คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ตอน 8 “แค่หลับตา”
โดย นคร เวชสุภาพร
การบรรยายวันนี้ ก็ยังอยู่ในซีรี่ส์เดิมนะครับ ชื่อซีรี่ส์ ชื่อว่า? “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 8 แล้วนะครับ ยังจำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกไว้ว่าเราจะมาตั้งชื่อตอนหลังเทศนาจบ ตั้งแต่ตอนที่ 5 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? “นั่งเครื่องบิน”
ทบทวนนิดเหนึ่ง คือเราเปรียบเทียบให้เห็นว่าโดยกฎเดิม คือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก มนุษย์ไม่สามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ แต่ด้วยกฎใหม่ที่มีชื่อว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถลอยอยู่ในอากาศ ลอยอยู่บนฟ้าได้ และบินไปไหนมาไหนได้ โดยการอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องบิน ซึ่งเทียบได้กับกฎเดิมของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตาย
เคยได้ยินไหมเพลงนี้ “คนเรามีกรรม เกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม ไม่มีหลุดพ้น”
คือคนเรามีกรรม ก็คือเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรมกันทุกคน นี่คือกฎเดิม มนุษย์ทุกคนก็รู้ และมีกฎนี้อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนเรียกกันว่ากฎแห่งบาปและความตาย กฎแห่งกรรมนั่นเอง
ซึ่งกฎนี้ ทำให้มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตายและตาย … ตายและตายในที่นี่ อธิบายครั้งที่แล้วไปแล้ว ตั้งหลายครั้ง ก็คือตายทางร่างกาย ก็คือร่างกายที่ถูกพระเจ้าสร้างมาตั้งแต่แรก ไม่ต้องตาย ก็จำเป็นจะต้องตาย สิ้นชีวิตไปวันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณซึ่งมีอยู่นิรันดร์ ซึ่งมาจากพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณที่ติดบาปอยู่ ติดเวร ติดกรรม ต้องไปชดใช้เวรกรรม คือเมื่อทิ้งร่างนี้แล้ว วิญญาณออกไป ก็ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ เพราะเป็นวิญญาณที่บาป อยู่กับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ พระคัมภีร์ใช้คำตรงนี้ว่าตายและตาย ผลของ … กฎของความบาปและความตาย คือทำให้เกิดความตายและตาย แต่ด้วยกฎใหม่ มีชื่อว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎเดิมแล้ว ทำให้มนุษย์ที่อยู่ในพระคริสต์ หรือที่เรียกว่าอยู่อาศัยพระเยซูได้รับความรอด เป็นอิสระจากโทษของบาป ไม่ถูกบาปเวรกรรมและโทษของความตายดูดเขาลงไปสู่ความพินาศ … จำได้นะ
และมาถึงตอนที่ 6 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? อันนี้ต้องจำได้แน่ๆ เลย จำไม่ได้แย่เลย ทุกคนพูดพร้อมกันว่าตอนที่ 6 ใช้ชื่อตอนว่า “กระเทียมดอง” ตอนที่ 5 “นั่งเครื่องบิน” ตอนที่ 6 “กระเทียมดอง”
คือได้สอนให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว วิญญาณของเรา ก็ได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่” วิญญาณที่ตาย
“ตาย” ในที่นี่หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณสกปรก ที่ตายอยู่นั้น ได้กลับกลายมาเป็นวิญญาณใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิตขึ้นมาใหม่” ตะกี้นี้ตายใช่ไหม? ตอนนี้มีชีวิต … ชีวิตทางฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ และจะเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งชีวิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิญญาณใหม่ จะไม่สามารถกลับไปเป็นวิญญาณบาปได้อีกแล้ว คือไม่สามารถเปลี่ยนจากกระเทียมดองกลับไปสู่เป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว เราเรียนกันว่าการเปลี่ยน คือชีวิตเก่าเราบัพติศมาลงไปในพระเยซู ใช่ไหม?
บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง ดองลงไปใช่ไหม? มุดลงไปใช่ไหม? จากกระเทียมสดมุดลงไปในไหใช่ไหม? แล้วออกมาเป็นกระเทียมดองใช่ไหม? ชีวิตเก่าเราใช่ไหม? ไม่รู้จักพระเจ้า เป็นบาปอยู่นะ มุดลงไปในพระโลหิตพระเยซู ในพระวิญญาณของพระเจ้า ขึ้นมาเป็นกระเทียมดอง ก็เป็นวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นั่นตอนนั้น เราเรียนตอนที่ 6 เป็นอย่างนั้นนะ
และมาถึงตอนที่ 7 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้ ดักคอไว้สำหรับคนที่เรียนมาก่อนหน้านี้ เผื่อจะมีใครบางคนฟังการบรรยายก่อนหน้านี้ ในชุดนี้แล้ว จะมีความรู้สึกสบายใจในการเข้าใจผิดว่าอย่างนั้น เราก็ทำบาปก็ได้เยอะแยะสิ เพราะเราไม่มีทางจะเปลี่ยนไปเป็นคนบาป บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดแล้ว จำได้ใช่ไหมครั้งที่แล้ว ผมได้เตือนไว้ว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้น
สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อ่านพระคัมภีร์ยืนยันแล้วว่าความคิดแบบนี้ มันไม่ถูกต้องนะครับ แล้วเราก็รู้ว่าทำไม? พระคัมภีร์บอกว่าใครที่ทำบาป คือผิดเป้าหมายจากพระเจ้า คือไม่เป็นไปตามเป้าหมายพระเจ้าจะถูกคำสาปแช่งทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก ก็รู้จักกันทุกคน ไม่ว่าจะสาปแช่งมาก สาปแช่งน้อย
ยกตัวอย่างง่ายๆ สาปแช่งน้อย ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราแข็งแรง รู้ว่าให้เรากินอะไรถึงจะมีสุขภาพสมบูรณ์ เราไปกินของเน่าๆ ของเสียๆ เราก็ได้รับคำสาปแช่ง คือก็เป็นโรคท้องเสีย ท้องอืด เห็นง่ายๆ ท่านจะได้เข้าใจว่าคำสาปแช่งหมายถึงอะไร? ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกแล้วว่าใครทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั้น เขาจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน ยังคงต้องรับผล หนีไม่พ้น ซึ่งตรงนี้หมายถึงรับผลทั้งทางเนื้อหนัง ร่างกาย หรือเรียกว่าบนโลกใบนี้ได้รับ หรือเรื่องทางวิญญาณก็ได้รับเช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ทางวิญญาณเมื่อตะกี้ เราคุยกันว่าถ้าวิญญาณคนนั้น เชื่อในพระเยซู ซึ่งได้รับกฎใหม่ จากพระเยซูคริสต์ การอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎใหม่ ชนะกฎของความบาปและความตาย วิญญาณเขาก็รอด เขาก็ไปสู่สวรรค์ แต่ถ้าเขาไม่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่พึ่งอาศัยในกฎใหม่นี้ เขาก็ยังอยู่ภายใต้กฎเดิมอยู่ เขาก็ถูกดูดหรือถูกผลักลงไปสู่ความพินาศ ในกฎเดิม คือกฎความบาปและความตาย
ทางเนื้อหนัง ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทำสิ่งใดต่างๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือไม่? เป็นกระเทียมดอง กระเทียมสด เราต้องรับผลสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จำได้ใช่ไหมครับ?
พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าใครทำสิ่งใด ต้องรับผลในสิ่งนั้น เปรียบเสมือนการหว่านเม็ดพืชใช่ไหม? ที่ตะกี้บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม ใช่ไหม?
กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”
สุภาษิตจีนบอกว่า “ปลูกแตงโม ก็ต้องแตงโม ปลูกถั่ว ก็ได้ถั่ว”
เพราะฉะนั้น ใครหว่านอะไร ก็ต้องได้รับสิ่งนั้น สรุปคือในตอน 7 ที่เราได้บรรยายกันในสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ใช้ชื่อตอนว่าอะไรดี? “ปลูกแตงโม ก็ได้แตงโม” จำไว้นะ ต่อไปนี้ บทที่ 7 ชื่ออะไร? “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” ท่านนึกถึงปลูกแตงโม ท่านนึกถึงกาลาเทีย บทที่ 6 ที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน
เพราะฉะนั้น สรุปให้ฟังแล้วว่าคราวนี้ ถ้าพูดถึงชื่อตอน “นั่งเครื่องบิน” “กระเทียมดอง” “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”
ท่านก็พอจะจำได้นะครับว่า “อ๋อ! มันเรื่องราว มันเป็นอย่างไร? คืออะไร?” พอนึกออกแล้วนะครับว่าภาพรวมๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร?
“ฟังหรือยัง?”
“ตอนไหน?”
“ตอนปลูกแตงโม ได้แตงโม”
“อ๋อ! เห็นภาพเลย ใครหว่านอะไรได้อย่างนั้น หว่านทางวิญญาณ ได้วิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ได้เนื้อหนัง หว่านสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะทางวิญญาณหรือเนื้อหนัง ก็ต้องเก็บเกี่ยว เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้”
“นั่งเครื่องบิน”
“อ๋อ! นั่งเครื่องบิน ฉันอาศัยเครื่องบิน … บินได้ ในทำนองเดียวกัน ฉันอาศัยพระเยซูคริสต์ ฉันก็อยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย ไม่ต้องตกนรก”
อะไรอย่างนี้ เห็นไหม? มันง่าย ที่ท่านจะจำได้
“ฟังตอนกระเทียมดองหรือยัง? ฟังหรือยัง? หมายความว่าอย่างไร? กระเทียมดอง มันชัดนะกระเทียมดอง ก็รู้อยู่แล้ว”
“ฟังแล้วตอนกระเทียมดอง ฉันเป็นกระเทียมดอง เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง? ฉันดองกับพระเยซูไปแล้ว ฉันดองกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีทางกลับไปเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง”
มันแค่นี้เอง แล้วไปฟังรายละเอียดก็แล้วกันในนั้น จำง่ายดีนะ
มีตอนอะไรบ้างที่พูดเมื่อตะกี้นี้ นั่งเครื่องบิน, กระเทียมดอง, ปลูกแตงโม ได้แตงโม ท่านทราบแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์นี้ ก็มาตั้งกันต่อ
จริงๆ แล้ว ถ้าใครฟังการบรรยายในชุดซีรี่ส์นี้ มาทั้งหมด 7 ตอนเข้าไปแล้ว ครั้งนี้ตอนที่ 8 ถ้าตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ท่านจะจับประเด็นได้เลยว่าเนื้อหาทั้งหมด ที่ผมพูดมานั้น ที่บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ผมจะเน้นย้ำ ขยายความ แล้วก็วนไปวนมา อยู่ที่ 2 ประเด็นเท่านั้น ทำให้ท่านหัวเราะบ้าง? จำได้บ้าง? แต่ทั้งหมดอยู่แค่ 2 ประเด็นหลักๆ เท่านั้นเอง เนื้อหาที่คุยกันมา 7, 8 สัปดาห์ ในเรื่องเกี่ยวกับเราเป็นใครในพระคริสต์ คำตอบ ก็คือเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ต้องมีคำว่า “แล้ว”
เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เข้าไปสู่ความเป็นหนึ่ง เขาเรียกว่า “Partaker of the divinature” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพแล้ว
และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราก็ควรจะมีสันติสุข มีความสงบสุข ทั้งทางวิญญาณและในทางโลกนี้ด้วย
วนเวียนอยู่ 2 ประเด็นนี้ตลอดเลย ที่เราคุยกันมาตลอด อยู่แค่นี้ 2 เรื่องนี้
ประเด็นแรก คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ
วนเวียนกันอยู่แค่นี้ว่ารอดทางฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? รอดทางฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ และวิญญาณของเราในขณะนี้ ก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานรวมกับพระเยซูคริสต์แล้ว
ให้พูดพร้อมกันว่า “แล้ว”
แล้วนี้ สำคัญมากนะครับ “แล้ว”
ในประเด็นแรกนี้ มาถึงวันนี้ ฟังกันมาถึง 7 ตอนแล้ว ท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม? ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ตอบสิ ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … เก่ง ยอด ถ้าใครคนไหนบอกเข้าใจ แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจฟัง คนฟังทางบ้าน งง กันใหญ่เลย ถูกไหม? เข้าใจไหม 7 ตอน ไม่เข้าใจ แต่ถามว่า 7 ตอนผ่านมา ท่านเชื่อเพิ่มขึ้นไหม?
