คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กรกฎาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ลองถามคนข้างๆ สิ “ท่านเป็นใครในพระคริสต์” รู้ไหม?

วันนี้ ตอนที่ 3 แล้ว สัปดาห์ที่แล้วเราได้คุยกันว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และมีลักษณะชีวิต (ในวิญญาณ) ทางวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู ทราบจากไหน? จากถ้อยคำของพระเยซูเอง ที่ได้ตรัสไว้  ในหนังสือยอห์น 14:20 นะครับ ได้บันทึกว่า.-

ยอห์น 14:20 “ในวันนั้น พวกท่านจะตระหนักว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา และพวกท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกท่าน”

 

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่าถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

 

จะสร้างบ้านของเราร่วมกับเขา จะอยู่กับเขาในบ้านหลังนั้น ที่มีชื่อว่าพระคริสต์ ในพระคริสต์ พระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา รวมความ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ เอเมน

เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากเลยนะครับ  การร่วมกันเป็นหนึ่ง แบบแยกกันไม่ออกเลย เมื่อเราเข้าไปมีส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของอะไรรู้ไหมครับ? เคยได้ยินคำนี้ใช่ไหมครับ? เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ

          ตรีเอกานุภาพ คืออะไร?  คือมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราเข้าไปมีส่วนในหนึ่งนี้ด้วย ขนลุกไหม? … พูดครั้งใด เห็นถ้อยคำครั้งใด ผมก็ขนลุกทุกที ไม่มีวันที่จะเข้าใจ แต่ที่เข้าใจนิดๆ มันก็ขนลุกพอแล้ว ที่เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ มันก็ซาบซึ้ง เหลือที่จะขอบคุณพระเจ้า ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร?  เหมือนกับที่ผมได้ยกตัวอย่างใช่ไหม? ในสัปดาห์ที่แล้วว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันของเรากับพระเยซูคริสต์ หรือกับ 3 พระภาค กับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับเราจุ่มชาลงไปในน้ำ รวมออกมาเป็นน้ำชา น้ำชาไม่สามารถแยกออกมาเป็นชากับน้ำได้แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความลึกซึ้งของความหมายของคำว่า “เป็นหนึ่งเดียวกัน” ที่พระเยซูบอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ บัพติศมาในพระเยซูคริสต์

 

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป มุดลงไป เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และพระบิดา และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับครับ? เราก็เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ได้รับพระสิริของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เหมือนกับพระองค์ แล้วก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานานัปการ คือมีลักษณะชีวิตทางวิญญาณเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ลักษณะชีวิตทางวิญญาณเหมือนพระเจ้า  เข้ากันได้ดี

ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “คืนดีกับพระเจ้า” วิญญาณต่อวิญญาณสามารถเข้ากันได้ คืนดีกัน  เหมือนน้ำกับน้ำมันไม่สามารถเข้ากันได้ ใช่ไหม? เอาน้ำมันเทลงในน้ำมัน น้ำมันกับน้ำมันคืนดีกัน เข้ากันได้ดีเหลือเกิน คล้ายๆ อย่างนั้น ในหนังสือ 2 เปโตร 1:3-4 ลองเปิดดูว่าความลึกซึ้งของการเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึงตรงนี้ว่าอย่างไร?

2 เปโตร 1:3-4 “3 พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา 4 เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้  พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

 

ขอบคุณพระเจ้า

ให้เราพูดพร้อมกันตรงนี้ ตามผมนะครับ พูดชื่อท่านนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

นคร หรือท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า เพื่อว่าจะได้พ้นจากความเสื่อมทราม ตัณหาในโลก ก็คือพ้นจากความบาปและความตายนั่นเอง

พระคัมภีร์อยากให้เราได้รับรู้ตรงนี้ มากๆ เลย คือได้รับรู้ว่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในการไถ่บาป ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือได้รับการจุ่มลงไป โดยพระวิญญาณของพระเยซู คือของพระองค์ คือจุ่มเข้าไปในอะไร? เข้าไปในสิ่งหนึ่งที่มี ทางภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย เรียกว่าพลังอำนาจ หรือ Power เข้าไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ว่าไฟ … ไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ Power คือฤทธิ์เดช คืออำนาจยิ่งใหญ่ พลังกำลังอำนาจยิ่งใหญ่ของใคร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู ได้จุ่มเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันในตรีเอกานุภาพ

รวมความ ก็คือเราได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และล้ำค่าสูงสุด ไม่อยากจะบอกสิ่งเลยนะ แต่ก็ต้องบอกสิ่ง ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? สิ่งที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่าที่สุด ที่เราได้เข้าไปมีส่วนนี้ คือได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า หรือภาษาอังกฤษใช้ Devine Nature ซึ่งแปลลำบากมาก แปลว่าพระลักษณะของพระเจ้า หรือธรรมชาติของพระเจ้า  หรือธรรมชาติชีวิตที่เป็นของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนในแบบนั้นเลย

ซึ่งทั้งหลายๆ ทั้งปวง เราได้รับมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คิดดูสิ คุณค่ายิ่งใหญ่สูงสุด แต่พอมาคิดอีกที ได้มาโดยเปล่าๆ โดยความเชื่อเท่านั้น พระเยซูทำให้เราหมด เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว

ให้พวกเราพูดพร้อมกันว่า “เรียบร้อยไปแล้ว … พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว”

เอ๊า! บอกคนข้างๆ สิ “เรียบร้อยไปแล้ว รู้หรือเปล่า?”

บางทีเราต้องถามตัวเองนะ “เรียบร้อยจริงเหรอ”

ก็มันจริงๆ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วหรือยัง?  เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว พระเยซูตายที่ไม้กางเขนหรือยัง? ตายแล้ว หลั่งพระโลหิตหรือยัง? หลั่งแล้ว เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เป็นแล้ว … นั่นแหละ เรียบร้อยไปแล้ว เราเพียงแต่แค่เชื่อและรับสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แค่นี้เอง นี่เขาจึงเรียกกันว่าข่าวดีไง ข่าวดี คือได้ฟรีๆ ใช่ไหม? เขามีแจกอะไรส่วนใหญ่ ตรงนั้นมีข่าวดี ไปกันเถอะ

ข่าวดี คือเขามีของดีๆ แล้วจะแจกเราฟรี เพราะฉะนั้น เพียงแค่ไปรับสิทธิของท่าน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ทรงกระทำให้เราทั้งหลายนั้น แค่นั่นเอง เพียงแค่นั้น ทุกคนก็สามารถรับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา พระสัญญาทุกอย่างของพระเจ้า เราได้รับมาหมดแล้วจริงๆ ในพระเยซูคริสต์ สัญญานี้บอกก่อนพระเยซูจะเกิด ตั้งหลายพันปี ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิด สัญญาว่ามันจะเป็นอย่างนี้ๆ สัญญาว่าในพระเยซูคริสต์ เราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างเหลือเฟือ เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เอเมน

            ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูได้รับพระสัญญาตรงนี้ เท่ากันทุกๆ คนเลย เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูก็ควรที่จะมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ และมีสันติสุขเหมือนกันหมด ไม่น่าจะมีอะไรวิตกกังวลอีกแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ถูกไหม?  ถูกต้องตามพระคัมภีร์เปี๊ยบเลย  แต่ถามว่าชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างที่บอกเมื่อตะกี้ไหม? ไม่เป็น

            ยังจำได้ใช่ไหมครับ สัปดาห์ที่แล้ว ผมถามทิ้งท้ายไว้ เป็นคำถามที่บอกว่า.-

“การดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราบนโลกใบนี้ หลายครั้ง มากๆ ครั้ง บ่อยครั้ง เราไม่เห็นได้รับในสิ่งที่พระเยซูสัญญา หรือบอกเราไว้ตามสัญญาเลย  ไม่เห็นได้รับตามนั้น ทั้งหมดเลย พระเยซูบอกว่าอย่างไร?

