คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 8 “แค่หลับตา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 8 “แค่หลับตา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

การบรรยายวันนี้ ก็ยังอยู่ในซีรี่ส์เดิมนะครับ ชื่อซีรี่ส์ ชื่อว่า? “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เป็นตอนที่ 8 แล้วนะครับ ยังจำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว ผมบอกไว้ว่าเราจะมาตั้งชื่อตอนหลังเทศนาจบ ตั้งแต่ตอนที่ 5 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? “นั่งเครื่องบิน”

ทบทวนนิดเหนึ่ง คือเราเปรียบเทียบให้เห็นว่าโดยกฎเดิม คือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก มนุษย์ไม่สามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ แต่ด้วยกฎใหม่ที่มีชื่อว่ากฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก ทำให้มนุษย์สามารถลอยอยู่ในอากาศ ลอยอยู่บนฟ้าได้ และบินไปไหนมาไหนได้ โดยการอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องบิน ซึ่งเทียบได้กับกฎเดิมของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตาย

เคยได้ยินไหมเพลงนี้ “คนเรามีกรรม เกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรม ไม่มีหลุดพ้น”

คือคนเรามีกรรม ก็คือเกิดมาต้องใช้หนี้เวรกรรมกันทุกคน นี่คือกฎเดิม มนุษย์ทุกคนก็รู้ และมีกฎนี้อยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนเรียกกันว่ากฎแห่งบาปและความตาย กฎแห่งกรรมนั่นเอง

ซึ่งกฎนี้ ทำให้มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษของความบาป  คือความตายและตาย … ตายและตายในที่นี่ อธิบายครั้งที่แล้วไปแล้ว ตั้งหลายครั้ง ก็คือตายทางร่างกาย ก็คือร่างกายที่ถูกพระเจ้าสร้างมาตั้งแต่แรก ไม่ต้องตาย ก็จำเป็นจะต้องตาย สิ้นชีวิตไปวันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณซึ่งมีอยู่นิรันดร์ ซึ่งมาจากพระเจ้า แต่เป็นวิญญาณที่ติดบาปอยู่ ติดเวร ติดกรรม ต้องไปชดใช้เวรกรรม คือเมื่อทิ้งร่างนี้แล้ว วิญญาณออกไป ก็ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ เพราะเป็นวิญญาณที่บาป  อยู่กับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ พระคัมภีร์ใช้คำตรงนี้ว่าตายและตาย  ผลของ … กฎของความบาปและความตาย คือทำให้เกิดความตายและตาย แต่ด้วยกฎใหม่ มีชื่อว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎเดิมแล้ว ทำให้มนุษย์ที่อยู่ในพระคริสต์ หรือที่เรียกว่าอยู่อาศัยพระเยซูได้รับความรอด เป็นอิสระจากโทษของบาป ไม่ถูกบาปเวรกรรมและโทษของความตายดูดเขาลงไปสู่ความพินาศ … จำได้นะ

และมาถึงตอนที่ 6 เราใช้ชื่อตอนว่าอะไร? อันนี้ต้องจำได้แน่ๆ เลย จำไม่ได้แย่เลย  ทุกคนพูดพร้อมกันว่าตอนที่ 6 ใช้ชื่อตอนว่า “กระเทียมดอง” ตอนที่ 5 “นั่งเครื่องบิน” ตอนที่ 6 “กระเทียมดอง”

คือได้สอนให้เราเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว วิญญาณของเรา ก็ได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่” วิญญาณที่ตาย

“ตาย” ในที่นี่หมายถึงไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณสกปรก ที่ตายอยู่นั้น ได้กลับกลายมาเป็นวิญญาณใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิตขึ้นมาใหม่” ตะกี้นี้ตายใช่ไหม? ตอนนี้มีชีวิต … ชีวิตทางฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ และจะเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ซึ่งชีวิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิญญาณใหม่ จะไม่สามารถกลับไปเป็นวิญญาณบาปได้อีกแล้ว คือไม่สามารถเปลี่ยนจากกระเทียมดองกลับไปสู่เป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว เราเรียนกันว่าการเปลี่ยน คือชีวิตเก่าเราบัพติศมาลงไปในพระเยซู ใช่ไหม?

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง ดองลงไปใช่ไหม?  มุดลงไปใช่ไหม?  จากกระเทียมสดมุดลงไปในไหใช่ไหม?  แล้วออกมาเป็นกระเทียมดองใช่ไหม? ชีวิตเก่าเราใช่ไหม? ไม่รู้จักพระเจ้า  เป็นบาปอยู่นะ มุดลงไปในพระโลหิตพระเยซู ในพระวิญญาณของพระเจ้า ขึ้นมาเป็นกระเทียมดอง ก็เป็นวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นั่นตอนนั้น เราเรียนตอนที่ 6 เป็นอย่างนั้นนะ

และมาถึงตอนที่ 7 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้ ดักคอไว้สำหรับคนที่เรียนมาก่อนหน้านี้ เผื่อจะมีใครบางคนฟังการบรรยายก่อนหน้านี้ ในชุดนี้แล้ว จะมีความรู้สึกสบายใจในการเข้าใจผิดว่าอย่างนั้น เราก็ทำบาปก็ได้เยอะแยะสิ เพราะเราไม่มีทางจะเปลี่ยนไปเป็นคนบาป บริสุทธิ์ สะอาดหมดจดแล้ว จำได้ใช่ไหมครั้งที่แล้ว ผมได้เตือนไว้ว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้น

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้อ่านพระคัมภีร์ยืนยันแล้วว่าความคิดแบบนี้ มันไม่ถูกต้องนะครับ แล้วเราก็รู้ว่าทำไม? พระคัมภีร์บอกว่าใครที่ทำบาป  คือผิดเป้าหมายจากพระเจ้า คือไม่เป็นไปตามเป้าหมายพระเจ้าจะถูกคำสาปแช่งทุกคน ไม่ว่าจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก  ก็รู้จักกันทุกคน ไม่ว่าจะสาปแช่งมาก สาปแช่งน้อย

          ยกตัวอย่างง่ายๆ สาปแช่งน้อย ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราแข็งแรง รู้ว่าให้เรากินอะไรถึงจะมีสุขภาพสมบูรณ์ เราไปกินของเน่าๆ ของเสียๆ เราก็ได้รับคำสาปแช่ง คือก็เป็นโรคท้องเสีย ท้องอืด เห็นง่ายๆ ท่านจะได้เข้าใจว่าคำสาปแช่งหมายถึงอะไร? ทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น

 

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ได้บันทึกแล้วว่าใครทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั้น เขาจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน ยังคงต้องรับผล หนีไม่พ้น ซึ่งตรงนี้หมายถึงรับผลทั้งทางเนื้อหนัง ร่างกาย หรือเรียกว่าบนโลกใบนี้ได้รับ หรือเรื่องทางวิญญาณก็ได้รับเช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น ทางวิญญาณเมื่อตะกี้ เราคุยกันว่าถ้าวิญญาณคนนั้น เชื่อในพระเยซู ซึ่งได้รับกฎใหม่ จากพระเยซูคริสต์ การอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ มีกฎใหม่ ชนะกฎของความบาปและความตาย  วิญญาณเขาก็รอด เขาก็ไปสู่สวรรค์ แต่ถ้าเขาไม่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่พึ่งอาศัยในกฎใหม่นี้ เขาก็ยังอยู่ภายใต้กฎเดิมอยู่ เขาก็ถูกดูดหรือถูกผลักลงไปสู่ความพินาศ ในกฎเดิม คือกฎความบาปและความตาย

ทางเนื้อหนัง ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปทำสิ่งใดต่างๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือไม่? เป็นกระเทียมดอง กระเทียมสด เราต้องรับผลสิ่งต่างๆ เหล่านั้น จำได้ใช่ไหมครับ?

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าใครทำสิ่งใด ต้องรับผลในสิ่งนั้น เปรียบเสมือนการหว่านเม็ดพืชใช่ไหม? ที่ตะกี้บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม ใช่ไหม?

กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”

 

สุภาษิตจีนบอกว่า “ปลูกแตงโม ก็ต้องแตงโม  ปลูกถั่ว ก็ได้ถั่ว”

เพราะฉะนั้น ใครหว่านอะไร ก็ต้องได้รับสิ่งนั้น สรุปคือในตอน 7 ที่เราได้บรรยายกันในสัปดาห์ที่แล้ว เราก็ใช้ชื่อตอนว่าอะไรดี? “ปลูกแตงโม ก็ได้แตงโม” จำไว้นะ ต่อไปนี้ บทที่ 7 ชื่ออะไร? “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” ท่านนึกถึงปลูกแตงโม ท่านนึกถึงกาลาเทีย บทที่ 6 ที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน

เพราะฉะนั้น สรุปให้ฟังแล้วว่าคราวนี้ ถ้าพูดถึงชื่อตอน “นั่งเครื่องบิน” “กระเทียมดอง” “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”

ท่านก็พอจะจำได้นะครับว่า “อ๋อ! มันเรื่องราว มันเป็นอย่างไร?  คืออะไร?” พอนึกออกแล้วนะครับว่าภาพรวมๆ คืออะไร? หมายถึงอะไร?

“ฟังหรือยัง?”

“ตอนไหน?”

“ตอนปลูกแตงโม ได้แตงโม”

“อ๋อ! เห็นภาพเลย ใครหว่านอะไรได้อย่างนั้น หว่านทางวิญญาณ ได้วิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ได้เนื้อหนัง หว่านสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะทางวิญญาณหรือเนื้อหนัง ก็ต้องเก็บเกี่ยว เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้”

“นั่งเครื่องบิน”

“อ๋อ! นั่งเครื่องบิน ฉันอาศัยเครื่องบิน … บินได้ ในทำนองเดียวกัน ฉันอาศัยพระเยซูคริสต์ ฉันก็อยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย ไม่ต้องตกนรก”

อะไรอย่างนี้ เห็นไหม? มันง่าย ที่ท่านจะจำได้

“ฟังตอนกระเทียมดองหรือยัง? ฟังหรือยัง? หมายความว่าอย่างไร? กระเทียมดอง มันชัดนะกระเทียมดอง ก็รู้อยู่แล้ว”

“ฟังแล้วตอนกระเทียมดอง ฉันเป็นกระเทียมดอง เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง? ฉันดองกับพระเยซูไปแล้ว ฉันดองกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีทางกลับไปเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เธอเป็นกระเทียมดองหรือยัง”

มันแค่นี้เอง แล้วไปฟังรายละเอียดก็แล้วกันในนั้น จำง่ายดีนะ

มีตอนอะไรบ้างที่พูดเมื่อตะกี้นี้ นั่งเครื่องบิน,  กระเทียมดอง,  ปลูกแตงโม ได้แตงโม ท่านทราบแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์นี้ ก็มาตั้งกันต่อ

จริงๆ แล้ว ถ้าใครฟังการบรรยายในชุดซีรี่ส์นี้ มาทั้งหมด 7 ตอนเข้าไปแล้ว ครั้งนี้ตอนที่ 8 ถ้าตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ท่านจะจับประเด็นได้เลยว่าเนื้อหาทั้งหมด ที่ผมพูดมานั้น ที่บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ผมจะเน้นย้ำ ขยายความ แล้วก็วนไปวนมา อยู่ที่ 2 ประเด็นเท่านั้น ทำให้ท่านหัวเราะบ้าง? จำได้บ้าง? แต่ทั้งหมดอยู่แค่ 2 ประเด็นหลักๆ เท่านั้นเอง เนื้อหาที่คุยกันมา 7, 8 สัปดาห์ ในเรื่องเกี่ยวกับเราเป็นใครในพระคริสต์ คำตอบ ก็คือเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ต้องมีคำว่า “แล้ว”

เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เข้าไปสู่ความเป็นหนึ่ง เขาเรียกว่า “Partaker of the divinature” เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพแล้ว

และเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เราก็ควรจะมีสันติสุข มีความสงบสุข ทั้งทางวิญญาณและในทางโลกนี้ด้วย

วนเวียนอยู่ 2 ประเด็นนี้ตลอดเลย  ที่เราคุยกันมาตลอด อยู่แค่นี้ 2 เรื่องนี้

ประเด็นแรก คือรอดทางฝ่ายวิญญาณ

          วนเวียนกันอยู่แค่นี้ว่ารอดทางฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? รอดทางฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราก็ได้เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ และวิญญาณของเราในขณะนี้ ก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานรวมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

 

ให้พูดพร้อมกันว่า “แล้ว”

แล้วนี้ สำคัญมากนะครับ “แล้ว”

ในประเด็นแรกนี้  มาถึงวันนี้ ฟังกันมาถึง 7 ตอนแล้ว ท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม? ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ตอบสิ ฟังมา 7 ตอนแล้ว เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ … เก่ง ยอด ถ้าใครคนไหนบอกเข้าใจ แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจฟัง คนฟังทางบ้าน งง กันใหญ่เลย  ถูกไหม? เข้าใจไหม 7 ตอน ไม่เข้าใจ แต่ถามว่า 7 ตอนผ่านมา ท่านเชื่อเพิ่มขึ้นไหม?

พูดดังๆ “ใช่”

เราใช้ความเชื่อ เราไม่ได้ใช้ความเข้าใจ เห็นไหม เยี่ยมเลย เห็นไหม? ผมกลัวท่านตอบว่าเข้าใจๆ ผมกลัวมากเลย ลุ้นมาตั้งนาน เพราะฉะนั้น ถามอีกทีว่าเรียนมาทั้งหมด 8 ตอนแล้ว ท่านเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เราอยู่ในพระคริสต์ ท่านเข้าใจไหม? ตอบครับ ไม่กล้าตอบ ไม่เข้าใจ ผมก็ไม่เข้าใจ อยู่ในพระคริสต์ใครจะเข้าใจ ผมนั่งอยู่ที่นี่แล้ว นั่งอยู่ในพระเยซู อยู่ในสวรรค์สถานด้วย ใครจะไปเข้าใจเล่า แต่ผมเชื่อ … เชื่อมากขึ้นอีก เชื่อขึ้นเรื่อยๆ เลย

ส่วนประเด็นที่ 2 คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้เราได้รับสันติสุข ในระหว่างดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราอยู่บนโลกใบนี้แบบทุกข์ทรมาน เพื่อรอวันที่พระองค์จะมารับเรากลับบ้านไปสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น จริงอยู่ว่าโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แล้วเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ตามที่พระเยซูบอกจริงๆ แต่พระเจ้าก็ต้องการให้เรามีสันติสุขท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเช่นนั้น เช่นเดียวกันนะ แล้วมันเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าคงไม่ต้องการให้เราได้รับตรงนี้ พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว

ในเรื่องของทางวิญญาณ ท่านได้รับมาแล้ว เรียบร้อยทุกอย่าง ครบบริบูรณ์เลย ทางวิญญาณนะ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทรงทำให้หมดแล้ว ถูกไม่ถูก? ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ความรอดทุกอย่าง พระพรทุกอย่างทางฝ่ายวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ เอเมน ถูกไหม?

แต่ในประเด็นที่ 2 สันติสุขท่ามกลางโลกใบนี้  ซึ่งเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่วิญญาณนะ เรื่องของทางเนื้อหนัง อันนี้ยังต้องใช้ความพยายามของเรา ในการกระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่ กระทำตาม เขาเรียกว่าพระประสงค์ของพระเจ้า เรายังต้องสนใจและต้องตั้งมั่นที่จะกระทำอยู่ และยังจำกันได้ใช่ไหมครับ? ที่ผมบอกว่าให้เราเรียนรู้จากชีวิตของอาจารย์เปาโล ถูกไหม?  ที่ท่านเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต โดยให้วิญญาณนำ วิญญาณที่มีพระวิญญาณนำ โดยวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์นำ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้ ได้รับสันติสุขและความสงบอย่างแท้จริงขึ้น ซึ่งเคล็ดลับ ก็คือให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

เราจำได้ไหม? ผมเอาข้อพระคัมภีร์นี้มา เรามาทบทวนอีกทีหนึ่ง ข้อพระคัมภีร์นี้ ที่เปาโล อาจารย์เปาโลสอนเราว่าเคล็ดลับของอาจารย์เปาโล คืออะไร?  และต้องการให้เราทำอะไร? จึงจะได้รับสันติสุขและความสงบสุขบนโลกใบนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะจากโลกใบนี้ไป ชนะโลกใบนี้ได้อย่างไร? โคโลสี 3:1-4 ต้องจำตรงนี้ให้แม่นๆ นะครับ เป็นหลักการในการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้เลยคริสเตียนที่รักทุกคน

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

ลองพูดตามผมนะ ใส่ชื่อท่านนะ

“ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก … จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”

“รู้”

“รู้ไหม … ถามใคร”

“ถามตัวเอง”

รู้ไหม? ถามตัวเอง รู้ เราต้องอยู่อย่างนี้ จนถึงวันสุดท้ายที่เราจากโลกนี้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้อธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ที่บอกว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก”

จดจ่อ คืออะไร? ปักใจ จับจ้องอยู่กับไหน? อยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก เบื้องบนคืออะไร?  เบื้องบนคือวิญญาณ คือสวรรค์

ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Set your mind above where Christ is.” ตั้งโปรแกรมไว้ที่โน่น จดจ่อไว้โน่น ไว้ที่สวรรค์ ในโลกวิญญาณ

“ที่วิญญาณฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”

Set your mind ก็เปรียบเหมือนการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์นะว่าจะทำอะไร ก็ต้อง Set … Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมทางความคิดในใจของเราว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร? ก็คือ Set ว่าจดจ่อที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณ

“จดจ่อที่ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้าในสวรรค์สถาน จดจ่อว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า” อย่างนี้

ที่ผมเปรียบเทียบการตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะอะไรรู้ไหมครับ?  เพราะเวลาที่เราตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางครั้งมันก็อาจจะ Error แล้วเวลามัน Error เราทำอย่างไร? เราก็ต้อง Reset หรือว่าต้อง Reboost ใช่ไหม?

ให้ทุกคนพูดพร้อมกันนะครับ “Error”

รู้ไหมว่า Error แปลว่าอะไร? ง่ายๆ เพี้ยน มันเพี้ยน Error แปลว่าอะไร? เพี้ยน … เพี้ยนแปลว่าอะไร? Error … เพี้ยนแปลว่าบ้าๆ บอๆ มันบ๊องไปแล้ว ว่า Error คืออะไร? มันเพี้ยนๆ มันไม่เหมือนเดิม มันเพี้ยนๆ มันทำอะไรมั่วๆ ซึ่งถ้าเครื่องดีๆ หน่อย มันรีเซทแป๊บหนึ่ง มันขึ้นมานะ แต่ถ้าเครื่องมันไม่ค่อยดี กว่าจะรีเซทขึ้น เอียงไป เอียงมา  เดี๋ยวท่านดูนะว่าคริสเตียนเป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย

เช่นเดียวกัน การตั้งโปรแกรมทางความคิดจิตใจ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก Set your mind … Set out mind การตั้งโปรแกรมทางด้านจิตใจ เหมือนกันเลยนะครับ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? แทนที่เราจะจดจ่ออยู่เบื้องบน ตามที่ผมบอก ตั้งใจจะจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน อยู่ที่โลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า แต่บ่อยครั้ง มันก็เกิด Error  เกิดอะไร? บ่อยครั้งมันก็เกิด Error คราวนี้ภาษาไทย เกิดอาการเพี้ยน บ้าๆ บอๆ มันก็บ๊องๆ มันไม่ยอมไปอยู่เบื้องบน มันก็เกิด Error เราก็ต้องทำอะไร? เหมือนกัน ก็คือต้อง Reset หรือ Reboost เหมือนกัน ต้องรีเซทมันขึ้นมา ตั้งโปรแกรมความคิดของตัวเองขึ้นมาใหม่ เวลามันมีการ Error เกิดขึ้น จำได้ใช่ไหม? สัปดาห์ที่แล้วบอกไว้ แล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ถึงวันนี้ ท่าน Error ไปกี่ครั้ง? ท่านเพี้ยนไปกี่ครั้ง? ตกจากสวรรค์มากี่ครั้ง? ตกหรือเปล่า?  หรือไม่ตก ถามจริง เดี๋ยวฟังต่อไป ท่านจะตอบเองว่าที่ตอบตะกี้นี้ ท่านตอบถูกหรือตอบผิด ตอบจริงใจหรือเปล่า? Error หรือเปล่า?