พูดดังๆ “ใช่”
เราใช้ความเชื่อ เราไม่ได้ใช้ความเข้าใจ เห็นไหม เยี่ยมเลย เห็นไหม? ผมกลัวท่านตอบว่าเข้าใจๆ ผมกลัวมากเลย ลุ้นมาตั้งนาน เพราะฉะนั้น ถามอีกทีว่าเรียนมาทั้งหมด 8 ตอนแล้ว ท่านเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านเข้าใจไหม? ตอบครับ ไม่กล้าตอบ ไม่เข้าใจ ผมก็ไม่เข้าใจ อยู่ในพระคริสต์ใครจะเข้าใจ ผมนั่งอยู่ที่นี่แล้ว นั่งอยู่ในพระเยซู อยู่ในสวรรค์สถานด้วย ใครจะไปเข้าใจเล่า แต่ผมเชื่อ … เชื่อมากขึ้นอีก เชื่อขึ้นเรื่อยๆ เลย
ส่วนประเด็นที่ 2 คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้เราได้รับสันติสุข ในระหว่างดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วย
พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่บนโลกใบนี้แบบทุกข์ทรมาน เพื่อรอวันที่พระองค์จะมารับเรากลับบ้านไปสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น จริงอยู่ว่าโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แล้วเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ตามที่พระเยซูบอกจริงๆ แต่พระเจ้าก็ต้องการให้เรามีสันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเช่นนั้น เช่นเดียวกันนะ แล้วมันเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าคงไม่ต้องการให้เราได้รับตรงนี้ พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว
ในเรื่องของทางวิญญาณ ท่านได้รับมาแล้ว เรียบร้อยทุกอย่าง ครบบริบูรณ์เลย ทางวิญญาณนะ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทรงทำให้หมดแล้ว ถูกไม่ถูก? ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ความรอดทุกอย่าง พระพรทุกอย่างทางฝ่ายวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน ถูกไหม?
แต่ในประเด็นที่ 2 สันติสุขท่ามกลางโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่วิญญาณนะ เรื่องของทางเนื้อหนัง อันนี้ยังต้องใช้ความพยายามของเรา ในการกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ กระทำตาม เขาเรียกว่าพระประสงค์ของพระเจ้า เรายังต้องสนใจและต้องตั้งมั่นที่จะกระทำอยู่ และยังจำกันได้ใช่ไหมครับ? ที่ผมบอกว่าให้เราเรียนรู้จากชีวิตของอาจารย์เปาโล ถูกไหม? ที่ท่านเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต โดยให้วิญญาณนำ วิญญาณที่มีพระวิญญาณนำ โดยวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์นำ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้ ได้รับสันติสุขและความสงบอย่างแท้จริงขึ้น ซึ่งเคล็ดลับ ก็คือให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก
เราจำได้ไหม? ผมเอาข้อพระคัมภีร์นี้มา เรามาทบทวนอีกทีหนึ่ง ข้อพระคัมภีร์นี้ ที่เปาโล อาจารย์เปาโลสอนเราว่าเคล็ดลับของอาจารย์เปาโล คืออะไร? และต้องการให้เราทำอะไร? จึงจะได้รับสันติสุขและความสงบสุขบนโลกใบนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไป ชนะโลกใบนี้ได้อย่างไร? โคโลสี 3:1-4 ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ นะครับ เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้เลยคริสเตียนที่รักทุกคน
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
ลองพูดตามผมนะ ใส่ชื่อท่านนะ
“ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”
“รู้”
“รู้ไหม … ถามใคร”
“ถามตัวเอง”
รู้ไหม? ถามตัวเอง รู้ เราต้องอยู่อย่างนี้ จนถึงวันสุดท้ายที่เราจากโลกนี้เลย
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้อธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ที่บอกว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก”
จดจ่อ คืออะไร? ปักใจ จับจ้องอยู่กับไหน? อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก เบื้องบนคืออะไร? เบื้องบนคือวิญญาณ คือสวรรค์
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Set your mind above where Christ is.” ตั้งโปรแกรมไว้ที่โน่น จดจ่อไว้โน่น ไว้ที่สวรรค์ ในโลกวิญญาณ
“ที่วิญญาณฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”
Set your mind ก็เปรียบเหมือนการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์นะว่าจะทำอะไร ก็ต้อง Set … Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมทางความคิดในใจของเราว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? ก็คือ Set ว่าจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ
“จดจ่อที่ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้าในสวรรค์สถาน จดจ่อว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า” อย่างนี้
ที่ผมเปรียบเทียบการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะเวลาที่เราตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางครั้งมันก็อาจจะ Error แล้วเวลามัน Error เราทำอย่างไร? เราก็ต้อง Reset หรือว่าต้อง Reboost ใช่ไหม?
