คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2025
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 17
โดย วราพร คงล้วน
เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย 5:15 บอกว่า …
กาลาเทีย 5:15 “หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”
ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อ ผู้ที่วางใจในพระองค์ เตือนว่าอย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน กัดกินกัน นึกภาพออกไหม? ทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องมีสาระบ้าง? ไม่มีสาระบ้าง? ถ้าเรามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มันก็ไม่ได้เป็นผลดีทั้ง 2 ฝ่าย
ดังนั้น คริสเตียน เราควรจะดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้า สิ่งที่สำคัญ คือให้เรารักษาความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีกัน ในภาคของการปฏิบัติ จริงๆ แล้วในวิญญาณของพวกเรา พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว วิญญาณของเรารักกันโดยปริยายอยู่แล้ว คือความรักนี้มาจากพระเจ้า แต่ต่อจากนั้น คือผลของการประพฤติของเรา ที่จะส่งออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นว่าเราได้มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ออกมาจากชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ผลอันแรกที่พระเจ้าให้เรามี คือผลแห่งความรัก ในหนังสือกาลาเทียจะพูดถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งผลนี้มันจะบังเกิดขึ้นทันที ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่แล้ว ผลนี้ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราผู้เชื่อทุกๆ คน
กาลาเทีย 5:16 “ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป (ตัณหาของเนื้อหนัง)”
การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อทุกคนต้องตัดสินใจ คือพระเจ้าให้พระวิญญาณมาอยู่ในเราแล้ว แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาตให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราเลือกที่จะทำตาม พระวิญญาณ หรือเลือกที่จะไม่ทำตามพระวิญญาณ ถ้าเราเลือกที่จะทำตามพระวิญญาณ เราก็จะส่งผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชีวิตของเราในพระเยซูคริสต์ แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่ทำตามพระวิญญาณ คือยอมที่จะดำเนินชีวิตตามความต้องการของตัวเราเอง หรือตามเนื้อหนัง ตามอิทธิพลของความบาปและความตายบนโลกใบนี้ที่ส่งมา ให้กับพวกเรา เราก็จะประพฤติเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
ฉะนั้น เราสามารถที่จะแยกแยะได้ว่า ณ เวลานี้เรากำลังดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือเรากำลังดำเนินชีวิตตามอิทธิพลของเนื้อหนัง ของความบาปและความตายที่อยู่บนโลกใบนี้ส่งผลมาที่เรา เราสามารถที่จะเทียบได้กับชีวิตของเรา
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลหนุนใจ ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เพราะว่าเราสามารถและมีกำลังพอที่จะทำได้ด้วย เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา ให้กำลังเรา เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้า ออกไป เป็นผลที่สามารถสัมผัส จับต้องได้ เป็นแสงสว่าง เป็น เกลือของแผ่นดินโลกนี้