แล้วผมก็บอกว่าถ้าจะให้เรา Set mind มันต้องทำอะไร? เคล็ดลับ ในนี้บอกว่า Set คือให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้องความคิดของเรา ไปที่ไหน? โลกวิญญาณที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า  ผมบอกเคล็ดลับอยู่ที่ไหน?  เคล็ดลับ ก็คือให้เราทำอะไร? ให้เราเพียงแค่หลับตา แล้วผมก็เลยร้องเพลงแค่หลับตา เป็นเพลงที่พระเยซูร้องให้เราฟัง พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังว่าถ้าเกิดเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระเยซูร้องเพลงนี้ให้เราฟังตั้งแต่เช้ายันค่ำเลย อ้าว! มาร้องด้วยกัน ได้หรือเปล่า? เดี๋ยวผมสอนให้ สมมติว่าพระเยซูร้องให้ท่านฟังนะ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้จะเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่มันยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายนี้อยู่ เดินไปก็เห็นแต่โลกวัตถุ ฝ่ายวัตถุบนโลกใบนี้  และแม้เนื้อหนังร่างกาย ก็อยากให้เราทำสิ่งที่เป็นตามโลกวัตถุสิ่งของ เกี่ยวกับเนื้อหนังนี้ มันเหนื่อย เจอปัญหาอะไรต่างๆ เหนื่อยต่างๆ พระเยซูก็เดินอยู่ข้างๆ เรา เดินอยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา ร้องเพลงให้เราตลอดเวลาว่าให้เข้ามาหาพระองค์สิ พระองค์มีกำลังที่จะเสริมให้กับเรา พระองค์สามารถช่วยเราได้

หากวันใด ที่เธอไหวหวั่น                อ่อนล้า ทุกสิ่งดูเลือนราง

                        จะดูแลใจเธอ แม้กายเราต้องห่าง  เมื่อยามที่เธอต้องการใครซักคน

** แค่หลับตา                                   เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ

                                    จะมีฉันและเธอเท่านั้น                  ลำพัง  ไม่มีผู้ใด

                                    แม้โลกจะสับสน                             ผู้คนจะมากมาย

                                    แค่หลับตา  เปิดหัวใจ              ให้เราได้พบกัน **

ซึ้งไหม? ปรบมือขอบคุณพระเยซูนะ นี่เป็นคำพูดพระเยซูทั้งหมดเลย เอามาแต่งเป็นเพลง เป็นคำพูดของพระเยซูทั้งหมด พระองค์คอยเคาะอยู่ที่หัวใจเรา ไม่ใช่เคาะเฉพาะคนที่ไม่เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วก็เคาะ เพราะบางครั้ง เราลืมพระองค์ไง เราดำเนินชีวิต บางวันเรานึกว่าเราเดินคนเดียว เราทิ้งพระองค์ไป พระองค์หงอยเลย  เราทิ้งพระองค์ไปเฉยๆ อย่างนั้น ตอนตื่นเช้ามาอธิษฐาน เสร็จออกจากบ้านไป ทิ้งพระองค์ไว้ที่ห้องอธิษฐาน  แล้วก็ไปเผชิญชีวิตด้วยตัวเอง เหนื่อยแสนเหนื่อย ลิ้นห้อย

“พระเยซูอยู่ไหน?”

“ก็ฉันอยู่กับเธอตลอดเวลา เธอไม่เห็นจะสนใจ หลับตา นึกถึงฉันบ้างสิ จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน เธอจะเห็นฉันเคียงข้างเธอเสมอ” เอเมน

          ถ้าเรา Set mind ของเรา หรือความคิดของเรา จดจ่อความคิดของเรา ตั้งโปรแกรมความคิดของเรา ให้ปักใจ ให้จับจ้อง จดจ่ออยู่ที่เบื้องบน คือจดจ่ออยู่ที่โลกวิญญาณนั่นเอง เพียงแค่เราหลับตา แล้วก็จะรับรู้ว่าเรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน แม้ว่าร่างกายเราจะยังอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แต่เราเห็นชัดเจนว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

 

และพอเราจดจ่อความคิดของเราอย่างนั้น อยู่เบื้องบนแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ทราบไหมครับ? เมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับอาจารย์เปาโล ที่บอกเมื่อตะกี้นี้  คือเราก็จะเห็นภาพชัดเจนของโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นจริง มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่หลับตา ไม่จดจ่อตรงนี้ เราก็จะถูกหลอกตลอด สิ่งที่เราเห็นบนโลกใบนี้ มันเป็นโลกวัตถุทั้งสิ้น สิ่งที่เรามองเห็น เขาเรียกว่าโลกวัตถุ โลกฝ่ายเนื้อหนัง คือพวกวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้นี้ และในเนื้อหนังร่างกายนี้ ซึ่งภาพมันชัดตามสายตาเนื้อเรา … เรามองมันชัด เราสามารถจับมันได้ มองเห็นได้ด้วยตาทางกาย ไม่ต้องไปจดจ่อ มันก็เห็นแล้ว แค่เดินผ่าน มันก็เห็น แค่จับมันก็เห็นแล้ว มันเห็น

แต่การที่จะทำให้เราสามารถรับรู้หรือเป็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ ในโลกฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนนั้น เรายังต้องใช้ความพยายามในการจดจ่อจับจ้อง ตั้งเป้า ที่เปาโลใช้คำว่า Set your mind ก็คือตั้งโปรแกรมของความคิด จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายวิญญาณ พุ่งเป้าไปที่ฝ่ายวิญญาณ

ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเราไม่พยายามจดจ่อเลย ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ท่านคิดว่าโดยธรรมชาติของเนื้อหนัง ท่านจะเห็นภาพทางไหน? รับรู้ทางไหนชัดเจนกว่ากัน ตอบครับ? เนื้อหนังมันชัดเจนกว่าแน่นอน เห็นไหมครับ ท่านแพ้แน่นอน

ระหว่างภาพวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้  กับภาพทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่บอกว่าเรากำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์อยู่ … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราเป็นลูกของพระเจ้านะ ใครชัดกว่ากัน ถ้าเราไม่ตั้งใจและ Set โปรแกรมความคิดเราไว้ เราก็แพ้ เราก็ตกลงมาอยู่ที่สิ่งที่เราเห็น จับต้องได้ ความรู้สึกต่างๆ  ถูกไหม? อย่างนี้ ยกตัวอย่างอย่างนี้ ท่านคิดเองก็ได้ว่าอันไหนชัดกว่ากัน ท่านกำลังเจ็บป่วยอยู่ ร่างกายเราเจ็บป่วย เจ็บปวด … ปวดตรงนั้น เห็นชัดๆ แต่พอหลับตา ท่านเห็น

“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์ I am heal. ฉันได้รับการรักษาให้หายเรียบร้อยไปแล้ว จากบาปทั้งสิ้น พระเยซูรักษาฉันแล้ว เห็นไหมครับ โอกาสที่เราจะตามเนื้อหนังมันมีเยอะกว่าเยอะ  เพราะมันกระตุ้นเราตลอดเวลา มันเจ็บ แต่ถ้าเรา Set ฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่าตั้งเป้าไว้ที่ฝ่ายวิญญาณ ตั้งเป้าไว้ที่ความคิดในโลกฝ่ายวิญญาณ จดจ่ออยู่ที่นั่น เราสามารถมีสันติสุขได้ ขณะที่เจ็บป่วยนะครับ นี่คือสิ่งที่เปาโลบอกว่ามันเป็นเคล็ดลับ … เคล็ดลับอยู่ที่แค่หลับตา คืออะไร? แค่ตั้งความคิดไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งความคิดไว้ที่เบื้องบน จดจ่อไว้ที่เบื้องบน

“แม้ตอนนี้เราจะขัดสน ขาดแคลน มีคนมาทวงหนี้เยอะแยะ แต่ในวิญญาณนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันมีมากมายมหาศาล ฉันมีชีวิตยิ่งกว่ามหาเศรษฐีอีก”

แล้วมันเป็นจริงตามนั้น เพราะพระเจ้าเป็นผู้บอกเอง พระคัมภีร์บอกกับเราอย่างนั้น มันก็ต้องใช้ฝึกเอา เห็นไหมครับ?

“ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนบาป ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ทำอันนั้นก็ผิด ทำอันนี้ก็ผิด ทำอันนี้ยังผิดบาปอยู่เลย ก็โกหกเขาอยู่เลย ไม่มีดีอะไรสักอย่าง เธอต้องชดใช้กรรมของตัวเอง ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็ต้องไปใช้กรรม ใช้เวร คนเราเกิดมาใช้เวรใช้กรรมตลอดเวลา ทั้งโลกนี้ พูดอย่างนั้นตลอด เข้าหูเราตลอด ได้ยินมาตลอด”

แต่พอเราหลับตา เคล็ดลับหลับตา Set mind ความคิดจดจ่ออยู่ที่เรื่องเบื้องบน ทางฝ่ายวิญญาณปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้า ที่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาด ไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียว เป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีวันกลับไปเป็นกระเทียมสดอีกแล้วตลอดไป เอเมน อย่างนี้ถามว่าอะไรยากกว่ากัน การ Set การตั้งโปรแกรม ความคิดไปที่วิญญาณมันยากกว่า ถามว่ามันทำได้ไหม? มันทำได้นะ เปาโลจึงอยากให้เราทำไง ทำแล้วเราจะได้เหมือนที่เปาโลได้

เพราะฉะนั้นที่บอกว่าให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน หรือจดจ่อกับทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ทางฝ่ายโลก มันจึงทำให้เกิดอะไรขึ้น  มันทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนอย่างที่เปาโลรู้สึก ยิ่งจดจ่อมากเท่าไร เขาเรียกว่ายิ่งซึมซับ อิ่มในโลกฝ่ายวิญญาณมากเท่านั้น  ในระหว่างที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณเราเป็นใคร? เรารู้เราเป็นใคร? เดินไปที่ไหนเราก็รู้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ พระเยซูเดินอยู่กับเราตลอด ก็สามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีสันติสุข และมีชัยชนะ และถ้าเมื่อไรที่ความคิดจิตใจของเรา เห็นภาพฝ่ายวิญญาณชัดเจน คือรับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณชัดเจน เมื่อเราจดจ่อมากๆ เราก็จะสามารถที่จะรับรู้ และเห็นภาพโลกวิญญาณมันชัดมากขึ้น ชัดมากยิ่งขึ้น มากกว่าอะไร? มากกว่าภาพทางฝ่ายโลก

มันมี 2 ภาพ 2 ข้าง ถ้าท่านจดจ่อแบบที่เปาโลบอก ท่านจะเห็นภาพในโลกฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ชัดเจนกว่าที่เห็นบนโลกใบนี้ เมื่อนั้น ถ้าท่านได้อย่างนั้นเมื่อไร? เมื่อนั้น การดำเนินชีวิตของเราก็จะมีสันติสุข มีแต่สันติสุข ความสงบ ได้พบกับความสงบสุขใจอย่างแท้จริง พระเยซูได้คำนี้ว่าเป็นอิสระอย่างแท้จริง In deed เลย ไม่ใช่อิสระเฉพาะวิญญาณว่าจะได้ไปสวรรค์อย่างเดียว แต่อิสระเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องตกลงไปในความทุกข์ลำบากเหมือนแต่ก่อน  และขณะที่เรา Set ตัวเราแบบนั้น อย่างที่ตะกี้บอก เป็นเคล็ดลับว่าเราหลับตา แล้วเราเห็นเลย  เห็นภาพทางฝ่ายวิญญาณ เห็นอะไร?  โอโห้! เรานั่งอยู่ที่หัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น ไม่ใช่เบื้องขวาของพระเจ้าอย่างเดียว แต่นั่งอยู่ในใจของพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว มันยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะคิดได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อพระวิญญาณนำเรา แล้วเราจดจ่ออยู่ตรงนั้น  พระวิญญาณจะเป็นผู้  … เขาเรียกว่าเป็นพยานให้กับเรา เป็นผู้ย้ำยืนยันในจิตวิญญาณของเราว่ามันเป็นจริงครับ มันเป็นจริงจ๊ะ มันเป็นจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ นั่งอยู่กับพระองค์จริงๆ

นั่นเป็นสันติสุขจริงๆ หลับตาเมื่อไรก็เห็นพระเยซูอยู่กับเรา ไม่ใช่อยู่กับเราแค่นั้น เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซูเลย เรานั่งอยู่ที่นั่น และเมื่อความคิดจิตใจของเราจดจ่อได้ถึงระดับนี้ หรือระดับที่พูดถึงนี้เมื่อไร? คือระดับที่หลับตาก็เห็นเรานั่งอยู่ในพระเยซู นั่งอยู่ที่ใจพระเยซู ถ้าได้ระดับนี้เมื่อไร? ถึงวันนั้น เราก็จะเหมือนเปาโล เราก็ไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้หรอก  เราก็ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เหมือนเปาโลที่บอกว่าถ้าเลือกได้ อาจารย์เปาโลก็อยากจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เห็นสนุกอะไรเลย  ข้างบนมีความสุขกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้อง Set mind อีกแล้ว ถ้าไปอยู่ข้างบน เบื่อข้างล่างแล้ว  ไม่ใช่การเบื่อแบบชนิดท้อแท้ใจ จะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แต่เบื่อ เห็นภาพชัดเจน คิดถึงพระเยซู จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า อย่างนี้  อยากอยู่สวรรค์เร็วๆ

ลองอ่านดูนะว่าประสบการณ์ของเปาโล ต้องการให้เราได้รับอะไรเหมือนท่านบ้าง? ผมจะเอามาให้ท่านอ่านดูว่าท่านอยากได้อย่างนี้ไหม? ฟิลิปปี 1:21-26

ฟิลิปปี 1:21-26 “21 เพราะสำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไป ก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก 24 แต่การที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นสำหรับพวกท่านมากกว่า 25 เมื่อแน่ใจอย่างนี้  ข้าพเจ้าก็รู้ว่าจะยังอยู่กับพวกท่านทั้งปวงต่อไป เพื่อความก้าวหน้า และความชื่นชมยินดีของท่าน ในความเชื่อ 26 เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับพวกท่านอีก พวกท่านก็จะชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์ อย่างเปี่ยมล้น เนื่องด้วยข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่า “ใจหนึ่งอยากจากไป เพื่ออยู่กับพระคริสต์ ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก” อาจารย์เปาโลต้องการให้เราได้รับแบบท่าน

เปาโล คือผู้ที่จดจ่อความคิดและจิตใจของท่านอยู่ที่เบื้องบน ฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา คือเห็นภาพ รับรู้ ได้ยิน ได้เข้าใจทางฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา ชัดเจนกว่าภาพของโลกใบนี้ ชัดเจนกว่าการรับรู้สิ่งของหรือสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลก็รับรู้บนโลกใบนี้ด้วย แต่ภาพของการรับรู้ทางฝ่ายวิญญาณของอาจารย์เปาโลชัดมาก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเปาโล ก็คือท่านอยากไปอยู่ทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าแล้วตอนนี้ ไม่อยากไปอยู่บนโลกใบนี้ อยากอยู่กับพระเจ้าดีกว่า ทิ้งร่างกายนี้ดีกว่า

“แต่ข้าพเจ้าไปไม่ได้ ถึงแม้อยากจะไป เพราะพระเจ้ายังใช้ข้าพเจ้าให้ทำงานอยู่ ก็เห็นแก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าจึงยังอยู่ในร่างกายนี้  เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้สอนพวกท่านในเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ต่อไปไง คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ให้เป็นประโยชน์”

คือพูดง่ายๆ พระเจ้ายังใช้อยู่ ให้เป็นประโยชน์อยู่ ใช้ร่างกายนี้ทำงาน ก็คือประกาศข่าวประเสริฐ ทำอะไรก็ได้ตามน้ำพระทัยพระเจ้าต่อไป บางคนคิด

“ฉันก็เหมือนเปาโลนะตอนนี้ ฉันก็อยากจะไปเหมือนกัน ทำไมพระเจ้าไม่ให้ไป ฉันก็ไม่เห็นไปประกาศข่าวประเสริฐที่ไหนเลย”

คำว่า “ประกาศข่าวประเสริฐ” ไม่ใช่ทุกคนต้องทำเหมือนเปาโลนะ เข้าใจใช่ไหมครับ? ที่พระเจ้าให้ท่านยังอยู่ ก็ให้ท่านรับใช้พระเจ้า ในการประกาศข่าวดี ในรูปแบบที่พระเจ้าเตรียมให้กับท่าน อะไรก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแม่บ้าน ก็เป็นแม่บ้านต่อไป  เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นอาม่า อากงแก่ๆ พระเจ้ายังไม่รับไป ก็อยู่ แสดงว่าพระเจ้าใช้เขา ใช้ทำอะไร ไม่รู้ แล้วแต่พระเจ้าจะตั้งชีวิตแต่ละคนไว้เป็นอย่างไร? จงขอบคุณพระเจ้า ขณะนั้น เรายังทำงานอยู่ เมื่อหมดหน้าที่ ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเด็กขนาดไหน? เล็กขนาดไหน? อายุเท่าไร? ถ้าหมดหน้าที่ พระเจ้ารับไปทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องห่วง พระเจ้าดูแลให้เรื่องนี้ เอเมน เข้าใจนะ ไม่ใช่เดี๋ยวกลับไปนี้ ทุกคนพยายามที่จะหา ประกาศข่าวประเสริฐกันใหญ่ ไม่ใช่ ประกาศอยู่แล้ว ท่านทำกับข้าวอยู่ดีๆ อยู่ที่บ้าน ดูแลลูกหลาน เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน ท่านก็กำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ พอเข้าใจไหม? เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ต้องมาทำตามกันทุกคน ไม่ต้องทำเหมือนกันหมด

แล้วเปาโล คนเดียวกัน ก็ได้รู้แล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายวัตถุ มันแตกต่างกันอย่างไร? เปาโลจึงบอกว่า.-

“ในขณะที่ข้าพเจ้าขัดสน แต่ข้าพเจ้ามีพร้อม”

ฟังดู ฟิลิปปี 4:11-13 ดูสิ ประสบการณ์อย่างนี้ อยากได้ไหม? อยากได้มาก เป็นเหมือนเมื่อตะกี้นี้ที่ผมพูดไหม? เหมือนเลย ถ้าเราทำอย่างที่เปาโลสอนเราได้ คือตั้งโปรแกรม ความคิดของเรา จดจ่อไว้ที่เบื้องบน  เราก็จะได้รับสิ่งนี้เหมือนกัน

ฟิลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมี ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร 12 ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”  เอเมน

 

“นคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร?  และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ก็รู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร?”

