คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2025
เรื่อง “คริสเตียน! เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อแต่เป็นลูกของพระเจ้า”
โดย นคร เวชสุภาพร
“คริสเตียน! เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อ แต่เป็นลูกของพระเจ้า” นี่คือหัวข้อเรื่อง ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยการแสวงหาคุณค่าของตนเอง แสวงหาการยอมรับจากสังคม จากผู้คนอื่นๆ แสวงหาความรักจากคนในสังคม แสวงหาสถานะในสังคม ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แต่ไม่มีสถานะหรือฐานะใดที่ล้ำค่ากว่าการได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า สถานะในการเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่ามีค่าสูงสุด ล้ำค่าเลิศสุดกว่าสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้ที่มนุษย์แสวงหากัน คริสเตียนไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่เราบอกว่าผู้เชื่อๆ แต่คริสเตียนได้รับสถานะใหม่ บันทึกไว้ว่าเป็นลูก เป็นทายาท เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถาน เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้เรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมด ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้นั้นแหละ และเรา เป็นหนึ่งในสมาชิกของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์
คริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ ที่เรียกว่ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว เราเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวนี้หรือ! มันเป็นความจริง เพราะถ้อยคำพระเจ้าได้พูดไว้อย่างนั้นเยอะแยะมากมายเลยว่าเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นความจริง ที่เขาเรียกว่าอัศจรรย์ล้ำลึกมากๆ เกินกว่ามนุษย์จะสามารถเข้าใจ สามารถคิดออกได้ว่า …
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้าหรือ? ฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าหรือ? มันเป็นไปได้หรือ?”
จึงต้องมีการย้ำความจริงนี้บ่อยๆ ในถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริงนี้ อยู่เรื่อยๆ ในตลอดชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ย้ำถึงความจริงเหล่านี้ว่ามันใช่จริงๆ จากถ้อยคำพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้
และความจริง ก็จะทำให้เราเกิดพลัง เกิดกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน ที่เต็มไปด้วยความหวัง เป็นความหวังที่ไม่ได้เป็นความหวังแบบโลกใบนี้ แต่เป็นความหวังแบบคริสเตียน คือความหวังในสิ่งที่เราหวังไว้ในโลกวิญญาณ และเรารู้ว่ามันเป็นจริง ก็คือความหวังในสิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น แต่เรารู้ ความหวังนี้ ทำให้เราสามารถจับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่มองไม่เห็น
ความหวังในคริสเตียนนี้ เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา ความหวังนี้ประกอบด้วยความเชื่อศรัทธานี้ จึงเป็นความหวังที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ คือความหวังที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่มองไม่เห็น ปกติความหวังในโลกนี้ คือความหวังที่จับต้องมองไม่เห็น เราหวังว่า … มันมองไม่เห็น แต่ความหวังในทางคริสเตียน ในทางวิญญาณนี้ มันจับต้องมองเห็นได้
ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นลูกของพระเจ้า เรารู้เลยเราเป็นลูกพระเจ้า และเราเป็นแล้วจริงๆ เราหวังว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ความหวังที่ลมๆ แล้งๆ แต่เป็นความหวังที่ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณเรา เราจับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่เห็น เรารู้สึกได้ไหม? ไม่รู้สึก เขาเรียกว่าจับต้องมองไม่เห็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ไม่ได้รับรู้เลย แต่ด้วยวิญญาณเรารับรู้ว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่เช่นนั้น เราคงไม่เรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” “พ่อ” เราคงไม่อธิษฐานบ่อยๆ เราคงไม่เดือดร้อน แล้วอธิษฐานขอพระเจ้า
“พระบิดาเจ้าข้า … พระบิดา … พ่อ … พระเจ้า พระบิดาช่วยลูกที”
ทำไมเราทำอย่างนั้น เพราะเป็นความหวัง ที่จับต้องมองเห็นได้แล้วว่าเราเป็นลูก เราจึงอธิษฐาน เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นพลัง เป็นอำนาจ เป็นฤทธิ์เดช ในตัวของผู้เชื่อ คริสเตียนที่จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ความสับสนวุ่นวายบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีอยู่แล้ว นี่แหละคือพลังภายในของคริสเตียน
