คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2015 เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  มิถุนายน  2015

เรื่อง “เราเป็นวิหารของพระวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ตอนนี้เราผ่านเพ็นเทคอสต์มาถึงวันนี้ ก็ 4 สัปดาห์แล้ว ถ้าเป็นวันเพ็นเทคอสต์แรก เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก็ต้องพูดว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้ว เราได้คุยกันไปแล้วนะครับว่าวันเพ็นเทคอสต์ ก็คือวันที่พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ในลักษณะพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งแรก เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้นมาตลอดเลยนะครับ มาจนถึงทุกวันนี้

แล้วมีใครบ้างที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับเขา คำตอบ ก็คือมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้น เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับสิทธิ์นี้ เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เพียงแต่รอให้คนๆ นั้น มนุษย์คนนั้นรับรู้ นอกจากรับรู้แล้ว มารับสิทธิของเขานั่นเอง แล้ววิธีการต้องมารับสิทธิ์ต้องทำอย่างไรบ้าง?  คำตอบ ก็คือจะรับสิทธิ์ทำอย่างไร? เหมือนท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ รับสิทธิ์ไปแล้ว  การจะเข้ามารับสิทธิ์ในการต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา  ให้เราเป็นวิหารของพระวิญญาณนั้น ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัตินะ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น และการเชื่อตรงนี้ เป็นการเสนอตัวให้ไปรับสิทธิ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้วที่ไม้กางเขน

ถ้ารู้ แต่ไม่เชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหมือนเรารู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้ง เวลาเขาเลือกตั้ง แต่ถึงวันเลือกตั้ง เราไม่ไปใช้สิทธิ์ ก็มีค่าเท่ากับเราไม่มีสิทธิ์ ถูกไหมครับ? คนที่ไม่มีสิทธิ์ เขาก็ไม่ได้ไปเลือก เรามีสิทธิ์ แต่เราไม่ไปเลือก เราก็เท่ากับเราไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน คือต้องเริ่มต้นจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อะไร? ข่าวดีคืออะไร? ข่าวดี คือพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย เป็นแพะรับบาปให้กับเรา และวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แค่นี้สั้นๆ แล้วไปรับสิทธิ์ทันทีเลย และหลังจากที่รับเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าคนๆ นั้น เราผู้ที่ทำแบบนี้ ได้รับสิทธิ์นั้นไปเรียบร้อยแล้ว คือได้ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว สามารถเริ่มต้น เริ่มต้นเท่านั้นนะ สามารถเริ่มต้นรับรู้ถึงฤทธานุภาพอำนาจ และความยิ่งใหญ่สูงสุดของใคร? ของพระเยซู เพราะพระเยซูบอกแล้วว่าพระวิญญาณจะมา เพื่อจะยกย่องพระเยซูขึ้น พระวิญญาณมา ไม่ได้มายกย่องพระองค์เอง เพราะพระวิญญาณมาไม่ใช่เพื่อยกย่องคน คนนั้นคนนี้ พระวิญญาณมาไม่ได้ยกย่องใครเลย นอกจากยกย่องพระเยซู พระวิญญาณจะพาเราไปที่เดียวเท่านั้น คือให้ไปรู้จักพระเยซู แล้วพระเยซูจะนำพาเราไปรู้จักกับพระบิดา เอเมน

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งอยู่ที่พระเยซู ไม่ใช่พระวิญญาณ เข้าใจใช่ไหมครับ? พระวิญญาณจะเป็นตัวนำเราไป ในหนังสือเอเฟซัสจึงได้ระบุไว้อย่างนี้  ให้ท่านอ่านดูนะครับว่าเป็นสิ่งสำคัญขนาดไหน? เราจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ความมหัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ ความจริงของพระเยซูคริสต์ ความโดดเด่นของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็ได้จากการวิงวอน ขออธิษฐานให้พระวิญญาณนำพาเราให้ไปพบกับพระองค์ พบกับใคร? พระเยซู เริ่มต้นแล้วใช่ไหม? เราเริ่มต้นเชื่อแล้ว พอเราเชื่อข่าวดีปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาแล้ว ก็เริ่มต้นสอนเราในเรื่องของพระเยซู แล้วก็สอนเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สอนให้เราทำฤทธิ์เดช ไม่ใช่สอนเราให้ทำการอัศจรรย์ แต่สอนให้เราทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อก้าวเข้าไปสู่ความเป็นลูกศิษย์ หรือเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเยซูมากขึ้น รู้จักพระเยซูมาขึ้น นี่คือเป้าหมาย ไม่ใช่มาติดอยู่กับอะไรต่างๆ เหล่านั้น ในการปฏิบัติ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ? เอเฟซัส 1:16-21 ลองอ่านดูนะครับ

เอเฟซัส 1:16-21 “16 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น 18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจ แห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครอง และเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย”

 

นี่คืออะไร? นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ของเรา ซึ่งการที่เราจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ ก็เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มาสถิตอยู่กับเราเท่านั้น และพระวิญญาณจะเปิดตาใจเรา ให้สามารถที่จะรับรู้ความจริงเหล่านี้ได้ เหมือนตะกี้ทีเราอ่าน เปาโลบันทึกไว้เห็นไหมว่าสำคัญขนาดไหน?

“ข้าพเจ้าเพียรทูลอธิษฐาน ขอพระเจ้าของเรา ขอให้ตาใจของท่านเปิดออก ขอให้ท่านได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา และการสำแดงความรู้”

ทำไมเรียกว่าวิญญาณ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Spirit of revelation, Spirit of wisdom คือวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกวิญญาณ วิญญาณซึ่งมันไม่มีเหตุมีผลของมนุษย์ที่จะสามารถเข้าใจได้ แต่มันลึกซึ้งมาก สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการสำแดง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณแห่งสติปัญญา พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือวิญญาณสำแดงความรู้ ทั้งสิ้นอยู่ในพระวิญญาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระวิญญาณจะเป็นผู้นำพาเราไป โดยวิญญาณแห่งสติปัญญา จะให้สติปัญญากับเรา  วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ จะให้ความรู้กับเรา เรื่องเกี่ยวกับใคร? พระเยซู จำไว้เลย เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่เกี่ยวกับโลกใบนี้เลย ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และเพราะพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พระองค์จึงทรงย้ำกับเราอยู่ตลอดเวลาว่าอะไร? อย่ากลัวเลย อย่าให้ใจท่านวิตกกังวลเรื่องใดๆ เลย เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งแล้วนั้นเอง มันจบแล้ว พูดง่ายๆ มันจบแล้ว พระองค์จึงสอนให้เราอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9 นั่นคือจบนะ ท่านไปอ่านดูเถอะ บทอธิษฐานที่พระเยซูสอนในมัทธิว 6:9 อ่านดูทั้งหมดนั้น นั่นคือวางใจในพระเจ้า จบแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด เต็มด้วยพระสิริ ฤทธิ์เดช พระราชอาณาจักรทั้งหมดนั้น เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ตลอดชั่วนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระองค์ เข้าใจใช่ไหมครับ? มันจบตั้งแต่นั้นเลย ไม่ต้องกังวลในสิ่งใดๆ ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ทั้งสิ้น ถ้าเราคิดตามภาษามนุษย์ มันไม่มีทางที่จะเข้าใจ ควบคุมอย่างไร? ตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ไม่ดี คิดตามภาษาของมนุษย์เราบอกว่าไม่ดี แต่จงมองตามสายตาของพระเจ้า ทรงควบคุมทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์บอกว่าดีแล้ว เอเมน มันถึงไม่วิตกกังวล และพระเยซูผู้นี้ ที่ตะกี้เราอ่านนั้น ในพระคัมภีร์บอกใช่ไหมครับว่าผู้ที่ทรงฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งในมหาจักรวาลนี้  พระองค์ทรงให้พระวิญญาณของพระองค์ มาสถิตอยู่กับเรา พระเยซูให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราคือวิหารของพระเจ้า และคือสถานที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั่นเอง

อย่างนี้ สติปัญญามนุษย์เข้าใจไหมเนี้ย ตะกี้นี้บอกว่าพระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ตอนนี้บอกว่าความยิ่งใหญ่อลังการเหล่านั้น ตอนนี้สถิตอยู่กับเรา จะเข้าใจไหม?  พูดธรรมดาจะเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ แต่นี่เรานั่งตาแป๋วเลย เอเมนอยู่ในใจๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในใจว่าเราเข้าใจ มันจริงๆ เป็นอย่างนั้น เอเมน ข้างในมันใช่ๆ ลองอ่านดูนะครับ 1 โครินธ์ 3:16-17 ได้บอกไว้ว่าเราเป็นวิหาร 1 โครินธ์ 3:16-17

1 โครินธ์ 3:16-17 “16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเอง เป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน 17 ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์  และท่านคือวิหารนั้น”

 

ยังจำได้ไหมครับ เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกตอกตรึงที่ไม้กางเขน จำได้ไหมครับ? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าม่านได้ขาดออกเป็นสองท่อน มัทธิว บทที่ 27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ดูสิว่าเหตุการณ์วันนั้น มันเกี่ยวอะไรกับตรงนี้ เอามาให้ท่านดูนิดหนึ่ง มัทธิว 27:50-51 บันทึกอย่างนี้นะครับว่า.-

มัทธิว 27:50-51 “50 และเมื่อพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้ง พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 51 ขณะนั้นเอง ม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองส่วน ตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน”

 

นี่บันทึกไว้ ช่วงที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เหตุการณ์นี้บันทึกไว้ว่าขณะที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ตอนบ่ายสามโมง บอกว่าเสร็จแล้ว เททเทเลสไตล์ (ภาษากรีก) ได้จ่ายให้หมดแล้ว จ่ายหนี้สิน กรรมเวรของมนุษย์ทั้งหมด จ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว พระองค์สิ้นพระชนม์ ทันทีทันใดนั้น  ในนี้บอกว่าอย่างไร?  ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน

ม่านในวิหาร คืออะไรรู้ไหมครับ? ม่านในวิหารขาดเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง คือม่านนี้ แต่เดิม ตามพระคัมภีร์เดิม เคยเป็นที่กั้นส่วนของอภิสุทธิสถาน ในพลับพลา ที่อิสราเอล ชาวยิวต้องติดต่อกับพระเจ้า ทางพลับพลานั้น ม่านนี้ กั้นอยู่ในส่วนของอภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นชั้นในที่สุดของพลับพลา และเป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  ในสมัยพันธสัญญาเดิม ซึ่งในห้องนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้เลย นอกจากมหาปุโรหิตเพียงผู้เดียว และเข้าไปได้เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้นเอง

ความหมาย คืออะไร? ในสมัยนั้น คนทั่วไป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะเป็นคนบาป มหาปุโรหิตต้องเตรียมตัวมากมาย เยอะแยะก่ายกองเลย แล้วเข้าไปได้ปีละครั้ง ด้วยความอันตราย ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เผลอแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ตาย เพราะว่าความสกปรก เข้าไปอยู่กับความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ไม่ใช่ มันเข้ากันไม่ได้ต่างหาก แต่เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ม่านในวิหารขาดออกเป็นสองท่อน เล็งถึงความหมาย คือไม่มีอะไรกั้นขวางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงชำระล้างบาปให้กับมนุษย์แล้ว เสร็จแล้ว จ่ายให้แล้วไง มนุษย์ได้กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยตรงแล้ว พระเยซูเปิดทาง พระเยซูพระองค์ทรงเป็นทางนั้น พระองค์เป็นทางที่เราจะไปหาพระเจ้า โดยไม่ต้องผ่านม่านอีกต่อไป ม่านจึงเอาออกไป เล็งถึงว่าม่านไม่จำเป็นแล้ว ใครก็ไปหาพระเจ้าได้ เอเมน ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น  เพราะพระเยซูคริสต์ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์คนนั้น สะอาดหมดจด สามารถที่จะเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ถ้าไม่สะอาดหมดจด ทำไม? ตาย

ที่ม่านในวิหาร ขาดเป็นสองท่อน เป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ในหีบพันธสัญญาอีกต่อไปแล้ว แต่พระเจ้ามาสถิตที่ไหนครับ? เตรียมตัวมาสถิตกับมนุษย์คนที่เชื่อในการไถ่บาป เชื่อในความบริสุทธิ์ของตนเองที่พระเยซูคริสต์ทำให้ที่ไม้กางเขน

ที่บอก “สำเร็จแล้ว จ่ายให้หมดแล้ว”

ตอนบ่าย 3 โมงนั้น เชื่อตรงนี้ ก็ได้รับทันที มีสิทธิที่จะต้อนรับพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันว่าเมื่อเราเป็นวิหารของพระเจ้า  เราใช้สิทธิ์ของเราแล้ว ในการเชื่อในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้มาสถิตอยู่กับเราแล้ว พระองค์จะทรงนำพาชีวิตเราอย่างไรบ้าง? เป็นอย่างไร? ในลักษณะอย่างไรในขณะนี้ ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว พระวิญญาณเริ่มต้นทำงานในชีวิตเราแล้ว พระองค์ทรงทำอะไรต่อไป

ประการที่ 1 พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา จะทรงย้ำยืนยันกับเราในเรื่องข่าวดีที่เราเชื่อในพระเยซู ย้ำยืนยันในใจว่าใช่แล้ว และใช่อีก เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก ก็ใช่แล้ว เสร็จแล้วปีต่อไป ก็ใช่อีก พอ 3 ปีต่อไป ก็ใช่อีก มากขึ้นเรื่อยๆ ยืนยันความเชื่อของเราว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับเราและมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และทุกวันนี้พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ บัดนี้ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อธิษฐานให้กับเราอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องนี้แหละ 1 โครินธ์ 12:3 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 โครินธ์ 12:3 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