บอกว่า “เราบอกเรื่องนี้กับท่าน เพื่อท่านจะมีความชื่นชมยินดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในเรา”

เพราะฉะนั้น ในพระเยซู เราควรจะมีความชื่นชมยินดีตามที่พระเยซูสัญญา บอกไว้ จริงไหม?  แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง เราก็เชื่อพระเยซูแล้ว

ในที่นี่ใครเชื่อพระเยซูยกมือขึ้น … หมดเลย เชื่อแล้ว แล้วทำไมเราไม่เห็นจะชื่นชมอย่างที่พระเยซูบอกในตลอดเวลาเลย ทำไมล่ะ ท่านก็คิดในใจ ทำไม? แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร? บอกว่า.-

“สันติสุขที่เราให้กับท่าน ไม่เหมือนโลกให้”

“สันติสุขที่เราให้กับท่าน” ก็แสดงว่าพระเยซูให้สันติสุขกับเราแล้วหรือยัง? ให้แล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่าเราจะให้ แต่พระเยซูให้แล้ว

ให้มาแล้ว และท่านลองคิดดู ขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่นั่งขณะนี้ ท่านมีสันติสุขที่พระเยซูบอกไหมครับ?  มีไหม?  เมื่อวานนี้มีไหม? ถามจริง? เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีไหม?  เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ผมยังเห็นท่านหน้าคิ้วขมวด มีสันติสุขอะไร? นั่งรถแท็กซี่มายังหงุดหงิด รถมันติด นั่นเรียกว่าสันติสุขเหรอ … ไม่ใช่ … เมื่อเช้านี้รถเมล์แถมให้ 2 ป้าย ท่านยังไม่มีสันติสุขเลย  ขนาดเขาแถมให้ท่าน 2 ป้าย ท่านยัง.-

“หงุดหงิดๆ เดี๋ยวไปไม่ทันเขานมัสการ”

บางคนขับรถมา วิ่ง แซงตัดหน้าเขามาปุ๊บ เขาตัดหน้ากลับปุ๊บ โอโห้ ทำให้ช้าไปตั้งเยอะ จะรีบไปโบสถ์นะเนี้ย  ไม่มีสันติสุข มันแปลกดีนะ

หรือความเป็นจริง คือท่านมีความเครียด มีความวิตกกังวล มีความกลัวอยู่หรือเปล่า? มีไหม? ลองคิดในใจสิ ในนี้ หรือไม่มีเลย  ถ้าใครไม่มียกมือขึ้น จะได้ออกมาข้างหน้านี้ ช่วยกันอธิษฐานให้ท่าน ท่านจะได้มีบ้าง ไม่ใช่ พูดเล่นๆ ปรากฏว่าไม่มีใช่ไหม?  ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว พวกเราทุกคน เป็นอย่างนี้หมดแหละ มีความวิตกกังวล มีความเครียด มีความกลัว วิตกกังวล กลัว เครียด เพราะอะไร? เพราะเราก็จะบอกว่าก็เราเป็นคนมีภาระในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีครอบครัวที่ต้องดูแล มีรายได้ ปัญหาความเป็นอยู่ ปัญหาการสัมพันธ์ การติดต่อกับบรรดาผู้คน คนนั้นก็ไม่เข้าใจเรา เราก็ไม่เข้าใจ กระทบกระทั้งกัน และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ที่มันไม่ได้ดั่งใจ มันผิดหวัง ภาษาจีนบอกว่าไม่ได้ดังใจเลย  มันไม่ได้ดังใจ มันไม่ได้อย่างที่ใจเราหวังไว้  เราก็เกิดความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียด

ในขณะที่พระเยซูบอกว่าอย่างไร? พระเยซูสัญญาไว้ว่าอย่างไร? ถ้ามาหาพระองค์ … พระองค์ทรงประทานสันติสุขอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ให้เราแล้ว  แต่เราก็ต้องเจอกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ไม่เว้นแต่ละวัน บางทีหลายครั้งต่อหนึ่งวันด้วยซ้ำไป แล้วชีวิตทำไมมันเป็นอย่างนั้น  ไม่เห็นเหมือนที่พระเยซูบอกไว้เลย

หรือที่พระเยซูทรงสัญญา หรือบอกเราว่าเป็นอิสรภาพกับเราแล้ว ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง ก็คือ Free indeed อิสระจริงๆ  แต่ถามจริงๆ เถอะ ท่านมีความรู้สึกเป็นอิสระไหม? ถามจริง คิดในใจ ถามตัวเองพอ ไม่ต้องถามคนข้างๆ จริงๆ แล้วท่านมีอิสระดั่งพระเยซูบอกไหม? อิสระจริงๆ นะ Indeed  แปลว่าหลุดเลยนะ หลุดไหม?

มีหลายคนนะครับ ที่เชื่อในพระเยซูมานานแล้ว จนทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกมีความฟ้องผิด เชื่อมานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งเชื่อ ก็ยังมีความฟ้องผิดในใจ ในหลายเรื่อง ยังมีความรู้สึกว่าไอ้โน่นก็ยังทำไม่ดี ไอ้นี่ก็ยังทำไม่ครบ หลายอย่างก็ยังทำไม่ถูกต้อง คือยังติดอยู่ในกรงขังในการฟ้องผิดอยู่ ไม่เห็นเป็นอิสระ Indeed หรือจริงๆ อย่างที่พระเยซูพูดไว้ หรืออย่างที่พระเยซูสัญญาเลยว่าเมื่อมาเชื่อพระองค์ … พระองค์ปลดปล่อยเราเป็นอิสระ … อิสระเมื่อเชื่อว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา … เราเป็นอิสระจริงๆ มันไม่เห็นเป็นจริงตามนั้น

บางครั้ง ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ใช่ไหม? ทำไมมันไม่ได้อย่างที่เราคิด คนอื่นคิด คนข้างๆ คิด รู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำไม่ได้อย่างที่คนข้างๆ เรา เขาคาดหวังไว้ อย่างเพื่อนเราคาดหวังไว้ อย่างพ่อแม่เราคาดหวัง ครูบาอาจารย์คาดหวัง หรือแม้กระทั่งสังคมคาดหวังว่าเราน่าจะเป็นอย่างนั้น  แล้วเราไม่เป็น เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ

หลายคนต้องรู้สึกท้อแท้ใจ ที่ไม่สามารถทำได้ อย่างที่คนอื่นเขาคาดหวังให้เราทำ หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง คาดหวังเองว่าเราจะทำไม่ได้ แล้วเราไม่ได้ มันน้อยเนื้อต่ำใจ มันท้อแท้ เป็นไหม? ไม่ต้องยกมือนะ

หลายคนแม้มาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็ยังจมอยู่กับความทุกข์เศร้าโศก ในลักษณะที่เขาเรียกว่าอยู่ในพันธนาการ คือไม่เป็นอิสระนั่นเอง พูดง่ายๆ คือภาระในใจมันเกิดขึ้น มันไม่เป็นอิสระ ภาระอะไรแล้วแต่นะ  พูดถึงนะ เหมือนติดคุกในใจอยู่ เหมือนติดคุกอยู่เลย ยังไม่ได้การปลดปล่อยเลย ทั้งที่พระเยซูบอกว่าพระองค์ได้ให้สันติสุข และให้อิสรภาพกับเราเรียบร้อยไปแล้ว เรียบร้อยไปแล้วนะ แล้วๆๆๆ แล้วเรามาเชื่อพระเยซู ทำไมเราไม่ได้ตามนั้น