แต่ว่าถ้าเราไม่ยอมล่ะ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น พี่น้องนึกออกไหม? พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน พระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้เชื่อคนหนึ่งคนใดประพฤติตามแบบอย่างของเนื้อหนัง หรือถูกอิทธิพลของโลกใบนี้ โน้มนำเรา ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวตนจริงๆ ของเรา แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องเอเมน เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน ก็คือเมื่อเราเลือกปุ๊บ พระเจ้าก็บอกเอเมน เป็นไปตามนั้น แต่ถามว่าพระเจ้าต้องการให้เราเป็นแบบนั้นไหม? ไม่ต้องการแน่นอน พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคน สามารถที่จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา ก็คือความดีงามของพระเจ้าออกไป ให้ผู้คนรอบข้าง ได้สัมผัสถึงพระชนม์ของพระเจ้าในชีวิตของพวกเรา
กาลาเทีย 5:17 “เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ”
สองสิ่งนี้ เป็นศัตรูกันโดยปริยาย คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในโลกวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกันเลย โดยเราไม่ต้องทำอะไร เราอยู่เฉยๆ เป็นศัตรูกัน เพราะว่าอยู่กันคนละขั้ว เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในความดีงาม อยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก ก่อนหน้านั้น ก่อนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาปและความตาย วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น พอทันทีที่เราวางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทันทีที่เป็นอย่างนั้นปุ๊บ เราก็เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เกิดมาเป็น เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความดีงาม มันเกิดมาเป็นอัตโนมัติเลย พระเจ้าให้ของขวัญชิ้นนี้ ให้กับผู้เชื่อทุกคน ที่ได้เป็นอย่างนั้น หลังจากที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าก็จริง แต่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิต ตามแต่ที่พระเจ้าให้สิทธิ์ หมายความว่าพระเจ้าให้สิทธิ์ในการดำเนินชีวิต ให้กับผู้เชื่อทุกคน สิทธิ์ตรงนี้ พระเจ้าอนุญาต แต่คำว่า “อนุญาต” ไม่ได้หมายความว่าเราจะถือโอกาสใช้สิทธิ์เหล่านี้ ไปทำความชั่วร้าย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ความเป็นจริง เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติใหม่ของเรา คือไม่ได้มีความต้องการที่จะทำชั่วเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีทางเลย วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราสามารถหลงกลหรือถูกล่อลวง โดยอิทธิพลของโลกใบนี้ ทำให้เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงของตัวตนแท้ๆ ของเรา แต่ว่าไม่ว่าเราจะเผลอทำไป หรืออย่างไรก็แล้วแต่ พระเจ้าก็จะทรงนำพาเรา ทันทีที่เราทำผิด พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ทันทีที่ผู้เชื่อทำผิด พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จะชำระล้างความผิดบาปของเราทันที โดยอัตโนมัติ คือความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น
ฉะนั้น พระเจ้าก็จะยกโทษ พระเยซูบอก พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว พระโลหิตของพระเยซูหลั่งออกมาเพียงครั้งเดียว ได้ยกโทษบาปทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าพระองค์เตรียมการไว้ล่วงหน้า รู้อยู่แล้วว่าขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรามีโอกาสถูกล่อลวงให้ทำผิดบาปได้อย่างแน่นอน ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยเตรียมแผนไว้เรียบร้อยเลยว่าผิดปุ๊บ พระเจ้าก็ยกโทษให้ทันทีเลย นี่คือพระคุณ เป็นพระคุณ เป็นพระเมตตา แล้วเมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงรักเราขนาดนี้ ข้างในวิญญาณเรารับรู้ความจริงมากๆ คือเอาความจริงมาใส่ไว้ในความคิดของเรา เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดของเราได้มากเท่าไร? เราก็สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากเท่านั้น นี่คือผลที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา
แล้วรับรู้ความจริงอันหนึ่ง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กับโลกนี้มันเข้ากันไม่ได้ แน่นอน และหลายๆ สิ่ง ที่ผู้เชื่อ คือพวกเราอยากจะทำ ข้างในวิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราอยากจะสำแดงความรัก แต่หลายครั้ง เราก็ไม่สามารถสำแดงความรักออกไปได้เต็มที่ เพราะว่าโลกนี้พยายามดึงเราออกจากวิถีทางของพระเจ้า แต่ไม่ว่าเราจะดำเนินไปในรูปแบบไหนก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน
กาลาเทีย 5:18 “แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ”
บทบัญญัติ คือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งขึ้น สมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย บทบัญญัตินี้เป็นข้อผูกมัดให้คนยิว ต้องทำตามกฎแป๊ะๆ ทุกข้อ ถ้าทำผิดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ต้องเอาเครื่องบูชาไปถวาย และต้องไปสารภาพบาป นี่คือกฎ
ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติ มีไว้ เพื่อสำแดงให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป บทบัญญัติไม่ได้มีไว้ เพื่อให้มนุษย์ครบถ้วนสมบูรณ์ และสามารถดำเนินชีวิตได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และบอกว่าสำเร็จแล้ว คือพระเจ้าได้ทำให้บทบัญญัติทุกข้อในพระคัมภีร์ครบถ้วน สมบูรณ์ คือพระเยซูคริสต์ทำแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราปุ๊บ ทันทีเรากลายเป็นผู้ชอบธรรม หรือเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่
คำว่า “ผู้ชอบธรรม” คือคนที่พระเจ้าสามารถรับได้ แล้วคนที่พระเจ้าเห็นว่าเขาสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด สามารถมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ด้วย และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยกำลังของมนุษย์ที่จะพยายามประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ เพื่อให้มันเกิดสิ่งนี้ขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ แล้วเราเชื่อ เรายอมรับ เรารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ทันทีในขบวนการของโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราสัมผัสไม่ได้ แต่พระเจ้าบอกว่าขบวนการนี้ มันเกิดขึ้นทันที เมื่อใครก็ตาม ได้บอกกับพระเจ้าว่า …
“ลูกต้องการพระองค์ ลูกต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ พระเจ้าขอเข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูกด้วยเถิด”
ทันทีเลย ขบวนการนี้จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ไม่ได้สามารถที่จะใช้สติปัญญาของเราที่จะรับรู้ แต่วิญญาณข้างในของเราจะรับรู้ วันที่เราเปิดใจ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เข้ามาเปลี่ยนแปลง เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้ามาฆ่าตัวเก่าของเราที่เป็นบาป ให้ตายไปพร้อมกับพระองค์ เข้ามาเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเราผู้เชื่อ เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับพระเจ้าพระบิดา เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับที่พระเจ้าให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นวิญญาณนิรันดร์แบบพระเจ้า ชนิดเป็นคุณภาพ คุณสมบัติเดียวกันกับพระเยซูคริสต์