ตรงนี้ แปลได้หลายอย่างเลย มันลึกซึ้งมาก ข้อเดียวนี้ มีความลึกซึ้งมาก ในนี้เอาตรงที่เราจะคุยกันในวันนี้ ในนี้บอกว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือเป็นเจ้านายสูงสุดของเขา ในคนๆ นั้น ที่พูดออกมานั้น นอกจากคนนั้น จะถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันหมายถึงอย่างนี้ นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงกล่าวโดยการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในตัวเขา เมื่อเขาใช้สิทธิ์ของเขา ที่พระเยซูไถ่บาป พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเขา เขาจึงพูดจากวิญญาณของเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านายเหนือชีวิตของท่าน พระเยซูสูงสุด

ในทางอีกทางหนึ่ง กลับกัน เราสามารถพูดตรงนี้ได้ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระเยซูเป็นเจ้านาย แต่ไม่ได้พูดด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน ก็ไม่มีค่าอะไรเลย เป็นศูนย์ ไม่มีค่าอะไรเลย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?  มันพูดจากเนื้อหนังของเราไง พูดจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเรา มีวิญญาณและมีเนื้อหนัง ก็คือร่างกาย ถ้าเราพูดจากร่างกายของเรา มันก็มีเชื้อบาปเต็มไปหมด ถ้าเราพูดจากวิญญาณของเรา  … วิญญาณของเรา คือถูกชำระแล้ว โดยข่าวประเสริฐของพระเยซู และพระวิญญาณมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา เราพูดจากวิญญาณตรงนั้นออกมาได้เลย แต่ก่อนหน้านี้เราพูดด้วยอะไร? ความรู้สึก ความคิดที่เป็นมนุษย์ เราอาจจะได้ยินคนพูดกับเรา เชื่อในคนนี้ เพราะว่าเขาเป็นพ่อเรา เขาเป็นแม่เรา เขาเป็นอาจารย์สอน เขาบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เราก็ใช่ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงไหม? เขาอาจจะพูดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะว่าเขาพูดด้วยความรู้ของมนุษย์ว่าคนนี้เชื่อ เพราะว่าพ่อแม่ เป็นพ่อแม่เราเชื่อ เชื่อพ่อแม่ ไม่ได้เชื่อพระวิญญาณนะ เชื่อพ่อแม่ พ่อแม่บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านะ อ้อ! พระเยซูเป็นพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเด็กๆ ที่พ่อแม่ดูแลทุกวันนี้ เติมให้ เสริมให้ เราต้องดูแลลูกเรา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพูดจากวิญญาณของเขา โดยรับเชื่อพระเยซูจริงๆ  พระเยซูบอกเขา พูดนำพาเขา พูดนำพาเขาว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ในชีวิตของเขาจริงๆ นั่นแหละ วันนั้นแหละ เขาเป็นผู้ที่ใช้สิทธิ์นี้จริงๆ ก่อนหน้านั้น เขาอาจจะพูด เพราะเขาเกรงใจเรา ก่อนหน้าเขาอาจจะพูด เพราะว่าเขารักเรา เขาไม่ได้รักพระเยซูหรอก

ลักษณะเดียวกัน ในที่นี่สามารถเอามาขยายความได้ว่าไม่มีใครที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะสามารถสาปแช่งพระเยซูได้ มันเป็นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ก็คือคนที่สาปแช่งพระเยซูได้ ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ถือโทษโกรธ

จำได้ไหม? ผมได้สอนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่าบางคนชอบไปขู่บอกว่าถ้าไม่เชื่อพระเยซู อย่าลบหลู่นะ จริงๆ แล้ว พระเจ้าไม่ได้ถืออะไรเลย  พอเข้าใจไหม? ถ้าเรื่องตะกี้นี้ที่เราพูดมาว่าไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นเจ้านายสูงสุด นอกจากจะกล่าวโดยพระวิญญาณนะ ถ้าตรงนี้เป็นจริง อีกด้านหนึ่งก็เป็นจริง ไม่มีใครสามารถสาปแช่งพระเยซูได้จริงๆ ถ้าเขาเชื่อพระเยซูแล้วจริงๆ  แสดงว่าเขายังไม่เชื่อ มันก็เหมือนเราที่ยังไม่เชื่อในอดีต พระเจ้าอภัยให้เสมอ เพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมารู้แล้ว เราก็ไม่มีทางที่จะสาปแช่ง พอเข้าใจไหม?

ซึ่งถ้อยคำตรงนี้ ก็ตรงกับคำเผยพระวจนะที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ล่วงหน้านานแล้วว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมาถึง ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ และจะทรงบรรจุพระธรรมไว้ในจิตใจของเขา พระธรรมนี้ คือมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง เดี๋ยวมาลองอ่านดูนะ เดี๋ยวอธิบายต่อในหนังสือพระคัมภีร์เดิมเยเรมีย์ 31:33-34 ตรงนี้เล็งถึงเรื่องราวนี้โดยเฉพาะเลย ค่อยๆ อ่าน และทำความเข้าใจไป

เยเรมีย์ 31:33-34 “33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่านี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด” องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

 

ซึ่งในหนังสือฮีบรูก็ได้ดึงเอาข้อความนี้ อ้างเอาข้อความนี้มาใส่ไว้ในฮีบรู 8:10-11 ยืนยันให้ท่านเห็นว่าฮีบรู พระคัมภีร์ใหม่ก็ได้อ้างถึงข้อความในพระคัมภีร์เดิมเมื่อตะกี้ แล้วก็มาพูดตรงนี้ ในนี้บอกว่าอย่างไร?

“ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา” นี่พระเจ้าตรัสนะครับ “ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่าจงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วใครมาสอนแทน? ใคร? พระเยซูมาจะมาสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูจะมาสอนเราเอง พระเยซูตอนเดินอยู่กับสาวก ก่อนที่จะถูกตรึง

พระเยซูบอกสาวกว่า “เราเป็นทางให้ท่านไปหาพระบิดา เราจะสำแดงพระบิดาให้กับท่าน”

พูดง่ายว่า “เราจะสอนเรื่องพระบิดาให้ท่าน ท่านจะได้รู้ว่าพระบิดาของท่าน พระบิดาของเราและพระบิดาของท่าน เป็นพระบิดาเดียวกัน คือพ่อของพระเยซูกับพ่อของท่านเป็นพ่อเดียวกัน  เราจะเป็นผู้นำท่านไปพบกับพ่อ พามาเจอกัน”  นึกภาพนะ มาคืนดีกัน

พระเยซูจะสอนเอง โดยผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณของพระองค์ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผมสังเกตตรงนี้ดู แถมให้ท่านนิดหนึ่ง บอกว่า.-

“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลังจากสมัยนั้น” คือสมัยนี้นะ หลังจากพระคัมภีร์เดิมนั่นนะ

“คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของเขา”

ท่านรู้ไหม? บทบัญญัติ คืออะไร? บางเล่มเขาแปลตรงนี้ว่า.-

“เราจะใส่ถ้อยคำของเรา”

บทบัญญัติ ก็คือถ้อยคำ

ท่านรู้ไหม? “ถ้อยคำของเรา” คืออะไร? ในหนังสือยอห์น บทที่ 1 พระองค์ คือพระวาทะ พระวาทะแปลตรงๆ แบบภาษาไทยๆ ง่ายๆ ก็คือ The word ก็คือถ้อยคำ ตรงนี้ ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือถ้อยคำ ถ้าใส่ตรงนี้เป็นพระเยซู ก็คือ.-

“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะใส่พระเยซูเข้าไปในใจของเขา”

และจากนี้ จบ  เดี๋ยวพระองค์จะนำเอง โดยพระเยซูสถิตอยู่ในเรา มาในพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้ามี 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ ทั้ง 3 พระองค์เป็นเหมือนบุคคลเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เราไม่เข้าใจมากนัก เห็นไหมครับ? พระเยซูจะสอนเราเองในเรื่องนี้

และนอกจากจะย้ำยืนยันในความเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระวิญญาณมาสถิตกับเราแล้ว จะย้ำยืนยันในใจแล้ว

ประการที่ 2 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังย้ำยืนยันกับเราอีกว่าการไถ่ขององค์พระเยซูคริสต์ที่ชำระบาปให้กับเรานั้น  ที่ทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้านั้น มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่ลิเกนะครับ มันจริงๆ ซึ่งสมัยก่อน ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า หรือแม้ตอนเรารับเชื่อเริ่มต้นใหม่ๆ เรายังรู้สึกกระยิกๆ ลิเกนิดๆ แต่พอไปเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา ยืนยันไปเรื่อยๆ จนเราใช่เลย สรรหาคำมาอธิษฐานกับพระเจ้าแบบเพราะพริ้งเลย ยิ่งกว่าลิเกอีกคราวนี้ ยิ่งกว่าอีก ราชาศัพท์ใช้ผิดใช้ถูก ใช้เก่งกันหมดเลย คิดดูสิ ไม่เคยเล่นลิเกมาก่อน แบบใช้กันถูกหมด พูดเพราะมากเลย แต่ละคน สบายเลย มาจากไหนล่ะ? มาจากความมั่นใจข้างในไง มั่นใจมากขึ้นทุกวันๆ ฮีบรู 10:14-17 บันทึกไว้อย่างนี้

ฮีบรู 10:14-17 “14 พระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น  บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเรา ในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา” 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าทรงรับเรากลับมาคืนดีกับพระองค์แล้ว ยืนยันอย่างนี้กับเรา พระเจ้าให้เรารับฐานะเป็นลูกของพระองค์แล้ว เขาเรียกว่าลูกแบบรับมา  คือรับมาเป็นลูก เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เกี่ยวกับการกระทำดีของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราเคยทำมาตั้งแต่อดีต เคยจดมาตั้งหลาย ตั้งเยอะแยะทั้งหมด จดๆ แล้วก็ลืมหมด จำได้แต่บาปที่ทำเท่านั้น จริงหรือไม่จริง? เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้วว่าที่ทำดีมานั้น ไม่ช่วยอะไรหรอก บาปแค่ครั้งเดียวที่เราทำไปนั้น มันติดตัวเราไปจนถึงไหน? คิดเอาเอง ถึงไหน? หลังความตายแล้วกัน จริงหรือไม่จริง?

ในอดีตเราเป็นอย่างนี้จริงไหม? ทำความดีมาเยอะแยะ ลืมหมดเลย ทำผิดบาปแค่ครั้งเดียว โกหกแค่ครั้งเดียว จำแม่นๆ จำอยู่นั่นแหละ

“ฉันไม่น่าทำๆ”

วันที่ไปช่วยเด็กกำพร้า จำได้แค่ 2 วันผ่านไป ลืม

“วันนั้น ฉันไปหรือเปล่าเนี้ย … ปีที่แล้ววันเกิดฉันไปหรือเปล่าน่า”

จำได้ไหม? จำไม่ได้ แต่ทำอะไร ทำสิ่งที่เลวร้าย ที่คิดว่าเลวร้าย ไม่มากเท่าไร? อาจจะ 30 ปีก่อน 30 ปีผ่านไป ยังจำได้แม่น

“วันนั้น วันที่ฉันทำไม่ดี วันที่ฉันไปขโมยของเขา ถูกเขาจับติดคุกไป”

จำแม่นเลย อย่างนี้แหละ นี่คือธรรมชาติบาป ที่อยู่ในตัวมนุษย์ มันจะฟ้องเราอยู่เรื่อย แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์มาย้ำยืนยันให้กับเราว่าเราเป็นอิสระจากบาปเหล่านั้นแล้ว ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปให้กับเรา ซึ่งความจริงทั้งหลายเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้สอนเราเอง คนอื่นสอน ก็ได้ไหม? ไม่ได้ ตอบตรงๆ เลย ไม่ได้

“อ้าว! แล้วอาจารย์สอนทำไมล่ะ … ไม่ได้ แล้วกำลังคุยอยู่นี้คุยอะไร?”

ใจเย็นๆ สอนได้แต่ข้างนอกเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจก็มี ผู้ที่จะเอาเรื่องไปทำให้ท่านเข้าใจมากขึ้น คือพระวิญญาณ ท่านนั่งฟังอยู่นี้ พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ ผมพูดของผมไปเรื่อย สำหรับคนที่ยกตัวอย่างคนที่ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ ยังไม่เชื่อ ไม่ได้รับสิทธิของเขาในพระเยซูคริสต์ มานั่งที่นี่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ เขาได้ยินผมพูดเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไร? เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ คนอื่นสอนไม่ได้หรอก มันเป็นสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า รับรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น  ไม่ใช่รับรู้โดยความเข้าใจแบบสติปัญญาแบบมนุษย์ ผู้คนบนโลกใบนี้จะประกาศข่าวดีอย่างไร? ก็เพียงแค่ให้เราได้รับรู้ ให้เราได้ยินข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่จะเข้าใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับใครนำ? พระวิญญาณ เพราะฉะนั้น เวลาท่านไปประกาศข่าวประเสริฐ ก็ไม่ต้องพยายามลุ้น พยายามผลักดัน พยายามเคี่ยวเข็ญ จนเกิดเรื่อง คุ้นๆ ไหม?  พยายามๆ จนกระทั่งเขารำคาญ ก็ท่านจะพยายามไปยัดเหยียด เคี่ยวเข็ญ ก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจสิ ท่านต้องกลับไปทำอะไร?  คิดดีๆ แล้วก็คุยตามเหมาะสม ตามโอกาส ที่มีโอกาสให้ แล้วก็ด้วยความสุภาพอ่อนนุ่ม และใช้ช่วงเวลาให้เป็นประโยชน์ แล้วกลับไปอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเขาดีไหม? มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณพยายามในโลกนี้ คุณตายเลย ไม่หายเหนื่อยและเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูบอกเลย ไปที่ไหนก็วุ่นวายหมดเลย เพราะเขายังไม่รู้จัก บ้านจะได้ไม่แตกสาแหลกขาด มาเชื่อทีหนึ่ง กลับไปถึงบ้าน พยายามจะบีบบังคับ ยิ่งคนที่มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ก่อนคนอื่นเขาในบ้าน มีสิทธิกว่าคนอื่นในบ้านเขาสูงๆ กว่าคนอื่น คือไม่ใช่เป็นลูก สมมติเป็นพ่อ ยิ่งหนักเลย อาการหนัก บ้านนั้น บ้านแตกสาแหลกขาด บ้านไหนมาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกมาเชื่อก่อน ดีที่สุด เพราะลูกถูกบีบคั้นอยู่ ไม่กล้าทำอะไร? แต่ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ บีบคั้นลูก

“ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น”

ตัวเองจะเอา ใช่ไหม? ตัวเองอยากให้เป็นอย่างนั้น  ไม่รอพระวิญญาณ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่จะทำให้คนเข้าใจข่าวประเสริฐ หรือไม่ก็ตาม อยู่ที่พระวิญญาณ เอเมน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันนะ พระวิญญาณจะเป็นผู้บอก เหมือนขณะนี้ท่านฟังผมไป พระวิญญาณจะเป็นผู้บอกท่านว่า เออ! I see … I see แปลว่าอะไร?