ให้ทุกคนพูดพร้อมกันนะครับ “Error”
รู้ไหมว่า Error แปลว่าอะไร? ง่ายๆ เพี้ยน มันเพี้ยน Error แปลว่าอะไร? เพี้ยน … เพี้ยนแปลว่าอะไร? Error … เพี้ยนแปลว่าบ้าๆ บอๆ มันบ๊องไปแล้ว ว่า Error คืออะไร? มันเพี้ยนๆ มันไม่เหมือนเดิม มันเพี้ยนๆ มันทำอะไรมั่วๆ ซึ่งถ้าเครื่องดีๆ หน่อย มันรีเซทแป๊บหนึ่ง มันขึ้นมานะ แต่ถ้าเครื่องมันไม่ค่อยดี กว่าจะรีเซทขึ้น เอียงไป เอียงมา เดี๋ยวท่านดูนะว่าคริสเตียนเป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย
เช่นเดียวกัน การตั้งโปรแกรมทางความคิดจิตใจ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก Set your mind … Set out mind การตั้งโปรแกรมทางด้านจิตใจ เหมือนกันเลยนะครับ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? แทนที่เราจะจดจ่ออยู่เบื้องบน ตามที่ผมบอก ตั้งใจจะจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน อยู่ที่โลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า แต่บ่อยครั้ง มันก็เกิด Error เกิดอะไร? บ่อยครั้งมันก็เกิด Error คราวนี้ภาษาไทย เกิดอาการเพี้ยน บ้าๆ บอๆ มันก็บ๊องๆ มันไม่ยอมไปอยู่เบื้องบน มันก็เกิด Error เราก็ต้องทำอะไร? เหมือนกัน ก็คือต้อง Reset หรือ Reboost เหมือนกัน ต้องรีเซทมันขึ้นมา ตั้งโปรแกรมความคิดของตัวเองขึ้นมาใหม่ เวลามันมีการ Error เกิดขึ้น จำได้ใช่ไหม? สัปดาห์ที่แล้วบอกไว้ แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ถึงวันนี้ ท่าน Error ไปกี่ครั้ง? ท่านเพี้ยนไปกี่ครั้ง? ตกจากสวรรค์มากี่ครั้ง? ตกหรือเปล่า? หรือไม่ตก ถามจริง เดี๋ยวฟังต่อไป ท่านจะตอบเองว่าที่ตอบตะกี้นี้ ท่านตอบถูกหรือตอบผิด ตอบจริงใจหรือเปล่า? Error หรือเปล่า?
แล้วผมก็บอกว่าถ้าจะให้เรา Set mind มันต้องทำอะไร? เคล็ดลับ ในนี้บอกว่า Set คือให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้องความคิดของเรา ไปที่ไหน? โลกวิญญาณที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า ผมบอกเคล็ดลับอยู่ที่ไหน? เคล็ดลับ ก็คือให้เราทำอะไร? ให้เราเพียงแค่หลับตา แล้วผมก็เลยร้องเพลงแค่หลับตา เป็นเพลงที่พระเยซูร้องให้เราฟัง พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังว่าถ้าเกิดเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังตั้งแต่เช้ายันค่ำเลย อ้าว! มาร้องด้วยกัน ได้หรือเปล่า? เดี๋ยวผมสอนให้ สมมติว่าพระเยซูร้องให้ท่านฟังนะ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้จะเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่มันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เดินไปก็เห็นแต่โลกวัตถุ ฝ่ายวัตถุบนโลกใบนี้ และแม้เนื้อหนังร่างกาย ก็อยากให้เราทำสิ่งที่เป็นตามโลกวัตถุสิ่งของ เกี่ยวกับเนื้อหนังนี้ มันเหนื่อย เจอปัญหาอะไรต่างๆ เหนื่อยต่างๆ พระเยซูก็เดินอยู่ข้างๆ เรา เดินอยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา ร้องเพลงให้เราตลอดเวลาว่าให้เข้ามาหาพระองค์สิ พระองค์มีกำลังที่จะเสริมให้กับเรา พระองค์สามารถช่วยเราได้
หากวันใด ที่เธอไหวหวั่น อ่อนล้า ทุกสิ่งดูเลือนราง
จะดูแลใจเธอ แม้กายเราต้องห่าง เมื่อยามที่เธอต้องการใครซักคน
** แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ
จะมีฉันและเธอเท่านั้น ลำพัง ไม่มีผู้ใด
แม้โลกจะสับสน ผู้คนจะมากมาย
แค่หลับตา เปิดหัวใจ … ให้เราได้พบกัน **
ซึ้งไหม? ปรบมือขอบคุณพระเยซูนะ นี่เป็นคำพูดพระเยซูทั้งหมดเลย เอามาแต่งเป็นเพลง เป็นคำพูดของพระเยซูทั้งหมด พระองค์คอยเคาะอยู่ที่หัวใจเรา ไม่ใช่เคาะเฉพาะคนที่ไม่เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วก็เคาะ เพราะบางครั้ง เราลืมพระองค์ไง เราดำเนินชีวิต บางวันเรานึกว่าเราเดินคนเดียว เราทิ้งพระองค์ไป พระองค์หงอยเลย เราทิ้งพระองค์ไปเฉยๆ อย่างนั้น ตอนตื่นเช้ามาอธิษฐาน เสร็จออกจากบ้านไป ทิ้งพระองค์ไว้ที่ห้องอธิษฐาน แล้วก็ไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง เหนื่อยแสนเหนื่อย ลิ้นห้อย
“พระเยซูอยู่ไหน?”
