คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2015 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 1 “อย่าเป็นทาร์ซาน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ตุลาคม  2015

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 1 “อย่าเป็นทาร์ซาน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ก่อนฟังคำบรรยายในหัวข้อวันนี้ ก็เหมือนเดิม เราต้องมาทบทวนกันนิดหน่อย จากสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 12 เมื่อครั้งที่แล้ว ผมได้เกริ่นประเด็นใหม่ คือเรื่อง … ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Identity in Christ. หรือแปลเป็นไทยว่าตัวตนที่แท้จริงในพระคริสต์ ซึ่งจากนี้ไป อีกหลายสัปดาห์ เราจะมาเรียนรู้กันอย่างละเอียดในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ครั้งที่แล้วผมได้เริ่มต้นอธิบายความหมายของคำว่าตัวตนในพระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษบอกว่า Identity in Christ. ที่บอกว่าพวกเราทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการเจิมและได้รับการประทับตราจากพระเจ้า  แสดงความเป็นเจ้าของบนตัวเราทุกคนในพระคริสต์ เปรียบเหมือนได้รับอะไร? จำได้ไหม?  เปรียบเหมือนวิญญาณนั้น เราได้รับบัตรประชาชนในพระคริสต์ แสดงหลักฐานว่าในบัตรนั้นบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์

เรามาทบทวนถ้อยคำพระเจ้าที่ยืนยันกับเรา ในเรื่องนี้ดู ซึ่งอยู่ใน 2 โครินธ์ 1:21-22 เพื่อจะได้รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์

2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

การรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ความสงบสุข และหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะจะทำให้เกิด 2 สิ่ง ครั้งที่แล้วเราสรุปกัน เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ รู้ชัดๆ เลยว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ดูบัตรประชาชนของเราในวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ มั่นใจในนั้น จะเกิด 2 สิ่งนี้ขึ้นมาในชีวิตของเราแน่นอน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราอย่างมาก คือ.-

  1. เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราก็รับรู้ถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? รักเรามากขนาดไหน? เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ทำให้พระองค์เสียพระทัย ทำให้พระองค์พอใจมากที่สุด ซึ่งเราทำสิ่งเหล่านี้ เพราะเราตั้งใจจะทำไม? ทดแทนความรัก ความเมตตาของพระองค์ ไม่ได้ทำเพราะเป็นบัญญัติสั่งให้เราทำ

อันที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นคืออะไร?

  1. แม้เราจะตั้งใจจริง จะดำเนินชีวิตให้เป็นที่ถวายแด่พระเจ้าอย่างจริงจังเลย แต่เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่มีเชื้อบาปอยู่ ก็มีโอกาสที่จะไปทำผิดพลาด ทำบาปบ้าง แต่เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่วิตก เพราะเรายังมั่นใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา บัตรประชาชนเรา บอกเราว่าตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์นั้น คือใคร? ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เป็นลูกพระเจ้า เราก็ยังเป็นเหมือนเดิม เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนเดิมไม่มีผิด แล้วจะมีตัวตนแบบนี้ ในพระคริสต์อย่างนี้ เช่นนี้ ถึงเมื่อไร? ถึงตอนไหน? ชั่วนิรันดร์ ไปถึงตลอดกาลเลย

สรุปครั้งที่แล้ว เราก็ได้คุยเน้นกันเรื่องบัตรประชาชนในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 12 ครั้งที่แล้ว จึงมีชื่อตอนว่า “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

อย่างที่บอกว่าจากนี้ต่อไป ผมจะค่อยๆ เจาะลึกในเรื่องของ Identity in Christ. หรือตัวตนในพระคริสต์ เราจะคุยเรื่องนี้กันอย่างละเอียด อย่างน้อยก็อีกหลายสัปดาห์ ไม่รู้จะมากกว่า 12 ตอนหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ  เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป เราจะเริ่มเปลี่ยนซีรี่ส์แล้วนะครับ  จากซีรี่ส์เราเป็นใครในพระคริสต์ มาเป็นซีรี่ส์ “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนที่ 1

ซีรี่ส์นี้ชื่ออะไร? “ตัวตนในพระคริสต์”  วันนี้เราจะมาเรียนตัวตนในพระคริสต์

สรุป คือซีรี่ส์ชุดที่แล้ว เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” มีทั้งหมดเท่าไร? 12 ตอน ใครที่ฟังคำบรรยายนี้อยู่ในซีดี ในเว๊บไซด์ก็ตาม มี 12 ตอนนะครับ  ไปฟังดูเป็นจุดเริ่มต้นที่ท่านจะได้เรียนรู้เรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนนี้เราอยู่ในซีรี่ส์ “ตัวตนในพระคริสต์” ตอนนี้ ตอนที่ 1 ตัวตนในพระคริสต์ หรือใช้ภาษาอังกฤษว่า Identity in Christ. เหมือนเดิมนะครับ ตอนที่ 1 ชื่อตอนว่าไม่รู้ เพราะยังไม่ฟัง จะรู้ได้อย่างไร? ตอนที่ 1 เดี๋ยวฟังจบแล้ว เดี๋ยวไปตั้งกันเอง เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเราค่อยมาตั้งด้วยกัน

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมเราถึงมาเรียนรู้เรื่องอย่างนี้ หมายถึงเรื่องนี้ เรื่องตัวตนในพระคริสต์นี้กันอย่างละเอียด ทำไมผมถึงบอกว่าการรู้จักตัวตนที่แท้จริง เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลย พระคัมภีร์อยากให้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ คือใครเป็นอย่างไร? ตัวตนที่แท้จริงของเรา

พระคัมภีร์ทั้งเล่มคืออะไรรู้ไหมครับ? คือหนังสือที่บ่งบอกถึงตัวตนมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะมนุษย์ที่ถูกเลือกเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายนี้  ยุคที่พระเยซูคริสต์มา เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราเรียกกันว่ายุคสุดท้าย จะเน้นเรื่องนี้ จะสอนเรื่องนี้ จะบอกเรื่องนี้ทั้งหมด ในนั้นจะบอกถึงเรื่องว่าท่านเป็นใคร เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกอยู่เสมอว่าในพระคัมภีร์ เวลาท่านอ่านจงระลึกถึงว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณ โดยเฉพาะ 100% ทุกเรื่องเล็งไปที่วิญญาณ เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณ และพระเจ้าต้องการจะบอกเราว่าเราเป็นใคร? เราเป็นวิญญาณนั่นแหละ เราเป็นใคร?  นอกจากเราเป็นวิญญาณแล้ว เราเป็นใคร? ไม่ใช่ผมบอกเองว่าสำคัญ แต่พระคัมภีร์บอกว่าสำคัญ

ที่บอกว่าการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะว่าการดำเนินชีวิตของเรา ทุกวันนี้ บนโลกใบนี้นะ เราต้องอยู่ท่ามกลางระบบของโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยภาพลวงตา จริงๆ สมัยก่อนก็มีภาพลวงตา แต่เดี๋ยวนี้มันมากขึ้น เป็นภาพลวงตาที่คอยจะ เบี่ยงเบนตัวตนที่แท้จริงของเรา คือระบบของโลกนี้จะคอยชี้นำให้เรามองตัวตนของเรา ตามทิศทางและกระแสของโลกใบนี้ ตามเชื้อบาปที่มันคลุมอยู่บนโลก มันจะโกหกเราอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากให้เรารู้ความจริงว่าเราเป็นใครนั่นเอง

โลกนี้เขามักกำหนด Identity in Christ. หรือเรียกว่าตัวตนที่แท้จริงของคน ถามว่าจากอะไร? ในโลกนี้  เขากำหนดตัวตนของแต่ละคนจากอะไร? จากตำแหน่ง หน้าที่ หรือความสำเร็จในการงาน จากความมั่งคั่ง ทางเศรษฐกิจ จากรูปลักษณะภายนอก จากชื่อเสียงเกียรติยศ และจากการกระทำอะไรต่างๆ ถูกต้องไหม? ในโลกนี้เขาจะบอกว่าตัวตนเราเป็นใคร? บอกด้วยวิธีอย่างนี้

ตัวอย่างนะครับ กำหนดตัวตนตามตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่างเช่น เป็นผู้บริหาร เป็นนักธุรกิจ เป็นนักวิชาการ หรือตัวอย่างการกำหนดตัวตนตามความมั่งคั่ง ชัดเจนเลยนะครับ ตั้งแต่อภิมหาเศรษฐี … เศรษฐี … เศรษฐีธรรมดา ไปจนถึงระดับพอกิน พอใช้ หาเช้ากินค่ำ แล้วก็ยากจนแร้นแค้น เห็นไหมครับ นี่คือตัวตนที่โลกวัตถุ โลกนี้กำหนดให้คนเป็นอย่างนี้

กำหนดตัวตนจากรูปลักษณะภายนอก ก็คือพวกหน้าตาดี อย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าตาดี หน้าตาพอใช้ได้ อย่างนี้เรียกว่าหน้าตาพอใช้ได้  หน้าตาขี้เหล่ เป็นต้น ใครเป็นคนบอกว่าคนนี้ขี้เหล่? เพราะว่าเขาว่ากันใช่ไหม?  เขานี่คือใคร? ไม่รู้ เขาว่ากันในสังคมนี้ ว่าแบบนี้เรียกว่าหล่อ แบบนี้เรียกว่าสวย

หรือกำหนดตัวตนจากชื่อเสียง ที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เช่นพวกไฮโซ พวกเซเลบ … เซเลบแปลว่าอะไรก็ไม่รู้นะ เขาพูดกัน รู้หรือเปล่าว่าเป็นอะไร?  ผมก็ไม่รู้ ไม่ต้องอธิบายให้ละเอียดก็แล้วกัน ไปถามกันเองแล้วกัน

หรือกำหนดตัวตนจากการกระทำ ในโลกนี้เขากำหนดอย่างนี้  เช่นเป็นคนใจบุญสุนทาน เป็นคนมีเมตตา หรือเป็นคนมีบาปหนา  อะไรอย่างนี้? ผู้ที่กำหนด คือใคร?  เขากำหนดกัน? เขาคือใคร? ไม่รู้ แต่สังคมพูดอย่างนี้

ใครเอาเศษข้าวไปให้สุนัขจรจัดกินข้างถนน เป็นคน รู้สึกมีเมตตากรุณา เห็นวันนี้ในหนังสือพิมพ์ลงนะครับ อย่าไปทำอย่างนั้นนะ เพราะว่ามันเป็นการส่งเสริมเชื้อโรคหมาบ้าขึ้น มันต้องจัดระเบียบของมัน ไม่พูดละเอียดนะ เอาเป็นว่ากำลังจะเน้นเรื่องนี้ว่าใครเป็นคนกำหนดเหล่านี้ ก็คือไม่รู้ … รู้แต่ว่าสังคมโลกนี้เขาว่ากันอย่างนั้น ตัวตนเราเป็นอย่างนั้น ตัวตนนี้เป็นอย่างนั้น  เขากำหนดกันเอง ถูกไหม?

สิ่งเหล่านี้ คืออะไรครับ? คือภาพลวงตา ที่คอยหลอกล่อเราให้เบี่ยงเบนจากการรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นอย่างไร? ซึ่งเมื่อไรเราต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ พอนานๆ เข้า เราก็จะเริ่มคุ้นเคย และคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันคุ้นเคย เรานึกว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ  มันนึกว่าการที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างง่ายๆ คุ้นเคยว่าดูรู้สึกว่าเป็นคนมีเมตตากรุณาต่อสัตว์เหลือเกิน สุนัขข้างถนน เราเห็น ก็สงสารมัน แทนที่จะพามันกลับบ้าน ไปเลี้ยงดูที่บ้านอย่างนี้ เราก็เอาเศษอาหารไปให้มันข้างทาง

คนก็บอก “คนนี้ ดูสิมาทุกวันเลย เป็นคนดีมีเมตตา”

เราก็รู้สึกภูมิใจว่าเรากลายเป็นคนมีเมตตากรุณา แต่ปรากฏว่าเราไม่เคยช่วยใครสักคนหนึ่งเลย  พอเข้าใจไหม? เราไม่เคยช่วยใคร? ไม่เคยแบ่งปันให้ใครเลยสักคนหนึ่ง อาหารที่กินอยู่ แบ่งเหลือให้สุนัขได้ แต่อาหารที่กินอยู่ ที่ยังดีๆ อยู่ เราไม่เคยให้ใคร? ให้เด็กคนไหนกินเลย แม้แต่คนหนึ่ง นี่สมมติให้ฟัง ยกตัวอย่างให้ฟัง เพื่อท่านจะได้เห็นความแตกต่างว่าพอคุ้นๆ ไป เราเป็นอย่างนั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นภาพลวงตา อย่างนี้เรียกว่ามีเมตตาจริงๆ ไหม? ไม่ใช่แล้ว ผิดปกติอะไรบางอย่าง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนเรื่องนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาย้ำกันบ่อยๆ ในเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเป็นใคร?  เพื่อให้เราจะได้ไม่ถูกหลอกโดยสังคม โดยโลกใบนี้ ไม่ให้เราหลงเชื่อไปกับข้อมูลหลอกลวงที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย รอบตัวเรา รอบข้างเรา เพราะเมื่อเราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตัวตนที่แท้จริง หรือ Identity in Christ. ของเราในพระคริสต์นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดโดยระบบของโลกนี้อีกต่อไป

ให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

“ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่ผู้บริหาร แม้ว่าข้างนอกจะดูแล้วเหมือนผู้จัดการใหญ่ ดูเป็นผู้บริหาร แต่ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่ผู้บริหาร ไม่ใช่นักธุรกิจ หรือไม่ใช่ลูกจ้าง ในพระเยซูคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ใช่เศรษฐีครับ ไม่ใช่คนยากจนด้วย ในพระคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ใช่คนหล่อ สวย หรือขี้เหล่ ไม่มี”

ในพระเยซูคริสต์ไม่มีนะครับ ไม่มี

“ในพระคริสต์ตัวตนที่แท้จริงของฉันไม่ใช่คนใจบุญ หรือเป็นคนบาปหนา”

พอจะเห็นภาพหรือยังว่าความจริงคืออะไร?

“เพราะตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่ได้ถูกกำหนด โดยระบบของโลกนี้ หรือการกระทำของฉัน แต่ถูกกำหนดโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ต่างหาก”

จริงหรือไม่จริง? นี่คือพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ แค่นี้เราก็อึ้ง นี่ยังไม่ทันเรียนนะ นี่พึ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้นเองนะ ก็อึ้งแล้วนะ ความจริง แค่พูดเรื่องเล็กๆ แค่นี้ เราชัดแล้ว

“อ๋อ! ถูกหลอกมาตั่งเยอะ เห็นเขาบอกว่าเราเป็นคนขี้เหล่ที่สุดในบ้าน ที่แท้เราก็ไม่ได้ขี้เหล่อย่างที่เขาบอกสักหน่อย”

เพราะฉะนั้น ในทางตรงกันข้าม ใครๆ เขาบอกว่าเราสวยที่สุดในบ้าน จริงๆ เราก็ไม่ได้สวยสักหน่อย ในพระคริสต์เท่ากันหมด เอเมน ทุกคนทำไม? สวยเหมือนกัน สวยแบบของเรา แบบที่พระเจ้าสร้าง แบบที่เป็นการฝีมือ ชิ้นยอดเยี่ยมของที่พระเจ้าสร้างเรา พระคัมภีร์บันทึกไว้นะ เราทุกคนถูกสร้างมาด้วยการฝีมือที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ไม่มีใครเหมือนเลย เหมือนอะไรรู้ไหม? เหมือนศิลปินใหญ่ เหมือนไมเคิล แองจิโล่ ที่วาดรูป เขาไม่เคยวาด แล้วออกมาพิมพ์เป็นหมื่นๆ ชิ้น ไม่ใช่ มีอันเดียวในโลก มีภาพโมนาลิซ่า ภาพเดียวในโลก ไม่วาดโมนาลิซี่อีกแล้ว ไม่มี นี่คือศิลปินแท้จริง แล้วมันจะมีค่า

ในงานวิจัยทางวิชาการบอกว่าข้อมูลรอบข้าง จะมีผลมากที่สุด ต่อการรับรู้และยอมรับในตัวตนของตนเอง

อีกครั้งหนึ่ง งานวิจัยทางวิชาการบอกว่าข้อมูลรอบข้างเรา จะมีผลมากที่สุดต่อการรับรู้และยอมรับในตัวตนของตัวเอง ซึ่งข้อมูลรอบข้างนี้ จะมีความเป็นไปได้ 2 ทาง

ทางแรก คือข้อมูลตัวตนที่แท้จริง ที่เรียกว่า True identity คือตัวตนที่แท้จริง

ทางที่สอง คือข้อมูลตัวตนที่เป็นเท็จ หรือเรียกว่าตัวตนปลอม หรือเรียกว่า Liedentity ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอย่างนั้น

คือมีข้อมูลรอบๆ เรา มีข้อมูลอันหนึ่งเป็นจริง ตัวเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ อีกอันหนึ่งทำไม? มันโกหก มันปลอม

ความหมายของตัวปลอม หรือ Liedentity การปลอมแปลงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด อันนี้เห็นชัด เห็นกันเยอะแยะในโซเซียลมีเดียในปัจจุบัน ปลอมตัวเป็นคนอื่นเยอะแยะ ปลอมเป็น อย่างเช่น มีอยู่บ่อยๆ เป็นระยะๆ ล่อคนที่โลภมาก เสียเงินไปเยอะแยะ หลอกว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่โต มีมรดก หรือมีอะไร? มีเงินเยอะแยะมากมายใหญ่โต แต่ขาดเงินแค่หมื่นเดียว ขอให้ส่งเงินมาหมื่นเดียว มาช่วยเขา หลังจากที่เขาทำเอกสารเสร็จแล้ว เขาได้มรดกแล้ว ได้เงินเป็นหมื่นๆ ล้าน เขาจะส่งเงินกลับมาให้เยอะแยะ แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง คนก็ถูกล่อลงไปได้ ไปเชื่อเขา ส่งเงินไปให้เขาหมื่นหนึ่ง คิดดูสิ เพราะความโลภ หลงไปเชื่อความปลอม ความโกหก นี่คือข้อมูลรอบข้าง

หรือข่าวที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เรื่องหลอกลวงทางไลน์ นี่แชทมาแชทไป ถูกเขาโกงไป ก็เยอะแยะไปหมด บางคนแชทไปแชทมา หลอกลวง ทั้งที่ตัวเองเป็นคนตกงาน บอกว่าตัวเองเป็นนายตำรวจ ยศนายพันบ้าง นายพลบ้าง มาหลอกชาวบ้านเขา แล้วถามว่าหลอกได้ไหม? ได้ หลายคนก็ถูกหลอก อย่างนี้ เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของความหมาย คำว่า Liedentity หรือตัวตนปลอม ตัวปลอม

แล้วอีกประเภทหนึ่ง คืออะไร? อีกประเภทหนึ่งยิ่งชัด แต่ชัดแบบเจ็บๆ คืออะไร? คือในการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้นะ เราจะถูกรายล้อมไปด้วยข้อมูลที่เป็นตัวตนปลอม หรือว่าความโกหก Liedentity เต็มไปหมด รอบข้างเราเลย  คือจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก แต่ข้อมูล … ข้อมูลนะ ข่าวสาร ข้อมูลรอบข้าง บอกว่าเราเป็น แล้วเราก็หลงเชื่อ เข้าใจว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่าให้ระวังๆ อย่าซี้ซั่ว ระวัง … ระวังอะไร?  พระเยซูบอกว่า.-

“ระวังคำโกหก หลอกลวงท่าน มารมา เพื่อขโมย ลัก ฆ่า และทำลาย แต่เรามาเพื่อให้ท่านมีชีวิตอยู่ และมีชีวิตอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์” เอเมน

พระเยซูจึงบอกว่าถ้อยคำของพระองค์เน้นอยู่เรื่อยๆ เน้นอยู่บ่อยๆ สำคัญ พระองค์ทรงพูดอยู่บ่อยๆ

พระเยซูตรัสว่า “ถ้อยคำที่เราพูดนะ เป็นความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท”

บางครั้งพูดขึ้นมาว่า “นี่นะ จะบอกให้นะ จริงๆ นะ จริงๆ เราจะบอกให้ท่านฟัง”

พระเยซูจะพูดเริ่มต้นอย่างนี้เสมอ ใน 3 ปีที่รับใช้บนโลกใบนี้ ลองดูนะครับ ยอห์น 8:32 ดูสิพระเยซูพูดว่าอย่างไร?

ยอห์น 8:32 “พวก​คุณ​จะ​รู้จัก​ความ​จริง ​และ​ความ​จริง​ จะ​ทำ​ให้​พวก​คุณ​เป็น​อิสระ”

 

ยอห์น 14:6 “พระ​เยซู​บอก​ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่​มี​ใคร​ไป​ถึง​พระบิดา​ได้ ​นอก​จาก​มา​ทาง​เรา”

 

พวกคุณจะรู้จักความจริง เพราะว่าพระเยซูเป็นอะไร? เป็นความจริง พระเยซูไม่ได้บอกเราจะพูดความจริงให้ท่านฟังอย่างเดียวนะ แต่พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็น … มีบุคคลเดียวในโลกนี้ ในมหาจักรวาลนี้เลย ที่พูดคำนี้นะครับ

ทุกคนบอกว่า “เดี๋ยวเราจะมาเล่าความจริงให้ฟัง”

สมมติว่าผมรู้ความจริงมา ผมก็จะบอกว่า “เดี๋ยวจะเล่าความจริงให้ฟัง” ถูกไหม?

แต่มีไหม? มีใครที่มาบอกว่า “ตัวเรา เป็นความจริง อยากรู้ความจริงไหม? มาหาเราสิ รู้จักเรา ก็รู้จักความจริง” ลึกซึ้งมาก

เช่นพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นสายเลือดของอาดัมและเอวา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นของพระเยซูทั้งสิ้นนะ  พระเยซูเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระเจ้าพระบิดาสร้างทุกสิ่ง ทั้งหลาย ทั้งปวง  ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเยซู ก็คือพระคัมภีร์ ความจริงบอกว่าอย่างนี้ บอกว่าเรา มนุษย์ทุกคน เป็นสายเลือดของอาดัมและเอวา … อาดัมและเอวามีอยู่จริงๆ นะ ถูกไหม?  นี่เป็นถ้อยคำแห่งความจริง ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำพระเจ้าที่ บอกเราว่าเราเป็นใคร? พระเจ้าบอกมนุษย์ทุกคนว่าญาติโกโหติกาของเราเป็นใครมาจากไหน?  พอเข้าใจใช่ไหมครับ

อาดัมและเอวามีอยู่จริงๆ เพราะในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าเล่าให้เราฟังว่าอาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา มีอยู่จริงๆ  และเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  รวมทั้งตัวเราด้วย  และอาดัมและเอวาก็ตกลงไปในความบาป หลังจากที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และก็ได้รับคำสาปแช่ง ได้รับโทษเป็นคำสาปแช่ง และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของอาดัม ก็พลอยได้รับคำสาปแช่งนี้ไปด้วย นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใคร?

นี่คือความจริง แต่ก็มีข้อมูล ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาบอกมาว่า … ซึ่งข้อมูลนี้มาจากใครก็ไม่รู้ เขาบอกว่าข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เรียกว่าข้อมูลปลอม เป็นตัวตนปลอม เป็น Liedentity ปลอม ของโกหก บอกว่าอย่างไร? บอกว่ามนุษย์เรามีต้นกำเนิดมาจากสัตว์ หรือมีวัฒนาการมาจากลิง รู้จักลิงไหม? เหมือนเราไหม? หรือข้อมูลบางแห่งก็บอกว่ามนุษย์มาจากไหนก็ไม่รู้ เรื่องอาดัมกับเอวา ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เป็นเรื่องนิทาน เห็นไหม? เห็นไหม? นี่คือข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง ซึ่งเราได้รับมาจากบนโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเราก็เคยเชื่อข้อมูลนี้ ตอนที่เรายังไม่รู้จักพระเยซู เราก็เคยเชื่อข้อมูลนี้ เวลาเขามาเล่าถึงพระเยซูให้เราฟัง ไม่มีทางที่เราจะฟังข่าวประเสริฐได้ หรือมีใครที่จะประกาศข่าวประเสริฐได้ โดยไม่เล่าถึงบรรพบุรุษ (สายพันธุ์ของมนุษย์) ว่ามาจากไหน?  พอถึงตรงนี้ปุ๊บ เราก็หัวเราะ เคยดูการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราก็หัวเราะเยาะเขา  ก็คือเราไม่เชื่อ เมื่อไรที่เราไม่เชื่อ ก็เท่ากับเราไปเชื่ออีกข้างหนึ่ง ถูกไหม? มันไม่มีหรอก ที่บอกว่าเราไม่เชื่อ แล้วเราไม่เชื่อทั้งสองข้าง ไม่มี เราอาจจะไม่เชื่อว่ามีอาดัมและเอวา และเราก็ไม่เชื่อว่ามาจากลิงด้วย  แต่ขณะเดียวกัน เราต้องเชื่ออะไรบางอย่าง

รวมสรุปแล้ว ก็คือเราไม่เชื่อในข้อมูล ความเป็นจริงว่าตัวตนของเรา เป็นใครมาจากไหน? ต้นตระกูลเราเป็นใคร?

หรือบางข้อมูลบอกว่าเราทำบาปเวรกรรมเยอะ ทั้งชาติที่แล้ว ชาตินี้ด้วย เพราะฉะนั้น เราต้องลบล้างบาป เวรกรรมของเราเอง ไม่มีใครสามารถลบล้างให้เราได้หรอก เราต้องสะสมบารมีและล้างมันให้ได้  ไม่รู้อีกกี่ปี กี่ชาติ เราก็ต้องล้างให้มันหมด มาจากใครก็ไม่รู้อีก เราก็เคยเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน

นี่คือข้อมูลเห็นไหม? พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเรา ซึ่งเมื่อเราเชื่อความจริงตรงนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเราจริงๆ เรารู้ว่าเราเกิดมาจากอาดัมจริงๆ นี่สมมตินะ เราก็จะมีชีวิตที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับการเชื่อในคำโกหก ตัวตนปลอมๆ เมื่อตะกี้นี้  ถูกไหม? พอเรารู้ว่าเรามาจากพระเจ้าจริงๆ เปลี่ยนไปเลยนะ กับรู้ว่าเรามาจากลิง มันต่างกันเยอะ ถูกไหม? ซึ่งถ้าเรายืนหยัด หรือยืนอยู่บนข้อมูลที่หลอกลวงเหล่านั้น ชีวิตเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันทุกข์เหลือเกิน นี่คือที่บอกว่าเราต้องเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร มันถึงจะเกิดประโยชน์กับเรา มากถึงมากที่สุด

และเราจะรู้ความจริงได้อย่างไร?  เราก็ต้องเริ่มต้นที่พระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความจริง มีผู้เดียวในโลก ที่บอกว่าพระองค์เป็นความจริง แล้วก็อยากจะรู้ว่าความจริงนี่คืออะไร?  อะไรจริง ลองศึกษาสักหน่อย อะไรประมาณนั้น เพราะพระเจ้าบอกพระองค์เป็นความจริง เราต้องเริ่มต้นจากความเชื่อตรงนี้เสียก่อน

อ้าว! เชื่อสิว่าพระเจ้าเป็นความจริง เชื่อตรงนี้ และเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง และเชื่อว่าถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์เป็นจริง นี่แหละ มันถึงจะเกิดขึ้นได้ พิสูจน์ได้ว่าความจริงนี่เป็นเช่นไร? เราจะได้รู้ว่าตัวตนเราเป็นใคร? เราไม่ยอมฟังคนอื่นเขาเลย แล้วเราจะรู้ได้เหรอว่าตัวเราเป็นใคร? สมมติให้ฟัง

มีคนมาบอกว่า “คุณเป็นใคร?”

