คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม 2025
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 14
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:21 บอกว่า …
กาลาเทีย 4:21 “ท่านที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าเถิด ท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ?”
ในพระคัมภีร์ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับชาวกาลาเทีย ที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติที่มนุษย์แนะนำว่าเชื่ออย่างเดียวไม่พอนะ ต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วยในสมัยโน้น คนยิวที่เชื่อพระเจ้า คนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้า เขาก็จะแนะนำว่าเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียว มันไม่พอหรอก แต่พระเยซูคริสต์บอกกับเราว่าแค่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจะได้รับความรอด ท่านจะได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ท่านจะสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เหมือนกับพระเจ้าเลย อาจารย์เปาโลบอก ตอนมาประกาศใหม่ๆ อาจารย์เปาโลมาแบบกระท่อนกระแท่นมาก มาแบบเจ็บป่วยด้วย แต่ว่าด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำให้ผู้คนเหล่านี้ ต้อนรับข่าวดีของพระเจ้า และวางใจในพระองค์ ได้กลับใจใหม่
จากนั้น มีผู้คนที่มา เหมือนกับเดินไปกับพระเจ้าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาแนะนำ เป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการนั่นแหละ มาแนะนำว่า …
“เธอๆ มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ เธอจำเป็นจะต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วยนะ”
สมัยก่อน หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องพิธีกรรม ที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับโมเสสเหมือนเดิม แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าเมื่อใครเป็นลูกของพระเจ้าจำเป็นจะต้องเข้าสู่พิธีเข้าสุหนัตด้วย จึงจะสามารถเป็นประชากรของพระเจ้า หรือไม่ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา ต้องมาทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ในกฎบัญญัติเดิมที่พระเจ้าเขียนไว้
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยกเลิกแล้ว เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน กฎเก่าที่ต้องยึดถือ หรือพยายามทำตามบทบัญญัติได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยพูดไว้ในข้อที่ 21 ว่า …
“คนที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าทีเถิดว่าท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ?”
บทบัญญัติกล่าวไว้ ก็คือมนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องทำตามกฎระเบียบ ที่เขียนไว้ในบทบัญญัติทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลาด้วย โดยไม่มีข้อยกเว้น อันนี้สำคัญ ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้จัดเตรียมพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับพวกเรา เมื่อถึงวาระกำหนด พระองค์ก็มาเกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วมาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถมีตัวเลือก ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์มาเกิด มนุษย์ไม่มีตัวเลือก มนุษย์เกิดมาในบาป นี่เป็นเรื่องจริงในโลกวิญญาณ คือเกิดมาปุ๊บ เป็นคนบาปเลย เกิดมาปุ๊บ มีหนี้บาปติดตัวมาเลย ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็ได้เป็นคนบาป ได้เป็น เกิดมาเป็น
ดังนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนบาป มีธรรมชาติบาป มี DNA บาป จึงทำให้เขาทำบาป มันเป็นเหมือนขั้นตอนที่มันเป็นไปอย่างนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า ตัวบาปเก่าของเรา ได้ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม ธรรมชาติใหม่ที่ผู้เชื่อทั้งหลายมี คือเป็นผู้ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาป ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่จำเป็นจะต้องทำพิธีกรรมใดๆ อีกต่อไป เพื่อจะทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม
แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ คือชอบทำ เหมือนกับเราได้ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันดูดี ไม่อย่างนั้น มาเชื่อพระเจ้า แล้วอยู่เฉยๆ แล้วบอกเราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ฟังแล้ว มันง่ายไปไหม? อะไรประมาณนั้น มนุษย์จึงสามารถถูกล่อลวงได้จากกฎต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็คือกฎของความบาปและความตาย คือพยายามพึ่งพาในตัวเอง
ฉะนั้น คนที่มาแนะนำให้ชาวกาลาเทีย ไปทำตามกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าสั่งโมเสสไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้เชื่อเหล่านี้ แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง อาจารย์เปาโลพูดชัดเจน เขาทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
ประโยชน์ของตัวเองมาจากไหน? เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องไปทำพิธีกรรมใดๆ อีกแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังคงแนะนำว่า …
“เธอยังต้องมาทำพิธีกรรม”
สมมติว่าทำพิธีการเข้าสุหนัต แล้วก็ต้องมาทำพิธีกรรมล้างบาปอีก มันจะมาเป็นขบวน ก็คือทำอย่างหนึ่ง ก็จะมีของแถมมาอีกอย่างหนึ่ง แถมมาเรื่อยๆ ฉะนั้น พิธีกรรมเหล่านี้ มันต้องใช้ปัจจัย สมัยก่อน พวกมหาปุโรหิต เขาก็จะใช้วิธีนี้แหละในการหาเงิน จากคนยิว ทำไมพระเยซูคริสต์ถึงต้องคว่ำโต๊ะรับเงิน เอาแส้ตีคนที่มาขายแกะ ขายแพะ ทำไมพระองค์โกรธขนาดนั้น เพราะว่าคนในยุคนั้น เมื่อถึงวาระหนึ่ง เขาถือโอกาสใช้อำนาจของตัวเอง หรือตำแหน่งของตัวเอง เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์จากชนชาติอิสราเอล เพราะเมื่อก่อน กฎเกณฑ์มันเยอะ ก็คือพระเจ้ามีกำหนด
ไม่เหมือนปัจจุบัน เราอยู่ที่ไหน? เราก็สามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ คือพระเจ้าทรงอยู่ในเราตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่ไหน? เพื่อหาพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในนี้ แต่ว่าสมัยก่อนมันไม่ใช่ สมัยก่อน คือพระเจ้ามีกำหนดว่าชนชาติอิสราเอลจะต้องไปในพระวิหารของพระเจ้า ที่กรุงเยรูซาเล็ม ปีละครั้ง ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชาใหญ่เลย เมื่อถวายเครื่องบูชาใหญ่ สมัยก่อนกฎเกณฑ์มี พระเจ้าเขียนไว้แบบชัดเจนมาก คนอิสราเอลต้องเอาลูกแกะที่ไม่มีตำหนิ อายุเท่าไร? พระเจ้ากำหนดไว้เลย แล้วก็เดินทางมาที่เยรูซาเล็ม เพื่อถวายเครื่องบูชา
