คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2025
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 20 “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”
โดย นคร เวชสุภาพร
“หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 20 “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”
“ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”
ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 19 ชื่อเรื่องจำได้ไหม? “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” วันนี้ตอนที่ 20 เรื่อง “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว” ทวนครั้งที่แล้วหน่อย “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” คือบาปทั้งหมดบนโลกใบนี้ที่มีอยู่ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนถึงคิดอิจฉาริษยาเขา พูดโกหกนิดหน่อย มีค่าเท่ากัน บาปเหล่านี้ ปกติต้องนำไปสู่ความตาย แต่พระเยซูช่วยเราหลุดพ้น เป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น บาปเหล่านี้ ต่อให้เราล้มลงและทำไป ก็ไม่นำให้เราไปสู่ความตาย คือตกนรกนั่นเอง ตายนี้ หมายถึงตายฝ่ายวิญญาณ และบาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร? คือบาปเดียวบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ทำ นอกเหนือจากที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมด ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงโกหก บาปเหล่านั้น พระเจ้าอภัยให้ได้ผ่านทางพระเยซู แต่บาปเดียวที่พระเจ้าอภัยให้ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียวบนโลกใบนี้ มีเพียงบาปเดียว ก็คือบาปที่ปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือปฏิเสธผู้ที่จะมาอภัยบาปให้กับเรา ก็ไม่ได้รับความรอดนั่นเอง อันนี้ช่วยไม่ได้ พระเจ้าวางไว้ให้อย่างนั้นแล้ว ถ้าไม่รับ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?
วันนี้ ตอนที่ 20 “คริสเตียนเราไม่ปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว” คริสเตียนฟังอย่างนี้แล้ว จะเชื่อไหม? เชื่อหรือไม่ว่าเรามีธรรมชาติใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่ที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นอย่างนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว เราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปเลย เชื่อหรือไม่เชื่อ? ถ้าเชื่อ มาเริ่มต้นวันนี้เลย
วันนี้ เริ่มจากหนังสือ 1 ยอห์น 5:18 บอกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”
“ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า” ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย … คริสเตียนทั้งหลายไม่ทำบาปอีกต่อไป ประโยคแรกก็ทำให้หลายคนสับสนแล้วนะ ถามตัวเองสิ เราเป็นคริสเตียนหรือเปล่า? ในนี้บอกว่า “ไม่ทำบาปอีกต่อไป” แล้วเราทำไหม?
“ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปอีกต่อไป” รู้สึกมันขัดกับความเป็นจริงนะ วันนี้ก่อนเดินเข้ามาในโบสถ์ ก่อนเดินเข้ามาในห้องนี้ ทำบาปอะไรหรือเปล่า? หงุดหงิดกับใครหรือเปล่า? หงุดหงิดเรื่องการจราจรไหม? บ่นว่าใคร? นินทาใครหรือเปล่า? คิดอิจฉาใครไหม? คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า? แล้วเมื่อวานทำหรือเปล่า? แล้วเมื่อคืนทำหรือเปล่า? แล้วเดี๋ยวจากนี้ต่อไปจะทำหรือเปล่า? ไม่ค่อยแน่ใจเลย งงเลยใช่ไหม?
จะบอกอะไรให้ อ่านตรงนี้แล้วสะดุ้ง คิดสับสน เป็นคริสเตียนแล้วเราทำบาป เราทำอยู่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แค่คิดอิจฉาคนก็ทำบาปแล้ว พระคัมภีร์ภาษาไทยได้แปลอย่างนี้ว่าไม่ทำบาปเลย เฉยๆ ไม่ได้หมายถึงว่าเขาใส่คำว่าเฉยๆ ลงไปข้างในนะ ก็คือแปลแบบตะกี้ที่บอก ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป ไม่มีคำว่า “ต่อไป” อันนี้ผมมาใส่ให้กระจ่างขึ้นนิดหนึ่ง คำว่า “ต่อไป” มันก็กระจ่างไม่เยอะอยู่ดี มันก็ยังสับสนอยู่ดีใช่ไหมว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราไม่ทำบาปอีกต่อไปเลยหรือ? ก็ไม่ใช่
ภาษาเดิมจริงๆ ในบางฉบับ ที่แปลมาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางฉบับเขาถึงใช้คำแปลคำนี้ให้อธิบายละเอียดขึ้นว่าบริบทนี้ คำนี้ อาจารย์ยอห์นหมายถึงอะไร? เพื่อจะได้ไม่แปล แล้วมาย้อนแย้งกับความจริงที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบาย ได้สอนไว้
คำว่า “Keep On” หมายถึงต่อไปเรื่อยๆ เป็นคริสเตียนแล้ว เกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว เขาคนนั้นจะไม่ทำบาปต่อไปเรื่อยๆ ก็ละเอียดขึ้นมานิดหนึ่งใช่ไหม? แต่มีบางฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วละเอียดขึ้น เป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้ว เขาจะไม่ทำบาปต่อไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นกิจวัตร ชัดขึ้นแล้วนะ
คำว่า “ทำบาปเป็นกิจวัตร” หมายถึงการทำบาปเป็นวิสัย เป็นวิถีชีวิต เป็นแนวโน้ม เป็นเส้นทาง เป็นธรรมชาติ อันนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยนะ แต่ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว เรามีแนวโน้ม มีวิถีชีวิต มีเส้นทางใหม่ มีนิสัยใหม่ มีธรรมชาติใหม่ จากวิญญาณใหม่ จากใจใหม่ที่เราได้เรียนรู้แล้ว เราจึงมีแนวโน้มในทางจิตใจแบบใหม่แล้ว คือตามแบบพระคริสต์ ตามแบบพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายใน อันนี้ค่อยเข้าท่า เป็นคริสเตียนต้องเป็นอย่างนั้นแหละ