และเราก็รู้ว่ายามแข็งแรงเป็นอย่างไร? ยามร่างกายร่วงโรยอ่อนแอมันเป็นอย่างไร? รู้ไหม? และข้าพเจ้าก็รู้ว่าไปไหนมิตรสหาย ก็เข้าใจข้าพเจ้าหมด กับตอนนี้บางคนเขาไม่เข้าใจ มันต่างกันอย่างไร? รู้ไหม? รู้ ชีวิตบนโลกเป็นอย่างนี้

ฉะนั้นเปาโลบอกว่าอย่างไร? “ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับ ที่จะพอใจกับสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ทุกสถานการณ์เลย”

เราตะกี้นี้ บอกเราอยู่ในสถานการณ์ทั้งหมดนั้น เราอยากมีความพอใจในทุกสถานการณ์ไหม? เราอยากมีความพอใจ ในตอนที่เพื่อนฝูงไม่เข้าใจเรา คนนี้ก็ไม่เข้าใจเรา ทั้งๆ ที่เราหวังดีกับเขา เราทำดี เขาไม่เข้าใจหรอก เราอยากจะมีความพอใจในขณะที่ถูกเขาเอาเปรียบเราไหม? เขาเอาเปรียบเราใหญ่เลย  เราก็ยังพอใจอยู่ ยิ้ม เราพอใจไหม?  ที่ตอนนี้ เราพยายามดูแลสุขภาพที่สุด มันได้แค่นี้ มันเจ็บป่วยไปตามวัย หรืออะไรก็ว่าไป  เราพอใจได้ไหม? เราพอใจในขณะนี้  ที่เราขาดๆ เกินๆ ไม่มีเกินหรอก มีขาดอย่างเดียว เงินก็ไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง มีแต่หนี้สิน เราพอใจไหม? หรือเรากำลังบอกว่า.-

“ไหนๆ พระเยซูคริสต์บอกเราจะมีเยอะแยะมากมาย ไม่เห็นมีเลย”

หรือเราพูดอย่างนั้น เราบ่นอย่างนั้น หรือเราบอกว่า.-

“ขอบคุณพระเจ้า ลูกทำดีแล้ว ฝากไว้ที่พระองค์”

เราพอใจไหม?  ถ้าเราอยากพอใจ ไม่ยาก มันมีเคล็ดลับ มาดูกันต่อไป

เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าเผชิญเรือแตก ก็ทนได้ ข้าพเจ้าเรียนรู้วิธีที่จะอยู่บนโลกนี้อย่างพอเพียง เพราะข้าพเจ้ารู้เคล็ดลับ”

เคล็ดลับ คืออะไร? เปาโลรู้แล้ว บอกเราเรียบร้อยแล้ว เคล็ดลับ ก็คือแค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ ใช่ไหม? เคล็ดลับ ก็คือมองไปที่เบื้องบน เคล็ดลับ ก็คือจดจ่อความคิดเราไปที่เบื้องบน เคล็ดลับของเรา ก็คือ Set ตั้งโปรแกรมเราไว้ที่เบื้องบน ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราอยู่ในพระองค์ เรานั่งอยู่ในหัวใจของพระเยซู เอเมน พูดแค่นี้ยังมันเลยนะ  ภาพตอนนี้ท่านชัด เพราะท่านฟังอยู่ แต่เดี๋ยวออกจากโบสถ์ไป ท่านก็เริ่มลางเลือนแล้ว ตอนที่ออกจากนี้ไป  รถท่านถูกเฉี่ยวตอนนี้ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ก็ถูกลากลงมาอยู่บนโลกใบนี้

“รถของฉัน”

“ที่ไหนรถของเธอ? ที่ไหน?”

“บนโลกใบนี้”

“แล้วมันเป็นอะไร?”

“กระจกมองข้างมันหายไปแล้ว”

เมื่อท่านออกไป แล้วกลับบ้าน ขึ้นรถเมล์ โบกตั้งนาน มันไม่จอดเลย ไม่ยอมจอดเลย ท่านต้องรอตั้งนาน ร้อนก็ร้อน จนกระทั่งฝนตกมา แล้วรถถึงจะมาอีกคัน คันที่ 5 แล้วยอมจอดให้ท่านขึ้น ตอนนั้นท่านอยู่ที่สวรรค์หรืออยู่ที่บนโลก นั่นแหละ ที่ท่านฟังอยู่ในโบสถ์ ขณะนี้ จำได้ไหม? ท่านยังจำตรงนี้ได้ไหม?

          เคล็ดลับ คือให้เรารู้ว่าเราอยู่เบื้องบน เราอยู่ในสวรรค์ โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา

                   “โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา                  ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

                   สมบัติฉันสะสมไว้                    ที่ในสวรรค์เบื้องบน

                   ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่               ณ ประตูบนวิมาน

                   และฉันรู้ว่าโลกนี้                       ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย”

 

ทุกวันนี้ทูตสวรรค์ยังร้องเรียกเลย “เมื่อไรจะมาๆ”

เราก็บอกว่า “เดี๋ยวรอพ่อก่อน พ่อบอกไปเมื่อไร ก็ไป”

นี่มันหมายถึงอย่างนั้น  โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา  จะเอาอะไรกับมันมากมายนัก ใช่ไหม? นี่คือที่บอกว่าการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก มันเกิดผลอย่างนี้แหละ เอาหรือไม่เอา? อยากได้ไหม? อยากได้

คริสเตียนต้องหลับตาเดิน คริสเตียนต้องหลับตาเดินถึงจะมีชัยชนะ พระคัมภีร์บอกว่า Walk by faith Not by sight ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านเดินไป แล้วท่านหลับตา ไม่ใช่นะ ขับรถก็หลับตา ตกหลุมตกร่องไป อันนั้นช่วยไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ นี่หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ ให้เราหลับตา เราถึงจะเห็น ลืมตา เรากลับไม่เห็น คริสเตียนเราต้องหลับตา ตรงนี้หมายถึงให้เราจับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งก็คือสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ให้เราปักใจ จดจ่ออยู่ที่นั่น เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันทำไมรู้ไหมครับ? ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ชัดมากเลย บอกว่า.-

“เพราะสิ่งที่เรามองเห็น คือวัตถุสิ่งของจับต้องได้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น คือสิ่งที่อยู่เบื้องบนสวรรค์สถาน ที่เรา Set your mind นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ เอเมน”

2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรา กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

เอเมน … ขอบคุณพระเจ้า เอเมน

พูดตามผมนะครับ “เพราะฉะนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่ท้อใจอีกแล้ว ถึงแม้กายภายนอกของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังทรุดโทรมไป ป่วยบ้างนิดหน่อย เจ็บโน่น เจ็บนี่ รักษาไม่หายสักที แต่วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน ได้ยินไหม? วิญญาณภายในของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก ดังนั้น นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จึงไม่จับจ้อง ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น บนโลกใบนี้นั้น ไม่จีรังยังยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) มองเห็นนั้น การเงินนั้น ร่างกายนั้น สุขภาพร่างกายนั้น ครอบครัวบนโลกใบนี้นั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่เห็นนั้น คือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้นถาวรนิรันดร์ เอเมน”

ให้เราจดจ่อ ปักใจ จับจ้อง ที่เบื้องบน ที่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ ซึ่งเห็นไม่ชัดเจน ไม่เหมือนกับที่ตา มองก็ตาม แต่เมื่อใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าของพระเยซูที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้ คือแค่หลับตา เห็นหมดเลย เป็นไปตามถ้อยคำพระเยซูพูดทั้งสิ้น แค่หลับตา ได้ยินเสียงพระเยซูเลย แค่หลับตาได้เข้าถึงว่าพระเยซูพูดว่าอะไร? หลับตา ได้รู้ว่าน้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์ หรือของพระบิดา คืออะไร? สำหรับเราที่รักพระองค์ น้ำพระทัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้าสำหรับเราที่รักพระองค์ คืออะไร? คือสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ท่านรักพระองค์ไหม? ถ้าท่านรักพระองค์ ท่านหลับตา … หลับตาเพื่ออะไร? เพื่อพอหลับตาครั้งใด ท่านจะเห็นว่า.-

“ฉันอยู่ในพระคริสต์”

นี่คือเคล็ดลับ “หลับตาเมื่อไร ฉันเห็นว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ ทั้งหมดนั้นอยู่ในนั้นหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติ ความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ อยู่ในนั้นหมดแล้ว แล้วมันจะอยู่อย่างนั้นถาวรนิรันดร์”

เคล็ดลับ คือให้เราหลับตาเท่านั้นเอง หลับตาเราจะเห็น หลับตาเราจึงจะได้ยินเสียงพระเยซู หลับตา เราจึงจะเห็นพระองค์ หลับตาแล้วเราจะเข้าใจว่าพระองค์ต้องการให้เราทำอย่างไร? หลับตาแล้วเราจะรู้ว่าเราควรดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างไร? หลับตาลง ร้องบทเพลงนี้ร่วมกับพระเยซู

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 7 “ปลูกแตงโม ได้แตงโม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ก่อน เทศน์เรื่องอะไร?  ตอนที่ 5 ใช้ชื่อเรื่องว่านั่งเครื่องบิน ตอนที่ 6 ครั้งที่แล้ว ใช้ชื่อตอนว่ากระเทียมดอง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนที่ 7 วันนี้ จะตั้งชื่อเรื่องหลังจากบรรยายแล้ว

ครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันเรื่องผลของการเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง และมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเราบ้าง? ซึ่งผมได้สรุปเป็น 2 ประเด็นหลักๆ มาย้ำกันดูนิดหนึ่ง

ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะกฎเก่าไปเรียบร้อยแล้ว

กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย ถ้าใครทำผิดทำบาป แม้เพียงนิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตาย ซึ่งทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎเก่าก็ต้องตายอย่างแน่นอน เพราะทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกไว้ ตายในที่นี่ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? อยู่บนโลกใบนี้ ก็ตายอยู่ ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อธิษฐานกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เห็นพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ และเมื่อทิ้งร่างกายไปนี้ ทิ้งร่างกายที่เรามองเห็นนี้ คือตายจากโลกนี้ไป ก็จะไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย

ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายไปแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ไม่ต้องตายและตายอีกไป อยู่บนโลกนี้ ก็รู้จักพระเจ้าเลย อธิษฐานกับพระเจ้า รู้จักกับพระเจ้าพระบิดาเลย แล้วก็เมื่อทิ้งร่างกายนี้  ร่างกายที่เราอยู่อาศัยนี้  จากโลกนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล นั่นแหละเรียกว่าอยู่ในกฎใหม่ หลุดพ้นจากความบาปและความตาย หมายถึงอย่างนี้นะ นี่คือประเด็นแรกนะ

ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราได้กลายสภาพเป็นจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่สกปรก ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ตายอยู่”

“ตายอยู่” ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เขาเรียกว่าวิญญาณที่ตายอยู่

เราได้กลายสภาพจากวิญญาณที่ตายอยู่นี้ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาป เรียกกันว่ามีชีวิตขึ้นมาทันที พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มีชีวิต”

“มีชีวิต”

หันไปหาคนข้างๆ บอกว่า “เธอมีชีวิต”

ไม่ใช่ว่าเรามองเห็นว่าเขาหายใจ แล้วบอกว่า “เธอมีชีวิต”

ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ เข้าใจไหม? อยู่ในกฎใหม่แล้ว เป็นวิญญาณใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่มีชีวิต ท่านทราบตรงนี้นะ แปลว่าอย่างนี้นะ เมื่อไรก็ตามได้ฟังคำบรรยาย หรือว่าอ่านเองในพระคัมภีร์ ถ้าบอกว่ามีชีวิต ท่านมีชีวิต มันหมายถึงวิญญาณนะ ไม่ใช่มาย้ำท่านว่าท่านหายใจอยู่ ท่านมีชีวิต ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เป็นเรื่องของวิญญาณ ก็คืออะไร? ก็คือสภาพเปลี่ยนใหม่ จากที่เราบอกว่าสภาพที่เป็นกระเทียมสด กลายเป็นกระเทียมดอง … ดองกับใคร? ดองกับตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเยซูพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

และในครั้งที่แล้ว เราก็ได้อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ใช่ไหม? ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้ย้ำยืนยันในบทนี้  ให้กับเราอย่างชัดเจน ระหว่างความแตกต่างของการอยู่ภายใต้กฎเก่า และภายใต้กฎใหม่ใช่ไหม? ซึ่งพอจะสรุปใจความสำคัญได้อย่างนี้นะครับว่าผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือผู้ที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์จะปักใจอยู่กับความต้องการทางเนื้อหนัง ที่พยายามจะแสวงหาความรอดจากการกระทำของตนเอง เพราะเนื้อหนังของคนเหล่านี้ ที่อยู่ภายใต้กฎเก่านั้น จะคอยกระตุก คอยย้ำเตือนว่า.-

“ต้องทำดีๆ”

เพื่อชดใช้บาปเวรกรรม ซึ่งได้ยินแว่วๆ หูตลอดเวลาว่า.-

“เมื่อไรจะชดใช้บาปเวรกรรมหมดสักทีหนึ่ง คนเราเกิดมา มันก็ต้องใช้เวรกรรม เรื่องธรรมดา”

คนที่อยู่ในวิสัยบาปจะคิดอย่างนี้  ชดใช้ก็ไม่รู้ว่าหมดเมื่อไร? เราเองสมัยก่อนก็คิดอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดสักที แต่เรารู้ว่าเราต้องใช้เวรใช้กรรม ใช่ไหม?

แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือตามวิญญาณ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณนั้น ก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นกระเทียมดอง เขาก็จะปักใจในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คืออะไร? ก็คือเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์เป็น คือต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน และพระองค์ก็ได้ประทานสิทธินั้นให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า คนที่อยู่ในพระคริสต์ก็จะปักใจตรงนี้แหละ เชื่อตรงนี้แหละ อยู่ในชีวิต มีความหวังอยู่ตรงนี้แหละ ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน

ครั้งที่แล้ว เราถึงได้จบลงที่ตรงนี้ว่าให้เราย้ำเน้นกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระคริสต์ มันอยู่อย่างไร? ลักษณะเป็นอย่างไร? แล้วก็ให้เราดำเนินชีวิตจดจ่อในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือให้วิญญาณข้างในเราเองนั่นแหละนำ พระวิญญาณนำ ถามว่านำใคร? นำวิญญาณของเรา วิญญาณของเรา คือใคร?  วิญญาณของเราที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นดองกับ 3 พระภาคนั่นเอง

เพราะฉะนั้นจะบอกว่าให้แต่ละวันเราดำเนินชีวิตให้เน้นไปที่ไหน? ที่วิญญาณของเราก็ได้ ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจไหม? หรือจะเน้นไปที่บอกพระวิญญาณนำ ก็ได้ ก็คือหนึ่งเดียวกัน เพราะทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ท่านจะมองเห็นภาพนะ เหมือนอย่างที่เปาโลพยายามที่จะบอกเราว่าเปาโลเขาได้อะไร? แล้วเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อในพระเยซู ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 เราจะอ่านกันนะครับ เปาโลอยากให้จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ เบื้องบน ก็คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ มันสำคัญกับเราอย่างไร? โคโลสี 3:1-4 อ่านแล้วเราจะได้ปฏิบัติตาม นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา ที่บอกเราว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราควรจะทำอะไร?

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เบื้องบนตรงนี้ คือที่ไหน? เบื้องบนตรงนี้ ก็คือที่ในสวรรค์ ที่เราคิดว่าเป็นในสวรรค์ หรือจะบอกว่าเบื้องบน ก็คือที่วิญญาณ หรือจะบอกว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ  หรือจะบอกว่าที่เกี่ยวกับวิญญาณ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ตรงนี้บอกให้เราจดจ่อที่ไหน? จดจ่อที่วิญญาณ คิดว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ วิญญาณพระเยซูอยู่ที่ไหน? และเรื่องเกี่ยวกับทางฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่สติปัญญาบนโลกใบนี้

ถ้อยคำตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ควรจะทำอย่างนี้ หรือการดำเนินชีวิตโดยให้วิญญาณนำ ก็คือการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ซึ่งจะทำให้ชีวิตบนโลกใบนี้พบกับสันติสุข ความสงบสุขมากเลยทีเดียว เหมือนที่เปาโลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ทำได้ เอเมน เรียกว่าอัศจรรย์ ชีวิตอัศจรรย์ มันเป็นไปได้จริงๆ  คือในทางวิญญาณ ใครที่ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ฟังให้ดีๆ นะครับ ใครที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในทางวิญญาณนะ ก็จะได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้รับสันติสุขขณะอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่รอคอยที่วันหนึ่งพระเจ้าจะรับวิญญาณเรากลับบ้าน ทิ้งร่างเก่านี้ไป ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเยซูต้องการให้เรา มีชีวิตอยู่ที่เต็มไปด้วยสันติสุข หายเหนื่อยและเป็นสุข แสดงว่ามันเป็นไปได้จริงๆ ไม่อย่างนั้น พระองค์คงไม่พูดว่าให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข

นี่เป็นอะไร?  นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้าต้องอดทน ทุกข์ๆ ไป ไม่มีทางเลือกเลยนะ  แล้วก็รอให้ไปสวรรค์ แล้วจะมีความสุข ไม่ใช่ … ใช่บนโลกใบนี้มีความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบนี้ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ตกอยู่ในความบาป  ที่อาดัมและอีฟได้นำเข้ามาบนโลกใบนี้แล้วก็จริงอยู่ แต่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? อยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราได้ชนะโลกนี้ไปแล้ว ชนะโลก ก็คือชนะสิ่งเหล่านั้น ความทุกข์เหล่านั้น ไปเรียบร้อยแล้ว ความวุ่นวาย ความวิปริต ผิดเพี้ยนของโลกใบนี้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูชนะ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูชนะ เราก็ชนะด้วย  เพราะฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบมีชัยชนะตรงนั้น  เราจะได้มีสันติสุข เขาถึงเรียกสันติสุข เขาถึงไม่เรียกความสุข มันเรียกว่าสันติสุขไง

เปาโลจึงบอกว่าวิธีการที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขบนโลกนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ก็คือ “จงให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” ภาษาอังกฤษนะครับ อันนี้พระคัมภีร์ยอดเยี่ยม ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “จดจ่อ” เขาใช้คำว่าอะไรรู้ไหมครับ? “Set your mind above where Christ is.”

