คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2025
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 19
“บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร? & คำอุปมา เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก”
โดย นคร เวชสุภาพร
เราลองฟังอุปมานี้ดู เผื่อจะจำสิ่งที่เกิดขึ้น ที่บทเพลงนี้ได้แต่งมา แล้วร้องเมื่อสักครู่นี้ เราจินตนาการ อุปมานี้ ผมใช้เชื่อเรื่องว่า “เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก” เรือสวรรค์ ลองจินตนาการดู เรือลำใหญ่ๆ ที่งดงาม เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ลอยอยู่กลางทะเลในโลกอันปั่นป่วน เรือลำนี้มีชื่อว่าเรือแห่งสวรรค์ของพระเยซู และมีประตูทางเข้าเพียงประตูเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปได้ และข้อสำคัญ คือเข้าไปแล้ว ไม่มีประตูออก ที่หน้าประตูนั้น มีพระเยซูต้อนรับอยู่ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมา พร้อมตรัสอย่างอ่อนโยนว่า …
“เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”
พระองค์พูดอย่างอ่อนโยน “เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”
ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 10:28 เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระองค์ เขาก็จะถูกจูงมือเข้าไปในเรือลำนี้ ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องสอบเข้า ไม่ต้องมีคุณสมบัติใดๆ เพียงแค่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระองค์ ประตูก็เปิดต้อนรับเขาผู้นั้นทันที และเมื่อเขาเข้าไปในเรือแล้ว ประตูก็ปิดลง ไม่ใช่เพื่อกักขัง แต่เพื่อความปลอดภัย ประตูนั้น ไม่มีลูกบิดด้านใน ไม่มีทางออก ไม่มีใครเปิดได้อีก ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากักขังเขา แต่เพราะพระองค์ทรงมั่นใจว่าลูกของพระองค์จะไม่มีใครพรากไปอีก ไม่ว่าจะเกิดพายุร้ายแรงแค่ไหน? ไม่ว่าจะมีคลื่นแห่งความกลัว หรือความสงสัย ความล้มเหลว หรือความบาป ต่อให้มีขโมยมาพยายามแย่ง ก็ไม่มีใครสามารถฉุดเขาจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้เลย
พระองค์ทรงตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ อาจจะมีเสียงกระซิบจากศัตรูว่าเจ้าทำบาปอีกแล้ว พระเจ้าคงจะทิ้งเจ้าแน่ เจ้าดื้อกี่ครั้งแล้ว พระเจ้าคงไม่รักเจ้าแล้ว เจ้าทำแล้ว ก็ทำอีก พลาดแล้วก็พลาดอีก พระเจ้าไม่เอาเจ้าแล้ว”
แต่พระเจ้าตะโกนกลับด้วยความรักว่า “ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ จะไม่มีสิ่งใดแยกลูกออกจากเราได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิตก็ตาม” ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:38-39 เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรือ นี่คือบ้านของลูก ลูกคือลูกพระเจ้า เรือลำนี้ เป็นที่ที่บุตรของพระเจ้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และจะยังมีร่องรอยความอ่อนแอ แม้จะเรียนรู้ยังไม่จบ ยังไม่สิ้นก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยทิ้ง เมื่อเข้าแล้วเข้าเลย ไม่มีวันออก ไม่มีตั๋วหมดอายุ ไม่มีวันหมดสัญญา มีแต่ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และการทรงสถิตที่ไม่มีวันพรากจากกัน แม้เราจะล้มลงผิดพลาดเท่าไรก็ตาม แต่พระองค์จะไม่โยนเรากลับลงทะเล เพราะความรอดในพระคริสต์มั่นคงนิรันดร์ ไม่มีวันหายไปเลย เอเมน”
ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 18 จบลงที่ 1 ยอห์น 5:14-15 วันนี้ตอนที่ 19 ใช้ชื่อเรื่องว่า “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:16 …
1 ยอห์น 5:16 “คนที่เห็นพี่น้องของตัวเองทำบาป แต่เป็นบาปที่ไม่ได้นำไปถึงความตาย เขาควรจะขอต่อพระเจ้า สำหรับพี่น้องคนนั้น และพระเจ้าจะให้ชีวิตกับพี่น้องคนนั้น ผมกำลังพูดถึงคนที่ทำบาป ซึ่งไม่ได้นำไปถึงความตาย แต่บาปที่นำไปถึงความตายก็มีด้วย ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ สำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น”
บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ความตายตรงนี้ คืออะไร? บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณในบริบทนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 5 หมายถึงบาปเล็กน้อย บาปทั่วไป ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าบาปใหญ่หรือบาปเล็ก เรียกว่าบาปก็แล้วกัน ที่คริสเตียนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงทำในชีวิตประจำวัน คือบาปที่ประพฤติตามกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง แทนที่จะประพฤติตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียกว่าบาป ซึ่งเป็นบาปที่ไม่ใช่คริสเตียนเผชิญเท่านั้น แต่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ก็เผชิญกับบาปนี้ทั้งหมดเลย มันเป็นอิทธิพลของความบาปที่ปกคลุมอยู่เหนือบนโลกใบนี้ ก็คืออิทธิพลของความบาปที่จะชักจูง ล่อลวงให้มนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน หรือตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ เราเรียกว่าการชักจูง ล่อลวงของระบบของโลกนี้ ที่มีอิทธิพล มีพลัง เรียกว่าพลังของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่เหนือมนุษย์ทุกคน ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนไว้ ใช้ชื่อว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง หรือกระแสของโลก
กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง กระแสของโลก หรือเนื้อหนังเฉยๆ ก็คือความบาปนั่นเอง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ใช้คำเหล่านี้หมดเลย อิทธิพลเหล่านี้ เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เป็นจริงๆ เป็นลักษณะวิญญาณจริงๆ คือมันมีพลังจริงๆ ที่ดูดให้คน ผลักดันให้คนไปทำสิ่งที่เรียกว่าบาป ไปทำตามมัน จะได้รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา เป็นมัน มันคือไม่ใช่ตัวเรา หลายครั้งเราทำบาป หลายครั้งเราทำไม่ถูกต้อง เรานึกว่าตัวเราเองเป็นคนทำ จริงๆ มันมีพลังอำนาจหนึ่งที่มองไม่เห็น ผลักดัน ชักจูง ล่อลวงให้เราทำ นี่แหละ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็ถูกชก 2 ต่อเลย 1 มันล่อลวงเรา ล่อลวงเราไม่พอ แถมพอล่อลวงเราเสร็จปุ๊บ เราทำปุ๊บ มันใส่หมัดที่ 2 มา ให้เราฟ้องผิดตัวเอง …
“ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”
อ้าว! ชกตัวเองอีก นึกภาพนะ น่าสงสารไหม? ถ้าเรารู้ความจริง อย่างน้อยเราถูกชก ถูกล่อลวงไป มันไม่ใช่ตัวเรานี่ เราต้องสู้กับมัน อย่างนี้พอจะมีทางแล้ว เหมือนพยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราไม่รู้ว่าพยาธิ เรานึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น ตายเลย หาทางไม่เจอ ไม่รู้จักต้นเหตุ แต่พอเรารู้ว่าเป็นพยาธิ ไม่ใช่เราเอง กินยาถ่ายพยาธิก็จบแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเปรียบเหมือนกับแรงดึงดูดของโลก แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี มีแรงดึงดูดของโลก มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำงานไหม? ทำงาน ทำงานหมดเลย ไม่ว่าคนนั้นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ตาม มันทำงานตลอด
“ฉันไม่ได้ตั้งใจเดินไปตรงนั้น แล้วไม่ใส่เข็มขัดนิรภัยเลย แล้วมันร่วงลงมา ฉันไม่ได้ตั้งใจเลย”
ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจมันก็ดูด เป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดี ก็ดูด ดูดตกลงมาเท่านั้น ถ้าเผื่อเข้าไปสู่เงื่อนไขของระบบการทำงานของแรงดึงดูดของโลก มันดูดตกหมด
กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังก็เช่นเดียวกัน “ทำบาป ฉันไม่ตั้งใจ พระเจ้าคงเข้าใจ” ไม่เข้าใจหรอก เหมือนกับเราบอก เราเดินขึ้นไปข้างบน แล้วเราไม่ใส่เซฟตี้ แล้วเราตกลงมา แล้วเราก็บอกว่า
“แรงดึงดูดน่าจะเข้าใจนะว่าฉันลืมใส่ครั้งเดียวเอง ทุกทีฉันใส่ตลอด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ใส่ น่าจะเข้าใจ น่าจะไม่ดูดฉัน หรือว่าฉันเป็นคนดี ไม่น่าดูดฉันเลย” อย่างนี้เป็นต้น
จะได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มันมีอยู่ในนั้น ไม่ตั้งใจ มันก็ผลักดันให้เราทำ ตั้งใจก็คือมาจากมันที่ชักจูงให้เราทำ
พอบอกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันชักจูงให้เราทำบาป บาปเหล่านั้นมีอาการอย่างไร? บอกหมดเลยว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ ใครที่ถูกชักจูง มนุษย์ที่ถูกชักจูงกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังให้กระทำ อาการมันจะเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 5:19-21 …
กาลาเทีย 5:19-21 “การกระทำฝ่ายเนื้อหนังนั้น เห็นได้ชัด คือการประพฤติผิดทางเพศ ความสกปรกโสมม ความมักมากในกาม การบูชารูปเคารพ การใช้วิทยาคม ความเกลียดชัง การมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน ความอิจฉา ความโกรธเกรี้ยว การแก่งแย่งชิงดี ความแตกแยก และการแบ่งพรรคแบ่งพวก ความริษยา การเมาเหล้า ดื่มสุราเฮฮามั่วสุม และสิ่งอื่นๆ ในทำนองนี้”
และในโรม 1:29-31 …
โรม 1:29-31 “ความไม่ชอบธรรม ความชั่วร้าย ความโลภ และเสื่อมศีลธรรมสารพัด พวกเขา เต็มด้วยความอิจฉา ฆาตกรรม การวิวาท หลอกลวง การปองร้าย ช่างนินทา การว่าร้าย เกลียดชังพระเจ้า สบประมาท เย่อหยิ่ง โอ้อวด ริวางแผนทำความชั่ว ไม่เชื่อฟังบิดามารดา โง่เง่า ไร้ความเชื่อ ไร้ความรัก ไร้ความเมตตา”