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งหมด ที่ยืนยันถึงสถานะตรงนี้ คือลูกของพระเจ้า ให้เราได้เห็น ให้เราได้อ่าน ให้เราที่จะสามารถพอเห็นลางๆ ได้ทางสายตา ทางความคิดของมนุษย์ เรื่องสถานะของเรา ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า และสิ่งสำคัญของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงนี้ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์นี้ ที่ยืนยันว่าเป็นจริงนั้น เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว คือได้บันทึกเอาไว้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้บันทึกไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่บันทึกว่ามันเป็นขึ้นแล้ว มันได้เป็นแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว ทันที ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราได้เป็นตรงนี้แล้ว ไม่ได้หวังว่าจะได้เป็นในอนาคต
“ได้เป็นแล้ว ได้เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ ทันที ในโลกนี้”
ไม่ใช่สิ่งที่หวังว่าจะได้เกิดขึ้นในอนาคต เชื่อ แล้วจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะได้เป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ เชื่อแล้ว ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้เลย และเราที่เป็นคริสเตียนสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา อยู่กับเรา ในวิญญาณของเรา ทำให้เรารู้ว่าถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ที่บันทึกเอาไว้ ที่เราได้อ่าน มันเป็นความจริง ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเข้าใจไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นจริง จับไม่ได้ แต่มันก็เป็นจริง มองไม่เห็น แต่มันก็เป็นจริง นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ พระเจ้าบอกว่าคริสเตียน ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น พระวิญญาณที่สถิตกับเราจะเป็นพยานยืนยันว่าเราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ อธิษฐานเมื่อไรก็ได้ พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ และดูแลเรา เป็นลูกของพระองค์เสมอ ไม่ว่าเราจะรู้สึกเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่ามันเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ในขณะที่เราอธิษฐานอยู่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกเช่นใดก็ตาม แต่ในวิญญาณของเราแฝงเอาไว้ซึ่งความเชื่อแน่นอน 100% เลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณของเรา และวิญญาณของเราก็รับรู้ความจริงเหล่านี้ เอเมน นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ
เรามาดูส่วนหนึ่งในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้านี้ ซึ่งมีเยอะแยะ ผมจะยกตัวอย่างมาสักประมาณหนึ่ง ความจริงของการเป็นลูกพระเจ้า เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อเราจะได้มาดูกัน และย้ำยืนยันให้เรารับรู้ในวันนี้ว่าวันครอบครัว วันพรุ่งนี้เป็นวันครอบครัวของไทย แต่เราทั้งหลายเชื่อในพระเจ้า เราระลึกถึงวันครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค สถานที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นลูกของพระองค์ใน
สวรรคสถาน ในครอบครัวของพระเจ้านี้แล้ว บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้จริงๆ ให้ตา หู ความคิดของเรา ได้สัมผัสกับความจริงเหล่านี้ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ให้มันฝังรากลึกลงไปในความคิดของเรา เพราะหลายครั้งอย่างที่บอก เราไปมองดูโลกใบนี้ สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เราอาจจะไขว้เขวไปก็ได้
“เอ๊ะ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ทำไมเกิดอะไรขึ้นกับฉัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น”
แต่ความจริงเป็นความจริง หนีไม่พ้น เราเป็นลูก ก็เป็นลูกจริงๆ
1. เราได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า อันดับแรกเลย เราได้รับการยืนยันว่า เราได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เพราะมีบันทึกไว้อย่างนั้นว่าเราได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า ยอห์น 1:12 …
ยอห์น 1:12 “แต่บรรดาผู้ที่ได้ต้อนรับพระองค์ (พระเยซู) คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ได้ทรงให้สิทธิ์แก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระเจ้า”