Set your mind” คำนี้ยอดเยี่ยม เพราะอะไรรู้ไหมครับ ถ้าแปลตรงคำภาษาไทย ปัจจุบันนะ มันตรงกับคำที่กำลังฮิตเลย ต่อไปจะฮิตมากกว่านี้ เขาเรียกว่า Set your mind แปลว่าอะไรรู้ไหม?  Set แปลว่าอะไรรู้หรือเปล่า? ตั้งโปรแกรมความคิดของท่านที่โลกวิญญาณ ที่ในสวรรค์เท่านั้น พอตั้งโปรแกรม คนรู้เลย นึกถึงคอมพิวเตอร์ นึกถึงไอโฟน ไอแพค ไออะไรเยอะแยะ ไอค๊อกแค๊ะ ท่านนึกถึง Set อ๋อ! กด เพราะฉะนั้นใครตอนนี้ Errorไป ก็ทำไม? เดี๋ยวก็กลับไป set ใหม่ set ไปที่ไหน? Set ไปที่โลกวิญญาณ set ไปที่สวรรค์

 

“ฉันเป็นใครในพระคริสต์ๆ”

Set ไปตรงนี้ นี่เปาโลบอกไว้อย่างนั้น

คำว่า “ให้ใจและความคิดของท่านจดจ่ออยู่ที่สิ่งเบื้องบน” หรือคำว่า “Set your mind above” ทำอย่างไรครับ? เราลองย้อนมาดูตัวเราเองนะครับ ที่ผ่านมา จะกี่ปี กี่สิบปีก็แล้วแต่ เคยมีไหมครับที่เรารู้สึกอยากได้อะไร หรือที่พูดกันบ่อยๆ ว่าฝันอยากได้อะไรบ้าง? นั่นแหละ คือ set your mind เคยไหม?  ย้อนกลับไปสิ  ท่านเคยคิดว่าอยากได้ เดี๋ยวไม่ต้องย้อนกลับไปมาก ย้อนกลับไปแค่เมื่อวานนี้ก็ได้ ท่านฝันว่าท่านอยากได้อะไร? จะคนเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็มีความฝันกันทั้งนั้น ถูกไหมครับ? หรือว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่มีความฝัน มี

บางคนก็บอกว่าฝันอยากจะไปเที่ยวไกลๆ พอหลับตา นึกถึงภาพตัวเอง นั่งอยู่ที่ชายหาดกว้างๆ  น้ำทะเลใสๆ จนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในทะเล มีเสียงเพลงเบาๆ เพราะๆ

หลับตาลงสิ ฟังผมอย่างเดียว … ฟังเพลงเพราะๆ อยู่ริมชายทะเล ลมพัดเย็นๆ เฉื่อยๆ นึกถึงภาพเหล่านี้ ยิ้มนิดๆ แค่นี้ก็มีความสุข … พอลืมตามาอีกที โอโห้! อยู่ในรถเมล์ ผู้คนมากมายร้อนแดด โอ๊ย! ร้อนๆ วันนี้ทำไมร้อนอย่างนี้ เหงื่อแตกเลย ใช่หรือไม่ใช่?

ถามว่าตอนที่หลับตาตะกี้นี้ มันมีสุขไหม? สุข ท่ามกลางอะไร?  ท่ามกลางแดดร้อน รถเมล์วุ่นวายไปหมดอะไรต่างๆ เหล่านี้ ของโลกใบนี้ ถูกไหม?

นี่คืออะไร? นี่คือความสุขที่สามารถหาได้  ไม่ใช่เฉพาะมาเชื่อพระเจ้าแล้วได้  รู้วิธียังได้เลย เขายังเอาไปใช้ในการสอนหรือว่าการรักษาคนที่เป็นโรคเครียด นี่คือหนึ่งในการรักษา เขาบอกให้หลับตา แล้วยิ้ม นึกถึงอะไรก็ตามที่สวยๆ ที่ตัวเองชอบ แล้วยิ้ม

บางคนเขาก็สอนบอกว่ารักษาด้วยวิธียิ้มไม่พอ แถมนึกถึงอะไรที่มีความสุขมากๆ แล้วหัวเราะออกไปเลย  ลืมตามา เรื่องทั้งนั้น  ตอนลืมตามันหัวเราะไม่ออก แต่หลับตามันหัวเราะได้ ถามว่าให้ทำอย่างนั้น เพื่ออะไรรู้ไหม? เพราะมีกฎระเบียบของพระเจ้าสร้างไว้ว่าเมื่อร่างกายมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมา มีความรู้สึกในการ Set your mind จดจ่อที่ความคิด ความคิดท่านเป็นอย่างนั้นเมื่อไร? มันจะเกิดหลั่งสารสุขออกมา  นี่ไม่ใช่เรื่องวิญญาณ เป็นเรื่องวัตถุแล้วนะ สารสุข คือสารเคมีตัวหนึ่งที่หลั่งออกมา เมื่อเราคิดแล้วมีความสุข ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นหรือเปล่า?  ไม่เป็น ความจริงมีปัญหาเยอะแยะ เปิดตาออกมา นั่นก็ทวงหนี้  นี่ก็มาวุ่นวาย แถมยังป่วยอยู่ หลับตาเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต สารสุขหลั่งได้ เขายังเอาไปใช้ในโลกใบนี้เลยนะ ในการรักษาสุขภาพร่างกายของคน  คือการ Set your mind คือจดจ่อไปที่ทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น เขาถึงบอกกันว่าคริสเตียน ควรจะมีการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ด้วยการหลับตา ไม่ใช่ลืมตา ถ้าคริสเตียนหลับตามีความสุข ถ้าคริสเตียนลืมตา มันลำบากนะ  เพราะฉะนั้นคริสเตียนต้องหลับตา เวลาอธิษฐานส่วนใหญ่เราจึงหลับตา ถูกไหม? เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ท่านต้องหลับตาบ่อย เจออะไรไม่ชอบมาพากล หลับตาก่อนเลย  แต่ยกเว้นตอนขับรถ ไม่ได้นะ

ผมนึกถึงเพลงๆ หนึ่ง ผมเอาคอนเซ็ปนี้ คือคริสเตียนต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือแค่หลับตา ถูกไหม?

ด้วยความเชื่อ คือไม่ใช่ด้วยตามองเห็น พระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ผมก็เลยเอาคอนเซ็ปนี้ไปให้ไก่ สุธี เขาแต่งเพลงๆ หนึ่ง อยากให้แต่งเพลงนี้ แล้วเขาก็แต่งออกมาได้ดีด้วยนะ … หลับตาแล้วเราจะได้อยู่ใกล้ๆ พระเยซู พอเราหลับตาปุ๊บ เราไปนั่งอยู่ที่ไม่ใช่ข้างๆ พระเยซูนะ แต่นั่งอยู่ในหัวใจของเธอเลย เคยได้ยินไหม? ถ้าเป็นแบบมนุษย์เขาเรียกว่าเลี่ยน แต่ทางพระเจ้ามันใช่เลย

          ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับใคร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์ “In” เลยนะ ไม่ใช่นั่งข้างๆ In ในพระเยซู เรานั่งตรงนั้น ที่ไหน? ทางฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายวิญญาณเรามองไม่เห็น แต่หลับตาแล้วเห็น เพราะฉะนั้น หลับตาแล้วเราก็นั่งอยู่ในหัวใจพระเยซู ซึ้งกันทั้งคู่เลย นี่ขนาดเขาเอาไปจีบกันได้เลย

 

พระเยซูจึงบอกว่า.-

“นี่แหนะ เราเคาะอยู่ที่หัวใจของเธอ เปิดออกสิ แล้วเราจะได้เข้าไป”

เปิดหรือยัง? เปิดด้วยวิธี Set your mind ตั้งโปรแกรมในความคิดใหม่ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ พระคัมภีร์บอกในวิญญาณเป็นอย่างไร? Set ไปตรงนั้นเลย  พระคัมภีร์บอกวิญญาณของเรา นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า Set ไปตรงนั้น ให้เห็นว่าเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เพลงว่าอย่างนี้นะ

                        “แค่หลับตา เธอจะมีฉันข้างเธอเสมอ

                        จะมีฉันและเธอเท่านั้น ลำพังไม่มีผู้ใด

                        แม้โลกจะสับสน ผู้คนจะมากมาย

                        แค่หลับตา เปิดหัวใจ ให้เราได้พบกัน”

โอ๊ย! ซึ้ง แค่ฟังก็ซึ้งไปหมดเลย นี่คือพระเยซูกำลังร้องเพลงนี้กับเรา  พระเยซูกำลังบอกเราว่าดูสิ แค่หลับตา เราก็สามารถอยู่ใกล้ๆ เวลาคิดถึงพระเยซู เราจะทำอย่างไร? จะใกล้พระเยซูได้  ถ้าเราบอกว่าพระเยซูอยู่ในสวรรค์ และอยู่ไกลกันเหลือเกิน แล้วจะรอให้วันที่จากโลกนี้ไปเจอกับพระเจ้า  ถามว่าทำได้ไหม? ทำได้ แต่ไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้น แล้วเหรอ?

“เมื่อไรเธอจะกลับมาจากอเมริกาสักที ฉันรอเธอตั้งนาน ไม่มีอะไรดีกว่านั้นแล้วเหรอ ต้องเรียนจบถึงจะเจอกันเหรอ”

“อ๋อ! มีสิ”

“ทำอย่างไร?”

“แค่หลับตาเธอยังมีฉันข้างเธอเสมอ”

เห็นไหม? คิด แล้วทำไม? หลับตาลง คิดถึงพระเยซูก็หลับตา คือผมกำลังอยากจะบอกว่าแค่ยกตัวอย่างพวกนี้ เราก็พอจะบอกเห็นภาพแล้วว่าการที่เราจดจ่อ ปักใจ หรือ Set your mind หรือว่า Set mind หรือ Set ตั้งความคิดของเรา หรือความฝันของเรา ที่เราอยากจะได้ หรืออยากจะให้เป็น อยากจะให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราเลย แค่เพียงเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นบนโลกใบนี้ เรายังได้ประโยชน์จากมันมากมาย ได้รับความสุข นั่งยิ้มอยู่คนเดียวได้ เหมือนเมื่อตะกี้นี้ ท่านลองคิดดูสิ และมากกว่าสักเท่าใด สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เชื่อพระเยซูแล้ว เป็นกระเทียมดองแล้ว ที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมให้กับเรา โดยการเรียนรู้แล้ว คือพระเจ้าได้เตรียมชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา และเราจะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีความบาปติดตัวอีกแล้ว นิรันดร์กาล สวรรค์ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา

ท่านคิดว่าคนที่คิดอย่างนี้ Set mind หรือตั้งความหวังไว้ตรงนี้ได้ ตลอดเวลาควรจะมีความสุข สันติสุข พักผ่อนในชีวิตมากขนาดไหน?  ตอบสิ มากขนาดไหน? มาก เยอะเลย นี่แหละคือที่เป็นเคล็ดลับที่เปาโลอยากให้เราได้รับ นี่แหละคือสิ่งนั้น ถ้าทำไม่ได้ เปาโลคงไม่บอก และสำหรับคนทั่วไป ที่มีความฝัน หรือมีใจจดจ่ออยู่กับความฝันบนโลกนี้นะ นึกให้ดีนะ อาจมีความสุขได้ ในขณะที่กำลังนึกฝันอยู่ ซึ่งก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว ชั่วแป๊บเดี๋ยวเท่านั้น  พอลืมตามาเจอปัญหากันหมดแล้ว แต่ในทางพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตลอดนิรันดร์ หลับตาเมื่อไรเห็นอย่างนั้น หลับตาเมื่อไรเห็นตรงนั้น แล้วมันเป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ตอนที่ตะกี้เราหลับตาๆ ว่าเราจะไปภูเก็ต หลับตาว่าเราจะไปอันดามัน หลับตาแล้วเราจะไปมัลดิฟอะไรอย่างนี้ เราอาจจะไม่ได้ไปก็ได้นะ ถูกไหม? แต่ในทางพระเจ้า เราได้ไปแน่ๆ เห็นไหม?  แล้วมันจะมีความสุขมากกว่ากันขนาดไหน ท่านคิดดูสิ คนที่เป็นคนยืนยันกับเราว่าเราได้ไปนั้น คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรค์สิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งเลย  ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ควบคุมอยู่ ตื่นมาตอนเช้า เราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เหมือนเดิม เราก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียวว่าที่เราฝัน ที่เรา Set your mind ที่เรา Set mind ตั้งใจ จดจ่อไว้เบื้องบนที่ว่าวันหนึ่ง เราจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น มันเป็นจริงครับ เพราะว่าผู้ที่สัญญานั้น คือผู้เดียวกันกับผู้ที่สั่งดวงอาทิตย์ขึ้นนั่นแหละ มันขึ้นที่เดิมตลอดเลย ใช่ไหม?  เอเมน

แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เปาโลสอนว่าอย่างไร? เปาโลสอนบอกว่าให้เราเอาใจจดจ่อ ให้เอาความคิดของเราจดจ่อไว้กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่ฝ่ายเนื้อหนังบนโลกใบนี้ แต่ให้จดจ่อกับที่ฝ่ายวิญญาณของเรา  ฝ่ายวิญญาณๆ ไม่ใช่เรื่องสวรรค์อย่างเดียว แต่รวมทั้งหมดเลย แต่ถ้าเราบอกสวรรค์ บางทีเราคิดแค่เพียงสวรรค์ที่ว่าเป็นสวรรค์ แต่ถ้าเราบอกว่าทางฝ่ายวิญญาณ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าไม่ใช่สวรรค์ก็ได้ บนโลกใบนี้ ก็มีวิญญาณ ทางฝ่ายวิญญาณ และฝ่ายวัตถุสิ่งของที่จับต้องได้

ลักษณะนี่แหละ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ให้เราคิดว่าอะไรที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กก็ตาม ให้เราคิด ให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับโลกใบนี้ คืออย่างนี้ ยกตัวอย่าง สมมติในขณะนี้ วิญญาณท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ อยู่กับพระเจ้า ในไหน? ในสวรรค์ ร่างกายท่านอยู่ที่ไหน?  ร่างกายท่านอยู่ที่โบสถ์โฮลี่ นั่งอยู่ ให้ท่าน Set อย่างนี้ ไปที่ไหนให้ท่านรู้ตลอดเวลา รู้ตัวตลอดเวลา อยู่ที่ไหน? ตอบสิ แล้วแต่คนถาม ถ้าคนถามเข้าใจตรงนี้  ท่านก็สามารถตอบได้ ท่านอยู่ในสวรรค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้านิรันดร์กาล ใช่ไหม? เจ้านายไม่รู้จักพระเจ้าถามท่าน

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”

“อ๋อ! ฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน”

เจ้านายบอก “เดี๋ยวมาเอาเงินเดือนสุดท้ายไปเลย ไม่ต้องมาทำอีกแล้ว จะส่งไปโรงพยาบาลด้วย”

ท่านเข้าใจไหม? ให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ท่านสามารถพูดจริงด้วย ถามว่าจริงด้านไหน? ท่านจำเป็นต้องพูดด้านไหน? ถ้าท่านจำเป็นต้องพูดในเรื่องฝ่ายโลกวัตถุนี้ ก็ต้องพูดไป

“ท่านอยู่ที่ไหน?” เจ้านายถาม

“ตอนนี้อยู่ที่โบสถ์โฮลี่ ตรงกรุงเทพกรีฑา เดี๋ยวเลิกตอนเที่ยง เดี๋ยวไปเจอได้ครับ”

อะไรอย่างนี้  แต่ถ้าผมอยู่บนนี้ถามท่าน กำลังเทศน์อยู่ ถามท่านว่า.-

“ขณะนี้ท่านอยู่ที่ไหน?”

สามารถตอบได้ “วิญญาณฉันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน”

ถ้าเรา Set  ตั้งความคิดของเราบนโลกวิญญาณอย่างนี้ตลอดเวลา  ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป เอาง่ายๆ นะ สมมติว่าขับรถอยู่ มีคนตัดหน้า ท่าน Set ความคิดท่านอยู่ที่ในสวรรค์ ท่านจะตอบโต้เขาว่าอย่างไร?

“พระเจ้า เอาอย่างไรดี อภัยให้มันแล้วกัน พระเยซูเอาไงดีล่ะ”

พระเยซูบอก “อภัยให้เขาแล้วกัน”

“โอเค”

แต่ถ้าท่าน Set ตั้งความคิดท่านบนโลกใบนี้ ท่านจะทำอย่างไร? คิดเอาเองแล้วกัน

สัปดาห์ที่แล้วผมยกตัวอย่างหิวข้าว จะไปกินข้าว เข้าไปถึง เข้าไปก่อน สั่งก่อน ได้หลัง ท่านก็ต้อง Set อะไร? Set วิญญาณของท่าน … ท่านก็จะปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง ถูกไหม? เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งสุขภาพไม่ดี  เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ทำดีที่สุด ก็ได้แค่นี้ ป่วยๆ ออดๆ แอดๆ Set ไปที่วิญญาณ ปรับตรงไปที่วิญญาณ ตั้งโปรแกรมไว้ที่วิญญาณ มันเจ็บป่วยอะไรขึ้นมา ทำดีที่สุดแล้วนะ ไปหาหมอ กินยาอะไร ดูแลสุขภาพ แล้วมันได้แค่นี้เอง Set กดไปที่วิญญาณ พุ่งไปที่ … จดจ่อไปที่วิญญาณ สันติสุขมันก็สามารถมาได้ ท่ามกลางความเจ็บป่วย

นี่คือความหมายของการให้เอาใจและความคิดจดจ่อกับสิ่งเบื้องบน คือฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายโลก หรือเรียกว่าเนื้อหนัง ต่อไปนี้ ต้องจำไว้ให้ได้นะครับว่าจากนี้ต่อไป พระคัมภีร์จะมีอยู่แค่ 2-3 คำนี้ จะต้องจำให้ได้ว่าถ้าเป็นเบื้องบน ก็คือสวรรค์ ถ้าเป็นเบื้องล่าง ก็คือนรก ถ้าเป็นเบื้องบน ก็เป็นเบื้องบนสวรรค์ ในวิญญาณ ถ้าเป็นฝ่ายโลก ก็เรียกว่าเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง วิสัยบาปของเนื้อหนัง มันมีอยู่แค่นี้ ท่านจะต้องนึกเห็นภาพเหล่านี้  ท่านจะสามารถเข้าใจในถ้อยคำพระเจ้าได้มากขึ้นว่ามันคืออะไร? กำลังคุยถึงเรื่องอะไร?  ซึ่งตอนนี้หลายท่านก็เข้าใจมากขึ้นเยอะนะครับ ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้จบกันไปเมื่อตะกี้นี้ ที่สรุป

ที่ตะกี้นี้ เพิ่งแค่สรุปตอนแรกนะ เพิ่งสรุปสัปดาห์ที่แล้ว ที่เทศน์มา นี่ยังไม่ได้เริ่มต้นของวันนี้เลย วันนี้จะเริ่มต้นแล้ว เทศน์มา 4-5 ตอน ครั้งที่แล้ว บางคนก็ไปคิดอีกแบบหนึ่ง ผมก็กลัว ต้องรีบมาแก้ มาบอกว่าให้เราคิดอย่างไร?  บางคนไปฟังคำเทศนามา 6 ตอนแล้ว พอได้ฟังทั้งหมดแล้ว เกี่ยวกับเรื่องว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราได้อยู่ในพระคริสต์ เราได้เป็นกระเทียมดองกับพระคริสต์ไปแล้ว  ไม่สามารถกลับเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้ว เราได้รับความรอด เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป  เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่สามารถกลับเป็นคนบาปได้อีกแล้ว

ทุกคนตอบว่า “เอเมน”