นี่บันทึกไว้อยู่ในพระคัมภีร์ และยังมีอยู่ในพระคัมภีร์ ข้ออื่นๆ อีกประมาณหนึ่งว่าการขาดความอดทน หรือขาดความเมตตาต่อผู้อื่น อาการนี้ก็เช่นเดียวกัน หรือการพึ่งพาตนเอง มากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า ก็เป็นบาป อันสุดท้ายยิ่งชัดเลย การละเลยที่จะทำความดี เมื่อมีโอกาส รู้ว่าดี แล้วไม่ทำ ก็เป็นอาการหนึ่งของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันจะรอดไหมเนี้ยมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนทำหมด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เพราะมาอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ พลังงานของการดึงดูดให้เราไปทำสิ่งนี้เท่ากันทุกคน เพียงแต่มันจะโผล่ออกมาอาการใด ไม่เหมือนกัน แต่อยู่ในข่ายนี้ คิดดูสิ พระเจ้าให้เท่ากันเลยว่าเป็นความบาปเหมือนกัน ตั้งแต่ฆ่าคนตายถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หรือเย่อหยิ่ง มีค่าเท่ากัน เป็นบาปเหมือนกัน มาจากแหล่งเดียวกัน มาจากตะกร้าเดียวกัน เรียกว่าตะกร้าของเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วจะมีใครรอดสักคนหนึ่ง ที่ไม่เคยทำเลย เกิดมา ไม่เคยดื้อต่อพ่อแม่เลย เกิดมาไม่เคยพูดโกหกเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เห็นไหม? นี่คือมนุษย์ไม่สามารถพึ่งตนเองได้เลย เพราะว่ามันมีอำนาจของความบาปปกคลุมอยู่
ซึ่งนี่ก็คือความบาปที่เราอ่านมาทั้งหมด อาการทั้งหมด ความบาปบนโลกใบนี้ บาปเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว หรือคริสเตียนแล้ว ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เพราะผู้เชื่อได้รับการอภัยทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้วทางฝ่ายวิญญาณ ก็จริงอยู่ แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็อยู่ใต้พลังอำนาจนี้เหมือนกัน เหมือนกับยังอยู่ใต้แรงดึงดูดของโลกอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกจากโลกนี้ไป มันก็ยังอยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของโลก ยังไม่ได้ออกจากโลกนี้ยังอยู่ภายใต้พลังอำนาจของกิเลสตัณหาของความบาปและความตาย ก็คือภายใต้อาการเหล่านี้ แต่ว่าภายใต้ในลักษณะที่ไม่ได้ต้องชดใช้ อะไรอีกแล้ว เพราะเขาได้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหมดนี้แล้ว ที่อ่านมาทั้งหมด มีโอกาสทำดี แต่ไม่ทำดี ก็ได้อภัยไปแล้ว นี่คือคริสเตียน แต่ถ้าเผื่อยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็ยังอยู่ในการชดใช้ ทำบาป ก็ต้องชดใช้หนี้บาป นึกภาพออกใช่ไหม?
และข้อที่เขียนไว้ว่าพระเจ้าจะประทานชีวิต แก่ผู้ที่ทำบาปเหล่านี้ ก็คือประทานชีวิตแก่คริสเตียนที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ลองอ่านอีกครั้งหนึ่ง คำว่า “ชีวิต” ในที่นี้จะหมายถึงอะไร? ย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ 1 ยอห์น 5:16
1 ยอห์น 5:16 “คนที่เห็นพี่น้องของตัวเองทำบาป แต่เป็นบาปที่ไม่ได้นำไปถึงความตาย เขาควรจะขอต่อพระเจ้า สำหรับพี่น้องคนนั้น และพระเจ้าจะให้ชีวิตกับพี่น้องคนนั้น”
เกรงว่าท่านจะสับสน อ้าว! ให้ชีวิต ไหนบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานชีวิตแล้ว แล้วไหนจะให้ชีวิต
คำว่า “ชีวิต” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ ตอนเปิดใจรับเชื่อแล้วทันที คำว่า “ชีวิต” ในข้อนี้ หมายถึงการฟื้นฟู การเสริมสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อที่กำลังหลงผิด ถูกล่อลวง โดยพลังอำนาจของความบาปและความตาย ของเนื้อหนัง ให้ทำสิ่งที่มีอาการ ที่เรียกว่าอาการของเนื้อหนัง ให้ทำบาปออกมา เขายังมีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม แต่ว่าพระเจ้าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการติดบ่วง ถูกล่อลวงให้ทำผิดบาป ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเขา อยู่ภายใน เพราะว่าสำหรับคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่เขาได้รับเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ชีวิตนิรันดร์เป็นของเขาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย เป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่ในตัวแล้วตลอดไป พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่มีทางที่จะเป็นอื่นไปได้อีกเลย เขาได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวแล้ว เข้าแล้ว ไม่มีออกแล้ว ได้รับแล้ว ไม่มีทางสูญเสียไปเลย ยอห์น 3:16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการ บังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”
คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่มีทางที่จะไปไหนได้อีกแล้ว นี่คือความรอดนิรันดร์ที่ผู้เชื่อ หรือคริสเตียนได้รับแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยอห์น 10:28 ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”
เป็นการยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ให้กับคริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั้น เขาได้รับชีวิตนิรันดร์ทันทีเลย และชีวิตนิรันดร์จะอยู่กับเขาอย่างนั้นตลอดไป ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน
ดังนั้น การประทานชีวิตในข้อนี้ ในบริบท 1 ยอห์น บทที่ 5 นี้จึงหมายถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์และการเสริมสร้าง ความแข็งแรง แข็งแกร่งของชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาที่ถูกล่อลวงให้ทำบาป มันเป็นการฟื้นฟู ประทานการฟื้นฟู ให้ชีวิตดีขึ้น ไม่สับสน เพื่อให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ได้ กลับมาดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามถ้อยคำพระเจ้า ให้สมควรกับการที่เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และไม่หลงกลศัตรู คือไม่หลงกลการผลักดัน การชักจูงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งคือระบบของโลกนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า คอยทำอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านั่นเอง ในยากอบ 5:19-20 ก็ได้พูดในลักษณะนี้ …
ยากอบ 5:19-20 “พี่น้องทั้งหลายถ้าคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง และผู้ใดชักจูงเขา ให้เขากลับใจเสียใหม่ได้ จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่าผู้ที่ช่วยคนบาปคนนั้น ให้พ้นจากทางผิดของเขา ก็ได้ช่วยชีวิตหนึ่ง ให้รอดพ้นจากความตาย (หมายถึงความทุกข์ยากลำบาก และปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นผลจากการกระทำบาป) และได้ขจัดการบาป เป็นอันมากไว้”
คำว่า “ให้รอดพ้นจากความตาย” อย่าเข้าใจผิด นึกว่าพอเขาทำบาป แล้วเขาตาย ไม่ใช่หมายถึง ลักษณะวิญญาณตาย วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นพี่น้อง แต่ทำไมในนี้บอกว่ารอดพ้นจากความตาย
รอดพ้นจากความตายตรงนี้ ก็คือตรงกันข้ามกับประทานชีวิต ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:16 ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ คำว่า “ตาย” ก็ไม่ได้หมายถึงความตายทางฝ่ายวิญญาณ แต่หมายถึงการรับสิ่งที่ผลของการถูกล่อลวงให้ทำบาป การเก็บเกี่ยวทางฝ่ายวิญญาณ การเก็บเกี่ยว หรือผลที่ตัวเองหว่านลงไปในย่านเนื้อหนัง ไม่ใช่พระวิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ก็คือทำตามกระแสของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ ก็เก็บเกี่ยวความตาย หมายถึงเก็บเกี่ยวย่านของความตาย ก็คือความทุกข์ ความลำบาก ปัญหาต่างๆ สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความทุกข์ที่มันมีอยู่แล้วเป็นประจำ ในโลกใบนี้ มันก็มากขึ้น ไปเพิ่มเติมความทุกข์ให้มากขึ้น
ในนี้บอกว่าให้เราอธิษฐานให้กับพี่น้องที่ทำบาปเหล่านี้ ก็คือให้กับคริสเตียนเหล่านี้ เป็นการแสดงความรัก ความห่วงใยในชุมชนคริสเตียน โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำพวกเขาให้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง เขาถูกล่อลวงให้ทำผิด มันเป็นทุกข์ต่อตัวเขา เก็บเกี่ยวในด้านฝ่ายวิญญาณแห่งความตาย ช่วยเขา เป็นกำลังใจให้เขา อธิษฐานให้เขา เข้าใจเขา หนุนใจเขา เพราะขณะที่เราหนุนใจเขา หรืออธิษฐานให้เขา ตัวเราเองข้างใน เราก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ นึกออกใช่ไหมว่าพระวิญญาณก็จะช่วยนำพาให้เขา ได้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง โดยพระเจ้าจะนำเขากลับมาสู่ทางที่พระองค์ต้องการ เพื่อเสริมสร้างเขาให้มีความเชื่อ มีความเข้มแข็งในถ้อยคำของพระเจ้า สามารถชนะการล่อลวงเหล่านั้นได้ อย่างเช่น คนติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่เรากำลังพูดถึงคริสเตียน แล้วทำอย่างไร? ให้อธิษฐานให้คนทำผิดเหล่านั้น เขาได้รับการอภัยแล้ว แต่เขาต้องการกำลังจากพวกเราที่เข้าใจเขา เพื่อช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการหลงไปสู่การกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษให้กับเขา
ยกตัวอย่าง อย่างเช่นตะกี้นี้บอกว่ากินเหล้า สูบบุหรี่ มันก็ทำให้เขาเสียสุขภาพ เสียเงิน เสียทอง เสียอะไรอีกหลายๆ อย่าง แล้วกระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนอื่น ออกไปขับรถ ไปชนคนอื่นเสียชีวิตอีก มีแต่เรื่องมากขึ้น ก็คือบาปต่อบาป ผลของความบาป ไปเรื่อยๆ ต่อไปเยอะแยะมากมาย จากคนนี้กระทบไปถึงคนนี้ กระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นเรื่องใหญ่เลย เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว อย่างนั้นแหละ
ในนี้จึงบอกว่าการที่พระเจ้าให้พี่น้องอธิษฐานให้คนเหล่านี้ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ ให้ฟื้นฟูชีวิตในพระคริสต์ ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้กลับคืนมาใหม่ เป็นการขจัดความบาปออกจากโลกนี้ด้วย คือการขจัดความบาป ไม่ให้มันมากขึ้น เพราะถ้าเขาหยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งที่กระทบมา สิ่งไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น มันก็น้อยลงไป จะเห็นชัดเลย
คราวนี้มาอันที่ 2 บาปที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? ที่ตะกี้เราอ่านใน 1 ยอห์น 5:16 ที่บอกว่า …
1 ยอห์น 5:16 “แต่บาปที่นำไปถึงความตายก็มีด้วย ผมไม่ได้บอกให้คุณอธิษฐานขอ สำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น”
เมื่อตะกี้นี้ บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตาย พระเจ้าบอกว่าให้อธิษฐาน ช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่ทำไมมาถึงตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องอธิษฐานให้กับคนที่ทำบาป ที่นำไปสู่ความตาย