พระเยซูบอกว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เห็นไหมครับ พระเยซูบอกว่าแค่มาหาพระองค์เท่านั้น ก็หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พระองค์ไม่ได้บอกว่ามาหาพระองค์ แล้วต้องทำอย่างโน่น ทำอย่างนี่ ทำนั่น ทำนี่ ท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์บอกว่าให้มาหาพระองค์ แล้วพระองค์จะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข หายไหม? ไม่หาย หายนิดๆ ไม่หายหมด ไม่ใช่ท่านอย่างเดียว ท่านลองมองดูคนรอบข้างท่าน คนที่เป็นคริสเตียนทั้งหมดที่ท่านรู้จักมา มีใครไหมที่หายเหนื่อยและเป็นสุขอย่าง เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่พูดไว้จริงๆ  เป็นไปตามข้อพระคัมภีร์ที่พระเยซูพูด แล้วติดอยู่หน้าโบสถ์หลายโบสถ์ รวมทั้งโบสถ์เราก็ติด ข้างๆ เราเป็นอย่างนั้นไหม? หรือตัวเราเองเป็นอย่างนั้นไหม? หรือมองไปรอบๆ โลกใบนี้เลย ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ไหม? หายเหนื่อยและเป็นสุขไหม? มันแปลกดีนะ

ทุกวันนี้ เราก็เชื่อพระเยซู แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเครียด ยังดำเนินชีวิตด้วยความกลัว ดิ้นรน และกระสือกระสน หลายคนก็ยังเหนื่อยทั้งกายและใจ

พระเยซูบอกว่า “เราได้ให้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างแก่เจ้า”

ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ขัดสนบกพร่องอะไรต่างๆ ไม่ตกขาดบกพร่อง ไม่ขัดสนอะไรต่างๆ ชีวิตที่มีทุกอย่างอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ มีอย่างเหลือล้น ไม่ขัดสนสิ่งใดๆ เลย แต่ปรากฏว่าในชีวิตจริง เป็นอย่างไรครับ ชีวิตจริง คริสเตียนหลายคน ก็ยังดำเนินชีวิตอยู่ในแบบขาดๆ แคลนๆ ตลอด รู้ได้อย่างไรว่าตลอด อยากได้โน่น อยากได้นี่ ทุกวัน เหมือนขัดสน เหมือนขาดแคลนตลอด อยากได้มากขึ้น  มากขึ้นอีก อยู่เรื่อยๆ ไป จริงหรือไม่จริง? ไม่เห็นครบถ้วน ไม่เห็นมีเหลือล้นอย่างที่พระเยซูสัญญาไว้เลย  ไม่เห็นพอใจสักทีเลย  ถ้ามันเหลือล้น มันก็ต้องพอสิ อันนี้มันไม่พอ แสดงว่าไม่เหลือล้น  แต่มันขัดสน อย่างที่ผมเคยเหล่าให้ท่านฟัง ถ้าเผื่อพอ มันก็แสดงว่าเหลือล้นแล้ว เราพอแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่าจะเอาอีก แสดงว่ามันไม่พอ แต่พระเยซูบอกให้พอแล้ว แต่เราบอกไม่พอ มันคืออะไร?

คริสเตียนลองคิดดูนะ … เราเอง … ผมเองและท่าน คริสเตียนทั้งหลาย ท่านลองคิดดู เราอยากมีทรัพย์สินเงินทอง ทำการงานเจริญรุ่งเรืองทุกอย่างใช่ไม่ใช่? ใช่

ถามว่าอยากมีทรัพย์สินเท่าไรถึงพอ?  ตอนนี้พอไหม? อยากมีอีกไหม? อยาก ใช่ไหม?

อยากให้งานการที่ทำอย่างตอนนี้ เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกไหม? หรือพอแล้ว?

มีคนไหนในนี้ ยกมือขึ้นสิ บอกว่า “ผมทำงานที่บริษัทนี้ หรือผมเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ผมพอแล้ว ผมเอาแค่นี้พอ อย่ามาโปรโมทผมให้เป็นหน้าที่สูงกว่านี้เลย เงินเดือนมากกว่านี้ ไม่เอาแล้ว หรืออวยพรในการทำค้าขายของผมเลย ผมมีการค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง รวยมากกว่านี้ ไม่เอาแล้ว”

มีคริสเตียนคนไหนอยากจะเป็นอย่างนี้บ้าง? ไม่มี เห็นหรือยัง?  แล้วอยากมีอะไรอีก?  ยิ่งพูดยิ่งชัดเลย อยากมีความแข็งแรง

เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้เลย  คริสเตียนทุกคนก็อยากมีความแข็งแรง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเหมือนกัน อยากมีความแข็งแรง ไม่อยากเจ็บป่วยถูกไม่ถูก?  แล้วเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ถ้าพระเยซูบอกว่าไม่ขัดสน แสดงว่าท่านพอแล้ว ท่านเคยพอไหมว่า … ฟังดีๆ นะ ถ้าท่านอยากแข็งแรง ก่อนที่ท่านอยากแข็งแรง ท่านอยากอะไรก่อน อยากหายป่วย

สมมติว่าพระเยซูบอกว่าท่านอยากหายป่วย ท่านได้รับการหายป่วยจริงๆ พอท่านหายป่วย ท่านก็อยากอะไรต่อไป อยากไม่ป่วยอีกเลย ถูกไหม? พอท่านอยากหายป่วย สมมติว่าท่านได้ ไม่ป่วยอีกเลย ท่านก็อยากบอกว่าไม่ป่วยเลยเยอะๆ ขึ้น แล้วแข็งแรงด้วย ไม่ป่วยและแข็งแรงต่างกันนะ ไม่ป่วยเฉยๆ แต่ไม่ค่อยแข็งแรง ก็มี ไม่ป่วยเฉยๆ แต่เอาแบบแข็งแกร่งเลย  แล้วพระเยซูบอกให้แข็งแกร่ง ไม่พอ

“ฉันจะแกร่งกว่านี้อีก”

ถูกไม่ถูก? พูดถึงใครก็ไม่รู้

พูดกับคนข้างๆ สิ “เขากำลังพูด ไม่ใช่เธอ” พูดสิ ใช่ไหม?  แต่จริงๆ มันใช่นั่นเอง

เราทุกคนเป็นอย่างนี้ ไม่มีหยุดหรอก มีใครไหมบอก “รักษาฉันหายป่วย ฉันพอแค่นี้” ไม่มี

“ถ้าเกิดได้จริงๆ ฉันก็ไม่อยากป่วยอีกเลย ไม่อยากป่วยอีกเลย ฉันอยากแข็งแรงขึ้น ไม่ป่วยด้วย แล้วแข็งแรงขึ้นอีกต่างหาก”

มันเท่าไรถึงเรียกว่าพอ ตรงนี้ชัดเลย เท่าไรถึงเรียกว่าพอดี มีเหลือเฟือ ชื่อเสียงดี คนนับหน้าถือตา ทุกอย่างแหละ มีพอไหม? มีชื่อเสียงเท่านี้ บอกพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว มีเหรอ มีแต่จะถูกดันให้เอามากขึ้น

ครอบครัวดีก็เหมือนกัน มีครอบครัวดี ก็เหมือนกัน ถ้าได้อย่างนี้ ก็อยากได้อีกต่อไป ถูกไหม? ถ้าคนที่ไม่ได้อย่างนี้  แค่ได้แค่นี้ฉันพอแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น.-

“ทำไมลูกฉันมันดื้อ ไม่เหมือนลูกอีกบ้านหนึ่งเลย  พระเจ้าขอให้มันไม่ดื้อ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”

3 ปีต่อมา มันไม่ดื้อแล้ว หยุดอธิษฐานไหม?

