วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1532

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  กรกฎาคม  2025

เรื่อง “หนังสือโคโลสี” ตอน 1

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือโคโลสี เขียนโดยอาจารย์เปาโล เป็นจดหมายฝากที่ใกล้เคียงกับหนังสือเอเฟซัส  … เอเฟซัสกับโคโลสีเป็นคู่แฝดกัน  จะมีหลายบท หลายข้อที่มันสอดคล้องกันมาก  แต่ว่าเขียนโดยอาจารย์เปาโล จากที่เดียวกัน คืออาจารย์เปาโลเขียนจากในคุก แล้วก็ส่งออกมาให้กับพี่น้องชาวโคโลสี คราวที่แล้วก็ไปถึงพี่น้องชาวเอเฟซัส เพื่อที่จะหนุนจิตชูใจ แล้วก็บอกให้ผู้คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ในยุคนั้น ให้รับรู้ถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ฉะนั้น หนังสือโคโลสีนี้ ก็เป็นอีกฉบับหนึ่งที่เราน่าเรียนรู้มากๆ เลย มาเริ่มต้นข้อที่ 1 …

        โคโลสี 1:1 “จดหมายฉบับนี้ จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้ากับทิโมธีน้องของเรา”

            อาจารย์เปาโลเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง เราจะเห็นว่าทำไมจดหมายเกือบทุกฉบับที่อาจารย์เปาโลเขียนขึ้น จะแนะนำตัวท่านเองว่าเป็นใคร? มาจากไหน? มาทำอะไร? พระเจ้าใช้มาเพื่ออะไร? จะบอกให้คนในคริสตจักรเหล่านั้นได้รับรู้ความจริง

            จากเปาโลผู้เป็นอัครทูต … อัครทูต หมายถึงคนที่ไปเริ่มต้นก่อตั้ง ในที่ที่ยังไม่มีข่าวดีไปถึง ก็คือนำเอาข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปประกาศตามที่ต่างๆ ที่พระเจ้าใช้ไป เป็นผู้เริ่มต้น เหมือนเป็นผู้บุกเบิก ในเรื่องความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และเป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์

            ในพระคัมภีร์จะมีอัครทูตจริงๆ อยู่แค่ 13 คน  อัครทูต คือคนที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีจากพระเยซูคริสต์ โดยตรง ก็คือพระเยซูเป็นคนสอนเขาด้วยตัวพระองค์เอง เราอาจจะเห็นภาพหนึ่งที่อาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตที่ตัวเองบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เกิดก่อนกำหนด”

            ก็คือยังไม่ทันถึงกำหนดเลย คลอดเรียบร้อยไปแล้ว อาจารย์เปาโลมารับเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ตอนหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายเรียบร้อยไปแล้ว อาจารย์เปาโลเป็นนักศาสนศาสตร์ เป็นคนที่รู้บทบัญญัติของพระเจ้าดีมาก เคร่งครัดด้วย ประพฤติปฏิบัติตามกฎทุกข้อ ตามที่บทบัญญัติเขียนเอาไว้ ที่โมเสสเขียนเอาไว้เลย คือประพฤติมาตลอด แล้วอาจารย์เปาโลก็เป็นคนที่ร้อนรน เพื่อพระเจ้ามาก เรารู้ได้อย่างไรว่าเขาร้อนรน เพื่อพระเจ้า เพราะตอนที่มีคนยิวเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นอกเหนือจากสาวก 12 คน  ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้  ยังมีคนอื่นอีกเยอะแยะมากมาย มาเชื่อวางใจในพระเจ้า อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ทนไม่ไหว ต้องไปไล่ล่า ขนาดขอทหารไปล่าคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  เพื่อจับมาติดคุก มาทรมาน อาจารย์เปาโลคิดว่า …

            “คนเหล่านั้น  ที่มาเชื่อในนามของพระเยซูคริสต์ คนพวกนี้กบฏกับพระเจ้า พระบิดา รับไม่ได้ กบฏได้อย่างไร พระเจ้าพระบิดารักเราขนาดนั้น เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของเรา เราเชื่อถือมาตั้งแต่อดีต บรรพบุรุษของเรามาจนถึงปัจจุบัน กบฏได้อย่างไร?”