“ก็ฉันอยู่กับเธอตลอดเวลา เธอไม่เห็นจะสนใจ หลับตา นึกถึงฉันบ้างสิ จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน เธอจะเห็นฉันเคียงข้างเธอเสมอ” เอเมน
ถ้าเรา Set mind ของเรา หรือความคิดของเรา จดจ่อความคิดของเรา ตั้งโปรแกรมความคิดของเรา ให้ปักใจ ให้จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณนั่นเอง เพียงแค่เราหลับตา แล้วก็จะรับรู้ว่าเรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน แม้ว่าร่างกายเราจะยังอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แต่เราเห็นชัดเจนว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน
และพอเราจดจ่อความคิดของเราอย่างนั้น อยู่เบื้องบนแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ทราบไหมครับ? เมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับอาจารย์เปาโล ที่บอกเมื่อตะกี้นี้ คือเราก็จะเห็นภาพชัดเจนของโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นจริง มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่หลับตา ไม่จดจ่อตรงนี้ เราก็จะถูกหลอกตลอด สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นโลกวัตถุทั้งสิ้น สิ่งที่เรามองเห็น เขาเรียกว่าโลกวัตถุ โลกฝ่ายเนื้อหนัง คือพวกวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้นี้ และในเนื้อหนังร่างกายนี้ ซึ่งภาพมันชัดตามสายตาเนื้อเรา … เรามองมันชัด เราสามารถจับมันได้ มองเห็นได้ด้วยตาทางกาย ไม่ต้องไปจดจ่อ มันก็เห็นแล้ว แค่เดินผ่าน มันก็เห็น แค่จับมันก็เห็นแล้ว มันเห็น
แต่การที่จะทำให้เราสามารถรับรู้หรือเป็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ ในโลกฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนนั้น เรายังต้องใช้ความพยายามในการจดจ่อจับจ้อง ตั้งเป้า ที่เปาโลใช้คำว่า Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมของความคิด จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายวิญญาณ พุ่งเป้าไปที่ฝ่ายวิญญาณ
ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราไม่พยายามจดจ่อเลย ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ท่านคิดว่าโดยธรรมชาติของเนื้อหนัง ท่านจะเห็นภาพทางไหน? รับรู้ทางไหนชัดเจนกว่ากัน ตอบครับ? เนื้อหนังมันชัดเจนกว่าแน่นอน เห็นไหมครับ ท่านแพ้แน่นอน
ระหว่างภาพวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้ กับภาพทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่บอกว่าเรากำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์อยู่ … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระเจ้านะ ใครชัดกว่ากัน ถ้าเราไม่ตั้งใจและ Set โปรแกรมความคิดเราไว้ เราก็แพ้ เราก็ตกลงมาอยู่ที่สิ่งที่เราเห็น จับต้องได้ ความรู้สึกต่างๆ ถูกไหม? อย่างนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ท่านคิดเองก็ได้ว่าอันไหนชัดกว่ากัน ท่านกำลังเจ็บป่วยอยู่ ร่างกายเราเจ็บป่วย เจ็บปวด … ปวดตรงนั้น เห็นชัดๆ แต่พอหลับตา ท่านเห็น
“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์ I am heal. ฉันได้รับการรักษาให้หายเรียบร้อยไปแล้ว จากบาปทั้งสิ้น พระเยซูรักษาฉันแล้ว เห็นไหมครับ โอกาสที่เราจะตามเนื้อหนังมันมีเยอะกว่าเยอะ เพราะมันกระตุ้นเราตลอดเวลา มันเจ็บ แต่ถ้าเรา Set ฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าตั้งเป้าไว้ที่ฝ่ายวิญญาณ ตั้งเป้าไว้ที่ความคิดในโลกฝ่ายวิญญาณ จดจ่ออยู่ที่นั่น เราสามารถมีสันติสุขได้ ขณะที่เจ็บป่วยนะครับ นี่คือสิ่งที่เปาโลบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับ … เคล็ดลับอยู่ที่แค่หลับตา คืออะไร? แค่ตั้งความคิดไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน จดจ่อไว้ที่เบื้องบน
“แม้ตอนนี้เราจะขัดสน ขาดแคลน มีคนมาทวงหนี้เยอะแยะ แต่ในวิญญาณนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันมีมากมายมหาศาล ฉันมีชีวิตยิ่งกว่ามหาเศรษฐีอีก”
แล้วมันเป็นจริงตามนั้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้บอกเอง พระคัมภีร์บอกกับเราอย่างนั้น มันก็ต้องใช้ฝึกเอา เห็นไหมครับ?
“ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนบาป ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด ทำอันนี้ยังผิดบาปอยู่เลย ก็โกหกเขาอยู่เลย ไม่มีดีอะไรสักอย่าง เธอต้องชดใช้กรรมของตัวเอง ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็ต้องไปใช้กรรม ใช้เวร คนเราเกิดมาใช้เวรใช้กรรมตลอดเวลา ทั้งโลกนี้ พูดอย่างนั้นตลอด เข้าหูเราตลอด ได้ยินมาตลอด”
แต่พอเราหลับตา เคล็ดลับหลับตา Set mind ความคิดจดจ่ออยู่ที่เรื่องเบื้องบน ทางฝ่ายวิญญาณปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้า ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาด ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว เป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีวันกลับไปเป็นกระเทียมสดอีกแล้วตลอดไป เอเมน อย่างนี้ถามว่าอะไรยากกว่ากัน การ Set การตั้งโปรแกรม ความคิดไปที่วิญญาณมันยากกว่า ถามว่ามันทำได้ไหม? มันทำได้นะ เปาโลจึงอยากให้เราทำไง ทำแล้วเราจะได้เหมือนที่เปาโลได้
เพราะฉะนั้นที่บอกว่าให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน หรือจดจ่อกับทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ทางฝ่ายโลก มันจึงทำให้เกิดอะไรขึ้น มันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนอย่างที่เปาโลรู้สึก ยิ่งจดจ่อมากเท่าไร เขาเรียกว่ายิ่งซึมซับ อิ่มในโลกฝ่ายวิญญาณมากเท่านั้น ในระหว่างที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณเราเป็นใคร? เรารู้เราเป็นใคร? เดินไปที่ไหนเราก็รู้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ พระเยซูเดินอยู่กับเราตลอด ก็สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีสันติสุข และมีชัยชนะ และถ้าเมื่อไรที่ความคิดจิตใจของเรา เห็นภาพฝ่ายวิญญาณชัดเจน คือรับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณชัดเจน เมื่อเราจดจ่อมากๆ เราก็จะสามารถที่จะรับรู้ และเห็นภาพโลกวิญญาณมันชัดมากขึ้น ชัดมากยิ่งขึ้น มากกว่าอะไร? มากกว่าภาพทางฝ่ายโลก
มันมี 2 ภาพ 2 ข้าง ถ้าท่านจดจ่อแบบที่เปาโลบอก ท่านจะเห็นภาพในโลกฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ชัดเจนกว่าที่เห็นบนโลกใบนี้ เมื่อนั้น ถ้าท่านได้อย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อนั้น การดำเนินชีวิตของเราก็จะมีสันติสุข มีแต่สันติสุข ความสงบ ได้พบกับความสงบสุขใจอย่างแท้จริง พระเยซูได้คำนี้ว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง In deed เลย ไม่ใช่อิสระเฉพาะวิญญาณว่าจะได้ไปสวรรค์อย่างเดียว แต่อิสระเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องตกลงไปในความทุกข์ลำบากเหมือนแต่ก่อน และขณะที่เรา Set ตัวเราแบบนั้น อย่างที่ตะกี้บอก เป็นเคล็ดลับว่าเราหลับตา แล้วเราเห็นเลย เห็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ เห็นอะไร? โอโห้! เรานั่งอยู่ที่หัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น ไม่ใช่เบื้องขวาของพระเจ้าอย่างเดียว แต่นั่งอยู่ในใจของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว มันยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะคิดได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อพระวิญญาณนำเรา แล้วเราจดจ่ออยู่ตรงนั้น พระวิญญาณจะเป็นผู้ … เขาเรียกว่าเป็นพยานให้กับเรา เป็นผู้ย้ำยืนยันในจิตวิญญาณของเราว่ามันเป็นจริงครับ มันเป็นจริงจ๊ะ มันเป็นจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ นั่งอยู่กับพระองค์จริงๆ
นั่นเป็นสันติสุขจริงๆ หลับตาเมื่อไรก็เห็นพระเยซูอยู่กับเรา ไม่ใช่อยู่กับเราแค่นั้น เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น และเมื่อความคิดจิตใจของเราจดจ่อได้ถึงระดับนี้ หรือระดับที่พูดถึงนี้เมื่อไร? คือระดับที่หลับตาก็เห็นเรานั่งอยู่ในพระเยซู นั่งอยู่ที่ใจพระเยซู ถ้าได้ระดับนี้เมื่อไร? ถึงวันนั้น เราก็จะเหมือนเปาโล เราก็ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้หรอก เราก็ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เหมือนเปาโลที่บอกว่าถ้าเลือกได้ อาจารย์เปาโลก็อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เห็นสนุกอะไรเลย ข้างบนมีความสุขกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้อง Set mind อีกแล้ว ถ้าไปอยู่ข้างบน เบื่อข้างล่างแล้ว ไม่ใช่การเบื่อแบบชนิดท้อแท้ใจ จะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แต่เบื่อ เห็นภาพชัดเจน คิดถึงพระเยซู จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า อย่างนี้ อยากอยู่สวรรค์เร็วๆ
ลองอ่านดูนะว่าประสบการณ์ของเปาโล ต้องการให้เราได้รับอะไรเหมือนท่านบ้าง? ผมจะเอามาให้ท่านอ่านดูว่าท่านอยากได้อย่างนี้ไหม? ฟิลิปปี 1:21-26
ฟิลิปปี 1:21-26 “21 เพราะสำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไป ก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก 24 แต่การที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นสำหรับพวกท่านมากกว่า 25 เมื่อแน่ใจอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็รู้ว่าจะยังอยู่กับพวกท่านทั้งปวงต่อไป เพื่อความก้าวหน้า และความชื่นชมยินดีของท่าน ในความเชื่อ 26 เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับพวกท่านอีก พวกท่านก็จะชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ อย่างเปี่ยมล้น เนื่องด้วยข้าพเจ้า”
อาจารย์เปาโลบอกว่า “ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก” อาจารย์เปาโลต้องการให้เราได้รับแบบท่าน