แล้วพี่น้องลองคิดดู ถ้าบางคนอยู่ไกลมาก การเดินทางมาที่เยรูซาเล็ม อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ไม่เหมือนทุกวันนี้ นั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงเราก็ถึงแล้ว หรือขับรถไป หลายชั่วโมงอยู่ มันก็ถึง แต่สมัยก่อนไม่ใช่ ก็คือคนอิสราเอลก็จะขี่อูฐ บางคนไม่มีอูฐก็เอาลา หรือไม่ก็ต้องเดินทางด้วยเท้าของตัวเอง กว่าจะเดินทางมาถึงที่หมายที่พระเจ้ากำหนดไว้ ซึ่งต้องคำนวณเวลาให้ดีๆ ด้วย เลยก็ไม่ได้ พระเจ้ากำหนด วันนี้ก็คือวันนี้ ถ้าเลยวันนี้ พระเจ้าไม่รับเครื่องบูชา เขาก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าว่าต้องมาถึงก่อนที่จะถวายเครื่องบูชา อย่างน้อยสัก 2-3 วัน อะไรอย่างนี้
ฉะนั้น การเดินทางอย่างนี้ ถ้าสมมติว่าเขานำแกะที่ไม่มีตำหนิจากบ้านของเขา เดินทางมาถึง มันก็เลยกำหนดที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือ …
สมมติ “ให้เอาลูกแกะอายุ 3 เดือน”
ตอนที่เราพามา ก็ 3 เดือน แต่พอมาถึงกลายเป็น 6 เดือนแล้ว ถ้า 6 เดือนแล้ว ใช้ได้ไหม? ใช้ไม่ได้ ก็คือผิดจากกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น คนยิวก็ใช้วิธีว่าขายแกะ แล้วเอาเงินพกติดตัว แล้วก็เดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พอมาถึงเขาก็ต้องไปซื้อแกะ แล้วก็ต้องเป็นลูกแกะที่ไม่มีตำหนิด้วย แล้วในพระวิหาร ก็คือมีคนมาขายแกะ แล้วก็มีคนมาให้แลกเงินด้วย เพราะสมัยก่อน พระเจ้าก็กำหนดด้วย ทุกคนต้องมาถวายเงิน เป็นกำหนดว่าผู้ชายเท่าไร? ผู้หญิงเท่าไร? เด็กผู้ชายเท่าไร? เด็กผู้หญิงเท่าไร? มันเป็นอย่างนั้นเลย คือกฎเยอะมาก แล้วถวายเกินก็ไม่ได้ ถวายขาดก็ไม่ได้
สมมติ ผู้ชายให้ 5 บาท ผู้หญิงให้ 3 บาท ถ้าเราเป็นผู้ชายเงินเราเยอะ เราไม่อยากให้ 5 บาท ขอให้ 10 บาทได้ไหม? พระเจ้าบอกไม่ได้ พระองค์ไม่เอา ไม่รับ ก็คือมันเป็นอย่างนั้นไง กฎมันเข้มงวดมาก ฉะนั้น คนก็ต้องพกเงินใส่กระเป๋า แล้วก็เดินทางมา พอเดินทางมาปุ๊บ ก็มาซื้อแกะที่ไม่มีตำหนิ พอซื้อแกะที่ไม่มีตำหนิ คนขายก็โก่งราคา สมมติว่าแกะตัวหนึ่ง ณ เวลานี้ขายสักพันหนึ่ง พอคนมาซื้อปุ๊บ โก่งราคาเป็นสองพัน สองพันต้องซื้อไหม? ต้องซื้อ เพราะว่าต้องถวายเครื่องบูชา หรือแลกเงิน เหมือนทุกวันนี้ เวลาเราจะไปเที่ยวต่างประเทศ เราก็ต้องไปแลกเงินสกุลของประเทศนั้นๆ ที่เราจะไปเที่ยว ถ้าเราแลกจากประเทศไทย เราก็สามารถที่จะดูว่าของตรงไหนดี เราก็ไปแลก เราก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการแลกเงิน แต่ถ้าเราไม่เตรียมตัว ไปถึงที่ไปแลก เขาอาจจะขายเราแพง เราต้องซื้อไหม? ต้องซื้อ เพราะว่าถ้าไม่ซื้อ ไปถึง ยืนงงเลย จะซื้ออันนี้ก็ไม่ได้ ซื้อโน่นก็ไม่ได้ เขาไม่รับเงินไทยด้วย เขาจะรับเงินของประเทศเขา มันเป็นภาพเดียวกัน
พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้นในพระวิหารของพระเจ้า ก็คือพวกมหาปุโรหิตฮั้วกับคนขายแกะกับคนแลกเงิน เข้าใจคำว่า “ฮั้ว” ไหม? ก็เหมือนกับวัดครึ่ง กรรมการครึ่ง ของที่จะเข้าวิหารเอาไปครึ่งเดียวพอ กรรมการพวกมหาปุโรหิตเอาไปอีกครึ่งหนึ่ง อะไรประมาณนี้ นี่เป็นเหตุที่ทำให้พระเยซูคว่ำโต๊ะแลกเงิน
พระเยซูบอกว่า “วิหารของเรา เป็นวิหารแห่งการอธิษฐาน แต่พวกท่านกลับมาทำเป็นถ้ำโจร”