แล้วเราบอกว่า “ไม่ฟังๆ”

แล้วเราจะรู้ไหมเนี้ยว่าเราเป็นใคร? สมมติว่าเราลืมตัวไปแล้วนะ สมมติ และเมื่อเรามีความเชื่อว่าถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์เป็นจริงแล้ว เราก็จะได้ศึกษาและเรียนรู้พระคัมภีร์ ถึงตัวตนที่แท้จริงของเราว่าเมื่อเราได้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเรานั่น เป็นใคร? เราเป็นอย่างไร? มีสิทธิอะไรบ้าง? เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา จากการได้รับรู้ข้อมูลจริงๆ ตรงนี้นั่นเอง ถูกไหม? มันสำคัญมากใช่ไหม? สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ตัวตนเราเป็นจริงๆ เป็นอะไร?  เราจะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ถูกหลอก และไม่เสียผลประโยชน์ไป ไม่ถูกทำให้หลงไปเชื่อในตัวตนปลอมที่ตะกี้นี้ยกตัวอย่างให้ฟัง

ตัวอย่างให้เห็นชัดอีกอันหนึ่งว่ามันอันตรายขนาดไหน? ถ้าเราไปเชื่อข้อมูลผิด มันอันตรายขนาดไหน?  ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยนะครับ เด็กที่เกิดในตระกูลเศรษฐี ที่ร่ำรวย แต่ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วถูกเลี้ยงในครอบครัวขอทาน แล้วตั้งแต่เล็กจนโต ก็มีชีวิตแบบขอทาน อดๆ อยากๆ ถูกสอนให้ออกไปขอทานทุกวัน นอนริมถนนทุกวัน เด็กคนนี้จึงรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองมีสถานะเป็นขอทาน ไม่ใช่เศรษฐี อยู่ในครอบครัวยากจน เพราะข้อมูลรอบข้างเขา มันบอกว่าเป็นอย่างนั้น ถูกไหม รอบข้าง ซึ่งข้อมูลตรงนี้ ก็คือข้อมูลตัวปลอมของเขา ถูกไหม? ตัวตนปลอมของเขา หรือภาษาอังกฤษที่เราบอก เป็น Liedentity มันเป็นตัวตนปลอมของเขา  ที่ถูกยัดเหยียดใส่เข้าไปในตัวเขา แต่เด็กคนนี้ ก็เชื่อว่าที่เขายัดเหยียดมา มันเป็นจริงไปด้วย เพราะรอบๆ เขามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นึกให้ดีๆ นะ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ คือคนที่เป็นเศรษฐี ก็เกิดได้พบกับเด็กคนนี้ หาจนเจอ ก็ดีใจมาก รีบรับตัวกลับบ้าน แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้ กลับไม่เชื่อความจริง เพราะตัวเองรับรู้ตัวตนของตนเองมาตลอดเวลาว่าตัวเองเป็นขอทาน ครอบครัวยากจน ยังไม่เชื่อกับข้อมูลใหม่ที่เศรษฐีบอกว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นลูกเศรษฐี จนกระทั่งต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันยกใหญ่เลย พิสูจน์ๆ กว่าเด็กคนนี้จะยอมเชื่อ และยอมกลับไปพบกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เป็นลูกเศรษฐีนั้น แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านใหญ่โตนั้น ใช้เวลานานเลยนะครับ แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้น ปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น  เด็กคนนี้ เมื่อได้มาอยู่ในบ้านของครอบครัวเศรษฐีที่แท้จริงของตนเอง มาอยู่จริงๆ แล้ว เขาเรียกตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเลย บ้านเราจริงๆ แล้ว กลับกลายเป็นทำไมรู้ไหมครับ? ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม  ทั้งๆ ที่สิ่งนี้  ก็คือตัวจริงของเขา แต่เขาไม่ชินแล้ว ชินกับของปลอมเยอะ

ตอนกลางคืน ก่อนนอนต้องหอบผ้า หอบหมอน ไปนอนระเบียบหน้าบ้าน เพื่อให้ได้บรรยากาศใกล้ๆ เหมือนเดิม เหมือนจะหลับ ต้องนอนริมถนนไง  ไปนอนข้างบนไม่ได้ ต้องออกมานอนข้างนอก ซึ่งพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ที่เป็นเศรษฐีต้องเริ่มต้นสอนใหม่ สอนบ่อยๆ เพื่อให้เด็กคนนี้ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเองว่าเขาเป็นลูกเศรษฐี ควรจะวางตัวอย่างไร? จะใช้ชีวิตในบ้านหลังใหญ่อย่างไร?  ต้องเข้าสังคมอย่างไร?

เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อได้รับข้อมูลตัวตนของเรา  ที่ไม่เป็นความจริง ที่โกหกมา ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนไปอะไรก็ไม่รู้ เข้ารกเข้าพง เข้าป่าไปเลย  และเมื่อได้มารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ อีกทีหนึ่ง ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อย่างมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน เอเมน

ทำไมถึงเอเมน เหมือนอะไร? เหมือนเราในพระคริสต์ไหม  เหมือนไหม? เหมือน … เหมือนเราในพระคริสต์ไหม? เหมือน ตอนนี้ท่านเป็นลูกใคร?  ลูกพระเจ้า  ตอนท่านเป็นลูกพระเจ้ารวยไหม? มหาเศรษฐีไหม? แล้วท่านจนหรือเปล่า? ไม่กล้าพูด ใช่ไหม? แม้อยู่บนโลกใบนี้

“คนอื่นจะบอกว่าฉันยากจน แต่นั้นมันของปลอมครับ แม้บ้านฉันยังเช่าเขาอยู่”

ขึ้นรถเมล์ สังคมเขาบอกคนจน

“โทษทีครับ นั่นคือข้อมูลปลอม ข้อมูลโกหก ตัวจริงๆ ของฉัน คือฉันเป็นลูกเศรษฐี มหาเศรษฐี เจ้าของ ที่ดิน บ้านฉัน คือโลกนี้ทั้งใบ”

แล้วจริงหรือเปล่า? จริงหรือไม่จริง? จริงนะ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริง ตามพระคัมภีร์เป๊ะเลย

อีกตัวอย่างหนึ่ง  อันนี้อีกมุมหนึ่ง  อันนี้มุมใกล้ตัวเราหน่อย เมื่อกี้ลูกเศรษฐีใช่ไหม? ต้องใช้ชีวิตเป็นลูกขอทานใช่ไหม? คราวนี้ลองฟังอีกตรงกันข้ามกัน คือถูกหลอก ด้วยข้อมูลตัวตนที่ไม่เป็นความจริงเหมือนกัน แต่ในทางตรงกันข้าม เช่น จริงๆ แล้ว ครอบครัวยากจน เป็นหนี้สินมากมาย แต่ถูกหลอกด้วยข้อมูลต่างๆ ว่าเป็นคนมีฐานะดี ใช้เงินเกินตัว ก็เลยกลายเป็นโทษ ลำบาก ลำบน มีไหม? มีหรือไม่มี? ถูกหลอกอย่างนี้มีหรือไม่มี? ไม่กล้าพูดเหรอ อ้าว! พูดดังๆ มีหรือไม่มี? มี เยอะไหม? เยอะ เคยเห็นไหม? ท่านเคยถูกหลอกอย่างนี้ไหม? โดนหรือเปล่า? ไม่โดนเหรอ?

อ้าว! เมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้ว ใครซื้อรถคันแรกบ้าง? ตอนนี้ใครจะไปผ่อนบ้านหลังแรกบ้าง? นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น การที่เขาจะให้โปรแกรมอย่างนี้ว่ารถคันแรก บ้านหลังแรก เขามีไว้เพื่อคุณต้องรู้ตัวคุณเองด้วยว่าคุณไหว มันเหมาะสมกับคุณ ไม่ใช่ให้ แล้วทุกคนยากได้ นึกว่าตัวเองทำได้  นึกว่าตัวเองมี แล้วเป็นไง ถูกเขายึด เป็นหนี้เป็นสินเขา กลายเป็นคนล้มละลายไปแล้ว รถคันแรกก็คืนเขาไป แถมรถคันก่อนคันแรก เขาก็เอาไปด้วย บ้าน ทุกอย่าง กลายเป็นคนล้มละลาย นี้มันเป็นอย่างนี้  อย่างนี้เรียกว่าถูกหลอกหรือเปล่า? ถูกหลอก

อยากได้ ลืมคิดไปว่าฐานะอย่างเรา มันมีรถส่วนตัวได้ไหม? ตอบว่าไม่ได้ แต่ว่าแบงค์บอกว่าได้ พยายามทุกอย่าง เพื่อจะให้ได้ แล้วในที่สุด ได้มาจริงๆ แล้วไปรอดไหม? ไม่รอด เพราะมันลืมตัวไป นี่ถูกหลอก ตัวตนผิดไป

หรือบางคนถูกข้อมูลหลอกว่าอันนี้สำคัญทางวิญญาณนะ หรือบางคนถูกข้อมูลหลอกลวงว่าตัวเองเป็นพระเจ้า เป็นผู้วิเศษ … วิเศษกว่าคนอื่นๆ เขา สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้เพียงผู้เดียว วิเศษกว่าคนอื่นมากมายนัก สามารถเข้าใจเรื่องของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง คนเดียวเลย  ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเขาเรียกว่านั่งทางใน ทำอภินิหาร ทำอัศจรรย์ต่างๆ สามารถติดต่อกับโลกฝ่ายวิญญาณได้ แบบพิเศษเลย มนุษย์ทุกคนต้องไปพึ่งเขา อย่างนี้เป็นต้น ถูกหลอกอีกเหมือนกัน

พระเจ้าบอกมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด ที่ผมพยายามบอกอยู่เรื่อยๆ ทุกวันนี้ สำคัญที่สุด ที่ไหนก็ตาม ที่บอกมนุษย์ไม่เท่ากัน ท่านรีบออกมาไกลๆ เลย  มนุษย์ต้องเท่ากันหมด เมื่อมนุษย์เท่ากัน เพราะอะไร? เพราะพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น มนุษย์เท่ากันหมด เพียงแต่ไม่เท่านั้น หมายถึงตำแหน่งหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ หน้าที่คนนี้เป็นผู้รับใช้ คนนั้นเป็นศิษยาภิบาล หน้าที่นี้เป็นอาจารย์ หน้าที่นี้เป็นแม่บ้าน ก็ว่ากันไปตามหน้าที่ … หน้าที่นี้นักธุรกิจ เขาเป็นหัวหน้าเรา … เราก็เชื่อฟังเขา ไม่ใช่เขาใหญ่กว่า เพราะว่าฐานะตัวตนเขาใหญ่กว่านั้น อย่างนั้นไม่ใช่ เข้าใจใช่ไหมครับ? ท่านเข้าไปหาพระเจ้าได้พอๆ กันกับเปาโล และเปโตรเข้าไปหาพระเจ้าได้ มีค่าเท่ากัน ท่านมีสิทธิ์เท่ากันเลย เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้ ความจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ความจริงอย่างนี้ นึกในใจว่ามีอะไรเพี้ยนๆ แล้ว อย่าเข้าไปยุ่งๆ ถ้าเมื่อไรมีคนยกตัวตนเองขึ้นมาสูงกว่าชาวบ้าน ระวังๆ สูงในที่นี่ หมายถึงวิญญาณอย่างนี้นะ

ตัวอย่างข้อมูลปลอมที่อันตรายอีกเรื่องหนึ่ง คืออะไรรู้ไหมครับ? คือบางคนยกตัวอย่างถ้อยคำในพระคัมภีร์มาใช้แบบไม่ถูกต้อง อย่างนี้เรียกว่าอะไรรู้ไหมครับ? เรียกว่าเป็นการถูกหลอกแบบลึกซึ้ง เขาเรียกว่าตลบท้ายอีกทีหนึ่ง เพราะว่าถูกหลอก โดยใช้ถ้อยคำพระเจ้ามาหลอกเรา เข้าใจใช่ไหม? ถ้อยคำพระเจ้าเป็นความจริง ขณะเดียวกัน คนสามารถใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นความจริงมาบิดพลิ้ว เอาถ้อยคำพระเจ้ามาหลอก ก็ได้เหมือนกัน

อย่างเช่นพระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ เราเป็นผู้มั่งคั่ง มั่งมี … มีไหม? พูดอย่างนั้นมีไหม? ใช่ ซึ่งความหมายจริงๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ หมายถึงมีความมั่งคั่งทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงความมั่งมี ความร่ำรวยทางโลกเลย แต่ถ้าเชื่อข้อมูลที่หลอกลวงนั้น แล้วเข้าใจผิดว่าเมื่อมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวตนของเราจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยขึ้น ทางโลก ซึ่งถ้าเราดำเนินชีวิตบนตัวตนที่ผิดอย่างนี้  เป็นเท็จอย่างนี้ ชีวิตเราก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างมหาศาล จริงหรือไม่จริง? ถูกไหม? มันคนละเรื่องกัน นี่คือการหลอกลวงทั้งสิ้น ทำให้เราไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร?  และเราก็จะดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่ไม่เป็นความจริง ที่เป็นเท็จนั้น คือดำเนินชีวิตอยู่บน Liedentity หรือตัวตนปลอม แล้วเราอาจจะพลาดไปทำอะไรที่เป็นพิษ เป็นภัยกับตัวเอง และเป็นพิษเป็นภัยกับผู้คนรอบข้างมหาศาลเยอะเลย แม้กระทั่งเกิดสงครามยังได้เลย  เพราะเข้าใจผิดไป  ถูกหลอกไป นึกว่าตัวตนเราเป็นอย่างนั้น

ในพระคัมภีร์ใช้คำนี้เลยว่านึกว่าเราทำด้วยความรักในพระเจ้า พลีชีวิตของเรา ให้เขาเผาไฟเลย ในพระคัมภีร์บอกเป็นศูนย์เลย ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  1 โครินธ์ 13 บอกไว้ใช่ไหม? ความรักคืออะไร? ความรักไม่ใช่อย่างนี้ วันนี้ไม่ได้จะมาพูดเรื่องนี้ เอาเป็นว่าข้ามอันนี้ไปก่อนนะ เพื่อจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัดๆ ว่าตัวตนของเราจริงๆ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเรา ถ้าเราไม่รู้ตัวตนในชีวิตของเรา แล้วเราถูกเขาหลอกไปเป็นตัวตนปลอม มันอันตรายมาก … มากน้อย ถึงมากๆ ถึงมากมหาศาล ถึงมากที่สุด ทำลายโลกนี้ยังได้เลย  เพราะตัวตนปลอม นึกว่าเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ มันไม่ใช่

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องสุดท้าย ที่เห็นชัดที่สุด เพราะใครๆ ก็รู้จักเลย ใครเคยดูหนังเรื่องทาร์ซานบ้าง?

ทาร์ซานถูกเลี้ยงโดยฝูงลิงกอริล่า ตั้งแต่เป็นทารก และได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิก เป็นหนึ่งในฝูงลิง เมื่อทาร์ซานเติบโตเป็นหนุ่ม เขาก็มีสัญชาตญาณเหมือนกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เขาอยู่สิ่งแวดล้อมนี้ทั้งหมด แล้วรับรู้ตัวตนของตัวเองมาตลอดว่าตัวเอง ก็คือสัตว์ตัวหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตในป่า จนกระทั่ง เขาได้มีโอกาสได้พบกับมนุษย์ และรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ พ่อแม่มาหาเจอเหมือนกัน พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ค้นเข้าไปในป่าเจอใช่ไหม? ไปเจอ เรียกลูกกลับมา แล้วพยายามที่จะบอกลูกว่าลูกเป็นใคร? เมื่อทาร์ซานได้รับรู้ความจริงเหล่านั้นที่พ่อแม่และผู้คนรอบข้างพยายามเล่าให้เขาฟัง แต่ก็ยังไม่ยอมรับในตัวตนจริงๆ ของตัวเองว่าตัวเองเป็นมนุษย์ แม้จนได้มาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ทาร์ซานก็ยังปรับตัวได้ยากกับการที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขานั่นเอง ถูกไหม? เหมือนไหม? ทาร์ซานเข้ามาอยู่บ้านหลังใหญ่ คฤหาสน์ของพ่อแม่ มาอยู่แล้ว เรียนรู้ไป กินข้าว รู้จักนอนแล้ว พอตอนเช้าขึ้นมา ตื่นเช้า 6 โมงเช้า รู้แล้วต้องไปกินข้าว มันหิวแล้ว แทนที่จะเดินลงบันไดมา  ปีนหน้าต่างออก ปีนคล่องเลย จากหน้าต่าง สมมติชั้น 5 ชั้น 6 ปีนลงมา เกาะรางน้ำฝน ลงมา โดดตุ๊บๆ เข้าหน้าต่างห้องกินข้าว พ่อแม่นั่งรออยู่ มาแปลก แค่นั้นไม่พอ พ่อแม่ตกใจ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรลงมาเลย ทั้งๆ ที่เสื้อผ้าก็ซื้อมาให้หมดแล้ว สอนวิธีใส่แล้ว แต่ทาร์ซานทำไม?  ยังไม่เคยชิน ลืมตัวไป ไม่เคยชิน หิวข้าว รีบลงมา นี่เปลี่ยนไปเยอะแล้วนะ ทาร์ซานมาอยู่หลายปีแล้วนะ แต่มันเผลอไปไง มันหิว มันเผลอ พอหิวปุ๊บ สัญชาตญาณเก่ามันออก มันเคยอยู่อย่างนั้นมาก่อน มันก็โดดลงมา แก้ผ้าอะไรต่างๆ ลงมา นึกว่าอยู่ในป่า อยู่เหมือนเดิม นี่คือทาร์ซาน น่าขำไหม?

ในพระเยซูคริสต์เราก็ทำอย่างนั้น แต่เราไม่เห็นขำเลย ในพระคริสต์เราเป็นใคร? เสร็จล่ะ คราวนี้ ยุ่งแล้วสิ ในพระคริสต์เราเป็นใคร? ดูสิว่าจะมีใครแก้ผ้าลงมาบ้าง? ในพระคริสต์เราเป็นใคร? เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว … แล้วทำไมเวลาเขาเสิร์ฟอาหารช้า ทำไมเราโกรธเขาล่ะ แล้วทำไมเราเห็นแก่ตัว เราอยากได้ของคนอื่นเขา ทั้งๆ ที่เราร่ำรวยมหาศาล เหมือนไหม? เหมือนทาร์ซาน ที่ลงมาจากห้องนอนไหม? พอกัน พระเจ้ามองมา

“ลูกฉัน ทำไมทำอย่างนี้”

นิดเดียวเอง จะเอาเปรียบเขา ถูกเขาเอาเปรียบนิดหนึ่งไม่ได้ๆ ตัวเองเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมหาศาล อยู่บนสวรรค์เยอะแยะไปหมด

“ฉันบอกเธอแล้วไง เธอเป็นมหาเศรษฐี แล้วดูสิเนี้ย ไปโลภอะไร? ของเล็กๆ น้อยๆ แค่หมื่นกว่าล้านเอง  เอาไปทำไม ฉันมีเยอะแยะไปหมด”

ทีอย่างนี้ไม่หัวเราะ … หัวเราะไหม? เหมือนกับทาร์ซานเมื่อตะกี้นี้ เสื้อผ้าเยอะแยะ ซื้อให้ใส่ ไม่ใส่ โป๊ลงมา มันชินใช่ไหม? เหมือนเราก็ชินใช่ไหม?  ความโลภมันโผล่ออกมา ชิน  ความเห็นแก่ตัวมันโผล่ออกมา มันชิน  มันอยากได้ เพราะอะไร? เพราะมันชิน  แต่พอพระเจ้าเขี่ยหน่อย สมมติคนที่เชื่อพระเจ้าชัดๆ แล้วเข้มข้น คือมีความเชื่อเข้มแข็ง พอพระเจ้าเขี่ยหน่อย มาฟังคำอธิษฐาน หรือฟังคำบรรยาย ที่โบสถ์ปุ๊บ ได้ยินปุ๊บ ไม่ใช่ๆ ไม่เอาๆ เราโลภเกินไปแล้ว อยู่บนโลกใบนี้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องอยู่บนโลก แบบที่โลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ไม่โลภๆ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องเป็นคนใหม่ ก็โอเค ก็ทำไม? ก็เหมือนทาร์ซานกับขึ้นไปข้างบน ไปใส่กางเกงลงมา  ไม่นั่งกินข้าวแบบนั้น  เห็นแก่พ่อแม่ ผมเปรียบเทียบได้ดีมาก เห็นชัด ตรงที่มันไม่ใส่เสื้อผ้า จะเห็นชัดที่สุด มันน่าเกลียดใช่ไหม? มันโป๊ มันอายเขา มันอายไปถึงใคร? อายไปถึงวงศ์ตระกูล อายไปถึงพ่อแม่เขา ถึงญาติพี่น้องเขาทุกคน

เพราะฉะนั้น คริสเตียน เมื่อเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภ ไปโกรธเขา ทำท่าทางที่ไม่ดี มันอายถึงพระเยซู และรวบทั้ง อายถึงศิษยาภิบาล อายถึงใครอีก เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่น้องที่เป็นคริสเตียน อายเขาหมดเลย ไปทำอย่างนั้นทำไม? ใช่หรือไม่ใช่?  แต่เราอภัยให้กันอยู่แล้ว พระเจ้าบอก แต่บางครั้งเราก็ทำ เขาก็ทำ

บอกคนข้างๆ สิ “อย่าอาย”

อย่าอาย หมายถึงบางครั้ง มันเข้าใจ “เราเข้าใจเธอดี ไปใส่เสื้อผ้าลงมาแล้วกัน”

วันหลัง ก็คุยกันอย่างนี้แล้วกัน ถ้าใครทำอะไรไม่ดี เราบอกไม่ต้องอายหรอก ไปใส่เสื้อผ้าลงมา ก็แล้วกัน เวลาเราโลภ เราเห็นแก่ตัว หรือทำอะไรไม่ได้เป็นด้วยความรัก จงจำไว้ เราเหมือนแก้ผ้าทำอยู่ มันน่าอาย ในสายตาของคนที่อยู่ในพระคริสต์ ตัวตนที่แท้จริงเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์  คิดดู เราเป็นเหมือนพระเยซู … พระเยซูสะอาดหมดจด พระเยซูจะทำอย่างนั้นเหรอ เราคิดดู พระเยซูมีแต่ให้ๆๆๆ พระเยซูจะไปโลภ หมื่นล้านเหรอ อย่าว่าแต่หมื่นล้านเลย หมื่นบาทท่านก็เอาแล้ว ถ้าเขาตกทองหมื่นบาท ท่านลุกเป็นโพรงแล้ว แค่เขาหลอกท่านมาขาย ลักษณะการขายต่อๆ อะไรแบบนี้ ท่านถูกหลอกไป เพราะอะไร? เพราะเราอยากได้เงิน อดทนไว้ ถึงแม้จะหิวข้าว นึกถึงทาร์ซานไว้ เข้าใจไหม?  คือบางทีเราอยากได้ อดทนไว้ อดทนไว้ เดี๋ยวพระเจ้าจัดการให้ พระเจ้าสอนให้ใส่เสื้อผ้า ก็ใส่เสื้อผ้าไป อดทนไว้ ใจเย็นๆ ใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วค่อยๆ เดินลงบันไดมา ฝึกๆ ลงบันได ไม่ต้องปีน รีบลงมา น่าเกลียด อายเขา โอเค

ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

เรามาดูนะครับว่าคราวนี้พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เอาแค่สั้นๆ ผ่านไปก่อน แล้วค่อยมาเจาะลึกกันทีหลัง  ดูนะครับว่าเป็นใครในพระคริสต์ ผมเอามาให้ท่านดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดข้อความว่ามันอยู่ที่ไหนในพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นใครในพระคริสต์? พระเยซูบอกท่านเป็นใครในพระคริสต์? พระเจ้าบอกว่าท่านเป็นใคร? ตัวตนจริงๆ ท่านเป็นใคร?  พระคัมภีร์บันทึกไว้จริงๆ ผมจึงได้เริ่มต้นจากข้อพระคัมภีร์ก่อน ท่านจะจดไว้ก็ได้ ฟังดีกว่า แล้วเดี๋ยวท่านเอากลับบ้านไปฟังทีหลัง ฟังในเว๊บไซด์ก็ได้ สดเขาก็มี แล้วเขาก็บันทึกไว้ แล้วก็อัพลงยูทูป สามารถดูได้ทุกวัน ทั้งวัน  ยกตัวอย่างเช่น .-

ยอห์น 1:12  บอกว่า “เราเป็นลูกของพระเจ้า”

 

ทุกคนพูดพร้อมกันว่า “ใครบอก”

“พระเจ้าบอก”

ถ้าผมถามว่าใครบอก ท่านตอบว่าพระเจ้าบอกนะ

“พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

โรม 5:1 บอกว่า “เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อแล้ว”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

1 โครินธ์ 6:17 บอกว่า “เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้านะ แน่ใจเหรอ พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ใหญ่มากนะ แต่ก่อนอยู่ห่างมากนะ บริสุทธิ์มาก ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เลย”

“สนิทกันเป็นหนึ่งเลย ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

1 โครินธ์ 12:27  บอกว่า “เราเป็นส่วนหนึ่งของกายของพระคริสต์”

 

คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกัน

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“น่าเชื่อไหม?”