แต่ถ้าท่านยังอยู่ในแนวโน้มเก่า ยังอยู่ในวิถีเดิม ในทางเดิม นิสัยเดิม ก็หมายความว่าคนนั้น หรือท่านยังไม่ได้เกิดจากพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง เพราะว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาปเป็นนิสัย เป็นธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว เอเมน ชัดเลยนะ
ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเราเกิดใหม่ พระเจ้าได้ประทานวิญญาณใหม่และใจใหม่ให้กับเรา และประทานความปรารถนาในใจใหม่ให้กับเรา ในใจใหม่เรามีแต่ความปรารถนาที่เป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น การที่เรามีใจปรารถนาที่จะไม่ทำบาปอีกต่อไป ก็คือเราได้เกิดใหม่แล้ว ใจปรารถนาเราเปลี่ยนไปแล้ว จากข้างใน พระเจ้าให้มา ไม่ใช่เราตั้งใจจะทำเอง แต่มันเป็นของประทาน การที่มีใจปรารถนาที่ไม่ทำบาปต่อไปอีก ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย คนละอันกันแล้วนะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย แต่หมายถึงว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของบาป ไม่ได้เป็นทาสบาป ให้เราปรารถนาที่จะทำบาปเหมือนแต่ก่อน เป็นกิจวัตรเหมือนแต่ก่อน เป็นนิสัยเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน คอยนำเรา ให้ดำเนินชีวิตตามที่ถูกต้อง ตามที่เราได้บังเกิดใหม่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่สถิตอยู่ด้วย ภายในตัวเรานั่นเอง ในโรม 6:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 6:14 “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านไม่ได้อีก เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ แต่ภายใต้พระคุณ”
บาปเป็นเจ้านายเราไม่ได้อีกแล้ว เราหลุดแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ในพระคริสต์ชีวิตเรามีแนวโน้มใหม่ มีทางใหม่ มีธรรมชาตินิสัยใหม่ คือเดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งแม้เราอาจจะสะดุดล้มลงบ้างในขณะเดินกับพระเจ้า แต่เราจะไม่หลงอยู่ในเส้นทางเก่า ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว หนังสือยากอบได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “เราทุกคน หมายถึงคริสเตียนทุกคน สามารถสะดุด ล้มลงในการบาปหลายๆ ด้าน ทั้งหมดเลยนะ เราอาจจะโกหก อิจฉา อะไรที่บอก ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงอิจฉา หรือหงุดหงิดอะไรแบบนี้ แต่บาปเหล่านั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในการเรียนรู้ ฝึกฝนและเจริญเติบโตในฝ่ายวิญญาณใหม่ ที่เรากำลังเดินในทางใหม่ ในทางพระคริสต์ โดยพระวิญญาณนำเท่านั้นเอง
คริสเตียนทุกส่วนในตัวของเรา อย่างที่บอกว่าเราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว บางทีเราคิดแค่ว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม แค่วิญญาณและใจใหม่เท่านั้น เราลืมคิดไป หรือเราคิดไม่ถึงว่าร่างกายเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้ พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่าล้มลงในความบาป เราก็นึกว่าร่างกายของเรา ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ร่างกายบาปอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกคริสเตียนทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ จิตใจ หรือร่างกาย เป็นสิ่งที่ได้ทรงชำระแล้ว
“ได้ชำระแล้ว ร่างกายของท่าน ร่างกายของฉัน ได้ถูกชำระล้างแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว”
แค่ไหนเรียกว่าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทินใดๆ ที่พระเจ้าสามารถรับได้ และโปรดปรานด้วย พระคัมภีร์บันทึกไว้เช่นนั้น ในหนังสือโรม 12:1 โปรดปรานด้วย สะอาดหมดจดแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไร? พระองค์จึงเสด็จเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ไม่มีส่วนใดเลยที่เป็นบาป แม้ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ขอบคุณพระเจ้า
และย้ำในความคิดของเราว่านี่คือความจริง อย่าลืม เพราะเราเคยชินกับหนทางเก่า อันนี้ไม่ต้องพูดก็ได้ พอเราหงุดหงิด ฉันทำไมเป็นคนอย่างนี้ พอนินทาใคร ทำไมฉันเป็นคนอย่างนี้ นิสัยอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เอเมนไหม? แต่ฉันเผลอ ฉันถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ให้กระทำไป เดี๋ยวเราดูสิว่าเป็นอย่างไรต่อไป ก็คือทำไมเรายังทำ ก็เราคริสเตียนยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยังไม่หมดลมหายใจ เรายังอยู่บนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความบาป ความตาย หรือกฎของความบาปและความตาย คำสาปแช่ง ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ ซึ่งมีพลังอำนาจความบาปและความตายมาทางพลังของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่เรียกว่าระบบของโลก กระแสของโลก ซึ่งมีความชั่วร้าย ผลักดันให้มนุษย์ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า มันมีอยู่จริงๆ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกมันมีอยู่ อะไรมีอยู่ แรงผลักดันให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี มีอยู่จริงๆ มีแรงผลักดันนี้จริงๆ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก
แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี เห็นหรือไม่เห็น? ไม่เห็น โยนของขึ้นไป แล้วทำไมมันตกลงมาล่ะ โลกดึงดูดมันลงมา เราเห็นแรงดึงดูดของโลกไหม? ไม่เห็น แต่มันมีจริงๆ เช่นเดียวกัน คริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ใช่คริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าความชั่วร้าย กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือระบบของแรงดึงดูดของฝ่ายวิญญาณดูดให้เขาทำในสิ่งที่ชั่วร้ายนั้น แต่ คริสเตียนมีจิตใจ มีความปรารถนาที่ไม่อยากจะทำอยู่แล้ว แต่เผลอร่วงหล่นลงไป เรียกว่าล้มลง ก็เหมือนคนที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วเผลอ พลาดล้มลง ล้มลงมาเจ็บไหม? เจ็บ ก็หล่นลงมาจากต้นไม้ คล้ายๆ กันอย่างนั้น ซึ่งมารมีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน โดยล่อลวงให้เราหลงล้มลง ด้วยแรงพลังของความบาป ความชั่วร้ายนี่แหละ ที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า
กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มารใช้ พลังอำนาจของความบาปและความตาย ไม่ได้เป็นของพระเจ้า แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันไม่ใช่ของพระเจ้า จึงไม่ได้อยู่ในตัวเรา เป็นของเรา มันไม่ได้มีส่วนอยู่ในตะกี้นี้ที่บอกว่าวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ร่างกายสะอาดหมดจดใหม่แล้ว มันไม่ได้เป็นตัวเราเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันเป็นพลังอำนาจที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายของเรา อยู่ในสมองของเรา ซึ่งผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบเหมือนปรสิต เหมือนพยาธิที่อยู่กับเรา มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นพยาธิ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวเรา แต่มันทำร้ายเราได้
คำว่า “ทำร้าย” หมายถึงมันทำให้เราเสียศูนย์ ก็คือล่อลวงให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ใน 2 โครินธ์ 5:17 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจน เราจะได้มั่นใจว่าตัวเรา คริสเตียนเป็นอย่างไร? …
2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่ ) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”
ทุกสิ่งใหม่หมด พระเจ้าไม่ให้เราบังเกิดใหม่ เพื่อเป็นคนบาป หรือส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นคนบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม ไม่มี เกิดใหม่ทั้งหมดเลย ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น บริสุทธิ์แน่นอน
อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนเป็นผู้ที่ไม่กระทำบาป แพ้การทำบาป ทำไม่ได้เลย ทำแล้วสะดุ้ง คือล้มลงในความบาป แล้วเจ็บ เผลอปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ไม่ระวังตัว หล่นลงมา เจ็บไหม? เจ็บ ชอบขึ้นไปอีกไหม? ไม่ชอบ ตามธรรมชาติ คือเจ็บ ก็ระวังแล้ว เช่นเดียวกัน คริสเตียน เมื่อเขาทำอะไรที่ผิดบาป เขาล้มลงในความบาป เขาเจ็บ เจ็บแล้ว เขาไม่อยาก ไม่ต้องการ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 3:9 “ทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า จะไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะธรรมชาติของพระเจ้า ได้เข้าไปอยู่ในคนๆ นั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ คนๆ นั้นก็ไม่สามารถที่จะทำบาปได้อีกต่อไป เพราะเขาได้มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”
ชัดไหม? ชัดเลย อาจารย์ยอห์นจึงบอกอย่างนี้ว่าคริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปจากใจใหม่ของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเขา และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดว่าเราอยากทำบาปด้วยตัวเราเอง ก็แสดงว่าเรากำลังบอกว่าพระเจ้าอยากทำบาป พระเจ้าทำบาปได้ พระเยซูทำบาปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เป็น คริสเตียนได้บังเกิดใหม่ เป็นหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า DNA วิญญาณมาจากพระเจ้า ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจใหม่เลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติจากภายในเลย แม้แต่นิดเดียว นอกจากพลั้งเผลอ ถูกหลอก ถูกล่อลวงจากภายนอก ตามที่ตะกี้ได้บอก ระบบของโลกนี้ ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่มารใช้ในการล่อลวง อยู่ภายนอกร่างกายเรา มันไม่ได้เป็นตัวเราที่เป็นผู้ทำ กาลาเทีย 5:17 จึงได้บอกอย่างนี้ว่า …
กาลาเทีย 5:17 “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจใหม่ของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์”
เห็นไหม ภายในของท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ และวิญญาณของท่านถูกสร้างใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ต้องการทำสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าแน่นอน 100% แต่ภายนอกมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันเป็นศัตรู มันพยายามขัดขวาง ไม่ให้ท่านทำตามพระวิญญาณ
“ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจใหม่ของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว” เห็นไหม? มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นปรสิต มันเป็นพยาธิที่พยายามที่จะขวางเรา ไม่ให้เราทำ ทำให้เราอ่อนแรง ทำให้เราหลงทาง นี่คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ระหว่างความปรารถนาในใจใหม่ของคริสเตียน โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน และความคิดแบบเนื้อหนัง หรือธรรมชาติบาปเดิม คือเรียกว่าทางเก่า แนวโน้มเก่า นิสัยเก่านั่นเอง ชัดเจนเลยนะ