            ก็เลยขอทหารไปไล่ล่าผู้เชื่อ และขณะที่อาจารย์เปาโลเดินทางไป เพื่อที่จะไปจับผู้เชื่อในเมืองดามัสกัส ระหว่างทาง พระเยซูมาพบอาจารย์เปาโลด้วยตัวของพระองค์เอง ทำให้อาจารย์เปาโลตกม้าเลย  พอลุกขึ้นจากพื้นดิน ตาบอด  แล้วเปาโลได้ยินพระสุรเสียงของพระเยซูคริสต์ตรัสกับเปาโลว่าตอนนั้นไม่ได้ชื่อเปาโลนะ ชื่อเซาโล …

            “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

            แค่ประโยคสั้นๆ นี้ พี่น้องจะเห็นภาพ ใครก็ตามที่ข่มเหงผู้เชื่อ หรือคนที่วางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นกำลังข่มเหงพระเยซูเอง  เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา คือเข้ามาอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา ถ้าใครข่มเหงเรา ก็เท่ากับข่มเหงพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคที่อยู่ในเรานั่นแหละ แล้วพี่น้องลองคิดดูว่าใครที่มาข่มเหงพระเจ้า เขาจะเจอหนักหนาขนาดไหน? กล้าดีอย่างไรมาข่มเหงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่าเมื่อเราวางใจในพระเจ้า มีคนมาข่มเหงเรา เราไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับเขา ปล่อยเขาไป เดี๋ยวพระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเอง

            พระเจ้าบอกอาจารย์เปาโล  … “ข่มเหงฉันทำไม?”

            อาจารยเปาโลก็ตกใจเหมือนกัน เมื่อไร? อย่างไร? ไปข่มเหงพระองค์ตอนไหน? ก็เลยถามพระเยซูคริสต์ว่า … “ข้าพระองค์ข่มเหงพระองค์ตอนไหนล่ะ ช่วยบอกหน่อย ยังงงอยู่เลย”

            พระเยซูก็เลยตอบว่า … “ที่เจ้าข่มเหงผู้ที่เชื่อวางใจในเรา เท่ากับเจ้ากำลังข่มเหงเราอยู่”

            อาจารย์เปาโลงงเลยนะ มันเกิดเรื่องนี้ ได้อย่างไร? แล้วพระเจ้าพระเยซูคริสต์ก็สำแดงตัวพระองค์เองให้อาจารย์เปาโลได้รู้ว่าตัวพระองค์เอง คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาจริงๆ แล้วก็ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง แล้วตอนนี้พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ ยังทรงพระชนม์อยู่ สามารถที่จะสัมผัสจับต้องได้

            แล้วพระเยซูคริสต์เป็นคนที่คุยกับอาจารย์เปาโลเอง คือสอนอาจารย์เปาโลเอง โดยที่ไม่ต้องผ่านอัครทูต หรือใครต่อใครมาสอนอาจารย์เปาโลเลย ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงได้แนะนำตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นอัครทูต ฉันถูกสอนจากพระเยซูคริสต์โดยตรงเลย ไม่ได้ผ่านจากใครเลยแม้แต่นิดเดียว”

            ฉะนั้น เราจะเห็นภาพพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าเลือกสรรอัครสาวก 12 คน  เพื่อที่จะไปประกาศ หรือดูแลชาวยิว 12 เผ่า เลือกสรรไว้แล้ว ทำไมต้องมี 12 คน? ทำไมยิวต้องมี 12 เผ่า? ไม่ใช่บังเอิญแน่นอน พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

            ให้อัครทูตทั้ง 12 คนที่เลือกสรรไว้ ไปดูแล ประกาศข่าวดีให้กับคนยิว 12 เผ่า แล้วพระเจ้าก็เลือกอาจารย์เปาโลเป็นพิเศษโดยเฉพาะเจาะจง แยกออกมาให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น อัครสาวกทั้งหมดในพระคัมภีร์มีแค่ 13 คนเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่มีแล้ว พระเยซูไม่ได้มาสอนใครตัวต่อตัวอีกแล้ว พวกเราที่ได้รับคำสอน ก็คือสอนจากผู้รับใช้ของพระเจ้า คนรุ่นแรก ก็ผ่านจากอัครสาวก 12 คนกับเปาโล แล้วก็ทอดต่อมาเรื่อยๆ จากผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้ยิน ได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วก็ไปประกาศ พอประกาศ มีคนรับเชื่อ เขาก็สอนต่อๆ กันไป จนถึงยุคของเรา