ซึ่งมันเป็นจริง แต่ผมก็เป็นห่วง ตอนนี้ทุกคนรู้ตอนนี้ ในนี้ ตั้งแต่เรียนมา รู้กันหมดแล้วว่าเราเป็นกระเทียมดอง เราเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาดใหม่เอี่ยม เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มีบาป ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว  และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว  ไม่สามารถกลายมาเป็นคนบาปได้อีกแล้ว ที่ผมห่วงก็คืออะไร รู้ไหมครับ? ก็คือเมื่อทิ้งท้ายไว้อย่างนี้  เมื่อสอนมาอย่างนี้ คือผมเกรงว่าอาจจะมีบางคนฟังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย ถามว่าสบายใจ เพราะอะไร? มั่นใจว่าได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามวัตถุประสงค์ของพระเจ้าว่าต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ แล้วผมก็บอกตามที่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ทุกคนก็สบายใจ อันนี้มันสบายใจมากเกินไป เลยเป็นห่วง กลัวว่าจะมีคนสบายใจอย่างนี้ว่า.-

“ต่อไปนี้ จะทำผิดทำบาปอะไรก็ได้แล้ว ไม่ต้องเกรงกลัวต่อบาปอีกแล้ว ยังไงๆ ฉันก็ได้รับความรอดอยู่ดี ได้อยู่ในพระคริสต์อยู่ดี ได้ไปสวรรค์อยู่ดี”

ใช่หรือไม่ใช่? บางคนอาจจะคิดอย่างนี้ไง นี่แหละ เพราะว่าอะไร?  เพราะเรายังอยู่ในเนื้อหนัง ถึงแม้เราจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม ถึงแม้เราจะข้างในสะอาดบริสุทธิ์ก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในความคิดเก่านี้ มันก็จะอย่างนี้แหละ ก็คิดอย่างนี้ได้

วันนี้ ผมเลยจะมาปิดรูให้หมดเลย เอาให้เสร็จเลย หนีไม่พ้นเลย คนที่คิดอย่างนี้ ตั้งใจฟังหน่อยนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ จะตั้งใจอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ก่อนอื่น คืออย่าลืมนะครับว่าทั้งหมด ที่เราฟังกันมาในเรื่อง “อยู่ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? เราเป็นใครในพระคริสต์นั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางวิญญาณทั้งนั้น  ผมย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าเมื่ออยู่ในพระคริสต์แล้ว จะทำบาปแค่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้  อันนี้ขอยืนยันว่าไม่ใช่นะครับ เพราะใครที่ทำบาป ฟังให้ดีนะ ก็ยังคงต้องรับผลของความบาปอยู่ดี ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับทางวิญญาณครับ เยาะเย้ยนิดหนึ่ง คำละเรื่องกันครับ

พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าใครทำสิ่งใด ก็จะต้องรับผิดชอบในผลจากการกระทำสิ่งนั้น เปรียบเหมือนการหว่านเมล็ดพืช เราหว่านอะไรลงไป ก็จะได้รับผลจากสิ่งที่หว่านนั้น เคยได้ยินสุภาษิตจีน เขาบอกว่าอย่างนี้

ปลูกแตงโม ได้อะไร?  มันก็ต้องได้ถั่ว เอ้อ! ไม่ใช่ ปลูกแตงโม ก็ต้องได้แตงโม ปลูกถั่วก็ต้องได้อะไร?  ท่านเข้าใจหมดแล้ว ไม่ต้องเทศน์แล้ว ท่านรู้แล้วเนี้ยว่าปลูกถั่ว ต้องได้แตงโม ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้  ท่านยังรู้เลย มันเป็นไปไม่ได้ ปลูกถั่ว ต้องได้ถั่ว ทำอะไรก็ต้องได้อันนั้น จะมาบอกว่า.-

“อยู่ในพระคริสต์ ฉันปลูกถั่ว จะได้แตงโม”

ได้ไหม? ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน กาลาเทีย 6:7-8 บันทึกไว้นะ ให้ท่านอ่าน

กาลาเทีย 6:7-8 “7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ”

 

ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ค่อนข้างขู่ท่านนิดหนึ่งว่าให้ท่านตั้งใจฟัง เพราะว่ามันต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ แต่มันไม่ยากนัก ท่านจะเห็นชัด สว่างเลย

ไม่ว่าเราจะเป็นกระเทียมดอง หรือกระเทียมสด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม

ให้เราพูดพร้อมกัน “ไม่ว่าฉันจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่ฉันหรือเรากระทำไป ที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป … บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Miss the target ซึ่งผมเคยอธิบายบ่อยๆ ว่าบาปแปลว่า Miss the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้ มันผิดเป้าหมาย เรียกว่าบาป พระเจ้าตั้งใจให้เราไปทางซ้าย เราไปทางขวา เรียกว่าเรากำลังทำบาป เข้าใจนะ

เมื่อเราทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้ ซึ่งพวกเราเรียกกันว่าทำบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของมัน เราต้องเก็บเกี่ยวผลของมันตามที่พระคัมภีร์บอกว่าหว่านอะไร ก็ได้อย่างนั้น ฟังให้ดีนะ หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่ว่าทางฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณก็ตาม เราก็ต้องเก็บเกี่ยว มันมี 2 อัน ทั้งฝ่ายโลก เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องเก็บเกี่ยว ขึ้นอยู่กับว่าที่เรากระทำนั้น มันเกี่ยวข้องไปทางด้านไหน? ไปทางด้านฝ่ายโลก หรือฝ่ายวิญญาณ

สำหรับถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่านในกาลาเทีย ตะกี้นี้ ในบริบทนี้ เล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณครับ เมื่อตะกี้เราอ่านเล็งถึงทางฝ่ายวิญญาณ หมายถึงรวมๆ นะ เล็งถึงฝ่ายวิญญาณก็จริง แต่ก็สามารถนำมาใช้ทางฝ่ายโลกได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นกฎที่พระเจ้าวางเอาไว้เช่นเดียวกัน เดี๋ยวฟังต่อไป

ในนี้บอกว่าอะไร? ตะกี้เราอ่านพร้อมกันบอกว่าอะไร?

“อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้าได้ … อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า”

          เราไม่สามารถที่จะปิดบังพระเจ้าได้เลย พระองค์ทรงทราบหมดทุกสิ่ง แม้ว่ามนุษย์บนโลกใบนี้มอง จะเห็นว่าเขาเป็นคนดี หรือเราเป็นคนไม่ดี หรือเรากำลังทำดี หรือเรากำลังทำไม่ดี ก็ตาม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่พูดคนนั้นเลย  แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่กำลังมองเรา พระองค์ทรงทราบดีว่าเนื้อแท้ข้างในวิญญาณของเรานั้น เราเป็นอย่างไร?  คิดอะไร?  ตั้งใจอะไร?  เราหลอกลวงคนได้ แต่เราหลอกพระเจ้าไม่ได้ นั่นหมายความตรงนี้  ตรงนี้มันหมายความอย่างนี้ เข้าใจแล้วนะ

 

ต่อไปบอกว่า “ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น” ฟังให้ดีนะ

หมายถึงผู้ที่จดจ่อในวิสัยบาปของตัวเอง จากวิญญาณข้างในนี้ ที่มีบาปติดอยู่ ฟังให้ดีๆ บาปที่มันยังติดอยู่ ในวิญญาณข้างใน ก็คือยังไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกไหม? จากวิญญาณข้างในที่มีบาปติดอยู่ ที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง กบฏต่อพระเจ้า ต้องการพึ่งตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพระเจ้า ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเรียกกันตามธรรมชาติว่าบาปในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำนี้

“มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” หมายถึงตรงนี้ ข้างในนะ ข้างในวิญญาณ ต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งถ้าเขาหว่าน ฟังให้ดีนะ ถ้าเขาหว่านความไม่เชื่อในวิญญาณนี้ลงไป หว่านก็คือจดจ่อตรงนี้  จดจ่อๆ จดจ่อที่ความบาป ก็คือไม่เชื่อ เขากำลังทำอะไร? เขากำลังทำบาป ก็คือไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขากำลัง Miss the target เขากำลังพลาดเป้า วางไว้สำหรับเขา คือเขาไม่เชื่อในพระเยซู ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเขาว่าเขาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็ยังอยู่ในภายใต้บาปเหมือนเดิมอยู่ดี แล้วยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศจากบาปทางวิญญาณตามนั้น เอเมน เข้าใจไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ แค่นั้นเอง

ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือในวิญญาณ ตอนนี้ท่านรู้แล้ว วิญญาณหรือพระวิญญาณ คนที่หว่านเข้าไปในทางเรื่องด้านวิญญาณ ก็คือผู้ที่จัดจ่อในทางวิญญาณ จดจ่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู อยู่ภายใต้กฎใหม่ในพระคริสต์ เชื่อและพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เขารู้ตัวตลอดเวลา เขาตั้งจิตใจจดจ่อในนี้ เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้รอดได้ ตัวเองต้องพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ต้องการพึ่งในพระเยซู ต้องการพระองค์ Need เลยล่ะ จำเป็น

“ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันไม่รอด” พูดง่ายๆ

คนนั้นก็จะได้เก็บเกี่ยวผลของการหว่านอย่างนี้  ผลคืออะไร? ในพระคัมภีร์บอกชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้วิญญาณใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นอิสรภาพจากการถูกลงโทษ เนื่องจากความบาปนั่นเอง เอเมน แค่นี้เอง ตะกี้นี้ที่อ่านมาทั้งหมด เป็นอย่างนี้ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้  แน่นอน ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ เห็นไหม? ไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ หลอกมนุษย์ ไม่ตั้งใจหลอก แต่มนุษย์อาจจะเข้าใจผิด แต่พระเจ้าไม่เข้าใจผิดหรอก ชัดเจน ในกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะเชื่อข่าวประเสริฐในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือไม่? ไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐอย่างจริงใจหรือไม่? ฟังให้ดีนะ ไม่ใช่เชื่อข่าวประเสริฐอย่างเดียว ท่านเชื่ออย่างจริงๆ หรือเปล่า?  ไม่มีใครรู้ คนข้างๆ ท่านก็ไม่รู้ ถามว่ามีผู้รู้ไหม? มี ใคร? พระเจ้ารู้ พระองค์ทรงเห็นลึกเข้าไปในวิญญาณของเราว่าเราเชื่อจริงหรือเปล่า?

เช่น เอาง่ายๆ นะ บางคนอาจจะมาโบสถ์เป็นประจำ แต่มาเพราะว่าเขามีกิจกรรมที่โบสถ์ เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้  หรือคนมาเป็นประจำ มาเพราะครอบครัวมาทั้งหมด เลยตามมาด้วย  หรืออาจจะแม่บังคับให้มาก็ได้ หรือแฟนอาจจะบังคับให้มาก็ได้  มาเพื่ออยากได้แต่งงานก็ได้ ใครจะรู้ ใครจะไปรู้ ใช่ไหม?

กับอีกคนหนึ่ง อาจจะไม่ค่อยได้มาหรอก มาขาดๆ หายๆ เพราะว่าเขาติดธุระ มีภารกิจจำเป็นที่ต้องทำ มาไม่ได้จริงๆ แต่จิตใจเขา เขาเชื่อพระเยซูอย่างจริงๆ เลย  จดจ่ออยู่ที่พระองค์อยู่ตลอดเวลาเลย

ตาเราอาจจะมองเห็น 2 คนนี้ไม่เหมือนกัน ถูกไหม? เราอาจจะพิพากษาตามสายตาของเรา จะพิพากษาว่าคนที่ไม่ค่อยได้มานั้น ซวยแน่เลย เราพิพากษาเขาไปแล้ว ตามสายตาเรา ก็ต้องคิดว่าคนที่มาโบสถ์เป็นประจำ ต้องเชื่อจริงๆ แน่ๆ เลย แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หลุดรอดจากการตัดสินของพระเจ้า  จากสายพระเนตรของพระเจ้าไปได้เลย ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้เลย แม้แต่คนเดียว เอเมน

และถ้าเรานำข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อพระคัมภีร์ตะกี้นะ มาใช้ในทางโลก เช่นเดียวกันกับที่บอกว่าผู้ที่หว่านวิสัยบาปของเขา ก็คือผู้ที่ทำ Miss the target ถูกไหม? ตะกี้ที่ผมบอก ผู้ที่หว่านวิสัยบาป ก็คือผู้ที่กระทำ Miss the target ก็คือทำบาป ทำผิดน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ตรงตามเป้าหมายพระเจ้า แม้ว่าวิญญาณของเขานะ จะได้รับการสร้างใหม่แล้ว เป็นคริสเตียนที่จริงๆ เลย เป็นกระเทียมดองแล้วจริงๆ สะอาดหมดจดแล้วจริงๆ และวิญญาณของเขา ข้างในของเขา ก็ไม่อยากทำบาปแล้วจริงๆ ด้วย แต่เพราะเขาอาจยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ที่มีความสกปรก มีเชื้อของความบาปอยู่ มันไม่อาจหรอก มันเป็นเลย แต่เขายังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้  ที่มีเชื้อบาปอยู่แน่ๆ เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ในขณะนี้  ก็เลยถูกล่อลวงด้วยวิสัยบาป ในเนื้อหนังนั้น ในร่างกายที่เป็นร่างกายเก่านั้น คือพูดง่ายๆ คือสู้ไม่ไหว แพ้เนื้อหนัง อาจจะล้มลงในการทดลอง อาจทำบาปเข้า จะทำนานๆ ที หรือทำเป็นประจำก็ตาม เขาก็ยังจะยังต้องเก็บเกี่ยวความพินาศ หรือเรียกว่าความเสียหาย จากการกระทำนั้น คือยังต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปในชีวิตเขาอย่างแน่นอน เอเมน ไม่ใช่พอมาเชื่อพระเจ้า ก็ยกเว้น ไม่ได้ มันเป็นกฎของพระเจ้า พระเจ้าควบคุมดวงดาวต่างๆ ขึ้นตามที่พระองค์บอกทั้งหมดได้อย่างไร? ถ้าพระองค์บอกอันนี้เอา อันนี้ไม่เอา แล้วกฎคืออะไร? ไม่รู้ แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความเที่ยงธรรม … เที่ยงธรรมตรงนี้ หมายถึงตรงนี้ด้วย แต่ทั้งนี้ เป็นคนละเรื่องกันกับทางวิญญาณนะครับ ในสิ่งที่เขาได้รับตะกี้นี้ เข้าใจไหมครับ? เขาเก็บเกี่ยวสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป มันคนละเรื่องกับเรื่องทางวิญญาณ เพราะวิญญาณได้รับความรอดไปเรียบร้อยแล้ว ย้ำอีกที วิญญาณเขาได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว แต่ทางโลกเขาต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งที่เขาได้กระทำไป ไม่มีทางหนีได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะมันเป็นกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้ ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกระเทียมดองหรือกระเทียมสดก็ตาม ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้ทั้งนั้น

“เอเมน” พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ๆ ขอบคุณพระเจ้า

เพราะฉะนั้น ถามว่าคนไม่เชื่อ ทางวิญญาณ ในทางวิญญาณ คนไม่เชื่อ ในวิญญาณเขาไม่เชื่อเรื่องพระเยซู ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ถูกหรือเปล่า? ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด เป็นคนบาปอยู่ เป็นวิญญาณบาปอยู่ ถามว่าถ้าเขาหว่านหรือทำ เรียกว่าทำก็แล้วกัน เพราะทำกับหว่านอันเดียวกัน ถ้าเขาหว่านหรือทำในสิ่งที่ดี เขาก็จะได้ดีไหม? ถามอีกที ได้ดีไหม? เขาไม่เชื่อนะ กฎนี้ เป็นกฎตายตัว ทุกคนทำตาม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม เห็นไหม? แม้ว่าเขาจะอยู่ในความบาป แม้ว่าวิญญาณเขาจะอยู่ในความบาป แต่ถ้าเขาทำสิ่งดี เขาได้รับสิ่งดีกลับตอบไหม? ได้รับ และมีไหม? เป็นไปได้ไหมที่คนที่ยังไม่ได้กระเทียมดอง แล้วทำดี มีไหม? มีหรือไม่มี? คิดให้ดี มีเยอะแยะเลย ท่านจะเห็นภาพหรือยัง? เห็นเยอะแยะเลย

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้เป็นกระเทียมดอง ยังเป็นกระเทียมสด ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังเป็นวิญญาณบาปอยู่ เขาบริจาคถวายเงินสร้างโบสถ์ได้ไหม? ได้หรือไม่ได้? และการสร้างโบสถ์เขาถวายคนเดียวหมดเลย ทั้งที่ดินด้วย สามารถทำให้เขาเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ได้ไหม?  เป็นวิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไปได้หรือไม่ได้? ไม่ได้ แต่เขาจะได้รับพระพรทางฝ่ายโลกใบนี้ เห็นไหม? ท่านจะเห็นภาพเลยนะ ถูกไหม? ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้เกี่ยวกับทางวิญญาณ มันไม่ได้กระทบถึงฝ่ายวิญญาณเขาเลย  เขาทำดี แต่ความดีนั่นไม่สามารถมาทำให้วิญญาณเขากลับกลาย หรือมีปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย

ในทำนองเดียวกัน คนที่เป็นกระเทียมดองแล้ว เกิดใหม่ ในวิญญาณของเขาข้างในแล้ว ถามว่าเขามีโอกาสไปทำไม่ดีไหม? มีหรือไม่มี? มี และการกระทำที่ไม่ดีของเขา ทำให้กลับกลายเป็นกระเทียมสดไหม? กลับกลายเป็นวิญญาณบาปเหมือนเดิมไหม? เป็นไปได้ไหม? ไม่ได้ เห็นไหม? ท่านตอบเองหมดแล้ว ผมกลับบ้านดีกว่า ท่านตอบเองหมดแล้ว

เพราะว่าอะไร? ทำไมถึงไม่ได้ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกเรียบร้อยแล้ว ทางฝ่ายวิญญาณมีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับเปลี่ยนตรงนั้นได้ ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถไปจัดการกับทางวิญญาณได้ว่าวิญญาณจะได้กลับมาใหม่ กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดในพระเจ้าได้ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ ติดต่อกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด พ้นจากบาปได้ ก็โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์เท่านั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือทางพระเยซูเท่านั้น  แต่ถ้าเขาหว่านในสิ่งที่เป็นโลกใบนี้ จะหว่านดี เขาก็ได้ดี หว่านไม่ดี เขาก็ไม่ได้ดี  มันก็ยังคงอยู่ตลอดไปนั่นแหละ

นี่จึงเป็นการสนับสนุนพระเจ้าเรายิ่งใหญ่จริงๆ ดูแลหมดทุกกฎ ทุกระเบียบ พูดไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน ไม่มีการบิดพลิ้ว ไม่มีการลำเอียง เห็นแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่บอกว่า.-

“ดีใจจัง ต่อไปนี้ทำบาปได้เยอะๆ”

ก็เตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน ก็ไปหว่านก็แล้วกันเถอะ ท่านจะได้เก็บเกี่ยวแตงโมเยอะๆ ถ้าอยากได้แตงโม ก็เก็บเกี่ยวเข้าไป ถ้าอยากได้ถั่ว ก็ใส่ถั่วเข้าไป อยากได้ดีๆ ก็ใส่ดีๆ เข้าไปเยอะๆ ถ้าอยากได้ไม่ดี ก็ใส่เข้าไปสิ เดี๋ยวได้เองแหละ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราโลภ เราก็ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? ซึ่งเรียกกันว่าทำบาปใช่ไหม? พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราเป็นคนโลภใช่ไหม? เรากำลังทำผิดเป้าหมายพระเจ้าทำไว้ ก็คือทำบาป คือถ้าเราแปลตรงๆ อย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดว่าเราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนาเลย เรากำลังมาพูดถึงเรื่องกฎ เหมือนวิทยาศาสตร์เลย มันธรรมดา เหมือนธรรมชาติ ที่เขากำลังค้นหาวิทยาศาสตร์เรื่องไฮโดรเจนอะไรต่างๆ ไม่มีอะไรเลย ทำบาป ก็คือทำบาป ทำไม่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า … ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า Miss the target เรียกว่าเมื่อไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าวางไว้แล้ว ถ้าทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีๆ  ทั้งโลกนี้ ทั้งวิญญาณด้วย ดีทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราฝืนมัน เราก็จะได้สิ่งที่ไม่ดี