“เข้าใจแล้ว อ๋อ! ใช่ๆ อ๋อ! พระวิญญาณสถิตอยู่ ใช่”

เห็นไหม? ท่านจะอ๋อไปเรื่อยๆ เหมือนเรารับเชื่อในพระเจ้าครั้งแรก เราก็อ๋อเหมือนกัน พระเจ้าเป็นอย่างนี้ ซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า เหมือนตอนผมรับเชื่อใหม่ๆ ก็ใช่ คนพูดมาเยอะแยะ ไม่ค่อยเข้าใจ บางครั้งก็ต่อต้าน บางครั้งไม่ต่อต้านหรอก แต่ไม่รู้เรื่อง คือไม่เข้าเลย  ไม่ต่อต้านนะ แต่บางครั้งต่อต้าน หมั่นไส้ รำคาญ แต่บางครั้งไม่ต่อต้าน มันไม่เข้า ที่ไม่ต่อต้าน คือมันจนตรอกแล้วไง ที่ต่อต้านอยู่ มันเย่อหยิ่ง สู้กับเขา คราวหลังสู้ไม่ไหว  อยากจะรับเหมือนกัน มันรับไม่ได้ด้วยปัญญาของตัวเอง มันจะรับ จะรับอย่างไร ไม่เข้าใจ จนวันหนึ่ง พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทันที ไม่ต้องมีใครสอนเลย  ปิ๊ง ขึ้นมา อ๋อ! เขาเรียกว่ากลับใจใหม่ทันที รู้แล้วว่าเราเป็นคนบาปอย่างไร? เขาพูดมาตั้งนาน เราเป็นคนบาป เราไม่เข้าใจ เราเป็นคนบาปอย่างไร?

แม้กระทั่งบางครั้งเราไม่ต่อต้าน เราเชื่อว่าเป็นคนบาป เรายอมเชื่อ แต่ว่าเราไม่ได้เชื่อจากวิญญาณของเราจริงๆ เราเชื่อแบบหยิ่งๆ นิดๆ แบบที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ แล้วมันก็ไม่เกิดขึ้น แต่นี่พอพระวิญญาณเข้ามา  พระวิญญาณสำแดงความบาปให้เราเห็นชัดเจน บาปจริงๆ แล้วพระเยซูมาไถ่บาปให้เรา มันเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 4:4-6 จึงบอกไว้อย่างนี้นะครับ

กาลาเทีย 4:4-6 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา ร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ

 

เอเมน ปรบมือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงประทานให้กับเรา เป็นผู้ที่บอกเรา ยืนยันกับเรา และสอนเราให้เรียกพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ให้บอกว่าพระองค์เป็นอับบา แปลว่าปาป๊า แปลเป็นลักษณะเหมือนปาป๊า ไม่ใช่เป็นพ่อ เหมือนเราเรียก น้อยคนนะที่นี่ ที่เรียกพ่อ ปกติเราจะเรียกปาป๊าบ้าง แด๊ดดี้ อะไรอย่างนี้  คุ้นเคยสนิทกันมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังจะบอกเราว่าพระเจ้ารักเรามากนะ พระเยซูคริสต์รักเรามากนะ ไถ่บาปให้กับเรา เปี่ยมด้วยความรักมากมาย ต้องการสนิทกับเรามาก ให้เรียกพระเจ้าว่าอะไร? ปาป๊า เข้าใจใช่ไหม? แด๊ดดี้ เอเมน

พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ยืนยันในจิตใจเราว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับเรา เรามีฐานะเป็นอะไร? มนุษย์คิดไม่ออก ไม่เข้าใจเลยว่าเราก็เป็นคนบาปขนาดนี้ เราก็ตัวเล็กขนาดนี้ แล้วพระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ควบคุมดวงดาวทุกอย่าง ใหญ่ยิ่งสูงสุดเลย แล้วรับเราเป็นลูก มันเป็นอย่างไร? นั่นแหละ พระวิญญาณเป็นผู้สำแดงสิ่งนี้ให้กับเรา ในยอห์น 16:12-15 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้  พระเยซูสอนสาวกไว้อย่างนี้ ยอห์น 16:12-15 พระเยซูสอนเราอย่างนี้

ยอห์น 16:12-15 “12 ยังมีอีกมาก ที่เราจะกล่าวกับพวกท่าน มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้ 13 แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 14 พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เรา โดยการนำสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกท่าน 15 ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรา มาสำแดงแก่พวกท่าน

 

เอเมน ยิ่งใหญ่จริงๆ นะ นี่คือคำพูดของพระเยซูก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พูดกับเหล่าสาวกไว้ เพราะตอนนั้น เหล่าสาวกยังไม่รู้เรื่องอะไร? ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ พูดไปก็งงๆ เพราะพระเยซูบอกว่า.-

“รอก่อนๆ พระวิญญาณมา เดี๋ยวเธอจะรู้เองว่ามันเป็นอย่างไร?”

“แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”

คำนี้คำเดียว  ก็ครอบคลุมหมดทุกอย่าง และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันในเรื่องของความเชื่อ ยืนยันของเรื่องการทรงไถ่ ชำระล้างบาปของพระเยซูที่ทำให้กับเราแล้ว      นอกเหนือจากนั้น ทำอะไรอีก ในข้อต่อไป คือข้อที่ 3

ประการที่ 3 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงสอนและนำพาชีวิตเราแต่ละคน ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ และนำพาชีวิตเราให้ได้พบกับสันติสุขในชีวิตที่แท้จริง

ให้อยู่รอดปลอดภัยในทางของพระองค์ ไม่ใช่ในทางที่เราคิดกันเองอีกแล้ว ลองดูสิเป็นอย่างไร? ยอห์น 14:26-27 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ ยอห์น 14:26-27

ยอห์น 14:26-27 “26 องค์ที่ปรึกษา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่ง ที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน และอย่ากลัวเลย”

 

พูดง่ายๆ คืออย่ากลัวเลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่านแล้ว สันติสุขที่เรามอบให้กับท่านนี้ ไม่เหมือนสันติสุขที่โลกนี้ให้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกมอบให้กับเราแล้ว อย่ากลัวเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องของสันติสุขที่โลกนี้ไม่เข้าใจ

เมื่อเราได้รับเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ยืนยันกับเราว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นจริง ก็คือสิ่งทั้งหลายที่พระเยซูพยายามสอนเรา และอีกมากมายที่ยังไม่ได้สอนเรา หมายถึงสอนเราผ่านทางสาวกในอดีตที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ และอีกมากมายมหาศาล ซึ่งไม่ได้สอน ขณะเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่สอนในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาขอพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว อีกมากมาย ความจริงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนท่านหมดเลย (เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์) แล้วแต่ละคนว่าจำเป็นต้องรู้สึกซึ้งมากขนาดไหน? เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าไม่ต้องเอาไปใช้มาก ก็ไม่ต้องรู้เยอะหรอก ใครเป็นคนตัดสินตรงนี้ว่าจะรู้เยอะ รู้น้อยดี พระวิญญาณเป็นผู้นำทั้งสิ้น ให้เราวางใจในพระองค์นั่นเอง พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองว่าไม่ต้องไปคิดมากแล้ว พระวิญญาณนำไปเลย รู้แค่นี้ ก็แค่นี้ รู้แค่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอเมน ไม่ต้องรู้อะไรมาก พอแล้ว เพราะไม่ให้ไปสอนใคร เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่นั้น ก็จบ ก็ไม่ต้องได้รู้อะไรมันเยอะแยะ พอมาวันอาทิตย์ คนที่ได้รู้มากกว่าที่พระวิญญาณนำพา ก็มีหน้าที่นี้  เขาอาจจะมาสอน แล้วเราก็ฟัง สนุก เอเมน พอกลับไปบ้าน เราก็ลืม แต่มันเข้าไปแล้ว เข้าใจไหม? มันก็เข้าไปในวิญญาณแล้ว ท่านก็สบายใจว่ากลับไปทีไร ลืมทุกทีเลย ก็ไม่ได้มีหน้าที่นี้ ก็จะไปจำทำไม? สมองมีไว้ทำอย่างอื่นบ้าง สมองมีไว้พักผ่อนบ้าง อย่าเครียดมากเกินไป อย่างนี้ เอเมน ไม่ใช่เป็นคริสเตียนหน้าตายู่ยี่ตลอดเวลา

“ทำอะไร?”

“กำลังคิดถึงถ้อยคำพระเจ้าอยู่”

ไม่ต้องมากถึงขนาดนั้น เอาพอดีๆ บางคนพยายามจะยัดเหยียด สอนนะ ตัวเองเป็นอาจารย์ แล้วก็อ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน พยายามยัดเหยียดให้สมาชิก ไปอ่านพระคัมภีร์ทั้งวันทั้งคืน ตี 5 ตื่นไปทำงาน 6 โมงเช้า รถติด กลับมาบ้าน กว่าจะถึงบ้าน 3 ทุ่ม ไม่มีแรงแล้ว

“ต้องอ่านนะ อ่าน สำคัญๆ”

อ่านไปทำไมอย่างนั้น  มันก็เนื้อหนังเราทั้งสิ้น อ่านไปทำไม? ทรมานเปล่าๆ ไม่ต้องอ่าน ได้แค่นี้ บางคนดูผมอยู่นี้ ตอนนี้ นี่เรื่องจริง ไปอ่านทำไม มันไม่ไหว แล้วจะไปทรมานมันทำไม? มาวันอาทิตย์ฟัง ขึ้นรถเมล์ได้สัก 2 ข้อ 3 ข้อ หรือมีโอกาสฟัง CD ที่เขาเทศน์ ก็แบ่งกันรับใช้ พวกอาจารย์เขาทำงานอยู่ในโบสถ์ เขาก็อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ มาสอนท่าน ท่านก็กลางวันไม่ต้องไปอ่านหรอก ฟังของท่านไป นิดๆ หน่อยๆ พระวิญญาณจะนำท่านเอง ตามลักษณะของแต่ละคน ซึ่งมีหน้าที่ไม่เหมือนกันไง เอเมน  ไม่ใช่ไปพยายามยัดเยียด  ทุกคนจะต้องมาเป็นอย่างนี้หมดเลย  แล้วใครจะหาเงินมาให้โบสถ์ใช้ คนทำงานไป ก็ทำงานไป เอาเงินมาถวายแล้วกัน อันนี้พูดเล่นนะครับ พูดเล่น ที่นี่ไม่เน้นเรื่องถวายทรัพย์อยู่แล้ว เพราะการถวายทรัพย์ คือการช่วยท่าน พระเจ้าต้องการช่วยท่านให้ลดละกิเลส ไม่ใช่มาช่วยพระเจ้า ถ้าท่านมาช่วยพระเจ้า เอาเงินกลับไปเลย  ไม่ต้องถวาย พระเจ้ายิ่งใหญ่ ร้องอยู่ทุกวัน พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด แล้วมารอเงินถวายจากท่าน ตายแล้วพระเจ้าจะช่วยท่านได้อย่างไร? ใช่ไหม? เอเมน ต้องมั่นคง มั่นใจอย่างนี้

แล้วนอกเหนือจากนั้น  สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำให้เรา ก็คืออะไร? ก็คือประการที่ 4

ประการที่ 4 ทรงให้ความสามารถกับเรา ที่เราเรียกกันว่าของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีตัวอย่างบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เดี๋ยวลองอ่านดูนะครับ นี่คือตัวอย่างเท่านั้น มีมากกว่านี้ อย่างที่ผมบอก เยอะแยะมากมาย ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ความสามารถกับเราได้ นี่คือจำนวนหนึ่งในสมัยโน่น ที่พระคัมภีร์สมัยโน่น ที่ได้บันทึกไว้ว่านี่คือจำนวนหนึ่ง เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ใน 1 โครินธ์ 12:7-11

1 โครินธ์ 12:7-11 “7 การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8 คนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งสติปัญญา โดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9 อีกคนได้รับของประทานแห่งความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคน มีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น 10 คนหนึ่งได้รับฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคนสามารถพูดภาษาแปลกๆ และอีกคนแปลภาษาแปลกๆ ได้ 11 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการงานของพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกำหนดไว้”

 

เอเมน … พระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคน ตามที่ทรงกำหนดไว้ ตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนสร้างโลก การสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีแก่แต่ละคน เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่ ประโยชน์ของคนที่สำแดงอย่างเดียว พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ประโยชน์ร่วมกัน นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่นี้  ดูตัวอย่างอีกอันหนึ่งใน 1 โครินธ์ 12:28-31 มีของประทานอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในนี้ นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้  ยกขึ้นมาตัวอย่างนะครับ

1 โครินธ์ 12:28-31 “28 และในคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทำการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ 29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? 30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? 31 แต่ให้เราใฝ่หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”

 

ในคริสตจักร หมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ไม่ได้หมายถึงในโบสถ์แบบนี้นะครับ คริสตจักรตรงนี้หมายถึงผู้เชื่อทั้งหมด  ทั้งโลกนี้เลย ใครจะเชื่อที่ไหน? มุมโลกไหน? เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น  ไม่ใช่หมายถึงโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ที่โน่น ที่นี่ ไม่ใช่หมายถึงตัวอาคาร หมายถึงตัวประชาชนคนที่เป็นวิหารบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์มาสถิตอยู่กับในพระลักษณะของพระวิญญาณ นั่นแหละคือหนึ่งในจำนวนคริสตจักร มารวมๆ กันเป็นหนึ่งคริสตจักร นี่ผมคนเดียวก็เป็นหนึ่งคริสตจักร ทุกคนรวมๆ กันเป็นหลายๆ คริสตจักร พอเข้าใจใช่ไหม? คริสตจักรคืออาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่กับฉัน อยู่กับเรา พวกเราทั้งมวล ทั้งโลกนี้เลย มันหมายถึงอย่างนั้น