เรามาดูกันสิ “บาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร?” ทำไม่ได้เลย เพราะนำไปสู่ความตาย คำว่า “นำไปสู่ความตาย” ความตายนี้ คือตายนิรันดร์ฝ่ายวิญญาณ ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์เลย มัทธิว 12:31-32 พระเยซูเป็นผู้อธิบายให้เราฟัง …
มัทธิว 12:31-32 “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าความผิดบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง จะโปรดยกให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้ ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้ โลกหน้า”
“ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า” ชัดเลย โลกนี้และโลกหน้า หมายถึงชีวิตในปัจจุบัน โลกนี้ โลกหน้า คือชีวิตหลังความตาย ก็หมายถึงความบาปนี้จะไม่ได้รับการอภัยจนถึงนิรันดร์นั่นเอง และมันคืออะไร? พระเยซูบอกว่า “กล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึงการปฏิเสธ และต่อต้านการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระกายของพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ และ 3 ปีสุดท้ายมาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง การปฏิเสธนี้ เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับการช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเป็นการปฏิเสธความเชื่อในพระเยซู ไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาพระองค์ ในฐานะเป็นพระมาซีฮาห์ พระเมสโปดกของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้า พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่มนุษย์รอคอยมาเป็นเวลาหลายพันปี ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตอนนี้มาแล้ว และมาสำแดงว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์แล้ว โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลงมาสถิตอยู่กับพระองค์ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นมนุษย์ และทำการอัศจรรย์อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และกระทำหลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมของชาวยิว
เพราะนี่กำลังพูดกับชาวยิว ให้ชาวยิวได้รู้ว่าการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั้งๆ ที่เห็นอัศจรรย์เหล่านั้น ที่พระเยซูทำ การชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ การอัศจรรย์ คนหายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ไม่มีใครที่ไหนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนไหนเคยทำมาก่อน และจะทำอีก และจะเคยทำ และจะมีขึ้นมาในโลกนี้ ไม่มีอีกแล้ว มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำการอัศจรรย์จริงๆ เหล่านี้ มีเพียงพระองค์ผู้เดียว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี ก็ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ใกล้เคียงนิดหนึ่งก็ยังไม่มีเลย และก่อนหน้าที่พระเยซูจะมา ก็ไม่มีทำอัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คนตายไปแล้ว อยู่ในอุโมงค์ตั้งหลายวันแล้ว เรียกออกมา กลิ่นเหม็นอยู่เลย การอัศจรรย์เหล่านี้ มันปฏิเสธไม่ได้ แต่พวกฟาริสี ชาวยิวบางคนปฏิเสธ ไม่เชื่อพระองค์ โดยบอกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอัศจรรย์นั้น เป็นผี เป็นมาร เป็นซาตาน เป็นผู้กระทำ หมายถึงพระเยซูทำการอัศจรรย์ผ่านทางมารที่อยู่ภายใน
ก็คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ทั้งๆ ที่ได้รับการอัศจรรย์เหล่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าพวกนี้ไม่มีทางหรอก เพราะว่าเขาปฏิเสธ ต่อให้อัศจรรย์ที่เขาบอกว่า “ไหนลองทำอัศจรรย์ให้ดูหน่อย” ที่ทำไปมันเยอะพอแล้ว พระเยซูบอกว่าต่อให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายอีกไม่กี่วัน พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เขาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะว่าในใจเขาดื้อด้านไปหมดแล้ว มันไม่เชื่อ เพราะไม่เห็นการอัศจรรย์ เห็น แต่ใจไม่รับซะอย่าง ไม่มีเหตุผลเลย ก็คือไม่รับ ใจปฏิเสธพระเยซู ซึ่งเทียบกับปัจจุบัน ก็คือพูดอย่างไร? ให้ตายอย่างไร? ก็ไม่เข้าใจ ต่อให้ตอนนี้มีอัศจรรย์เกิดขึ้น คนก็ไม่เชื่อพระเยซูหรอก เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัศจรรย์อย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่ภายในใจของเขา ที่จะยอมรับพระเยซูคริสต์เมื่อถึงเวลา ยอห์น 3:18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
“เหมือนเดิมอยู่แล้ว” ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในทะเลของความบาป รอคอยการจมลงไปให้ตาย แล้วพระเยซูนำสวรรค์มาให้ แล้วยื่นมือไป ถ้าใครรับ พระองค์ก็จับมือเขาดึงขึ้นมา เขาก็ไม่จม แต่ใครปฏิเสธ ในที่สุด เขาก็จะหมดแรง แล้วก็ต้องจมลงไปใต้ทะเล เพราะว่าเขาปฏิเสธการช่วยให้รอดของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาในนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ของพระบิดาได้