พระเจ้าบอกให้เรานอนหัวค่ำ เราไปนอนดึก เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกกินพอดีๆ เรากินเยอะ เราก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกให้เราหุ่นดีๆ เราไปหุ่นไม่ดี ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

พระเจ้าบอกน้ำหนักควรจะประมาณนี้ เราไปน้ำหนักเกินมาก ก็เก็บเกี่ยวไปแล้วกัน

มันเป็นเหตุและผลทั้งนั้น

          เรื่องถ้าเราโลภ ก็เท่ากับทำบาป  เรากำลังทำไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ ถ้าไม่ทำตาม มันได้คำสาปแช่ง เหมือนอาดัมและอีฟ ตัวเขาเองไม่ทำตามพระเจ้า พอไม่ทำตามพระเจ้า อะไรเข้ามา คำสาปแช่ง ทุกคนอ่านใหม่ๆ ตกใจ พระเจ้าสาปแช่ง … สาปแช่ง นี่ก็คือได้สิ่งที่ไม่ดีไง เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ดีเข้าไป แค่นั้นเอง เหมือนเรากินเยอะเกินไป ท้องอืดนั่นแหละ พอเรากินเยอะเกินไป เกิดอะไรขึ้น  เกิดคำสาปแช่งในท้องของเรา คือท้องของเราจะเกิดความอืด พอเรากินอะไรที่ไม่สุก มีพยาธิเข้าไป เราก็จะท้องเสีย … ท้องเสีย คืออะไร? คือถูกสาปแช่ง แต่พอเราบอกถูกสาปแช่ง แล้วไม่อธิบาย คนกลัว

 

“สาปแช่งฉัน”

มันก็คือผลนั่นแหละ ผลไม่ดี เขาเรียกสาปแช่ง แต่ถ้าผลดี เขาเรียกพระพรไง เรียกว่าพร

โอเค! เรารู้แล้วว่าทำไม่ดี ทำผิดตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าทำบาป

ท่านทราบไหมครับว่าในบรรดาบาปทั้งหลาย ความโลภ ถือว่ามีพิษรุนแรงมากที่สุด ตัวหนึ่ง เพราะเป็นต้นเหตุหลักที่นำไปสู่บาปตัวอื่นๆ และเป็นบาปที่นำไปสู่ความชั่วอีกมากมายเลย มีคำกล่าวเกี่ยวกับความโลภไว้ว่าเราควรกลัวความโลภ ซึ่งเป็นบาป เพราะมันจะนำไปสู่การกระทำที่เลวร้ายที่สุด

ความโลภเปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่ทำให้มนุษย์มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะเห็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าสำคัญกว่าตั้งเยอะ ใช่ไหมครับ? เราเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ เรื่องความโลภ นำไปสู่ความชั่วเยอะแยะมากมายไปหมด ทำให้คนฆ่ากันตายได้ เพราะความโลภนี้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน ฆ่ากันได้ เพราะความโลภ

นี่ก็เป็นตัวอย่างของคนที่หว่านความโลภ ซึ่งเป็นวิสัยของบาป ไม่ตรงตามน้ำพระทัย ก็ต้องได้รับผลของความโลภ ที่พูดมาตะกี้ทั้งหมด เห็นไหมครับ? พี่น้องฆ่ากันหมดเลย ก็เพราะความโลภ เห็นไหม? ไม่เกี่ยวเลย เขาหว่านสิ่งนี้ เขาก็ต้องได้สิ่งนั้น แม้คนที่เชื่อพระเยซูเอง  หว่านตรงนี้ เขาก็ได้เก็บเกี่ยวตรงนี้

ผมเคยเล่าให้ฟังใช่ไหม? มีผู้รับใช้ที่ต้องขังอยู่ในคุก ผู้รับใช้คนนั้น เขาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทนกับความล่อลวงไม่ได้ เขาต้องการใช้เงิน มีปัญหาจำเป็น ต้องใช้เงินในครอบครัว พอดีมีโอกาสผ่านเข้ามา ในการที่จะขายของเถื่อน ของที่หนีภาษี ของที่ผิดกฎหมาย  เขาเลยอธิษฐานกับพระเจ้าว่าเขาขอทำครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็ทำ แล้วเขาก็ได้เงินมาจริงๆ จำนวนมาก แล้วก็เอาไปใช้หนี้ ใช้อะไรต่างๆ หมดไป ปรากฏว่าในที่สุด ผ่านไประยะหนึ่ง เขาเดือดร้อนอีกแล้ว เขาก็เลยบอกกับพระเจ้าว่าขออีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว แล้วเขาก็ไปขายของเถื่อน คราวนี้ถูกจับได้ แล้วติดคุกเลย

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านฟังเท่านั้นเอง  ที่ยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเห็นว่าไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ถ้าเรายังฝืนทำอยู่ เดี๋ยวมันโดน ถ้าเรารีบเลิก มันอาจจะโดนน้อยหน่อย หรืออาจจะรอดจากหนักเป็นเบา

เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเก็บเกี่ยว หรือแม้กระทั่งความโกรธก็ตาม ความโมโห พระเจ้าบอกให้เราสงบนิ่ง ให้อภัย แต่เราฉุนเฉียวๆ คนอื่น ขับรถเฉี่ยว ไม่เบื้องขวาพระเจ้าแล้ว บนโลกนี่แหละ วิ่งเข้าไปสู้กับเขา ไปด่าเขาอย่างนี้  เขาเปิดประตูออกมา เอาปืนยิง ไม่ตาย แต่อาจเป็นอัมพาต คุ้มไหม? ก็มันเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างนี้

ผมพยายามอธิบายให้เราฟังบ่อยๆ ว่าเมื่อพระเจ้าเตือนแล้ว มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ  ทั้งทางฝ่ายวิญญาณ และทางฝ่ายเนื้อหนังเช่นเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราทำ ในทางด้านไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายโลกก็ตาม เราจะต้องเก็บเกี่ยว ถ้าเผื่อมันไม่ดี เราต้องเก็บเกี่ยวแน่นอน ในทางตรงกันข้ามนะครับในการทำบาปกับวิสัยบาป กับการทำ Miss the target เราทำอีกด้านหนึ่ง  อีกด้านหนึ่ง คือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ด้วยความเมตตา ด้วยความเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจผู้อื่น จิตใจเราก็สบาย ไม่มีศัตรู ใครเขาจะมายิงเราเหรอ ถูกไหม? เรานิ่งซะ มันก็สงบ มันก็ไม่เกิดเรื่อง หรือเกิดน้อยหน่อย

เพราะฉะนั้น บอกตรงๆ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเราหรอก หลายคนชอบบอก พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าไม่มานั่งลงโทษหรอก เพราะอะไรรู้ไหม? พระเจ้าไม่จำเป็นต้องลงโทษเรา แต่มันจะเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ตำรวจเขาไม่มาจับท่านหรอก แต่ใครจับรู้ไหม? กฎหมายจับท่าน ตำรวจเขาไม่ได้ปรับท่านหรอก แต่ใครปรับ กฎหมายปรับท่าน ตำรวจไม่ได้จับท่านติดคุกหรอก ใครจับท่านติดคุก ศาลก็ไม่ได้สั่งให้ท่านติดคุกหรอก ใครสั่งให้ท่านติดคุก กฎหมายที่ตราไว้ว่าคุณฆ่าคน คุณต้องติดคุก ไม่ใช่ศาล … ศาลแค่ทำตามอะไร? ทำตามคำสั่งในนั้น มันเป็นตามนั้นอยู่แล้ว ในยอห์น 3:17-18 อ่านตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันกฎของมันอยู่แล้ว ถ้าใครทำตาม ก็ได้ ถ้าใครไม่ทำตาม ก็เสร็จ

ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษมนุษย์ผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์

อีกครั้งหนึ่ง พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษ ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อพระองค์นะ พระเยซูไม่ได้มาปรับโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระองค์ … พระองค์เป็นผู้ไถ่บาปนะ  … พระองค์ไม่ได้มาลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ  เปล่าเลย  คือเขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว นี่พระคัมภีร์ที่เราอ่านตะกี้นี้ เขาถูกปรับโทษอยู่แล้ว ด้วยกฎของความบาปและความตายที่มีอยู่ดั่งเดิม ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดอีก ถูกไม่ถูก?

เพราะฉะนั้น ใครทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น ทุกสิ่งที่เรากระทำ ต้องเกิดผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในทางโลกหรือทางวิญญาณก็ตาม และผลที่จะเกิดขึ้น เป็นไปตามเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่ตามเวลาที่เราคิด หรือเราต้องการ เราหว่านในวิญญาณ แล้วก็ได้ทางวิญญาณ หว่านทางโลก ก็ได้ทางโลก

เพราะฉะนั้น ให้ทุกคนหว่านในสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ทุกคนเรียกกันว่าความดี หว่านความดี ทั้งความดีในวิญญาณ และดีในทางโลก ท่านจะได้เก็บเกี่ยวผลดีในทางวิญญาณและในทางโลกด้วย กาลาเทีย  6:9-10 จึงบอกต่อมาว่าให้ทำอย่างนี้ อ่านเอง

กาลาเทีย 6:9-10 “9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บ ในเวลาอันสมควร 10 เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ”

 

เอเมน เห็นไหม? เราจะได้รอดทั้งวิญญาณด้วย และในขณะเดียวกัน อยู่บนโลกนี้ ก็มีสันติสุข มีความสุข เท่าที่มันควรจะเป็น ที่พระเจ้าให้ไว้ และสัปดาห์หน้าก็มาเรียนรู้กันต่อไปว่าจะดำเนินกันอย่างไรต่อไป อย่าลืมตั้งชื่อเรื่องที่ผ่านมานี้ จะเรื่องอะไรนะ ส่งจดหมายไปที่บ้าน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 6 “กระเทียมดอง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กันยายน  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 6 “กระเทียมดอง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ เราก็ยังอยู่ในหัวข้อการบรรยายเรื่องซีรี่ส์เดิมนะครับ ก็คือเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนนี้เป็นตอนที่ 6 แล้ว … แล้วทุกครั้ง ผมก็จะเริ่มต้น ถามคำถามท่าน คำนี้แหละ 6 ตอนมาแล้ว ถามว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ และท่านก็จะตอบผมทุกครั้งว่าไม่รู้ 6 ตอนแล้ว อย่างน้อยรู้สักนิดหนึ่ง ก็ยังดี ลองถามคนข้างๆ

“เราเป็นใครในพระคริสต์”

ลองถามคนข้างๆ นะครับ และผมก็จะถามไปเรื่อยๆ ต่อจากนี้ไป  ถ้ามีการบรรยายเรื่องนี้เมื่อไร? ก็จะถามอย่างนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะว่ามันเป็นหัวข้อเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” คำตอบคราวๆ พอจะจำได้ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ … แล้วเราเป็นอะไรอีก … เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นผู้ที่ดองกับพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ เป็นเนื้อเดียวกันกับพระคริสต์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราพูดเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ กับกฎใหม่ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ จำได้ไหมครับว่าผมยกตัวอย่างเรื่องอะไร? สัปดาห์ที่แล้ว กฎธรรมชาติ ผมได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีแรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดของโลก ดูดเอาไว้ เพราะฉะนั้นวัตถุอะไรก็ตาม เมื่อขึ้นไปในที่สูง ก็จะต้องตกลงมา ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ ถูกไหมครับ แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เพราะกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบินได้เอาชนะเหนือกฎแห่งธรรมชาติ ก็คือกฎแรงดึงดูดของโลก

ทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติของทางวิญญาณนะ ทางวิญญาณ กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตาย อันนี้ชัดเจน จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี มนุษย์ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี กฎเวรกรรม กฎแห่งกรรม นี่แหละคือกฎของความบาปและความตาย แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่ใต้กฎแห่งบาปและเวรกรรมอีกต่อไป และกฎใหม่นี้ ชื่อกฎว่ากฎของพระวิญญาณในพระเยซูคริสต์ จำได้ใช่ไหมครับ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง

ยังจำสมการที่เราสรุปกันครั้งที่แล้ว ได้ใช่ไหมครับ? มาทบทวนนิดหนึ่ง สมการของตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ เทียบกันระหว่างโลกวัตถุกับโลกวิญญาณ เทียบเครื่องบินกับกฎที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราทั้งหลาย

“เครื่องบิน”

ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก มีผลทำให้มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีกฎแห่งแรงโน้มถ่วงดึงไว้  แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ผลออกมา ก็คือมนุษย์สามารถบินได้ ดูดเราไม่ลง เราลอยอยู่

“มนุษย์”

ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ หรือเรียกว่ากฎเก่า คือกฎแห่งความบาปและความตาย มีผลทำให้มนุษย์ต้องตายและตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทั้งเดี๋ยวนี้และจากโลกนี้ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตาย ผลออกมา ก็คือมนุษย์เป็นอิสระจากความตาย อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้  ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งทิ้งร่างนี้ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์

ตรงนี้แหละ เขาจึงเรียกกฎที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำขึ้นมานี้ว่าข่าวดี

ให้พูดพร้อมๆ กันว่า “ข่าวดี”

ให้พูดให้คนข้างๆ ฟังว่า “ข่าวดีรู้ไหม?”

ข่าวดีที่พูดตะกี้นี้ ข่าวดีคืออะไร?  คือพระเยซูคริสต์มาทำกฎใหม่ให้เกิดขึ้น ให้เราสามารถหลุดพ้น เอาชนะเหนือกฎเก่า คือกฎแห่งบาปเวรกรรม กฎของความบาปและความตาย นี่คือข่าวดี

เมื่อตอนที่เริ่มมีการคิดค้นทฤษฎีแห่งการยกขึ้น ตอนนั้น ก็เป็นข่าวดีของโลกนะว่าบัดนี้ มีผู้ที่สามารถเอาชนะกฎแห่งธรรมชาติได้แล้ว คือเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก แรงโน้มถ่วงของโลก และเป็นจุดกำเนิดของการสร้างเครื่องบิน ที่สามารถนำพาผู้คนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลได้ต่อมานั่นเอง เป็นข่าวดีเริ่มต้นว่าเขาเจอกฎนี้แล้วนะ  ข่าวดีไหมอย่างนี้ ข่าวดีบนโลกนี้นะ

สองพี่น้องตระกูลไรต์รู้จักใช่ไหม? ออวิลล์กับวิลเบอร์ ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของการคิดค้น สร้างเครื่องบิน และได้ประสบความสำเร็จในการนำอุปกรณ์บินขึ้น และลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 กันยายน ปี 1909 ในวันนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างรวมกันเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งนี้อย่างมากมาย เป็นข่าวยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของโลก เป็นข่าวดีของโลก นี่คือเรื่องจริง นี่คือประวัติศาสตร์

ท่านลองคิดดูนะครับ แค่บอกว่ามีคนพบกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ที่สามารถเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลกได้แล้ว ทำให้มนุษย์ซึ่งไม่สามารถบินได้นั้น โดยธรรมชาติไม่สามารถบินได้นั้น  กลายมาเป็นบินได้ โดยใช้เครื่องบินแค่นี้  ยังนับว่าเป็นข่าวดีของโลก ฉลองกันเยอะแยะมากมายในปี 1909 นี่กี่ปีแล้ว เพิ่งจะร้อยกว่าปีนี่เอง เพิ่งจะร้อยเศษๆ ปี

นี่ย้อนไปชัดๆ ให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นข่าวดีของโลก เจอกฎใหม่ แล้วขณะนี้ ในโบสถ์หรือทั่วโลก คริสเตียนจำนวนมากที่รู้จักพระเยซู กำลังประกาศข่าวดีว่าบัดนี้ ได้มีผู้ที่สามารถเอาชนะธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตายได้แล้ว จากเดิมที่มนุษย์ทุกคนต้องตายจากโทษของความบาป กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปได้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว ที่เราเคยติดปากกันว่าเมื่อไรมันจะใช้หมดสักที ข่าวดีมาถึงแล้วว่าใช้หมดได้เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์ อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีไหม? ยิ่งกว่าดีอีก ฉลองกันยิ่งกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าเมื่อตะกี้อีก ฉลองกันทุกวันอาทิตย์ยังฉลองอยู่เลย เรากำลังนั่งฉลองอยู่นี่

นี่คือข่าวดี … ข่าวดีมาตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว … แล้วที่พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินได้สำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่า ฟังให้ดีนะ ก็ไม่ได้แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้ขึ้นเครื่องบินนะครับ ถูกไหม? แม้ว่าสองคนนี้  จะคิดค้นกฎของการยกขึ้น สร้างเครื่องบินได้ และมีคนสร้างเครื่องบิน แต่ก็มิได้หมายถึงสร้างมา เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นเครื่องบิน ถูกไหม? ถูกหรือไม่ถูก คิดให้ดีๆ แค่บางคนเท่านั้น แล้วคนๆ นั้น ต้องมีเงินพอที่จะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงจะบินกับเขาได้ มันไม่ใช่สำหรับทุกคน

แต่สำหรับกฎของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำขึ้นมาสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีนั้น ให้ฟรี สำหรับทุกคนเลย นี่ผมเปรียบเทียบให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนเลย ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ เข้าไปอยู่ในกฎใหม่นี้ ง่ายๆ มีสิทธิ์ทุกคนเลย ทำเพื่อทุกคนเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่าฮาเลลูยา นี่แหละที่เขาเรียกว่าข่าวดี  และข่าวที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ข่าวดี” “Gospel” และ Gospel หรือข่าวดีนี้ ก็ใช้คำนี้มาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี มีคนออกไปประกาศข่าวดีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังประกาศอยู่ และประกาศมากขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ เราที่นั่งอยู่ในที่นี่  ก็กำลังคุยกันถึงเรื่องอะไร? ข่าวดีกันทุกวันอาทิตย์เลย

ทุกวันอาทิตย์ ที่ท่านเข้ามาอยู่ในคริสตจักรแห่งนี้ เข้ามาประชุมกันที่นี่ เราพูดถึงเรื่องอะไรกัน สรุปง่ายๆ คือเรื่องของข่าวดี อาจารย์วราพรขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี ผมขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี เขานมัสการกัน เขาร้องเพลง เขาร้องเพลงเกี่ยวกับข่าวดี ท่านอยู่ข้างล่างคุยกัน ก็คุยกันเรื่องข่าวร้าย

“เศรษฐกิจมันเป็นอย่างนั้นนะ ฉันแย่เลย ฉันลำบาก”

ท่านพูดถึงเรื่องข่าวดีไหม? คงคุยกันบ้าง … บ้าง ไม่ใช่ไม่คุย … คุยบ้าง ท่านเห็นไหม? ข่าวดีทั้งนั้น

ที่ตะกี้ผมบอกเศรษฐกิจของโลก หรือท่านดูในทีวี ส่วนใหญ่มันเป็นข่าวร้าย มันไม่ใช่ข่าวดี มันเป็นข่าวปลอม มันไม่ใช่ข่าวจริง ของจริง คือในโบสถ์นี้ ที่เรากำลังประกาศ เรากำลังประกาศเรื่องของพระเยซู คือข่าวดี นอกจากตัวอย่างในเครื่องบินแล้ว ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมได้สอนและยกขึ้นมา ทุกคนก็ยัง … จำได้ไหมครับ? อีกอันหนึ่งที่ผมได้เปรียบเทียบเรื่องนี้ คือนอกจากเครื่องบินแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องกระเทียมดอง ยังจำได้ไหมครับ ไม่ใช่ หมายถึงจำวิธีทำนะ หมายถึงยังจำได้ไหมมันหมายความว่าอย่างไร?