ในฐานะคริสเตียนที่มีใจใหม่ เรามีความปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ว่าเราพยายามทำ แต่มันเป็นธรรมชาติ ที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า คือแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย คือมีโอกาสจะถูกล่อลวงให้ปรารถนาที่จะทำบาป เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลอยู่ พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราภายใน เราบริสุทธิ์ สะอาด เราต้องการทำตามพระเจ้า และมันก็เป็นอย่างนั้น 100% เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อมันเป็นตามธรรมชาติ มันไม่มีทางเป็นอื่น เหมือนปลารักน้ำ มันเป็นธรรมชาติ อย่างไรมันก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่างไรมันก็อยู่ในน้ำ อยู่กับน้ำ พอมันอยู่บนบก มันตาย มันไม่ตายก็คางเหลือง ดิ้น ทารุณ เพราะธรรมชาติมันอยู่ในน้ำ ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติเขาบริสุทธิ์ ไม่ทำบาป อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกตะกี้นี้ว่าแต่คริสเตียน เรายังอาศัยอยู่บนโลกนี้อยู่ ซึ่งมีอิทธิพลของความบาป มีแรงดึงดูดให้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายอยู่ เรียกว่ากฎของความบาปและความสาปแช่งปกคลุมอยู่ ยังต้องเผชิญกับแรงดึงดูดของความชั่วร้ายนี้ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกเสี้ยววินาที แรงดึงดูดนี้จะพยายามดึงดูดเราให้ออกห่างจากพระเจ้า ออกห่างจากความปรารถนาในใจ ออกห่างจากความจริงของพระเจ้า ออกห่างจากความเชื่อฟังความจริงของพระเจ้า คือมันพยายามโกหก ตอแหล พูดอะไรก็ตามที่มันอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันต้องการให้เราดื้อกับพระเจ้า ต้องการให้เราดับพระวิญญาณ คือไม่เชื่อฟังพระวิญญาณ และมันทำได้อย่างไร? มันทำได้แค่ส่งกระแสมาในความคิด ในสมองของเรา พยายามดึงเราให้เชื่อฟังตามมัน แทนที่จะตามพระวิญญาณ ความคิดแบบเนื้อหนังนี้ มาจากระบบของความคิดแบบเดิม แบบเก่า โปรแกรมความคิดแบบเดิม ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ก่อนที่เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน เราคิดอย่างนั้น เรามีทางเก่าอย่างนั้น และตอนนี้เราเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน มีทางใหม่แล้ว มีธรรมชาติใหม่ แต่ความเคยชินเดิม มันยังคงอยู่ นึกออกใช่ไหม? มันยังคงอยู่ในร่างกายเรา ความเคยชินเดิม เหมือนกับรถ รถขับมา แล้วดับเครื่องเลย มันยังวิ่งอยู่นะ ที่มันยังวิ่งอยู่ เพราะมันมีแรงเก่าของเครื่องที่ผลักดันให้มันวิ่งอยู่ แต่มันค่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ช้าลงๆ ในที่สุดมันก็หยุด
คริสเตียนฉันใดก็ฉันนั้นแหละ อาจจะดูว่ายังทำบาปอยู่ แต่อีกไม่นานหรอก มันไม่ได้เป็นธรรมชาติของเขา ในที่สุด มันก็จะหยุดลง ตามแผนการพระเจ้าที่วางไว้ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงไม่ทำบาปตามใจปรารถนา เป็นกิจวัตร เป็นนิสัยอย่างแน่นอน 100% เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา
คราวนี้ท่านก็พูดด้วยความมั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่า … “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว”
แต่ก่อนพูดไป ท่านก็อาจจะตะขิดตะขวางใจว่า … “ร่างกายฉันยังสกปรกอยู่ ร่างกายฉันยังมีมลทินอยู่”
ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่เลย
ในข้อนี้ตอนที่ 2 ตอนต่อไป … “แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”
ชัดเจนเลย “แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า” ก็คือพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องคุ้มครองเรา ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้ ข้อความนี้หมายถึงว่าผู้ที่บังเกิดจากพระเจ้า คือพระเยซูจะปกป้องคุ้มครองดูแลวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนกับพระองค์ มารร้ายแตะต้องเราไม่ได้เลย เพราะว่าพระเยซูคริสต์ปกป้องเรา และพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา แล้วใครจะต่อสู้เราได้ เราร้องอยู่บ่อยๆ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ใครจะต่อสู้เราได้ ยอห์นบอกชัดเจนเลยว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเราได้
“มารร้ายไม่สามารถแตะต้องเราได้”
เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ แตะต้องเรา ก็เท่ากับแตะต้องพระเยซู แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปได้ไหม? อาจารย์ยอห์นจึงเน้นตรงนี้ว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เขา คือคริสเตียนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ภายในเขา ปกป้องเขา ถ้าเขาแตะเราได้ เราเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ แตะต้องเรา ก็เท่ากับแตะต้องพระคริสต์ ถ้าเรายังเชื่อว่ามารยังสามารถทำอันตรายเราได้ เรากำลังด้อยค่าพระเยซูคริสต์มากเลย แตะต้องเราก็เท่ากับแตะต้องพระเยซูคริสต์
ดังนั้น ศัตรู คือมาร เมื่อมันทำอะไรไม่ได้ แตะต้องพระเยซูไม่ได้ ก็มาแตะต้องผู้เชื่อ คือคริสเตียนดีกว่า แต่แตะต้องคริสเตียนก็เท่ากับแตะต้องพระเยซูก็ไม่ได้อีก มันเลยใช้วิธีแตะต้องโดยการโกหก หลอกลวง ทำให้คริสเตียน หรือผู้เชื่อคิดว่ามันยังมีอำนาจอยู่ มันยังเจ๋งอยู่ เราเป็นเหยื่อที่มันจะเขมือบได้ มันก็ทำให้เรากลัวได้ และมันทำสำเร็จไหม? สำเร็จบ้าง? ก็ทำให้คริสเตียนกลัวมาร ซึ่งมันได้แต่ใส่ร้าย ป้ายสี พูดมดเท็จ อย่างเช่น ตะกี้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว”