“แต่บรรดาผู้ที่ “ได้” ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงประทานแก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ “ได้” ทรงให้สิทธิ์แก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระองค์ พอใครได้รับเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้ทันที ได้เป็นลูกทันที
คำว่า “สิทธิ์” แสดงถึงสิ่งที่ถูกมอบให้ ไม่ใช่เราทำขึ้นเอง เพราะเราไม่สมควรที่จะได้รับ แต่เพราะพระเจ้ามอบให้ โดยพระคุณ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซู เราก็ได้รับสถานะ ฐานะใหม่นี้ทันที คือเป็นลูกของพระเจ้า เปรียบเหมือนเด็กที่ถูกรับเลี้ยง เด็กคนนี้อาจจะมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ทันทีที่ถูกรับเป็นบุตร เขาก็ได้รับนามสกุลใหม่ สิทธิ ความรัก จากครอบครัวใหม่นั้นทันที นี่ตามกฎหมายของมนุษย์
ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน บันทึกไว้อย่างนี้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา ให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า มาดูข้อพระคัมภีร์ต่อไป ข้อที่ 2
2. เราได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าที่เป็นพยาน ให้เรารับรู้อยู่ภายในว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า พอเราใช้สิทธิของเรา เป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พอเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงประทานให้เข้ามาสถิตอยู่กับเราทันที โรม 8:15-16 ความจริงที่บันทึกไว้ว่า …
โรม 8:15-16 “เพราะท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งการเป็นทาสอีกต่อไป ให้ตกอยู่ในความกลัว แต่ท่านได้รับวิญญาณแห่งการเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งทำให้เราร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ ป่าป๊า)” พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า”
แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ไม่ใช่ท่านจะได้ แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงทำให้เราเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีมนุษย์ผู้ใดในโลกใบนี้เลย ที่สามารถที่จะเชื่อพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร? จะท่องคาถาพระคัมภีร์อะไรก็ตาม ไม่มีทางสามารถเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ได้ นอกเสียจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้าไปในวิญญาณของเขา ให้เขาได้บังเกิดใหม่ และประทานความเชื่อตรงนี้ให้กับเขา เขาจึงสามารถพูดออกจากปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้า และพระเจ้ามีอยู่จริง นั่นมันหมายถึงอย่างนี้
พระวิญญาณได้ประทานความเชื่อตรงนี้ให้กับเราว่าเรารู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเยซูเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานั้น ยังเป็นพยานยืนยันให้กับเรา ในความเป็นลูกของพระเจ้า ให้เราเกิดความมั่นใจ มั่นใจสู้กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมันสัมผัสแตะต้องได้ ซึ่งมันไม่เข้าใจ มันก็พยายามไม่เชื่อ มันก็จะตื้อว่าเป็นไปได้อย่างไร? จับ มองเห็นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรล่ะ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในยืนยันตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องห่วงเลย เราไม่ต้องพยายามที่จะไปยืนยัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณของเรา
หลายครั้งเราอาจมีความรู้สึกไม่เชื่อ อาบน้ำไป ตกลงมีพระเจ้าจริงไหมเนี้ย ไม่ต้องไปแคร์มัน ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปคิดอะไรต่างๆ พระเยซูมีจริงหรือเปล่าเนี้ย เดินตกท่อ เพิ่งจะอธิษฐานมาหยกๆ พระเยซูมีจริงไหม? มันก็จะส่งข้อมูลเหล่านี้มา ถ้ามีจริง ตกท่อได้อย่างไร? เพิ่งจะอธิษฐาน เพิ่งจะออกจากโบสถ์มา ไม่ต้องไปสนใจ สนใจในวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่า …
“ฉันเป็นของพระเจ้า พระองค์สถิตอยู่กับฉันตอนนี้แล้ว”
ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เป็นโรคร้ายแรงอะไรต่างๆ เกิดขึ้น
“มีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับเราอย่างนี้ได้อย่างไร?”
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่ใช้ความรู้สึก ไม่ได้มายืนยันว่าฉันแข็งแรง แล้วถึงจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ฉันแข็งแรง ไม่ใช่ฉันร่ำรวย ฉันถึงจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ใช่ แต่ที่ฉันรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ ฉันรู้ รู้จักว่ามันเป็นจริง รู้จากภายในวิญญาณของฉัน”
มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ตรงนั้นแหละ แม้ว่ามันจะรู้สึกเสียงเล็กๆ เพราะในขณะนั้น สิ่งที่หูได้ยิน สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ความรู้สึก มันจะเจ็บปวด มันจะไม่อยากได้ มันจะต่อต้านก็ตาม แต่เสียงเล็กๆ นั้น ก็ยังบอกว่า …
“ฉันมีความหวัง ฉันเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสถิตอยู่กับฉัน”
เอเมนไหม? เอเมน นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ
คำว่า “อับบา” ร้องเรียกพระเจ้าว่า “พ่อ” อับบา คือภาษาฮีบรูของชาวยิว เขาเรียกพ่อที่สนิทๆ กันว่าปะป๊า เวลาเด็กๆ ตกใจ
“โอ๊ย! พ่อช่วยด้วย ปะป๊าๆ”
เป็นความสนิทสนมกัน ในฐานะเป็นลูก และผู้ใดที่นำพาเรา ให้เรามีสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่สนิทกับพระองค์อย่างนี้ ก็พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นผู้นำเรา บอกตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าพอเรามาเชื่อปุ๊บ ก็จะเริ่มต้นสอนเราแล้ว บอกเราแล้วว่าพระเจ้าเป็นพ่อเรานะ สนิทสนมกันมาก เราจึงเริ่มต้นอธิษฐาน ถ้าเราอธิษฐานเมื่อไร นั่นแหละ คือพระวิญญาณเริ่มทำงานแล้วว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า แม้ว่าจะชัดหรือไม่ชัดก็ตาม เราเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ตกใจกลัวความมืด ตกใจกลัวสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วเราก็โดดไปหาพ่อเรา แล้วก็ …
“ปะป๊าช่วยด้วย”
นั่นแหละ คือเราอธิษฐาน ไม่ว่าจะความรู้สึก รู้สึกไม่เชื่อหรือรู้สึกทุกข์ใจก็ตาม ถ้าเราอธิษฐาน เมื่อไร ก็คือเราเรียกปะป๊า พ่อจ๋า แด็ดดี้ช่วยด้วย ในวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น และคำนี้เป็นคำที่พูด ชี้ให้เห็นถึงลักษณะของการไว้วางใจในพ่อ เรียกพ่อว่าปะป๊า แด๊ดดี้ เป็นการไว้วางใจในพ่อ สนิทกับพ่อมากว่าพ่อรักเรา พ่อช่วยเราแน่นอน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวิญญาณของเราจริงๆ ตามพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้นี้ ไม่ใช่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดต้องเข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องจับต้องสัมผัสได้ ไม่ต้องรู้สึกได้ แต่เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้นี้ มาดูอย่างที่ 3
3. ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ดูถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เอเฟซัส 2:19 …
เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านทั้งหลายจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือคนต่างชาติอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองร่วมกับธรรมิกชน และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”
ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า หมายถึงเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลกเลย เป็นพี่น้อง เป็นพลเมือง เป็นสมาชิก ประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้า ร่วมกับธรรมิกชน หมายถึงร่วมกับคริสเตียนอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งหมดเลย เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก ในครอบครัวเดียวกัน ในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้บังเกิดใหม่นั้น ในพระเยซูคริสต์เราได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่ของเรา หัวหน้าครอบครัวของเรา คือพระเยซูคริสต์ คริสเตียน ก็คือน้องๆ ของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงเรียกเราว่าน้องๆ มันจะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับเชื่อ และใช้สิทธิของเรา ในข่าวดีของพระเยซู ที่พระองค์ได้ทรงประกาศว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้มนุษย์ทุกคนแล้ว รวมทั้งเราด้วย สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นทันที คือวิญญาณของเราได้รับการเปลี่ยน เมื่อเราเปิดใจ ซึ่งเรียกว่าบังเกิดใหม่ ได้รับการย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวพระเจ้าในฐานะลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซู เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เข้าส่วนรับมรดกกับพระองค์