ตรงนี้ท่านจึงเห็นภาพชัดเจนว่าพระวิญญาณให้ความสามารถ เพราะว่าบางคนในสมัยนั้น  พยายามที่จะมองดู คนทำอัศจรรย์ คิดอย่างนั้น แต่ในนี้บอกว่าทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ?  ทุกคนขึ้นมาเทศน์แบบนี้หรือ? ทุกคนขึ้นมาเล่นดนตรีแบบโต๋หรือ?  เห็นหรือยัง?  ทุกคนจะมาร้องเพลงแบบอาร์ตใช่ไหม? อย่าเลยมันเพี้ยน อาจารย์นำไม่ให้ขึ้นมาอยู่แล้ว เพราะอะไร? ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ขึ้นมาร้องหมดดิ ทำไมคนนี้เป็นอย่างนี้? ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนี้? เพราะพระวิญญาณทราบดีว่าใครเหมาะกับอะไร? เพราะถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดให้นั่งที่นี่ ให้ท่านนั่งเฉยๆ นั่นแหละ ไม่ต้องทำอะไร?  ไม่ต้องคิดว่าจะช่วยอะไรดี จะช่วยพระเจ้าตรงไหนดี เดี๋ยวถ้าพระวิญญาณนำท่าน ท่านถูกกำหนดไว้แล้ว เดี๋ยวจะมาเอง มาเองแน่ๆ หลายคนขึ้นมาบนนี้ ไม่มีใครเรียกเลยนะ แล้วเขาเอง เขาก็ไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา ไม่รู้ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้

แต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? แต่ให้หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  วันนี้ไม่มีเวลา ต่อจากข้อความนี้ไป คือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งใครๆ ก็รู้จักดี ให้พวกเราหาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ มีทุกคนเลย ของประทานนี้คืออะไร? คือความรักในพระเจ้า รักแท้ของพระเจ้า รักที่ไม่มีเงื่อนไข รักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ไม่เห็นด้วยกับการประพฤติไม่ดี ให้อภัยเสมอ ความรักอย่างนี้แหละ เป็นของประทานอย่างหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ ถ้าไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีรักแท้แบบพระเจ้า อย่างนี้ไง อย่างนี้มีทุกคน ไปแสวงหาเลย  พวกที่ตะกี้นี้บอกจะมาร้องเพลง ก็ไม่ต้องมาแสวงหา ถ้ามีก็มี พวกที่จะมาเทศนา จะมีก็มี พวกที่ทำการอัศจรรย์ได้ ก็ไม่ต้องไปตามเขา จะมีก็มี พอเข้าใจไหม? แล้วพระวิญญาณก็จะนำเขาทำ แต่ละคนๆ ว่ากันไปตามชีวิตของแต่ละคนๆ นั้น ที่พระวิญญาณ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และกำกับเขาไว้ว่าควรจะทำอะไร?  มันจบแล้ว อย่าไปคิดมาก มาเชื่อพระเจ้ามันจบหมดทุกอย่างแล้ว อย่าไปคิดมาก ยิ่งคิดมาก ยิ่งเหนื่อย แล้วแทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และไม่เหนื่อยนะ ไม่หายเหนื่อย เป็นสุข ท่านไม่หายเหนื่อยไม่พอ คนข้างๆ ท่าน เขาก็ไม่หายเหนื่อยด้วยเช่นเดียวกัน เพราะท่านทำให้เรื่องยุ่งไปหมดเลย เข้าใจใช่ไหม? พอเครียด คนอื่นเขาก็เครียดตามไปด้วย

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออยากจะย้ำยืนยันให้กับท่านว่าพวกเราทั้งหมดในที่นี่ เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ และเราได้เรียนรู้กันมาเยอะแยะแล้วว่าพระวิญญาณของพระเจ้ามีฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุดขนาดไหน? แล้วพระองค์อยู่กับเรา แล้วถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มีอะไรที่เราต้องกลัว มันจบแล้วจริงๆ ท่านต้องพยายามมองข้ามในสิ่งที่มันเป็นเหตุเป็นผลบนโลกใบนี้ ออกไปให้หมด นี่คือความจริง พระวิญญาณจะนำท่านต่อไปว่านี่คือความจริง ท่านมองข้ามไปเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาถึงบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็สบาย เพราะเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว เอเมน ให้เรารู้อยู่เสมอว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว และพระองค์ตรัสกับเราว่า.-

“อย่ากลัวเลย  เราเป็นพระเจ้าของเจ้า อย่าขยาดเลย เราอยู่กับเจ้าตลอดไป”

ตลอดเลยเห็นไหม? ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ในพระคัมภีร์เดิม ก็พูดอย่างนี้ เล็งถึงพระเยซูจะมาเกิด พูดมาตลอด

“อย่ากลัวเลยๆ”

พอพระเยซูมา ก็พูดเหมือนกันอย่างนี้ “อย่ากลัวเลยๆ”

มาจริงๆ แล้ว นี่ของจริง ตอนพระคัมภีร์เดิมเป็นเงา แต่ตอนนี้ เป็นของจริง พูดให้ตรงๆ ก็คือตอนพระคัมภีร์เดิม ที่พูดถึงพระเยซู เป็นเหมือนรูปพระเยซู ท่านจะเห็นชัดขึ้น ถ้าบอกเป็นเงา ท่านอาจจะยังไม่เห็น เป็นเหมือนรูป เอารูปมาให้ดู แต่พระคัมภีร์ใหม่ ตอนพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตัวจริงมา เข้าใจไหมตัวจริง เหมือนเราไปดูดารา ดูรูปดาราในหนังสือพิมพ์ นี่ตัวจริงมาครับ ตัวจริง เอเมน

พวกเราขอบคุณพระเจ้าไหม? พวกเราอยู่ในช่วงเวลาของตัวจริงมา ขอบคุณพระเจ้า ที่เราไม่ต้องอยู่ในช่วงที่ดูแต่รูปๆ นี่พระเยซูตัวจริงมาเลย ดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะไปไหน? หรือจะทำอะไร? เราก็ไม่ต้องแคร์ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น พูดกันในใจของเราว่าไม่ต้องกลัวเลย  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา  อยู่ในเรา  ใครจะทำอะไรเราได้ เราชนะหมดเรียบร้อยแล้ว ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน

พูดกับทุกสถานการณ์อย่างนี้เลย ทุกสถานการณ์ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปคิดว่าเอาเหตุผลของมนุษย์เข้ามา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วผู้ที่จะทำให้เราไปถึงจุดนี้ได้ เราชนะขาดลอยแล้ว เราไม่ต้องไปคิดมาก ทุกเรื่อง วางทุกอย่างไว้กับพระเยซูคริสต์ หรือพระเจ้าได้ ผู้ที่จะนำพาเราผ่านตรงนี้ได้ ก็มีเพียงผู้เดียว คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเราได้รับ และสถิตอยู่กับเรา ตั้งแต่วันที่เราเริ่มต้นเชื่อ ใช้สิทธิ์ของเรา ที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา ที่ไม้กางเขนนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา จึงมีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด แล้วพระเจ้าจึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานี้จะนำพาเราไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงเมื่อไรท่านทราบไหม?  จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นิรันดร์ จนถึงเราไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ด้วยวิญญาณของเรา  หน้าต่อหน้า เป็นผู้ยืนยันกับเราตลอด เพราะฉะนั้น อย่ากลัวเลย สบายใจได้ วางใจได้ในทุกอย่าง ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำไป

และสุดท้าย ก็คือเราจำเป็นต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอพระเยซูบ่อยๆ พระเยซูเป็นผู้จุ่มเราลง หรือบัพติศมาเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่รับเชื่อ และต่อๆ มาทุกวันๆ จุ่มเราอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นวิธีการที่เราจะเร่งตรงนี้ให้มันติดสนิทกับพระองค์มากขึ้นได้ ก็คืออธิษฐานขอบ่อยๆ

“พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระวิญญาณของพระองค์มากขึ้น”

จะอะไรก็ตามให้มันออกมาว่าท่านอยากได้มากขึ้น ท่านอยากได้วิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนลูกด้วยเถิดพระเจ้า พระเยซูจุ่มอยู่ลงไปในความล้ำลึกของพระองค์ จุ่มอยู่เข้าไปในอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้นทุกวันๆ รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน แทนที่จะไปขอร่ำขอรวย ชื่อเสียงอะไรต่างๆ เข้าใจไหม ตรงนี้มันสำคัญกว่าตั้งเยอะ เพราะทั้งหมดนั้น มันได้ไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่ในการกำหนดของพระเจ้าแล้ว ถ้าพระเจ้ากำหนดให้ท่านจน ท่านจนตลอดแหละ หลบกันใหญ่เลย พอบอกอย่างนี้ จนในตามภาษามนุษย์นะครับ แต่ในพระเจ้าร่ำรวยมาก เอเมน เปโตรรวยไหม? รวยมหาศาล เปาโลรวยไหม? รวยมหาศาล ไม่ใช่คนรวยในโลกใบนี้ที่เรียกว่ารวย ทางพระเจ้าไม่ใช่ พระวิญญาณบอกเราว่าร่ำรวยในทางพระเจ้า คืออย่างไร? ต่อไปในอนาคต เอเมน

เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชิญพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรามากขึ้น สถิตอยู่แล้ว สถิตอยู่อีก มีมากแล้ว ขอมากขึ้นอีก ตรงนี้ไม่เรียกว่าโลภเลย เพราะมันเป็นพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปให้มากที่สุด ไม่ใช่พระพรทางฝ่ายโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2015 เรื่อง “พระเยซูอยู่ที่ไหน ในขณะนี้” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มิถุนายน  2015

เรื่อง “พระเยซูอยู่ที่ไหน ในขณะนี้” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ก่อนที่เราจะฟังคำบรรยายในเช้าวันนี้ จะให้ท่านได้ฟังเพลง เพลงหนึ่งที่สำคัญมาก เนื้อเพลง พระเยซูเป็นผู้เขียนเองเลยนะครับ คือเป็นเพลงจากเนื้อจากคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐาน เป็นคำอธิษฐานเดียว ที่พระเยซูสอนให้กับมนุษย์อธิษฐานแบบนี้  ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราทั้งหลายทุกคนที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ที่รู้จักพระเยซูแล้ว ควรเอาหลักเกณฑ์นี้ไปอธิษฐาน ให้จำให้ได้เลยว่ามีอะไรบ้างที่อยู่ใน

พระบิ…ดา…. ผู้สถิตในส … วรรค์               พระนามเป็นที่ … สรรเสริญ

ขอสวรรค์ลงมา   ให้น้ำพระทัย                 สำเร็จ … บนโลกนี้

                        เหมือนกับดั่ง … อยู่ใน … สวรรค์

ขอทรงประทาน … อาหาร … ประจำวัน   ขออภัยบาป … ของข้า

                        เหมือนข้า … อภัยให้ผู้อื่น

                        โปรดอย่านำข้า … เข้าในการทดลอง         แต่โปรดช่วยข้า จาก สิ่ง ชั่ว ร้าย

                        เพราะพระ … องค์  ทรงครอบครอง          และทรงฤทธิ์เดช … และพระสิ … ริ

                        เป็นของ   พระองค์ … นิ … รันดร์

                        เพราะพระ … องค์  ทรงครอบครอง          และทรงฤทธิ์เดช … และพระสิ … ริ

                        เป็นของ   พระองค์ … นิ … รันดร์ … อาเมน

เพลงนี้จบลงตรงที่เมื่อตะกี้นี้ บอกว่าอย่างไร? สุดท้าย ก็คือพระองค์คือพระเจ้าทรงครอบครอง ทรงฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์นิรันดร์ และขอบคุณพระเจ้า ที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ทำให้เรามีส่วนเข้าร่วมในการครอบครองร่วมกับพระองค์ มีส่วนเข้าร่วมในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ มีส่วนเข้าร่วมในพระสิริของพระองค์ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน เอเมน

เพราะฉะนั้น การท่องบทเพลงนี้ หรือร้องบทเพลงนี้  มันซะใจตรงที่ไม่ใช่เพียงถวายเกียรติพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ใช่รู้ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่อย่างเดียว แต่ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ เมตตาของพระองค์ที่ทรงช่วยเราผู้เป็นคนบาป ที่ต่ำต้อยเหลือเกินในโลกใบนี้ ให้มีส่วนเข้าร่วมในความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ร้องมาทั้งหมดนั้น เอเมน ยิ่งร้อง ยิ่งตื่นเต้นไป ซึมซับถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วย ในขณะเดียวกับซึมซับถึงความเมตตาของพระเจ้า ในการยกเราคนต่ำต้อยขึ้นมา ขึ้นมาถึงขนาดนี้เลยเหรอ และภูมิใจที่เราได้เป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าคริสเตียน คือลูกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ท่านเป็นลูกของพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า เป็นน้องของพระเยซู ท่านลองคิดดู ท่านเป็นน้องของพระเยซู ท่านลองคิดดู

ถามว่าเรามีส่วนเข้าร่วมตั้งแต่เมื่อไร? คำตอบ ก็คือการได้รับสิทธิ์นั้นตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ทันทีทันใดที่เราเปิดใจต้อนรับ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งฉันด้วย ให้สะอาดหมดจด พ้นจากความบาป เป็นผู้ชอบธรรม กลับคืนไปสู่พระเจ้า  บริสุทธิ์สามารถกลับไปหาพระเจ้าได้ ตั้งแต่วันนั้นแหละ ที่เราเชื่อตรงนี้ เราก็ได้เป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนเข้าร่วมในพระสิริ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทั้งมวลที่ตะกี้นี้พูดมา เพียงแต่ว่า ณ วันนี้  ในระหว่างที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังไม่สามารถจับต้องมองเห็นด้วยร่างกายนี้ได้เท่านั้นเอง ต้องรอวันที่เราได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า คือวันที่เราทิ้งร่างกายนี้แล้ว แล้ววิญญาณเราไปอยู่ในสวรรค์ และได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ที่ทรงเตรียมไว้ให้กับเรา ร่างกายที่ไม่มีบาปนั่นเอง