มันก็ใส่ร้ายป้ายสี … “เธอชอบธรรมหรือ? อะไรเนี้ย ขายผลไม้ยังขี้โกงตาชั่งเลย”
มีไหม? มีคริสเตียนทำอย่างนี้ไหม? พูดกันตรงๆ มีไหม? ถ้าไม่มีเอาอย่างนี้ง่ายๆ ดีกว่า เมื่อตะกี้ยังโกหกอยู่เลย มีไหม? หรือไม่มีใครโกหกแล้ว เธอยังอิจฉาริษยา ยิ่งตรงๆ เลย ตะกี้นี้ยังนินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย นินทา ตกนรกนะ ในนี้เขียนไว้ แล้วอย่างนี้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? กลับไปบ้านยังหงุดหงิดกับครอบครัวเลย เถียงกัน ทะเลาะกัน อย่างนี้หรือบริสุทธิ์ ชอบธรรมหรืออย่างนี้ ยังโกงภาษีอยู่เลย ยังทำใจไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าชอบธรรมหรือ? บุหรี่ก็ยังสูบอยู่ เหล้าก็ยังกินอยู่ กินเหล้า สูบบุหรี่ เขาเรียกว่าบาปทั้งนั้นแหละ แล้วเธอจะไม่เป็นคนบาปได้อย่างไร เธอเป็นคนบาป เธอไม่ได้เป็นคนชอบธรรมหรอก เยอะไหม? ที่พูดไป ยังมีอีกเยอะไปหมดเลย มันก็เอาวิธีการนี้มาใส่ความคิดให้เรา ทำให้เราสะเทือน ทำให้เราเริ่มสงสัย …
“ฉันเป็นคนชอบธรรมจริงไหม? แน่ใจหรือ? ชักไม่ค่อยแน่ใจ”
ยากอบ 4:7 จึงรู้ แนะนำให้เราบอกว่า “จงยืนหยัดมั่นคงในพระเจ้า แล้วมารมันจะหนีท่านไป” ชัดกว่านั้น แปลอย่างลึกซึ้ง บอกว่า “จงยืนหยัดต่อต้านมาร แล้วมันจะหนีท่านไปด้วยความตกใจกลัวสุดขีดว่านี่มันรู้จริง อย่าไปหลอกมัน ไปหลอกทางอื่นดีกว่า”
นี่แหละ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีความคิดเข้ามา โดยไม่ต้องมีอะไรเลย ไม่ต้องมีการกระทำ แต่มันเอาข้อมูลในอดีต ที่เราฝังไว้ในความคิด แล้วก็เร้ามันขึ้นมา อย่างเช่นเมื่อตะกี้นี้บอกว่าไม่ชอบธรรม เพราะเราไปกินเหล้า สูบบุหรี่ สมมตินะ หรือทำอะไรเห็นความประพฤติ แต่บางครั้งอยู่ดีๆ อาบน้ำ บอก …
“พระเจ้ามีจริงไหมเนี้ย เธอจะเชื่ออะไรบ้าๆ บอๆ หรือ?” มันคิดขึ้นมาเฉยๆ “มันเป็นจริงหรือเนี้ย เธอฝันไป เธอเพ้อไปแล้วหรือ? ตายไปจะได้รับความรอดหรือ? เธอยังไม่ได้สะสมความดีงามเลย แล้วจะไปรอดหรือ? จะไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า แน่ใจหรือว่าเธอทำบริสุทธิ์ ดีพร้อมทุกอย่าง”
มันคิดขึ้นมาเอง เราก็ไขว้เขว เพราะมันต้องการให้เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเรารอดด้วยความเชื่อ ผ่านทางพระคุณ ความเชื่อ … ความเชื่อ คือการมองไม่เห็น แต่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสไว้ ทรงบอกไว้ เพราะฉะนั้น มารก็มีแค่โกหก ใส่ร้าย ด่าทอ กล่าวหา กล่าวโทษ ในพระคัมภีร์บอกว่าทั้งกลางวันและกลางคืน หมายถึงว่าตอนที่เราหลับอยู่มันก็ใส่ความฝันเข้ามาได้เหมือนกัน เอาข้อมูลต่างๆ มาให้เราฝันร้าย เคยไหม? ฝันว่าตีหัวชาวบ้านเขา ฝันว่าอะไรก็แล้วแต่
สิ่งเหล่านี้ ที่มันทำ เพราะมันแตะต้องเราไม่ได้ ถ้ามันแตะต้องเราได้ มันไม่มาเสียเวลาโกหกหลอกลวงเราหรอก มันเข้ามาสิงเราหมดเรื่องหมดราว มันเข้ามาหักคอเราหมดเรื่องหมดราว มันทำไม่ได้ มันก็เลยใช้วิธีโกหกไปเรื่อยๆ วันต่อวัน เพราะมันไม่มีอำนาจใดๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่าศัตรู คือมาร ทำได้แค่เห่า ไม่มีเขี้ยวจริง ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเหมือนสิงห์คำราม แต่เขี้ยวหัก เขมือบเราไม่ได้ แล้วให้เราทำอย่างไร? เราใส่ใจวิ่งสู้กับมันหรือ? ไม่ใช่ ตะกี้ที่ยากอบแนะนำ ให้เรายืนหยัด … ยืนหยัด แปลว่าอยู่เฉยๆ เพิกเฉยกับมันซะ ไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องพยายามหาทางไล่มัน ไม่ต้องไปหมกมุ่น จดจ่อ สนใจฟังมัน ไม่ต้องกังวลและกลัวเกินกว่าเหตุ ยืนหยัดบนถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าที่ตะกี้ที่เราทดลองกันดูตั้งแต่ตอนต้น …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูเลย ตั้งแต่บัดนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์” เอเมน ยืนหยัดอยู่ตรงนี้
พระเยซูคริสต์ผู้สถิตภายในเรา ถ้อยคำบอกไว้ ทรงปกป้องเรา และมารร้ายไม่สามารถแตะต้อง ทำอันตรายเราได้เลย สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่ในสมอง อยู่ในใจของเราตลอดเวลา มารไม่สามารถกล่าวหาเราว่าเป็นคนบาป เหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว แม้ว่าเราอาจจะถูกล่อลวงให้กระทำบาปอีกก็ตาม พระเยซูคริสต์ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของเราต่อหน้าพระเจ้าในสวรรคสถานตลอดเวลา ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เรา คริสเตียนผู้เชื่อ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ตลอดเวลาชั่วนิรันดร์ เอเมน …
1 ยอห์น 5:19 “เรารู้ว่าเราเป็นของพระเจ้า และทั้งโลกอยู่ใต้อำนาจของมาร”
และต่อมา ยอห์นก็บอกว่าความแตกต่างระหว่างผู้ที่เป็นของพระเจ้า คือคริสเตียนเป็นของพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน คือเป็นของโลก ต่างกัน ถ้าเป็นของโลก อยู่ใต้อำนาจของมาร แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พวกเราเป็นของพระเจ้า และได้รับการปกป้องจากพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมารอีกต่อไป แต่ได้รับการปลดปล่อยให้มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราได้ถูกย้ายออกมาแล้ว อยู่ในบ้านของพระคริสต์ บ้านของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกลัว นี่เป็นบ้านของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดสามารถเข้ามาในบ้านนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว โคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษ บาปทั้งสิ้น ที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการกระทำใดๆ)”