ก่อนหน้าที่เราจะรับเชื่อ เราไม่ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เราเป็นสมาชิกของโลกนี้ เราเป็นของโลก เราไม่ได้เป็นของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของโลก ซึ่งไม่มีพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในฐานะลูกพระเจ้า เราอยู่ในฐานะคนบาป เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เราอยู่ห่างจากพระองค์ แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้บัพติศมาเรา เข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์เราจึงได้เป็นทายาท เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ เป็นน้องๆ ร่วมกับพระองค์ เราเรียกกันว่าเราเข้าส่วนรับร่วมกับพระเยซู พระเยซูรับอะไร? เราขอแจมด้วย เข้าส่วนร่วม แปลว่าอย่างนี้ คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์เราเมื่อไร คือเราจะขอส่วนเข้าร่วมแล้ว เหมือนกับเมื่อเขากำลังกินข้าวอยู่ เราขอแจมด้วย ขอแชร์หน่อยได้ไหม? เขาบอกได้ เราตักเลย นั่นแหละ เรามีส่วนร่วม เพราะฉะนั้น เราได้มีส่วนร่วมรับสิ่งที่พระเยซูรับ พระเยซูรับอะไร? เรารับด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่ไหน? เรานั่งอยู่ด้วย พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เรารู้อยู่แน่นอน เรามั่นใจเลย เราก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย ดูฮีบรู 2:11-12 …
ฮีบรู 2:11-12 “11 ทั้งพระเยซูผู้ชำระวิญญาณมนุษย์ทั้งหลาย ให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป เพื่อถวายแด่พระเจ้ากับบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ผ่านทางการยอมรับ-เชื่อ ในข่าวดีของการไถ่บาปของพระเยซูนั้น (หมายถึงคริสเตียน) ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซู ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้น (คริสเตียน) ว่าพี่น้อง 12 พระเยซูพูดว่า “ข้าพระองค์จะประกาศ สำแดงพระนามพระองค์ (พระเจ้าพระบิดา) แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ (มนุษย์ทั้งหลายที่ยอมรับเชื่อ และใช้สิทธิของเขาที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้เขา ชำระวิญญาณของเขาให้บริสุทธิ์ สะอาด) และท่ามกลางที่ประชุมของพี่น้อง ผู้ยอมรับ-เชื่อ ข้าพระองค์จะร้องสรรเสริญพระองค์”
ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พระเยซูบอกว่าพระองค์มา เพื่อประกาศ เพื่อช่วยชำระวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย ให้สะอาดหมดจด พ้นจากบาป เพื่อเขาจะได้มาอยู่ในครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกัน ในครอบครัวของพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า นี่เป็นข่าวดี และใครที่ยอมรับข่าวดีนี้ ยอมเชื่อในข่าวดีนี้ ก็หมายถึงพวกคริสเตียนทั้งหลาย ก็คือเราที่นั่งอยู่ที่นี่ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูบอก พอเชื่อปุ๊บ ก็ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซู พระเยซูเกิดเมื่อไร? งงเลยนะ เกิดในพระบิดาเดียวกัน เกิดอย่างไร? ไหนบอกว่าพระเยซูเป็นอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว เป็นอยู่มาก่อนโน้น ตั้งแต่พระบิดา พระบุตร พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีอะไรทั้งปวง แล้วทำไมเรามาเกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า จำได้ใช่ไหม? ข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงยอม ให้พระบิดาใช้ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่งลงมาเป็นมนุษย์ เสียสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์
คำว่า “เสียสละสภาพพระเจ้า” คือไม่ได้เป็นพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว เป็นมนุษย์ แม้ว่าจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่อยู่ในสภาพมนุษย์ เพื่อจะได้ไปตายที่ไม้กางเขน เพื่อชดใช้ความบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 เพื่อให้มนุษย์เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย วันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย คือในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายนั้น ภาษาเดิมที่ให้ชัดขึ้น คือวันที่ 3 นั้น พระองค์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย บางทีบอกเป็นขึ้นจากความตาย บางทีก็บอกเป็นขึ้นเอง
เป็นขึ้นจากความตาย คือในวันที่ 3 พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ได้ทรงชุบหรือยกพระเยซูขึ้นจากตาย ด้วยพระวิญญาณนิรันดร์ของพระองค์ หรือของพระบิดา ให้พระเยซูได้บังเกิดใหม่ มันหมายถึงอย่างนี้ และพระองค์ก็เท่ากับบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า หรือเราเรียกกันว่าชีวิตนิรันดร์ก็ได้ ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าได้ถูกมอบให้กับพระเยซูในวันที่ 3 นั้น โดยพระบิดาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และชีวิตนิรันดร์นี้ พระเยซูบอก พระองค์ก็แบ่งให้กับมนุษย์ทุกคน เมื่อ 2,000 ปีผ่านไปแล้ว สำหรับระยะเวลาของมนุษย์นะ ซึ่งในโลกวิญญาณไม่มีเวลา คือพระองค์ทรงแบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับมนุษย์ทุกคน ใครที่เชื่อ ก็มารับเอาไป ใครที่ไม่เชื่อ เขาก็ได้ แต่เขาไม่มารับ สิทธิมันก็ค้างอยู่ตรงนั้น ตรงนี้มันจึงแปลว่าได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากบิดาเดียวกันกับพระเยซู เห็นภาพหรือยังว่าเรากับพระเยซู มีวิญญาณนิรันดร์เหมือนกัน บังเกิดลักษณะเดียวกันเลย แต่เราไม่ใช่พระเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เราเป็นมนุษย์คนบาปที่ได้รับพระเมตตา รับเป็นบุตร แต่พระองค์เป็นบุตรอยู่แล้ว เป็นพระเจ้า เราไม่ใช่พระเจ้า แต่เรามีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระเยซู ที่พระองค์ทรงประทานให้
ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้น คือคริสเตียน เรียกเหล่านั้นว่าอะไร? ว่าพี่น้อง เพราะว่ามีพ่อเดียวกัน นี่เห็นไหม? เห็นภาพครอบครัวหรือยัง? เท่ากับวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นวันที่ครอบครัวของพระเจ้า คือมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งพระเยซูที่สละสภาพพระเจ้า จากครอบครัวพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาอยู่เป็นคนบาปเหมือนกับเราทั้งหลาย บัดนี้ มนุษย์ที่เป็นคนบาปและพระเจ้าได้กลับคืนสมบูรณ์ กลับคืนดีกันแล้ว ครอบครัวได้กลับคืนดีกัน หลังจากที่ต้องแตกหัก แยกกันออกไป เป็นเวลานาน บัดนี้ ได้คืนสมบูรณ์แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่านี่คือข่าวดี ที่พระเจ้าได้ทรงให้มนุษย์ กลับคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ข่าวดีที่เราประกาศออกไปทุกวันนี้ คือการประกาศข่าวดีว่าพระเจ้าทรงให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระองค์แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มนุษย์กลับมาเป็นสมาชิก เป็นลูกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว
พระเยซูจึงเรียกพวกเราว่าพี่น้อง ซึ่งนั่นหมายถึงว่ามนุษย์ทุกคน ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา เขาก็ได้เป็นพี่น้อง ซึ่งว่ากันตามจริง เขามีสิทธิที่เป็นพี่น้องอยู่แล้ว เพียงแต่ยอมรับสิทธิ์ไหม? จะเอาไหม? แค่บอกเอาก็พอแล้ว ทุกอย่างทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ฟังข่าวดีนี้อยู่ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของพระเจ้า ที่กลับคืนดีกับพระเจ้า อยากถามว่าท่านยอมรับและเชื่อตรงนี้ไหม? เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูได้ไถ่บาป ให้กับท่าน ชำระวิญญาณให้กับท่าน บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปแล้วจริงๆ ท่านเชื่อไหม? ท่านยอมที่จะมาใช้สิทธิของท่านไหม? ถ้าท่านเชื่อและรับสิทธิ์ ท่านก็เหมือนกับเราที่นั่งที่นี่ ที่รับสิทธิ์แล้ว ท่านก็สบายใจ มั่นใจและรู้อยู่ในใจว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านเป็นสมาชิกคนหนึ่ง แต่ท่านไม่ใช้สิทธิของท่าน ไม่เปิดใจรับเชื่อในสิทธิของท่าน ที่พระเยซูทำให้ สิทธิของท่าน ก็วางอยู่ที่ไม้กางเขนตรงนั้น เหมือนเดิม ไม่ได้ใช้อะไรเลย ไม่มีใครใช้ได้ด้วย เพราะมันประทับชื่อท่านอยู่ มีคนเดียวที่ใช้ได้ตรงนั้น ก็คือชื่อของท่าน ช่วยใช้แทนก็ไม่ได้ เพราะชื่อของท่าน เป็นของท่าน ที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้แบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับท่าน เป็นชื่อของท่าน เป็นสิทธิ์ของท่าน ท่านต้องใช้ด้วยตัวท่านเอง
และพระเจ้าพระบิดา ในพระคัมภีร์บอกรอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ด้วยความห่วงใย ให้ท่านเปิดใจรับสิทธิของท่านเถิด วิงวอนตลอดเวลาเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องราว เป็นอุปมาที่พระเยซูคริสต์ ให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าพระบิดาเป็นห่วงเป็นใยท่านขนาดไหน? ท่านผู้ที่ไม่ใช้สิทธิของท่านนะ ในอุปมานี้ บอกว่าท่านหลงหายไป แล้วพระบิดาทำอะไร? รอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย อยู่หน้าบ้าน มองออกไปตลอดเวลา มองทุกวันๆ ตลอดเวลาว่าเมื่อไร ท่านจะกลับมาเสียที พระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้คิดอะไรกับท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าท่านจะคิดว่าตัวเองบาป หรือไม่สมควร หรือเลวอย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้มองตรงนั้นเลย พระองค์บอกว่ามันจบไปแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นตัวแทน พระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ท่านเข้ามารับสิทธิของท่านเท่านั้นเอง และเราก็จะได้มาแฮปปี้ในครอบครัวเดียวกัน ในครอบครัวใหม่นี้ พระองค์รักและห่วงใยท่าน