ให้พูดพร้อมกันว่า “กระเทียมดอง”

ครั้งที่แล้ว เราบอกว่าจากกระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาในน้ำส้มสายชู ผสมน้ำตาล ใส่เกลือนิดหนึ่ง ก็จะกลายสภาพเป็นกระเทียมดอง รู้ อันนี้ชัดเจนแจ่มใส เห็นกับตาเลย กระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นกระเทียมดอง แล้วเมื่อกระเทียมสด ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว ก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย ฮาเลลูยา เอ๊ะ! มันเกี่ยวอะไรกับพระคัมภีร์ คนที่ฟังครั้งที่แล้ว จะฮาเลลูยาแล้วตอนนี้ ถูกหรือเปล่า ฉันใดก็ฉันนั้น จากวิญญาณเดิมของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณบาป เคยอยู่ภายใต้กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย สกปรกโสโครก แต่เมื่อเราได้บัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง คือเป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป อยู่ภายใต้กฎใหม่ และไม่กลับเป็นวิญญาณบาปอีกต่อไปเลย เย้ๆๆๆๆๆ ไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เอเมน เพราะอะไร?

ที่ไม่ได้กลับไปเหมือนเดิม เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะทันทีทันใดที่เราบัพติศมา ซึ่งแปลว่าจุ่มลงไป ชุบลงไป ดองลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature จำได้ใช่ไหม? Divine Nature เข้าไปสู่ธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เราไม่มีทางกลับไปที่เดิมได้ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เอเมน มันน่าตื่นเต้นมาก

และเพราะจากความจริงทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์จึงได้ย้ำยืนยันกับเราว่าบัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ฮาเลลูยา เราจึงหลุดจากกฎเก่า ที่เคยพูดว่าเมื่อไรมันจะชดใช้บาปเวรกรรมทั้งหมดสักทีน่า  ตอนนี่เราอยู่กฎใหม่ พูดว่า.-

“มันใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว ฉันเป็นอิสรภาพแล้ว เอเมน” ถูกไหม?

โรม 8:1-2 จึงบันทึกย้ำยืนยันให้เราเรื่องนี้ว่า.-

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

เพราะอะไร?

“เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) พ้นจากบาปและความตาย”

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

เห็นไหม? ร้องจำให้ได้นะ หลับไปก็ร้องอย่างนี้ (ก่อนตาย) ก็ร้องอย่างนี้ ถ้าตายรู้ตัวนะ ถ้าตายไม่รู้ตัวแล้วไป  มันไปสวรรค์อยู่แล้วล่ะ

จากที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอน วันนี้ตอนที่ 6 แล้ว ถึงตรงนี้ เราก็จะสรุปได้พอสังเขปว่าการที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์นั้น  ก็จะเกิดผลสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก สรุปได้อย่างนี้ คือ.-

ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะเหนือกฎเก่าแล้ว

นี่ประเด็นแรกเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราใช้สิทธิ์ของเรา เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีอำนาจ เรามีชีวิตอยู่เหนือกฎเก่าแล้ว กฎเก่า ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครทำผิด ทำบาป แม้เพียงแค่นิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตายและตาย คือตายทั้งสองอย่าง คือตายเดี๋ยวนี้ และตาย ชีวิตนี้หมดลมหายใจไป วิญญาณก็ตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ และในความเป็นจริง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลย  ที่จะไม่เคยทำผิดบาป เพราะมนุษย์ทุกคน คือคนบาป พระคัมภีร์พูดชัดเจน

สรุป ก็คือทุกคนที่อยู่ในกฎเก่า ก็ต้องได้รับโทษ คือความตายและตาย หนีไม่พ้น อย่างแน่นอน ถูกไหมครับ?

แต่ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว นี่คือประเด็นแรกที่เราได้รับและสรุปได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในพระคริสต์เกิดอะไรขึ้น

ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้กลายสภาพเป็นอะไร? กระเทียมดองแล้ว อันนี้ต้องจำให้แม่นนะ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  เราก็ได้กลายสภาพเป็นกระเทียมดอง ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ถูกไหม? เราได้เป็นวิญญาณใหม่ เราได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดหมดจด ปราศจากบาป ทั้งหมดใหม่เอี่ยม 100% มีลักษณะ หรือเขาเรียกว่ามีลักษณะเหมือนพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า.-

“จงมองให้เห็นเถิด นี่แน่ะ เป็นใหม่ทั้งนั้น”

ใครก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ เขาได้ถูกสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป กลายเป็นใหม่ทั้งนั้น

หันไปหาคนข้างๆ บอก “ใหม่ทั้งสิ้นเลย ในตัวเธอ … ในตัวเธอนะ ไม่ใช่ข้างนอกนะ สิวอะไรก็เหมือนเดิม แต่ในตัวเธอ คือวิญญาณนั้น ใหม่เอี่ยมเลย ยกเว้นเสื้อ ฉันจำได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เธอใส่ตัวนี้มา ใช่หรือเปล่า? เสื้อใส่ตัวเดิมมา”

แต่วิญญาณเขาใหม่ ถึงแม้เสื้อจะเก่าก็ตาม

พระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างการอยู่ในกฎเก่าและในกฎใหม่ อยู่ในกฎเก่าและกฎใหม่ คือให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็นกระเทียมสดกับกระเทียมดอง

อันเก่า ก็คือกระเทียมสด  ใหม่เอี่ยม ก็คือกระเทียมดอง นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัด เพราะหลายคนเขาชอบทำกระเทียมดองอยู่แล้ว จะได้จำแม่น ซึ่งถ้าสมมติว่าใครก็ตามที่เข้าใจตัวอย่างที่ผมพูดมาเมื่อตะกี้นี้ เข้าใจลึกซึ้ง กระจ่างแจ้งเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเครื่องบินก็ตาม เรื่องกฎเก่าและกฎใหม่ เรื่องกระเทียมดองก็ตาม เวลาที่อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ท่านจะชัดทะลุปรุโปร่งไปเลย  ท่านจะเข้าใจท่านจะเข้าใจถ้อยคำในบริบทของโรมบทที่ 8 อย่างชัดเจน จะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง  ลองอ่านดูนะครับ โรม 8:5-6  ผมยกตัวอย่างสักนิดหนึ่ง มาให้ท่านอ่านดูว่าพอท่านรู้ เข้าใจที่ผมยกตัวอย่างเรื่องกฎของเครื่องบิน แล้วกฎของกระเทียมดอง พูดง่ายๆ ชัดๆ นะ ไม่ต้องให้ละเอียดมาก เดี๋ยวท่านจะจำไม่ค่อยได้ ท่านรู้แล้ว กฎของเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น กฎเก่ากฎใหม่ นึกออกใช่ไหม?

อ้อ! กระเทียมดอง มันเคยเป็นกระเทียมสดมาก่อน เดี๋ยวนี้เราเป็นวิญญาณใหม่แล้ว ไม่ใช่วิญญาณเก่า แล้วท่านลองอ่านข้อความเหล่านี้ คราวนี้ท่านจะเข้าใจ สว่างขึ้นมา พระคัมภีร์หมายถึงอย่างนี้นั่นเอง  ลองดูนะครับ โรม 8:5-6 เวลาอ่านไปนึกในใจด้วยนะ กระเทียมดอง กระเทียมสด เครื่องบิน เราลอยขึ้น กฎแห่งการยกขึ้น  คิดในใจอย่างนี้  แล้วเดี๋ยวท่านอ่านดู ท่านจะเข้าใจ โรม 8:5-6

โรม 8:5-6  “5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิต  ตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ 6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

 

ตามมาใกล้ๆ ตามชัดๆ นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ตามมาด้วยวิญญาณของท่าน ตั้งใจฟังตรงนี้นะครับ

“ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาปตรงนี้ ถามว่าหมายถึงใครครับ? ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจว่าหมายถึงผู้ที่ทำผิดหรือทำบาป ใช่ไหม? อ่านดู มองผิวเผินดู มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  แต่อย่างที่ผมบอกนะ คิดในใจว่าพระคัมภีร์กำลังสอนเราเรื่องอะไร? ตั้งแต่บทก่อนๆ หน้านี้แล้ว เรื่องของกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ กฎเก่ากฎใหม่ เรื่องของอะไร? เรื่องของกระเทียมสด กระเทียมดองที่ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบ นึกออกในใจนะครับ

วันนี้ผมจะขออนุญาตนะครับ มานำเสนอให้ท่านได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าในแง่มุมที่ผมจะพูดต่อไปนี้นะ มันน่าจะเข้ากันได้ดีกับในบริบทของหนังสือโรม ว่ากันตามจริง มันเข้ากันได้กับหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย  มันจะไม่แย้งกันเลย ท่านก็ลองพิจารณาดูกันเอาเองว่าท่านฟัง แล้วว่าอย่างไร?

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ กฎเก่า ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำถูกต้องตามบทบัญญัติครบถ้วน ก็ได้ไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ทำผิดบนบัญญัติแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องได้รับโทษ ไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์ และผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ สิ่งที่วิสัยบาปต้องการ คืออะไร? เนื้อหนังต้องการอะไร? คิดให้ดีๆ  เนื้อหนังเรา วิสัยบาปของเรา  ต้องการจะกระทำด้วยตัวเราเอง พยายามที่จะหาทางไปสู่หมดบาปเวรกรรมด้วยตัวเอง จากการกระทำของตัวเอง เพราะในจิตใจของเรา วิสัยบาปนี้ มันจะระลึกเสมอ อยู่ตลอดเวลาว่า.-

          “ฉันเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง ฉันต้องทำ เมื่อไรมันจะหมดสักทีๆ”

 

ตัวนี้คือวิสัยบาป ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ก็จะได้อย่างนี้ว่าผู้ที่ยังดำเนินชีวิต ภายใต้กฎเก่า ก็จะปักใจของเขา คือพยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อไปสู่ความรอดจากบาปเวรกรรมให้ได้

ได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซู  “ก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก เพราะฉันอยากจะทำเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร?  อยู่ดีๆ ฉันทำผิด แล้วมีคนมาชดใช้ให้ฉัน มันไม่น่ามีเหตุผล ไม่เอาล่ะ ฉันทำเองดีกว่า ถูกหรือไม่ถูก”

อดีตเราก็คิดถึงอย่างนั้น ถูกไหม? พอเราได้ข่าวดีว่ามีพระเยซูมาเกิด ไถ่บาปเรา … เราฟังไหมตอนแรกๆ ถามว่าเราไม่ฟัง เพราะอะไร? ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ฟังเพราะอะไร? เรายังไม่เข้าใจ เราไม่เคยได้ยินเลย เราก็ไม่สนใจ เพราะอะไร? ก็เพราะวิสัยบาปที่อยู่ในตัวเก่า ที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา มันต้องการที่จะทำด้วยตัวเอง มันมีความเย่อหยิ่ง ตัวนี้แหละเป็นเชื้อบาปตัวหนึ่งที่เป็นเชื้อบาปใหญ่เลย เริ่มต้นจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตัวนี่แหละ เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองแน่กว่าพระเจ้าผู้สร้างเขา แล้วก็ตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้ เชื้อบาปนั้น ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จนมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในเนื้อหนังร่างกายของเรา ในนิสัยบาปเรานั้น มีเชื้อใหญ่ตัวนี้อยู่ ก็คือเชื้อของความเย่อหยิ่งจองหอง

“ฉันจะต้องทำด้วยตัวฉันเอง ฉันไม่เชื่อหรอก”

นี่มันเป็นอย่างนั้น  โอเคต่อนะครับ

ในบรรทัดต่อมา เขาบอกว่า “แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” นี่อีกฝั่งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแล้วนะ

“แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณประสงค์”

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตรงนี้ง่าย ทุกคนก็รู้ว่าก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม?  อยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ สิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย … น้ำพระทัยพระเจ้าตรงนี้ ก็คือต้องการให้เรา ปักใจตรงนี้ คือให้เราระลึกอยู่เสมอว่านี่พระเจ้าต้องการอะไร? ต้องการให้เราระลึกถึงเสมอว่าวิญญาณตัวเราเองถูกสร้างใหม่แล้ว เราเป็นกระเทียมดองแล้ว นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณต้องการให้เรารู้ เป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ได้ ในสวรรค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย  จนถึงนิรันดร์เลย และวิญญาณเราก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนี้ด้วยจริงๆ ถ้าเผื่อเราใช้สิทธิของเราในข่าวประเสริฐนั้น เราอยู่ในนั้นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันทีเลย อยู่ในพระคริสต์

คนที่อยู่ในพระคริสต์อย่างนี้ เราต้องปักใจตรงนี้ เพราะพระวิญญาณต้องการให้เขาปักใจอยู่ตรงนี้ให้ได้ สู้กับเนื้อหนังที่ไปอีกข้างหนึ่ง พอเข้าใจไหม? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า  น้ำพระทัยพระเจ้าไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่เชื่อแล้วเท่านั้นนะ คนที่ยังไม่เชื่อ ในอดีตที่เรายังไม่รู้จักพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าก็ต้องการให้เรารู้ตรงนี้ แต่เรายังไม่รู้ เราก็ปักใจของเราอยู่แต่เนื้อหนังของเรา

เราเกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรม เราก็ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง แต่ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ซึ่งพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ก็ต้องการให้ผมและท่านมารู้จักกับกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวดี ท่านจะได้ไม่มาปักใจตรงนี้  พอเข้าใจไหม?

 

ข้อต่อไปบอกว่า “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”

ชัดเจนเลย “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย” คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า นี่ท่านจะเห็นชัดว่าถูกเลย เมื่อตะกี้นี้ที่วิเคราะห์มา ใช่แล้ว นี่คือจิตใจของคนที่เป็นบาป นำไปสู่ความตาย คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่านั้นแหละ ต้องรับโทษของบาป คือความตายและตาย  ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้จักพระเจ้ารู้ ก็ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ซึ่งเขาสรุปกันทั่วโลก เรียกว่านรก

“แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข” พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น คือจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณควบคุมอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เป็นกระเทียมดองกับพระเจ้า เป็นกระเทียมดองกับตรีเอกานุภาพไปเรียบร้อยแล้ว จิตใจนั้น คือจิตใจของผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์และสันติสุขที่แท้จริง เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดเลยนะ มันไม่ได้ยากเย็นเลยนะข่าวดี  โรม 8:9-11 เรามาอ่านกันดู ตั้งใจอ่าน อย่างที่ตะกี้นี้บอก นึกในใจ มีกฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง

พูดพร้อมกันสิ “กฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง วิญญาณเก่า วิญญาณใหม่”

อ่านตรงนี้นะ โรม 8:9-11

โรม 8:9-11 “9  อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาปถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”

 

ในนี้บันทึกว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน … ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาป  เช่นเดียวกัน ถ้าเราเปรียบ เป็นกฎเก่ากับกฎใหม่นะ  ถ้อยคำตรงนี้  ก็จะอธิบายได้อย่างนี้ว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน คือถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า  ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้รับบัพติศมา จุ่มลงไปในพระคริสต์ ท่านได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาปอีกต่อไป  คือไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป

กฎเก่าที่ต้องพยายามพึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้รับความชอบธรรม เพื่อจะได้เข้าไปหาพระเจ้าได้ เพื่อจะได้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยพระวิญญาณ ภายใต้กฎใหม่ ที่เราได้บังเกิดใหม่ คือกฎแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากความบาปและความตายแล้ว เอเมน

 

ข้อที่ 10 บอกว่า “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน  กายของท่าน ก็ตายไป”

ฟังให้ดีๆ นะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน” เชื่อพระเจ้าแล้วนะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม” ตรงนี้ คืออะไร? คือเขาเรียกว่าไคล์แม๊กของเรื่องพระเจ้าเลย ไคล์แม็กของเรื่องไปสวรรค์ ไคล์แม็ก ของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป ฟังให้ดีๆ กายของท่านตายไป เพราะบาป ย้ำให้เห็นว่าที่เราเรียนรู้กันมาตลอดทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องทางวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่ผมเคยบอกมาตลอดใช่ไหม?

พระคัมภีร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องของวิญญาณ อ่านเท่าไร ให้ท่านพยายามนึกถึงเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ถ้าท่านไม่ใช้โลกวิญญาณ ใช้วัตถุ หรือวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ หรือสติปัญญาแบบมนุษย์เข้าไป ท่านจะไม่เข้าใจเลย และไม่ใช่ไม่เข้าใจอย่างเดียว ท่านเข้าใจผิดอีกต่างหาก แล้วจะไปเข้าข้างอีกฝั่งหนึ่ง คือกฎเก่า พระเยซูมาพร้อมกับกฎทางวิญญาณทั้งสิ้น ทุกเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่พระองค์บอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” แล้วทุกคนไม่มีหูเหรอ พูดมาได้อย่างไรว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มันหมายถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณจงฟังเถิด

และอีกอันหนึ่งที่บอกว่า “สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น สิ่งที่มนุษย์ไม่ได้ยิน เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเขาทั้งหลายที่รักพระองค์”

          แต่พระเจ้ากำลังหมายถึงตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ เขาถึงต้องอธิษฐานให้เราตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก  อธิษฐานหูฝ่ายวิญญาณของเราเปิดออกไง พระเยซูจึงบอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มองไป ก็มีหูทุกคน ถูกไหม? นี่เรื่องวิญญาณทั้งสิ้น

 

มาอธิบายต่อเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าบอกว่า.-

          “ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป คือแม้ว่าเราจะได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณแล้ว ได้จุ่มลงไป มุดลงไป เป็นกระเทียมดอง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว ได้อยู่กับพระคริสต์แล้ว แต่เป็นเพียงวิญญาณของเท่านั้น ทั้งหมดที่พูดมา ส่วนกายของเรา ที่มองเห็นอยู่นี้ ก็ยังคงเป็นเนื้อหนัง ซึ่งยังคงมีสภาพบาปอยู่ เพราะฉะนั้นกายของเรา คือร่างกายของเรานี้ ยังคงต้องตายอยู่ดี ในวันหนึ่งข้างหน้า ใช่หรือไม่ใช่? ใช่

 

แล้วคราวนี้ พระคัมภีร์จึงบันทึกข้อนี้มา เป็น Happy Ending ของเรา ถ้ามีอยู่แค่นี้ ตายเลย เราไม่มีความสุขเท่าไรเลย แม้อยู่ในพระคริสต์ก็ไม่สุข เพราะเราต้องอยู่กับมันตลอดไป มันนี่คือใคร?

