลย  เอเมน แต่ถ้าเขาไม่มีพระเยซู เขาต้องไปหาพระเยซูก่อน แต่พอไปหาพระเยซูแล้ว พระเยซูจะมาอยู่กับเขาเลย เอเมน

พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า เราก็ได้มีส่วนในความสัมพันธ์ ฉันพ่อลูกตรงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าด้วย คือได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วยเช่นเดียวกัน พอไหม? แค่นี้พอหรือยัง? จริงๆ มันมีเยอะกว่านี้เยอะเลย แต่แค่นี้ ก็พอแล้วนะ

พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรม

พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า

พระเยซูเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา เราเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา

แล้วพระเยซูเป็นอะไรอีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลย  เราก็เป็นไปตามนั้นทั้งหมดเลย พอไหม? เกินพอ นี่ถึงเรียกว่าพระคุณ พระคุณ พระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้กับเรา โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งความคิด ไม่ได้ใช้เลย เพราะขืนใช้ความคิดเมื่อไร ไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อนั้น ไม่ได้ใช้ความคิดเลยนะ เราเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้ความคิดเลย เพราะคิดไป ไม่ออกเลย คิดไม่ได้เลย ข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซู ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

2 เปโตร 1:3-4  จะบอกถึงลักษณะว่าตะกี้นี้ ธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระลักษณะของพระเจ้า เราได้มีส่วนนั้นทั้งหมดเลย ลักษณะของพระเจ้า ก็คือลักษณะของพระเยซู พระลักษณะหรือธรรมชาติของพระเยซู ของพระเจ้า เรามีส่วนในนั้นหมดเลย  กล้าที่จะพูดตาม ถึงไม่เข้าใจ ต้องกล้าที่จะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อตามนี้”

ในพระคัมภีร์บอกไว้ตามนี้ แม้ว่าคนจะบอกว่า.-

“เธอนิสัยไม่ค่อยดี  เธอทำอย่างนี้ ไม่ดีเลย  ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เธอเป็นอย่างนี้ๆ  เธอจนอย่างนี้ เธอจะไปเป็นอะไรอย่างนี้ได้

บอกเขาเลย “พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น ฉันยืนกรานตามพระคัมภีร์” เอเมน

อ่านดีๆ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียนกันทั้งหมดนี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ มาบอกอีกลักษณะหนึ่งว่าท่านเป็นใคร ในขณะนี้ อยู่ตรงไหน? นิสัยจริงๆ ท่านเป็นยังไง? นิสัยข้างในวิญญาณ ตัวจริงของเรา คือวิญญาณ … วิญญาณจริงๆ ท่านมีนิสัยเป็นอย่างไร?  ดูสินิสัยจริงๆ เราเป็นอย่างไร?

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว

 

เอเมน เห็นหรือยัง? ท่านเห็นหรือยัง? ท่านสามารถเห็นได้ เพราะเห็นด้วยวิญญาณ แต่ถ้าบอกเข้าใจไหม? ท่านบอกอะไรได้ ไม่เข้าใจ แต่เอเมน เชื่อเอา

พูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

ตรงนี้หมายถึงว่าท่านมีส่วนในพระลักษณะธรรมชาติของพระเจ้า แม้ว่าท่านจะอยู่บนโลกใบนี้ มีตัณหาชั่วอยู่ในเนื้อหนังของท่าน สิ่งรอบข้าง สกปรก รอบข้างท่าน แต่ข้างในของท่าน มันบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าไม่มีผิด มันแปลว่าตรงนี้ ท่านจะได้สบายใจ ผ่อนคลายได้ว่าอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณท่านอยู่ในพระคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว

“แม้ว่าเมื่อวานฉันจะหงุดหงิดกับคนนี้ แม้ว่าเมื่อวานซืนนี้  ฉันอาจจะตวาดคนนี้ไป  แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้ ขับรถมา รถเมล์แถมมา 3 ป้าย ฉันด่าว่าคนขับอย่างไม่มีอะไรดีเลย แม้ว่าฉันอภัยคนนี้ ฉันยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ยังอธิษฐานอยู่ทุกวันนี้เลย แต่ในวิญญาณฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรฉันได้เลย มันอยู่ข้างนอก ข้างในฉันบริสุทธิ์แล้ว ข้างนอกไม่สามารถทำอะไรฉันข้างในเปลี่ยนไปได้ ในวิญญาณเป็นอย่างไง มันเป็นอย่างนั้นแล้ว”

และในวิญญาณเป็นอะไร?  เป็นลูกของพระเจ้า

“วิญญาณฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิดเลย ในพระคริสต์ฉันเป็นอย่างนี้แหละ”

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************