ฉะนั้น ตรงนี้มันบังเกิดขึ้นทันที เมื่อบังเกิดขึ้นทันทีปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ไม่ว่าการดำเนินชีวิตของเราบนโลก เราอาจจะเผลอบ้าง ผิดบ้าง พลั้งบ้าง พระเจ้าก็ไม่ได้ถือสาอะไร? พระองค์ก็แก้ไข โดยให้พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราทันทีเหมือนกัน ชำระทันทีเลย ผิดปุ๊บ แก้ไข ผิดปุ๊บ เป็นหนี้ปุ๊บ จ่ายหนี้ให้ทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ แล้วเราจำเป็นต้องรับรู้เรื่องนี้ แล้วก็ยอมรับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครหรือบนโลกนี้จะว่าเราแบบไหน? อย่างไร? เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เราใส่ใจตรงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างไร? มันไม่เกี่ยวกับว่ามนุษย์บนโลกนี้ พูดว่าเราเป็นอะไร? แต่เกี่ยวกับว่าพระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด บนฟ้าสวรรค์บอกว่าเราเป็นอย่างไร? และเราเป็นใคร? ณ เวลานี้ เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เราเป็นที่อาศัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ร่างกายเราในนี้เป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นแบบนี้ แล้วเราเอเมนกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอย่างนี้ ทันทีที่เราเอเมนกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือเรากำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง
พระเจ้าบอกว่า … “เธอเป็นคนดีพร้อมแล้ว”
เรา … “เอเมน” ด้วย
ทั้งๆ ที่สมองของเรา … “ดีตรงไหน? เรายังไม่ดีเลย เรายังนินทาคนอื่นอยู่เลย เรายังคิดไม่ดีกับคนอื่นอยู่เลย แล้วมันดีตรงไหน?”
แต่พระเจ้าบอกว่า … “เธอดี”
พระเจ้าจะบอกเหมือนกับบอกอาดัมกับเอวา ครั้งแรกที่บอกว่า … “ฉันสร้างเธอมาดี เธอเชื่อไหม? ถ้าเธอเชื่อ รับเอาไป”
แต่ปรากฏว่าอาดัมกับเอวาอยู่นานๆ แล้วไม่เชื่อไง ไม่เชื่อว่าพระองค์สร้างเขามาดี เขาก็เลย ไปเชื่อมาร ไปกินผลไม้ต้องห้าม นี่คือผล ฉะนั้น พอถึงยุคปัจจุบัน มันจะแตกต่างจากยุคของอาดัมมากๆ ยุคนั้น เป็นยุคพระเดช แต่ยุคของเรา คือยุคพระคุณ ซึ่งบางครั้งเราเผลอ ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอก พระเจ้าก็ยังคงโอเค ไม่เป็นไร ไม่เชื่อ เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะค่อยๆ โน้มนำเรา จะค่อยๆ บอกเราว่า …
“นี่คือเรื่องจริงนะลูก ตอนนี้ลูกเป็นลูกที่พ่อรักมาก รักดั่งแก้วตาดวงใจ ตอนนี้ลูกเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้ลูกเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตอนนี้ลูกได้รับพระพรนานัปการที่พระเจ้าได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ลูกได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าที่ลูกจะเผลอทำอีก ลูกได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว”
นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ถ้าเราเชื่อตามนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็เอเมนตามนั้น สมองเราได้รับการเปลี่ยน เมื่อสมองเราเปลี่ยนปุ๊บ พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนด้วย เราจะขอบคุณพระเจ้า เราจะเริ่มมีชีวิตที่ดำเนินตามพระวิญญาณได้มากขึ้น เพิ่มขึ้น หลายครั้งเราคิดว่าถ้าสอนอย่างนี้ พระเจ้าไม่เอาผิด ผู้เชื่อก็สามารถไปทำอะไรเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน มันไม่เป็นความจริง มันเป็นไปไม่ได้
ถ้าลูกคนไหนรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขาขนาดไหน? ลูกคนนั้นจะไม่พยายามที่จะทำสิ่งที่เลวร้าย เพื่อทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่มี เขาจะพยายามทำดี เพื่อที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ นี่คือความเป็นจริง แต่ถ้าลูกคนไหนไม่สัมผัสถึงความรักของพ่อแม่ เขามีความรู้สึกว่า …
“พ่อแม่ไม่รักฉัน เมื่อพ่อแม่ไม่รักฉัน ฉันทำดีเพื่ออะไร? ฉันจะทำเลวอย่างไรก็ได้ ก็พ่อแม่ไม่รักฉันอยู่แล้ว ฉันก็จะทำให้มันเลวไปเลย ตามที่พ่อแม่ชอบด่าฉัน”
“แกมันเลว แกมันไม่ดี แก แก แก” อย่างนี้ นึกออกไหม?
ฉะนั้น พ่อแม่ที่พยายามใส่ความคิดแบบนี้ลงไปให้ลูก แทนที่จะทำให้ลูกรับความรักจริงๆ จากพ่อแม่ หรือสามารถที่จะสัมผัสถึงความมีคุณค่าของตัวเอง มันหายไปเลย มันไม่มี ทำให้เด็กคนนั้น แทนที่จะสามารถเป็นเด็กดี เขาก็จะเตลิด เตลิดตรงที่ว่า …