“มันไม่ดื้อดีแล้ว ขอให้มันเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้นเถอะ” แล้วไงต่อ “พระเจ้าขอให้มันแข็งแรงด้วย”

ไม่มีวันจบสิ้น พอแข็งแรงเสร็จปุ๊บ “พระเจ้าขอให้มันมีลูกที่ดี มีครอบครัวที่ดี”

ไม่มีจบสิ้น คิดกังวลอยู่ตลอด ยังนี้เรียกว่าพอเพียงไหม? รวยหรือยัง? ขัดสนไหม? ขัดสน มีปัญหาอยู่ดี ท่านจะเห็นภาพไหมเนี้ย ถ้าพูดเรื่องเดียว ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นแล้ว แค่นี้ก็ยาว สามารถอธิบายให้ท่านฟัง แต่เราไม่ได้เน้นเรื่องนี้ในการเทศนาในครั้งนี้ แต่ท่านพอเข้าใจแล้ว ทิ้งไว้แค่นี้ ท่านดู ท่านฟังแค่นี้ ท่านพอจะนึกภาพออกว่าคำว่า “ขาดแคลน” มันเป็นลักษณะอย่างไร?

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย อยากจะมี อยากจะรับใช้ มีโอกาสรับใช้พระเจ้า ประกาศข่าวดีให้กับผู้คนมากๆ ทุกคนก็คิดอย่างนี้ รับใช้พระเจ้า จะประกาศข่าวดีมากๆ แล้วเท่าไรถึงมาก? เท่าไรถึงพอ? เห็นไหม? นึกออกใช่ไหม? พระเจ้าให้เวลา 3 ชั่วโมง จิตใจอยากจะเป็น 6 ชั่วโมง ทิ้งครอบครัวมารับใช้ไม่พอ ทิ้งทุกอย่างมารับใช้ บอกจะรับใช้ต่อไป อย่างนี้เรียกว่าสันติสุขหรือเรียกว่าภาระ

ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ถือโอกาส มีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่ง เอาเรื่องจริงมาทำเป็นภาพยนตร์ ชื่อเรื่องอะไรไม่รู้ เรื่องเกี่ยวกับสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนสมัยนาซีเรืองอำนาจ คือฮิตเลอร์และนาซี เยอรมันเรืองอำนาจ พอเรืองอำนาจ เขาตีเมืองต่างๆ ในยุโรปได้หมดเลย เกือบจะชนะสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว แล้วเขาก็ข่มเหงคนที่เป็นยิวมากกว่าใครเพื่อน เพราะว่าเขามีความรู้สึกว่ายิวไปเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งในประเทศเขามากเกินไป จนกระทั่งเจ้าของประเทศไม่มีจะกิน อะไรอย่างนี้ คนยิวรวย คนยิวเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ  เขาก็อิจฉา พอได้โอกาส เป็นเผด็จการ มีอำนาจ เขาก็ข่มเหงชาวยิว จับชาวยิวไปฆ่า ไปอะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่เราเคยได้ยิน ไปรมแก๊ส แล้วมีเยอรมันอยู่คนหนึ่ง ชื่อชินเลอร์ออสก้าร์ ชินเลอร์ เป็นเรื่องจริงนะ คนนี้เขาอยู่ในพรรคนาซีด้วย  เป็นเยอรมัน เขาก็เป็นพ่อค้า พ่อค้าขาย แล้วก็เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้า แต่ก็เป็นพ่อค้าธรรมดา แต่ติดต่อกับพวกนายทหาร ราชการทางการเมืองต่างๆ เขาก็เห็นช่องทาง ที่จะทำธุรกิจกับคนยิวเหล่านี้ ก็คือเอายิวที่เป็นเชลย นักโทษเหล่านี้ มาเป็นคนงานในโรงงาน เพราะว่าค่าจ้างมันถูก เพราะคนงานเหล่านี้ ถ้าไม่ได้เป็นคนงาน อาจจะถูกส่งไปทำลายทิ้ง โดยฆ่าตาย ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีข้าวกิน ทุกข์ทรมาน เพราะอยู่ในโรงงาน อย่างน้อย ก็มีกิน มีอยู่ ปลอดภัย เขาก็เอามาอยู่ ทำมาหากิน

ปรากฏว่าวันหนึ่ง เขาเปลี่ยนใจใหม่ เรื่องจริงๆ ยาวกว่านี้เยอะ ทำให้มันสั้นๆ คือวันหนึ่ง ชินเลอร์ออสก้าร์ เขากลับใจใหม่ เขาอยู่กับยิวมากๆ เขาก็สงสาร เพราะว่าเขาเห็นว่าคนยิวถูกรังแก ถูกเอาไปฆ่า เด็กๆ คนแก่ คนเฒ่าถูกเขาไปฆ่า คนหนุ่มๆ ถ้าไม่มีแรงแล้ว ก็ถูกเอาไปฆ่า ผู้หญิงเอาไปฆ่าหมด เขาก็เลยเกิดความสงสาร อยากจะช่วยคนเหล่านี้ได้ โดยการนำคนเหล่านี้มาเป็นคนงาน แล้วก็บอก ติดต่อซื้อ จ่ายค่าใต้โต๊ะให้กับพวกนักการเมือง เพื่อจะขอซื้อคนเหล่านี้ แล้วบอกว่า.-

“เขาเป็นคนงานของฉัน ฉันจำเป็นต้องใช้เขา ฉันจะสร้างโรงงาน เพราะฉะนั้น ขอซื้อคนเหล่านี้ไว้คนเป็นงานของฉัน อย่าไปฆ่าเขา”

พูดง่ายๆ ว่าแทนที่จะถูกประหาร หรือถูกรมแก๊สกันหมด  ซื้อคนเหล่านี้มาเป็นพันๆ คน  แล้วก็มาอยู่ในโรงงาน จะได้รับความรอด … รอดจากการถูกไปฆ่าให้ตาย ปรากฏว่าเขาซื้อจนหมดตัวเลย คนรวยจากโรงงานนั้นมาตั้งปีสองปี ได้เงินเยอะมากมาย หลายล้านๆ แล้วก็เอาเงินเหล่านั้นทุ่มซื้อ จ่ายใต้โต๊ะ ซื้อชีวิตของชาวยิวเหล่านี้มาหมด โดยอ้างว่าจะให้มาทำงานในโรงงานทำอาวุธ ทั้งๆ ที่ทำอาวุธแบบยิงไม่ได้ เขาบอกถ้าเขาทำอาวุธแบบที่ยิงได้  เขาเลยทำแบบยิงไม่ได้ พูดง่ายๆ หลอกรัฐบาลของสมัยฮิตเลอร์

จบสั้นๆ คือเขาได้ช่วยคนยิวเหล่านี้ ได้ประมาณพันกว่าคน สมมตินะ ตีสักประมาณ 1,150 คน สุดท้ายเลย พอวันที่เขาประกาศยุติสงครามว่าฝ่ายพันธมิตรชนะแล้ว เยอรมันแพ้ สงครามยุติแล้ว สรุปแล้ว เขาช่วยคนมาได้ 1,150 คนสมมตินะนอกนั้นถูกฆ่าตายหมด ถูกรมแก๊สตายหมด คนก็มาขอบคุณเขา

ท่านคิดดู อย่างที่ผมพูด จะให้ท่านสังเกตว่าสิ่งที่เรากำลังพูดนี้ เรื่องอะไร? เรื่องความพอเพียงมันคืออะไร?  เขาเป็นคริสเตียน  ทุกคนก็มาขอบคุณเขาที่เขาได้ช่วย แต่เขาบอกเขาไม่ได้ช่วยเลย  เขาก็ชี้ไปที่หัวหน้าของคนงานยิว

“คนนี้เป็นคนช่วยท่านมากกว่า เพราะเขามาช่วยผม ในการจัดแจงเรื่องเกี่ยวกับคนงานต่างๆ แต่ผมเองไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย เพราะผมทำธุรกิจ และบัดนี้ ผมกลายเป็นคนที่กลับกันแล้ว เมื่อเยอรมันแพ้สงคราม ผมกลับถูกตามล่า ผมถูกเป็นฆาตกร ถูกตราหัวไว้ เขาจะตามล่าผม”