เปาโล คือผู้ที่จดจ่อความคิดและจิตใจของท่านอยู่ที่เบื้องบน ฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา คือเห็นภาพ รับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา ชัดเจนกว่าภาพของโลกใบนี้ ชัดเจนกว่าการรับรู้สิ่งของหรือสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลก็รับรู้บนโลกใบนี้ด้วย แต่ภาพของการรับรู้ทางฝ่ายวิญญาณของอาจารย์เปาโลชัดมาก
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเปาโล ก็คือท่านอยากไปอยู่ทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าแล้วตอนนี้ ไม่อยากไปอยู่บนโลกใบนี้ อยากอยู่กับพระเจ้าดีกว่า ทิ้งร่างกายนี้ดีกว่า
“แต่ข้าพเจ้าไปไม่ได้ ถึงแม้อยากจะไป เพราะพระเจ้ายังใช้ข้าพเจ้าให้ทำงานอยู่ ก็เห็นแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ในร่างกายนี้ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้สอนพวกท่านในเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ต่อไปไง คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ให้เป็นประโยชน์”
คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ ให้เป็นประโยชน์อยู่ ใช้ร่างกายนี้ทำงาน ก็คือประกาศข่าวประเสริฐ ทำอะไรก็ได้ตามน้ำพระทัยพระเจ้าต่อไป บางคนคิด
“ฉันก็เหมือนเปาโลนะตอนนี้ ฉันก็อยากจะไปเหมือนกัน ทำไมพระเจ้าไม่ให้ไป ฉันก็ไม่เห็นไปประกาศข่าวประเสริฐที่ไหนเลย”
คำว่า “ประกาศข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนเปาโลนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ที่พระเจ้าให้ท่านยังอยู่ ก็ให้ท่านรับใช้พระเจ้า ในการประกาศข่าวดี ในรูปแบบที่พระเจ้าเตรียมให้กับท่าน อะไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแม่บ้าน ก็เป็นแม่บ้านต่อไป เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นอาม่า อากงแก่ๆ พระเจ้ายังไม่รับไป ก็อยู่ แสดงว่าพระเจ้าใช้เขา ใช้ทำอะไร ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้าจะตั้งชีวิตแต่ละคนไว้เป็นอย่างไร? จงขอบคุณพระเจ้า ขณะนั้น เรายังทำงานอยู่ เมื่อหมดหน้าที่ ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเด็กขนาดไหน? เล็กขนาดไหน? อายุเท่าไร? ถ้าหมดหน้าที่ พระเจ้ารับไปทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องห่วง พระเจ้าดูแลให้เรื่องนี้ เอเมน เข้าใจนะ ไม่ใช่เดี๋ยวกลับไปนี้ ทุกคนพยายามที่จะหา ประกาศข่าวประเสริฐกันใหญ่ ไม่ใช่ ประกาศอยู่แล้ว ท่านทำกับข้าวอยู่ดีๆ อยู่ที่บ้าน ดูแลลูกหลาน เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน ท่านก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ พอเข้าใจไหม? เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ต้องมาทำตามกันทุกคน ไม่ต้องทำเหมือนกันหมด
แล้วเปาโล คนเดียวกัน ก็ได้รู้แล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายวัตถุ มันแตกต่างกันอย่างไร? เปาโลจึงบอกว่า.-
“ในขณะที่ข้าพเจ้าขัดสน แต่ข้าพเจ้ามีพร้อม”
ฟังดู ฟิลิปปี 4:11-13 ดูสิ ประสบการณ์อย่างนี้ อยากได้ไหม? อยากได้มาก เป็นเหมือนเมื่อตะกี้นี้ที่ผมพูดไหม? เหมือนเลย ถ้าเราทำอย่างที่เปาโลสอนเราได้ คือตั้งโปรแกรม ความคิดของเรา จดจ่อไว้ที่เบื้องบน เราก็จะได้รับสิ่งนี้เหมือนกัน
ฟิลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า” เอเมน
“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร? และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็รู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร?”
และเราก็รู้ว่ายามแข็งแรงเป็นอย่างไร? ยามร่างกายร่วงโรยอ่อนแอมันเป็นอย่างไร? รู้ไหม? และข้าพเจ้าก็รู้ว่าไปไหนมิตรสหาย ก็เข้าใจข้าพเจ้าหมด กับตอนนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ มันต่างกันอย่างไร? รู้ไหม? รู้ ชีวิตบนโลกเป็นอย่างนี้
ฉะนั้นเปาโลบอกว่าอย่างไร? “ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ ที่จะพอใจกับสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทุกสถานการณ์เลย”
เราตะกี้นี้ บอกเราอยู่ในสถานการณ์ทั้งหมดนั้น เราอยากมีความพอใจในทุกสถานการณ์ไหม? เราอยากมีความพอใจ ในตอนที่เพื่อนฝูงไม่เข้าใจเรา คนนี้ก็ไม่เข้าใจเรา ทั้งๆ ที่เราหวังดีกับเขา เราทำดี เขาไม่เข้าใจหรอก เราอยากจะมีความพอใจในขณะที่ถูกเขาเอาเปรียบเราไหม? เขาเอาเปรียบเราใหญ่เลย เราก็ยังพอใจอยู่ ยิ้ม เราพอใจไหม? ที่ตอนนี้ เราพยายามดูแลสุขภาพที่สุด มันได้แค่นี้ มันเจ็บป่วยไปตามวัย หรืออะไรก็ว่าไป เราพอใจได้ไหม? เราพอใจในขณะนี้ ที่เราขาดๆ เกินๆ ไม่มีเกินหรอก มีขาดอย่างเดียว เงินก็ไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแต่หนี้สิน เราพอใจไหม? หรือเรากำลังบอกว่า.-
“ไหนๆ พระเยซูคริสต์บอกเราจะมีเยอะแยะมากมาย ไม่เห็นมีเลย”
หรือเราพูดอย่างนั้น เราบ่นอย่างนั้น หรือเราบอกว่า.-
“ขอบคุณพระเจ้า ลูกทำดีแล้ว ฝากไว้ที่พระองค์”
เราพอใจไหม? ถ้าเราอยากพอใจ ไม่ยาก มันมีเคล็ดลับ มาดูกันต่อไป
เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าเผชิญเรือแตก ก็ทนได้ ข้าพเจ้าเรียนรู้วิธีที่จะอยู่บนโลกนี้อย่างพอเพียง เพราะข้าพเจ้ารู้เคล็ดลับ”
เคล็ดลับ คืออะไร? เปาโลรู้แล้ว บอกเราเรียบร้อยแล้ว เคล็ดลับ ก็คือแค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ ใช่ไหม? เคล็ดลับ ก็คือมองไปที่เบื้องบน เคล็ดลับ ก็คือจดจ่อความคิดเราไปที่เบื้องบน เคล็ดลับของเรา ก็คือ Set ตั้งโปรแกรมเราไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราอยู่ในพระองค์ เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซู เอเมน พูดแค่นี้ยังมันเลยนะ ภาพตอนนี้ท่านชัด เพราะท่านฟังอยู่ แต่เดี๋ยวออกจากโบสถ์ไป ท่านก็เริ่มลางเลือนแล้ว ตอนที่ออกจากนี้ไป รถท่านถูกเฉี่ยวตอนนี้ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ก็ถูกลากลงมาอยู่บนโลกใบนี้
“รถของฉัน”
“ที่ไหนรถของเธอ? ที่ไหน?”