“ไหนๆ พ่อแม่ก็คิดว่าฉันเลวแล้ว ฉันก็จะเลวไปถึงที่สุดนั่นแหละ”
เพื่อจะเลวให้พ่อแม่ดู อะไรประมาณนั้น ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน เมื่อรับรู้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? จะทำให้เราเตรียมพร้อม ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
คำว่า “ปรารถนา” ไม่ใช่หมายความว่าเราจะสามารถทำดีเลิศ ประเสริฐศรีตลอดชีวิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ความต้องการของวิญญาณของเรา คือต้องการที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ถ้าเผลอไปทำผิดจากน้ำพระทัย ก็ไม่เป็นไร ก็แก้ไข พระเจ้ายกโทษให้ แล้วเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ในผู้เชื่อ
กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”
ข้อสุดท้าย “ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก” อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ที่เขามีลักษณะอาการของคนบาปที่ฝึกฝนจนชำนาญ ในการทำสิ่งที่ชั่วร้าย ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ฝึกฝนเหมือนกัน แต่เราฝึกฝนที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอันนี้ คือตัวตนแท้ๆ ของเรา เราก็ฝึกฝนมัน
คำว่า “ฝึกฝน” หมายความว่ามีฝึกพลาดไหม? หัวทิ่ม หัวตำไหม? มี ไม่ใช่ฝึกฝนปุ๊บ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเลย มันไม่ใช่ ผู้เชื่อทุกคน ฝึกฝนเหมือนกัน แต่ว่าฝึกฝนทีละเล็ก ทีละน้อย หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง ไม่เป็นไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถฝึกฝนตัวเราเอง ให้พัฒนาการเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราได้ดีมากขึ้น ให้สติปัญญาเราที่จะเลือกเสื้อที่จะใส่ เวลาเราตื่นเช้า ยิ่งเวลาวันอาทิตย์ เราก็ต้องเลือกว่าเสื้อผ้าชุดไหนที่เราจะใส่มาโบสถ์ แล้วดูดี เรารู้สึกชุดนี้ ชุดเก่งของเรา บางทีชุดเก่งของเรา มีชุดเดียว ก็ไม่เป็นไร ใส่มาทุกอาทิตย์ก็ไม่มีใครว่าอะไร? จริงๆ นะ มันเป็นเรื่องจริง แต่มันเป็นชุดเก่งของเรา เป็นชุดที่เราใส่แล้ว เราภาคภูมิใจ เรารู้สึกมันสุดยอด มันดี นี่คือการเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสถานะ เหมาะสมกับการมาโบสถ์ ไม่ใช่ มาโบสถ์ก็ใส่เสื้อขาดมาอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่เนอะ เสื้อขาดใส่ที่บ้านก็ได้ มันใส่สบายดี พี่น้องเคยมีเสื้อขาดอยู่ในบ้านไหม? ดิฉันก็มี เสื้อขาดมันใส่สบาย เพราะมันเป็นเสื้อที่เราใส่มาเป็น 10ๆ ปี มันผ้านุ่ม มันสบาย แต่มันไม่เหมาะที่จะใส่ออกมาข้างนอก
มันเป็นภาพเดียวกัน ฉะนั้น การเลือกเสื้อใส่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีเสื้อเยอะแยะมากมาย แขวนไว้ในตู้ให้กับพวกเราที่เลือกใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่เฉพาะมาโบสถ์ ในชีวิตประจำที่เราไปพบเจอใครต่อใคร? เราสามารถเลือกเสื้อที่จะใส่ได้ ถ้าเราเลือกผิด ทำอย่างไร? แทนที่เราจะเลือกเสื้อแห่งความชื่นชมยินดี เวลาเห็นคนอื่นได้ดี เราชื่นชมยินดี แต่เราไปเลือกเสื้อผิด ไปหยิบเอาเสื้อของการอิจฉาริษยา อิจฉามาเลย เขาดีกว่าเรา เราก็เลือกเสื้อผิดใช่ไหม? ถ้าเลือกเสื้อผิด ใส่ออกมามันไม่งามไง มันไม่สวย เหมือนใส่เสื้อฟิตๆ แบบใส่แล้วพุงปริ้นอะไรแบบนี้ มันก็ไม่สวย เราก็ต้องเลือกให้มันดูดี ถ้าเรามีพุง เราก็เอาเสื้อหลวมๆ จะได้บังพุงไว้ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ … ฉันมีพุง แต่ฉันอยากจะโชว์ ฉันก็ฟิตปั๊งเลย เห็นแบบเป็นเนื้อก้อนๆ มา ก็ไม่สวย มันเป็นภาพ
ตรงนี้แหละเป็นการดำเนินชีวิตของพวกเราผู้เชื่อ ก็คือเราเลือกเสื้ออย่างไร ที่เราจะออกไปใช้ชีวิตกับผู้คนรอบข้าง เมื่อเราเลือกเสื้อถูก เสื้อของพระเจ้าที่ให้กับพวกเรา มันอยู่ในข้อที่ 22 เดี๋ยวจะอ่านให้ฟัง …