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพวกเราไว้ ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ในพระคัมภีร์เดิมคนต่างชาติไม่ได้อยู่ในสาระบบที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ไม่มีเลย มีแต่คนยิวเท่านั้น เป็นกลุ่มคนที่พระเจ้าเลือกสรร เป็นประชากรของพระเจ้า

            ฉะนั้น แผนการที่พระเจ้าวางไว้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าให้คนยิวมาถูกเลือกก่อน หลังจากนั้น พระองค์ก็จะให้ข่าวดีของพระเจ้าไปถึงคนต่างชาติ แล้วเนื่องจากว่าคนยิวเคยชินกับบทบัญญัติที่โมเสสให้ไว้ แล้วเขาก็ประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดมาก พอถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วพระองค์ก็ประกาศข่าวดี ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศ ไม่ได้ประกาศกับพวกเรานะ พวกเราคนต่างชาติไม่เกี่ยวกันเลย มาประกาศเฉพาะกับคนยิวเท่านั้น ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล” แกะหลงนะ พระเจ้าเปรียบผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นแกะ  … แกะเป็นสัตว์ที่อ่อนโยน  แกะไม่ใช่แพะ แพะเกรี้ยวกราด ดุร้าย แต่แกะจะเชื่องและอ่อนโยน แล้วแกะเป็นสัตว์ที่สายตาสั้น ดูไกลไม่เห็น ต้องดูใกล้ๆ แล้วก็จะมีผู้เลี้ยงคอยดูแล ผู้เลี้ยงก็จะอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา ผู้เลี้ยงจะมีไม้เท้าอันหนึ่ง คอยตะล่อมให้ฝูงแกะเข้ามาอยู่ในคอกของมัน

            นี่คือภาพในโลกวิญญาณ พระเจ้าให้เราเห็น พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และพระองค์จะคอยดูแลแกะของพระองค์ การดูแลปกป้องคุ้มครอง ในขณะที่ผู้เลี้ยงที่ดีจะเฝ้าให้อาหารที่ดี และคอยป้องกันภัย  ถ้ามีศัตรูของแกะ คือพวกหมาป่ามา ผู้เลี้ยงที่ดีทั้งหลาย ก็จะเอาไม้เท้าตีหมาป่าให้เตลิดไป  เพื่อป้องกันแกะไว้ ถ้าแกะตัวไหนถูกทำร้าย จนมีบาดแผล ผู้เลี้ยงก็จะอุ้มไปพันแผลให้ นี่เป็นภาพนะ ภาพที่พระเจ้าให้เห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความอ่อนโยนของพระเจ้า พระองค์ทรงรักแกะของพระองค์ เมื่อแกะของพระเจ้าบาดเจ็บสาหัส พระเจ้าไม่ตีซ้ำ

            หลายคนพอเจอปัญหา เจออุปสรรค เจออะไรสักอย่างหนึ่ง ก็จะพูดว่า … “พระเจ้าตีสอนฉัน ตีหนักมากเลยนะ ตีจนฉันลุกไม่ไหว”

            อย่าไปพูดอย่างนั้น เท่ากับเราใส่ร้ายพระเจ้า  พระเจ้าไม่เคยตีเรา พระเจ้ามีแต่ฟูมฟัก ทะนุถนอม ที่ตีเรา คือศัตรูของพระองค์ที่พยายามที่จะลัก ฆ่า ทำลาย เอาสิ่งที่ดี ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเรา เอามันออกไปจากชีวิตของเรา  แล้วพยายามใส่ข้อมูลเท็จเข้ามาในความคิดของเรา ใส่ร้ายพระเจ้าว่า …

            “เห็นไหม เธอเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ตอนนี้เธอเจ็บป่วยอยู่ พระเจ้าตีเธออยู่นะ เธอไปทำอะไรผิดมา”