แต่ถึงแม้วันนี้  ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพระเจ้า แบบหน้าต่อหน้า แต่พระองค์ก็ได้ให้สิ่งหนึ่งเป็นมัดจำกับเราไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว คือหลังจากที่เราได้รับเชื่อในพระเยซูใช่ไหมครับ? พระองค์ก็ได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ มาเป็นมัดจำ ให้เรามีความมั่นใจในเรื่องพระเจ้า มีความมั่นใจในสิทธิต่างๆ ที่เราได้รับ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ในฐานะที่เข้าไปมีส่วนในความยิ่งใหญ่เหล่านั้น

พระคัมภีร์บันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ 1:22 ให้ท่านอ่านเองเลย ชัดๆ

2 โครินธ์ 1:22 “ทรงประทับตราแสดงความเป็นเจ้าของบนเรา และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจเรา เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

 

ลองใส่ชื่อท่านดู “ทรงประทับตรา แสดงความเป็นเจ้าของบนนคร … (ใส่ชื่อท่าน) และประทานพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในใจนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นมัดจำค้ำประกัน ในสิ่งที่จะมาถึง”

ผู้ใดที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้มาเป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นแพะรับบาปให้กับตัวเอง เวลาเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเราต้อนรับพระองค์ เรามาต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือมาต้อนรับว่าพระองค์ทรงเป็นแพะ มารับบาปแทนเราไป ตรงนี้ต้องเริ่มต้นก่อน ใครที่เชื่ออย่างนี้ ผู้นั้นพระเจ้าก็จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาสถิตอยู่ด้วย เพื่อยืนยันและเป็นมัดจำว่าพระสัญญาทั้งหมดที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เป็นความจริงทั้งสิ้น และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับผู้ใด ผู้นั้นก็จะได้รู้จักพระเจ้าในฐานะพระบิดา หรือเรียกว่าพ่อ สามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ อย่างเต็มปาก เต็มคำได้ อย่างสง่าผ่าเผยได้ อย่างจิตใจรู้ว่ามันใช่ พระคัมภีร์บันทึกไว้

กาลาเทีย 4:4-7 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา ร้องเรียกว่า อับบา พ่อ 7 ฉะนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตรพระเจ้า จึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย”

 

“เพื่อไถ่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ ในเมื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ร้องเรียกอับบา พ่อ”

เรียกใคร? เรียกพระเจ้าว่าพ่อ … ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าทรงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบุตรเข้ามาใจของเรา ประโยคเล็กๆ สั้นๆ แต่ว่าเฉียบขาด มิน่า ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซูคริสต์ เราไม่เคยกล้าที่จะบอกว่าพระเจ้าเป็นพ่อ ถ้าเราเรียกอย่างนั้น  คนก็นึกว่าเราบ๊อง ส่งเราไปโรงพยาบาลบ๊อง ขนาดตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  วันแรกเลย กลับไปบ้าน เราก็รู้ในใจเลยนะว่าเราเป็นลูกพระเจ้า  แต่เรายังเขินปากอยู่ว่า.-

“พ่อจ๋า” หรือไม่ก็ “พระบิดา”

ใช่ไหม? แต่ไปเรื่อยๆ พอเริ่มอธิษฐานไปเรื่อยๆ เราเริ่มสนิทใจไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เราเรียกว่าอะไร? ลองตะโกนมา ตามสไตล์ของท่าน

บางคนเรียกว่า “พระบิดาเจ้าข้า, พ่อจ๋า”

มีใครเรียกปาป๊าบ้าง คนจีนเขาเรียกปาป๊า

อับบา เป็นภาษากรีก ใช่ไหม?

ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอะไร? ฟาเตอร์

เห็นไหม? ก็คือพ่อนั่นแหละ ถามว่าใครเป็นคนสอนให้ท่านเรียก ศิษยาภิบาลสอนเหรอ ตอนที่ศิษยาภิบาลสอน ตอนที่ผมไปนั่งอยู่ที่โบสถ์ แล้วผมยังไม่รับเชื่อนะ ผมขำด้วยซ้ำไป ผมไม่ได้กลับไปเรียกตามเหรอ เพราะผมยังไม่ได้เชื่อ ผมมานั่งฟัง เขาเชิญมางานคริสตมาสที่โบสถ์ ผมก็ฟังเขาเทศน์ไป  เวลาเขาอธิษฐาน

“โอ ฟาเตอร์ … โอ พระเจ้า … พ่อจ๋า”

พวกนี้เป็นอะไรไหม? เพราะผมไม่เชื่อ ผมมาโบสถ์ ก็ยังไม่รู้เรื่อง ถูกไหมครับ? แต่เมื่อผมรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ที่โบสถ์ ที่บ้านด้วยซ้ำไป จิตใจเปลี่ยนไปจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าอยู่คนเดียว หรืออยู่ต่อหน้าคนเป็นฝูง ผมก็สามารถ

“พ่อจ๋า พ่อผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ข้าพระองค์รักพระองค์เหลือเกิน”

กระหนุกกระหนิงกันเหลือเกิน ท่านลองคิดดู ถ้าเผื่อคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ได้ยินผมหรือท่านกำลังอธิษฐานอยู่ เขาก็จะคิดเหมือนผมในอดีตนั่นแหละว่าแปลกดีนะ แต่ไม่แปลกสำหรับเรา เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้แล้วว่าพระวิญญาณเป็นผู้สอนเรา ในนี้บอกว่าพระวิญญาณของพระบุตร พระบุตร ก็คือพระเยซู ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ หรือ Holy Spirit หรือถูกเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาอยู่ด้วยกันกับเรา  มาสถิตอยู่กับเรา ปกคุ้มเรา เมื่อเราเริ่มต้นเชื่อในพระเยซูว่าเป็นแพะรับบาปให้กับเรา เป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงถูกประทานลงมาอยู่ในเรา ปกคลุมเรา ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบัพติศมา แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ? แปลว่าจุ่มเราลงไป ปกคลุมเราลงไป ชุบเราลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เราบังเกิดใหม่ เกิดใหม่ในวิญญาณ เขาเรียกเกิดใหม่ สะอาดใหม่เอี่ยมเลย เกิดเป็นลูกของพระเจ้า ในวิญญาณของเรา แล้วจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ได้เกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าอย่างเดียว แต่วิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังสถิตอยู่กับเรา นอกจากจะชุบเรา จุ่มเราให้เราเป็นขึ้นมาใหม่ ให้เราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ก็ยังอยู่กับเราในวิญญาณนั้น ดำเนินชีวิตกับเราจนทุกวันนี้ และจนกระทั่งวันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์เลย เป็นพี่เลี้ยงของเรา พระคัมภีร์บอกเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา พอหรือยังแค่นี้ เกินพอแล้วนะ เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ต่อ วันนี้ไม่ได้บรรยายเรื่องนี้มากนักนะครับ เรื่องของพระวิญญาณที่มาสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว ทำให้เรามีประสบการณ์อะไรบ้าง? ค่อยมาว่ากันทีหลัง

วันนี้ผมอยากถือโอกาส ในการตอบคำถาม ที่มีคนถามคำถามนี้มาหลายคน มีคนสงสัยเยอะ มีความเข้าใจผิด จนเกิดความสับสนในความเชื่อ และส่วนใหญ่จะมีคำถามนี้เกิดขึ้นในใจ หลังจากที่ได้อ่านพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิม อ่านไปอ่านมา จากเชื่อง่ายๆ ชักเป็นงง ชักจะสงสัย กลายเป็นกลัวพระเจ้าอะไรต่างๆ ไม่เข้าใจ กลายเป็นทุกข์ใจ มีความบีบเค้นอยู่ในใจ

“ทำไมพระเจ้าเราเป็นอย่างนี้?”

คำถาม ก็คือเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในยุคพระคัมภีร์เดิม ทำไมพระเจ้าจึงเป็นพระเจ้าที่โหดร้าย  ไม่ยุติธรรม

เช่นตัวอย่างอะไรบ้างครับ? ยกตัวอย่าง ทุกท่านจะต้องต้องอ๋อทันที ในพระคัมภีร์เดิม บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงทำให้น้ำท่วมโลก ทำลายชีวิตผู้คนบนโลกใบนี้เกลี้ยงเลย เหลือแต่ครอบครัวโนอาห์เท่านั้น ลองอ่านดูนะครับ ปฐมกาล 6:17

ปฐมกาล 6:17 “เรากำลังจะให้น้ำท่วมโลก เพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ภายใต้ฟ้าสวรรค์ คือทุกสิ่งที่มีลมหายใจแห่งชีวิต ทุกสิ่งบนแผ่นดินโลก จะพินาศสิ้น”

 

“พระเจ้าของเธอ หรือพระเจ้าของฉัน ที่ฉันเชื่อ ทำไมโหดร้ายอย่างนี้นะ”

เคยสงสัยไหม?  ตอบจริงๆ เคยใช่ไหม? ตอนนี้ยังสงสัยอยู่ใช่ไหม? เดี๋ยวฟังต่อไป

พระองค์ทำลายล้างเมืองโสโดมและโกโมราห์ ฟังนะครับ ฟังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ถ้าท่านอ่านมาเจอตอนนี้ ใจท่านจะสั่นขนาดไหน? ปฐมกาล 19:24-25

ปฐมกาล 19:24-25 “24 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไฟกำมะถันตกลงมาใส่เมืองโสโดมและโกโมราห์ ไฟนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ตกลงมาจากฟ้าสวรรค์ 25 ดังนั้น พระองค์ทรงทำลายเมืองเหล่านั้น และที่ราบลุ่มทั้งหมด รวมทั้งทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น และพืชพันธุ์ทั้งสิ้นด้วย”

 

“ทำลายทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น” ทำไมพระเจ้าเราโหดร้ายขนาดนั้นหรือ!

ทำลายล้างทั้งหมู่บ้าน เพื่อจะยกดินแดนให้กับพวกชาวยิวเท่านั้นเอง อ่านดูในเฉลยธรรมบัญญัติ 20:17

เฉลยธรรมบัญญัติ 20:17 “จงทำลายล้างชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซีชาวฮีไวต์ และชาวเยบุสให้หมดสิ้น ตามที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านทรงบัญชาไว้”

 

สั่งทำฆ่าชาวอามาเลข ที่เคยทำร้ายชาวยิวอย่างรุนแรงเลยนะ หมายถึงสั่งฆ่าอย่างรุนแรง ดูสิอ่านดูแล้วเรามีความรู้สึกอย่างไร 1 ซามูเอล 15:2-3

1 ซามูเอล 15:2-3 “2 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘เราจะลงโทษชาวอามาเลข ที่ดักเล่นงานอิสราเอล ตอนที่ออกมาจากอียิปต์ 3 บัดนี้ จงออกไปโจมตีชาวอามาเลข และทำลายล้างทุกสิ่งที่เขามีให้หมดสิ้น ไม่ว่าผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ทารก วัว แกะ อูฐ และลา อย่าไว้ชีวิตเลย”

 

โอโห้! เข้าใจยากเนอะ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนเท่านั้นเองนะครับ จากพระคัมภีร์เดิม ยังมีอีกเยอะมากเลย ที่บันทึกในพระคัมภีร์เดิมว่าพระเจ้าทำลายล้างผู้คนมากมายมหาศาล ที่เป็นศัตรูกับชาวยิว หรือไม่ได้เป็นศัตรูกับชาวยิวก็มี

อย่างเช่นตอนที่โมเสสนำพาชาวยิวออกจากประเทศอียิปต์ กองทัพฟาโรห์ก็ถูกทำลายล้างเกือบหมดสิ้น หมดสิ้นเลย ยับเยินเลย  ทำไมพระเจ้าถึงโหดร้ายเช่นนี้ ทำไมพระเจ้าจึงไม่ยุติธรรม ทำไมพระเจ้าจึงช่วยแต่ชนชาติอิสราเอล พวกยิวเท่านั้น ทำไมพระเจ้าต้องทำลายล้างกองทัพอียิปต์ ทำไมต้องสั่งฆ่าผู้หญิง ฆ่าเด็ก ฆ่าชาวบ้านที่บริสุทธิ์ ทำไม? ทำไม? ทำไม?