กาลาเทีย 5:22-23 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย”
เสื้อแห่งความรัก เสื้อแห่งความชื่นชมยินดี เสื้อแห่งสันติสุข เสื้อแห่งความอดทน เสื้อแห่งความปราณี เสื้อแห่งความดี เสื้อแห่งความสัตย์ซื่อ เสื้อแห่งความสุภาพอ่อนโยน เสื้อแห่งการควบคุมตนเอง นี่คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มี 9 อย่าง ตอนนี้เรามีเสื้อ 9 ตัว แล้วจริงๆ มันมีอีกเยอะแยะมากมาย แต่พูดตรงๆ 9 ตัวเราก็ใส่ไม่ทันแล้ว 9 ตัว เดือนหนึ่งเราใส่ได้แค่ 3 ครั้งนิดๆ เราเคยรู้สึกไหม? เรามีเสื้อเต็มตู้เลย แต่เราก็หยิบใส่ไม่กี่ตัว เพราะเราใส่แล้ว รู้สึกมั่นใจ ใส่แล้วเรารู้สึกดูดี ใส่แล้วเรารู้สึกมันโอเคนะ อะไรแบบนี้ เราก็จะเลือกเสื้อที่เรารู้สึกโอเค มาใส่บ่อย ฉะนั้น ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ เสื้อเหล่านี้ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อ วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว แขวนไว้ในตู้แล้ว แค่พระเจ้าให้เราเลือกที่จะหยิบออกมาใช้ในแต่ละสถานการณ์ แต่ละเหตุการณ์ ที่เราไปเจอ
ถ้าโดนเขาเหยียบขาทำอย่างไร? ใส่เสื้ออะไร? เสื้อแห่งความเมตตาปราณี เขาเหยียบขาเรา เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ไม่ใช่เขาเหยียบขาปุ๊บ ก็เหยียบตอบเลย เหยียบแรงกว่านั้นอีก มันไม่ใช่ เขาเหยียบขาเรา เขารีบขอโทษเราแล้ว เราก็โอเคไม่เป็นไร? เจ็บนะ ไม่ใช่ไม่เจ็บ แต่โอเคไม่เป็นไร เขาขอโทษเราเรียบร้อยแล้วไง เราก็หยิบเสื้อแห่งความเมตตาปราณี ก็คือยกโทษให้เขา ก็ประมาณนั้น
ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้พระเจ้าให้เราเลือกได้ พระเจ้าให้เสรีภาพในการเลือกสรร การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา ตรงนี้เป็นภาพที่ให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา แล้วเราอย่าคิดด้อยค่าตัวเอง หรืออย่าคิดไปด้อยค่าคนอื่น เพราะพระเจ้าบอกว่าเราทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้ามองดูพวกเราทุกคน ไม่ว่าพี่น้องจะอยู่ในสถานะแบบไหน? พี่น้องจะรวยหรือจะจน พี่น้องจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในแบงค์ หนึ่งพันล้าน หรือในแบงค์ไม่มีตังค์สักบาท พระเจ้ามองท่านเหมือนกัน คือท่านเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ
ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงรักเราแล้ว เราอย่าให้มนุษย์บนโลกใบนี้มาด้อยค่าเรา อย่าให้คำพูดของมนุษย์คนหนึ่งคนใดบนโลกใบนี้มาทำให้เรารู้สึกว่าเรานี่แย่ ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ อย่าเด็ดขาด ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา และเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าจริงๆ พระองค์มองเราด้วยความรัก เป็นสายตาแห่งความเมตตา เป็นสายตาที่พระองค์ต้องการที่จะโอบอุ้มเราตลอดเวลา ในทุกครั้ง ถ้าเราผิดพลาด พระองค์ก็ช่วยเหลือให้สติปัญญา ถ้าเราล้มลง พระองค์ก็อุ้มเราขึ้น นี่คือภาพที่พระเจ้าให้กับเรา แล้วก็ให้กับผู้เชื่อทุกๆ คน
ในขณะที่เราเป็นพี่น้องกัน พระเจ้าบอกเราเป็นพี่น้องกันใช่ไหมในพระเยซูคริสต์ ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ให้เราเห็นมนุษย์ หรือเห็นพี่น้อง เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมคริสตจักร ให้สายตาเรามองเขา เหมือนกับที่พระเจ้าทรงมองเรา พระเจ้ามองเราด้วยความรัก ให้เรามองเขาด้วยความรัก มองด้วยความเห็นอกเห็นใจ เราไม่รู้หรอกว่าตื้นลึกหนาบางของมนุษย์ หรือพี่น้องแต่ละคนเขาต้องเจอสภาวะอะไรมามากมายขนาดไหน? แต่ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเขา เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเรา เอเมนไหม?