มันเป็นถ้ำโจรชัดๆ มันเป็นโจรที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้ ก็คือยังไงก็ต้องซื้อ ยังไงก็ต้องแลก ภาพของสมัยโบราณ มันเป็นแบบนั้น อาจารย์เปาโลบอกกับชาวกาลาเทียว่าพระเยซูได้ไถ่ท่านให้เป็นอิสระจากกฎบัญญัติเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว ท่านคิดไม่เป็นหรือ? ถึงอยากจะเอาตัวเองแทรกเข้าไปอยู่ใต้บทบัญญัติอีกครั้งหนึ่ง ก็คือจะไปอยู่ใต้กฎเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันไม่จำเป็น สิ่งเหล่านี้ที่ชาวกาลาเทียทำ ทำให้ความรอดหายไปไหม? ไม่หายนะ ความรอดยังคงอยู่ เพราะว่าเขาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่ว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แทนที่จะมีอิสรภาพ แทนที่จะชื่นชมยินดี มารับเอาพระพร พระคุณที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แทนที่จะเป็นอย่างนั้น กลับต้องมาซกๆ ทำเหมือนเดิม คือทุกอย่าง “ต้อง ต้องและต้อง” ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายสิบลด ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องอธิษฐาน ต้องโน่นนี่นั่น เยอะแยะมากมาย ต้องมารวมกลุ่ม ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วคำว่า “ต้อง” ตรงนี้มันมีวงเล็บต่อจากต้องว่า “ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษ” ถ้าไม่ทำ แปลว่าแกไม่รักพระเจ้า เอาคำว่า “แก” นะ แสดงว่าแกไม่รักพระเจ้า ซึ่งมันเป็นกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น พระเจ้าไม่เคยตั้งอย่างนั้น พระเยซูบอกว่าพระองค์ไถ่เราให้เป็นอิสรภาพแล้ว เรามีเสรีภาพ ที่จะเลือกทำ พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเอาเสรีภาพนี้ ไปทำความชั่ว อาจารย์เปาโลพูดชัดเจนนะ อย่าใช้เสรีภาพที่พระเจ้าให้ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเองที่จะไปกระทำความชั่ว
เสรีภาพนี้คืออะไร? ถ้าดิฉันพูดอย่างนี้แปลว่าตอนนี้คริสเตียน ไม่ต้องมาโบสถ์แล้วใช่ไหม? คริสเตียนไม่ต้องถวายแล้วใช่ไหม? คริสเตียนไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์แล้วใช่ไหม? และคริสเตียนไม่ต้องอธิษฐานแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิด
คำว่า “ต้อง” ก็คือบังคับจากข้างนอก ที่คนมาบีบเราบอกว่าต้องพยายามทำ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ก็คือเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา แล้ววิญญาณของเรา ก็เป็นวิญญาณเดียวกับพระเจ้าด้วย เป็นวิญญาณที่ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์อยู่แล้ว คือวิญญาณเราอยากจะทำ ก็คือมันจะเป็นความอยากจากข้างใน พอความอยากจากข้างในปุ๊บ เราทำแบบธรรมดา ธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติ เหมือนเราเกิดมาเป็นคนธรรมชาติ ก็คือเราอยากเดินไปไหน ค่อยลุกขึ้นเดิน ไม่ต้องให้ใครมาบังคับว่าเดินสิๆ ไม่ต้อง ไม่อยากเดิน ฉันก็นั่ง ไม่ต้องมีใครมาบังคับ ให้ทำทุกอย่างจากใจ
ฉะนั้น ธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อ คือเป็นผู้ที่ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า มันจะเกิดจากข้างในที่เราทำออกมา ที่เรามาโบสถ์ เพราะเรารักพระเจ้า เราอยากจะมา ไม่ใช่เพราะศิษยาภิบาลบังคับว่า …
“มาโบสถ์นะ ไม่มาโบสถ์ เดี๋ยวพระเจ้าไม่อวยพร”