เพราะฉะนั้น นี่คือบาปเดียวที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ที่บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้ สรุป ก็คือการปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระคริสต์นั่นเอง แล้วลองคิดดู นี่คือบาปเดียว ที่ทำให้ไม่รอด สำหรับคริสเตียน ผู้เชื่อในพระเยซู และวางใจ และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บาปทั้งหมด ได้รับการอภัยแล้ว นี่ไง มันเป็นอย่างนี้ เห็นชัดใช่ไหม? มนุษย์ทุกคน ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อยู่ในทะเลของความบาปบนโลกใบนี้ เห็นชัดๆ ทุกคนทำบาปหมด เปียกปอนด้วยความบาปหมด เพราะอยู่ในทะเลความบาปเหมือนกัน แต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับการอภัยจากบาป ผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้รับการอภัย ก็อยู่ในบาป ก็แค่นี้เอง พระเยซูไม่ได้มาตัดสินว่าให้คนนี้บาป คนนี้ไม่บาป เพราะมนุษย์ทุกคนบาปอยู่แล้ว พระเยซูมา เพื่อช่วยให้รอด โคโลสี 2:13-14 …
โคโลสี 2:13-14 “13ท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ 14 พระองค์ทรงยกเลิกกฎแห่งการกระทำ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ซึ่งกล่าวถึงข้อบังคับที่เราต้องทำตามทุกข้อโดยสมบูรณ์ ผิดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ ซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ พระองค์ได้ทรงยกเลิกมันไปบนไม้กางเขน พระเยซูได้ทำสิ่งนี้ เพื่อให้เรา ได้รับการอภัย และกลับมามีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่ในพระองค์”
“ผิดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ไม่ได้” เห็นไหม? เมื่อตะกี้เราอ่านตอนต้น ในหนังสือกาลาเทีย ในหนังสือโรม ที่บอกว่าอาการของความบาปเหล่านี้ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย ถึงนินทาชาวบ้านเขา ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งทุกคนโดนหมด ผิดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ โกรธเขานิดหนึ่ง ก็ไม่ได้แล้ว ก็ต้องชดใช้ ก็ต้องพินาศ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ในข้อนี้บอกไว้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง พระเยซูได้ทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้รับการอภัย และได้กลับมามีชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระองค์ มาช่วย เพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือทำบาป ก็ต้องโดนลงโทษทุกคน และทุกคนก็ต้องทำบาปอยู่แล้ว ก็ต้องโดนลงโทษ แต่พระเยซูบอกว่าเพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือไม่ต้องอยู่ในกฎนั้น มาอยู่ในกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กฎแห่งการกระทำ เป็นกฎแห่งพระคุณ คือพระเยซูคริสต์ได้เอาความบาปของเราออกไปหมดเลย ยกเราออกจากกฎนั้น เข้ามาอยู่ในกฎของพระคุณของพระเจ้า
เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าบาปเดียว ซึ่งคริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ก็คือเขาหรือเราคริสเตียนไม่สามารถปฏิเสธพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว เพราะว่าเราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้ต้อนรับไปแล้ว เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อบาปเดียว ที่ทำให้มนุษย์ไม่ได้รับความรอด อยู่ในความพินาศนั้น คือการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ คริสเตียนจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียความรอดอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่มีโอกาสกลับไปทำบาป ที่นำไปสู่ความตายอีก ชัดเจนเลยนะ
เพราะในขณะนี้ เขาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้รับความรอด ก็คือได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเขา และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเขา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทาง เป็นอื่นไปได้ อย่างชัดเจนเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้เชื่อได้ทำ หรืออาจจะทำบาปในอนาคต พระเจ้าได้อภัยให้หมดแล้ว
นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบันและบาปในอนาคต หมดแล้ว เพียงแต่ผู้ที่ไม่เชื่อ มันก็ไม่ได้เกิดผลในชีวิตของเขา
ข้อความต่อไปใน 1 ยอห์น 5:16 บอกว่า “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรืออธิษฐานขอการอภัย สำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น”
“ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรือเขาเรียกว่าอธิษฐานขอสำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้นเลย” ก็คือคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ทำไมอาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าไม่ต้องไปขอให้เขาหรอก เพราะอะไร? เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเพราะเขาได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ไม่ต้องขอแล้ว เขาแค่เชื่อและรับเอาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เรา พี่น้องที่รู้จักกับเขา จะไปขอความรอดให้กับเขา ขออภัยความบาปให้กับเขา รู้ว่าเขาเป็นคนบาปเหมือนเราในอดีต