“เชื่อ”

เอเฟซัส 1:1 “เราเป็นประชากรของพระเจ้า ผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“อ้าว! ท่านเป็นประชากรของประเทศไทยไม่ใช่เหรอ”

“สองอย่างเลย  ทางโลกนี้ เราเป็นประชากรของประเทศไทย แต่ในวิญญาณ ฉันเป็นประชากรของพระเจ้า ในพระคริสต์

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

เห็นไหม? ไม่ใช่เรื่องปรัมปรามาจากไหน? ใครบอกก็ไม่รู้ เขาบอก เขาว่ามา ไม่ใช่เลย พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ

เอเฟซัส 2:18 “เราทั้งหลายสามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ผมเข้าได้คนเดียว  ท่านไม่บริสุทธิ์พอหรอก ท่านไม่ค่อยได้อธิษฐานด้วย ผมรู้ อธิษฐานน้อยใช่ไหม? ถวายก็น้อยใช่ไหม? เชื่อพระเจ้ามากี่ปี? บางคน 2-3 ปี ท่านจะเข้าไปหาพระเจ้าได้เท่ากับผมได้อย่างไร?  ผมกี่ปีแล้ว ท่านรู้ไหม? ผมอธิษฐานเท่าไรแล้ว? แล้วผมอดอาหารมากเท่าไร? ท่านเข้าใจไหม?  เชื่อผมไหม? อย่าไปเชื่อผมเลย พระคัมภีร์บอกว่าเราทั้งหลาย สามารถเข้าถึงพระบิดาได้ ด้วยพระวิญญาณองค์เดียวกัน  มีความสามารถไปหาพระบิดาได้เท่ากันหมด

ถามว่า “ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“แล้วเชื่อไหม?”

“เชื่อ”

ไม่เชื่อพระเจ้า แล้วจะไปเชื่อใครล่ะ

โคโลสี 1:14 “เราได้รับการไถ่บาป คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา”

 

“พระเจ้าบอกอย่างนั้น เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

โคโลสี 1:22 “เราได้คืนดีกับพระเจ้า ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ”

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

โคโลสี 2:10  “เราได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์แล้ว”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“อ้าว! ไหนบอกวันนี้ยังขาดเงินอยู่เลย ตะกี้ยังเห็นจะยืมเงินกัน จะยืมกันอยู่ ครบบริบูรณ์ได้อย่างไร? ไม่เห็นมีครบเลย แล้วหมื่นหนึ่งมีครบหรือยัง? ที่อยากได้หมื่นหนึ่งครบหรือยัง?”

“ยังไม่ครบ พึ่งจะ 7,000 เอง”

“แล้วตะกี้บอกครบแล้ว”

“มันคนละเรื่องกันบอกสิ นี่มันเรื่องฝ่ายวิญญาณ ตัวตนฉันในวิญญาณ เป็นอย่างนี้จริงๆ”

โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษแก่เรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ฟีลิปปี 3:20 “เราเป็นพลเมืองสวรรค์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เป็นพลเมืองสวรรค์แน่นะ”

“แน่”

โคโลสี 3:3 “เราตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

 

“เชื่อไหม?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“อ้าว! เราตายแล้วได้ไง นั่งอยู่นี้ บอกว่าตายแล้ว อ้าว! แล้วตายอย่างไร?”

“ไม่รู้ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องเข้าใจ ฉันเชื่อ”

“ไม่ต้องเข้าใจเลย เชื่อ บอกมาอย่างไร ฉันเชื่อ พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ฉันก็เชื่อแล้วว่าชีวิตฉันถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์”

มัทธิว 5:13 “เราทั้งหลายเป็นเกลือของโลก”

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“เราเป็นเกลือนะ เราไม่มีความสามารถ คนบอกเราจบ ป.4 แต่เราเป็นเกลือ”

หมายถึงไปช่วยโลกนี้นะ

“เป็นไปได้เหรอ”

“ได้ เพราะพระเจ้าบอกเราเป็นอย่างนั้น”

ยอห์น 15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา”

 

“เอเมนไหม?”

“เอเมน”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เพราะฉะนั้น ใครที่ดูแลเราอยู่ตอนนี้”

“พระเจ้า”

“แล้วทำไมกังวล กลัวอดล่ะ ทำไมไม่มีงานทำ กังวลใหญ่เลย”

“หางานไม่ได้ ไม่มีเงินเลย ลำบากลำบนอย่างนี้”

“ทำไมบ่นล่ะ”

กิจการ 1:8 “เราได้รับฤทธิ์อำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“ตัวท่านเต็มไปด้วยฤทธิ์ ท่านเชื่อไหม?”

“เชื่อ”

“เป็นไปได้ไหม?”

“เป็นไปได้”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ตัวเราเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

2 โครินธ์ 5:17  “เราได้ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป นี่แน่ะ! เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้นเลย”

 

“วิญญาณเราใหม่เอี่ยมเลย เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“เข้าใจไหม?”

“ไม่เข้าใจ ใหม่อย่างไรก็ไม่รู้ แต่เชื่อ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อ”

ทาร์ซานก็ไม่ต้องเข้าใจนะ รอทาร์ซานเข้าใจ ทาร์ซานตายก่อน ไม่ต้องทำอะไร? กลับไปอยู่ป่าเหมือนเดิมแน่ ทาร์ซานไม่ต้องเข้าใจ ทาร์ซานต้องเชื่อพ่อแม่เขา

เอเฟซัส 2:6  “เราได้เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และได้นั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ตอนนี้ เรียบร้อยไปแล้ว”

 

เอเมน

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

“อ้าว! แล้วทำไมนั่งอยู่ที่นี่ล่ะ จะบ้าเหรอ”

สมมติคนเขาทักท่าน

“ท่านจะบ้าเหรอ คนนี้มันบ้าไปแล้วเนี้ย อยู่ดีบอก ‘ฉันนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์สถาน’ ก็นั่งอยู่ที่นี่ แกจะไปไหน? แล้วยังเชื่อไหม? ถ้าเขาพูดอย่างนั้น”

“เชื่อ”

เพราะมันคนละเรื่องกัน นี่มันเรื่องโลกวิญญาณ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เป็นโลกวิญญาณ

“ฉันนั่งอยู่ที่นั่น ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ฉันไม่ต้องเข้าใจ ฉันไม่ต้องรู้ว่ามันเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ฉันเชื่อตามนั้น เอเมน”

เอเฟซัส 2:10  “เราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี”

 

“เชื่อไหมว่าท่านทำการงานดีได้ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ เชื่อไหม?”

“เชื่อ”

“อ้าว! เห็นใครๆ บอก ท่านเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อ เชื่อเขาหรือจะเชื่อพระเจ้า?”

“เชื่อพระเจ้า”

เห็นไหม? ท่านต้องเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าบอกพระเจ้าทำได้ ท่านจะถูกใครเข้าว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าบอกเมื่อท่านมาอยู่ในพระคริสต์ พระองค์สามารถทำให้ท่านทำการดีได้ เพราะท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า

1 โครินธ์ 3:16  “เราเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิตภายในเรา”

 

“เชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เชื่อ”

“ใครบอก?”

“พระเจ้าบอก”

ท่านเดินไปที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ท่านเชื่อไหม? ท่านรู้ไหมว่าวิหารของพระเจ้า  คือพลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้นมาสมัยก่อนนี้ ที่พระเจ้าให้สร้าง ท่านเชื่อไหมว่าตอนนี้ที่ท่านนั่งอยู่ ตัวท่าน ร่างกายท่าน เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า ท่านเชื่อไหม?

ถ้าท่านรู้ทั้งหมดนี้ แล้วเอาทั้งหมดนี้ ไปท่อง ไปคิดอยู่ตลอดเวลา ชีวิตท่านจะเปลี่ยนเลย จะเปลี่ยนไปอีกอันหนึ่ง มากขึ้นเลย ถูกหรือไม่ถูก?

นี่แหละคือความสำคัญที่ทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่อง “เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์” ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร? แล้ววิธีที่จะเรียนรู้ได้มากที่สุด คือพระเจ้าบอกเรา ผู้ที่สร้างเราบอกเราว่าเราเป็นใคร? มันถึงถูกต้อง ไม่ใช่ไปฟังจากใครก็ไม่รู้ ต้องฟังจากผู้ที่สร้างเรา ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ มือของพระองค์ แล้วบอกให้เรารู้ว่าเราเป็นใคร? อันนี้แท้จริง แล้วมีหลักฐานยืนยันอยู่ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลนี้

นี่แหละ เราจึงต้องมาเรียนเรื่องนี้  และเราจะเรียนกันไปเรื่อยๆ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 12 “บัตรประชาชนในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 12 “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระคริสต์ วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 12 แล้วนะครับ เราจะมาสรุป ทบทวนที่เราได้คุยกันไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กันก่อน

พูดชื่อเรื่องก่อน “เราเป็นใครในพระคริสต์”

สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 11 เราสรุปไว้ว่าด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณ ได้ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และเข้าส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันในภาษาอังกฤษ Divine Nature จำได้ไหมครับ?

เราได้มีส่วนเข้าไปร่วมในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า Divine Nature จึงทำให้เกิดอะไร? การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยความครบถ้วนบริบูรณ์ เขาเรียกว่าชีวิตที่ครบถ้วน  เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูได้ย้ำกับเราว่าพระองค์มา เพื่อให้เราได้รับชีวิตใหม่ และมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยความสงบสุข เต็มไปด้วยความพึ่งพอใจ พอเพียงในทุกๆ สถานการณ์ ทั้งหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่ก็ยังมีบางคน ที่มาเป็นคริสเตียน เชื่อในพระเจ้าแล้ว อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย  แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าตัวเองยังไม่สุข เหมือนอย่างที่พระเยซูบอก ตัวเองยังไม่ได้รับความชื่นชมยินดี ความสงบสุข ยังไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข อย่างที่พระเยซูบอกเลย

ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากอะไร? จำได้ไหมครับ ปัญหา ก็คือเพราะคนส่วนใหญ่เหล่านั้น อยากได้รับความชื่นชมยินดี อยากมีสันติสุขและสงบสุข อยากมีความพอเพียง อยากหายเหนื่อยและเป็นสุขในพระเยซูคริสต์ด้วยวิถีหรือวิธีการของตัวเอง ตามความคิดของตัวเอง ที่คิดว่าอยากได้อย่างนั้น  ซึ่งพระเจ้าก็ได้บอกแล้ว อย่างชัดเจนว่าความคิดของเรา ก็ไม่เหมือนพระเจ้า  ทางของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนทางของเรา

ครั้งที่แล้วเราได้ใช้ถ้อยคำตรงนี้ ตกลงทางของใครดีกว่าใครนะ ทางใครดีกว่าใคร? ทางพระเจ้าดีกว่า ความคิดของใครสูงกว่าของความคิดของใคร? ความคิดของพระเจ้า สูงกว่าความคิดของเรา

เรามาทบทวนถ้อยคำพระเจ้า ในบทนี้นิดหนึ่ง อิสยาห์ 55:8-9 เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องจำไว้ จำใส่ใจไว้เลยนะครับ

อิสยาห์ 55:8-9 “8เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศดังนั้น 9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น

 

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

มันต้องเป็นอย่างนั้น นี่คือถ้อยคำที่เราเน้นกันในสัปดาห์ที่แล้ว … แล้วผมก็ยกตัวอย่างชีวิตของเปาโล ที่ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงให้เปาโลมีหนามในเนื้อ เพื่อให้มีใจถ่อม ต้องพึ่งพระเจ้าตลอดเวลา ใกล้ชิดพระเจ้าตลอดเวลา แม้เปาโลจะอธิษฐานวิงวอนพระเจ้า เอาหนามในเนื้อออกไป ให้ที ตั้งหลายครั้ง แต่คำตอบของพระเจ้า ก็ไม่เป็นไปตามที่เปาโลคิดอยากจะได้ ไม่ได้เป็นไปตามวิถีการหรือวิธีทางที่เปาโลวางเอาไว้ว่าอยากจะหายจากความเจ็บปวดนั้น

พระเจ้าตอบเปาโลว่าอย่างไร? และตอบพวกเราในที่นี่ด้วยว่า.-

“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ (ของเจ้า)”

นี่พระเจ้าตอบเราด้วย ในขณะที่ตอบเปาโล ก็ตอบเราด้วย พระเจ้าเดียวกันนี่แหละ ซึ่งถ้าเราคิดแบบมนุษย์ มองด้วยสายตามนุษย์ ก็ต้องบอกอย่างนี้

เอาหนามในเนื้อออกไป มันดีกว่าแหงๆ อยู่แล้ว มนุษย์คิดอย่างนี้แหละ เอาหนามในเนื้อออกไป เอาความทุกข์ทรมานออกไป มันดีกว่าแน่ๆ ถูกไหมครับ? เอาหนามในเนื้อออกไป  ตามที่อธิษฐาน เปาโลขอ มันเรียกว่าอะไร? อัศจรรย์ เปาโลจะได้ไปประกาศว่านี่อัศจรรย์เกิดขึ้น อีกแล้วครับท่าน?  พระเจ้ารักษาอะไรบางอย่างที่เปาโลเป็นอยู่ หนามในเนื้อนั้นหายไปเลย อย่างอัศจรรย์ นี่เราคิดแบบมนุษย์ เห็นไหม? แต่พระเจ้าคิดอีกแบบหนึ่ง พระเจ้าตอบอีกแบบหนึ่ง เห็นไหม?

เราคิดแบบมนุษย์ ก็คือถ้าป่วยอยู่ ก็ต้องทำไม? ต้องรักษาให้หายป่วย นี่ความคิด วิธีการที่เราต้องการ วิถีทางของมนุษย์ คิดอย่างนี้  ทั้งๆ ที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็อยากได้อย่างนี้ เห็นไหม?

จนอยู่ ทำอย่างไร? อยากได้อะไร? จนอยู่ อยากหายจน  แล้วพระเจ้าตอบคำอธิษฐานให้เราทุกคนไหม? หายจนทุกคนไหม? รวยหมดทุกคนเลย มาเป็นคริสเตียนรวยหมดทุกคนเลย มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  ในอดีตผมก็คิดอย่างนั้นแหละ ถ้ามาเป็นคริสเตียน รวยหมดทุกคน เขาจะได้มาเชื่อพระเจ้ากันให้หมดเลย แล้วเดี๋ยวออกไปเป็นพยานเต็มที่เลย แล้วเวลาที่ท่านรวย ท่านไปเป็นพยานไหมถามจริงๆ เป็น แล้วเขาเชื่อท่านไหม? ก็ไม่เชื่ออยู่ดี

ถ้าเป็นหนี้อยู่ ท่านอธิษฐานขออย่างไร? ท่านก็มีความคิดและอยากให้พระเจ้าชำระหนี้สินให้ท่าน หมดสิ้นสักที เลิกผ่อนบ้านสักทีหนึ่ง ถูกไหม?

มีใครบ้างอธิษฐาน “พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ผ่อนยาวกว่านี้นิดหนึ่งได้ไหม?”

ผมว่าไม่มี หรือมีน้อยมาก หรืออาจจะมีหรือเปล่าไม่รู้นะ

แล้วเราก็จะบอกว่า “ให้ตอบคำอธิษฐานตามที่เราอธิษฐานสิพระเจ้า เราจึงจะได้เรียกสิ่งนั้นว่าเป็นการตอบแบบอัศจรรย์”

ถ้าพระเจ้าตอบว่า “พระคุณของพระองค์เพียงพอ สำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอของเจ้า”

“ไม่อัศจรรย์เลย อย่างนี้ไม่ชอบ”

ถูกไหม?  ใครที่อธิษฐานแบบเมื่อตะกี้นี้ ที่พูดมา หนึ่งในนั้นแหละ พระเจ้ากำลังตอบท่านว่าอย่างไร? พระเจ้ากำลังตอบว่า.-

“พระคุณของเราก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

“พระคุณของเราก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

เราคิดว่าการดำเนินชีวิตทุกวัน บนโลกใบนี้ เมื่อมาเป็นคริสเตียน มันไม่ควรมีการผิดพลาด อุตส่าห์เปลี่ยนชีวิตใหม่มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่กับเรา … เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ แต่ทำไมๆ ยังทำตัวแบบนี้อยู่เลย น่าเกลียดจริงๆ เลย มันน่าจะทำดีกว่านี้อีก เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม? ไม่ได้คิดกับตัวเองหรอก เพราะสิ่งเหล่านี้ เราไม่อยากว่าตัวเอง เราจะมองคนอื่น มาเชื่อพระเยซู ควรจะเป็นอย่างนี้ๆ เราอยากให้เขาบริสุทธิ์แป๊ะเลย ดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้สิ  แล้วพระเจ้าบอกว่าอย่างไร?

สมมติ นาย ก. แล้วก็บอกว่า

“นาย ก. เชื่อพระเจ้าแล้ว น่าจะมีการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน บริสุทธิ์อย่างนี้นะ อยู่ในจริยธรรมอย่างนี้  อย่างนั้น อย่างนี้นะ”

พระเจ้าตอบว่า “พระคุณของเรา ก็เพียงพอสำหรับนาย ก. เดี๋ยวเป็นเรื่องของเราเอง ที่จะจัดการ”

ถูกหรือไม่ถูก? แล้วเราก็นึกว่าการไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เปลี่ยนแปลงชีวิตเราใหม่หมดเลย จะกลายเป็นคนที่ยอมให้อะไรทุกอย่าง เหมือนพระเยซูเลย ให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มีอะไร ก็ให้หมดเลย ทุกคน เราคิดว่าอย่างนั้นแหละ เป็นการอัศจรรย์ในชีวิตว่าพอเชื่อพระเยซู แล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงเลย  อีกคนเชื่อพระเยซูไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย ก็ยังเมาย่ำเป๋เหมือนเดิม เราคิดว่าอย่างนั้น ไม่อัศจรรย์ แต่อีกอย่างหนึ่ง อัศจรรย์กว่า นี่คือความคิดแบบมนุษย์ แล้วมันจริงๆ เราไม่ได้คิดอย่างเดียว เราปฏิบัติอย่างนี้ด้วย แต่พระเจ้าบอกว่ามีหนามในเนื้อ มีความทุกข์นั้น ทำไม?  ดีแล้ว ป่วยอยู่แบบนั้นแหละ ทำไม? ป่วยอยู่แบบนั้นแหละ ทำไม? ดีแล้ว จนอยู่อย่างนั้นแหละ ดีแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ทุกอย่าง … อย่างนั้นไปได้ด้วยดี เอเมน จริงไหม?

เนื้อหนังอ่อนแอ ทำผิดทำพลาดบ้างในชีวิต เป็นคริสเตียนแล้ว ดีหรือไม่ดี? ดีแล้ว เอาแค่นั้นแหละ ที่ทำได้เป็นพระพรแล้ว มันได้แค่นั้น ทำอย่างไรล่ะ ใช่ไหม? เขาเรียกว่าอะไร? ภาษาไทยเขาเรียกว่าอะไร?  สันดรขุดได้ แต่อะไรนะ ขุดไม่ได้ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด เคยได้ยินเพลงไหม? เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิด มาเชื่อพระเจ้าตอนอายุ 60 แล้วบอกจะให้ชีวิตเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง แล้วมันจะเปลี่ยนได้อย่างไร? มันเป็นอย่างนั้นมาตั้ง 60 ปีแล้ว มันได้แค่ไหน ก็ได้แค่นั้น แต่เราวางใจในพระเจ้า  … พระเจ้ามีพระคุณมากเพียงพอ สำหรับคนอายุ 60 มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกันนะครับ มันได้แค่ไหน? ก็เอาแค่นั้น พระคุณของพระเจ้าเพียงพอสำหรับเขาแต่ละคน  ก็แล้วกัน เอเมน

เห็นไหม? ถ้าพูดแค่นี้ ก็รู้แล้วว่ามันต่างกันลิบลับเลยนะ ความคิดของพระเจ้า  วิธีการของพระเจ้ากับวิธีการที่มนุษย์คิด ต่างกันกันลิบลับ ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเราเท่านั้น ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ท่านลองไปวัดสิ เท่าไร?

นี่ชีวิตคริสเตียนที่อยู่ในพระคริสต์ ควรจะเป็นแบบนี้ เราไม่น่าจะวิงวอนขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เป็นอิสระจากความทุกข์ยากลำบาก แต่เราวิงวอนทูลขอพระเจ้า ทำให้เรามีความเข้มแข็งมากขึ้น และนำพาเราก้าวผ่านความทุกข์ลำบาก ก้าวผ่านทุกสถานการณ์ ที่เรียกว่าลำบากนั้น ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงในพระเยซูคริสต์

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

แล้วใช่หรือไม่ใช่? ใช่จริงๆ นานๆ ทีเราถึงต้องมาคุยกันเรื่องนี้ไง ไม่อย่างนั้นเราก็คิดของเราไปเรื่อย คิดตามแบบของเราไปเรื่อย

และสิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นในชีวิตได้นั้น เราต้องเชื่อและวางใจในพื้นฐานความจริงที่ว่าความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา และทางของพระเจ้า ย่อมสูงกว่าทางของเราอย่างแน่นอน เราต้องยอมวางใจว่าพระเจ้าเก่งกว่า ดีกว่าแน่นอน อย่าคิดแบบมนุษย์คิด  อย่าคิดถึงเหตุผล คิดถึงแต่ความเชื่อว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ สามารถนำพาเราผ่านไปได้ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่ทรงสัญญากับเราว่าพระองค์จะกระทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรานั้น เป็นประโยชน์ ท่านเข้าใจไหม? เป็นประโยชน์ เป็นผลดีกับชีวิตของเราและทุกคนอย่างแน่นอน เอเมน แม้ว่าตอนนั้น เราจะไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเราเลย ความเจ็บปวดมันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร? การเป็นหนี้สินเป็นประโยชน์ได้อย่างไร?  รถเมล์ที่เราขึ้นไป แล้วเขาแถมให้เรา 5 ป้าย เดินย้อนกลับมาอีกไกลเลย  มันจะเป็นประโยชน์ได้อย่างไร?

พระเจ้าบอก “เอ้อ! น่า ไม่ต้องคิดมาก ฉันจะทำให้มันเป็นประโยชน์กับเธอ”

ก็แล้วกันเชื่อหรือไม่เชื่อ? เชื่อ นี่แหละ เขาเรียกว่าความเชื่อ … เชื่อพระเยซู ก็ต้องเชื่ออย่างนี้  มันลำบาก แต่มันฝึกได้นะ ฝึกที่จะวางในใจพระเจ้าอย่างสุดหัวใจเลย

นี่คือสิ่งที่เราสรุป ที่เราได้คุยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เลยมาตั้งชื่อกัน สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 11 เลยให้ชื่อตอนว่า “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา” … “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา”

พระคัมภีร์บอกว่าความคิดของพระเจ้า ก็ไม่เหมือนความคิดเรา ความคิดของพระเจ้า ก็คือความประสงค์ ความต้องการของพระเจ้า  ความคิดของเรา ก็คือความประสงค์ ความต้องการของเรา ความอยากได้ตามใจปรารถนาของเรา ถูกไหม?

สรุป ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรากับสิ่งที่เราอยากได้ ฟังให้ดีนะ พระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา กับสิ่งที่เราอยากได้ ตามใจปรารถนาของเรา มันไม่เหมือนกัน และท่านคิดว่าสิ่งไหนที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่ากัน ก็คือตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือตามใจปรารถนาของเรา ท่านคิดว่าอันไหนมันจะเกิดขึ้นง่ายกว่ากันในชีวิตของเรานั้น คิดให้ดีๆ และผู้ที่จะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้า เป็นจริงในชีวิตของเราได้ คือใครครับ?  ใครที่สามารถทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในชีวิตของเรา  ตอบสิ ใคร? ตัวเราเอง ไม่ใช่ ใครครับ? พระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นทุกสิ่ง เป็นกำลังทุกอย่าง เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ทุกสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ในชีวิตของเรา จะสำเร็จลงได้ โดยทางพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ใช่กำลังของเรานะครับ ต้องพึ่งพระเยซูทั้งหมด เราถึงสามารถที่จะไต่ขึ้นไปที่ความคิดของพระเจ้า หรือพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ให้ความคิดของเราเปลี่ยนแปลง ให้คล้ายหรือไปด้วยกันกับพระประสงค์ของพระเจ้าให้มากที่สุดในชีวิต

ทุกสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ทุกสิ่งนะ พระเยซูจัดเตรียมหาให้เรียบร้อยแล้วหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ ก็คือพระเจ้าต้องการมีพระประสงค์ให้เรา เป็นเหมือนพระองค์ ติดต่อกับพระองค์ได้ บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ซึ่งเราทำไม่ได้ แต่พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จแล้วที่พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปได้ นี่คือหนึ่งในจำนวน อีกมากมาย ที่พระเยซูสามารถทำให้เรา เป็นไปตามน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้า หรือความต้องการของพระเจ้าได้

นี่คือความหมายที่เราพูดกันเสมอว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน คือการยอมจำนวนต่อพระเจ้าในทุกพื้นที่ชีวิต ยอมจำนน คือแทนที่จะเชื่อพระเจ้า โดยหวังว่าพระองค์จะประทานทุกสิ่งตามที่เราทูลขอ ตามที่เราอยากได้  แต่เปลี่ยนเป็นยอมให้พระเจ้าจัดการกับชีวิตของเรา  ตามพระประสงค์ของพระองค์ โดยเชื่อและวางใจว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ไม่เหมือนกับใจปรารถนาของเรานั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราอย่างแน่นอน โดยให้พระเยซูเป็นผู้เสริมกำลัง เสริมสติปัญญา นำพาเราไปตรงนั้น เอเมน นี่คือเป้าหมายชีวิตของคริสเตียน ควรจะเป็นลักษณะเช่นนี้

พระคัมภีร์จึงสอนให้เราฝึกฝนที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้ชีวิตเรา เมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูแล้ว ให้ทำตามน้ำพระทัยให้ได้ ให้ยอมทุกอย่าง เพื่อจะทำตามน้ำพระทัย มากกว่าที่จะให้เป็นไปตามเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง ก็คือตัวเก่าของเรา ความคิดเก่าของเรา ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำนี้ ถ้าท่านทำอย่างนี้ได้ เรียกว่าเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพิจารณาถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้า 2 ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง”

 

เมื่อพิจารณาถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้า

ให้พูดพร้อมกันว่า “พระคุณความเมตตาของพระเจ้า”

ให้เราคิดถึงพระคุณของพระเจ้า ใช่ไหม?

“ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลาย ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พอพระทัย”

ถามว่าอะไรมาก่อน พระคุณความเมตตาของพระเจ้ามาก่อน หรือให้เราถวายตัวก่อน? อะไรก่อน พระคุณความเมตตา เราได้รับพระคุณความเมตตาของพระเจ้าก่อน แล้วจึงให้เราทดแทนพระคุณด้วยการถวายตัวของเราแด่พระเจ้า ให้เป็นที่พอพระทัย เพราอะไรรู้ไหม? เพราะถ้าไม่ได้พระคุณของพระเจ้าก่อน เราไม่มีทางที่จะถวายตัว หรือทำอะไรก็ตามให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ไม่ได้ โมเสสก็ไม่ได้ กษัตริย์ดาวิดก็ไม่ได้ ไม่มีใครได้เลย แม้แต่คนเดียว เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ปรากฏ พระเยซูยังไม่มาเกิด  หลังจากที่พระเยซูมาบังเกิด และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว มนุษย์มีสิทธิแล้วที่จะทำตรงนี้ได้  เพราะได้พระคุณความเมตตาจากพระเจ้าแล้ว ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ที่มาไถ่บาปให้กับเรา

คำว่า “พระคุณ” ความหมาย ก็คือเราเป็นผู้รับ ไม่ใช่เป็นผู้กระทำให้เกิดขึ้น รับลูกเดียว พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่เราได้รับมา ก็คือให้เราได้มาอยู่ในพระคริสต์ ได้เปลี่ยนสภาพจากคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ทำให้เรามีสถานะใหม่ สถานะที่เรียกว่าลูกของพระเจ้า

กาลาเทีย 3:26-29 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ เอามาให้ท่านอ่าน เห็นชัดๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา ตอนที่เรารับเชื่อพระเจ้า

กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

 

ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าหรือยัง? เป็นแล้ว ด้วยตัวท่านเองหรือเปล่า? ไม่ใช่ แต่เป็นพระคุณ ผ่านทางใคร? ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับบัพติศมา … บัพติศมาเราได้เรียนกันแล้ว ได้จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ กลายเป็นกระเทียมดอง กลายเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงกระทำให้กับเรา และเพราะเราเป็นบุตร หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจึงทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเราทุกคน เอเมน

ในนี้พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจึงทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของพวกเราทุกคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เข้าไปจุ่มลง บัพติศมาลงในพระเยซูคริสต์นั้น ที่เป็น คริสเตียน พระเจ้าประทับตราแล้ว อ่านดูนะ ประทับอย่างไร? 2 โครินธ์ 1:21-22 บันทึกเอาไว้ ประทับอย่างไร?

2 โครินธ์ 1:21-22 “21 พระเจ้านี่แหละ ทรงให้ทั้งเราและท่านยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์  พระองค์ได้ทรงเจิมเรา 22 ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง

 

ถามว่าท่านเป็นลูกพระเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไร? จากในวิญญาณที่พระเจ้าประทับตราอยู่ในนั้นว่าท่านเป็นลูกของพระองค์

และในนี้บอกว่าเป็นมัดจำค้ำประกันในสิ่งที่มาถึง สิ่งที่มาถึง คืออะไรรู้ไหมครับ? คือสวรรค์จริงๆ แล้ว ที่เราทิ้งร่างกายนี้ เราจะไปอยู่ที่นั่น ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าโลกสวรรค์มีจริงๆ จากโลกนี้ไป ทิ้งร่างกายจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นจริงเลย เพราะว่าพระเจ้ามัดจำลงมาในวิญญาณเราแล้วเดี๋ยวนี้ ในขณะนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่กำลังเดินอยู่นี้ ที่เราเชื่อพระเยซู มัดจำเข้ามาอยู่ในใจเราแล้ว เอเมน

พวกเราทุกคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการเจิม และได้รับการประทับตราจากพระเจ้าบนตัวเรา ก็เปรียบเสมือนอะไรรู้ไหมครับ? ฟังให้ดีๆ นะ เปรียบเหมือนอะไรในข้อความตะกี้นี้ เมื่อประทับตรา เปรียบเหมือนเราทั้งหลาย ได้รับบัตรประชาชน แสดงหลักฐานการเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ซึ่งการได้อยู่ในพระคริสต์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Identity in Christ.”

คำว่า Identity แปลว่าตัวตน … Identity in Christ. ก็คือตัวตนที่อยู่ในพระคริสต์ ซึ่งวันนี้ผมอยากจะใช้คำนี้แทน อยากให้ท่านเข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งผมอยากจะใช้คำว่า “บัตรประชาชนในพระคริสต์”

Identity in Christ. ก็คือบัตรประชาชนในพระคริสต์

พระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อของเราจะมั่นคงขึ้น และเติบโตขึ้น เมื่อเรารู้และจดจ่ออยู่ที่ตัวตนที่แท้จริงของเรา ตัวตนจริงๆ ของเราในพระคริสต์ ให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นบัตรประชาชนในพระคริสต์จึงมีความสำคัญกับเรามากเลย

 

“Identity” หรือตัวตนของเรา ก็คืออะไร? ตัวตนของเราคืออะไร? ก็คือสิ่งที่อธิบายคุณลักษณะความเป็นตัวตนของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก ที่เราจะต้องรับรู้ว่าตัวตนของเราในพระคริสต์เป็นใคร? มีสภาพหรือมีสถานะอย่างไร? มีสิทธิอะไรบ้าง? ถูกไหม? ก็เหมือนกับทางกายของเรา เหมือนทางร่างกาย เราก็จำเป็นต้องรู้ว่าในขณะนี้ ตัวตนของเราเป็นใคร? มีใครไม่รู้ว่าบ้างว่าตัวตนของท่านเป็นใคร? รู้หมดใช่ไหม?

บัตรประชาชนของท่านคือใคร? บัตรประชาชนของท่านที่ท่านพกในกระเป๋า คือใคร? เช่น เราถือบัตรประชาชนคนไทย เราต้องรู้ว่าตัวตนของเราเป็นคนไทย เรามีสิทธิเป็นเจ้าของประเทศนี้เหมือนกัน ไม่ว่ายากดีมีจน เศรษฐี คนกรุง คนชนบท คนรวย ชาวเขา ชาวดอย ชาวเล ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด ในฐานะเป็นคนไทย เอเมน เห็นหรือยัง? เป็นเพราะอะไร? ท่านรู้ยังเป็นเพราะอะไร? เพราะท่านมีบัตรประชาชนอยู่ สำแดงให้ท่านเห็นชัดว่าท่านเป็นคนไทย

การที่เราสามารถรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองได้อย่างนี้ ก็จะเป็นประโยชน์มากและสำคัญมากกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นึกภาพให้ดีๆ นะ และจะมีประโยชน์กับการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้นอีก เมื่อเรารู้ลึกลงไปอีกว่าเรามีคุณลักษณะนิสัย สภาพ สถานะ ตำแหน่งอะไร? ในชีวิตของเรา ในตัวของเรา ในขณะนี้ด้วย ถ้าเรารู้ เราจะมีประโยชน์มากขึ้นอีกเยอะเลย ไม่ใช่รู้เฉพาะเราเป็นคนไทยอย่างเดียว แต่เรารู้ว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร?  เรามีฐานะตำแหน่งอะไร? เราเป็นอย่างไร? ท่านพอเข้าใจไหม? ยกตัวอย่างเช่น

สมมติว่าผมรู้ตัวตนว่าในขณะนี้ นอกจากเป็นคนไทยแล้ว ผมยังเป็นศิษยาภิบาลอีก ผมเป็นผู้รับใช้ เราก็จะรู้ตัวว่าเราจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตัวอย่างไรให้เป็นที่เหมาะสมในฐานะเป็นศิษยาภิบาล เป็นผู้รับใช้ เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าอย่างที่ตะกี้เราบอกกันไง ให้ชีวิตเราได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ถูกไหม? ซึ่งแน่นอน มันไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ได้ แต่แน่นอน เราก็รู้ว่าเราเป็นใคร?  เราก็ทำได้ดีขึ้น ถูกไหม? อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งถ้าท่านทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของท่าน เป็นอย่างไร? ท่านก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสงบสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข มากกว่าคนที่ไม่มีรู้ตัวตนของตนเอง นี่พูดเฉพาะบนโลกใบนี้นะ ยังไม่ได้พูดในโลกวิญญาณนะ เฉพาะโลกใบนี้อย่างเดียว ถ้าท่านรู้ตัวตนท่านเอง รู้จักตัวเอง ตัวตนของท่านเอง ท่านมีตำแหน่งอย่างไร? มีสถานะเป็นอย่างไร? ถ้าท่านรู้ตัว ก็มีความสุขมากกว่าคนที่ไม่รู้ตัว

เช่น ยกตัวอย่างอันนี้ชัดเลย การไม่ใช้เงินเปลื้อง การมีความพอเพียง เช่น เรามีฐานะอย่างไร? ใช้จ่ายได้แค่ไหน?  ถึงจะเรียกว่ามีความพอเพียง คือต้องรู้จักตัวตนของตัวเอง รู้จักประมาณตนว่าเรามีฐานะอย่างไร? เป็นใคร? ใช่หรือไม่? ใช่

ยกตัวอย่าง เราทำงานเป็นลูกจ้าง มีเงินเดือน 30,000 บาท แต่ไปใช้จ่ายเหมือนคนมีเงินเดือน 100,000 เป็นผู้บริหาร อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักตัวตน หรืออีกนัยหนึ่งเขาเรียกว่าลืมตัวไปแป๊บหนึ่ง แล้วมันมีสันติสุขไหม? มีความสงบไหม? เห็นไหม? มันหายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? มันเอาโทษมาใส่ตัวเอง เอาความทุกข์มาใส่ตัวเอง นี่ขนาดแค่โลกใบนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ยังเห็นชัดเลย การรู้ตัวตนของตนเอง รู้สถานะของตัวเอง มันมีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตอย่างมากเลย

หรืออย่างบางคน ที่เป็นวัยรุ่นตอนปลายนะ รู้จักไหมวัยรุ่นตอนปลาย? อายุสักเท่าไรวัยรุ่นตอนปลาย อายุสัก 50 นะ วัยรุ่นตอนปลายสัก 40-50 ก็ได้ แต่ลืมตัว ลืมตนเองว่าตัวเองห้าหกสิบแล้ว ลืมตัวไปนิดหนึ่ง นึกว่ายังเป็นวัยรุ่นตอนต้นอยู่ นึกว่าอายุ 20 อยู่ ก็ไปทำอะไร? ไปปีนป่ายเก็บของ ไปทำอันโน่นอันนี่ ปีนต้นไม้ ในที่สุด ก็ตกจากต้นไม้ลงมา แขนหัก ขาหัก อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร? ลืมตัวใช่ไหม? ไม่ใช่สมน้ำหน้า ลืมตัว อย่างนี้เรียกว่าอะไร? ลืมตัวไปนิด เพราะการลืมตัว มันจะทำให้สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาหาเรา มันจะเกิดความสันติสุข สงบสุขไหม? ไม่เกิด เห็นไหม? มันจะเกิดหายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? ทุกข์ลำบากขึ้น มากกว่าเก่าอีก เพราะว่าอะไร? ลืมตัว สิ่งนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้น  แต่มันก็เกิดขึ้น เพราะว่าเราลืมตัว ลืมตัวตนของเราว่าเราเป็นใคร?

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ก็คือชาวไทยภูเขา … ชาวไทยภูเขา ก็คือชนชาติไทย สัญชาติไทย แต่มีเชื้อชาติไทยภูเขา ลักษณะเดียวกันกับชาวไทยเล ที่อยู่ทางใต้ ที่เป็นชาวเล เป็นประมง เขาเป็นชาวไทยนะ ไทยเล หรือแม้กระทั่งที่ชัดๆ ก็คือไทยมอญ … ไทยมอญก็อยู่แถวพระประแดง หรือแม้กระทั่งยิ่งชัดใหญ่เลย ไทยอะไรที่อยู่แถวเยาวราช ก็ไทยจีน เห็นไหม? อยู่พาหุรัด ไทยอะไร?  อยู่แถบๆ นั้น ไทยอินเดีย ก็เป็นคนไทยเหมือนกันทั้งหมด

ท่านพอจะเห็นภาพอะไรไหมว่าคนไทยที่มีเชื้อชาติเป็นไทยภูเขา ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด เหมือนคนไทยที่อยู่ในกรุงเลย เห็นไหม? แต่ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เมื่อหลาย 10 ปีก่อน สมัยที่ชาวไทยภูเขายังไม่ได้เป็นคนไทย ยังไม่มีบัตรประชาชน ในหลวงทรงดำริอยากจะให้คนเหล่านั้น ได้เข้ามาเป็นคนไทย เพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรต่างๆ เหมือนกับคนไทยที่อยู่ในเมือง เหมือนกันเลย  เหมือนกันเลยทุกอย่าง มาเป็นประชากรของพระองค์ ก็เลยสั่งให้ทางการไปสำรวจ แล้วก็ไปทำบัตรประชาชนให้เขา … เขาจะได้เป็นคนไทยครบถ้วนบริบูรณ์ จะได้ถือบัตรประชาชนคนไทย จะได้มีสิทธิเท่ากับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนไทยก็ตาม ชาวไทยภูเขาก็มีสิทธิเท่ากับนายกรัฐมนตรีคนไทยเท่ากันเลย จะเป็นมหาเศรษฐี คนกรุงเทพ คนไทยภูเขาก็ได้รับสิทธิเท่ากับคนนั้นเลย เข้าใจใช่ไหมครับ?

ไปทำบัตรประชาชนยากมากนะครับ เพราะว่าต้องขึ้นไปสำรวจแต่ละหมู่บ้าน อยู่ในเขาต่างๆ แล้วก็สำรวจๆ แล้วก็ทำบัตรประชาชนให้

การไปทำบัตรประชาชนมันสำคัญมากๆ เพราะว่าบัตรประชาชนเป็นตัวบ่งบอกว่าตัวตนของเราเป็นใคร? เรามีสิทธิอะไรบ้างในนั้น

สมัยก่อนโน่นนะครับ ที่เล่าให้ฟังเมื่อตะกี้นี้  ก็ยังมีชาวไทยภูเขา หรือชนกลุ่มน้อยบางคน ที่ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ยังนึกว่าตัวเองเป็นคนป่าคนเขาอยู่ ทั้งๆ ที่ได้ทำบัตรประชาชนไปแล้ว มีบัตรประชาชนคนไทยไปแล้ว แต่ไม่ชิน ทางการบอกให้ไปรับสิทธิของเรา ในการไปโรงพยาบาล ก็ไม่กล้าไป เพราะไม่มีเงิน ท่านพอเข้าใจไหม? คือไม่กล้าทำอะไร? ทั้งๆ ที่ตัวเองมีสิทธิเท่ากันกับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้นเลย ถูกไหม? แต่เขาไม่รู้เรื่องเลยว่าเขามีสิทธิอะไรบ้าง? ถึงรู้เขาก็ไม่กล้าด้วย มีบัตรประชาชนอยู่ในตัว ก็ไม่กล้ามอง ไม่กล้าดู เพราะว่าเขาไม่ได้ย้ำตัวเองว่าตัวตนเขาเป็นใคร? เป็นคนไทยแล้วจริงๆ นะ จริงๆ นะ ต้องย้ำยืนยันอย่างนี้ มาเป็นเวลาหลายสิบปี ปัจจุบันพ้นหมดแล้ว ลูกหลานชาวไทยภูเขาทุกคน เขารู้ตัวเองดีว่าตัวเองเป็นคนไทยจริงๆ มีบัตรประชาชนอยู่ทะเบียนบ้านเป็นคนไทย มีสิทธิได้เลือกตั้ง ได้ทุกอย่างเหมือนกับคนที่อยู่ในกรุงเทพไม่มีผิดเลย สามารถใช้สิทธิทุกอย่างในประเทศไทยได้เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา โรงพยาบาล การสงเคราะห์ต่างๆ ทุกอย่าง

พูดเรื่องนี้เพื่ออะไร? พระคัมภีร์จึงบอกว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมาก ที่เราจะต้องรับรู้และมั่นใจในตัวของเราเอง ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ คือต้องรู้ตัวว่าในพระคริสต์เราเป็นใคร? ถึงต้องเรียนรู้ตรงนี้มา 12 ตอนแล้ว ต้องเรียนรู้ไปอีก 50-60 ตอนหรือเปล่าไม่รู้? สำคัญมาก เราต้องรู้ว่าเป็นใครในพระคริสต์ Identity in Christ. หรือบัตรประชาชนในพระคริสต์ของเราเป็นใคร? ได้อ่านบ้างไหม? บัตรประชาชนในพระคริสต์ ได้เคยหยิบมาดูบ้างหรือเปล่า? หรือหยิบมาดูเฉพาะวันอาทิตย์ คือมาโบสถ์แล้วก็หยิบดู ไม่เคยหยิบดูเลยว่าบัตรประชาชนท่านเป็นใครในพระคริสต์ นี่คือบัตรประชาชน Identity in Christ. ก็คือบัตรประชาชนของเราในพระคริสต์

พอคร่าวๆ ในบัตรประชาชนของพระคริสต์เขียนว่าเราคือใคร? เอ๊า! ตอบสิ นึกในใจ บัตรประชาชนของท่านในพระคริสต์เขียนว่าอย่างไร? ในพระคริสต์ ท่านคือใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า เราพ้นจากบาปทั้งปวง เราสะอาดบริสุทธิ์ เราพ้นจากบาปทั้งสิ้น ทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เรานั่งอยู่ที่ไหน? เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน บ้านเราอยู่ที่ไหน? บ้านเราอยู่ที่สวรรค์ ถ้าละเอียดขึ้น

“เลขที่ที่เท่าไร?”

“ไม่รู้ แต่รู้ว่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่บ้านไหน? ฉันก็อยู่บ้านนั้นแหละ”

“บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?”

“บ้านนั้น อยู่ข้างขวามือของพระเจ้า”

พูดแบบมนุษย์ เอามาเทียบให้เห็นว่าเรานั่งอยู่กับพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดแล้ว นี่คือบัตรประชาชนทางวิญญาณในพระคริสต์ของเรา Identity in Christ. ของเราเป็นอย่างนี้ และแค่รู้จักตัวตนอย่างเดียวนั้น ยังไม่พอนะครับ ต้องเชื่อมั่นและจดจ่อกับตัวตนของเราด้วยว่าเราเป็นใคร? และเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องทำให้ตัวเราเชื่อ เพราะอะไร?  เพราะถึงแม้เราจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เราไม่เชื่อ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา

เพราะฉะนั้น ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความจริงว่าใช่หรือไม่?  ปัญหามันอยู่ที่คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ? ความจริงมันเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวพระคริสต์ คุณก็รู้ แต่คุณไม่เชื่อ หรือเชื่อนิดเดียว คุณก็ได้ผลไปนิดเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

เช่นเดียวกัน เมื่อเรารู้ตัวตนที่แท้จริงของเราแล้วว่าเราเป็นใคร? เราก็ต้องจดจ่อตัวตนของเราอยู่ที่นั่น เหมือนที่เปาโลบอกให้เราตั้งความคิดของเราไว้ที่เบื้องบน … เบื้องบนก็หมายถึงตรงนี้แหละ ให้เราจับจ้องไปที่เบื้องบน ให้เราจับจ้องสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ตรงนี้แหละ สิ่งที่มองไม่เห็นตรงนั้น คืออะไร? ก็คือบัตรประชาชนของเราในพระคริสต์ มองไม่เห็น ต้องจับจ้อง มองให้เห็นให้ได้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะอะไร? เพราะไม่ฉะนั้น พอเวลาล่วงเลยไป เราก็จะลืมว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว พอเผลอเข้าหน่อย ก็มาคิดว่าเราก็ยังมีบาป ยังไม่หมดเลย มันลืมไง ท่านลองไม่มาโบสถ์สักระยะหนึ่ง ลองทิ้งเรื่องนี้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่อ่านพระคัมภีร์สักระยะหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องโลกวิญญาณนี้ระยะหนึ่ง ไม่สนใจเรื่องพระเยซูคริสต์อีกสักระยะหนึ่ง ไม่รู้กี่ปี  ท่านลองคิดดู ท่านจะลืมหมดแล้วว่าท่านนั่นเป็นใคร? ทั้งๆ ที่ถามว่าเป็นไหม?  เป็นอยู่จริงๆ ถ้าตอนแรกท่านมาเชื่อพระเยซูจริงๆ นะ ท่านบัพติศมาจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์จริงๆ ท่านเปลี่ยน แต่ความเป็นจริงนั้น ไม่ได้ช่วยท่านเลย เพราะว่าท่านลืมไปหมดแล้ว ท่านนึกว่าท่านยังบาปอยู่ ยังต้องใช้หนี้บาปเวรกรรมอยู่ แล้วยังบ่นอยู่ว่าเมื่อไรจะใช้บาป เวรกรรมหมดสักที ทั้งๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างนี้แหละที่เรียกว่าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง คือลืมตัวไปชั่วขณะ หรือเผลอตัวไปว่าเราเป็นใคร?

การรู้จักตัวตนของเราในพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ด้วยความชื่นชมยินดี สงบสุข และหายเหนื่อยและเป็นสุขอย่างที่พระเยซูบอก ถ้าอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข มีความสงบสุข มีสันติสุขอย่างที่พระเยซูบอก ท่านต้องจำให้ได้แม่นเลย หลับตาปุ๊บ เห็นชัดเลยว่าบัตรประชาชนท่านในพระเยซูคริสต์ท่านเป็นใคร? บ้านท่านอยู่ที่ไหน?  ใครถามปุ๊บ บ้านท่านอยู่ที่ไหน? ท่านตอบทันที

“บ้านฉันอยู่ในสวรรค์สถาน อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน อยู่บ้านเดียวกันกับพระคริสต์ อยู่บ้านเดียวกับพระเยซู” เอเมน

เราเรียนรู้กันมาตลอดว่าทันทีที่เราได้มาอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นวิญญาณบาป ได้ถูกตรึงตายไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู และได้กลายสภาพ ได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู เป็นวิญญาณใหม่ ที่สะอาดบริสุทธิ์ บัดนี้ ท่านไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว ต้องย้ำยืนยันอยู่บ่อยๆ นี่คืออะไร? นี่คือตัวตนของท่านในพระคริสต์

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ในพระคริสต์ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ในพระคริสต์ ฉันสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป  นี่คือบัตรประชาชนในพระคริสต์ของฉัน ตัวตนที่แท้จริงของฉัน เอเมน จำได้ไหม? ถามท่านต้องตอบให้ได้เลยว่าในพระคริสต์ ท่านเป็นใคร? อาจจะไม่ได้เรียงแบบตะกี้นี้ แต่ท่านต้องตอบให้ได้ว่า

“ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด พ้นจากบาปทั้งสิ้นแล้ว ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ร่วมกับพระเยซู”

ต้องตอบตรงนี้ได้ เอเมนไหม? วันนี้ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนอีกทีหนึ่งนะ เอามาปัดฝุ่น แล้วก็มาดูใหม่อีกทีหนึ่ง ท่านเชื่อไหมอย่างนี้ ตะกี้นี้พูดบัตรประชาชนท่าน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระเยซู เชื่อใช่ไหม? แต่ปรากฏว่าอยู่มาวันหนึ่ง ท่านเกิดพลาด ทำบาปไป ทำผิด ทำไม่ตรงกับน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมันทำแน่ๆ เป็นคริสเตียนก็ต้องทำแน่ๆ มากหรือน้อยก็ตาม เช่นท่านอาจจะโลภ โกรธ โกหก อะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าบาปทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ตาม ก็เรียกว่าบาปทั้งนั้น ท่านทำไป เผลอทำไป

ถามอีกทีหนึ่งว่าท่านทำไปแล้ว ตัวตนของท่านในพระคริสต์ เปลี่ยนไปไหมครับ? ทันที เปลี่ยนไหมครับ? ไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนเลย  ตัวตนของท่าน ยังคงอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เหมือนเดิมทุกประการ เพียงแต่เป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำบาป ไม่ใช่เป็นคนบาป พอเข้าใจไหมอย่างนี้ เป็นคนชอบธรรมที่เผลอไปทำบาป แต่ไม่ใช่คนบาป ไม่เหมือนกันนะครับกับการเป็นคนบาปกับการเป็นผู้ชอบธรรมที่ทำบาป  มันต่างกันเยอะ การเป็นคนบาป กับการเป็นผู้ชอบธรรมที่ทำบาป มันต่างกันมากมหาศาลนะ ผมเชื่อว่าเราเรียนเรื่องนี้มา 12 ตอนแล้ว ท่านต้องพอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่าระหว่างเนื้อหนังและวิญญาณเป็นอย่างไร? ฉะนั้นท่านคงพอจะเข้าใจในสิ่งที่ตะกี้นี้ผมบรรยายไปว่ามันไม่เหมือนกันอย่างไร? การที่ท่านเคยเป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ การที่ท่านเคยเป็นคนบาปทางวิญญาณนะ ก็ไม่ใช่เพราะท่านเคยทำบาป ถูกหรือไม่ถูก?

เอาอีกทีหนึ่ง การที่ท่านเคยเป็นคนบาป ในวิญญาณของท่าน ก่อนมาเชื่อพระเจ้า ก็ไม่ใช่ เพราะท่านเคยทำบาป แต่เป็นเพราะท่านมีเชื้อบาปที่ติดมาจากบรรพบุรุษของท่าน คืออาดัมและอีฟ ถูกหรือไม่ถูก? ฉันใดก็ฉันนั้น การที่ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม ก็ไม่ใช่เพราะท่านกระทำเอง แต่ท่านชอบธรรมได้โดยการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม ถูกไหม? ถามว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ยังไม่เชื่อในพระเจ้าถูกไหม? ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ถูกไหม?  ท่านว่ามีไหมครับคนเหล่านี้ที่จะทำดี ทำความดี มีไหม? มี .. มีหรือไม่มี? มีแน่นอน มีเยอะเลย  มีเยอะแยะด้วย บริจาคช่วยเหลือคนยากจน ก็มี อุทิศตัวเองเพื่อคนมากมาย อุทิศเพื่อส่วนรวมมาก บางทีมากกว่าคริสเตียนอีกด้วยซ้ำ

ซึ่งสิ่งดีๆ เหล่านี้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำสิ่งดีๆ ต่อกัน สิ่งต่างๆ เหล่านั้น คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ทำกันแบบนี้เยอะแยะมากมาย ที่เราเห็นกันอยู่ เราในอดีตก็แบบนี้เหมือนกัน แล้วถามว่าแล้วสิ่งดีๆ ทั้งหลาย ที่เราในอดีต และผู้คนเหล่านี้ทำ ถามว่าจะช่วยให้วิญญาณของเราได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม คือหมดบาปได้หรือไม่? ไม่ได้

พระคัมภีร์ไบเบิลพูดไว้อย่างนี้ชัดเจนเลย บันทึกว่าความชอบธรรมในวิญญาณไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ จากการกระทำของคนใดคนหนึ่ง พระคัมภีร์พูดไว้ทั้งเล่มเลย ความชอบธรรม คือในวิญญาณนะ วิญญาณเป็นผู้ชอบธรรม หมดบาปได้ ไม่ได้มาจากการกระทำ ไม่สามารถชำระวิญญาณได้ โดยการกระทำจากภายนอกเข้าไปล้างข้างใน เป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เมื่อพลาดไปทำบาปเข้า ก็ไม่ได้ทำให้วิญญาณของเขา กลับมาเป็นวิญญาณบาปได้อีกครั้ง เช่นเดียวกัน ถูกไหม?