ถ้าเรากลัวแบบนี้ ไม่ต้องมาก็ได้พี่น้อง ฉะนั้น ท่าทีมันจะต่างกันมาก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งที่มันออกมา คือทำทุกอย่างออกมาจากใจ อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “ออกมาจากใจ” ใจข้างใน คือเป็นใจเดียวกันกับพระเจ้า ก็คือทำตามพระวิญญาณนำเรา ทำให้เราอยากมาโบสถ์ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเรา หรือมาแบบที่กลัวๆ กล้าๆ
“ฉันต้องมานะ ถ้าฉันไม่มา เดี๋ยวพระเจ้าไม่อวยพรกิจการของฉัน ฉันไม่มา เดี๋ยวพระเจ้าจะลงโทษฉัน ถ้าฉัน ฉัน ฉันอยู่นี่แหละ”
ซึ่งมันไม่ใช่ เรากำลังถูกหลอก แต่พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างมันจะออกจากข้างในวิญญาณ เราอยากมาโบสถ์ เราอยากถวายทรัพย์ เราอยากอ่านพระคัมภีร์ เดี๋ยวนี้บางคนอ่านไม่ได้ ณ เวลานี้ ดิฉันอ่านพระคัมภีร์ไม่ได้ พระคัมภีร์เล่มเล็กไป ขนาดซื้อเล่มที่ใหญ่มากๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าเล่มนี้สุดยอดเลย ตัวหนังสือใหญ่มาก เราอ่านสบายเลย แต่ ณ เวลานี้ เล่มนี้ เราอ่านไม่ออกแล้ว เพราะมันตัวเล็กไป ตัวเล็กไปทำอย่างไร? เราอยากอ่านพระคัมภีร์พิมพ์สิ พิมพ์ตัวโตๆ ให้ตัวเองอ่านสบาย ข้อใหญ่ๆ ไม่อย่างนั้น เวลาเราอ่านในพระคัมภีร์ ตรงข้อจะตัวเล็กมาก มีอยู่ช่วงหนึ่ง พยายามที่จะอ่านมันให้ได้ แต่จริงๆ มันอ่านไม่ได้ เพ่งแล้วเพ่งอีก มันอ่านไม่ออก เราก็ต้องมีวิธีการ
ฉะนั้น อยากจะบอกพี่น้องว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้อยคำของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจไหม? ถ้อยคำของพระองค์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์ผู้นั้นแหละ ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่มีเทคโนโลยีเยอะมาก ถ้าเราอ่านไม่ได้ บางคนอ่านหนังสือไม่ออก ทำอย่างไร? เปิดยูทูป โหลดแอปของพระคัมภีร์ เวลาเรานั่งทำงาน เราก็กดให้เขาอ่านให้เราฟัง อ่านไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยเราได้ อธิษฐาน พี่น้องไม่จำเป็นจะต้องไปหาที่ หาทางเป็นอลังการงานสร้างมากเลย แล้วก็ไปคุกเข่าอธิษฐาน ไม่ต้อง คำว่า “อธิษฐาน” คือการคุยกับพระเจ้า เราคุยเมื่อไรก็ได้ เพราะพระเจ้าอยู่ในนี้ เราไม่ต้องวิ่งไปหาพระเจ้าที่ไหน? พระเจ้าอยู่ในเรา คุยกับพระเจ้าในใจได้ คุยกับพระเจ้าในความคิดได้ หรือบ่นพึมพำกับพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าได้ยินหมด
ฉะนั้น การอธิษฐานก็ไม่ได้เป็นพิธีกรรม เพียงแต่ เรามาโบสถ์ มันก็ต้องมีพิธีกรรมใช่ไหม? เวลาอาจารย์เขาอธิษฐานเปิด อธิษฐานปิด ก็เป็นพิธีกรรมนิดหนึ่ง แต่ถามว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะตีหัวเราไหม? ไม่ตีนะ แต่เราอยากทำจากข้างใน เราอยากให้พระเจ้า ที่อยู่ในเรานำเรา
อย่างศิษยาภิบาลขึ้นมาเทศนา เราอยากให้พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระวิญญาณเป็นผู้ทำงาน ผ่านทางชีวิตของเรา ผ่านทางปากของเรา ที่จะกล่าวถ้อยคำของพระองค์ เราก็อธิษฐาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำเรา เมื่อเราเทศนาจบ เราก็อยากจะอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำเหล่านี้ ที่ถ้อยคำแห่งฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะเข้าไปทะลุทะลวงในวิญญาณของพี่น้องทุกๆ คนที่จะสามารถทำให้เราเจริญเติบโตขึ้น เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ทำให้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ความคิด จิตใจ วิญญาณของเรา มันเป็นการปรับปรุงนะ
อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจของเราใหม่ ในหนังสือโรม 12:1-2 ให้เราถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ทั้งมือ ขา จมูก ลิ้น กาย สมองถวายให้พระเจ้า ทำไมอาจารย์เปาโลต้องบอกอย่างนั้น ให้เราถวายให้พระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเรา เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ในหนังสือกาลาเทียบอกไว้อย่างนั้น ณ ปัจจุบัน เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป
คำว่า “ชีวิตของเรา” ก็คือตัวเก่าที่เป็นบาปของเรา มันไม่อยู่กับเราแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความรัก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกเราให้จดจ่อกับสิ่งเหล่านี้แหละ สิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้แล้ว อะไรที่มันแปลกปลอมมาในสมองของเรา ซึ่งถ้ามีข้อมูลใส่มาในสมองของเรา บอกเราว่า …
“เธอยังเป็นคนบาปอยู่นะ”
เรารับไหม? ไม่รับนะ พี่น้องไม่เอเมนนะ คำว่า “เอเมน” คือยอมรับ เราเป็นคนบาป ใช่เลยๆ เราเป็นคนบาป เมื่อตะกี้เรายังทำบาปอยู่เลย เมื่อกี้เราไปด่าเขา เมื่อกี้เราไปคิดไม่ดีกับเขา เราเป็นคนบาป ไม่ใช่ พระเยซูบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า แต่ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งเผลอไปทำบาป เผลอไปด่าเขา นั่นแหละ เราเผลอ แต่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะไม่ถูกหลอก พอเราถูกหลอก ชีวิตเราก็ขาดสันติสุข แล้วก็ไม่กล้าเข้าหน้าพระเจ้าด้วย ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงรักเราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์เป็นทนายแก้ต่างให้กับพวกเรา เป็นผู้อธิษฐานเผื่อพวกเรา ณ เวลานี้ เรามองไม่เห็น แต่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้ พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย ต่อหน้าพระเจ้าพระบิดาของเรา นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว
กาลาเทีย 4:22-23 “22 เพราะมีเขียนไว้ว่าอับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส อีกคนเกิดจากหญิงที่เป็นไท 23 บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา”
ตรงนี้อาจารย์เปาโลยกขึ้นมา เนื่องจากพูดถึงเรื่องบทบัญญัติ ซึ่งในหนังสือมัทธิว หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูยกเรื่องบทบัญญัติมา เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระเยซูกำลังบอกเราว่าเราปฏิบัติไม่ได้หรอก ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน เพราะว่าสมัยก่อนเราเป็นมนุษย์บาป เราจำเป็นจะต้องบังเกิดใหม่ ให้พระเจ้าช่วยเรา ทำให้กฎบัญญัติเหล่านี้สำเร็จในตัวของเรา คือทุกวันนี้ บทบัญญัติเหล่านี้ มันได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วบทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับโมเสส 600 กว่าข้อ ตอนนี้พระเยซูหดเหลือแค่ จะว่า 1 ข้อหรือ 2 ข้อก็ได้นะ ถ้า 2 ข้อ คือจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของท่าน ข้อที่ 2 คือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าให้เรารักซึ่งกันและกัน คำว่า “ให้เรารักซึ่งกันและกัน” ตรงนี้ ไม่ได้เป็นภาระสำหรับผู้เชื่อ ทำไมไม่เป็นภาระ เพราะว่าความรักนี้มาจากพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูกำลังบอกเราให้พยายามผลิตความรักชนิดนี้ออกมา ไม่ใช่ แต่ความรักชนิดนี้ มันเกิดขึ้นในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว และให้เราฝึกฝน พัฒนาความรักที่มันอยู่ข้างในวิญญาณของเรา ให้มันส่งผลออกมาให้กับคนรอบข้างแค่นั้นเอง มันจึงไม่เป็นภาระ