คำถามในทำนองนี้มีอยู่เรื่อยๆ เกิดขึ้นในใจของหลายๆ คน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน เพียงแต่จะเก็บไว้ไหม?  ถูกไหม? ใครอ่านพระคัมภีร์เดิมตรงนี้ สะดุ้งทุกที นอกจากสะดุ้งแล้ว ยังแกล้งเป็นลืมๆ ไปซะ อะไรแบบนี้ แต่ถ้ายิ่งคิดอยู่ในใจ อ่านอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นคนอ่านพระคัมภีร์จะสะดุ้งเยอะเลยนะครับ จะค้างอยู่ในใจ เพราะมันเป็นคำถามว่าพระเจ้าโหดร้ายเหรอ ยิ่งคนที่ไม่รู้จักพระเจ้ามาอ่านตรงนี้ โอโห้! พระเจ้าเราโหดร้ายจริงๆ

วันนี้เราจะมาค้นหาคำตอบที่แท้จริงจากพระคัมภีร์ทั้งหมด พระคัมภีร์ทั้งหมดนะ ไม่ใช่พระคัมภีร์เดิมอย่างเดียว ก่อนอื่น เราต้องเรียนรู้หลักการพื้นฐานก่อน ต้องเรียนหลักการพื้นฐานก่อน ก่อนจะอ่านพระคัมภีร์เหล่านั้น

เราต้องเรียนรู้หลักพื้นฐานก่อนว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าของเรา พระเจ้าผู้นี้ ที่มีนามที่มนุษย์ตั้งขึ้นว่าพระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระผู้ทรงฤทธิ์ เป็นพระเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ไม่มีลำเอียง เป็นผู้พิพากษา ที่เขาเรียกว่าเที่ยงตรง ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น นี่คือพื้นฐาน และความรัก ความเมตตา ความยุติธรรมของพระเจ้า ได้สำแดงให้เราเห็น เห็นที่ไหนครับ? สำแดงออกมาทางช่วยเหลือชาวยิว เมตตาแต่ชาวอิสราเอล ถูกไม่ถูก? ไม่ใช่ พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอย่างนั้น ไม่ใช่แน่นอน เพราะท่านจะเห็นแล้วว่าในขณะที่พระองค์ทรงช่วยอิสราเอล  ผู้คนจำนวนมากมายที่ตะกี้เราอ่าน ถูกฆ่าตาย ถูกทำลายล้าง พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ มีไหมครับ?  พระคัมภีร์ไม่ได้บอกพระเจ้าทรงสำแดงความรัก ความเมตตา คือช่วยเหลืออิสราเอลให้รอด ไม่ใช่

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ที่พระเยซูคริสต์ นี่บันทึกไว้เลย โดยที่พระองค์ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน รับความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน

โรม 5:8-11 “8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้ เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว”

 

เอเมน … ในนี้บอกว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เอง แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรา คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ยังเป็นคนบาปอยู่นั่น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา”

ถามว่าเพื่ออะไร? “เพื่อว่าในบัดนี้ เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์”

ก็หมายถึงเพื่อว่าตายที่ไม้กางเขน แล้วโลหิตของพระองค์จะได้ชำระมนุษย์ทั้งปวงให้พ้นจากความบาป พ้นจากโทษของความผิดบาป ได้กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม ก็คือไม่ได้เป็นผู้ทำผิด ไม่ใช่เป็นนักโทษ แต่เป็นอิสระ เป็นผู้ชอบธรรม

ในนี้บอกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์ คือโดยพระเยซูอย่างแน่นอน”

เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธ … ท่านเคยคิดไหมว่าในพระคัมภีร์เดิม หรือในพระคัมภีร์เรียกว่าพระพิโรธ ทำไมรู้ไหมครับ? ยิ่งไปกว่านั้น การที่เรามาเชื่อพระเยซู พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราให้พ้นจากความบาปแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราจะรอดพ้นจากพระพิโรธ

พระพิโรธตรงนี้ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือกฎเกณฑ์ที่ได้ถูกตั้งวางเอาไว้ และมันจะต้องเป็นไปตามนั้น ถ้ายกตัวอย่าง พระพิโรธก็เหมือนกับมันมีกฎอยู่แล้ว ท่านรู้จักไฟฟ้าใช่ไหม? พระพิโรธ สมมติตรงนี้บอกว่า.-

“เพื่อท่านจะรอดพ้นจากการถูกไฟดูด”

ท่านจะเข้าใจไหม? ท่านเอามือท่านไปแตะไฟ โดยไม่ใช่ฉนวน เข้าใจไหม? มือของท่านแตะปุ๊บ  โดยธรรมชาติ ฤทธิ์เดชของไฟฟ้า มันจะผ่านทางมือท่านได้ เพราะถ้าไม่มีฉนวนมันจะไหลลงดิน แล้วท่านก็จะตาย ถ้าทนไม่ไหว แต่ถ้าท่านมีฉนวนอยู่ ท่านใส่ถุงมือ มียาง ท่านไปแตะ มันไม่เป็นอะไร?

ในทำนอง ลักษณะเดียวกัน คล้ายๆ กันอย่างนั้น ถ้ามนุษย์ยังเป็นคนบาปอยู่ มนุษย์เจอพระพิโรธของพระเจ้า หมายถึงพระเจ้าสั่งไว้แล้วว่าถ้าเป็นคนบาป เป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่อยู่ตรงข้ามพระเจ้า ถูกลงโทษ มนุษย์ทำบาป มีเชื้อบาป เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า โทษของผู้ที่เป็นกบฏต่อพระเจ้า ถูกสาปแช่งนั้น โทษหนึ่งในนั้น ก็คือไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถสัมผัสกับพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช เป็นความบริสุทธิ์ ความสกปรกเหล่านั้น ของคนบาป ไม่สามารถแตะพระเจ้าได้ แตะเมื่อไร ตาย เหมือนเราไปแตะไฟฟ้าแรงสูง คล้ายๆ อย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ท่านจะพอเข้าใจใช่ไหม?

หรือท่านอาจจะเข้าใจในลักษณะว่าพ่อ พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลทุกอย่างในจักรวาลนี้ เป็นไปตามคำสั่งทั้งสิ้น เป๊ะเลย  แล้วลูกตัวเองทำผิด โทษ ถูกสั่งให้ติดคุกตลอดชีวิต เมื่อผู้พิพากษาขึ้นไปบนศาลบันทึก แล้วก็สั่งให้ทำตามคำสั่งของกฎหมาย เอาเขาไปติดคุกตลอดชีวิต ถามว่าคนที่เอาเขา หรือคนนี้ไปติดคุกตลอดชีวิตใช่ผู้พิพากษาใช่หรือไม่? ไม่ใช่ ถามว่าใครเป็นผู้ที่จับเขาเข้าคุก กฎหมาย  ไม่ใช่ผู้พิพากษาที่มีชื่อนายจ่อย นายจ่อยไม่ได้ทำให้ติดคุกเลย  นายจ่อยบอกเป็นไปตามกฎหมายนะ ต้องไปติดคุก ถ้านายจ่อยรักษาความยุติธรรม ถูกไหมครับ? มันเป็นอย่างนั้น มันหมายถึงตรงนี้  คนไหนที่มาเชื่อพระเยซูได้รับการชำระ โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เขาเป็นผู้ชอบธรรม คือหลุดพ้นแล้ว ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ไม่เป็นผู้ต้องหา แล้วทำไม ก็รอดพ้นจากพระพิโรธ

พระพิโรธ ก็คือกฎหมายของพระเจ้านั่นเอง กฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้นั่นเอง แล้วทำไง พอหลุดพ้นจากกฎระเบียบ ในนี้บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระบุตรของพระองค์ เราได้คืนดีกับพระเจ้าได้ เห็นไหมครับ อย่างที่ผมบอก เราบาป เราไปหาพระเจ้าไม่ได้ใช่ไหม? พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเรา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ใช่ไหม?  พอบริสุทธิ์ก็ไปหาพระเจ้าได้ แค่นี้เอง สมัยก่อนยังไม่มีพระเยซู ก็เหมือนพระพิโรธ พระเจ้าไม่ได้พิโรธใส่เรา แต่มันโดยธรรมชาติของเรา ที่เป็นคนบาป เข้าไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ทำให้พ่อกับลูกต้องถูกแยกกันออกไป ด้วยการที่ลูกกระทำผิด ลูกมีเชื้อของความบาป ลูกผิด ลูกก็ต้องรับโทษ อยู่ในคุกตลอด พ่ออยู่ข้างนอก ก็ไม่เจอกัน แต่บัดนี้ ลูกได้รับอิสรภาพออกมาจากคุกแล้ว อะไรประมาณนี้

นี่คือที่พระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาป คนชั่ว คนเลว ไม่มีอะไรสมควรเลยที่จะได้รับความรักจากพระเจ้า ไม่สมควรเลย ที่เราจะได้รับความเมตตาจากใครเลย เพราะเราสมควรจะได้รับโทษอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเชื้อบาป ผิดหมด ถูกไหม? คือตามตัวบทกฎหมายแล้ว พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ควบคุมอยู่ ดูแลกฎระเบียบเหล่านั้นทั้งหมดเลย แม้กระทั่งดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ต้องฟังคำตัดสินของพระองค์ว่าให้ขึ้นทิศไหน? มันก็ต้องขึ้นตรงนั้นแหละ มันไม่กล้าเลย  ทุกอย่างต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า ท่านลองคิดดู ถ้าพระเจ้าเห็นแก่คน หยวนๆ  แล้วจะควบคุม ดูแลคนทั้งหมด มหาจักรวาลนี้ได้อย่างไร?  ควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงมีพระนามว่าพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงตรง เที่ยงธรรม แม่นยำ ไม่เห็นแก่หน้าใคร มันหมายถึงอย่างนี้ นี่แหละ คือความจริง

แต่พระเจ้าไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะว่า “เราเป็นศัตรูกับลูกเรา”

ไม่เคยคิด … คิดในใจเสมออย่างเดียวว่า “ทำอย่างไรถึงจะให้ลูกของเราให้หลุดออกมา ให้กลับมาหาเราได้”

นี่คือการวางแผนของพระเจ้า ทรงสำแดงความรักให้กับมนุษย์ทุกคน โดยอะไร? โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ยอมให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ต่ำต้อย และมารับความทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระคนสกปรก คนบาปอย่างเราให้กลับคืนสู่สภาพดี ให้กลับคืนมาหาพระองค์ กลับมาคืนดีกับพระองค์ กลับมาเป็นลูกพระองค์เหมือนเดิม นี่เรารู้จักพื้นฐานทั้งหมดว่าพระเจ้าทำเพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้สิ่งที่ดีงาม และกลับคืนสู่พระองค์ด้วยความดีงาม เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์คือแผนการของพระเจ้าที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่จะทรงสำแดงความรักของพระองค์ผ่านทางพระเยซูนี่แหละ เพื่อนำพามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง หรือคำแช่งสาป หลุดพ้นจากความบาปและกลับคืนสู่พระเจ้านั่นเอง

คำสาปแช่ง ก็คืออะไร? ก็คือการลงโทษ บทลงโทษ สำหรับนักโทษประหาร คำว่านำไปประหาร นั่นคือคำสาปแช่งของเขาแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ ศาลตัดสินมา นั่นแหละคือคำสาปแช่งของคนที่ได้รับโทษอะไรก็ตาม ถ้าถูกสั่งจำคุกตลอดชีวิต ก็คือคำสาปแช่งของเขา ก็คือเขาต้องถูกกักกันอยู่ในคุกตลอดชีวิตนั่นเอง

นี่คือแผนการการไถ่มนุษย์ของพระเจ้า ไถ่มนุษยชาติให้รอดพ้นจากคำสาปแช่ง ซึ่งก็คือโทษของการกบฏต่อพระเจ้า โทษของความบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็ต้องได้รับโทษอย่างนี้ คือไม่เชื่อฟังนั่นเอง นี่คือหัวใจที่เราต้องเรียนรู้ และสำคัญมาก เกี่ยวกับคุณลักษณะของพระเจ้า ย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระเจ้าคือความรัก พระเจ้าคือความเมตตา สำแดงผ่านทางเราทั้งหลาย โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ให้เราเห็นอย่างชัดเจน นี่คือพื้นฐานก่อน เราต้องเรียนรู้พื้นฐานว่าถ้าพระเจ้าผู้นี้ทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เราสงสัยว่าทำไมโหดร้าย ทำไม ทำไม เพื่ออะไร? ถูกไหมครับ?

พระเยซูตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว แล้วก็บอกไว้ในหนังสือหลายเล่ม บอกว่าพระองค์มาบนโลกใบนี้ เป็นแผนการของพระเจ้าที่ได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม พูดง่ายๆ พระเยซูกำลังบอกว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ที่เขาเขียนมาทั้งหมด เกี่ยวกับตัวพระองค์ทั้งนั้น และมันจะต้องเป็นไปตามนั้น  ก็คือแผนการการไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้ถูกเขียนมาตั้งแต่เริ่มต้นในพระคัมภีร์เดิม มันจะต้องเป็นไปตามนั้น หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือหนังสือลูกา บทที่ 24 ท่านลองอ่านดูว่าพระเยซูบอกเราว่าอย่างไร? ลูกา 24:44-47

ลูกา 24:44-47 “44 พระองค์ตรัสกับเขาว่านี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่าบรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส และในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ 45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสกับเขาว่ามีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่าพระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์ทรมาน และทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47 และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติ ในพระนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่ รับการยกบาป ตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม”

 

บรรดาคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ก็คือพระคัมภีร์เดิม ในหมวดผู้เผยพระวจนะ ในหมวดสดุดี ที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ

“ที่กล่าวถึงเรา” คือกล่าวถึงพระเยซู กล่าวถึงเรื่องอะไร? ตอนท้ายๆ บอกว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นจากความตาย จะต้องถูกประกาศไปทั่วทุกประชาชาติ ในนามของพระองค์ ให้เขากลับใจใหม่ ได้รับการยกบาป ตั้งต้นที่เยรูซาเล็ม จนมาถึงประเทศไทย อนาคตต่อไปอีกเยอะแยะมากมาย เห็นไหมว่ามันเป็นจริงตามนั้นหมดเลย  ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอะไร? พระคัมภีร์เป็นเรื่องของอะไร?  เรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น  คำเผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์เดิม ได้บอกล่วงหน้าว่าพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

แล้วเรื่องนี้ก็เขียนทุกเรื่องเลย  ไม่ใช่เรื่องเดียว ไม่กี่เล่ม แต่มันเรื่องโยงกันไปหมดเลย ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงมาลาคี ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คำเผยพระวจนะทั้งหมดนี้ ที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งสิ้นเลย ทั้งสิ้นหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่หน้าแรก ที่เรารู้จักกันดี ก็คือปฐมกาล จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายในพระคัมภีร์เดิม ก็คือหนังสือมาลาคี ก็เป็นเรื่องที่เล็งถึงแผนการของพระเจ้าที่จะนำไปสู่ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง นำมนุษย์ทั้งปวงมาสู่พระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า คือเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้น ตั้งแต่ปฐมกาลถึงมาลาคีทั้งสิ้น นึกในใจเลย อ่านไปรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เข้าใจหรือไม่เข้าใจ นึกถึงพื้นฐาน  มันก็คือข่าวดีเรื่องพระเยซูทั้งสิ้น เป็นคำเผยพระวจนะ  เผยพระวจนะ คืออะไร? บอกก่อนล่วงหน้า ก่อนเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นนั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจในพื้นฐานตรงนี้ก่อน เราต้องรับรู้ก่อนว่าทั้งหมดนี้ คือแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยเราไปสู่สิ่งที่ดีงาม ไปสู่สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ เราต้องรู้พื้นฐานตรงนี้ เราจะได้มีพื้นฐานที่ถูกต้อง ในการที่จะติดตามเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป เราจะได้ไม่สงสัย ไม่ ทำไม ทำไม ทำไม เราจะได้ไม่ทำไม? มันต้องมีพื้นฐานที่ถูกต้องก่อน