4. เราได้รับความรักอย่างลึกซึ้งจากพระบิดา มากถึงขนาดทรงเรียกเราว่าลูก คิดดูสิว่ารักเราขนาดไหน? 1 ยอห์น 3:1-2 …
1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงมองให้เห็นเถิดพระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลายก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”
ท่านที่รัก ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แม้ว่าตาเราจะมองไม่เห็น แต่เรารู้อยู่ภายใน และวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็คือทิ้งร่างกายอันเปื่อยเน่าบนโลกใบนี้ไป เราจะได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราจะได้เห็นหน้าพระเจ้าอย่างแท้จริง อย่างชัดๆ อย่างเป็นตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มด้วยสง่าราศีในร่างกายใหม่ เรารู้ได้อย่างไร? เรารู้ ถ้อยคำพระเจ้าได้บันทึกไว้อย่างนั้น และเรารับรู้ได้ด้วยพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ก็คือได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะที่เจ็บป่วยอยู่ ในขณะที่ยากจนอยู่ ในขณะที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ธรรมดาเหมือนกับคนอื่นบนโลกใบนี้
แต่ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ และในความเป็นจริงนั้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องรอคอยสวรรคสถาน เราอยู่ในสวรรคสถานแล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป จนถึงนิรันดร์ และพระเจ้าทรงรักเรามากมาย มหาศาล ไม่ใช่ เพราะว่าเราประพฤติดี ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดี พยายามทำดี ไม่ใช่เลย พระเจ้าทรงรักเรามหาศาล ก็เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์อยู่แล้ว และพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเรารับสิทธิของเราเท่านั้น เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบาปอยู่แล้ว ทำบาปอยู่แล้ว ไม่มีใครช่วยตัวเองได้เลย แต่พระเยซูคริสต์มาเป็นความรักของพระเจ้า ที่ปรากฏเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเรา แล้วเรารับสิทธิของเรา เราก็ได้เป็นลูกของพระองค์ ลูกที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เปลี่ยนแปลงภายในวิญญาณ เราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่มันเป็นจริง เมื่อเราเชื่อวางใจและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือต้อนรับสิทธิของเรา ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
พอต้อนรับปุ๊บ อะไรเกิดขึ้น ก็คืออัศจรรย์นั่นเอง ต้องพูดว่าอัศจรรย์ ไม่ต้องพูดอย่างอื่นแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรถึงจะเข้าใจตรงนี้ได้ ไม่มีทางที่มนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้รับการอัศจรรย์นี้ อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้นี้ได้บันทึกไว้ ทันทีบนโลกใบนี้ เราจะมีประสบการณ์ในการเป็นลูกของพระเจ้าทันทีบนโลกใบนี้ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ทันทีบนโลกใบนี้ โดยพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา นำพาชีวิตเรา ดำเนินไปกับเราบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้จนถึงนิรันดร์ เราจะรู้เอง ไม่มีทางที่จะอธิบายยกตัวอย่างให้กับคนที่ไม่เชื่อฟัง เพราะว่ามันไม่สามารถที่จะสัมผัสแตะต้องได้ คิดได้แบบมนุษย์ แต่ต้องด้วยความเชื่อและประสบการณ์เท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น
เราจะเห็นได้ว่าจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ พระเจ้าไม่ได้แค่ให้สถานะลูกกับเรา แต่ให้ความรักอย่างเต็มล้นกับเรา เราไม่ต้องพยายามทำให้พระเจ้ารัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อนแล้ว ตอนที่เราเป็นคนบาป ก็รักเราแล้ว เหมือนพ่อแม่มีความภูมิใจในลูก ลูกเล็กๆ ออกมาเป็นทารก ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภูมิใจมากเลย นี่ลูกของฉัน ไปอวดใหญ่เลย นี่ลูกของฉัน ลูกของเรา พระเจ้าก็ภูมิใจเราอย่างนั้นแหละ ลูกของฉันเหมือนกัน นี่คือลูกของเรา เรารักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข
เหมือนกัน เด็กทารกยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เป็นคนดี ไม่เป็นอะไรสักอย่าง เรารักเขา นี่ลูกของเรา ไม่มีลูกของใครสวย หล่อเท่าลูกของเราอีกแล้ว อะไรๆ ก็ลูกของเรา ลูกของเรา พระเจ้าก็อย่างนั้นแหละ ลูกของเรา ไม่ว่าท่านจะมีความรู้สึกว่าท่านไม่พร้อม ท่านมีนิสัยไม่ดี เชื่อพระเจ้า ตรงนั้นก็ยังไม่ดี ยังอิจฉาริษยา คิดสกปรก คิดอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี พระเจ้าไม่สนใจหรอก พระเจ้าสนใจอย่างเดียวว่าในพระเยซูคริสต์ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว นี่คือลูกของเรา