ด้วยเหตุนี้แหละ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราตั้งมั่น และจดจ่ออยู่ที่ตัวตนแท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ ในวิญญาณของเราในพระคริสต์นั้น เพื่ออะไร? 2 สิ่ง  เพื่อว่าเมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ พอเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ มันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม?  พอเราจำบัตรประชาชนเราแม่นเลย ไปที่ไหน ควักบัตรประชาชนออกมาตลอดเวลาเลย บัตรประชาชนทางวิญญาณนะ ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าในพระคริสต์ 2 สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ก็คือ.-

  1. เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้รับรู้ถึงพระคุณความเมตตาของพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? รักเรามากขนาดไหน?  ถูกไหม?  เบอร์หนึ่งเลย พอหยิบบัตรออกมา สิ่งที่ท่านคิดได้ มันใช่สิทธิอย่างเดียว ดึงออกมาปุ๊บ ท่านคิดเลยว่า.-

“ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ฉันได้มีโอกาส ได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ได้เข้ามาเป็นประชากรของพระเจ้า ในแผ่นดินพระเจ้า”

เหมือนกับชาวเขา ไทยภูเขา ที่ทุกบ้านจะมีรูปพระฉายาลักษณะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงทำให้เขาทั้งหลายเป็นคนไทย มีสิทธิเท่ากับคนไทย ลูกหลานเรียน จนจบด็อกเตอร์ทุกวันนี้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ? เป็นลักษณะเดียวกัน

ดังนั้น ถ้าเรารู้ว่าเราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามีบัตรประชาชนของเรา ในฝ่ายวิญญาณ เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราจะระลึกถึงพระองค์เสมอว่าพระคุณของพระองค์ล้นเหลือเกินในชีวิตของเรา … เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการ … ไม่ใช่เพื่อเป็นการทำให้เราชอบธรรมขึ้น ไม่ใช่ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระเจ้า เรารักพระองค์ … พระองค์รักเรามาก เราไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้แล้ว เราเสียใจ เพราะเรารักพระองค์ ไม่ใช่ เราทำ เพื่อให้เรามีความชอบธรรมมากขึ้น ไม่ใช่

สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถ้าเราจดจ่ออยู่ที่บัตรประชาชนของเราในพระคริสต์ว่าเราเป็นใคร?

  1. อันที่สอง ที่จะเกิดขึ้น คือแม้เราจะตั้งใจ ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า ต้องการที่จะ … เขาเรียกว่าทำให้พระเจ้าดีใจ คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือไม่ทำบาป ให้เป็นที่พอพระทัย ให้เป็นที่ถวายเกียรติในชีวิต แต่อย่างที่ผมบอกอยู่เรื่อยๆ เสมอๆ ว่าร่างกายของเรา ที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่วิญญาณเรายังอาศัยร่างนี้อยู่ ร่างนี้มันมีเชื้อบาปอยู่ เราก็อาจจะเผลอ พลาดไปทำผิดบาปได้บ้าง แต่เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่วิตกกังวล เพราะว่าเรามีบัตรประชาชนของเราอยู่ ที่ตะกี้นี้เราเรียนมาทั้งหมดแล้ว เรายังมั่นใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรานั้น อยู่ในพระคริสต์ ยังคงทำไม? เหมือนเดิมทุกประการ ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และเรามีตัวตน มีบัตรประชาชนของพระคริสต์นี้ เช่นนี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตอนที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้น แต่ถือบัตรนี้ทำไม? ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์ วันหนึ่งเราก็ใช้บัตรนี้ ออกจากร่างนี้ ก็ใช้บัตรนี้ ใช้สิทธิของเราในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้ารอเราอยู่

มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา        ถ้าเราเชื่อ จึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา         และเดี๋ยวนี้ยังเตรียมที่ไว้คอยท่า

เราจะถือบัตรประชาชนนี้ ไม่ใช่ถือตอนที่เราจะจากโลกนี้ไป ไม่ใช่นะครับ ถือตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย เห็นบัตรประชาชนเราตลอดเวลา ทุกวันนี้หายใจเข้าออก เรามีบัตรประชาชนนี้ออก เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เรามีสิทธิอะไรในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ที่ไหนในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์สถานร่วมกับพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระองค์ เราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งโสโครกสกปรกทุกอย่างในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะไปสวรรค์ พร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์ ซึ่งเป็นอาณาจักรของเราที่แท้จริง เป็นบ้านของเราจริงๆ ที่อยู่บนนั้น โลกนี้ไม่ใช่บ้านของเรา  เพราะฉะนั้นถือบัตรประชาชน นี่คือความหวังใจของเราทุกคนในพระคริสต์ เราคือใครในพระคริสต์ ความหวังใจเราอยู่ที่นั่น คือในพระคริสต์นั่นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 11 “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 11 “ความคิดของพระเจ้า ไม่เหมือนความคิดของเรา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราเป็นใครในพระคริสต์ สัปดาห์นี้ ก็เป็นตอนที่ 11 แล้วนะครับ

เหมือนเดิม เรามาทบทวนประเด็นที่ได้ บรรยายกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อน ซึ่งจะได้สรุปชื่อเรื่องด้วยว่าสัปดาห์ที่แล้ว ใช้ชื่อเรื่องอะไร? ครั้งที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูและอาดัม … อาดัมและอีฟ ก็คือบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เปรียบเทียบให้เห็นว่าก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้านั่น ก่อนที่เราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามีธรรมชาติลักษณะ เรียกว่านิสัย ธาตุแท้ในตัวจริงของเรา ในวิญญาณของเรา เหมือนใคร? เหมือนอาดัม แต่หลังจากที่ได้มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูแล้ว ธรรมชาติลักษณะของเรา ก็เปลี่ยนไป คือเปลี่ยนมาเหมือนพระเยซู

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เหมือนพระเยซู”

คือก่อนที่เราจะมาอยู่ในพระคริสต์นั้น  สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะนิสัยของอาดัม สิ่งนั้นก็เป็นจริง สำหรับเราและมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย นี่คือกฎระเบียบ นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ พระคัมภีร์เป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เช่น อาดัมกบฏ … กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราก็มีลักษณะนิสัยเหมือนกัน คือกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อาดัมไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ไม่เชื่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เป็นคนบาป นี่พระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างนั้น

แต่หลังจากที่เรามาเชื่อพระเจ้า มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พอเชื่อพระเจ้า ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ การอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือมาเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มารับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงไถ่เรา  ให้พ้นจากความบาป เวรกรรมทั้งปวง

พอมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ข้อความเมื่อตะกี้นี้ ก็จะถูกเปลี่ยนไป เป็นสิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ผมไม่ได้พูดของผมเอง พระคัมภีร์ทั้งเล่มพูดอย่างนี้ สิ่งที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซู หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษ อยากให้พวกเราได้คุ้นหูไว้ ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Divine Nature”

พูดตามสิ “Divine Nature”

ให้มันเข้ากับยุค AEC เรากำลังเข้าอยู่ในยุค AEC

ตกลงธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า เรียกว่า “Divine Nature”

“Divine Nature” ก็คือธรรมชาติของพระเจ้า เราได้เข้าไปมี่ส่วนร่วมในธรรมชาติของพระเจ้า พูดง่ายๆ อย่างนี้ แปลตรงๆ ตามภาษาชาวบ้าน

สิ่งที่เป็นจริง ก็คือพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า นี่คือ Divine Nature ของพระเยซู เราบอกเราเหมือนพระเยซู ดูสิว่าธรรมชาติของพระเยซูเป็นอย่างไร?

ธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซู ก็คือยกตัวอย่างเช่นพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราก็ได้รับสิทธิ เป็นลูกของพระเจ้าด้วย เห็นไหม? เพราะเราเข้าไปมีส่วนร่วม พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น

พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น เราเชื่ออย่างนั้นไหม? ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น นั่นเป็นจริง เราก็ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาปด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน ถ้าเราเชื่ออย่างนั้น เราก็ต้องเชื่ออย่างนี้ เพราะว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าเราเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เราได้เข้าไปเป็นหนึ่ง ได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature เข้าไปมีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์

นี่คือเนื้อหา ประเด็นหลักที่เราคุยกันไปครั้งที่แล้ว เพราะฉะนั้น เรามาตั้งชื่อกัน ควรจะใช้ชื่ออะไร? เราตั้งชื่อนี้ก็แล้ว “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” ดีไหม? จำง่ายดี

สรุป “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 10 ชื่อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น ในพระคริสต์”

นี่ตอน 10 นะครับ ครั้งที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ที่ข้อพระคัมภีร์ที่ย้ำยืนยันกับเรา ในเรื่องนี้นะครับ เรามาอ่านทบทวนสักนิดหนึ่ง 2 เปโตร 1:3-4 เราต้องยืนหยัดอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์เท่านั้น 2 เปโตร 1:3-4 เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว

 

ประทานพันธสัญญาเหล่านี้คือใครรู้ไหม? พระเยซู พระเจ้า พระบิดา สัญญาว่าจะประทานพระเยซูมา ประทานมาให้แล้ว เกิดอะไรขึ้น … เกิดอย่างนี้ขึ้น พูดตามผมนะครับ

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

อีกครั้งหนึ่ง พูดชื่อตัวเองดังๆ เลย “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า”

ผ่านทางพระเยซู เราได้รับตรงนี้  พวกท่านจะได้มีส่วนในธรรมชาติ ลักษณะของพระเจ้า ก็คือทั้งหมดที่พูดไปเมื่อตะกี้นี้ ที่ยกตัวอย่างว่าลักษณะของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? เราเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป สะอาดบริสุทธิ์ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เราไม่ได้คู่ควรกับสิ่งเหล่านี้เลย เราเป็นคนบาป แต่เราได้รับสิ่งเหล่านี้  โดยพระคุณ เรียกว่าฟรีๆ ฟรีเลยนะครับ เราเรียกว่าพระคุณ เราเรียกว่า Amazing Grace … Grace ก็คือพระคุณ … พระคุณ คืออะไรก็ตามที่เราได้มาฟรีๆ โดยที่ไม่สมควรจะได้รับ เขาเรียกว่าพระคุณ

เพราะฉะนั้น  มนุษย์ทุกคน ก็จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางตอนนี้ ก็คืออะไร?

  1. รับพระคุณพระเจ้าตรงนี้ ที่ทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซู แล้วก็ได้รับธรรมชาติลักษณะ ที่เหมือนพระเจ้าเข้าไปอยู่ในตัว หรือถ้าไม่อย่างนั้น
  2. คือพยายามทำด้วยตัวเองต่อไป สั่งสมความดีไปเรื่อยๆ ที่ตัวเองคิดเองว่ามันดี และจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป

ใครที่จะเลือกทางที่ 2 นี้ ผมก็จะอยากบอกว่าก็เอาที่สบายใจแล้วกัน ต้องบอก ขออวยพรให้โชคดีจริงๆ เลย  ผมเองก็เคยเดิน เราในที่นี่ทั้งหมด ก็เคยเดินทางที่สองมาแล้ว มันเป็นอย่างไร ก็อยากจะอวยพร อธิษฐานให้ท่านที่เลือกทางที่สองอยู่ ก็บอกว่าก็ขอพระเจ้าอวยพรก็แล้วกัน ถูกไหม? พอดีตอนนี้เขากำลังฮิตนะ อะไรสติ๊กเกอร์ที่บอกว่า “เอาที่ตามใจแล้วกัน” “เอาที่สบายใจก็แล้วกัน” “ไม่รู้สินะ” อันนี้ก็อีกอันหนึ่ง

เดี๋ยวนี้มีอะไรแปลกๆ สติ๊กเกอร์ วันทั้งวันไม่ได้ทำอะไร? บางคนนั่ง ก้มจอ ดูจอเล็กๆ สี่เหลี่ยม บางคนก็จอเล็ก บางคนก็จอใหญ่ บางคนอายุ 70, 80 ก็มีจอเหมือนกัน แต่จอเบ้อเริ่มเทิ่มเลย วันนั้นเห็นอาม่าคนหนึ่ง เอาไอแพทขึ้นมาโทรศัพท์ มันโทรศัพท์ได้ด้วยนะ แต่มันต้องโทรผ่านทาง Face time กับทางไลน์ใช่ไหม? ไม่ได้ยิน พอพูดใกล้ๆ แต่พออยากดูหน้า ก็เอาไปไกล แล้วพูดดังๆ ท่านลองคิดสภาพดู สมัยนี้ ในยุคปัจจุบัน เราไม่นึกว่าเกิดมา จะได้เห็น ยุคปัจจุบัน มันเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้  พอไปกินอาหาร ไม่มีใครพูดกับใครเลย ทุกคนก้มหน้าหมด ก่อนหน้านี้ ก่อนอาหาร ต้องอธิษฐาน แต่เดี๋ยวนี้ ก็ต้องเคารพ … เคารพอะไร? ไอโฟน ไอแพท ไออะไรต่างๆ ทุกคนเคารพหมด สมัยก่อนต้องเรียกนะ  ร่วมใจกันอธิษฐาน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดเลยนะ รู้กันเลย ร่วมใจกัน ก้มศีรษะลง คำนับ 3 ที คำนับไอแพท คำนับไอโฟน ฯลฯ

มีสองทางให้เลือก สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ทางหนึ่ง ก็คือรับพระคุณจากพระเจ้า แล้วก็มามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า  สะอาด  บริสุทธิ์ โดยรับเอาฟรีๆ เลย

หรือทางที่สอง คือทำด้วยตัวเอง สั่งสมด้วยตัวเองต่อไป ที่ตัวเองคิดว่ามันจะช่วยได้

เพราะว่าโดยกำลังของมนุษย์ทุกคน ความสามารถของมนุษย์ เราหรือมนุษย์ทุกคน ไม่สามารถเป็นผู้สร้าง ไม่สามารถเป็นผู้ก่อให้เกิดความชอบธรรมให้กับตัวเองได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมยินดี สันติสุข ความสงบสุข หรือแม้กระทั่งความพอเพียง ก็ตาม ที่มนุษย์ทุกคนอยากได้  อยากจะหลุดพ้นจากบาป มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถกระทำได้ด้วยตัวเองจริงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับท่าน เคยได้ยินใช่ไหม? พระเยซูเป็นทุกสิ่ง สำหรับเรา สำหรับท่าน … ท่านในที่นี่ หมายถึงใครครับ  หมายถึงผู้ที่เชื่อในพระเยซูใช่หรือไม่ใช่? ใช่ไหม? ไม่ใช่แค่นั้น แต่ท่านในที่นี่ คือมนุษย์ทุกคน จะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นทุกสิ่ง สำหรับท่าน พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม ทรงเป็นความชื่นชมยินดี เป็นสันติสุข เป็นความพอเพียง ให้กับมนุษย์ทุกคน ให้กับท่าน มนุษย์เพียงแต่ให้พระองค์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเขา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว มาอยู่ในใจของเขา เข้ามาในวิญญาณของเขา มนุษย์ก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เข้ามาธรรมชาติเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย

พระเยซูจึงบอกว่าให้เราทั้งหลาย ผู้เป็นมนุษย์ เป็นผู้รับเฉยๆ ไม่ต้องกระทำ เป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่ต้องกระทำ ซึ่งมนุษย์ทำใจอยาก เพราะมนุษย์อยากจะทำด้วยตัวเอง นี่ปัญหามันอยู่แค่นี้ แต่พระเยซูบอกได้ฟรีๆ เราบอก มันจะเป็นไปได้อย่างไร?  อะไรมันได้มาฟรีๆ อย่างนี้เหรอ? แล้วของดีมากมายขนาดนี้ ขนาดได้เป็นลูกพระเจ้า รับฟรีๆ เหรอ มนุษย์ทำใจไม่ได้ พระองค์บอกว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำให้เอง  เรารับอย่างเดียว ในพระคัมภีร์บันทึกตรงนี้เยอะแยะ ซึ่งเป็นข้อความที่มันง่าย แต่มันเชื่อยากจริงๆ เอเฟซัส 2:8-10 บันทึกตรงนี้ ให้เราเห็นชัดเจนขนาดไหน?

เอเฟซัส 2:8-10 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ   ความรอดนี้ ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ให้เราทำ”

 

ความรอดนี้ รอดจากอะไร? รอดจากความไม่ชอบธรรม เห็นไหม? ความไม่ชอบธรรม นี่คือนักโทษ ยังติดอยู่ในภาระ ยังเป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ ยังเป็นหนี้บาปเวรกรรม

รอดจากอะไร? รอดจากความบาป  รอดจากความไม่บริสุทธิ์ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เห็นหรือเปล่า? รอดจากการไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่ลูกพระเจ้า กลายมาเป็นลูกพระเจ้า นี่ตรงนี้ รอดมันมีแค่นี้เองแหละ โดยพระคุณ ด้วยความเชื่อในพระเยซู ในข่าวดีของพระเยซู ได้ทำให้เราได้เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็น … ที่เราเรียนกันไป ได้มาอยู่ในพระคริสต์ เป็นอะไร? เป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับพระเยซูและสามพระภาค พระเจ้า พระวิญญาณ, พระเจ้า พระบุตร พระเยซู, พระเจ้า พระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่า Divine Nature เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแค่นี้เอง ชีวิตจึงเต็มไปด้วยอะไร? ความครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิต เหมือนพระเยซูได้ตรัสเสมอ และก็ได้บอกเราทั้งหลายว่าพระองค์ได้มา เพื่อให้เราทั้งหลายได้รับชีวิต และมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความพอเพียงทุกอย่าง การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวัง และเต็มไปด้วยพลังเปี่ยมล้น นี่พระเยซูบอก พระองค์มา เพื่อให้เราได้รับชีวิต อิสระ Free indeed ยอห์น 10:10 ใช่ไหม? บันทึกไว้อย่างนี้ ใช่ไหม? ผมอ่านให้ฟังนะ พระเยซูตรัสนะครับ

ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้น มาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มา เพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์”

 

คำว่า “ครบบริบูรณ์” ไม่ใช่มีร่างกาย 32 อย่าง ไม่ใช่ คำว่า “ครบบริบูรณ์” หมายถึงโลกวิญญาณ ครบถ้วนในวิญญาณที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการอยากจะเป็น เพราะว่าวิญญาณมาจากพระเจ้า แต่มันถูกทำให้บาปและหลุดออกจากพระเจ้าไป ไปเป็นทาสของมาร มันไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันเป็นง่อยอยู่ เขาเรียกว่าพิการอยู่ แต่พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ  มารักษาความง่อยในวิญญาณให้หาย กลับมาเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ เหมือนเดิม มาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม เรียกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ใช้สิทธิของเรา ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เชื่อไปแล้ว จริงหรือไม่จริง? จริง พอเจอพระเยซู เราก็หยุดทุกอย่าง เราพอเพียงแล้ว เรารู้สึกว่าเราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว

คราวนี้ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คืออะไรรู้ไหมครับ? คืออยากได้ความชื่นชมยินดี อย่างที่พระเยซูบอก อยากมีสันติสุข อยากมีความพอเพียง อย่างที่พระคัมภีร์บอก จากพระเยซูคริสต์อย่างนี้เหมือนกัน อยากได้ตามวิถี หรือวิธีการ หรือความคิดของตัวเอง นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ และเราจะมาบรรยายกัน มาคุยกันเรื่องนี้แหละ เรื่องเกี่ยวกับความคิดของเรา เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราคิดอย่างนี้ เราอยากได้สันติสุข อยากให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ ที่ตะกี้พระเยซูคริสต์บอกว่ามาให้เรามีชีวิตอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์  แต่เราคิดว่าชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น เราควรจะเป็นอย่างนี้  วิธีการเราก็จะทำอย่างนี้ เพื่อจะให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเรามาบรรยายกันวันนี้ มาคุยกันในวันนี้ว่าพระเจ้าคิดอย่างนั้น เหมือนกับเราหรือเปล่า?

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าความคิดของเรา ไม่มีทางที่จะเหมือนกับความคิดของพระเจ้าได้เลย วันนี้ เราจะมาดูด้วยความคิดของพระเจ้าอย่างไง? แล้วความคิดของเราเป็นอย่างไร?  ต่างกันอย่างไร? แม้ว่าขณะนี้ เราจะเข้ามาเชื่อในพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วก็ตาม ความคิดเก่าๆ ของเรา มันตรงกับพระเจ้าไหม?

อิสยาห์ 55:8-9 “8เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศดังนั้น 9 “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้า ฉันนั้น

 

พูดตามผม “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของพระเจ้า ก็สูงกว่าทางของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  และความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ฉันนั้น”

คืออย่างนี้ คือเมื่อเราเข้ามาอยู่ในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์แล้ว เรายังอยากได้สันติสุข อยากได้ความพอเพียง  อยากได้ความชื่นชมยินดี ตามความคิดของเราเอง ตามวิถีทางของเราเอง ที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น เช่น …

พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราคิดอย่างนี้ไหม? เช่น เราขับรถอยู่บนถนน รถติดอยู่ เราก็คิดว่า.-

“ถ้าฉันเชื่อพระเยซู  พระองค์ก็น่าจะทำให้ถนนมันโล่ง รถไม่ติดเลย”

ใช่หรือไม่ใช่? ไม่ใช่ แล้วทำไมอธิษฐานหายครั้งว่า.-

“พระเจ้าของเมตตา เปิดประตูให้รถมันว่าง”

สั่งการ “รถจงขยายออกไป จงไม่ติด” อะไรอย่างนี้

ทำไมสั่งล่ะ เพราะอยากได้ใช่ไหม? เห็นไหม?  หรือ …

“ถ้าฉันเชื่อพระเยซู ฉันไม่น่าจะป่วยเลย”

โอโห้! นี่โดนใจ “ฉันไม่น่าจะป่วยเลย”

เราคิดเองว่า “เชื่อพระเยซู ฉันไม่ควรป่วยแล้ว ฉันเป็นลูกพระเจ้าจะป่วยได้อย่างไร?”

ถูกหรือไม่ถูก

“ถ้าฉันเชื่อพระเยซูแล้ว หนี้สินฉันควรจะหมดไป”

ผมจะบอกอะไรให้กับท่านนะครับ คนป่วยจำนวนมากมายที่ผมไปเยี่ยมมา ตลอด 20 กว่าปีนี้ ทั้งโรคมะเร็ง  โรคหัวใจ  โรคไต และอีกหลายโรค ก็เป็นผู้ที่เชื่อพระเยซูมาหลายปี บางคนเป็นสิบปีก็มี ทุกวันนี้บางคนก็ยังป่วยอยู่ก็มี และไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้นะ แต่เพราะพระองค์ทรงมีแผนการที่ดีกว่า ที่จะให้เขาป่วยมากกว่าที่เขาหายโรค หลายคนเปลี่ยนความคิด

พูดง่ายๆ ก็คือเขาอาจจะมีคุณค่าต่อพระองค์ ในขณะที่ป่วยอยู่ มากกว่าในขณะที่หายโรค ก็ได้ ไม่มีใครเอเมนเลย เงียบสนิท เครียด แต่วันนี้เป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงความคิด ให้เหมือนพระเจ้า  เพราะเราทั้งหลายที่เชื่อ พระเยซู เรารู้ใช่ไหม? ตลอดเวลาว่าพระคัมภีร์บอกเราว่าให้เราอยู่บนโลกนี้ แบบโลกนี้ เป็นที่อาศัย เพียงชั่วคราว ไม่ใช่บ้านของเรา  และที่สำคัญระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ต้องการให้เรา มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ติดสนิทกับใคร? กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ให้ติดสนิทจริงๆ คิดเหมือนพระองค์

เหมือนที่เปาโลได้บอกว่าพระเจ้าได้ให้เปาโล ทุกข์ทรมานจากหนามในเนื้อ และอธิษฐานวิงวอนพระเจ้า ให้เอาหนามนี้ออกมาจากตัวของเขา  เขาอธิษฐานมาตลอด  สู้ เหมือนเราทั้งหลายในที่นี่ ไม่ไหว ก็เนื้อหนัง มันอยากจะสบาย นี่คือตัวอย่าง

แล้วพระเจ้าตอบเปาโลว่าอย่างไร?  เราลองมาติดตามเรื่องนี้ดูนะครับ ใน 2 โครินธ์ 12:7-10 จะได้รู้เส้นทางว่าเราควรเดินอย่างไร ให้เหมือนพระเจ้า … พระเจ้าคิดอย่างไรน๊า ต้องไปหาในพระคัมภีร์ว่าเป็นอย่างไร?  2 โครินธ์ 12:7-10 นี่คือประสบการณ์และชีวิตของเปาโล เราจะได้เห็นชัดเจนขึ้น

2 โครินธ์ 12:7-10 “7 เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าผยอง เนื่องด้วยการทรงสำแดงอันยิ่งใหญ่เลิศล้ำเหล่านี้   จึงทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า เป็นทูตของซาตาน คอยทรมานข้าพเจ้า 8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า พระคุณของเรา เพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ ในความอ่อนแอ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใด ที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

 

พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเปาโล แต่ไม่ใช่ด้วยวิถี หรือวิธีการที่เปาโลอยากได้ เปาโลอยากได้ ให้เอาหนามในเนื้อออกไป เอาความทุกข์ยากออกไป เอาความลำบากออกไป แต่คำตอบของพระเจ้า คืออะไร?