ยกตัวอย่างเช่น เรามนุษย์ ยิ่งเฉพาะเดือนที่แล้ว เดือนพฤษภาคม เราจะเห็นความโหดร้ายเยอะแยะเลย ทุกวันนี้ เราเห็น ทุกๆ เดือนพฤษภาคม เราเห็นความโหดร้ายของพ่อแม่เยอะเลย ผมไปแอบดูอยู่ด้วย จะเห็นความโหดร้ายของพ่อแม่ มาส่งแล้วก็แอบๆ ขับรถออกไป ลูกก็ร้อง ถูกทิ้ง แม่ไม่สนใจ พ่อไม่สนใจ ขับรถออกไปแล้ว ผมเห็นแล้ว ทำไมพ่อแม่โหดร้ายอย่างนี้นะ ไม่ต้องพูดต่อ ทุกคนเข้าใจหมายถึงอะไร? ถ้าเด็กคนนั้นสามารถเข้าใจทั้งหมด เขาก็ไม่เป็นเด็ก ถ้าเขาเข้าใจหมด เขาก็รักพ่อแม่ แต่ตอนนั้น เขาเข้าใจไหม? ถามจริง ถามจริงๆ ตอนที่เขาร้องไห้ เขาเข้าใจไหม? ถามว่าเขาเข้าใจไหมว่าพ่อแม่กำลังหวังดี ไม่หรอก ผมรับรองได้ว่าเขาไม่เข้าใจหรอก บริสุทธิ์ใจในการโมโหแม่มาก โมโหพ่อ ทิ้งเขาได้อย่างไร? ถูกไหม? เหมือนกัน

แล้วท่านคิดดู นั่นคือแผนการของมนุษย์ที่เป็นพ่อแม่นะ แผนการที่จะเริ่มให้ลูกตัวเองไปเรียนหนังสือ เพื่ออนาคตเขาจะได้ดี นั่นมนุษย์คิดนะ แล้วพระเจ้ามากกว่านั้นสักเท่าไรที่จะช่วยลูกตัวเองที่ติดอยู่ในการเป็นทาสของความบาป ได้รับคำสาปแช่งมาตลอด ช่วยเขาให้หลุดพ้นออกมา กลับมาสู่การเป็นลูกของพระเจ้าที่ดีงาม เข้ามาสู่พระสิริของพระองค์ เข้ามาสู่ความบริสุทธิ์ของพระองค์ เข้ามาสู่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ มากกว่านั้นสักเท่าไรที่พระองค์ต้องวางแผนสลับซับซ้อนเยอะแยะมากมายไปหมดเลย ในการช่วยมนุษย์หลุดพ้น เอเมน ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

อย่างนี้ เขาถึงบอกให้เราเชื่อพระเจ้า วางใจในพระองค์แบบเด็กๆ ก็คือแบบที่ผมให้พูดคำว่า Beyond แปลว่าเกินความเข้าใจ Beyond understanding เลยไปแล้ว

“ไม่รู้ละมันเกินความเข้าใจฉัน ฉันสรุปไปเลย ฉันรักพระเจ้า พระเจ้ามีเมตตา เป็นพ่อที่รักฉัน เพราะประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตาย เพื่อฉัน”

เอเมน ไม่สงสัยแล้ว ไม่ว่าจะอ่านตรงไหนในพระคัมภีร์เดิม ก็จะเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูทั้งสิ้น บอกท่านอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าท่านจะอ่านส่วนไหน? เรื่องไหน? เล่มใดในพระคัมภีร์เดิม เป็นเรื่องของพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะแปลออกหรือแปลไม่ออกก็ตาม รู้ละเอียดหรือไม่ละเอียดก็ตาม ที่เราเรียกกันว่าเป็นเงา เข้าใจไหมครับ? เราเรียกกันว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระคัมภีร์เดิมเรียกว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เปรียบเหมือนคำเผยพระวจนะ คือคำบอกล่วงหน้าในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ที่ถ่ายทอดผ่านทางเรื่องราวต่างๆ บ้าง ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ บ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเงาของเรื่องพระเยซูที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของโมเสสที่นำชาวอิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาส ในประเทศอียิปต์ ก็เป็นเงาของการช่วยกู้ของพระเยซูคริสต์ ให้มนุษย์ทุกคนหลุดออกจากการเป็นทาสของความบาป ให้มาสู่อิสรภาพในพระเจ้า เห็นไหมครับ? คล้ายอย่างนี้ ทั้งหมดแหละ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ มันจะเป็นเรื่องนี้ทั้งนั้น

กษัตริย์ดาวิดก็เหมือนกัน กษัตริย์ดาวิดก็เป็นเงาถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซูที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หรือแม้กระทั่งคำสาปแช่งในปฐมกาล 3:15 ที่บอกว่า “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะเหยียบหัวเจ้าแหลก” ใช่ไหม?

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก” ก็เล็งถึงการเกิดของพระเยซูคริสต์ ที่จะเอาชนะเหนือมารซาตานในอนาคต ก็คือเล็งถึงเรื่องศุกร์ประเสริฐ ก็คือวันที่พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน แล้วก็วันอีสเตอร์ คือวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3

เห็นไหม? ถ้าท่านอ่านไม่รู้เรื่อง ท่านก็จะอะไร? ไม่เข้าใจ พงศ์พันธุ์ของหญิงจะเหยียบหัวของเจ้าแหลก มันหมายถึงอะไร? ก็หมายถึงเรื่องของพระเยซูอีกแหละ

นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดูว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด พูดถึงเรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น พระเยซูก็บอกอย่างนั้น  นี่คือที่บอกว่าเราต้องรู้พื้นฐานตรงนี้ก่อนว่าพระเจ้า พ่อของเราเป็นพ่อแห่งความรัก เพราะฉะนั้นอ่านพระคัมภีร์ตรงไหนที่ไม่เข้าใจ พอเรามีพื้นฐานตรงนี้ พ่อของเราเป็นพ่อแห่งความรักใช่ไหม? อ่านพระคัมภีร์เดิมตรงไหน หรืออ่านพระคัมภีร์ใหม่ตรงไหนที่เราไม่เข้าใจ ดูเหมือนพระเจ้าโหดร้าย เช่น ทำไมต้องเกิดน้ำท่วม? ทำไมต้องล้างโลก? ทำไมต้องฆ่าเผ่าพันธุ์ให้หมดเกลี้ยง? ทำไมต้องจัดการกับกองทัพอียิปต์? ต้องฆ่าเด็กผู้หญิง สัตว์เลี้ยงอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องสงสัยในความรักของพระเจ้าอีกต่อไป Beyond understanding เลย เกินกว่าความเข้าใจ ไม่รู้ แต่รู้ว่าทั้งหมดนั้นทำเพื่อสิ่งดีงาม สิ่งดีที่สุด สำหรับมวลมนุษยชาติและสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งสิ้นบนโลกใบนี้ วางใจในพระองค์ว่าเป็นอย่างนั้น เห็นไหมมันหลุดเลยนะ

ความรู้สึกของเราเอง ในฐานะเป็นมนุษย์ ด้อยสติปัญญา สติปัญญามนุษย์มันด้อยมาก แน่นอนเราก็ต้องมองว่าเรื่องเหล่านั้น เป็นเรื่องโหดร้าย ถ้าเรามองตามตามนุษย์มันโหดร้าย ถูกไหมครับ  เพราะเราคิดแบบมนุษย์ไง แต่ถ้าคิดตามพื้นฐานนี้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ทั้งหมดนี้ที่อ่านมา เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะนำไปสู่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ดีสำหรับมนุษย์ทั้งปวง นำไปสู่วิธีการที่พระเจ้าจะสำแดงความรักยิ่งใหญ่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มาถึงมนุษย์ทุกคน เราก็จะเข้าใจว่าพระเจ้ามองไม่เหมือนเรามอง เรามองอีกแบบหนึ่ง พระเจ้ามองอีกแบบหนึ่ง พูดง่ายๆ คือเรามองไม่เหมือนพระเจ้านั่นเอง  เราไม่มีทางคิดได้เหมือนพระองค์หรอก เป็นไปไม่ได้เลย เรามองด้วยเหตุผลของตัวเอง คิดด้วยตัวเองว่ามันไม่ยุติธรรม เรามองแค่ชีวิตในร่างกายสั้นๆ ไม่กี่ปีนี้ แต่พระเจ้ามองไปถึงชีวิตนิรันดร์ ยาวเหยียดเลย  ถูกไหม?

นี่คืออะไร? นี่คือความแตกต่างของมุมมอง เพราะฉะนั้น เราต้องวางใจในพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า พระคัมภีร์บอกพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความเมตตา ช่วยเหลือเรา ต้องการให้สิ่งดีเกิดขึ้นกับเรา เราก็ต้องเชื่อตามนั้น ไม่ใช่เอาความคิดของเราว่าทำไมต้องอย่างนี้? ทำไมต้องอย่างนั้น? เพราะเราคิดแบบมนุษย์ ไต่ตรองแบบมนุษย์นั่นเอง

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งนะครับ หนึ่งในจำนวนแผนการของพระเจ้า ที่ต้องการไถ่ผ่านทางพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้น ทุกคนรู้ดี ก็คืออะไร? ก็คือสร้างชนชาติหนึ่งขึ้นมา เพื่อพระเยซูคริสต์จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ชนชาตินั้น ก็คือชนชาติอิสราเอล หรือชาวยิว ไม่ใช่ว่าชาวยิวพิเศษกว่าใคร ก็คือกลุ่มคน กลุ่มหนึ่ง จริงๆ ก็มาจากคน แล้วก็มาเรียกคนกลุ่มนี้มาสร้างเป็นพิเศษ เพื่อเราจะติดต่อเขาเป็นพิเศษ เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ติดต่อกันพิเศษ เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า แผนการของพระองค์ คือจะส่งพระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นะ เป็นผู้เดียวในโลกนี้เลย ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ คือเกิดในหญิงพรหมจารีย์ มันไม่ใช่ง่ายๆ นะ นี่คิดตามภาษามนุษย์ ก็ลำบากแล้วนะ จะต้องใช้ครรภ์ของแมรี่ ซึ่งเป็นหญิงพรหมจารีย์ แมรี่กลัว แล้วจะทำอย่างไร? แมรี่ไม่ยอม แล้วจะทำอย่างไร?  แมรี่กลัวตาย เพราะว่ากฎตอนนั้น ก็คือไม่ได้แต่งงาน แล้วตั้งครรภ์ ต้องถูกประหารชีวิต ถ้าเกิดแมรี่กลัว ก็ไม่ให้ แล้วพระเยซูจะมาเกิดอย่างไร? ต้องสร้างความเชื่อต่างๆ เหล่านั้นจากเผ่าพันธุ์นี้ ลากมายาวนาน จากบรรพบุรุษของเขา  ของชาวยิว  จนมาถึงครอบครัวของแมรี่ ของโยเซฟ จนกระทั่งเหมาะเจาะ แล้วพระเยซูจึงมาบังเกิด แบบอัศจรรย์ได้ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ เพราะถ้าไม่เกิดแบบอัศจรรย์อย่างนี้ ก็ไม่มีทางไถ่บาปให้กับมนุษย์ เพราะว่าเกิดแบบธรรมดา ก็เป็นเชื้อบาปเหมือนพวกเราทั้งหลาย แต่นี่เป็นทั้งมนุษย์และเป็นทั้งพระเจ้า ในบุคคลเดียวกัน เอเมน

แค่พูดแผนการ เราก็คิดเหนื่อยแล้ว นี่แค่เล็กๆ นิดเดียวนะว่าทำไมต้องมีอิสราเอล ทำไมต้องมีชนชาติอิสราเอล นิดเดียว ก็เพื่อให้พระเยซูคริสต์มาเกิด แค่นี้ คิดแค่นี้เราก็เหนื่อยแล้ว นี่พอรู้ แค่พอรู้ นิดเดียวเอง แล้วที่เหลืออีกตั้งเยอะไปหมดเลย ในพระคัมภีร์เดิมที่พูดถึงเรื่องพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ แผนการของพระเจ้า มันอีกแค่ไหนที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วเราสมองแค่นี้เอง เป็นมนุษย์นะ แม้เราจะเป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้วก็จริง แต่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ ที่มันอุดอู้อยู่ มันถูกบีบบังคับอยู่ มันไม่ได้มีสติปัญญามากมายขนาดนั้น มันถูกปิดบังด้วยเนื้อหนังต่างๆ และรวมทั้งเชื้อบาปที่ยังอยู่ในร่างกายเราอยู่ วันหนึ่งข้างหน้าสิ เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า วันนั้นแหละ เราจะร้อง อ๋อออออ มันอย่างนี้เอง เข้าใจแล้ว เอเมน

แล้วทั้งหมดนั้น คืออะไร? คือความต้องการของพระเจ้าที่ต้องการไถ่ให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาปทั้งปวง กลับมาสู่ความดีงาม กลับมาสู่พระองค์ กลับมาคืนดีกับพระองค์ มันต้องตั้งรากฐานตรงนี้ไว้ในจิตใจของเราก่อนเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้พื้นฐานตรงนี้แล้ว เวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์เดิม หรือแม้พระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม ไม่ว่าอ่านไปถึงตรงไหนก็ตาม อย่าใช้เหตุผล หรือความคิดของเราเอง เป็นตัวตัดสินเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น แต่จงใช้วิจารณญาณบนพื้นฐานแห่งความจริง ที่ว่าพระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ซึ่งได้สำแดงแล้ว ย้ำอีกที ซึ่งได้สำแดงแล้ว ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้ว ซึ่งได้สำแดงแล้ว ที่ไหน? ที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ที่ได้มาตายบนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายนี่ไง จบแล้ว สำแดงแล้ว ก่อนหน้านี้ยังพูดลำบากว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าแห่งความรัก แต่นี่สำแดงแล้วบนไม้กางเขน พระเยซูตายที่นั่น  เพื่อคนบาปอย่างเรา  จนเราได้รับความรอด พ้นจากโทษของความผิดบาปทั้งปวง