ในพระบุตร เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี การกระทำดีใดๆ ของเรา นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงได้รับความรอด อยู่ในสวรรค์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ตั้งแต่บัดนี้ถึงนิรันดร์ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้า และพระองค์ทรงปกปักษ์คุ้มครองดูแลไว้ รักษาไว้ ไม่ใช่เราพยายามทำด้วยตัวเราเอง
ในทางตรงกันข้าม ในระบบของโลกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ในโลกนี้มี 2 ทาง ยอห์นบอก คือในโลกฝ่ายวิญญาณ มีมนุษย์พวกหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้า เป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ และอีกพวกหนึ่งที่ไม่ใช่ของพระเจ้าเป็นของโลก อยู่ในอาดัม ในทางโลก คนที่เป็นของโลก ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็คือคนที่อยู่บนโลกนี้ แล้วไม่เชื่อในพระเจ้า เขาเหล่านั้นยังคงอยู่ในอำนาจของมาร ตามพระคัมภีร์บอก ซึ่งหมายถึงการถูกควบคุม โดยความบาป และการล่อลวงของมาร เป็นทาสมารอยู่ ไม่มีโอกาสได้โงหัวเลย นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้ อยู่ตรงกันข้ามกับลูกของพระเจ้าเลย มืดกับสว่าง ฟ้ากับเหวเลย 1 ยอห์น 4:4-5 ยอห์นได้บอกไว้อย่างนี้ ตอนก่อนหน้านี้ …
1 ยอห์น 4:4-5 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้” 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกที่ถูกสาปแช่งแล้วนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
หมายความว่าพระเจ้าต้องการให้เรามองไปที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เราเชื่อ สิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพอำนาจทั้งสิ้น ทั้งหมดในมหาจักรวาลนี้ ทั้งในโลก ใต้โลก และบนสวรรค์ พระเจ้าได้ประทานให้พระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องการให้เราจ้องมองที่พระเยซู ไม่ใช่จ้องมองที่ศัตรู คือมาร ที่ตาเนื้อเราเห็น บนโลกใบนี้ มาร คือศัตรู หรือการทำอะไรของมัน ที่เราเห็น ไม่ใช่ไปจ้องมองที่นั่น แต่ให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ไม่ใช่มองที่มารหรือศัตรู เพราะว่าหลายครั้งเลย ที่เราเห็นการสอนของผู้คนบนโลกใบนี้ เรื่องพระเจ้า แทนที่จะสอนให้เรามองที่พระคริสต์อย่างเดียวเลย ตามพระคัมภีร์ แต่กลับสอนให้เราหมกมุ่น จดจ้อง จดจ่ออยู่ที่ผีมารซาตาน จดจ่ออยู่ที่การไล่ผีออก การขับผี การขับวิญญาณชั่วออก เล่าถึงเรื่องผีต่างๆ ว่ามันจะทำอันตรายเราได้อย่างไร? เราต้องระมัดระวังมันอย่างไร? อะไรต่างๆ เหล่านั้น ยิ่งสอนมาก ฟังมาก ยิ่งเชื่อมาก ไม่ใช่ ยิ่งกลัวมาก ยิ่งสับสนมาก
“ฉันจะได้รับความรอดหรือเปล่า? ตกลงฉันไปนี่ไปโน่น”
กลัวไปหมดเลย ซึ่งความจริง คือพระเยซู คือผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ฤทธานุภาพอำนาจทั้งหมดอยู่กับพระองค์แต่เพียงผู้เดียว และพระองค์สถิตอยู่กับเรา อยู่ภายในเรา ศัตรู คือผีมารซาตานทั้งหลายเหล่านั้น เป็นแค่เพียงวิญญาณที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา และตอนนี้มันตกสวรรค์แล้ว มันพ่ายแพ้ไปแล้ว มันไม่มีอะไรเลย อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมากจนเกินกว่าเหตุ คือให้ความสำคัญกับมันแค่ตะกี้นี้ที่บอก มันได้แค่เห่า หอนไปเรื่อยๆ โกหกหลอกลวงไปเรื่อยๆ มันทำอะไรเราไม่ได้ ตราบใดที่เรายังยืนหยัดอยู่ที่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า นี่เป็นความจริง พูดถึงว่าเราเป็นใคร? เราไม่ต้องไปกลัวมัน ถ้าพระคัมภีร์บอกให้เรากลัวมัน โอเค เราจะเชื่อ แต่นี่พระคัมภีร์ไม่ได้บอก พระคัมภีร์บอกว่ามารร้ายมันแตะต้องเราไม่ได้ นี่คือสิ่งที่น่าจะสอน น่าจะประกาศให้คริสเตียนได้รับรู้
จำเรื่องที่พระเยซูยกตัวอย่าง ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ประกาศเรื่องนี้ เรื่องความจริงของความรอด ข่าวประเสริฐ พระเยซูบอกว่าท่านขับผีออกตัวหนึ่ง มันจะกลับเข้ามาใหม่อีก 7 ตัว ถ้าขับผีออก 1 ตัว มันยกโขยงมา เพราะว่าการขับผีออก ก็คือท่านทำให้มันสะอาด ผีออกไปแล้วใช่ไหม? แต่บ้านยังว่างอยู่ มันไม่มีใครอยู่ มันก็เอาผีมาอีกเป็นกองทัพเลย เข้ามาอยู่ด้วย พระเยซูกำลังหมายถึงว่าถ้าเผื่อท่านขับผีออก แล้วพระองค์เข้าไปแทนที่ เข้าไปสถิตอยู่ภายใน มันเข้ามาไม่ได้อีกแล้ว หมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่สอนตรงนี้ เพื่อให้เราไปขับผีออก ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
มนุษย์ชอบอะไรประเภทนี้ พวกขับผีเอย ผีมีอำนาจ อะไรต่างๆ ในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนไว้ ไม่ได้บอกว่ามันมีอำนาจอะไร มีแต่โกหก แล้วเราทั้งโลก ก็ถูกหลอก เพราะว่าความต้องการของมนุษย์ เราต้องการอย่างนี้ เราก็ฝืนจากถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริง ถูกหลอกแล้ว มารก็หลอกเราว่ามีอำนาจอยู่นะ มันยังยิ่ใหญ่อยู่ มันยังยอดเยี่ยมอยู่
นี่ประสบการณ์ อย่างเช่น พอเราไปจดจ่อ จดจ้อง ไปให้ความสำคัญกับมารเกินกว่าเหตุ อย่างเช่นเขาบอกว่า …
“ต้องขับผีออกทุกวันเลยนะ เธอเดินเข้าป่า ต้องไล่ผีไปก่อน เดินเข้าป่ามืดๆ ไล่ผีไปด้วย”
มีผีภูเขา มีผีนางไม้ ผีกระสือ ผีอะไรต่อมิอะไร ต้องเดินขับผีไปเรื่อยๆ แทนที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงขับผีไปเลย ในนามพระเยซู ผีร้ายจะต้องหนีไป ใช่หรือเปล่า ร้องอย่างนี้ใช่ไหม? …