กาลาเทีย 5:24 “ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาป ไว้ที่กางเขนแล้ว”
อันนี้ คือในโลกวิญญาณ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรึงวิญญาณของเรา คือวิญญาณเก่าของเราที่อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่งไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว อันนี้พระเจ้าเป็นคนทำ พระเจ้าตรึงเราแล้ว แล้วพระเจ้าก็ให้วิญญาณใหม่ ให้ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับพวกเรา คือเป็นวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย อันนี้พระเจ้าทำให้เราแล้ว แต่ข้อนี้ คือผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ตรึงวิสัยบาป อันนี้เราต้องทำเอง การดำเนินชีวิตของเรา ที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำเรา ก็คือตรึงกิเลสตัณหาความอยากได้อยากมี ความเย่อหยิ่งจองหองที่มันพยายามกระตุ้น เร้าเราให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ เราแน่กว่าคนอื่น เรายิ่งใหญ่กว่าคนอื่น พระเจ้าอวยพรฉันมากกว่าเธอ อะไรอย่างนี้
นี่คือภาพของการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ ของพี่น้องในคริสตจักร ฉะนั้น ตรงนี้เราต้องทำเอง คือต้องขจัดมัน ตรึงมัน คือทำให้วิสัยบาป หรือความรู้สึกเย่อหยิ่งจองหอง อวดตัวของเรา ขนาบมันให้อยู่มือ คือเราสามารถทำได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะช่วยเรา เรารู้ เราเริ่มเย่อหยิ่งขึ้นมาปุ๊บ
“ในนามพระเยซู แกเย่อหยิ่งไม่ได้ เพราะว่าแกไม่ได้ดีกว่าใคร”
นึกออกไหม? ถ้าเราเย่อหยิ่ง เราต้องบอกตัวเองเลยว่าเธอไม่ได้ดีกว่าใครเลย เพราะว่าเธอกับทุกคนเท่ากัน เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ซื้อชีวิตของพวกเราทุกๆ คน พระเจ้าเป็นผู้ให้สิ่งสารพัดให้กับเรา เหมือนในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …
“ท่านมีอะไรที่ได้มาด้วยตัวเอง ทุกอย่างที่ท่านมีล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ฉะนั้น ท่านจะไปอวด ทับถมใครไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว”
ก็คือให้รับรู้ว่านั่นแหละ คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าเราไม่ได้ดีกว่าใคร? ถ้าพระเจ้าอวยพรเรา เราก็ขอบคุณพระเจ้า แต่การอวยพรตรงนี้ไม่ได้เป็นเหตุ ทำให้เราไปมองคนอื่นด้อยกว่าเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงดูแล แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน แต่ว่าความรักที่พระเจ้ามีต่อทุกๆ คน มันเท่าเทียมกัน คือทุกคนเป็นที่รักที่พระเจ้าทรงหวงแหนอย่างมากมาย
กาลาเทีย 5:25-26 “25 ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด 26 เราอย่าอวดดี ยั่วโมโห และอิจฉากันเลย”
นี่คือจบของบทที่ 5 ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เมื่อไรที่เรารู้สึกอวดดี เราก็ขนาบตัวเองลง กดตัวเองลงบ้าง เพราะพระเจ้าบอกว่าถ้าใครยกตัวเองขึ้น พระเจ้าจะเป็นคนกดลงเอง แต่ถ้าใครถ่อมใจลง พระเจ้าเองจะเป็นผู้ยกขึ้น เราเลือกเอาแล้วกันว่าเราอยากให้พระเจ้ายก หรืออยากจะยกตัวเอง เราอยากให้พระเจ้ากดเราลง หรือเรากดตัวเองลงดีกว่า
ฉะนั้น ทุกอย่างพระเจ้ามีกฎของพระองค์ทั้งหมดเลย อยู่ในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิต รับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราและรักพี่น้องทุกคนในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับทุกคนเสมอภาคกัน พระเจ้ารักเขาแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตำหนิติเตียน หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิพากษาเขาเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อและวางใจในพระองค์ว่า “… จงมองให้เห็นเถิด! เราอยู่ในท่านทั้งหลายตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก” เอเมน
เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราจึงสามารถเผชิญกับวันพรุ่งนี้ได้ ด้วยความมั่นใจและความหวัง พระองค์ทรงเป็นแหล่งของกำลังและความมั่นคงในชีวิตของเรา
ฟิลิปปี 4:13 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”
ซึ่งหมายความว่าเราสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ในชีวิตได้ เพราะพระคริสต์ทรงเสริมกำลังเรา พระองค์ทรงอยู่ภายในเรา ดำเนินไปกับเราในทุกย่างก้าว และทรงนำทางเราในทุกสถานการณ์บนโลกนี้
ฮีบรู 13:5-6 … “พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งเรา ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว”
การได้รับรู้ความจริงว่าพระองค์ทรงอยู่ภายในเรา เดินไปกับเรา ทำให้เรามีความกล้าที่จะเผชิญกับอนาคตโดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องหวั่นไหว วิตกกังวล และด้วยความรัก และพระคุณของพระองค์ เราสามารถวางใจในพระองค์ และมีความหวังในวันพรุ่งนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ทรงควบคุมทุกสิ่ง และทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตของเรา
เยเรมีย์ 29:11 … “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรืองไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า”
พระเจ้าอวยพรครับ