            มันไม่เกี่ยวกันเลย พระเจ้าไม่ตีลูกของพระองค์แบบนั้น เพราะว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? รักขนาดที่ยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วพระเจ้าจะตีเราเพื่ออะไร? ตีเราให้บาดเจ็บสาหัส น่วมไปทั้งตัวหรือ? มันไม่ใช่แน่นอน มันเป็นการโกหกหลอกลวงที่โลกนี้ หรือมาร ศัตรูของพระเจ้าพยายามส่งข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในสมองของเรา เพื่อว่าเราจะได้ผิดใจกับพระเจ้า …

            “ทำไมพระองค์ถึงทำกับลูกอย่างนี้ พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์ถึงอนุญาตอะไรเยอะแยะมากมาย มีการต่อว่าพระเจ้าเป็นการใหญ่เลย”

            ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ในพระคัมภีร์บอก พระองค์ทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงรักเราดังแก้วตาดวงใจ และพระองค์จะทรงฝึกสอนเรา ไม่ใช่ตีสอนเรา  การฝึกสอนและการตีสอนไม่เหมือนกัน การตี ก็คือกระหน่ำ …

            “ไม่รู้ล่ะ ตรงไหนหัว ตรงไหนหู ตรงไหนหลัง ฉันตีให้น่วมเลย”

            พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น แต่พระเจ้าจะฝึกสอนเราด้วยวิธีของพระองค์ เวลาเราทำผิด พระองค์ก็จะบอกเราด้วยวิธีของพระองค์เองว่า …

            “ลูกเอ๋ย ตรงนี้ลูกเดินผิดทางแล้วนะ ลูกกลับมาซะ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวลูกเจ็บตัวนะ”

            การเจ็บตัว ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าอีก  ก็คือเราเลือกตัดสินใจ ที่จะเดินในทางที่มันไม่ใช่ทางของพระเจ้า  เดินในทางที่โลกนี้ส่งเข้ามาล่อลวงเรา เขาเรียกว่าเผลอไปทำผิด เมื่อเผลอไปผิด ก็ต้องรับผลของมัน แต่ว่าพระเจ้าก็จะคอยบอกเรา คอยเตือนเรา คอยสะกิดเรา อยู่ตรงที่ว่าเวลาสะกิดเราจะรู้ตัวไหม? ส่วนใหญ่เวลาพระเจ้าสะกิด เราไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไร? เพราะเรากำลังเพลิดเพลินกับการทำอะไรก็ตามด้วยกำลังของเราเอง หรือเราคิดว่าอย่างนี้มันต้องดี มันใช่เลย แต่ว่าเรื่องหลายเรื่อง สิ่งที่เราคิด มันไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มันไม่ได้ดีตามที่พระเจ้าต้องการ ตรงนี้แหละ คืออาจารย์เปาโลยืนยันตัวของท่านเองว่าท่านได้รับคำสอนจากพระเจ้าโดยตรง พอมาถึงข้อที่ 2 บอกว่า …

        โคโลสี 1:2 “ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองโคโลสี     ผู้เป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อในพระคริสต์ ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา มีแก่ท่านทั้งหลาย”

            “ถึงประชากร” ตรงนี้อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อ ประชากรเฉยๆ ยังห่างเหินมาก  มันยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษ  ความเป็นจริงแล้ว อาจารย์เปาโลเขียนถึงธรรมิกชน คำว่า “ธรรมิกชน” คือผู้ที่ได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า พวกเราผู้เชื่อทุกคน  เราได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แล้วพระเจ้าก็แยกเราออกมาจากโลกใบนี้ ก็คือมาเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าโดยเฉพาะ  ตอนนี้ ณ เวลานี้ เราสัมผัสไม่ได้ เราไม่รู้สึก แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พวกเราผู้เชื่อทุกคน ถูกแยกออกมาเฉพาะเจาะจง ที่พระเจ้าแยกชิ้นส่วนมาเลยว่า …

            “อันนี้เป็นของฉันนะ”

            แล้วไม่พอ ประทับตราลงไปอีก ประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ยืนยันว่า …

            “คนนี้ของฉัน ใครอย่ามาแตะนะ ลูกข้าใครอย่าแตะ” อะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น ใครที่มาแตะต้องลูกของพระองค์ ลักษณะเหมือนที่พระเยซูบอกว่าเมื่อเจ้าถีบประตัก ก็เจ็บตัวเอง มาแตะลูกของพระเจ้า เตะไป เจ็บตัวเอง มันเป็นภาพอย่างนั้นจริงๆ