“พระคุณของเรา เพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มในความอ่อนแอ (ของเจ้า)”

ลองนึกถึงชีวิตเรา ลองใส่ชื่อเราลองดูสิ

“พระคุณของพระเจ้า เพียงพอสำหรับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มในความอ่อนแอของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

หลับตาแป๊บหนึ่ง นึกถึงที่ตะกี้เราพูดไป  ให้มันเข้าไปลึกๆ ในชีวิตของเราสิว่าเราทำได้ไหมอย่างนี้  พระเจ้ากำลังตอบเราอย่างนี้ เรากำลังอธิษฐานขออะไรตั้งเยอะ เหมือนกับเปาโลที่ขอ พระเจ้ากำลังตอบเราอย่างนี้ว่าพระคุณของพระองค์พอเพียง สำหรับเราแล้ว ชีวิตคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าในพระคริสต์ ก็ควรจะเป็นแบบที่เปาโลกำลังอธิษฐาน เมื่อตะกี้นี้  เราไม่ได้วิงวอนขอพระเจ้าช่วยทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากความทุกข์ยากลำบาก แต่เราวิงวอน ทูลขอพระเจ้าช่วยทำให้เรา เข้มแข็งขึ้น ถูกไหม? แล้วนำพาเราก้าวผ่านความทุกข์ลำบาก และท่ามกลางทุกสถานการณ์ นี่คือที่เรียกว่าความอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน

ที่เปาโลมีหนามในเนื้อ ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ว่าเพราะเปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ตอนเป็นๆ นะครับ จะด้วยวิญญาณหรือด้วยอะไรก็มิทราบ พระคัมภีร์ไม่ได้บอก … บอกแต่ว่าเปาโลได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้เห็นอะไรบางอย่างในสวรรค์ ซึ่งก็เลยมีคนเขาวิเคราะห์กันว่าพระเจ้าเกรงว่าหลังจากที่กลับมาบนโลกนี้แล้ว เปาโลเอาจจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง จากการได้รู้จักพระเจ้า ได้เห็นการสำแดงมากมายกว่าคนอื่นเขา สนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวมากมาย เดี๋ยวกลัวจะเหลิง จะเย่อหยิ่ง พระเจ้าเลยทำให้เปาโลมีหนามในเนื้อ ซึ่งหมายถึงมีความเจ็บป่วยหรือทรมาน จากอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้ระบุอะไรชัดเจน  เพื่อให้เปาโลมีความถ่อมใจตลอดเวลา ซึ่งการถ่อมใจ เป็นหัวใจในการสนิทกับพระเจ้า การทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องถ่อมใจ … ถ่อมใจ คือเชื่อลูกเดียว ไม่ได้คิดเอง

เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คนที่ก่อนจะมารู้จักพระเจ้า  ก็เคยมีชีวิตที่สำเร็จครบถ้วนตามแบบมนุษย์ เจริญรุ่งเรือง มีชีวิตที่สุขสบาย พร้อมทุกอย่าง แล้วก็เลยทะนงตน เย่อหยิ่ง คิดว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องมีพระเยซูก็ได้ ใครมาประกาศข่าวดีให้ผม เรื่องพระเยซูสมัยนั้น ผมไม่เห็นจะสนใจ เพราะผมคิดว่าผมพอแล้ว ผมช่วยเหลือตัวเองได้ ขนาดนั้น โอเค ดีแล้ว เห็นไหม? ผมเย่อหยิ่งไหม? ผมไม่ฟังเขาเลย จนกระทั่ง มาเจอกับปัญหาที่มันรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว สุดท้าย ถึงมาหาพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พระเจ้าอาจจะใช้ ในการนำพามนุษย์ ซึ่งตกอยู่ในความบาป  ความมืดนั้น ให้มารับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นั่งที่นี่ เกือบ 100% ถ้าให้ขึ้นมาเป็นพยานตอนนี้ เล่ากันไปถึงสิ้นปี ไม่หมดเลยนะ ทุกคนขึ้นมา จะบอกว่า.-

“แต่ก่อนนี้ ผมเย่อหยิ่งมากเลยครับ ผมคิดว่าผมไปรอดแล้ว ตอนก่อนมาเชื่อพระเจ้า ผมตกระกำลำบาก ปัญหามันเยอะมากเลย”

“อะไรบ้าง?”

แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ ไม่มีใครมาเชื่อพระเจ้า เพราะมีความสุขมากเลย ดีใจมาก แต่ละอย่างดียอดเยี่ยมหมดเลย มาเจอพระเจ้า รับเชื่อเลยทันที มีไหม? ขอยกมือขึ้น มีสักคนไหม?  ไม่มี น้อยมาก นอกจากว่ามาจากครอบครัวที่มาจากคริสเตียน แล้วค่อยๆ กลืนเข้าไปในความรู้จักพระเจ้า

หรือแม้กระทั่ง หลังจากที่รู้จักพระเจ้าแล้ว มาเชื่อแล้ว ซึ่งแม้ว่าวิญญาณของเราจะได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่อย่างที่บอกว่าเนื้อหนังร่างกาย ก็ยังมีสัญชาตญาณบาปอยู่ ซึ่งมาจากอาดัมที่เราเรียกว่าเชื้อบาปมันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้วก็จริง  คือยังมีอุปนิสัย ธาตุแท้เดิมอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ ที่จะไปทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าบาป หรือไม่ก็อาจจะเพลิดเพลินไปกับพระพรทางโลกมากมายที่พระเจ้าอวยพรให้ แล้วก็เริ่มต้นหยิ่งอีกแล้ว เอาอีกแล้ว เย่อหยิ่ง อวดดีอีกแล้ว มันเป็นธรรมชาติ เป็นทาสแท้ของมนุษย์ทุกคน มันเป็นอย่างนี้

อ้าว! บอกพร้อมกันเลย “มนุษย์ทุกคน ไม่เว้นฉัน”

มันเป็นอย่างนี้จริงๆ นี่พระคัมภีร์สอนเรา เพื่อให้เราได้เรียนรู้ว่าศัตรูเราคือใคร? ศัตรูเราก็คือตัวฉกาจ ที่สำคัญที่สุด ก็คือตัวเราเอง  ไม่ต้องไปมองที่ไหน?  หันหน้าเข้าหากระจกเลย พระเจ้าก็จะมีวิธีที่จะคอยดึงเรา ช่วยเรา พระเจ้าจะมีวิธีของพระองค์ โดยให้เรามีหนามในเนื้อ แบบเดียวกันเปาโลเหมือนกัน ให้เรามีสิ่งที่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า เราจะได้ไม่หนีไปไหน? ไม่อย่างนั้น ให้เราสำเร็จๆ ดีๆ ไปหมด เดี๋ยวเราก็จะเตลิดไปตามทางของธาตุแท้ของอาดัม ที่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่

เหมือนชาวนา ที่เลี่ยงอะไรไว้ไถ่นา เลี้ยงควาย ก่อนจะใช้งานได้ ต้องทำการ เขาเรียกว่าสนตะพาย ต้องสนตะพายก่อน  วิธีการสนตะพายเขาทำอย่างไรรู้ไหมครับ? เขาใช้ไม้แหลมๆ เจาะที่ผนังรูจมูกของควายให้ทะลุ  แล้วก็ร้อยเชือกคล้องมาด้านหลัง ทำไมต้องสนตะพายท่านทราบไหมครับ? ท่านเห็นเชือกไหม? เชือกนั้นมันถูกสนตะพาย คือร้อยเข้าไปในจมูกของควาย ทำไม? ก็เพราะว่าควายเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่และมีแรงมาก ถ้าเราไม่สามารถควบคุมมันได้ เราก็ใช้งานมันไม่ได้ การสนตะพาย ก็เพื่อที่จะควบคุม คือถ้าหากมันดื้อ ไม่ทำตามคำสั่ง เขาก็จะดึงเชือกที่สนตะพายไว้ พอดึงปุ๊บ เมื่อดึงแรงๆ มันจะทำให้เชือกไปสีกับเนื้อโพรงจมูก ซึ่งเป็นเนื้ออ่อนข้างในของจมูกควาย พูดง่ายๆ คือทำให้มันเจ็บนั้นเอง เพื่อจะได้ยอมทำตามคำสั่ง

มนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ผมไม่ได้หมายความเช่นเดียวกับควายนะ อย่าเข้าใจผิด ผมหมายถึงว่าหลายครั้ง มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละ หลายครั้งที่เราหลงทำ หรือหลงไปทำ หรือทำโดยไม่หลง แต่ทำบ่อยๆ คือสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า สิ่งที่ไม่เป็นน้ำพระทัย เราไปทำ เพราะว่าเราทำบาปนั้น หรือดื้อกับพระเจ้า บาป คือการไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเรียกว่าดื้อกับพระเจ้า ด้วยเหตุมาจากอะไร? มาจากความเย่อหยิ่งในชีวิตของเรา เย่อหยิ่งในเนื้อหนังนั้น เรายอมมันไง เราหลงไปกับมัน นั่นคือสัญชาตญาณบาปที่อยู่ในร่างกายของเรา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม

เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเจ็บปวด เพื่อให้พระเจ้าสามารถควบคุมชีวิตเราได้ ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ประสบการณ์ของเปาโล เพราะพระเจ้าต้องการนำเราไปในทิศทางที่ดี และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ซึ่งดีกว่าที่เราจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเองอย่างมากมาย เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าพระเจ้าต้องการอย่างนี้มากกว่า เราคิดของเราอย่างนี้ว่า.-

“เจ็บป่วยมันไม่ดี เจ็บ มันไม่ดี มีปัญหา มันไม่ดี”

แต่พระเจ้าบอกว่า “ดีกว่าตั้งเยอะเลย ดีกว่าเธอไปลงเหว”

พอเข้าใจไหม? พระเจ้ามองอีกอย่างหนึ่ง เรามองอีกอย่างหนึ่ง นี่คือตัวอย่าง ความคิดของเรากับความคิดของพระเจ้า วิธีการของเรากับวิธีการของพระเจ้า มันคนละเรื่องกันเลย  พระเจ้าจะช่วยเรา แต่เราบอกพระเจ้าไม่เมตตาเรา เลยทำให้เราเจ็บปวด

ในคืนวันพฤหัสฯ ก่อนพระเยซูจะถูกทหารอายัดไปตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ใช่ไหมครับ? พระองค์อยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ก็ต้องกลัว กลัวเจ็บปวด  เพราะรู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บปวดมาก พระองค์ก็กลัว เหมือนมนุษย์ทุกคนแหละที่กลัว เพราะพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ พระเยซูจึงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า.-

“ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนไปให้พ้น (ถ้านะ) ถ้าเป็นไปได้ พระเจ้าไม่ให้เขาเอาไปตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม?”

ถ้วยนี้ ก็คือความทุกข์ทรมาน ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าว่าจะต้องเผชิญ พระเยซูอธิษฐานให้ถ้วยนี้เลื่อนไปก็จริงๆ ไม่อยากจะเข้าไปก็จริง แต่พระเยซูจบคำอธิษฐานว่าอย่างไรครับ?

จบว่า “แต่ทั้งนี้ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

เพราะพระเยซูทราบดีว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า ทางของพระเจ้า ความคิดของพระเจ้านั้น ดีกว่าของพระองค์อย่างแน่นอน เอเมน นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เราได้เห็น

พระเจ้าจึงบอกว่า “พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”

พระเจ้าจึงพูดคำนี้ เป็นตัวอย่างให้กับเปาโลและพวกเราทั้งหลาย

พระเจ้าตอบเราว่า “พระคุณของเรา ก็เพียงพอ สำหรับเจ้า”

พระคุณของพระเจ้าคืออะไร? ก็คือพระองค์ทรงไถ่บาปเราแล้ว รักเรามาก สำแดงความรักของพระองค์ด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราแล้ว ยอมทุกอย่างแล้ว … แล้วนึกเหรอว่าพระองค์จะปล่อยให้เราเจ็บปวดอย่างนี้ต่อไป โดยไม่แย่แส มันต้องมีอะไรดีกว่านั้นแน่นอน พระองค์จึงบอกว่า.-

“พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า” เอเมน

ให้เราพูดพร้อมกัน “พระคุณของพระเจ้า เพียงพอสำหรับฉัน เอเมน จำไว้”

พูดให้ใครฟัง? ตัวเอง ตอนนี้มันจำได้  แต่ตอนที่อื้อหือ …. นะ แล้วแต่อื้อหือตรงนั้น คืออะไร ต่างคนต่างใส่เข้าไปเอง ก็แล้วกันเนอะ

การกระทำที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของเรา อย่างที่เคยพูดว่าแบบไหนใหญ่กว่ากัน ระหว่างพระเจ้าทำให้พายุสงบ เพื่อให้เราผ่านไปได้ง่ายๆ หรือพระเจ้าให้เราสงบ แล้วนำพาเราผ่านทางพายุโหมกระหน่ำอย่างหนัก แบบไหนอัศจรรย์กว่า แบบที่สองอัศจรรย์กว่า

เปาโล ผู้ซึ่งบอกเรา และแนะนำเคล็ดลับให้กับเรา ในการที่จะจดจ่ออยู่กับสวรรค์ใช่ไหม? Set your mind ตั้งโปรแกรมไว้ที่สวรรค์ อยู่กับตำแหน่งของเราในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง เต็มไปด้วยชัยชนะ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์อย่างดีในเรื่องนี้ เพราะชีวิตเปาโลผ่านมาแล้ว เปาโลจึงสอนเราในเคล็ดลับตรงนี้ ให้เราตั้งจดจ่อไว้ที่สวรรค์ Set your mind above where Christ is. ก็คือตั้งโปรแกรมความคิดของเราไว้ที่สวรรค์ ตรงที่พระเยซูสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และวิญญาณของเราก็นั่งอยู่ที่นั้นด้วย  นี่เปาโลสอนเราเคล็ดลับ นี่เพราะเปาโลผ่านมา เปาโลรู้ว่านี่คือหัวใจสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้อย่างมีชัยชนะ

อย่างตอนที่เปาโลมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เปาโลได้พบพระเยซูในระหว่างการเดินทางไปดามัสกัส ไปจับคริสเตียนมาทรมาน ตอนนั้นยังไม่ได้เชื่อ ในขณะระหว่างทางเจอพระเยซู เสร็จแล้วก็ตาบอด พอตาบอด แล้วอย่างไร?  พระเจ้าก็รักษาเปาโลให้หายจากตาบอด แบบอัศจรรย์มากเลย  มากๆ เลย ไม่ต้องเล่ารายละเอียดนะครับ เปาโลก็ดีใจมากเลย รับเชื่อพระเยซูเลย ดีใจได้รับการอัศจรรย์ใหญ่เลย ต่อมา ก็เริ่มประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่ง เปาโลถูกฝูงชนทำร้าย ข่มเหง เนื่องจากไปประกาศข่าวประเสริฐ เอาหินขว้างจนตาย  แล้วเอาศพไปโยนทิ้งนอกเมือง แล้วก็มีพวกคริสเตียนคนอื่นๆ เข้ามาอธิษฐานให้ ปรากฏว่าพระเจ้าชุบเปาโลให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ เป็นขึ้นจากตายเลยนะ เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่อีกแล้ว ฟื้นจากความตายเลย ขอบคุณพระเจ้ากันใหญ่

นี่ประสบการณ์ของเปาโล เอามาเล่าให้ฟังนิดเดียว แต่จริงๆ มีเยอะ ยังไม่จบแค่นั้น ยังมีเหตุการณ์อีกเยอะแยะมากมาย ที่เปาโลต้องเผชิญ หลังจากที่ได้พบพระเยซูแล้ว เชื่อในพระเยซูแล้ว อย่างเช่น เรือแตก  อดอาหาร  ติดคุก  ถูกเฆี่ยน  ทุกครั้งเปาโลก็รอดชีวิตมาได้ แบบที่เรียกว่าอัศจรรย์ทั้งนั้นเลย  สุดท้าย พระเจ้าก็บอกให้เปาโล เดินทางไปกรุงโรม ไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วเปาโลก็รู้ว่าเดินทางไปครั้งนี้  พระเจ้าบอกแล้วว่าไปเที่ยวนี้ จะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการถูกตัดคอ ถูกประหารชีวิต เปาโลก็เดินทางไป และก็ได้ประกาศที่นั่นจริงๆ และก็ได้เป็นไปตามนั้นจริงๆ ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยการให้เขาจับไปตัดคอ ประหารชีวิต ด้วยสันติสุขในพระเจ้า ด้วยความยินดี

นี่เปาโลคนเดียวกันนี้ ตายจริงๆ แล้วคราวนี้ ไม่ฟื้นอีกแล้ว ตายจริงๆ เลย ถามว่าตอนถูกตัดคอ พวกคริสเตียนที่รู้จักเปาโล รวมทั้งเปาโลอธิษฐานไหม? อธิษฐาน เหมือนเดิมไหม? เหมือนเดิม พระเจ้าทำอัศจรรย์กับเปาโล สมมติว่า 50 ครั้งแล้ว แน่นอน หลุดอีกแน่นอน 100% ง่ายกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ จักรพรรดิโรมไม่สามารถทำอะไรเปาโลได้เลย  อธิษฐานๆ ในที่สุด ทำไม ในที่สุด เสร็จด้วยกัน ถูกตัดคอ แล้วคริสเตียนเหล่านั้น คิดเอาเองนะ คริสเตียนเหล่านั้น ก็คงไม่รู้จะพูดอะไรกัน ทำไมมันเป็นอย่างนี้แหละ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่คือทางของพระเจ้า ซึ่งเปาโลเอง ก็พร้อมที่จะตาย เพราะเขาพูดอย่างนั้นแล้ว เขาพร้อมที่จะตาย เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะเขารู้วิธีการที่จะขอบคุณพระเจ้า  เขารู้วิธีการที่จะตั้งความคิดไปไว้ที่โลกฝ่ายวิญญาณ … โลกฝ่ายวิญญาณคือที่ไหน?  ที่สวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และเขาอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เขามอบให้พระองค์ทุกอย่าง เอเมน

นี่แหละ คำพยานอันยิ่งใหญ่ของเปาโล ไม่ใช่คำพยาน คือฆ่าก็ไม่ตาย ไม่ใช่ สุดท้ายทำไม? ไม่ต้องจับ เดินไปให้เขาจับเลย ให้เขาฆ่าให้ตาย ก็เหมือนพระเยซู คล้ายๆ กัน เพราะว่าเขารู้แล้วว่าคืออะไร? หลุดไปแล้ว ไม่กลัวเลย

เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดแบบมนุษย์ มองด้วยสายตาแบบมนุษย์ เราอาจบอกว่าไม่เห็นอัศจรรย์ตรงไหนเลย การที่เปาโลตาย  ไม่เห็นอัศจรรย์เลย  ไม่เห็นถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย ถวายเกียรติแด่พระเจ้าต้องเหมือนเดิมสิ พอถูกฟัน คอกระเด็นไป คอกระเด็นกลับเข้ามาใหม่ เดินออกมา อย่างนี้สิ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อ้าว! ตอนถูกหินขว้างยังเป็นขึ้นมาใหม่ได้ แล้วทำไมตอนนี้ถูกตัดคอไป ใครเอาคอมาต่อให้หน่อย คงถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่านี้อีกเยอะ แล้วคิดอย่างนั้นในสายตาแบบมนุษย์ นี่คือวิธีการแบบมนุษย์ คิดแบบมนุษย์ ที่ตะกี้เราพูดกันว่า.-

“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด ความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเรา มนุษย์ฉันนั้น”

ตะกี้เราหัวเราะ จริงๆ เราคิดแบบนั้นบ่อยๆ หัวเราะตัวเอง บอกว่าหัวกระเด็นไป เอาหัวกระเด็นกลับมา หัวเราะคริๆ แล้วบางทีท่านทั้งหลาย บางครั้ง ทุกวันนี้อธิษฐานอะไรบางอย่าง จะให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ยากกว่านี้อีกเยอะนะ ท่านก็ยังอธิษฐานอยู่เลย

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน? มุมแบบมนุษย์ คือมองด้วยตาทางฝ่ายเนื้อหนัง มองทางฝ่ายวัตถุ มองตามระบบของโลกนี้ หรือมองตามตาฝ่ายวิญญาณที่เปิดออก ตั้งความคิด จดจ่อ จับจ้อง Set mind ไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และวิญญาณของเรา ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองตรงตำแหน่งไหน? เราอยู่เวทีไหน?  เวทีบนโลกนี้  หรือเวทีในสวรรค์ เวทีบนโลกวัตถุนี้ หรือเวทีบนโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ตรงไหน? เราชกกับมาร ชกกับความบาป  อยู่ตรงไหน? อยู่เวทีไหน?

นี่คือสิ่งที่เปาโลได้ตั้งความคิดของเขา ก็คือ Set mind ของเขาไว้ที่นั้น คือที่โลกฝ่ายวิญญาณ เขาจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ในทุกสถานการณ์ และมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดี มีความสงบสุข มีความพอเพียงได้ในทุกสถานการณ์ เพราะว่าเขาตั้งความคิดของเขาไว้ จดจ่อของเขาไว้ ชีวิตของเขาไว้ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หรือเรา หรือเปาโล หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่กับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู

“แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ”

แค่หลับตา เราก็ไปอยู่บนนั้นแล้ว เอเมน เพราะฉะนั้น มีอะไรเกิดมาตอนนี้ ทำอะไร? หลับตา แค่หลับตา แล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ตั้งความคิดเราไปที่สวรรค์สถาน  ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะเราอยู่ที่นั้น ที่นั่นเราชนะ 100% ถ้าเราไม่ตั้งที่นั้น เราตั้งบนโลกนี้ เรา … ภาษาจีน เขาเรียกว่าซี้แหงแก๋ … ชีช้ำ … ชีช้ำ แปลว่าอะไร? น่าสงสาร

เพราะฉะนั้น อย่าเลย เราอุตส่าห์มาเชื่อพระเยซูแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตั้งตรงนั้น ตรงนั้นเราชนะตลอด 1 เธสะโลนิกา 5:18 เปาโลจึงเขียนคำนี้ บอกเรามาตลอด ให้ Set mind หรือตั้งโปรแกรม จดจ่อไว้ที่สวรรค์แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างนี้ คือ 1 เธสะโลนิกา 5:18 บันทึกอย่างนี้ คือ.-

1 เธสะโลนิกา 5:18 “จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์”

 

เอเมน … เปาโลผ่านมาเยอะ เปาโลรู้ว่าถ้าเราตั้งความคิดของเราไว้ที่พระเยซูคริสต์ ตั้งความคิด จดจ่อไว้ในเบื้องบน ในสวรรค์ ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวา แล้วเราอยู่ที่นั้นด้วย ตั้งความคิดของเราจดจ่อไว้ที่โลกวิญญาณ เราจะสามารถพูดออกจากปากของเรา ในทุกสถานการณ์ว่าขอบคุณพระเจ้า มิฉะนั้นเราขอบคุณไม่ออกหรอก ถ้าเราจะมองอยู่แค่บนโลกนี้ เราช็อคอยู่บนโลกนี้ เราโดนมันซัด โดนมันฮุกซ้าย ฮุกขวา ฮุกหน้า ฮุกหลัง จนเราบอกว่า.-

“พระเจ้าช่วยด้วย”

แทนที่เราจะบอกว่า “ขอบคุณพระเจ้า”

เราก็จะบอกว่า “ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น อย่างนี้ ทำไมแย่จริงๆ เลย ชีวิตเราลำบากลำบนจังเลย”

อะไรถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากกว่า มันก็ไม่มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าเรารู้เคล็ดลับว่าเราควรจะสู้ที่ไหน? เวทีเราอยู่ที่ไหน? เวทีเราอยู่ที่โลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคริสเตียนอยู่บนโลกใบนี้ เราแพ้หลุดลุย แพ้แบบไม่ได้ถวายเกียรติต่อพระเจ้าด้วย แล้วทุกข์ทรมานด้วย แน่นอน เราอาจจะได้รับความรอด ไปสวรรค์จริง แต่ชีวิตบนโลกนี้ มันทุกข์ทรมาน แล้วมันไม่ได้เป็นพยานให้กับใครเลย  คนที่เป็นคริสเตียนหลายคน หลายคนในอดีตมา จนถึงทุกวันนี้  เราจึงเห็นอัศจรรย์ในชีวิต แต่ทำไมเขาทำได้ ขนาดคนจับเขาไปตรึงกางเขน จับเขาไปเผาไฟ เขาเฉยๆ เลย  แสดงว่าเขาฝึก พระเจ้าให้เขาฝึก เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในอนาคตอันใหญ่นี้ พระเจ้าฝึกเขาจนกระทั่งเขาพุ่งไปที่โลกวิญญาณได้อย่างชัดเจนแจ่มใส ให้ทำอะไรบนโลกใบนี้ เชิญทำไปเลย เขาชนะไปแล้ว เพราะเขาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาขอบคุณพระเจ้าได้ในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น เราทำได้เหมือนกับเขาเหมือนกัน เพราะพระเจ้าจะเสริมกำลังให้กับเรา ตามหน้าที่ของเรา ที่จะทรงใช้เราในอนาคต ตามที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:8-9 ที่บอกว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้พระคุณความรอด เพื่อเราจะได้กระทำดีตามน้ำพระทัยของพระองค์ … พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่รู้ ทำอะไรไม่รู้ แต่พระองค์จะให้กำลังกับเราสามารถทำให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เอเมน

เพราะฉะนั้น เหมือนเพลงขอบพระคุณ ที่เราร้องกันบ่อยๆ ว่าให้เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ทุกสถานการณ์ เราขอบคุณพระเจ้า ในยามที่เรามีความสุขก็ได้ หรือในยามที่เรามีทุกข์ ก็ยิ่งดี ไม่ใช่ทุกข์ดีนะ หมายความว่ามันหมายถึงเรามีความทุกข์ แล้วพึ่งพระเจ้าได้ดี ไม่ใช่เราเป็นพวกซาดิสต์อยากจะมีความทุกข์ ไม่ใช่ หมายถึงว่าถ้าจำเป็นต้องมีความทุกข์ เรายังขอบคุณพระเจ้าได้ นี่ดี … ดีกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว เราควรขอบคุณพระเจ้าในยามที่เรามีความทุกข์มากกว่าตอนมีสุขด้วยซ้ำ เพราะตอนมีสุข ให้ขอบคุณพระเจ้านั้น ใครๆ ก็ทำได้ ไม่รู้ว่าคนนี้เชื่อพระเจ้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่สามารถพิสูจน์ว่าคนนี้เชื่อพระเจ้าได้หรือไม่ เพราะใครๆ ก็สามารถทำได้อย่างนี้ ได้ดีมา ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ตอนที่ไม่ดี ในสายตามนุษย์ไม่ดี ตามสถานการณ์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ ตามวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ เขาเรียกว่าไม่ดี แต่คนนั้นยังสามารถ ขอบคุณพระเจ้าได้ อันนี้เยี่ยมมากเลย ถูกไหม?