“ในพระนามพระเยซู ในพระนามพระเยซู ผีร้ายจะต้องหนีไป”
มันจะไปร้องอย่างนี้ทำไม ในพระนามพระเยซู ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ผีร้ายแตะต้องฉันไม่ได้ ผีร้ายต้องหนีไป ก็แสดงว่ามันทำอะไรเราได้ ต้องร้องไปตลอดทาง ต้องขับผีออก ไม่ใช่ผีตัวเดียว ท่านลองคิดดู ถ้าท่านสนใจเรื่องการขับผีอย่างนี้ สนุกสนานอย่างนี้ พระเยซูหายไปเลย เพราะว่าท่านต้องไปนั่งนับว่ามีผีอะไร ผีกระสือ ผีโน่น ผีนี่เยอะแยะไปหมดเลย เสร็จแล้ว พอจากในป่าเข้ากรุง พอเข้าในกรุง ไม่มีต้นไม้มืดๆ แล้ว มีแต่สว่างๆ เดินผ่านศาลพระภูมิก็ไม่ได้ ต้องระวังนะ เดี๋ยวมันโดดเข้าใส่ อย่างนี้อีกเยอะแยะ
หรือหนักกว่านั้น มีประสบการณ์มา ก็คือขับผีในโบสถ์เลย คือในโบสถ์ ในคริสตจักร ถึงขนาดนั้น ผีเข้ามาในโบสถ์เลย อย่างนี้เป็นต้น ขับผีออก ลงไปดิ้นๆ ไม่ยอมออกอีก ดื้ออีก ต้องหาวิธีการอะไรต่างๆ มา อย่างนี้แหละ คือการเรียกว่าการจดจ้อง จดจ่อไปที่พระเยซูคริสต์มันดีกว่า ความจริงของพระองค์เป็นอย่างนั้น พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้อย่างที่ตะกี้นี้บอก อาจารย์ยอห์นจึงเน้นตรงนี้ว่าไม่ต้องกลัวแล้ว เรามีชัยชนะเหนือโลกแล้ว เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความชั่วร้ายบนโลกนี้แล้ว พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา 1 ยอห์น 5:20 …
1 ยอห์น 5:20 “เรารู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว และได้ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง และเราอยู่ในพระองค์ ผู้ทรงเป็นจริง คือในพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวิตนิรันดร์”
พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมา เพื่อให้เราได้รู้จักพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้จริงๆ แต่พระองค์เดียว เป็นของจริง พูดง่ายๆ พระเยซูเท่านั้น ที่นำพามนุษย์มารู้จักพระเจ้าแท้จริง คือพระบิดา พระองค์ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อให้เรารู้จัก และมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ผ่านทางพระองค์
พระองค์ประทานความเข้าใจให้เราสามารถเชื่อในพระบิดาว่าส่งพระเยซู มาเป็นพระเมสิยาห์ เมื่อเราเชื่อ เราก็ได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา การที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หมายถึงการมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน และการได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ มาเป็นชีวิตของเรา ร่วมกับพระเยซู ชีวิตของเราซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณนิรันดร์ ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า แล้วพระเยซูก็แบ่ง ประทานวิญญาณนิรันดร์ หรือชีวิตนิรันดร์ให้กับผู้เชื่อ นึกภาพออกใช่ไหม? ผู้เชื่อก็เลยได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา เราเลยเป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนี้ ยอห์น 10:28 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้น จะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”
เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เป็นอย่างนี้นิรันดร์ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ สำหรับผู้เชื่อในพระองค์เท่านั้น นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีชีวิตนิรันดร์ที่ไหนแล้ว เมื่อเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราก็จะเป็นอย่างนั้น เป็นตั้งแต่เมื่อไร ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งอย่างนี้เลย บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่ง แล้วจะเป็นหนึ่งอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ยอห์น 14:6 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใคร มาถึงพระบิดา (เข้าสวรรค์) ได้ นอกจากมาทางเรา”
ทางเดียวเท่านั้นเห็นไหม? ทางที่เราจะเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา เจ้าของสวรรค์ได้ คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คือเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์นั่นเอง ก็หมายถึงว่าขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราได้เริ่มต้นอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ข้อสุดท้ายของหนังสือ คือ 1 ยอห์น 5:21 …
1 ยอห์น 5:21 “ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพเถิด”
การบูชารูปเคารพ ไม่ได้หมายถึงเพียงการบูชารูปปั้นหรือสิ่งของเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งใดก็ตามที่เราให้ความสำคัญมากกว่าพระเจ้า เช่น เงินทอง อำนาจ หรือความสำเร็จ การรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพนี้ หมายถึงการยึดมั่นในพระเจ้า และให้พระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิตสูงสุดของเรา และการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการนำทาง และเสริมทางความเชื่อของเรา คือให้ความสำคัญ อย่างที่ตะกี้นี้บอก จดจ่อ มองไปที่พระเยซูคริสต์ นี่แหละ ถ้าเรามองไปที่อื่นเมื่อไร คือรูปเคารพ ถ้าเรามองไปที่มารอย่างที่ตะกี้นี้บอก เน้นไปที่มาร ไล่ผีอะไรต่างๆ เรากำลังมีรูปเคารพ หรือต้องการแต่เรื่องเงินทองอย่างเดียว เรากำลังมองไปที่รูปเคารพ