            ดังนั้น ธรรมิกชน หมายถึงผู้ที่ถูกแยกมาโดยพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้ว แล้วเป็นพี่น้อง อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “พี่น้อง” ซึ่งจริงๆ แล้ว คริสตจักรชาวโคโลสี อาจารย์เปาโลยังไม่เคยเจอหน้ากัน แค่ได้ยินข่าว จากคนที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ แล้วเขาก็ไปประกาศอีกทีหนึ่ง แล้วก็ไปก่อตั้งคริสตจักรนี้ขึ้นมา แล้วข่าวคราวไปถึงหูของอาจารย์เปาโล ซึ่ง ณ เวลานี้ ติดคุกอยู่ แล้วได้ยินข่าวปุ๊บ ชื่นชมยินดี ดีใจ มีคนเชื่อ ก็เลยส่งจดหมายฉบับนี้ มาให้ชาวโคโลสีได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ไม่เพียงพอ ยังบอกว่าคนเหล่านี้เป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อ อาจารย์เปาโลอัครทูตที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นับผู้เชื่อ คนหนึ่ง หรือกลุ่มคนที่มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นับเขาว่าเป็นพี่น้อง

            พระคัมภีร์บอกว่าทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า เราทุกคนเป็นพี่น้องในพระคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกัน โดยมีพระเจ้าพระบิดาเป็นพระเจ้าของพวกเราทุกคน  ไม่ว่าเราจะเชื่อที่ไหน? ที่ คริสจักรแห่งนี้  เชื่อที่คริสตจักรอื่น เชื่อที่ประเทศไทย ที่ยุโรป เอเชีย อะไรก็แล้วแต่ คนใดที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อปุ๊บ เราทุกคนเป็นพี่น้องกันเลย โดยอัตโนมัติ แล้วความรักที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน เราก็รักกันเลย

            ทำไมเรารู้ว่ารักกัน จากประสบการณ์ เราไม่ต้องคิดเยอะ พอเราได้ยินได้ฟังว่าใครเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักเขาเลย ไม่มีเหตุผล คุยไปคุยมา เป็นคริสเตียนหรือ? รักทันทีเลย ตรงนี้มันเกิดจากอะไร? ข้างในวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณเดียวกัน ก็คือเป็นวิญญาณแห่งความรัก ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในผู้เชื่อทุกคน เราเกิดมา ก็รักกันเลยในโลกวิญญาณ ฉะนั้น เขาก็เป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อในพระคริสต์

            แล้วคำว่า “ขอพระคุณ” ไม่ต้องขอแล้วนะ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคุณและสันติสุขของพระเจ้าพระบิดาอยู่ในเราเรียบร้อยแล้ว ตัวพระคุณเอง คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เข้ามาอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว พระคุณนี้ พระเจ้าให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อ อย่างที่บอกเรารอด โดยพระคุณ ไม่ได้ด้วยเราทำเอง พระคุณตรงนี้พระเจ้าให้เราเปล่าๆ ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระคุณตรงนี้ อยู่ในเราทันที สันติสุขของพระเจ้า ก็สถิตอยู่ในเราทันทีด้วย เป็นส่วนหนึ่งของพระพรแห่งความรอดที่พระเจ้าให้กับพวกเรา มันมีอยู่ในนั้นเรียบร้อยไปแล้ว

            “มีแก่ท่าน” สิ่งที่เราทำได้ ก็คืออนุญาตให้สิ่งที่มีอยู่ในเรา ได้ถูกสำแดงออกไปเท่านั้นเอง สำแดงพระคุณของพระองค์ออกไป สำแดงความรักของพระองค์ออกไป นั่นคือสิ่งที่เราจะฝึกฝน อย่างนี้ต้องฝึกฝน อันนี้ขอได้ ขอพระเจ้าให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ให้ออกไป สำแดงความรักให้กับผู้คนรอบข้าง ผู้คนรอบข้างที่อาจจะไม่ต้องเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน ผู้คนรอบข้างอาจจะเป็นคนที่พระเจ้าพาเราไปเจอ แล้วเราก็สำแดงความรักของพระเจ้าออกไปให้กับพวกเขา …