ในตอนที่เราต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบาก แล้วพระเจ้านำพาเรา ให้เรามีกำลัง มีความสงบ สันติสุข ที่จะเดินผ่านความทุกข์นั่นไปได้  ตรงนี้แหละเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่เราสมควรต้องเรียกว่าขอบพระคุณเป็นอย่างมากกว่า ยิ่งกว่า ยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? ทั้งหมดนี้ เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? ที่เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ในทุกสถานการณ์ ทุกพื้นที่ชีวิต เคล็ดลับอยู่ที่ตั้งความคิดของเราไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นใครในพระคริสต์

ให้พูดพร้อมกันว่า “ฉันเป็นใครในพระคริสต์ ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

ท่านลองพูดแบบเย่อหยิ่งมากๆ สิ เย่อหยิ่งในวิญญาณนะ ไม่ใช่ทางวัตถุ ท่านลองพูดแบบเย่อหยิ่ง

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ รู้ไหม? ความทุกข์จะมาทำอะไรฉันได้”

เข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ ฉันเป็นใคร? แล้วก็เบ่ง อันนั้น มันทางโลกวัตถุ ตายแน่เหมือนกันซี้แหแก๋ นี่หมายถึงทางโลกวิญญาณ ให้พูดด้วยความเย่อหยิ่งในวิญญาณที่ถูกต้อง

“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มาเลยปัญหา ถ้าพระเจ้าให้เกิดปัญหาขึ้น ฉันสามารถฟันฝ่าไปได้ เอเมน ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในวิญญาณของฉัน รวมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

นี่คือเคล็ดลับ นี่แหละคือเคล็ดลับ ในการที่จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และผ่านทุกสถานการณ์ในชีวิต ที่พระเจ้าจะนำพาเราผ่าน เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ โดยจากข้างในวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเรา และทรงนำวิญญาณของเรา ที่เราจะสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ ตามน้ำพระทัยพระองค์ ที่พระองค์จะทรงใช้เรา กระทำสิ่งดี ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา ล่วงหน้าไปแล้ว ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ และเมื่อนั้น เราก็จะสามารถร้อง เหมือนที่เปาโลบอก ในขณะที่ทุกข์ยากได้ว่า.-

“โปรดให้ลูกขอบพระคุณ  ไม่ว่าลูกจะเจออะไร”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 10 “พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นในพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ ก็เป็นตอนที่ 10 แล้วนะ ก่อนเข้าเรื่องตอนที่ 10 เราต้องมาทบทวน และทำหน้าที่ตั้งชื่อตอนที่ 9 ก่อน เพราะว่ายังไม่มีชื่อตอนเลย ฟังกันไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาทบทวนนิดหนึ่ง แล้วก็มาช่วยกันตั้งชื่อกัน ซึ่งจริงๆ ผมตั้งไว้แล้วล่ะ เคยได้ยินไหมครับ อยากตั้งอะไร เชิญเลยนะครับ แต่ผมจะตั้งอย่างนี้ คือตั้งในใจไปแล้ว แต่อาจจะตั้งใหม่ก็ได้นะ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเน้นกันไปแล้ว มัทธิว 5:17-18 ที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์มาเพื่อทำให้บทบัญญัติสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ มัทธิว 5:17-18 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า.-

มัทธิว 5:17-19 “17 อย่าคิดว่าเรามา เพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน”

 

บทบัญญัติเดิมที่พระเยซูได้ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส กำหนดไว้ว่ามนุษย์ทุกคน ต้องรักษาตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป นี่คือรวมแล้ว คือกฎของโมเสสที่พระเจ้าวางไว้ คืออย่างนี้  เพราะอะไร? เพราะว่าพระเจ้าทราบว่าทำอย่างนี้ จึงจะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ สามารถเข้าไปหาพระเจ้าได้ สามารถได้พร สิ่งที่ดีๆ จากพระเจ้า เพราะเข้าไปหาพระเจ้า ก็ได้พรไง นึกออกใช่ไหม? นี่คือกำหนดไว้อย่างนี้  แต่ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ปราศจากบาป ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดและบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้อย่างสนิทชิดเชื้อ เป็นหนึ่งเดียวกัน ได้พรเต็มที่ ตามที่พระองค์ต้องการให้เขาได้รับ ไม่มีเลย  ได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เศษเสี้ยวเท่านั้นเอง เท่าที่คนนั้นพอจะทำได้ ตามบัญญัติที่บอกไว้

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าคน และเยอะแยะอีกมากมาย อีกหลายกฎ นี่เห็นไหม? นี่คือบทบัญญัติ ที่พระเยซูบอก พระองค์ไม่ได้มาทำให้บทบัญญัตินี้เสียไป ยังคงเหมือนเดิม เหมือนอย่างไร เดี๋ยวฟังต่อไป และไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สะอาดบริสุทธิ์ และปราศจากบาปใช่ไหม?  ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่สามารถเข้าหาพระเจ้า หรือติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยลักษณะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย  สนิทชิดเชื้อกับพระองค์อย่างนั้น ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติจึงไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเจ้าต้องการได้ ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าวางกฎไว้อย่างนี้ แต่มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านั้น จึงไม่สามารถทำให้มนุษย์ได้ครบถ้วนบริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าต้องการ

นี่คือความหมายที่พระเยซูบอกเมื่อตะกี้นี้ ในพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ พระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างบทบัญญัติเหล่านั้น เพราะบทบัญญัติเหล่านั้นยังคงอยู่ และทุกสิ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น คือบทบัญญัติที่บอกว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์เท่านั้น ถึงจะหาพระเจ้าได้ บทบัญญัตินั้นยังคงอยู่หรือไม่อยู่? อยู่ ไม่ได้มาลบล้างนะ พวกเธอต้องบริสุทธิ์ ก็ต้องบริสุทธิ์อยู่นั่นแหละ ฟังให้ดีๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงไม่ได้ตามนั้น มันไม่มีทางสำเร็จได้ตามนั้น พระองค์จึงจำเป็นต้องเข้ามา เพื่อช่วยให้บทบัญญัตินั้น สำเร็จตามที่พระเจ้าต้องการ และเกิดผลได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือพระเยซูทรงเข้ามา เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ปราศจากบาป  ผ่านทางการเสียสละ ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์นั่นเอง และผลก็คือมนุษย์ เมื่อได้รับการชำระ ได้รับการไถ่บาป โดยพระเยซูคริสต์เกิดอะไรขึ้น ผลก็คือมนุษย์บริสุทธิ์ขึ้นมาทันทีเลย สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ตามที่พระเจ้าต้องการ จึงทำให้บทบัญญัติ ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ว่ามนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จ เห็นไหม พระเยซูบอก พระองค์มา ทำให้เขาสำเร็จ มันก็สำเร็จอย่างนี้แหละ มันสำเร็จตามที่พระเจ้าประสงค์ คือมนุษย์บริสุทธิ์ สามารถเข้าหาพระเจ้าได้แล้ว นี่คือความหมายที่พระองค์บอกว่ามา เพื่อทำให้บทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์ เอเมน

บนไม้กางเขน พระองค์จึงบอก “It  is  finished” คือมันเสร็จครบถ้วน บริบูรณ์แล้ว มันสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” นั้น  ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ต้องบริสุทธิ์นั้น มันสำเร็จได้แล้ว คือบริสุทธิ์ มนุษย์บริสุทธิ์ได้  มีโอกาสบริสุทธิ์ได้แล้ว

และที่เราย้ำกันมาตลอดว่าพระเยซูได้ชำระล้างเราให้บริสุทธิ์แล้ว มันก็คือบริสุทธิ์จากที่ไหน? ข้างในวิญญาณของเรา เราจึงพูดกันเสมอว่าคริสเตียนต้องบริสุทธิ์จากข้างใน คริสเตียนไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากข้างนอก ไม่สามารถเป็นคริสเตียนได้จากพ่อแม่ ไม่สามารถเป็นคริสเตียนจากการเรียน และพยายามที่จะสอบให้ได้ปริญญาตรีทางศาสนาศาสตร์คริสเตียน ไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องมาจากข้างใน โดยความเชื่อเท่านั้น และก็มีผลออกมาที่ข้างนอก ข้างในต้องสะอาดก่อน แล้วจึงออกมาข้างนอก วิญญาณภายใน เป็นวิญญาณที่ต้องดีเสียก่อน แล้วจึงสะท้อนออกมาเป็นการกระทำความดีข้างนอกต่อมา ไม่ใช่พยายามทำความข้างนอก เพื่อไปล้างข้างใน สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อธิบายตรงนี้ไปนิดหนึ่ง

ถ้าเริ่มจากข้างนอก ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? ถ้าเริ่มจากข้างนอก ทำดีขนาดไหน? เท่าไร? ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปชำระล้างวิญญาณข้างในได้ และการที่จะทำให้วิญญาณข้างในบริสุทธิ์ มนุษย์ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว มนุษย์จึงต้องทำไม? พึ่งพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ไบเบิลจึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ว่าพระเยซูเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู การเสียสละพระชนม์ของพระองค์ มีเพียงพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น ที่บันทึกไว้อย่างนี้ว่ามีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะบริสุทธิ์ได้ คือทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำ นี่เราหลายคนก็รู้ดี ได้ยินอยู่บ่อยๆ

นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้กันไป สัปดาห์ที่แล้ว ตอนที่ 9 ซึ่งเราจะใช้ชื่อตอนว่า “จากข้างใน มาข้างนอก” เห็นไหม ตั้งไปแล้ว ท่านตั้งหรือยัง? ตกลงชื่อตอนครั้งที่แล้ว ชื่ออะไร? “ข้างใน มาข้างนอก”

พูดพร้อมกันสิ ตอนที่แล้วชื่อตอนอะไร? “จากข้างใน มาข้างนอก”

เห็นไหม? ทุกท่านตั้งพร้อมผมเลย ทุกคนบอกตั้งชื่อนี้ดีกว่า คนมาฟังคำเทศนาซีรี่ส์ชุดนี้ คนงง พวกเราเสมือนมีโค๊ดอะไรกันในคริสตจักรนี้  ก่อนหน้านี้มีอะไรนะ ตั้งชื่ออะไรนะ “นั่งเครื่องบิน”  “กระเทียมดอง”  “แค่หลับตา”  “ปลูกแตงโม”  ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แล้วมาคราวนี้ “จากข้างใน มาข้างนอก” ไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างหนึ่ง เราตั้งใจแล้ว รู้แล้วไงว่าที่สอน ที่เทศน์ ที่บรรยายไปทั้งหมดนี้ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจอยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจเลยนะ ให้ฟังไปอย่างนั้นแหละ แต่ให้เชื่อ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวกับวิญญาณที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งนั้น ซึ่งต้องใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ใช้ความเข้าใจ … เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ตั้งชื่ออะไรก็ได้ ตั้งไปเถอะ แต่ตั้งให้มันกลมกลืนนิดหนึ่ง

และวันนี้ เราก็จะมาคุยกันต่อถึงประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน อย่างนี้มันเป็นอย่างไร? อย่างที่เราบอกว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอะไร? เราเป็นใครในพระคริสต์ ตอนที่ 10 ชื่อตอนตั้งไปเลยนะ ฟังแล้วตั้งไปเลยนะ แล้วสัปดาห์หน้า เรามาลงมติอีกทีหนึ่งว่าจะใช้ชื่ออะไร? ซึ่งลงมติที่ไร ก็ตรงกันทุกทีเลยนะ ไม่มีใครแย้งสักคน

เริ่มต้นตอนที่ 10 ยังจำเรื่องเครื่องบินได้ใช่ไหม? ที่เราย้ำกันไปย้ำกันมา จำได้ใช่ไหมเรื่องเครื่องบิน ที่บอกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถบินไปไหนมาไหน? บินไปไกลๆ ไปไหนได้ โดยการนั่งในเครื่องบิน โดยการอาศัยในเครื่องบิน อาศัยเครื่องบินที่ทำการ กิจการในกฎของการยกขึ้น  ซึ่งมันชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบินลอยอยู่ในอากาศได้

นั่งอยู่ในเครื่องบินเฉยๆ นะครับ ไม่ใช่ว่าคอยกางแขน ช่วยกัปตันในการบินไปด้วยกัน มีใครนั่งในเครื่องบิน แล้วช่วยกัปตัน ไม่มี ชีวิตคริสเตียนหลายคนเป็นอย่างนี้จริงๆ คือชอบช่วยกัปตันบินครับ นั่งเครื่องบินเฉยๆ ไม่ได้ ต้องช่วยเขาบินด้วย คือพวกไหน? ทราบไหมครับ? ถ้าพูดอย่างนี้ คิดไม่ออก ช่วยกัปตันบินอย่างไร? กัปตันของเรา คือใคร ถ้าพูดในทางพระเยซูคริสต์ กัปตันของเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ มีใครช่วยพระเยซูบ้าง? ช่วยพระเยซูนำเรา มีไหม? ไม่มีเหรอ เอ๊า! ฟังดูสิ ยกตัวอย่าง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำตัวเองให้ชอบธรรมมากขึ้น”

เคยคิดอย่างนี้ไหม? ไม่เคยจริงๆ เหรอ  แล้วเคยคิดอย่างนี้ไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้น โดยทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันดี”

เคยคิดอย่างนี้ไหม?  เคยน่า หรือเคยคิดไหม?

“ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ฉันต้องออกไปรับใช้เยอะๆ”

หรือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องนำคนมาเชื่อพระเจ้ามากๆ”

โดนไม่โดน? โดนในอดีต ตอนนี้อาจจะหลายคนจะเปลี่ยนไป  หรืออีกอันหนึ่ง

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องดำเนินชีวิตคริสเตียน แบบครบถ้วนบริบูรณ์”

โดนไหม? โดน จะบอกให้นะครับ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ดำเนินชีวิตคริสเตียน ได้แบบครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุดเลย แล้วได้อย่างแท้จริงเลย  และผู้นั้นอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้นั้น คือพระเยซูคริสต์ ที่สามารถดำเนินชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง อย่างนั้นได้

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงได้บอกเคล็ดลับให้กับเรา โดยการให้เราทำอะไร? จดจ่อ ปักใจ ตั้งความคิด Set your mind ก็คือตั้งความคิด ตั้งโปรแกรมไว้ที่ไหน? ตะกี้นี้ ที่บอกมีคนเดียวที่ทำได้ มีผู้เดียวที่ทำได้ ไว้ที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน และเราทั้งหลายนั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น และอยู่ในพระองค์ ให้เราอยู่ตรงนั้นแหละ ให้พระองค์นำเราไปด้วย เหมือนเรานั่งในเครื่องบิน คล้ายๆ อย่างนั้น เอเมน

ให้พระองค์นำพาชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ชีวิต แล้วเราจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราสามารถทำได้ และอยากให้เราเป็นอย่างนั้น เอเมน ให้พระเยซูนำ จำเพลงที่เราร้องกันได้ไหม? จำแม่นหรือเปล่า?

“พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

ไม่มีอำนาจ มืดใดรังครวญ

พระองค์กลับมา เพื่อรับข้าไป

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์

ข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์พระคริสต์”

“ข้าจะยืนหยัด” นี่คืออะไรรู้ไหม? ข้าจะตั้งโปรแกรมของข้าไว้ที่ Power ของพระคริสต์ ความสามารถ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระคริสต์ ข้าจะจดจ่อ ปักใจ ดำเนินชีวิต มันหมายถึงข้าจะยืนหยัดในฤทธิ์ ถามว่ายืนหยัดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ไม่ว่าพระองค์จะกลับมารับข้าไป คือเราตายจากโลกนี้ หรือเรายังไม่ตาย พระองค์กลับมาก่อน ได้ทั้งสองอย่าง ให้พระองค์ทรงนำ เราจะไม่นำตัวเราเอง หรือไม่ช่วยพระองค์บิน เราจะคอยตามพระองค์อย่างเดียว  เอเมน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกไว้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาในความตายของพระองค์แล้ว ในโรมอธิบายตรงนี้ว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว โดยวิญญาณของเรา ก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ร่วมกับพระองค์ อ่านดูในโรม 6:3-6 จะเห็นภาพชัดเจนว่าวิญญาณเราเป็นอย่างไรตอนนี้ อะไรที่มันตายไป? อะไรที่มันบังเกิดใหม่? อะไรที่มันเหมือนพระเยซู? โรม 6:3-6

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เราได้ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ โอโห้! มีส่วนรวมกับพระองค์ ในการตาย และมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย ตรงนี้สำคัญมาก รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แยกกันไม่ออก พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้นด้วย เหมือนตัวอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม?  เหมือนถุงชาใช่ไหม? ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำ เราก็จะได้น้ำชา ถุงชากับน้ำได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกมาทีหลัง เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับชาได้จากกันอีกแล้ว เพราะทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

แล้วก็เหมือนชานะครับ มันมีทั้งเข้มและอ่อน แต่อย่างไงๆ ทั้งอ่อนและเข้ม ก็เป็นชาเหมือนกันทั้งนั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เราอาจจะเป็นคริสเตียน แบบชาอ่อน หรือเป็นคริสเตียนแบบชาแก่ก็ตาม จะเป็นอ่อนหรือแก่ก็ตาม แต่เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณเราไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเป็นคริสเตียนจริงๆ ในวิญญาณของเรา ทันทีที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เราไม่ใช่น้ำหรือใบชาอีกต่อไป แต่เราเป็นน้ำชา หรือที่ผมยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พูดกันจนจำได้แล้ว ก็คือเราเป็นกระเทียมดอง

พูดพร้อมกันจะได้จำแม่นดี “เราเป็นกระเทียมดอง”

“เราเป็นกระเทียมดอง” ก่อนเป็นกระเทียมดอง เราเป็นกระเทียมสด แล้วตอนนี้ เป็นอะไร? กระเทียมดอง แล้วจะกลับเป็นกระเทียมสดได้อีกไหม? ไม่ได้แล้ว ฉันใดฉันนั้น กระเทียมดองที่เราคุยกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าเมื่อกระเทียมสดถูกกลายสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย อันนี้ไม่ต้องถามแม่บ้านเลย ใช่หรือไม่ใช่? ใช่แน่นอน

ฉันใด ก็ฉันนั้น เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว เชื่อในพระเจ้าแล้ว จุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว บัพติศมา คือจุ่มลงไป ท่านก็ไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว จำไว้เลย ท่านไม่ใช่คนเก่าที่ต้องพยายามทำดีด้วยตัวเองอีกต่อไป ท่านได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง เป็นไทจากบาป โดยสมบูรณ์ ครบถ้วนแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เอเมน นี่คือความหมายของมันเมื่อตะกี้นี้ มันเชื่อยาก ต้องพูดให้ตัวเราฟังเยอะๆ พูดบ่อยๆ จดจ่อความคิดเราอยู่ตรงนี้ เรื่อยๆ นี่คือเรื่องจริงของธรรมชาติ ของฝ่ายวิญญาณที่มันบังเกิดขึ้น และพระคัมภีร์สอนเราเรื่องวิญญาณทั้งนั้น 2 โครินธ์ 5:17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่าเมื่อเกิดอย่างนี้ขึ้นแล้ว สภาพทางวิญญาณเราเป็นอย่างไร?

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

 

อ่านตามผมดังๆ “ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

“นี่แน่ะ” ชี้ไปที่ใคร? ชี้ไปลึกๆ เลย ที่ไหน? วิญญาณของเรา เอาใหม่อีกทีหนึ่ง

“ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ในพระคริสต์ นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป หมดเลย นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

กำลังจะบอกว่าวิญญาณใหม่ทั้งนั้น โอเค วิญญาณเดิม แต่มันบังเกิดใหม่ ไม่ใช่วิญญาณใหม่ … แต่ว่าตัวเก่าเปลี่ยนเป็นใหม่ ไม่ใช่ เอาอันใหม่มาใส่ เปลี่ยนใหม่เอี่ยมเลย จากวิญญาณที่ตาย เป็นวิญญาณใหม่ นี่คือข้อความตะกี้นี้ ถ้าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้นั้น ก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว ท่านเป็นวิญญาณที่ทรงสร้างใหม่แล้วในพระคริสต์ ท่านได้กลายสภาพจากคนบาป กลายมาเป็นลูกของพระเจ้าทันที มันจึงเชื่อยากไง

จากคนบาป กลายเป็นบาปเหลือครึ่งหนึ่ง ก็ยังดี นี่จากคนบาป กลายเป็นลูกพระเจ้า มันห่างกันมาก เขาถึงจับพระเยซูไปตรึง แล้วก็จับสาวกของพระเยซู ตั้งแต่เปโตรและอีกหลายคน ที่ประกาศตอนนั้น ไปทรมาน หาว่าไปหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาไม่เข้าใจในตอนนั้น แต่ความจริงได้ถูกประกาศมาถึงทุกวันนี้ ใครๆ ก็เริ่มรู้จักเรื่องนี้เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่พระเจ้านำทางวิญญาณแล้ว  ไม่ยาก แต่อย่างที่บอก ต้องเห็นใจจริงนะ ใหม่ๆ มามันรับยาก ถ้าท่านคนเก่า ซึ่งเป็นคนบาป  ก่อนที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะรับสิทธิ์ของท่านในพระเยซูคริสต์ ท่านยังไม่มาเชื่อ ท่านยังไม่มารับสิทธิ์ของท่าน ตอนนั้นท่านเป็นคนเก่า ตามข้อพระคัมภีร์นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระคริสต์ ก็คือวิญญาณท่าน ตอนที่พระเยซูตาย  เท่ากับท่านได้ตายไปด้วย  พระเยซูเป็นตัวแทนให้ท่าน และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว รวมกับพระคริสต์ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านมีสิทธิ์เป็นตามเหมือนพระองค์ด้วย มันหมายถึงเป็นตัวแทนให้กับเรา มนุษย์ทุกคน ทำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่  ที่มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้าได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาป ซึ่งท่านได้รับมาโดยพระคุณ ไม่ต้องกระทำ ไม่ใช่โดยการกระทำของตัวท่านเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยพระคุณ คือโดยการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวแทนให้กับเรา โดยที่ท่านไม่ต้องตาย พระองค์ทรงตายแทนเรา มันหมายถึงตรงนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้  ถ้าท่านคิดว่านะ ท่านสามารถแสวงหาด้วยตัวเองได้ หรือคิดว่าสามารถพยายามทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งในองค์พระเยซูคริสต์ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้ ท่านไม่ต้องพึ่งพระองค์เลย แต่ถ้าท่านคิดว่าท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ท่านก็จงปล่อยวางและมอบให้พระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงทำให้กับท่านทั้งหมดในชีวิตของท่านเถิด ลองพระองค์เลย ลองในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงทดลองแบบอย่างนั้นนะ หมายถึงว่าในเมื่อเราทำไม่ได้ นี่บอกมีทางออกอยู่ทางหนึ่ง พระเยซูทำให้ได้ … เอ๊า! ดูสิว่ามันเป็นจริงหรือไม่? มันหมายถึงอย่างนี้ พิสูจน์เลย พิสูจน์ดีกว่า พิสูจน์เลยว่าจริงหรือไม่? บางทีเรานั่งอยู่ที่นี่ รู้จักแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ลองดูสิ พิสูจน์ดูสิว่ามันเป็นจริงไหม?  ลองมาศึกษาดู เขาเรียกว่าทดสอบพระเจ้าดู พิสูจน์พระเจ้า พระองค์อยู่ที่นี่แล้ว รอคนมาพิสูจน์เท่านั้น

พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาท่านและมนุษย์ทุกคนพบกับชีวิตใหม่ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกที พระองค์สามารถนำพาท่านมาสู่ชีวิตใหม่ โดยที่ท่านไม่ต้องทำด้วยตัวเองเลย ย้ำอีกทีหนึ่ง ไม่ต้องพยายามทำด้วยตัวเองเลย ซึ่งในอดีต เราพยายามทำด้วยตัวเราเองมาโดยตลอด เพื่อทำให้เราบริสุทธิ์ ทำให้เราครบถ้วน

นี่คือความหมายที่บอกว่าการอยู่ในพระคริสต์ ก็คือการมอบชีวิตไว้กับพระองค์ พึ่งพาพระองค์ ในทุกพื้นที่ชีวิต ในทุกขณะจิตนั่นเอง นี่คือความหมายของคำว่า “อยู่ในพระคริสต์” จดจ่อ มอบชีวิต พึ่งพาพระองค์ทุกอย่างๆ มันหมายถึงอย่างนี้

เชื่อและวางใจให้พระคริสต์นำพาชีวิตของเรา ในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ สถานการณ์ เหมือนกับเวลาที่เรานั่งเครื่องบิน ที่ตะกี้นี้บอก เรานั่งเครื่องบิน เราก็เชื่อวางใจในกัปตันว่าจะนำพาเราไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยได้  โดยที่เราไม่ต้องช่วยบิน ไม่ต้องช่วยลุ้น ไม่ต้องช่วยดูแผนที่ ไม่ต้องทำตัวเองเหมือนกับว่าเรากำลังควบคุมเครื่องบินด้วยตัวเราเองตลอด ขณะที่นักบินเขาก็อยู่ที่ห้องบิน เราผู้โดยสาร นั่งอยู่ข้างหลัง ก็ทำท่าบินกับเขาด้วย ขำเนอะ แต่พอนึกถึงวิญญาณ นึกถึงความเป็นจริงในชีวิตคน หลายครั้งเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอาใหม่ คิดใหม่ เราจะไม่ทำอย่างนั้นนะ  ทางวิญญาณมองมา เราคงเป็นตัวตลกนะ

สมมติเราขึ้นเครื่องบิน ใครคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าบิน เราก็จะบอกว่าคนนี้ เพี้ยนๆ ยังไง ชอบกล

พอเครื่องบินจะออก กัปตันก็จะประกาศว่า.-

“ขณะนี้เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว ขอให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่ สบายๆ จะนอนหลับ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือก็ดูไป เพราะเราเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว”

เมื่อจะถึงที่หมาย กัปตันก็จะประกาศว่า “เราจะบอกท่านอีกครั้งหนึ่ง จะถึงที่หมายภายใน 15 นาทีนี้ ให้เตรียมตัว อาบน้ำ อาบท่า ไปแปรงฟัน ล้างหน้าให้เรียบร้อย เครื่องบินกำลังจะลงแล้ว ถึงที่หมายแล้ว”

แต่ก็ยังมีผู้โดยสารบางคน ที่ตะกี้นี้บอกนั่งโดยสายอยู่ กังวลไปตลอดทาง คอยจับเก้าอี้ไว้แน่นตลอดเวลา สั่นทั้งตัว กลัว เครื่องสั่นที่หนึ่ง ก็ตกใจทีหนึ่ง เครื่องบินตกหลุมอากาศทีหนึ่ง ก็ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมา ท่านลองคิดดู ไม่กล้าทานอาหารที่เขาให้มา ไม่กล้านอน ไม่กล้าทำอะไร คอยกางแผนที่เช็คเส้นทางตลอดว่าไปตรงหรือเปล่า?