ฉะนั้น ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ที่วันนี้ นำมาดูกัน แสดงให้เห็นถึงความรัก และการยอมรับ ที่พระเจ้ามีต่อเรา ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ในฐานะเป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อและความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น คิดดูสิ พระคุณขนาดไหน? ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น รับเราเป็นลูก อัศจรรย์แค่ไหน? แค่เชื่อในพระเยซู ก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ท่านลองคิดดู แค่นี้ เชื่อเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ประพฤติอะไรเลย โลกจะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจ แต่นี่มันเป็นอัศจรรย์ไง จะเข้าใจได้อย่างไร? มันต้องมีประสบการณ์ อัศจรรย์แค่ไหน แค่เชื่อในพระเยซู ก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า มีฐานะเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซู มีมรดกมากมาย พระเจ้าบอกภูมิใจในคนๆ นี้มาก แค่เชื่อ
“พระเจ้าภาคภูมิใจในฉันมาก พระเจ้าภูมิใจในเรามาก”
พูดด้วยความภูมิใจนะ
“ฉันไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อ แต่เป็นลูกของพระเจ้า”
ยืนยันเวลาเราจะพูดคำนี้ ไม่ว่าเราจะประสบการท้าทายอย่างไรในชีวิต ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเขาจะบอกว่า …
“แกไม่ดีเลย”
ในสังคม เขาอาจจะบอก … “เธอฐานะอย่างนี้ ไม่ได้เรื่องเลย ทำอันนั้นก็ล้มเหลว ทำอันนี้ก็ล้มเหลว ทำไมทำอะไรก็เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ดีสักที โชคร้ายตลอดเลย ทำไมเธอป่วยอย่างนี้” อะไรแบบนี้
ยืนขึ้น ยืดอกในใจ แล้วก็บอกว่า … “ฉันไม่ใช่แค่คริสเตียน แต่ฉันเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงไว้ใจ และภูมิใจในฉัน”
เอเมนไหม? เดินไปที่ไหน ก็คิดอย่างนี้ มีความภูมิใจอย่างนี้ มั่นใจอย่างนี้ นี่คือสถานะของฉัน ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินอยู่บนโลกใบนี้ คนบอกสถานะอย่างเราไม่ไหวหรอกอย่างนี้ เราเป็นคนจน
“ฉันรวยจะตาย เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันมีความหวังแน่นอน เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงทั้งสิ้นเลย ยืดอก ยกไหล่ ยื่นหน้า ยิ้มแย้ม ยินดี แล้วก็กล่าวว่า …
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันไม่ได้เป็นแค่คริสเตียนเท่านั้น ฉันเป็นลูกของพระเจ้า”
คนชอบบอก … “คริสเตียนทำไมเป็นอย่างนี้”
บอก … “ฉันไม่แค่เป็นคริสเตียน ฉันเป็นลูกของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะฉันเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”
พระเจ้าอวยพรครับ
****************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียน! ตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของเราเป็นความรัก โกรธ เกลียดใครไม่เป็นเลย … จริงๆ เราเป็นแสงสว่างไร้ความมืด … จริงๆ
พระเจ้าทรงเป็นความรัก และเรา คริสเตียน ผู้เชื่อเป็นลูก ก็เป็นความรักเช่นเดียวกัน ความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้านี้ มีคุณสมบัติลักษณะอย่างนี้ คือ …
1 โครินธ์ 13:4-8ก … “4 ความรักเป็นการอดทนนาน และกระทำคุณให้ ความรักเป็นการไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”
ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณข้างในของเราเป็นความรัก ชนิดแบบของพระเจ้าเลย พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราก็ได้เกิดเป็นความรักเลย ไม่ใช่พยายามทำตัวให้รักคนอื่น แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของเราเป็นความรักเลย โกรธ เกลียดใครไม่เป็นเลย
รับรู้ความจริงนี้มากเท่าไหร่ว่าเราเป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก ซึ่งถ้ามีความรักอาจสูญหาย พร่องไปได้ แต่เมื่อเป็นความรัก ตามธรรมชาติ โดยการเกิดมาเป็นความรัก ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเกิดมาเป็น
มีประสบการณ์กับความจริงนี้มากเท่าไหร่ เราก็จะสำแดงธรรมชาติใหม่ ที่เป็นความรักได้มากเท่านั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่รับรู้ความจริง ซึมซับ รับเอาความรักจากพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา และฝึกฝนที่จะยอมมอบอวัยวะทุกส่วน ในร่างกายของเราให้พระเจ้าใช้ ก็คือปล่อยให้ความรักจากภายในวิญญาณ สำแดงออกมา เป็นการกระทำนั่นเอง
พระเจ้าอวยพรครับ