        โคโลสี 1:3 “เราขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสมอ  เมื่ออธิษฐานเผื่อท่าน”

            พอได้ยินว่าเขาเชื่อวางใจในพระเจ้า  ได้ยินว่าเขาสัตย์ซื่อในพระองค์ อาจารย์เปาโลเริ่มต้นอธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้ อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า เพื่อพี่น้องเหล่านี้ตลอดเวลา คำว่า “เสมอ” คือตลอดเวลา

            แล้วอาจารย์เปาโลอธิษฐานแบบไหน? ทุกวันนี้เราอธิษฐานแบบไหน? ทุกวันนี้ เราจะอธิษฐาน ขอพระเจ้าอวยพรให้เขามีความสุข ให้เขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การงานเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง นั่นคือส่วนภายนอก ถามว่าอธิษฐานได้ไหม? ได้อยู่ แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลัก

            ในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ที่อาจารย์เปาโลเขียน … อาจารย์เปาโลจะอธิษฐานให้ตาใจฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนเปิดออก เพื่อเขาจะรับรู้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ เราควรจะอธิษฐานแบบนี้มากกว่า  เมื่อเรารับรู้ความจริงมากเท่าไร?  เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ด้วยความอดทนมากขึ้น  พระเยซูคริสต์บอก …

            “บนโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก”

            อย่าไปคาดหวังว่าเราจะสุขสบายตลอดกาล อย่าไปคาดหวัง นั่นละเมอเพ้อพก หรือถูกหลอก  แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าเราทุกคน แม้เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณเราได้รับพระพรเต็มเปี่ยมเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ร่างกายเรายังต้องเผชิญกับทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นรอบตัวเราบนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่ได้เอาเราออกจากโลก เอาออกไปเมื่อไร ก็คือวิญญาณออกจากร่าง เราสบายเลย เราไปอยู่กับพระเจ้า แต่ในขณะที่พระเจ้ายังไม่เอาเราออกจากโลกนี้  เรายังต้องเผชิญ ยังต้องอยู่บนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าจะให้กับเรา ก็คือพระองค์สถิตอยู่ในเรา ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถอดทนกับอะไรก็ตาม ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ถูกใจบ้าง? ไม่ถูกใจบ้าง?  อะไรก็แล้วแต่  เราสามารถอดทนได้  แล้วก็สามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้ แล้วเรามั่นใจว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา  พระองค์จะทรงนำพาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่พระองค์เตรียมไว้ สำหรับพวกเราผู้เชื่อทุกคนอย่างแน่นอน …

        โคโลสี 1:4 “เพราะเราได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูคริสต์  และความรักที่ท่านมีต่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้า”

            “ความเชื่อของท่าน” ความเชื่อตรงนี้ เป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้ เรามองไม่เห็น แต่ผลของความเชื่อที่สำแดงออกมา  ก็คือความรัก ความรักเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ฉะนั้น เราจะเห็นภาพที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้สำแดงความรักให้กับกันและกัน ดังนั้น ความเชื่อเหล่านี้ มันจะส่งผลออกมาเป็นความรักที่เรามีต่อพี่น้อง พี่น้องที่พระเจ้านำพาเราให้เจอในคริสตจักรของพระเจ้า หรือเราอาจจะไปเจอพี่น้องคนอื่นนอกคริสตจักร เมื่อเราได้รับรู้ว่าเขาเชื่อพระเจ้า มันดีใจ พี่น้องนึกภาพความดีใจไหม? ดีใจ แล้วรู้สึกปลื้มกับคนนี้ เขาเป็นพี่น้องเรานะ เราจะรู้สึกรักเขาเป็นพิเศษ ดังนั้น ความรักตรงนี้จะถูกสำแดงออก ผ่านทางชีวิตของพวกเราในชีวิตประจำวัน ความรักตรงนี้ เราไม่ต้องผลิตเอง ไม่ต้องพยายามไปบีบตัวเองให้ “ต้อง” รักคนโน้น ต้องรักคนนี้ พระเจ้าบอกให้เราสำแดงความรัก เราต้องวิ่งหาใคร เพื่อสำแดงความรักไหม? ไม่ต้อง มันจะออกมาโดยอัตโนมัติของมันเอง ความรักตรงนี้ …