เพราะเขาเป็นหนึ่งในจำนวนพรรคนาซีไง เขาจึงถูกตามล่า ถูกจับเหมือนกัน เขาเป็นฆาตกร กลับกันแล้ว ไม่ต้องขอบคุณเขา แต่ทุกคนก็ไปขอบคุณเขา เสร็จแล้วหัวหน้าคนงาน ก็เลยไล่ชื่อบอกเขาว่า.-

“คุณได้ช่วยชีวิตคนยิวไว้ 1,150 คน ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีคุณ เขาตายไปแล้ว”

แล้วทันทีทันใดนั้น  ไคร์แม๊ทอยู่ตรงที่ออสก้าร์ พระเอกคนนี้ ก็เริ่มซึ้งในคำที่เขาพูด เขาพูดด้วยความซึ้ง ขอบคุณด้วยความซึ้ง พระเอกนี้ ก็หันไปมองที่รถยนต์ที่เขากำลังจะนั่งหนีไป รถยนต์ประจำตำแหน่งเขา พูดง่ายๆ สมมติในปัจจุบัน ก็คือรถเบนซ์สวยงาม ประจำตำแหน่งคันเบ่อเริ่ม เขามองไป เขาก็ร้องไห้โฮ อยู่ดีๆ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่ค่อยร้องไห้เลยนะ แต่นี่ร้องไห้โฮ เพราะอะไรรู้ไหม?

“ผมไม่น่าเอารถคันนี้เก็บไว้เลย ตอนนั้น ผมน่าจะขายรถเบนซ์คันนี้ให้กับเจ้าหน้าที่นั้น เพื่อจะซื้อ อย่างน้อยๆ ซื้อได้อีก 10 ชีวิตคนงาน”

เข้าใจไหม? เพราะเขาซื้อเป็นหัวไง หัวละกี่ตังค์ๆ แต่เขาหมดตัวแล้ว เขาบอกเขาหมดตัว แต่จริงๆ เขามีรถคันนี้อีก เขาน่าจะขายรถคันนี้ไป เขาร้องไห้

“ผมน่าจะขายรถคันนี้ไป อย่างน้อย เขาก็จะให้เงินผมอีกเท่านี้ๆ ซึ่งผมจะได้หัวหนึ่งอีก 10 ชีวิตรอดมา ไม่ใช่ 1,150 เท่านั้น แต่จะได้อีก 10 ชีวิตผ่านมา ได้อีก 10 ชีวิตเพิ่มขึ้น”

แค่นั้นไม่พอ เสร็จปุ๊บ ยิวคนนั้น ก็มาปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกๆ” คนนี้ก็ร้องไห้ต่อไป เสร็จแล้วเจอเข็มกลัด คล้ายๆ เพชรหรือทองมีค่า เขาดึงเข็มขัด

“แล้วเข็มกลัดอันนี้ มันยังสามารถขายให้เขาได้ ผมไม่น่าเก็บไว้เลย ตอนนั้นผมน่าจะขายเข็มขัดนี้ให้เขาด้วย เข็มขัดนี้อาจจะได้อีก 2 ชีวิต 2 คน” นึกออกใช่ไหมครับ?

จบตรงนี้ ทำไมผมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพราะอะไร? งานรับใช้ ประกาศข่าวดี ก็ไม่มีวันพอใจสักทีหนึ่ง ทำไมผมถึงอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านฟัง แทนที่เขาจะขอบคุณพระเจ้า แทนที่จะสรรเสริญพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าทำกับเขา ผ่านทางพระพรให้กับเขา โดยที่พระพรนี้หลั่งไหลไปยังคนอิสราเอลที่ได้รับความรอด ผ่านทางเขา 1,150 คนแล้ว ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า ด้วยความปิติยินดี อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่เครียด อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าวิตกกังวล แต่นี่เขาวิตกกังวล เขากลัว ทั้งๆ ที่ทำไปตั้ง 1,150 คน เพราะว่าไม่ใช่เขาทำ พระเจ้าทำ แต่เขาคิดว่าตัวเองเขาก็ต้องทำ ฉะนั้น พอนึกว่าตัวเองจะต้องทำ เขาก็ต้องทำอีก เขาก็อยากได้อีก ไม่ได้พักสักทีหนึ่ง

นี่ก็อันเดียวกันกับที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ให้ท่านฟัง ท่านพอเข้าใจไหม? ท่านเทียบดู ถ้าท่านบอกท่านประกาศ ท่านก็ไม่มีวันที่จะได้มีสันติสุขสักที ถ้าท่านคิดตามเขาแบบนี้

“แท็กซี่คนนั้น ฉันก็ไม่ได้พูดให้เขาฟัง แล้วเขาตาย ใครจะรับผิดชอบ”

ท่านได้มีพักสงบบ้างไหมเนี้ย? ท่านจะเครียดไหม? แล้วพระเจ้าต้องการให้ท่านเครียดอย่างนี้เหรอ พระเยซูบอกว่าท่านได้หายเหนื่อยและเป็นสุข แล้วมันจะหายเหนื่อยได้อย่างไร? นี่แม้กระทั่งงานรับใช้เองนะ ท่านพอเข้าใจไหม?

“คนนั้น ฉันว่าฉันจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ไปไม่ทัน ตายไปก่อนแล้ว”

รู้สึกฟ้องผิดไหม? ถามจริง ฟ้องผิด คนก็มักเป็นอย่างนี้ แต่พระเยซูต้องการให้เราเป็นอย่างนั้นไหม? เปล่าเลย พระเยซูต้องการให้เราเชื่อในพระองค์ … พระองค์ทรงทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าพระองค์ทรงนำพาเราไปทัน มันก็ทัน ถ้าพระเจ้าต้องการให้ 1,150 คน ยิวเหล่านี้เหลือไว้ (ทำพันธุ์ต่อไปในรุ่นต่อๆ ไป หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เขาก็จะถูกอยู่ ไม่ต้องถูกรมให้ตายไป 4-5 ล้านคนนั้น) ถูกไหม? แต่ 4-5 ล้านคนที่ตายไปแล้วนั้น เขาก็อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ถูก เราช่วยอะไร 4-5 ล้านคนนั้นได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปแบกโลกเอาไว้ ให้มันเครียดเปล่าๆ

ที่ยกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพื่อให้ท่านเอาเรื่องนี้ ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ ในชีวิตของท่านได้ด้วย มีประโยชน์ไหมครับ? ผมว่ามีประโยชน์นะ ผมคิด หนังเรื่องนั้น นึกถึงเรื่องนี้ เลยอยากเล่าให้ท่านฟัง นอกเรื่องจากนี้นิดหนึ่งว่าพระเยซูต้องการให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่เราชอบไปทำตัวเอง ไม่ให้หายเหนื่อยและเป็นสุข และเราก็นึกว่าเอ๊ะ! ทำไมพระเยซูสัญญา แล้วเรายังไม่ได้ทำตามที่พระเยซูบอกไว้ เราทำตามสิ่งที่เราคิดเอง ทำเอง ทุกประการ คำสัญญาของพระเยซูทั้งหมด ที่พูดมาเมื่อตะกี้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อ ถูกไหม? เราเชื่อ เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วเราก็เชื่อในคำสัญญาทั้งหมดของพระองค์ด้วย เพลงเรายังร้องขึ้นใจเลยว่าพระองค์ทรงสัญญาอย่างนั้น เช่น

“ข้ายึดมั่นในคำสัญญาขององค์พระคริสต์

ข้าจะสรรเสริญพระองค์เสมอเป็นนิตย์

สรรเสริญยกย่องพระองค์ผู้ทรงมีฤทธิ์

ยึดมั่นในคำสัญญาของพระเจ้า”