“บนโลกใบนี้”
“แล้วมันเป็นอะไร?”
“กระจกมองข้างมันหายไปแล้ว”
เมื่อท่านออกไป แล้วกลับบ้าน ขึ้นรถเมล์ โบกตั้งนาน มันไม่จอดเลย ไม่ยอมจอดเลย ท่านต้องรอตั้งนาน ร้อนก็ร้อน จนกระทั่งฝนตกมา แล้วรถถึงจะมาอีกคัน คันที่ 5 แล้วยอมจอดให้ท่านขึ้น ตอนนั้นท่านอยู่ที่สวรรค์หรืออยู่ที่บนโลก นั่นแหละ ที่ท่านฟังอยู่ในโบสถ์ ขณะนี้ จำได้ไหม? ท่านยังจำตรงนี้ได้ไหม?
เคล็ดลับ คือให้เรารู้ว่าเราอยู่เบื้องบน เราอยู่ในสวรรค์ โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา
“โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว
สมบัติฉันสะสมไว้ ที่ในสวรรค์เบื้องบน
ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่ ณ ประตูบนวิมาน
และฉันรู้ว่าโลกนี้ ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”
ทุกวันนี้ทูตสวรรค์ยังร้องเรียกเลย “เมื่อไรจะมาๆ”
เราก็บอกว่า “เดี๋ยวรอพ่อก่อน พ่อบอกไปเมื่อไร ก็ไป”
นี่มันหมายถึงอย่างนั้น โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา จะเอาอะไรกับมันมากมายนัก ใช่ไหม? นี่คือที่บอกว่าการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก มันเกิดผลอย่างนี้แหละ เอาหรือไม่เอา? อยากได้ไหม? อยากได้
คริสเตียนต้องหลับตาเดิน คริสเตียนต้องหลับตาเดินถึงจะมีชัยชนะ พระคัมภีร์บอกว่า Walk by faith Not by sight ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านเดินไป แล้วท่านหลับตา ไม่ใช่นะ ขับรถก็หลับตา ตกหลุมตกร่องไป อันนั้นช่วยไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ นี่หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ ให้เราหลับตา เราถึงจะเห็น ลืมตา เรากลับไม่เห็น คริสเตียนเราต้องหลับตา ตรงนี้หมายถึงให้เราจับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งก็คือสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ให้เราปักใจ จดจ่ออยู่ที่นั่น เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันทำไมรู้ไหมครับ? ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ชัดมากเลย บอกว่า.-
“เพราะสิ่งที่เรามองเห็น คือวัตถุสิ่งของจับต้องได้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น คือสิ่งที่อยู่เบื้องบนสวรรค์สถาน ที่เรา Set your mind นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ เอเมน”
2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”
เอเมน … ขอบคุณพระเจ้า เอเมน
พูดตามผมนะครับ “เพราะฉะนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่ท้อใจอีกแล้ว ถึงแม้กายภายนอกของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังทรุดโทรมไป ป่วยบ้างนิดหน่อย เจ็บโน่น เจ็บนี่ รักษาไม่หายสักที แต่วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน ได้ยินไหม? วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก ดังนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่จับจ้อง ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น บนโลกใบนี้นั้น ไม่จีรังยังยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น การเงินนั้น ร่างกายนั้น สุขภาพร่างกายนั้น ครอบครัวบนโลกใบนี้นั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่เห็นนั้น คือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้นถาวรนิรันดร์ เอเมน”
ให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้อง ที่เบื้องบน ที่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ ซึ่งเห็นไม่ชัดเจน ไม่เหมือนกับที่ตา มองก็ตาม แต่เมื่อใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าของพระเยซูที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ คือแค่หลับตา เห็นหมดเลย เป็นไปตามถ้อยคำพระเยซูพูดทั้งสิ้น แค่หลับตา ได้ยินเสียงพระเยซูเลย แค่หลับตาได้เข้าถึงว่าพระเยซูพูดว่าอะไร? หลับตา ได้รู้ว่าน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์ หรือของพระบิดา คืออะไร? สำหรับเราที่รักพระองค์ น้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้าสำหรับเราที่รักพระองค์ คืออะไร? คือสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ท่านรักพระองค์ไหม? ถ้าท่านรักพระองค์ ท่านหลับตา … หลับตาเพื่ออะไร? เพื่อพอหลับตาครั้งใด ท่านจะเห็นว่า.-
“ฉันอยู่ในพระคริสต์”
นี่คือเคล็ดลับ “หลับตาเมื่อไร ฉันเห็นว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ ทั้งหมดนั้นอยู่ในนั้นหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติ ความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ อยู่ในนั้นหมดแล้ว แล้วมันจะอยู่อย่างนั้นถาวรนิรันดร์”
เคล็ดลับ คือให้เราหลับตาเท่านั้นเอง หลับตาเราจะเห็น หลับตาเราจึงจะได้ยินเสียงพระเยซู หลับตา เราจึงจะเห็นพระองค์ หลับตาแล้วเราจะเข้าใจว่าพระองค์ต้องการให้เราทำอย่างไร? หลับตาแล้วเราจะรู้ว่าเราควรดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? หลับตาลง ร้องบทเพลงนี้ร่วมกับพระเยซู
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*********************