        โคโลสี 1:5 “คือความเชื่อและความรักอันเกิดจากความหวัง  ซึ่งสะสมไว้สำหรับท่านในสวรรค์ และซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริง  คือข่าวประเสริฐ”

            “ความหวัง” ตรงนี้คืออะไร? ความหวังตรงนี้ เมื่อพวกเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว สิ่งที่เราได้รับเลยทันที ในโลกวิญญาณ คือเราได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องหวัง มีแล้ว เราได้รับเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว พระเจ้านับเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตข้างหน้า ได้รับแล้ว ไม่ต้องหวัง เราได้รับการทรงสถิตอยู่กับเรา ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา เราเป็นวิหารของพระเจ้า ที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันนี้เราก็ไม่ต้องหวัง

            แล้วผู้เชื่อหวังอะไร? ผู้เชื่อหวังอยู่แค่ 2 อย่าง อย่างแรก คือหลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราได้ไปรับร่างกายใหม่  ซึ่งเต็มไปด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าทรงสัญญากับพวกเราทุกๆ คนว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราจะไปสวมร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันนี้เราหวัง เพราะเรายังไม่ได้ แล้วเราจะได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า คือทุกวันนี้เราถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงวันนั้นไม่ต้องซ่อนแล้ว ก็โผล่ออกมาเลย  ได้ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า

            แล้วความหวังที่ 2 คือเราได้ไปอยู่ในโลกใหม่  ที่พระเจ้าสร้างให้เราใหม่ ซึ่งเป็นโลกที่สวยงามมาก สวยงามกว่าสวนเอเดนครั้งแรก พระเจ้าบอกอย่างนั้น แล้วเราทุกคนจะได้ไปอยู่ที่นั่นเลย นิรันดร์กาลกับพระเจ้า นี่คือความหวัง

            พอเรามีความหวังตรงนี้ ตาเราก็ไม่จับจ้องมองดูสิ่งที่อยู่รอบข้างเรา อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปจับจ้องมองดูความทุกข์ยากลำบากที่อยู่รอบข้างเรา เพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่แค่ชั่วคราว อยู่แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว เราทิ้งร่างกายนี้ เราไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล ฉะนั้น ให้เรามองที่เบื้องบน ที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ก็คือเป็นพระพร เป็นความหวังใจเดียวที่ผู้เชื่อทั้งหลายจะหวังได้ ก็คือรอ เรารอคอย พอเรารอคอยความหวังนี้ เราก็จะเกิดความอดทน

            คำว่า “อดทน” ไม่ได้หมายความว่าเราไปสบายๆ ถ้าเราสบาย ไม่ต้องอดทน  เพราะเราไม่สบาย เราจึงต้องอดทน อดอีกนิดๆ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว ประมาณนั้น ดังนั้น ให้เราอดทนในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตามผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา  ถูกใจบ้าง? ไม่ถูกใจบ้าง? ทุกข์บ้าง? สุขบ้าง? อะไรก็แล้วแต่ ให้เราอดทน รอความหวังที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา แล้วเมื่อเราผ่านความอดทนตรงนี้ พระเจ้าก็จะสามารถใช้ความอดทนนี้แหละ ที่สามารถโชว์เราได้ว่า …

            “นี่เห็นไหม? ลูกฉัน แม้เขาจะเจอความทุกข์ยากลำบากขนาดนี้ เขายังคงสามารถที่จะดำเนินชีวิตด้วยความดีงามของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขาได้ เต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหน? นอกจากผู้เชื่อเท่านั้น”

            เราเคยเห็นผู้เชื่อยิ้มทั้งน้ำตาไหม? ทุกข์นะ ข้างในทุกข์มาก 108-1009 อะไรก็ไม่รู้ กระหน่ำเข้ามาเลย แต่เราสามารถยิ้มได้ เพราะเรามีความหวัง เราไม่ได้หวังโลกนี้ ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเอง แต่เราหวังโลกหน้า ที่พระเจ้าทรงสัญญากับเราไว้ แล้วจะไม่เจอที่ไหนเลย ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อ ไม่สามารถดำเนินชีวิตแบบนี้ได้  มีเพียงผู้เชื่อเท่านั้น  ที่จะสามารถดำเนินชีวิตแบบนี้ แล้วเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า เป็นการที่คนอื่นมองมา …

            “ขอบคุณพระเจ้าเนอะ”

            “พวกนี้เป็นใคร?”