ปรากฏว่าพอเครื่องบินถึงที่หมาย ลงจอด ผู้โดยสารคนนี้ถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเครียดจัด ความดันขึ้นสูง กลัวตลอดทาง เหนื่อย ฟังดู มันน่าขำนะ แต่ประสบการณ์ของชีวิตคริสเตียนบางคน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเองก็เคยเป็นอย่างนั้น  ผมถึงรู้ไง มันหมายถึงอะไร? เป็นอย่างนั้นเลย  เปรียบเทียบชัดเลย  ประสบการณ์ชีวิตหลายคนที่เป็นคริสเตียน ก็จะเป็นอย่างนี้ คือมีชีวิตแบบเป็นห่วง เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นกังวลเรื่องบาปเวรกรรมของตัวเอง เมื่อไรจะหมด

พระคัมภีร์ก็ย้ำ … ย้ำจนไม่รู้จะย้ำอย่างไงแล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราควรจะมีความชื่นชมยินดีที่ได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้วนะครับ จำหลายข้อพระคัมภีร์ เต็มไปหมดเลย แต่ในทางปฏิบัติเราก็ยังคงแสวงหา ยังคงพยายาม ที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้มากขึ้นอีก อยากทำ … อยากทำให้มากขึ้นอีก เพราะในใจมันยังไม่ชอบธรรมพอ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้พักสักที เหนื่อย ไม่ได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเลย บางคนบอก

“ไหนมาหาพระเยซูจะหายเหนื่อยเป็นสุข นี่มันหนักกว่าเก่าอีกนะ”

เคยไหม? เคยคิดอย่างนั้นไหม? เคย เพราะเราจดจ่อผิดที เพราะเราไม่เข้าใจไง เพราะเราไปเชื่อผิดที่ เข้าใจใช่ไหม? เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ที่บอกเราว่าเราเป็นอิสระแล้ว เรียบร้อยแล้วจริงๆ Free indeed เป็นอิสรภาพแล้วจริงๆ เรายังไม่เชื่อตรงนั้นพอ

ฟังให้ดีนะครับ ตั้งใจตรงนี้ให้ดี สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงกับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระองค์ โดยทางความเชื่อด้วยเช่นเดียวกัน

พูดพร้อมกันว่า “เอเมน”

ทำไมเขาให้เราพูด “เอเมน” รู้ไหม? เพราะไม่เข้าใจไง  เอเมน แปลว่า “ฉันเชื่อตามนั้น” เอเมนไม่ได้แปลว่าเข้าใจนะ เอเมน แปลว่าฉันเชื่อ เพราะฉะนั้น ผมถามว่าท่านเข้าใจไหม? ท่านตอบว่าเอเมน … เอเมน แปลว่าเชื่อ เอานะ จำไว้นะ

          สิ่งที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ธรรมชาติของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คิดในใจ คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นผู้ชอบธรรมชาติ ทรงสะอาดบริสุทธิ์ ทรงสะอาด ปราศจากบาป  เปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาและการอภัย และเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ที่พูดถึง ที่เขาเรียกว่าธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ ถูกไหม?  ถูกหรือไม่ถูก? ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ดองกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เห็นภาพแล้วนะ ลักษณะธรรมชาติของเรา หรือของคนที่เชื่อ ก็ได้เป็นเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเป็น คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาป เปี่ยมด้วยความรักเมตตา อภัย เหมือนกันไม่มีผิดเลยแม้แต่นิด

 

ไม่เอเมนเหรอ กำลังตกใจเนอะ ได้เยอะไปนะเนี้ย เอ๊า! 1, 2, 3 เอเมน

แต่สิ่งที่เราได้รับมาทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเราทำด้วยตัวเอง ให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ แต่เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน … ท่านจึงเหมือนกับพระองค์ไม่มีผิดเลย นี่พูดถึงทางวิญญาณทั้งนั้นนะ ท่านไม่กล้าพูดใช่ไหม? พระเยซูจึงเป็นพระบุตรพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเลยมีธรรมชาติ เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูชอบธรรม เราก็ชอบธรรม พระเยซูสะอาดบริสุทธิ์ เราสะอาดบริสุทธิ์ พระเยซูเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา เต็มเปี่ยมไปด้วยการให้อภัย เราก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา การให้อภัย

“แล้วเมื่อวานนี้ โมโหเขาล่ะ ยังนินทาเขาอยู่เลย”

นั่นมันเนื้อหนังนะครับ นี่กำลังพูดถึงวิญญาณท่าน เห็นภาพไหม? ชัดไม่ชัด? เข้าใจไหม? เอเมนสิ … เอเมน แปลว่าฉันเชื่อตามนั้น ฉันไม่เข้าใจหรอก

นี่พูดถึงทางวิญญาณเท่านั้นนะ คืออย่างนี้ เมื่อก่อนนี้ คือก่อนที่เราจะได้มาอยู่ในพระคริสต์นะ คือพูดง่ายๆ ก่อนที่เราจะมารับเชื่อ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะจุ่มลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน พูดง่ายๆ ก่อนนั้น ตอนที่เรายังไม่ได้เป็นเหมือนพระเยซู ธรรมชาติ ลักษณะของเราตอนนั้น แทนที่จะเหมือนกับพระเยซู ถามว่าเหมือนใครครับ ตอนนั้น เหมือนคุณนคร ไม่ใช่ ถ้าเหมือนผม ก็ไปตายด้วยกันทั้งคู่ เหมือนใคร? เหมือนแม่ ไม่ใช่ เหมือนใครนะ อันนี้หนักเลย เหมือนมาร  ถูกๆ  ถูกแบบลึกเลยล่ะ นึกในใจว่าเหมือนใคร? เดี๋ยวผมตอบให้ ฟังให้ดีๆ นะ

สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติ ลักษณะของอาดัม Nature ธรรมชาติของอาดัม มนุษย์คนแรก บรรพบุรุษของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าตกไปในความบาป เราเป็นลูกหลานของเขา สิ่งใดที่เป็นจริง ธรรมชาติของอาดัม สิ่งนั้น ก็จะเป็นจริงกับมนุษย์ทุกคนด้วย มีอะไรบ้างที่เป็นธรรมชาติลักษณะของอาดัม

ธรรมชาติลักษณะของอาดัมคืออะไรครับ? ตะกี้นี้ เรารู้แล้วพระลักษณะธรรมชาติของพระเยซู เรารู้แล้ว ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า ตอนนี้ ลักษณะธรรมชาติของอาดัมเป็นอย่างไร? อาดัมกบฏพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า อาดัมเป็นคนบาป เราก็เลยเป็นคนบาปไปด้วย เราก็เลยกบฏกับพระเจ้าไปด้วย เราก็ไม่เชื่อพระเจ้าไปด้วย เราก็เป็นคนที่ไม่มีความรักความเมตตา ไม่มีการให้อภัย เหมือนอาดัมไม่มีผิดเลย เพราะเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เห็นภาพแล้วใช่ไหม?  เพราะว่าเราอยู่ในอาดัมตอนนั้น เรายังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่พูดถึงตอนก่อนที่เราจะมารับเชื่อนะ ก่อนที่เราจะรู้จักพระเยซู มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม? จำตอนก่อนที่ผมพูดได้ไหม? ที่พระเยซูบอกข้างนอกไม่สามารถทำให้ข้างในสกปรกได้  แต่ข้างในมันจะเอาความสกปรกออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา จำได้ใช่ไหม?

มาระโก 7:21-23 นึกออกใช่ไหม? ที่บอกว่าเพราะที่ออกมาจากภายใน (คือภายในวิญญาณ) จากวิญญาณของมนุษย์ … มนุษย์ คืออาดัม นึกออกใช่ไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าเพราะที่ออกมาจากวิญญาณของเรา คือออกมาจากอาดัมนั่นนะ คือความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การล่วงประเวณี ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล การอิจฉาริษยา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา ซึ่งมีอีกมากมายกว่านี้ สิ่งสารพัด ความชั่วเหล่านั้น มาจากภายในวิญญาณ และทำให้อาดัมเป็นมลทิน คืออาดัมเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้ และเราเป็นลูกหลานของอาดัม เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัม เราจึงอยู่ในนี้ ในวิญญาณของเรา ก็เลย  ถ้าเราไม่รู้จักพระเจ้า เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเยซู ไม่รู้ ถ้าตราบใดที่เราไม่เชื่อพระเยซู ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพระคัมภีร์นี้เป็นจริง สิ่งที่ออกจากวิญญาณเรา ตอนก่อนเชื่อพระเยซู คืออะไร?

ยกตัวอย่าง คืออะไร? พระเยซูบอกว่าคืออะไร? ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข็ญฆ่า ความโลภ ความมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา และอื่นๆ อีกมากมายเยอะแยะ สารพัดความชั่วเหล่านี้ ออกมาจากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกหลาน ที่มาจากอาดัม ทำให้เราเป็นมลทิน คือเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  เพราะอย่างนี้ ไม่ใช่ เพราะเราไปทำ แล้วมันเป็นบาป เราไปทำ มันเป็นผลข้างในออกมาแล้ว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเราต้องไปฆ่าคนตาย เราถึงจะเป็นคนบาป  แต่บาปมันอยู่ข้างใน เราไม่ต้องไปทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วจะกลายเป็นคนบาป ทำแค่อันเดียว ก็เป็นคนบาป ไม่ทำเลย ข้างใน เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมาเอง  พอเข้าใจไหม?

 

บางคนบอก “บาปคนนั้นหนักกว่าคนนี้ คนนี้หนักกว่าคนนั้น”

มันไม่มีหนักกว่าหรอก เพราะข้างในมันเป็นบาป  ตัดสินกันอยู่ที่ข้างใน บริสุทธิ์ไหม?  นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  เป็นความบริสุทธิ์แบบมาตรฐานของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์คิด แบบของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่เราจะมารู้จักกับพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? เมื่อเราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ในตระกูลเก่าของเรา บรรพบุรุษเก่าของเรา ก็คืออาดัมและอีฟ เราก็ได้รับธรรมชาติของอาดัมเข้ามาอยู่ในตัวเราเต็มๆ ไม่ว่าเราจะอยากได้หรือไม่อยากได้ ก็อยู่เต็มๆ  เหมือนกับลูกของครอบครัวที่เป็นเอดส์ เขาไม่อยากได้เอสด์หรอก แต่อย่างไง มันก็เข้ามาอยู่ในตัวเขา โดยที่เป็นธรรมชาติ เกิดมาก็เป็นเลย เราเอง ก็เกิดมา ก็เป็นเลย อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

          อาดัมอวดดี ต้องการรู้ดี รู้ชั่วด้วยตัวเอง นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ เราก็รับสภาพ ลักษณะธรรมชาติตรงนั้น เข้ามาในตัวของเรา แล้วก็พยายามที่จะพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง ในการที่จะพยายามทำ สิ่งที่เรียกว่าดี ในสายตาของตัวเอง สะสมความดีในสายตาของตัวเอง พยายามที่จะละเว้นการทำบาป หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยความคิดว่ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น  สามารถแก้ปัญหาได้  นี่เราก็คิดอย่างนั้นแหละ พึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง นี่คือธรรมชาติของบาป ซึ่งอยู่ในอาดัม ซึ่งตกทอดมาถึงเรา แต่ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ แทนที่เราจะรับมรดกธรรมชาติ ลักษณะจากอาดัม เราก็เปลี่ยนมารับจากใคร พระเยซู ที่ตะกี้นี้บอก

 

เห็นไหม พอเราเปลี่ยน ทันทีเลย  เปลี่ยนสายพันธุ์ทันที ปุ๊บ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับพระลักษณะธรรมชาติจากพระเยซูเข้ามาในวิญญาณของเรา ก็กลายเป็นอย่างนั้นเลย  สิ่งใดที่เป็นจริง ที่เป็นธรรมชาติลักษณะของพระเยซู สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับเรา ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระคุณของพระองค์เท่านั้น ฮาเลลูยา เอเมน

พระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ คือตอนที่เรายังมีธรรมชาติลักษณะของอาดัมอยู่ในตัว พระคัมภีร์ใช้คำว่าเรายังอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เราอยู่ในความมืด แต่หลังจากที่เราได้มาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว  คือได้มาเป็นผู้ชอบธรรม หรือเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้รับธรรมชาติลักษณะของพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ในวิญญาณของเรา พระคัมภีร์ใช้ความหมายคำนี้ว่าเราได้รับการย้าย เราได้ถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรหนึ่ง ที่ชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ตลอดเลย มืด แสงสว่าง สวรรค์ ตรงข้ามกับสวรรค์ คือนรก

ยกตัวอย่างเช่น โคโลสี 1:13-14  ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าขณะที่ท่านมาเชื่อพระเยซูคริสต์ เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับตัวฉันไหม?  ขณะที่ฉันรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าอธิบายให้เราฟังในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเป็นอย่างนี้  ซึ่งเราเข้าใจลำบากมาก ไม่เข้าใจเลย แต่เราสามารถที่จะเชื่อได้  เอเมน เราจึงใช้คำว่าเอเมนอยู่เสมอ ไม่บอกเข้าใจแล้ว  เพราะไม่มีทางเข้าใจหรอก

“ย้ายอย่างไง ฉันก็ยังอยู่ที่เดิม ขณะที่ไม่รับเชื่อพระเจ้า ยังไม่รู้จักพระเจ้า ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรี พอรับเชื่อแล้ว ฉันก็อยู่หมู่บ้านเสรีเหมือนเดิม แล้วย้ายที่ไหน”

แต่ในโลกวิญญาณพระคัมภีร์บอกย้ายก็ย้าย เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เอเมนอย่างเดียว อ้าว! อ่านเอง โคโลสี 1:13-14

โคโลสี 1:13-14 “13 พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ทรงย้ายเรา เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนั้น เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

อ่านตามผมนะครับ ตรงนี้ต้องดังๆ “พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และได้ย้ายนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เข้ามาไว้ในอาณาจักรของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”

ที่พูดมาตะกี้นี้ เกิดขึ้นตอนที่เรารับเชื่อ ผมรับเชื่อมาเกือบ 28 ปีแล้ว มันเป็นอย่างนี้มา 28 ปีแล้ว ตอนนั้นยังเหนื่อยอยู่ ตอนนี้เห็นชัดขึ้น  เพราะทุกอย่าง เป็นการกระทำผ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณเราได้รับการกระทำให้บริสุทธิ์ วิญญาณเราได้รับการย้ายที่จากที่หนึ่ง ไปสู่อีกทีหนึ่งใช่ไหม ตามพระคัมภีร์นี้ คือจากอาณาจักร ที่เรียกว่าความมืด ย้ายจากอาณาจักรของความมืด … อาณาจักรความมืด คืออะไร? อาณาจักรแห่งการสาปแช่ง อาณาจักรที่ไม่ใช่อาณาจักรสวรรค์ ก็คือนรก อาณาจักรที่เต็มไปด้วยความบาป  อาณาจักรที่ไม่มีพระพรเลย ถูกย้ายจากอาณาจักรนั้นแหละ เข้ามาสู่ที่ไหน? เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ อาณาจักรที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า ได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถาน และจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ นิรันดร์ นี่คือพระคัมภีร์

เราไม่ได้อยู่ในอาดัม และไม่ได้เป็นเหมือนอาดัมอีกต่อไปแล้ว ใช่ไหม? ก่อนหน้านี้ เราเป็นเหมือนอาดัม แต่ตอนนี้ไม่ใช่นะครับ เราย้ายแล้ว

พูดพร้อมกันว่า “เราย้ายแล้ว เราไปที่เขต และย้ายแล้ว ย้ายเข้าไปสู่ บ้านแห่งสวรรค์ หัวหน้าบ้าน เจ้าบ้าน ชื่อพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ที่นั่น เอเมน”

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้  เมื่อตะกี้ผมบอกว่าให้เราไปเขต จริงๆ เราไปเขตจริงๆ เขตอยู่ที่ไหนรู้ไหม? เขตอยู่ที่เราตั้งใจและอธิษฐาน … อธิษฐาน คืออะไรรู้ไหม? อธิษฐาน คือการใช้สิทธิของเราในวิญญาณว่าเราจะเอาอย่างนี้  คำว่าอธิษฐาน ไม่ใช่การพูดลอยๆ การที่อธิษฐาน คือการตั้งใจว่า.-

“ฉันจะเอาอย่างนี้จริงๆ”

เคาะเลยนะ ที่พระเยซูบอกขอ เคาะ … เคาะไปเรื่อยๆ แล้วจะเปิดให้กับท่าน หาแล้วท่านจะพบ ขอแล้วท่านจะได้ นี่หมายถึงตรงนั้น  เราตั้งใจ เราอธิษฐาน คือวิญญาณเราเอาจริงๆ เราต้องการรู้จักพระเยซู เราก็จะพบพระองค์ มันหมายถึงอย่างนั้น เราไม่ยอมหยุดเลย เรารู้จักพระองค์ให้ได้ เขาพูดอะไร? ได้ยิน ที่เขาคุยกันตอนนี้ เขาคุยอะไรกันอยู่ เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตเราจริงๆ เลย เราไม่อายตัวเอง และไม่อายใครอีกแล้วว่าชีวิตเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเป็นคนบาปจริงๆ เราคิดอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์พูดถูกจริงๆ เลย ถ้าเรากล้าพูดอย่างนั้นนะ มันจะชัดเอง ส่วนใหญ่เราไม่กล้า เพราะเราอาย เพราะเราไม่รับความเป็นจริงไง ถ้าเราเปิดรับความเป็นจริง ยอมเลย

“พระเจ้าพูดในพระคัมภีร์ มันตรงกับฉันหมด ฉันมันเลวจริงๆ ฉันมันชั่วจริงๆ ฉันเป็นคนบาปจริงๆ”

คนนั้นแหละจะได้พบกับแสงสว่างนี้

เราต้องยอมรับว่าเรานั้น ไม่สบาย เราถึงไปหาหมอใช่ไหม?  มีใครไหมบอกว่า.-

“ฉันสบายดี แข็งแรงมากเลย”

แล้วไปโรงพยาบาล ไปทำไม? จะไปหาหมอ แสดงว่าคนนั้น ยอมรับว่าตนเองป่วย และช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าป่วย อยู่บ้าน ยังช่วยตัวเองได้ เขาก็ไม่ไปหา

พระเยซูเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ผู้เดียวเท่านั้นที่รักษาเราให้หายจากบาปได้ ถ้าเราคิดว่า.-

“ฉันเป็นบาปอยู่ (ป่วยทางวิญญาณ)”

แต่บางคนอาจจะบอกว่า “ฉันเป็นบาปอยู่ แต่ฉันรักษาตัวเองได้”

ก็หมายความว่าไม่มาหาหมอ เขาก็ไม่มาหาพระเยซู นึกออกใช่ไหม?

อันดับหนึ่ง คือคนนั้นต้องอธิษฐาน ต้องรู้ข้างในวิญญาณว่า.-

“ฉันเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว เป็นคนเลว”

อย่างนั้นจริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก มนุษย์เราเป็นคนบาป ต้องใช้เวรกรรมจริงๆ อันนี้ผ่านข้อหนึ่งแล้ว แต่ข้อหนึ่ง อย่างเดียวไม่ได้ เขาไม่ไปหาพระเยซูหรอก ถ้าเขาบอกว่า.-

“แต่ฉันยังสามารถทำอันโน่น ทำอันนี้ ช่วยตัวเองได้ ให้มันบาปน้อยลงอะไรต่างๆ ฉันรู้สึกสบายใจแล้ว มันดีขึ้นนิดหนึ่ง กินยาแก้ปวด ก็พออยู่ได้ ไม่ไปหาหมอ”

ก็ไม่หาย แต่ว่าอาการมันก็ทรงๆ ถูกหรือเปล่า? มันต้องมีอีกขั้นหนึ่ง ก็คือว่าคนนั้นต้องรู้ว่าตัวเองบาป ตัวเองไม่สบาย และสอง.-

อันดับที่สอง คนนั้นต้องตัดสินใจว่า.-

“ฉันช่วยตัวเองมาตั้งนาน ไม่หาย ท่าทางตายแน่ๆ ปวดหัวตั้งหลายครั้งแล้ว ปวดหัวมาตั้งหลายครั้ง กินพาราฯ มาตั้งหลายแล้ว ไม่หายเลย ฉันไปหาหมอดีกว่า ข้างบ้านเขาบอกหมอคนนี้เก่ง รักษาโรคนี้ได้ โรคนี้มีชื่อว่าโรคบาป ข้างบ้านเขาบอกว่าไปหาหมอที่ชื่อพระเยซูสิ ฉันก็เลยไปหา ฉันเลยพบพระเยซู ฉันจึงหายจากบาป เอเมน”

เห็นไหม? มันแค่นี้เอง ที่บอกว่าอธิษฐาน ขอสิ เคาะสิ มันต้องอย่างนี้ เงื่อนไขมันเป็นอย่างนั้น

ตอนที่เราเกิดจากครรภ์มารดานะ เรายังเป็นเหมือนอาดัมถูกไหม? คือเป็นคนบาปจากครรภ์เลย ออกจากครรภ์มา ก็บาปแล้ว ยังไม่ทันทำอะไรเลย  แต่บัดนี้ เราได้รับการบังเกิดใหม่ เชื่อในพระเยซู ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ เป็นพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้นก็จะเป็นของเราจริงๆ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ โดยทางพระคุณเช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ก็ขณะที่เราออกจากครรภ์ เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เราก็บาปแล้ว เพราะฉะนั้น ออกจากครรภ์ของพระเยซูคริสต์ หมายถึงออกจากครรภ์ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกันสิ เอเมน

เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพื่อจะได้รับสิ่งที่เหล่านี้มา เพราะพระเยซูทรงกระทำแทนเราเรียบร้อยไปหมดแล้ว เราไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่เป็นผู้รับ โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ให้ท่านจำถ้อยคำตรงนี้ให้ขึ้นใจเลยนะครับ ต้องจำให้แม่นเลยว่า.-

“สิ่งใดที่เป็นจริง เป็นธรรมชาติ ลักษณะของพระเยซูคริสต์ สิ่งนั้น ก็เป็นจริงกับฉัน ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระคุณ ผ่านทางพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น”

ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ เลย ต้องท่อง ต้องจำให้แม่นๆ อย่างที่ผมบอกว่าเอาเข้าใจ มันลำบาก ต้องใช้จำเอา แล้วก็เชื่อ เอเมน

พระเยซูคริสต์ทรงกระทำทุกอย่างให้เราเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามที่จะทำอะไรด้วยตัวเองอีกแล้ว แค่บอกว่า.-

“ฉันได้มีส่วนในลักษณะธรรมชาติของพระเยซูคริสต์แล้ว”

แค่นี้ก็เกินพอแล้ว สำหรับชีวิตคนเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าเป็นคริสเตียนอยู่ เราหามาเหนื่อยพอแล้ว แต่ถ้าคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับสิทธินี้ ยังไม่ได้เชื่อนี้  เขาก็ต้องแสวงหาต่อไป เขาต้องอย่าหยุดเคาะ เขาต้องเคาะต่อไป ต้องแสวงหาต่อไป ต้องขอต่อไป  อย่างที่ตะกี้นี้บอก จนกระทั่งพบหมอ ถ้าหายแล้ว ก็ไม่ต้องไปหาพระเยซูแล้ว เพราะหายแล้ว จะเข้าไปหาทำไม พระเยซูเข้ามาอยู่กับเขาเลย  เอเมน แต่ถ้าเขาไม่มีพระเยซู เขาต้องไปหาพระเยซูก่อน แต่พอไปหาพระเยซูแล้ว พระเยซูจะมาอยู่กับเขาเลย เอเมน

พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า เราก็ได้มีส่วนในความสัมพันธ์ ฉันพ่อลูกตรงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าด้วย คือได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เราก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วยเช่นเดียวกัน พอไหม? แค่นี้พอหรือยัง? จริงๆ มันมีเยอะกว่านี้เยอะเลย แต่แค่นี้ ก็พอแล้วนะ

พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรม

พระเยซูเป็นบุตรพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า

พระเยซูเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา เราเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความเมตตา

แล้วพระเยซูเป็นอะไรอีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลย  เราก็เป็นไปตามนั้นทั้งหมดเลย พอไหม? เกินพอ นี่ถึงเรียกว่าพระคุณ พระคุณ พระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้กับเรา โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งความคิด ไม่ได้ใช้เลย เพราะขืนใช้ความคิดเมื่อไร ไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อนั้น ไม่ได้ใช้ความคิดเลยนะ เราเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้ความคิดเลย เพราะคิดไป ไม่ออกเลย คิดไม่ได้เลย ข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซู ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

2 เปโตร 1:3-4  จะบอกถึงลักษณะว่าตะกี้นี้ ธรรมชาติลักษณะของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระลักษณะของพระเจ้า เราได้มีส่วนนั้นทั้งหมดเลย ลักษณะของพระเจ้า ก็คือลักษณะของพระเยซู พระลักษณะหรือธรรมชาติของพระเยซู ของพระเจ้า เรามีส่วนในนั้นหมดเลย  กล้าที่จะพูดตาม ถึงไม่เข้าใจ ต้องกล้าที่จะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อตามนี้”

ในพระคัมภีร์บอกไว้ตามนี้ แม้ว่าคนจะบอกว่า.-

“เธอนิสัยไม่ค่อยดี  เธอทำอย่างนี้ ไม่ดีเลย  ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เธอเป็นอย่างนี้ๆ  เธอจนอย่างนี้ เธอจะไปเป็นอะไรอย่างนี้ได้

บอกเขาเลย “พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น ฉันยืนกรานตามพระคัมภีร์” เอเมน

อ่านดีๆ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ ท่านเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียนกันทั้งหมดนี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ มาบอกอีกลักษณะหนึ่งว่าท่านเป็นใคร ในขณะนี้ อยู่ตรงไหน? นิสัยจริงๆ ท่านเป็นยังไง? นิสัยข้างในวิญญาณ ตัวจริงของเรา คือวิญญาณ … วิญญาณจริงๆ ท่านมีนิสัยเป็นอย่างไร?  ดูสินิสัยจริงๆ เราเป็นอย่างไร?

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว

 

เอเมน เห็นหรือยัง? ท่านเห็นหรือยัง? ท่านสามารถเห็นได้ เพราะเห็นด้วยวิญญาณ แต่ถ้าบอกเข้าใจไหม? ท่านบอกอะไรได้ ไม่เข้าใจ แต่เอเมน เชื่อเอา

พูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้มีส่วนในธรรมชาติลักษณะของพระเจ้าแล้ว และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

ตรงนี้หมายถึงว่าท่านมีส่วนในพระลักษณะธรรมชาติของพระเจ้า แม้ว่าท่านจะอยู่บนโลกใบนี้ มีตัณหาชั่วอยู่ในเนื้อหนังของท่าน สิ่งรอบข้าง สกปรก รอบข้างท่าน แต่ข้างในของท่าน มันบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าไม่มีผิด มันแปลว่าตรงนี้ ท่านจะได้สบายใจ ผ่อนคลายได้ว่าอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณท่านอยู่ในพระคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว

“แม้ว่าเมื่อวานฉันจะหงุดหงิดกับคนนี้ แม้ว่าเมื่อวานซืนนี้  ฉันอาจจะตวาดคนนี้ไป  แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้ ขับรถมา รถเมล์แถมมา 3 ป้าย ฉันด่าว่าคนขับอย่างไม่มีอะไรดีเลย แม้ว่าฉันอภัยคนนี้ ฉันยังอภัยให้เขาไม่ได้เลย ยังอธิษฐานอยู่ทุกวันนี้เลย แต่ในวิญญาณฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรฉันได้เลย มันอยู่ข้างนอก ข้างในฉันบริสุทธิ์แล้ว ข้างนอกไม่สามารถทำอะไรฉันข้างในเปลี่ยนไปได้ ในวิญญาณเป็นอย่างไง มันเป็นอย่างนั้นแล้ว”

และในวิญญาณเป็นอะไร?  เป็นลูกของพระเจ้า

“วิญญาณฉันเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิดเลย ในพระคริสต์ฉันเป็นอย่างนี้แหละ”

เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************