ข้าจะสรรเสริญพระองค์เสมอเป็นนิตย์ คำสัญญาของพระองค์ หรือของพระคริสต์ ที่เรายึดมั่น คืออะไรครับ? คืออะไร? คือที่เราคุยมาทั้งหมด เมื่อสักครู่นี้ ใช่ไหม? พระเยซูให้อิสรภาพกับเรา ให้ความชื่นชมยินดีกับเรา ให้สันติสุขกับเรา ให้ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์กับเรา จนเราไม่ขัดสนสิ่งใดๆ เลย เราอยู่กับสิ่งนั้นได้ ให้ชีวิตนิรันดร์ ให้อยู่กับพระเจ้า จริงหรือไม่จริง ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เราจะอยู่กับพระเจ้าจริงหรือไม่จริง? จริง ถูกหมดเลย ทั้งหมด เรายึดมั่นในคำสัญญานี้ แต่ในความจริง การดำเนินชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตจริงๆ ของเรา เป็นไปตามที่เราร้องไหม? ไม่เป็น เพราะเราไม่ได้ยึดตามที่เราร้องจริงๆ นั่นเอง เรายึดแต่ปาก การดำเนินชีวิตของเราในฐานะที่เป็นคริสเตียน หรือในฐานะสาวกของพระเยซูคริสต์ที่เดินตามพระเยซู มันไม่เห็นเป็นตามสัญญาเหล่านั้นเลย เพราะอะไร? มันไม่เห็นเป็นเลย ที่พูดมาทั้งหมด ได้อย่างเดียว คือได้ชีวิตนิรันดร์ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า เป็นคริสเตียนแล้ว

“ได้อะไร?”

“ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้า”

ที่เหลือทั้งหมด อิสรภาพ ไม่ได้ ขัดสนตลอด ทุกอย่างตลอด ไม่ได้พักหายเหนื่อย เหนื่อย เครียดตลอดอย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถสังเกตได้ว่ามันไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอก ที่พระเยซูสัญญา หรือไม่เชื่อในคำสัญญาของพระองค์ มันไม่ใช่อย่างนั้น เราเชื่อ แต่ทำไมคำสัญญาเหล่านี้ จึงไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเรา ปัญหามันอยู่ที่ไหน?  ปัญหา คืออะไร? ทำไมชีวิตตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ จึงได้แตกต่างจากชีวิตจริงที่เราต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้เหลือเกิน ชีวิตตามพระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าชีวิตเมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ๆ ทำไมมันถึงแตกต่างจากชีวิตจริง ที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้  ทำไม? เราจะมาวิเคราะห์ปัญหานี้ด้วยกัน มาช่วยกันนะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น? ช่วยกัน ทำไมสิ่งที่เราเชื่อจึงไม่เกิดผล เราจะมาวิตกจากบันทึกของอาจารย์เปาโล ในหนังสือโคโลสี

เปาโลมีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต ที่เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง พอเพียง แปลว่าไม่ขัดสน แปลว่าครบถ้วนบริบูรณ์ อะบันเดิ้นไลท์จริงๆ เป็นสันติสุขในพระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง ที่ท่านได้รับมา เรียบร้อยไปแล้ว และดำเนินชีวิตอยู่ในนั้น แล้วท่านอยากให้เราได้รับเหมือนกับที่ท่านได้รับเช่นเดียวกัน คำพูดของอาจารย์เปาโลที่กำลังจะอ่านต่อไปนี้นะครับ เป็นสิ่งที่จะสอนเราว่าการที่เราจะได้รับตามที่พระเยซูคริสต์สัญญากับเรานั้น เราควรจะทำอย่างไรบ้าง? ลองอ่านกันดูนะครับว่านี่คือวิธีการที่จะได้รับสิ่งที่พระเยซูสัญญาไว้ในชีวิตคริสเตียนทุกคน ท่านอยากได้ไหม? อยากได้ ตั้งใจอ่านตรงนี้ แล้วมาเรียนรู้กันต่อไป โคโลสี 3:1-4

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

นี่คือถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ที่กำลังสอนเรา  ถึงแนวทางในการดำเนินชีวิต ที่จะทำให้เราได้รับสันติสุขและพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานานับประการ เหมือนอย่างที่อาจารย์เปาโลได้รับแล้ว เปาโลไม่ได้พูดลอยๆ แบบที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในชีวิตนะครับ ถ้อยคำหรือคำสอนตรงนี้ เป็นสิ่งที่ท่านปฏิบัติจริงๆ แล้วเกิดผลในชีวิตของท่านแล้วจริงๆ ท่านจึงอยากให้เราได้รับ อย่างที่ท่านได้รับจริงๆ ลองย้อนมาดูนะครับ ลองย้อนดูตัวเรา ถามว่าจริงๆ แล้วเราต้องการดำเนินชีวิตในทางพระเจ้าหรือไม่?  เราอยากมีชีวิตเต็มไปด้วยน้ำพระทัยพระเจ้าครบถ้วนบริบูรณ์ในชีวิตหรือไม่?  เราอยากมอบถวายชีวิตของเรากับพระองค์หรือไม่? เราอยากให้พระเจ้าอวยพรชีวิตของเรา ทุกพื้นที่ในชีวิตของเราใช่ไหม? ผมเชื่อว่าคำตอบทุกคน คือใช่หมดทุกข้อนั่นแหละ อยากได้อย่างนั้น แต่ละวันเราก็อธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้ใช่ไหม? แต่ละวัน ส่วนใหญ่

“ขอให้ลูกได้เรียนรู้จักพระองค์มากขึ้น  ได้ติดสนิทกับพระองค์มากขึ้น  มากขึ้นทุกวัน ขอให้ลูกเป็นไปตามน้ำพระทัย”

ถูกไหม?

“ขอให้ลูกพึงพิงในพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ขอให้ลูกวางภาระทุกอย่างไว้ที่พระองค์ ขอทรงโปรดช่วยลูกเถิด”

อะไรอย่างนี้ ประมาณนี้ ถูกไหม? นี่คือคำอธิษฐานทั่วๆ ไปของเรา แต่ละวัน แต่หลังจากอธิษฐานแล้ว เราหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นครับ เราก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของโลกนี้ ยังคงเครียดและวิตกกังวลกับเรื่องราวบนโลกนี้ ที่กำลังเกิดขึ้น ยังคงแบกภาระทางโลกไว้ จนหนักอึ้ง ถูกหรือไม่ถูก? ใช่ไม่ใช่? ใช่ คือลึกๆ แล้ว เรามีความปรารถนาทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

ความปรารถนาทางฝ่ายวิญญาณ เราก็อยากได้อย่างที่เราอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้ แต่ความคิดและจิตใจทางร่างกายของเรา มันก็ยังคงติดอยู่กับเนื้อหนัง เชื้อของความบาปที่ติดอยู่กับเนื้อหนัง ใช่หรือไม่ใช่?  คือวิญญาณเรายังอยากได้อย่างที่เราอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้  พอออกจากห้องมา ความคิดจิตใจร่างกายของเรา มันยังติดอยู่กับเนื้อหนัง ติดอยู่กับกระแสของโลกนี้  ยังเกาะอยู่กับระบบของโลกนี้อยู่ ยังคงดำเนินชีวิตแบบเราเป็นของโลกนี้อยู่ ยังดำเนินชีวิตตามระบบของโลกนี้อยู่ใช่ไม่ใช่? ใช่

เรามาดูถ้อยคำในโคโลสีที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้นี้ว่าเคล็ดลับมันอยู่ที่ไหน?

ในข้อ 1 ที่ตะกี้นี้เราอ่านไปด้วยกันบอกว่า “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”

“แล้ว” แปลว่าอะไร? แปลว่ามันเสร็จไปแล้ว

“ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะท่านตายแล้ว”

จำคำว่า “แล้ว” ไว้

“และบัดนี้ (แปลว่าเดี๋ยวนี้) ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

นี่คือเคล็ดลับอยู่ในนี้ สังเกตให้ดีนะครับ พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “แล้ว” ทั้งนั้นเลย  ที่ตะกี้นี้ผมให้ท่านสังเกตดู

“ทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”

ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้วหรือยัง?