            “เป็นคริสเตียน”

            เขาอึดถึก นึกออกไหม? คริสเตียนเป็นประเภทที่อึดถึกมาก ก็คือสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทุกๆ คน

            “ถ้อยคำแห่งความจริง” ตรงนี้ ความจริง คือไม่ใช่โกหก เป็นถ้อยคำที่พระเจ้าบอกเราจริงๆ ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้  พระเจ้าเตรียมไว้แบบนี้ แล้ววันหนึ่ง เราจะได้ไปรับจริงๆ ตามข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย แล้วก็มาถึงพวกเราทุกๆ คน ข่าวดีของพระเจ้า คือเราได้รับความรอด โดยผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย

            ดังนั้น การประพฤติหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า ตอนนี้ มันกลายเป็นว่าเราพร้อมและยอมที่จะเชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พอเราเชื่อฟังมาก เราก็จะประพฤติดีมาก พอเชื่อฟังน้อย ก็จะดีลดน้อยลง พอไม่เชื่อฟังปุ๊บ ดื้อเลย คริสเตียนทำไมเป็นแบบนี้ นั่นแหละ ตอนนั้น เขาหลงผิด เขาไม่เชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเขา แต่ว่าพระเจ้าก็ยังคงมีความหวัง ในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน พระองค์ไม่ทิ้ง แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวที่อยู่ในความคิดของพระเจ้าว่าจะทิ้งเราเลย ไม่มีทาง เพราะพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา สถิตกับเรา พระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล ไม่ทิ้งเราไปไหน? ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าวันนี้คิดดี พรุ่งนี้คิดไม่ดี พระเจ้าก็ไม่ทิ้งเราไปไหน?  พระเจ้าก็จะคอยสะกิด …

            “ลูกวันนี้คิดไม่ดีนะ เปลี่ยน”

            หรือวันนี้คิดดี … “ลูกวันนี้ ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ดีแล้ว ทำต่อไป”

            อะไรประมาณนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำแบบนี้กับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสว่า … “จงให้แล้วท่านจะได้รับ”

            ลูกา 6:38 … “จงให้แล้วท่านจะได้รับ  และทะนานที่ตวงเต็มยัดสั่นแน่นพูนล้นจะถูกเทลงในตักของท่าน เพราะท่านใช้ทะนานอันใดก็จะใช้ทะนานอันเดียวกันนั้นตวงแก่ท่าน”

            การให้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในพระคัมภีร์ และมีหลายข้อที่พูดถึงการให้ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตา ซึ่งแสดงถึงหลักการของการให้ ที่ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงอวยพรเราด้วย

            2 โครินธ์ 9:7 … “แต่ละคนจงให้ตามที่เขาตั้งใจไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้า หรือด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี”

            ข้อนี้เน้นถึงความสำคัญของการให้ ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความยินดีและความสมัครใจ

            การให้ควรเป็นการตัดสินใจที่มาจากใจ ที่เป็นอิสระ ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ชักจูง ข่มขู่ ให้เกิดความกลัว เกิดการฟ้องผิด เกิดความกังวลว่าจะสูญเสียความรอด หรือได้รับการหว่านล้อมให้เกิดความโลภ

            สุภาษิต 11:25 … “คนใจกว้างจะมั่งคั่ง และผู้ที่รดน้ำคนอื่นจะได้รับการรดน้ำด้วย”

            เพราะฉะนั้น การให้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ยังเป็นการที่เราจะได้รับพรกลับคืนมา

            การให้เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเมตตา ที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา และเป็นการที่เราสามารถแสดงความรักนั้นต่อผู้อื่นได้เช่นกัน

                        ไม่ใช่ให้ เพราะกลัวพระเจ้าไม่รัก

                        ไม่ใช่ให้ เพราะกลัวพระเจ้าไม่อวยพร

                        ไม่ใช่ให้ เพราะกลัวถูกสาปแช่ง

                        แต่ “ให้เพราะรัก” …………ต่างหาก

            พระเจ้าอวยพรครับ