และถ้าเราได้อ่านไปถึงตรงไหน? ในข้อความตรงไหนในพระคัมภีร์เดิมก็ตาม หรือใหม่ก็ตาม แล้วเกิดไม่เข้าใจในช่วงนั้น ในตอนนั้น เหมือนตะกี้นี้ยกตัวอย่างมาต่างๆ เหล่านั้นว่าทำไม? เราไม่ต้องทำไมแล้ว ถ้าอ่านถึงตรงนั้น แล้วไม่เข้าใจ ทำอย่างไรรู้ไหมครับ? ข้ามไปเลย มองข้ามไปเลย ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพยายามหาเหตุผล สรุปได้เลยว่าทำไป ก็เพื่อพระเยซูคริสต์จะมาเกิด  เพื่อช่วยมนุษย์ทั้งปวง เพื่อสำแดงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงมีเมตตา

เช่น ทำไมต้องล้างเผ่าพันธุ์? ทำไมต้องให้น้ำท่วมโลก?  อ่านยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปเข้าใจมัน ข้ามมันไปเลย  รู้อย่างเดียวว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ทรงทำทุกอย่าง บนพื้นฐานของความรัก เพื่อทุกคนและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง จะได้กลับคืนสู่พระองค์ เป็นสิ่งที่ดีงาม  เรียกทั้งหมดกลับคืนสู่พระองค์ใหม่อีกทีหนึ่ง เอเมน เห็นไหม? ข้ามไปเลย  ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถามทำไม? คือไม่มีทางที่เราจะเรียนรู้ทั้งหมด ทุกอย่าง อ่านแล้วจะเข้าใจทั้งหมด ไม่เข้าใจไม่เป็นไร ข้ามไปเลย  อย่าพยายามเก็บค้างไว้ในความคิดของมนุษย์ว่า.-

“ฉันอยากจะหาคำตอบ”

เพราะตามสายตามนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าน่าโหดร้ายทั้งนั้น ฆ่าเด็ก อะไรต่างๆ  คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องฆ่าเด็ก ฆ่าอะไรต่างๆ มันไม่จำเป็น เข้าใจใช่ไหมครับ แต่พระเจ้ามีทาง แม้กระทั่งคนตาย พระองค์ยังทรงทำให้เป็นขึ้นมาใหม่ได้เลย เอเมนไหม? พระเยซู พระบุตรของพระองค์ พระองค์ยังทรงให้ตายเลย ถูกตรึงที่ไม้กางเขนตายเลย และพระองค์ก็ยังได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ได้เลย  ถ้าพระเจ้ายังสามารถทำให้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ได้ พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่างแหละ ถ้าคุณจะคิดแบบมนุษย์ คุณต้องคิดอย่างนี้บ้าง ไม่ใช่คิดว่า.-

“ทำไมโหดร้ายอย่างนี้”

พระองค์ช่วยเด็กคนนั้นได้เอง เข้าใจใช่ไหมครับ? พระองค์มีความสามารถ เราไม่รู้ว่าทำด้วยวิธีอะไร แต่พระองค์ทรงสามารถทำได้ก็แล้วกันนะครับ

เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ว่าพ่อแม่ คนที่เป็นมนุษย์ พ่อแม่บังคับลูกสารพัด ลูกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ต้องบังคับอย่างนี้ หลายอย่างนะ ทุกวันนี้เราเป็นมนุษย์ เรายังรู้ หลายๆ อย่าง หลายๆ ครอบครัว ลูกไม่เข้าใจ ทุกวันนี้ลูกหลายคนยังโกรธพ่อแม่อยู่ก็มีนะ พ่อแม่ทำอะไรหลายอย่าง ดูเหมือนเขาไม่เข้าใจ เหมือนกับทิ้งเขา ไม่รักเขา แต่จริงๆ แต่ขณะนั้นพ่อแม่บอก พ่อแม่ทำได้แค่นี้เอง คือเขาตั้งใจจะทำให้ลูกเขาดีที่สุดแล้ว นั่นคือมนุษย์ต่างคนต่างเป็นคนบาปนะ ยังเป็นอย่างนี้เลย บางทีพ่อแม่บางคน ไม่มีเวลาให้ลูกเลย ลูกก็บอกว่าทอดทิ้งเขาๆ แต่พ่อแม่ของคนนั้นอาจจะบอกว่า.-

“ลูกเขาไม่รู้เลยนะว่าที่เราทำอย่างนี้ เพราะต้องไปทำมาหากินนะ”

สมมติอย่างนี้ ทำทั้งหมด ก็เพื่อลูกทั้งนั้น ลูกไม่เข้าใจ ทำทั้งหมดเพื่อลูก สำหรับมนุษย์แล้ว มนุษย์เป็นคนบาป ทำผิด ทำอะไรต่างๆ ว่ากันไป เสียหายบ้าง อะไรต่างๆ แต่พระเจ้าไม่ใช่ พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดีงามทั้งสิ้น พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เมตตา ยุติธรรม สัตย์ซื่อ นี่คือชื่อของพระเจ้าของเรานะ เอเมน เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็คือความรัก พื้นฐานของความเมตตา ของความดีงาม ของความบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ในพระองค์ไม่มีสิ่งสกปรกเลย  ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย เอเมน

วันนี้ขอเป็นตัวแทน เอาเครดิตให้พระเจ้าหน่อย  เป็นตัวแทน เถียงแทนพระเจ้า น่าจะใช้ชื่อเรื่องวันนี้ว่า “เถียงแทนพระเจ้า” บางคน ยิ่งคนไม่รู้จักพระเจ้า บอกว่า.-

“พระเจ้าเธอโหดร้าย”

โหดร้ายไหมล่ะเนี้ย โหดร้ายไหม?

“ไม่ใช่เลย พระเจ้าฉันดีงามจะตาย”

ดีที่สุดในมหาจักรวาลนี้แล้ว มีใครที่ยอมสละลูกของตัวเอง มาตายที่ไม้กางเขน ให้กับคนบาปอย่างเรา มีใครบ้าง? แล้วเรียกเรากลับไปอยู่กับพระองค์ใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ได้รับพระสิริร่วมกับพระองค์ เหมือนเดิม ครอบครองร่วมกับพระองค์ไปนิรันดร์กาลเลย แล้วรื้อฟื้น ฟื้นฟูสิ่งที่เสียหายไปทั้งหมด ให้กลับคืนมาใหม่ทั้งหมดเลย ใครจะยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา เหมือนพระเจ้าองค์นี้ ที่น่าจะทำลายโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รำคาญเหลือเกิน มนุษย์ดื้อเหลือเกิน ดื้ออีกแล้ว เดี๋ยวดื้ออีกแล้ว ทั้งโลกไม่มีอะไรดีเลย เละเทะไปหมดเลย เพราะฉะนั้น จบไปเลย สร้างใหม่เลย  เอาไหม? ไม่เอา เพราะเราอยู่ที่นี่ เพราะเราเป็นอย่างนั้นไง แล้วพระเจ้าไม่เป็นอย่างนั้นด้วย  พระเจ้ายังอดทนกับเรา ยอมเรา แล้วค่อยๆ วางแผนการ ค่อยๆ ช่วยเราหลุดออกมาทีละคนๆ แต่ในที่สุดน้ำพระทัยของพระองค์ก็เพื่อให้เราหลุดพ้นออกมา ผมเชื่ออย่างนั้นนะ เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความเมตตา

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก  และความรักของพระองค์อยู่นิรันดร์ด้วย ที่เราร้องบทเพลงไปเมื่อสักครู่นี้ อยู่ในหนังสือบทเพลงคร่ำครวญ 3:22-23

บทเพลงคร่ำครวญ 3:22-23 “22 เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป 23 เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก”

 

เอเมน … เพราะความรักใหญ่หลวงของพระเจ้า มนุษย์ทั้งหลาย สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และที่ตกลงไปในความบาปแล้ว ไม่ถูกผลาญทำลายไป … ขอบคุณพระเจ้าไหม? ไม่ถูกทำลายไป เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั่งหยุด … ถามว่าพระเมตตาของพระองค์ให้กับใคร? สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลายเลย และใครรักมากที่สุด ในสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด หินเหรอ ต้นไม้เหรอ หรือสัตว์ เปล่าเลย ใคร? มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรักและห่วงใย และคิดถึงเขาอยู่เสมอ พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้าทรงรัก คิดถึงเขาอยู่เสมอ มนุษย์เป็นใคร? นี่ขนาดทูตสวรรค์ยังถามเลย มนุษย์เป็นใคร? ก็เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและสร้างขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะตกไปในความบาปอีกสักกี่ครั้ง? ไม่ว่าเขาจะทำชั่วอีกสักกี่ครั้ง?  ไม่ว่าเขาจะกบฏต่อเราอีกสักกี่ครั้ง?  เราก็จะส่งพระเยซูมาตายอีกๆ ช่วยเขา ผมเชื่อเป็นอย่างนั้น  เอเมน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ไม่เคยยั่งหยุด พระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั่งหยุด อย่ามาบอกว่าพระเจ้าเราโหดร้าย อย่ามาบอกว่าพระเจ้าเราช่างโหดร้าย มีแต่ลงโทษๆ พระเจ้าเมตตา ไม่เคยยั่งหยุด คุณจะชั่วสักกี่ครั้ง? คุณจะทำพลาดสักกี่ร้อย กี่พันครั้ง? แม้มาเชื่อพระเจ้ายังทำพลาดอีก พระเจ้าไม่เคยยั่งหยุดเลย ในความเมตตาต่อคุณเลย เอเมน มันหมายถึงอย่างนี้

นี่คือพระเจ้าที่ส่งพระเยซูคริสต์มา ไม่รู้พระเจ้าของคุณอื่นใด ผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นพระเจ้า องค์พระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอดของเรานั้น พระเจ้าผู้นี้ เป็นพระเจ้าที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ที่เราทั้งหลาย เมื่อผ่านพระเยซูคริสต์ เราเรียกพระองค์ว่า.-

“พ่อจ๋า”

พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้นี้ ความรักของพระองค์ไม่เคยยั่งหยุด มีใหม่มาเสมอทุกเช้า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก

อ่านตรงนี้พร้อมกัน “มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก”

ทุกเช้าที่ท่านตื่นขึ้นมา  ความรักของพระเจ้า ความเมตตาของพระเจ้ารอท่านอยู่แล้ว ลืมตามาก็จ๊ะเอ๋  จ๊ะเอ๋อย่างไง?

“ฉันจะลงโทษเธอ ทำไมทำอย่างนี้ ทำไมไม่ตื่นสักที ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมไม่อธิษฐาน ทำไมไม่ไปโบสถ์ ทำไมขี้เกียจอย่างนี้ ทำไมตรงนี้ไม่ถวาย ทำไมอย่างนั้น”

อย่างนี้หรือเปล่า? อย่างนี้เรียกความรักไหม? ไม่ใช่ ตื่นขึ้นมา ลืมตามา จ๊ะเอ๋

“จ๊ะเอ๋ … เรารักเจ้านะ  จ๊ะเอ๋ … เราเมตตาให้กับเจ้านะ จ๊ะเอ๋ … เราจะช่วยเจ้านะ จ๊ะเอ๋ … อย่ากลัวเลย จ๊ะเอ๋ … เราจะไปกับเจ้าด้วย”

ถูกหรือเปล่า? ความสัตย์ซื่อของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก ความสัตย์ซื่อ คือตะกี้ที่บอก เป็นพระเจ้าผู้สร้างจักรวาล เที่ยงตรง แม่นยำ สั่งอะไรแล้ว ต้องทำ สั่งดวงอาทิตย์ขึ้น ทางทิศตะวันออก มันไม่เคยขึ้นทางทิศตะวันตกเลย  สั่งดวงจันทร์ให้มากลางคืน  มันก็มากลางคืน สั่งดวงอาทิตย์มากลางวัน มันก็อยู่กลางวัน เข้าใจไหม? คุมมหาจักรวาลนี้ทั้งหมดเลย เมื่อสั่งอวยพรมนุษย์แล้วว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ท่านจะได้รับการชำระพ้นจากความบาป ท่านจะกลับไปเป็นลูกของพระเจ้า ท่านจะเข้าร่วมพระสิริกับพระเจ้า ครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระองค์ เข้าร่วมในฤทธิ์เดชของพระองค์ เข้าร่วมในพระสิริของพระองค์ แล้วจะอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์กาล มันก็จะต้องสัตย์ซื่อเป็นไปตามนี้ด้วย เอเมน ถ้าท่านเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกวันนี้ เมื่อไรก็ตาม จงจำไว้ว่ายังไงก็ตาม ท่านไปรอด ตลอดรอดฝั่ง ดีงามเสมอ ท่านจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลแน่นอน นั่นหมายถึงอย่างนี้

คำว่า “พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล” … “พระเจ้าเที่ยงตรง ไร้ความเมตตาต่อผู้ใดเลย” มันหมายถึงอย่างนี้ คำว่าไร้ความเมตตาตรงนี้ หมายถึงลักษณะของผู้พิพากษา คือไม่เห็นต่อหน้าผู้ใด ใครทำถูกต้อง ก็ได้ ลูกพระเจ้า พระเจ้าทำให้ถูกต้องหมด ก็ได้ตามถูกต้อง ไม่มีใครมาว่าเราอีกแล้ว พระเยซูคริสต์ตายแทนเราแล้ว เอเมน ต้องคิดในแง่นี้ด้วย  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************