พูดกับคนข้างๆ สิ  “ท่านเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ท่านถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว

หรือในข้อ 3 บอกว่า “เพราะท่านได้ตายแล้ว และบัดนี้ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์แล้ว ในพระเจ้า”

ถ้อยคำพระเจ้าไม่ได้บอกว่าท่านจะต้องตาย หรือเมื่อถึงเวลาที่ท่านตาย ท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ได้บอกอย่างนั้น ถูกไหม?  แต่ย้ำว่าเกิดขึ้นหมดแล้ว ตายแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เอเมน เรียบร้อยไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ ไม่ใช่ต้องรออนาคต ยังมีอีกในโรม 6:4

โรม 6:4 “ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมา  เข้าในความตาย …”

 

ในโรม 6:6-7 บอกว่า “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป (แล้ว … นี่พูดเอง)”

 

เอเฟซัส 2:6 ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้อ่านกันนิดหนึ่ง “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์แล้ว และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์แล้ว

 

          พระคัมภีร์ให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ ตรงที่ตะกี้นี้พูด ไม่ใช่รออนาคตจะมาถึง แต่ให้จดจ่อว่ามันเป็นขึ้นแล้ว มันเดี๋ยวนี้แล้ว

          “ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว”

 

ทุกอย่างได้เกิดขึ้นครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว จำได้ไหมครับ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และตายตอนบ่าย 3 โมง วันศุกร์ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ทรงตะโกนร้องว่า “It is finished” มันได้เสร็จแล้ว It is finished. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เสร็จแล้ว It is finished. สำเร็จแล้ว เรียบร้อยแล้ว พระเยซูไม่ได้บอกว่า It has begun. ก็คือมันเริ่มต้นแล้ว มันยังไม่จบ ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระองค์บอกว่ามันจบแล้ว ทุกอย่างเสร็จสิ้นบนโลก ที่ไหน? ที่ไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงนั้น ทั้งหมดที่ได้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราได้อ่านมานี้ ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว หันไปบอกคนข้างๆ ได้เลยครับว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว บอกคนข้างๆ มันเกิดขึ้นตามนั้น ที่พระเยซูบอกนั่นนะ มันเกิดขึ้นทั้งหมดตามนั้นเลย ชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันก็เกิดอย่างนั้นขึ้นแล้ว ไม่ขัดสน มันก็เกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว หาให้เจอ อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า จดจ่ออยู่ที่นั้น

บอกคนข้างๆ หรือยัง ตะกี้เห็นคนบอกคนข้างๆ บอกว่า “ท่านตายแล้ว”

อย่าหยุดอยู่แค่นั้นนะ ต้องบอกว่า “เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย”

หลายคนหันไปบอกว่า “ท่านตายแล้ว”

แค่นั้นมันหยุดไม่ได้นะ ถ้าท่านบอก ท่านหันไป แล้วบอกประโยคเดียวบอกว่า “ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว” อันนี้ไม่เป็นไร

แต่ถ้าหันไปแล้วบอกว่า “ท่านตายแล้ว” แล้วไม่พูดอะไรต่อ ไม่ได้ ต้องให้ครบ

“ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”

เอาใหม่อีกที “ท่านเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว”

เพราะฉะนั้น ปัญหาที่คุยกันไว้ว่า “ทำไมเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เรายังไม่ได้รับในพระสัญญาของพระองค์?”

“ทำไมเรายังไม่มีสันติสุขตามที่พระองค์บอกไว้ในชีวิตของเรา”

“ทำไมเรายังมีความเครียด ความวิตกกังวลอยู่เลย”

สรุปว่าปัญหาอยู่ที่ไหนครับ? ปัญหาอยู่ที่ใคร? อยู่ที่พระสัญญาของพระเยซูหรืออยู่ที่ตัวเรา … อยู่ที่ตัวเรา แสดงว่าพันธสัญญานั้นเป็นจริง แต่มันอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาของหลายๆ คน ที่ยังไม่ได้รับในสิ่งที่พระเยซูทรงสัญญาไว้ ทั้งๆ ที่เชื่อในพระเยซูมาตั้งนานแล้ว เชื่อจริงๆ ด้วย เชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ แต่สิ่งที่ขาดอยู่ ก็คือไม่เชื่อในผลของข่าวประเสริฐนั้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่เชื่อในผลของข่าวประเสริฐที่ตัวเองได้รับข่าวประเสริฐมาแล้ว แต่ไม่เชื่อมันหมด หรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่เข้าใจถึงสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นอะไร? พระคริสต์เป็นอย่างไร? อาจจะยังไม่เข้าใจ อย่างที่ผมบอก รับข่าวประเสริฐมา รับเฉพาะว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา มันก็ได้รับแค่บาปอย่างเดียว แต่ไม่ได้เอาอย่างอื่นแล้ว ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาแล้ว เดี๋ยวนี้เราเป็นอย่างไร? เราสามารถมีชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ได้นะ มีทางเป็นไปได้ ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะใช้สิทธิของเรา  ถูกไหมครับ สิทธิของเราอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่ในพระคริสต์

ให้เราพูดพร้อมกัน “ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์”

พูดอีกประมาณ 50 ครั้ง  “ในพระคริสต์ ในพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ In Christ ในพระคริสต์”

ต่อไปนี้ท่านจะต้องจำตรงนี้ไว้ตลอดเวลาเลย เราต้องมุ่งความคิดของเรา จดจ่ออยู่ที่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ จะเป็นอย่างไร  เดี๋ยวว่ากันต่อไป ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ แล้วศึกษาไปเรื่อยๆ ว่าในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เขาเรียกภาวนาๆ ไปทุกวันๆ พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูทำให้เราหมดแล้ว เราได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่าเราไม่สนใจในสิ่งที่พระองค์ทรงให้เรา ซึ่งทั้งหมดอยู่ในพระคริสต์แล้วนั่นเอง ซึ่งถ้าเราไม่สนใจในพระคริสต์ เราก็จะไม่ได้รับในสิ่งเหล่านั้นเลย  เพราะเหมือนเราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อในสิ่งที่พระองค์บอกไว้ในพระคริสต์

ยกตัวอย่างเช่น ในพระคัมภีร์บอกว่า “ในพระคริสต์ท่านตายแล้วกับพระคริสต์”

ที่ไม่เชื่อ เพราะอะไร? เพราะเราไม่รู้ ท่านตายแล้วกับพระคริสต์ เราก็ไม่รู้ เรานึกว่ารอให้เราตายก่อน วันหนึ่งข้างหน้าเราจะตาย ไม่ใช่ ตายแล้ว เดี๋ยวนี้ตายเลย ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระคริสต์ อย่างนี้เป็นต้น

เป็นขึ้นมาใหม่ บางคนก็บอกรอให้ร่างกายตายไปก่อน แล้วค่อยได้เป็นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ บาปในพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงไว้ที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระคริสต์ไปแล้ว ตรึงไว้ตรงนั้นแล้ว ท่านก็มาบอกว่าบาป เราต้องฆ่ามันทุกวัน เราต้องไม่ทำบาป เราต้องทำอย่างนั้น มันคนละเรื่องกัน ในพระคริสต์ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว เอเมน บางคนก็มีความรู้สึก

“ยังไม่หมดเวร เมื่อไรมันจะตายสักที ตายจะได้หมดเวร พระเยซูจะได้มารับฉันไป ฉันจะได้หมดเวรหมดกรรมสักที”

ไปกันใหญ่เลย ทั้งๆ ที่มันหมดไปแล้ว และในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านเป็นคนบริสุทธิ์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันเกิดขึ้นแล้ว ท่านต้องรู้สิทธิว่าในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? ท่านเป็นใคร? ท่านได้รับอะไรบ้าง? แล้วมันเป็นไปแล้วอย่างไร?  ท่านจึงจะสามารถได้รับสิทธิของท่าน ถ้าท่านไม่สนใจเลย ท่านก็ … เขาเรียกว่าอะไร? ท่านก็นอนหลับทับสิทธิ์