พูดพร้อมกัน “ตัวฉันเอง”

ตัวที่เป็นร่างกายของเรา ที่เป็นบาปอยู่นี่ “ฉันจะต้องอยู่กับมันตลอดไปเลย วิญญาณฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ดองกับพระเจ้าเลย แต่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่ยังคงบาป ฉันจะอยู่กับมันถึงนิรันดร์เหรอเนี้ย ฉันจะต้องบังคับมันอย่างนี้ตลอดไป  ตายแน่ การเป็นคริสเตียนของฉัน มันก็เลยเป็นพระพรแค่ครึ่งเดียว 50% ที่เหลือทารุณพอสมควร ฉันต้องอยู่อย่างนี้เหรอเนี้ย สิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ฉันก็ต้องทำมัน ฉันจะต้องอยู่อย่างนี้ อยู่ในสวรรค์ ฉันอยากด่าใคร? ฉันก็ด่าอย่างนั้นเหรอ อยู่บนโลกมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ถามว่าเป็นไหม? เป็นหรือไม่เป็น? ยิ้มๆ แล้วตอบเลย เป็นหรือไม่เป็น? เป็น เวลาโกรธมาหน้าตาก็บูดบึ้ง แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ข้างในมันตั้งใจซะที่ไหน มันไม่อยากจะทำ ฉันก็กลุ้มเหมือนกัน ที่ทำลงไป”

ถามจริง กลุ้มไหม? หรือว่าไม่กลุ้ม เวลาเราโกรธใคร ยิ้มแย้มแจ่มใสไหมข้างใน ชื่นใจ วันนี้ได้โกรธคน ด่าซะมันไปเลย กลับถึงบ้านแฮปปี้ นอนหลับสบาย  น้อยคนนะเป็นอย่างนั้น  นอกจากจะเพี้ยนไปแล้ว  ถ้าเป็นคนปกติไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน มีใครไหม? เห็นคนแก่ เห็นเด็กจะข้ามถนน ไปแกล้ง อุ้มออกไปเลย ไปแกล้ง ไม่ให้เขาข้าม แล้วก็สบายใจจัง มีความสุข ไม่มีหรอก ไม่ใช่ ลึกๆ ข้างในวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้าทุกคน แม้ว่ายังไม่รู้จักพระเจ้า ก็เป็นของพระเจ้าทั้งนั้น แต่มันเสียหายยับเยิน เพราะความบาป เชื่อของความบาป ที่มันปิดอยู่ แล้วแม้กระทั่ง เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว ได้มาบังเกิดใหม่ข้างในวิญญาณแล้ว  แต่เราก็ต้องอยู่กับใคร? อยู่กับมันต่อไป อย่าไปรักมันมาก อยากจะดุด่าใครนะ ไปหน้ากระจกเลย ไปซัดมันให้เต็มที่ อันนั้นแหละคือตัวจริง เลวที่สุด คือไอ้นั้นแหละ ใคร? มัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาปอยู่) ไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริง คือวิญญาณครับ มันคือร่างกายของเรา

          นี่คือความหวังใจมาก พระคัมภีร์บันทึกไว้ตรงนี้ ถึงกระนั้น วิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม แต่ถึงแม้ร่างกายของเราจะต้องตายไป  แต่วิญญาณของเรา ก็ยังคงอยู่ และมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระเจ้า เพราะวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณของผู้ชอบธรรมแล้ว หมายถึงไม่ผิด ไม่บาป ไม่ต้องรับการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชนักติดหลังเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ปราศจากบาปแล้ว หรือเรียกว่ากระเทียมดองไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างแน่นอน นี่เรียกว่าข่าวดีของพระเยซูที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เอเมน

 

วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าอย่างไร? พระองค์สัญญาว่าในข้อเมื่อตะกี้นี้ ย้อนไปอ่านนิดหนึ่ง

“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตซึ่งต้องตายแก่ท่านนั้นด้วย”

กายของท่านที่ต้องตาย พระเจ้าจะประทานชีวิตให้ใหม่ด้วย คือพูดง่ายๆ ให้ร่างกายใหม่กับท่าน … ท่านจะไม่ได้ไม่ต้องอยู่กับมันอีกต่อไป  เมื่อท่านทิ้งร่างกายบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณท่านออกจากร่าง หมายถึงตายจากโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน เตรียมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องอยู่ในความบาป ไม่ต้องทำชั่ว ไม่ต้องอยากทำชั่ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ซึ่งมีความคงทนอยู่ไม่นานนัก แค่นิรันดร์กาลปีเท่านั้นเอง

วิญญาณท่านก็เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ถูกไหมครับ? สะอาดหมดจดแล้ว ท่านได้สวมร่างกายใหม่ด้วย นี่แหละ คือความหวังใจที่ตะกี้นี้ผมบอกไป เพราะฉะนั้นตอนนี้อดทนอยู่กับมัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาป) อีกนิดเดียวๆ แป๊บเดี๋ยว เราชนะมันแล้ว เอเมน โรม 8:12-13 จึงบันทึกอย่างนี้

โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาป ที่จะ ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”

 

ตั้งใจฟังตรงนี้ชัดๆ นะ  นี่ขยายความเมื่อสักครู่นี้ “พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธต่อวิสัยบาป”

คำว่า “พันธะ” ในข้อนี้ พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “Debtor” ที่แปลว่าลูกหนี้ ความหมาย ก็คือท่านไม่ใช่เป็นลูกหนี้ของเนื้อหนัง ความบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนังอีกต่อไปแล้ว นี่หมายถึงคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และถ้าท่านยังปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนัง กฎเก่า ท่านก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎเก่า และท่านจะต้องตายและตาย อธิบายชัดนะ เหมือนเดิมเลย  นี่คือข่าวประเสริฐ กำลังอธิบายเรื่องข่าวประเสริฐ เหมือนที่บอกว่าข่าวดีเรื่องเครื่องบินมาถึงแล้ว เครื่องบินบินได้จริงๆ หรือบอลลูนก็ได้ บอลลูนมันลอยขึ้นได้จริงๆ ข้ามไปเถอะ ขึ้นไปเถอะ

ยกตัวอย่างเช่น ข้ามไปเถอะ เพราะภูเขาไฟในเกาะนี้มันจะระเบิดแล้ว ถ้าคุณขึ้นไป ลอยไปอยู่ที่โน่น ย้ายไปอยู่อีกเกาะหนึ่ง เกาะนี้มันจะยุบลงไปแล้ว เร็วๆ  มิฉะนั้น ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจะต้องตาย แต่คราวนี้หนักกว่า ในข้อพระคัมภีร์นี้หนักกว่า คือตายทั้งร่างกายและวิญญาณ และนิรันดร์ด้วย คือถ้าท่านไม่เดินทางวิญญาณหรือพระวิญญาณก็ตาม คือท่านไม่เดินทางวิญญาณ ไม่ได้เห็นทางวิญญาณตามที่ข่าวประเสริฐได้พูดถึง ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ถ้าไม่ได้เดินทางวิญญาณ ท่านอยู่ทางวัตถุเนื้อหนัง ก็คือกลับไปที่โลกวัตถุ กลับไปที่กฎเก่า กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ตราบใดที่ท่านเดินอยู่ในเนื้อหนังนั้น คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองว่าจะต้องทำเอง จะต้องเป็นอย่างโน่นอย่างนี่ด้วยตัวเอง ท่านจะไม่มีทางได้รับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว

ง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบ ก็คือถ้าท่านพยายามบินด้วยแขนของตัวเองเมื่อไร? ไม่พึ่งใครเลย ท่านก็หล่นลงมาแน่นอน หล่นไหม? หล่นแน่นอน ถ้าท่านไม่พึ่งเครื่องบิน ท่านหล่นลงมาแน่ ท่านไม่พึ่งกฎแห่งการยกขึ้น ท่านหล่นลงมาแน่นอน ถูกหรือไม่ถูก? เหมือนกระเทียม ที่พยายามดองตัวเอง ได้ไหม? กระเทียมมันกระดืบๆ มันกี่ปี มันถึงจะลงไปในไหน้ำส้ม มันต้องมีคนเตรียมน้ำส้ม เตรียมอะไรต่างๆ ไว้ แล้วก็จับกระเทียมนั้น ใส่ลงไปในไหนั้น มันถึงจะเป็นกระเทียมดอง

“ฉันจะต้องกระเถิบทีละนิดๆ เมื่อไรฉันจะถึงไหน้ำส้มชูไหมเนี้ยะ” เป็นไปไม่ได้

ถ้าพูดเหมือนตะกี้นี้ ท่านหัวเราะกระเทียมตะกี้นี้ กระเทียมเมื่อไรจะไปถึง ถ้าผมพูดอย่างนี้ ท่านจะกล้าหัวเราะไหม?

“ฉันจะสะสมคุณความดี เพื่อจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ฉันจะพึ่งในการกระทำของตนเอง ฉันจะไม่พึ่งในอะไรทั้งสิ้น ฉันจะไม่พึ่งในพระเยซูเลย ฉันจะพึ่งการกระทำ ฉันจะสะสมการกระทำดีของฉัน สะสมบุญของฉันไปเรื่อยๆ”

อ้าว! ไม่หัวเราะล่ะ ได้ไหม? ไม่ได้ นี่ตามกฎนี้ ไม่ได้ ถูกไหม? ที่ตะกี้พูดถึงกระเทียมยังหัวเราะเลย แต่พอพูดถึงตัวเอง ไม่ยอมหัวเราะ เราก็คืออย่างนั้นในอดีตใช่ไหม? เรานึกว่าเราทำอย่างนั้น  ทำอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรม ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่หมด เราก็ยังทำไม? ทำ เพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเราไปปักใจอยู่ตรงนั้น ตรงไหน? ตรงกฎเก่า ตรงเนื้อหนัง ตรงเนื้อหนังมันเต็มไปด้วยความบาป แต่พระเจ้ามาไถ่เรา ให้ความรอดเรา เริ่มต้นที่วิญญาณของเราก่อนเลย มันต้องเริ่มต้นตรงนั้น  ถ้าเราเริ่มต้นที่เนื้อหนังจะไม่เจอพระเจ้าเลย พระเจ้าก็จึงบอกมนุษย์ทุกคนว่าทางรอดจากบาป ทางรอดจากนรก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นผู้พูดเอง พระคัมภีร์ก็พูดอย่างนั้น ท่านต้องเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ โดยทางฝ่ายวิญญาณ โดยการนำของพระวิญญาณ ที่เป็นผู้ควบคุมการดำเนินการทั้งหมด ในครอบครัวของพระคริสต์ นำพาท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ ท่านจึงจะสามารถได้รับความรอดได้ ท่านกำลังพึ่งในพระเจ้า เพระเยซูคริสต์นั้นเอง

พระคริสต์ก็เปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เปรียบเหมือนสถานที่หนึ่ง ที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้ากับพระองค์จะทำบ้านขึ้นใหม่ โดยจะมีเราเข้าไปอยู่ในนั้น

“เรา” ก็คือคนที่เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และจริงๆ เรา ก็คือทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคน … ทุกคนเลยนะ ประกาศข่าวนี้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ แต่คนที่จะเข้าไปได้ ก็มีเพียงแค่คนที่ยอมรับสิทธินั้น ยอมรับว่ามันเป็นจริง

“ฉันจะยอมรับสิทธิของฉัน”

ถ้าไม่เอา แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? ถ้าท่านยังไม่เชื่อในฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ อย่างที่อธิบายมาตะกี้ ท่านจะไม่มีวันที่จะได้รับความรอดจากบาป พ้นจากบาป เวรกรรม พ้นจากการถูกลงโทษ จากบาปเวรกรรม พ้นจากนรกได้เลย  และจะต้องไปสู่ความตายและตายในที่สุด อย่างที่ผมบอก ตายนิรันดร์ ตายครั้งแรก ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ทิ้งโลกใบนี้ไป จากโลกใบนี้ไป ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ตรงกันข้าม ถ้าท่านรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า รับเชื่อในพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านได้เป็นกระเทียมดอง … ดองกับพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ ท่านอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย กำลังอยู่ตอนนี้ แล้วเมื่อจากโลกนี้ไป ท่านก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เอเมน

โรม 8:14-16 “14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก 15 แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่าน เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” 16 พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

 

เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือสรุปให้เห็นอีกทีหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ เจน

ให้ท่านพูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นทาสของความกลัวอีก”

ท่านรู้ไหมว่าทาสของความกลัวแปลว่าอะไร? “เป็นทาสของความกลัวอีก” คือกลัวตกนรก กลัวผิด  ฟ้องผิดตลอด  กลัวบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ ตอนนี้นครไม่มีวิญญาณนั้นอีกแล้ว ไม่เป็นทาสแล้ว ไม่กลัวแล้ว ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่มีวิญญาณแห่งความกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่วิญญาณที่ให้มาเป็นวิญญาณที่ … อ่านตาม

“แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับวิญญาณ ผู้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่าอับบา พ่อ”

เข้าใจหรือยัง? เราร้องว่าพระบิดาเจ้า พระบิดา เรานึกว่าเรื่องธรรมดา ทำไมพระเยซูสอนเราให้อธิษฐานอย่างนี้ว่า “พระบิดา” ทำไมขึ้นคำแรกเป็นคำนี้ เพราะไม่มีใครจะสามารถพูดตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้บังเกิดใหม่ เขาจะได้เป็นกระเทียมดอง เขาจึงจะพูดตรงนี้ได้ชัดเจนแจ่มใส ไม่อย่างนั้น เขาต้องนึกว่าเขากำลังเล่นลิเกอยู่ เขาอาย เขาไม่กล้าพูด ทุกวันนี้มีใครอายบ้างตรงนี้ เพราะข้างในมันชื่นใจ รู้ว่าใช่ รู้ว่า.-

“ยืนยันอยู่ในใจฉัน”

ใครยืนยัน “วิญญาณฉันและพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น”

ยืนยันว่านี่ใช่เลย เราอยู่ที่นั่นแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปแล้ว และไปถึงนิรันดร์ด้วย

การดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ ก็คือการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์นั่นเอง นี่คือการดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ บางคนบอกการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ คืออะไร? อ๋อ!  ต้องไปทำดีอย่างนั้น ต้องไปช่วยคนยากคนจน ไม่ใช่ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดตรงนั้น ไม่ได้สอนจริยธรรมตรงนั้น พระคัมภีร์กำลังจะบอกว่าการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือสำนึกในวิญญาณอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร? เราเป็นใคร เราเป็นใครในพระคริสต์

ตรงนี้ หมายถึงการดำเนินชีวิตตามวิญญาณ ไม่ใช่อย่างที่เราคิดกันว่ามาสอนจริยธรรม ไบเบิ้ลไม่ได้สอนจริยธรรม ผมจะบอกให้ท่าน เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านรู้ตรงนี้ จริยธรรมจะออกมาเอง มันจากข้างในมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอกไปข้างใน ฟังให้ดีๆ นะ มันจะข้างในออกมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอก แล้วพยายามจะไปล้างข้างในให้สะอาด เป็นไปไม่ได้ ข้างในสะอาด แล้วเดี๋ยวมันจะออกมาข้างนอกเอง เอเมน

การดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือโดยการไถ่บาปของพระเยซู ให้ดำเนินชีวิตอยู่ตรงนั้นแหละ ในการที่เราได้รับการไถ่แล้ว เราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด จนกระทั่งได้กลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า อย่างที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์พูดแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตโดยวิญญาณตรงนี้ รู้ตลอดเวลาว่าเราเป็นใคร นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องย้ำยืนยัน และเน้นกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราชนะอย่างไร? มันคือใคร? มันก็คือใคร? ก็คือเนื้อหนังร่างกาย มันจะเถียงเราตลอด ต้องจับมันให้อยู่ให้ได้ แล้วก็ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ ข้างในนำ ดำเนินชีวิตโดยเอาวิญญาณนำหน้า ถามว่าพระวิญญาณนำใช่ไหม? ใช่ แต่พระวิญญาณก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร พระบิดา และก็ใครอีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งใครน๊า จำไม่ได้แล้ว ตัวเราเองนั่นแหละ โดยพระวิญญาณนำ ก็คือวิญญาณของเรา ดำเนินชีวิตโดยวิญญาณของเรา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ 3 พระภาคอยู่ด้วยกันนั่นแหละ พอเข้าใจไหม?  คือให้เราทำไม? ให้เรามองในโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนที่อาจารย์เปาโลสอนไว้ ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 โดยให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน จดจ่ออยู่ที่พระคริสต์ ที่สถิตอยู่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตรงนี้แหละ คือดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ

“ฉันกำลังนั่งอยู่ที่ตรงนั้นเลย”

“ที่ตรงไหน?”

“ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ที่คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ด้วย ขณะที่ฉันเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยว วิญญาณฉันก็นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์สถานด้วย ฉันต้องบังคับตัวเองให้มันจดจ่ออยู่ตรงนั้นให้อยู่ได้ เพราะมันพยายามดึงฉันอยู่เรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่ นี่กำลังอยู่ที่ริมถนน ร้อนก็ร้อน ข้ามถนนก็ไม่ได้ คนขายก๋วยเตี๋ยวยังเอาไปให้คนอื่นก่อนอีกต่างหาก ฉันมาก่อน แต่ได้ที่หลัง ฉันโมโหแล้วนะ ฉันก็โมโหหิวอยู่ ฉันมาตั้งนาน ทำไมคนนั้นได้ก่อน ทำไมคนมาทีหลังได้ก่อน ฉันชักโกรธแล้ว ฉันก็ระเบิดออกไปเลย เพราะฉันหลุดจากเบื้องขวาของพระเจ้า ลงมาอยู่ที่ไหน? ลงมาอยู่ที่มันแล้ว มันชนะตอนนั้น ฉันแพ้”

เพราะฉะนั้น เราต้องจดจ่อปักใจพุ่งไปที่ไหน? พุ่งไปที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่เบื้องบนกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราเป็นกระเทียมดองแล้ว เราอยู่ในกฎใหม่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งพระวิญญาณแล้ว เรามีชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระองค์ทรงอยู่กับเรา ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา เรายิ่งใหญ่มากๆ เลย แต่พระเยซูบอกยิ่งใหญ่ ก็ต้องยิ่งเสียสละหมดเลย เพราะมีเยอะแล้วไง คนที่เห็นแก่ตัวโลภ เพราะเขายังไม่รู้ เขานึกว่าเขาขาดอยู่ เขาอยากจะเอา แต่พอเรารู้อย่างนี้ เราเลยเฉยๆ ไง เพราะเรามีเยอะมาก … มากๆ จริงๆ เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ เอเมน นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญ

เราจะจบด้วยอ่านตรงนี้ด้วยกัน โคโลสี 3:1-4 ย้ำตรงนี้ด้วยกันว่าพระเยซูต้องการให้ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณนี้อย่างไร? โดยวิญญาณนี้อย่างไร? ให้เราจดจ่ออยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพื่อชีวิตเราจะเต็มไปด้วยชัยชนะตลอดเวลา

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เอเมน … และนี่คือการที่เราสามารถจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนได้ คือการมีความหวัง และรู้ว่าที่เบื้องบน ที่ในพระคริสต์ ที่เราสถิตอยู่ด้วยนั้น ตอนนี้มันเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? เตือนตัวเองบ่อยๆ เราเป็นใคร? พูดให้ตัวเองฟังอยู่บ่อยๆ วนเวียนให้ตัวเองรู้บ่อยๆ ร้องเพลงนี้บ่อยๆ “อยู่ในพระคริสต์” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************