“พระเจ้าขออภัยให้กับเขาด้วย”
พระเจ้าบอกว่า “ให้ไปแล้วไง”
เราบอก “พระเจ้า ขอความรอดให้กับเขา”
พระเจ้าบอก “ทำให้เรียบร้อยแล้ว”
แล้วไปขอ มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือ “พระเจ้า ขอพระเมตตาพระองค์ส่งข่าวประเสริฐ ที่เขาสามารถรับได้ไปช่วยเขาด้วยเถิด ให้เขาได้ยินได้ฟังอีก”
อย่างนี้ยังมีโอกาส เพราะว่าคนจะรอดได้ ต้องรอดจากการได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของแท้ ของจริง เพราะข่าวประเสริฐของแท้ของจริงเป็นฤทธิ์เดช ไม่ใช่เป็นศาสนา ไม่ได้มาสอนศาสนา ไม่ได้มาเป็นการปรับปรุงความประพฤติ แต่เป็นการอัศจรรย์เกิดขึ้น คือเขาจะได้บังเกิดใหม่ จากข่าวประเสริฐ ข่าวดีนั้น 1 ยอห์น 5:17 …
1 ยอห์น 5:17 “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย (ฝ่ายวิญญาณ)”
“การอธรรม” คือการทำชั่วทุกอย่าง เป็นบาป แต่บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือตายทางฝ่ายวิญญาณ ข้อความนี้สื่อถึงความจริงที่ว่าทุกการกระทำ ที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้า เขาเรียกว่ามีส เดอะ ทาเก็ต ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เรียกว่าบาปทั้งสิ้น การอธรรม เป็นบาปทั้งสิ้น ไม่ใช่ทุกบาปที่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายก็มี
การรับรู้แล้วว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาป หมดเรียบร้อยแล้ว ในพันธสัญญาใหม่ ได้เขียนชัดเจนเลยบอกว่าเมื่อทำบาป โดยที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว บาปที่กระทำในพระเยซูคริสต์นั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าการทำชั่วหรือทำบาปนั้น มันก็ยังเป็นบาปอยู่ แต่เป็นบาปในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการอภัยแล้ว ไม่ใช่ไม่เป็นบาปนะ เป็นบาป แต่เป็นบาปที่ได้รับการอภัย เพราะว่าการกระทำทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือทุกอย่างที่ทำชั่ว เป็นบาปทั้งนั้น คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนทำชั่ว ก็เป็นบาปทั้งนั้น แต่มีบาปที่ไม่ถึงความตาย ก็คือบาปที่คนมาเป็นคริสเตียนทำ มันแปลว่าอย่างนั้น บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือบาปที่คนทำ อยู่ในพระคริสต์ ถ้าบาปนั้น ความชั่วนั้น เขาทำ ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เขายังอยู่ในโลกนี้ อยู่ในอาดัม อยู่ในบรรพบุรุษเดิม ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ยังไม่ได้เชื่อ บาปนั้นต้องถูกลงโทษ ต้องถูกชดใช้ ต้องถูกพิพากษา แต่บาปใด ทำบนโลกใบนี้เหมือนกันเลย แต่คนทำนั้นอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ บาปนั้น ได้รับการอภัย มันหมายถึงอย่างนี้
อธิบายยากนะ ก็ต้องพยายามอธิบายให้มันวกไปวนมาให้เข้าใจ ตรงนี้สำคัญมากเลย เพราะคนไม่เข้าใจ รับไม่ได้หรอก รับรอง พูดง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คริสเตียน หรือแม้แต่คริสเตียนเอง บางครั้ง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ ข่าวดีจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าทำไมอย่างนี้ …
“โอ้โห! มันเป็นไปได้หรือ? อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ”
การทำชั่วทุกอย่างเป็นบาป แต่การทำชั่วทุกอย่างที่เป็นบาปนั้น มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายฝ่ายวิญญาณด้วย แต่ส่งผลถึงตาย คือต้องเก็บเกี่ยวถึงตาย ก็คือขับรถเร็ว ตำรวจก็จับ
พอตำรวจจับ แล้วบอกว่า … “ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมไม่ต้องรับโทษ ไม่ต้องส่งผล”
แต่ตำรวจบอกเอาใบปรับ 2 กระทงเลย อีกกระทงหนึ่ง คือกระทงเพี้ยน บนโลกใบนี้ ก็ต้องเก็บเกี่ยวย่านความตาย เก็บเกี่ยวผลของการกระทำนั้นว่าทำผิดกฎจราจร ก็ต้องถูกปรับ ถูกจับ แต่ในทางด้านวิญญาณ ไม่ต้องรับโทษอะไรเลย โรม 8:1 ได้บันทึกไว้ชัดเจนเลย …
โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใน พระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”
เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ ไม่มีโทษแล้ว ไม่มีกล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่คนที่ยังปฏิเสธอยู่ เขายังต้องอยู่ในกฎเหมือนเดิม ก็คืออยู่ในกฎของความบาปและความตาย เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้อาศัยอยู่ในกฎของความบาปและความตายต่อจากนี้ไป เขียนไว้ในข้อ 2 ดังนั้น แม้ว่าการทำบาป การอธรรมทั้งหลายที่เป็นบาป แต่ผู้เชื่อในพระคริสต์ได้รับการอภัย และไม่ต้องกลัวการลงโทษทางฝ่ายวิญญาณเลย ไม่ต้องห่วง ทางฝ่ายวิญญาณ ความรอดยังอยู่เหมือนเดิม ห่วงอย่างเดียวว่าไปเสียค่าปรับซะ ยอมรับซะ ถ้าไปตีหัวชาวบ้านเขา ก็จะถูกจับ ถูกปรับ ถูกติดคุก ทางวิญญาณไม่ต้องไปสนใจใครเลย เรารอดแน่นอน 100% เอเมนไหม?
สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการรับรู้ความจริงว่าพระเยซูได้ทำให้เราสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรม ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว 2 โครินธ์ 5:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”
พระเจ้าทรงให้เรามีหัวใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์ ในใจเรายินดีที่จะทำตามพระองค์ทุกประการ การเติบโตในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต โดยตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวง ให้ทำบาป ตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความจริง และตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้มากขึ้น คือการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็เรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปทีละนิดทีละหน่อยว่าเรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในใจเราเหมือนพระเยซูเลย เราอยากจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า 100% อย่าได้ถ่อมตัวเอง อย่าได้ตำหนิตัวเอง อย่าได้ฟ้องผิดตัวเองว่า …
“ฉันทำไมอยากทำสิ่งที่ชั่วร้าย”
ท่านไม่ได้อยากทำเลย มันเป็นการล่อลวงจากภายนอก เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ แต่ท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จึงไม่มีบาปใดๆ ที่ท่านทำ ที่พระเจ้าจะอภัยให้ท่านไม่ได้ พระเจ้าอภัยให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านรับไปแล้วด้วย เพราะพระองค์ได้อภัยบาปทั้งหมด ทั้งสิ้น ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า ในพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ พระเยซูได้กระทำ ลบบาปให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้น บาปเราล่วงหน้า ได้รับการลบแล้ว เชื่อไหม? บาปที่ท่านจะกระทำพรุ่งนี้ ได้ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ท่านเชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะทำปีหน้า ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะกระทำอีกสักครู่หนึ่ง เดี๋ยวออกไป ก็เริ่มทำบาป ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ
จะไม่เชื่อได้อย่างไร? คิดดูสิ ก็ในเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เมื่อไร? กี่ปีมาแล้ว? 2,000 ปีมาแล้ว เราเกิดหรือยัง? เรายังไม่เกิด เราทำแล้วหรือยัง? เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้วหรือยัง? เรียบร้อยแล้ว มันก็คือล่วงหน้า ล่วงหน้าไป 2,000 ปีแล้ว เราเพิ่งมาเกิดตอนนี้เอง ฮีบรู 10:10 และ 14 …
ฮีบรู 10:10, 14 “10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการได้ถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 14 โดยการได้ถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”
“โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป” คือคนทั้งหลายที่รับในสิ่งที่พระเยซูกระทำให้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์ตลอดไป ตั้งแต่วันนั้น 2,000 ปีมาแล้ว ก็คือชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนล่วงหน้า การเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนี้ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาป ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนนะ ได้ลบล้างหนี้บาปทั้งสิ้นทั้งปวงของมนุษย์ทุกคน อย่างสมบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว ทุกคนได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะรับเอา หรือจะปฏิเสธ
เพราะฉะนั้น การอธรรมทุกอย่างที่เป็นบาปบนโลกใบนี้ มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่พินาศทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือบาปที่คริสเตียน ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วกระทำ เพราะเขากระทำในขณะที่วิญญาณของเขาดำเนินชีวิต อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
*************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความจริงที่ยิ่งใหญ่! พระคริสต์สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์
พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ในพันธสัญญาใหม่ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและใกล้ชิด ระหว่างพระเยซูคริสต์และผู้ที่เชื่อในพระองค์
โคโลสี 1:27 … “พระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลายเป็นความหวังแห่งศักดิ์ศรี”
ซึ่งหมายความว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา และเป็นความหวังของเรา สำหรับอนาคตที่มีศักดิ์ศรี
กาลาเทีย 2:20 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อถูกเปลี่ยนแปลง โดยการมีพระคริสต์อยู่ภายใน
ยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”
ซึ่งยืนยันถึงการสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ระหว่างพระองค์และผู้เชื่อ และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์และความบริบูรณ์ในพระองค์
โคโลสี 2:10 … “และท่านมีชีวิตที่บริบูรณ์ในพระองค์ และพระองค์เป็นประมุขเหนือการปกครองและสิทธิอำนาจทั้งปวง”
พระเจ้าอวยพรครับ