ในนี้บอกว่าให้เราระวังรูปเคารพ หมายถึงรูปเคารพจากภายนอก ไม่ใช่จากในใจ เพราะมีหลายคนเข้าใจผิด สอนว่าระวังนะ อย่ามีรูปเคารพอยู่ในใจ มีได้ไหม? ไม่มีทางเลย เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอก ในใจเราสะอาด หมดจด และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าไม่มีทางที่จะแบ่งเรา หมายถึงแบ่งหัวใจเรา หรือแบ่งร่างกายเราให้กับมาร เข้ามาอยู่อาศัยได้ คริสเตียนไม่มีทางมีผีมาอยู่ในตัวของเขาได้เลย พระเจ้าไม่ยอมแน่นอน เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีรูปเคารพอยู่ในใจของท่านหรอก แต่มันอยู่ภายนอก เพราะว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ภายในตัวเราไม่มีรูปเคารพเด็ดขาด มีแต่พระคริสต์ แต่สิ่งที่เราต้องระวัง ก็คือระวังรูปเคารพจากภายนอก ก็คือระบบของโลกใบนี้ กระแสของโลกใบนี้ที่มารมันใช้ในการต่อต้าน พระเจ้า ผ่านทางความคิดของเรา ให้หลง ให้หมกมุ่น ให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก มาจากความคิด
พระคัมภีร์จึงบอกว่าจงจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ อย่าจดจ่อที่ฝ่ายโลก มันหมายถึงอย่างนี้ จดจ่อฝ่ายโลก ผ่านทางบุคคล ยกย่องบุคคลจนเกินเหตุ ยกย่องทรัพย์สิน เงินทองจนเกินเหตุ ยกย่อง แสวงหาความสำเร็จจนเกินเหตุ แม้แต่อย่างที่บอก ยกย่องศัตรูจนเกินเหตุ ยกย่องมารว่ามันมีความสามารถเยอะแยะเลย จนเกินเหตุ อย่างนี้แหละ คือรูปเคารพ
เพราะฉะนั้น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นแนะนำให้ สรุปให้ ก็คือปกป้องความคิดจิตใจของเรา จากความคิดจอมปลอมของมาร ซึ่งมันทำได้แค่นั้นเอง แล้วก็รักษาความจริงให้อยู่ในใจ หรืออยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า และสุดท้าย คือให้เราหมกมุ่น จดจ่อมองที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นชัยชนะของเรา ผู้ทรงเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลเราทุกอย่าง พระองค์สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญเพียงพระองค์เดียว และพระองค์ไม่มีวันที่จะทำให้เราผิดหวังเลย แม้แต่นิดเดียว เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
สร้างอุปนิสัยใหม่ ในชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสต์
เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับอุปนิสัยที่แย่ๆ ความประพฤติที่ไม่เหมาะสม กับการเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว และพยายามเลิกแต่ยังไม่สำเร็จ สิ่งสำคัญ คือการเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในความพยายามนี้ พระเจ้าทรงอยู่กับเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในเรา เพื่อช่วยให้เราเอาชนะการล่อลวงชักจูง ให้ทำสิ่งที่ใจเราไม่ต้องการจะทำ
ฟิลิปปี 2:13 … “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์”
สร้างอุปนิสัยใหม่ ในชีวิตใหม่. โดย …
1. จดจ่อ จดจำ จนขึันใจ ว่าเราเป็นผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วในพระคริสต์ เราได้รับการอภัยบาปทั้งหมดแล้ว และไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
โรม 8:1 … “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดใดแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”
2. พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีพลังในการเอาชนะกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง พระวิญญาณทรงเป็นผู้ช่วย และทรงนำเราในทางที่ถูกต้อง
กาลาเทีย 5:16-18 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าให้เราดำเนินชีวิตสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่สนองต่อความต้องการของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มัน คืออิทธิพลพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่กระทำการงานอยู่ในโลก และในร่างกาย ในสมอง ในความคิดจิตใจ ที่คอยผลักดันชักจูงให้เราทำตามกิเลสตัณหาของมันซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า) 17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณก็ต่อสู้ กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ในพระวิญญาณแล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้อยู่ในอาดัม ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมัน ตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป)”
3. เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา โดยการจดจ่อ จดจำรับรู้อยู่กับความจริงของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราในพระคริสต์
โรม 12:2 … “อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ (คือกิเลสโลกียตัณหาของเนื้อหนังซึ่งขัดแย้ง ต่อต้านกับพระวิญญาณ คือทางของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์) แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมข้อมูลความคิดในสมอง) ความคิดสติปัญญาแบบเดิม (คือแบบเนื้อหนัง) เสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน (จะได้ ฝึกฝนประพฤติตามความคิดใหม่นั้น)”
การรู้จักและเชื่อในตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตตามความจริงนั้น
4. อย่าลืมว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของบาป ที่ปกคลุมอยู่บนโลกนี้ ด้วยตัวเอง พระเจ้าทรงอยู่กับเรา และทรงประทานพลังให้เราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ การต่อสู้กับอิทธิพลของความบาปบนโลกนี้ มันอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าที่ทรงอยู่กับเรา และทรงทำงานในเราเพื่อให้เรามีชัยชนะในพระคริสต์
พระคริสต์อยู่ในเราตลอดเวลาเสมอไป พระเจ้าอวยพรครับ