เมื่อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็ต้องเชื่อให้มันครบหมดทุกอย่าง ท่านก็จะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งอยู่ในพระคริสต์ มิฉะนั้นท่านไม่สนใจในพระคริสต์ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ อย่างในตัวเอง ในโลกนี้  ทำอย่างไรรู้ไหมครับในโลกนี้? ทำเอง อยากได้ ทำเอง  มันก็ไปตามกระแสของโลกนี้ อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันจบ วิตกกังวล เครียด กลัว ไม่พอ เอาอีกๆ จนกระทั่งวันตาย แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้า ท่านจะเอาอย่างนั้นไหม? ก็ได้ ท่านก็อยู่กับพระเจ้า แล้วท่านก็ได้แค่นั้นเอง  แต่ในชีวิตท่านแทบจะไม่ได้ถวายเกียรติอะไรกับพระเจ้าเลย เพราะมันเครียดตลอดทั้งชีวิต ในยอห์น 8:31-32 พระเยซูได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า.-

ยอห์น 8:31-32 “31 “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ 32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

ไม่ใช่เป็นคนที่อยู่ในคุกอีกต่อไป เป็นอิสรภาพ มีอิสรภาพ

พูดพร้อมกัน “และความจริง จะทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นไท” ตะโกนดังๆ เลย

อะไรที่ทำให้เราเป็นไท “ความจริง” นั่นเอง เรากำลังมาเรียนรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร ในพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ พระองค์ทรงทำอะไรให้เราบ้าง? ความจริงที่พระเยซู หมายถึงคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้รับมาแล้ว เช่น เรารอดจากบาปแล้ว … เราเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว … สวรรค์เป็นของเราแล้ว … เราสะอาดหมดจด ปราศจากมลทินทั้งปวงเรียบร้อยไปแล้ว … เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดจริงๆ แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่อาบน้ำ แต่เราก็สะอาด ข้างในวิญญาณเราสะอาดหมดจดจริงๆ เลย แม้เมื่อวานนี้เราจะโกหกหรือทำบาปอะไรต่างๆ แต่วันนี้เรารู้ เดี๋ยวนี้เราก็รู้ว่าเรายังบริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินจริงๆ เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระเยซู เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอเมน มันแปลว่าอย่างนี้ และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้

นี่คือความจริงที่เราเป็นไท นี่คือความจริง … ความจริง คืออะไร? ความจริง คือถ้อยคำพระเยซูที่อยู่ในพระคัมภีร์ ความจริงตรงนี้จะทำให้เราเป็นไท เพียงแค่เรารับรู้ความจริงตรงนี้  แล้วก็เชื่อตามความจริงนี้เท่านั้นเอง จดจ่ออยู่กับความจริงนี้ ไม่ว่าโลกมันจะโกหกอะไรเรา ไม่เชื่อ เราจะเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า และใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนี้ ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นไท หรือเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง คือเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง จากชีวิตประจำวันทั้งหมด เหมือนที่เปาโลได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนเรา บอกเรา ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท แล้ววิธีที่เปาโลได้สอนไว้ คือให้ใจ และความคิดของท่านหรือของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก

พูดพร้อมกันนะครับ “ฉันจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และท่านก็อยู่ในพระคริสต์ด้วย เข้าใจไหมครับ? ถ้าจิตใจท่านจดจ่ออย่างนี้ตลอดเวลา ท่านคิดอยู่ตลอดเวลา ขึ้นรถเมล์ก็นั่งคิดอยู่ตลอดเวลา เผลอๆ กินข้าวไป มีสมองคิดตลอดเวลาว่า.-

“ฉันกำลังกินข้าว ฉันนั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ฉันอยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ฉันอยู่ที่นั่นแล้ว”

ท่านจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เรียกว่าท่านอยู่ที่นั่นแล้ว และท่านจะสามารถเผชิญทุกอย่างได้บนโลกใบนี้ เอเมน นี่แหละอิสรภาพ นี่แหละคือชัยชนะ เห็นหรือยังว่ามันเป็นไปได้

“มันเป็นไปได้จริงๆ นะ”

และใครที่สามารถทำได้ตามอย่างที่เปาโลสอนนั้น ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามพระสัญญาของพระคริสต์ ที่ตะกี้นี้เราอ่านมาทั้งหมดเลย แล้วมากกว่านั้นอีก และได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยความพอเพียง เป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง เป็นคริสเตียนแท้จริง ตามพระคัมภีร์ แบบที่เปาโลได้รับไปเรียบร้อยแล้ว แล้วอยากให้พวกเราเป็นอย่างนี้ อยากไหม? เอเมน

เรามาย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าเปาโลสอนเราว่าอย่างไร? ในโคโลสี 3:1-4 อ่านพร้อมๆ กัน ดังๆ เลยนะครับ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

อ่านตามผมดังๆ เลยนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า” เอเมน

ไปท่องตรงนี้เยอะๆ ท่องเยอะๆ เลย นี่คือการจดจ่ออยู่ตรงนี้  ไม่ใช่วันนี้ เดี๋ยวนี้ และแค่นี้ แล้วก็กลับไป มองๆ อย่างนี้ตลอด และเราจะพูดถึงเรื่องนี้ไปอีกหลายตอน อย่างที่ผมบอก จะมาคุยเรื่องในพระคริสต์ตรงนี้เป็นอย่างไร? เบื้องบนที่พระเยซูคริสต์ให้เราไปนั่งอยู่ตรงนั้น เป็นอย่างไร? แล้วเราเป็นอย่างไรตรงนั้น ที่เรียกว่าในพระคริสต์เป็นอย่างไร?

และหนึ่งวิธี ที่จะมีส่วนช่วยเราให้สามารถจดจ่อความคิดจิตใจของเรากับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือการร้องเพลงที่เกี่ยวกับพระคริสต์ ในพระคริสต์นี้ การร้องเพลงให้ขึ้นใจ มันถึงช่วยเราได้ ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าเพลงฮิมเขามีไว้ทำไม? ให้เราจดจ่อที่นี่ ร้องไปๆ เพราะร้องเป็นเพลงมันจำได้ง่ายขึ้น แม้จะร้องเพี้ยนก็ตาม แต่สำหรับเราเพราะอยู่คนเดียว ทุกคนร้องเพลง ทุกคนก็คิดว่าร้องเพราะอยู่คนเดียวนั่นแหละ ไม่มีใครนึกว่าตัวเราเพี้ยนหรอก เพราะเราร้องแล้วมีความสุขของเรา เป็นโลกส่วนตัวของเรา  เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ให้ขึ้นใจ เนื้อหาของเพลงนี้ บอกเล่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ และสิ่งที่เราได้รับตามพระสัญญาของพระองค์ในพระคริสต์ ให้เราฝึกร้องเพลงนี้ จำให้ขึ้นใจ แล้วก็ให้บทเพลงนี้ เป็นเครื่องเตือนใจเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และให้เรารับรู้ถึงความยิ่งใหญ่และความล้ำค่าสูงสุดของการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้เราได้มีชีวิตอยู่ในพระองค์ ในพระคริสต์นี่แหละ เราได้รับมา เพราะพระองค์ทรงเสียสละเพื่อเรา และการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาป และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบมีพระคริสต์นำหน้า ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์กลับมาบ้าน พาเรากลับบ้าน พาเรากลับไปอยู่เบื้องบน จบหน้าที่เรา ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์เพียงจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้นนะ หมดหน้าที่เรา เรากลับบ้านแล้ว เราไม่สามารถที่จะอยากอยู่ต่อไปได้ และเราไม่อยากอยู่ต่อ ก็ต้องอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านอยากอยู่ไหม? แล้วแต่พระเจ้า ให้ชีวิตเราเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน จดจ่ออยู่ที่พระเยซู  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************