เหมือนเรามีของอยู่ในตู้อยู่แล้ว ใครถามหาอะไร เราก็ไปเปิดตู้ แล้วหยิบให้ แค่นั้นเอง ถ้าไม่มีของ เราต้องไปวิ่งหาซื้อ แต่ของเหล่านี้ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น มันจึงไม่เป็นภาระ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย
เราจำเป็นต้องรับรู้ ณ เวลานี้ วิญญาณของเราทุกคนเกิดมาเป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นความรัก มันเป็นเลย แต่ว่าบางครั้ง ทำไมเราไม่สามารถผลิตความรักออกมาให้กับคนอื่นได้ เราต้องฝึกฝน ค่อยๆ ฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องไปวิ่งไล่หา เอาความรักไปวิ่งแจกคนโน่นคนนี่ ฉันรักเธอ ไม่ต้อง มันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติของเรา
คริสเตียนบางคนเข้าใจว่าพระเจ้าสั่งว่าให้รักกัน เราต้องวิ่งไล่ล่า ไหนๆ เราต้องเอาความรักไปแจก ไม่ต้อง ให้เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่พระเจ้าให้เราสำแดงออกมา มันเป็นปกตินิสัยของเรา ไม่ต้องมานั่งเสแสร้งว่าฉันรักเธอมากเลย ไม่ต้อง แต่ข้างในวิญญาณเราเป็นความรักแล้ว เหมือนที่เราบอกว่าพอเราได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียนปุ๊บ รู้จักไหม? ไม่รู้จัก รักเขาเลย มีความสุข ดีใจกับเขาด้วย อ้าว! ดีใจทำไม? ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าวิญญาณเราเป็นวิญญาณเดียวกัน
คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อยู่โน้น ประเทศไหนก็ไม่รู้ แต่เราไปอ่านเจอเฟสบุ๊ค ประเทศนี้ มีคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะมากเลย เราเฮกับเลย เฮทำไมล่ะ รู้จักไหม? ไม่รู้จัก แต่เรารู้ว่าเขากับเราเป็นวิญญาณเดียวกัน เขามีพระเยซูคริสต์อยู่ในเขา เราก็มีพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราทุกคนเป็นร่างกายเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา มันจะออกมาเป็นภาพนี้ ความปิติยินดีมันออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เสแสร้ง มีความสุข อย่างที่บอก เวลาเราขับรถ ตามรถคันหน้า เห็นรูปปลา สัญลักษณ์ของคริสเตียน คริสเตียนชอบเอารูปปลาไปแปะไว้หลังรถ ขับอยู่ดีๆ
“เฮ้ๆ ข้างหน้า รถคันนั้น เขาเป็นคริสเตียน”
ดีใจใหญ่เลย ดีใจทำไม? รู้จักเขาไหม? ไม่รู้จัก แต่ดีใจ พี่น้องเราๆ อะไรประมาณนั้นแหละ นี่มันเป็นภาพที่ออกมา โดยอัตโนมัติ ที่เราไม่ต้องเสแสร้ง แล้วพระเจ้าบอกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ฉะนั้น ในข้อที่ 22 ที่อาจารย์เปาโลยกอับราฮัมขึ้นมา ก็คืออับราฮัมมีบุตร 2 คน เหมือนกับทุกวันนี้ บนโลกใบนี้มีมนุษย์อยู่ 2 แบบ แบบหนึ่ง ก็คือมนุษย์ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ อีกแบบหนึ่ง ก็คือมนุษย์ที่เชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง อาศัยอยู่ในอาดัม
ฉะนั้น คนที่อาศัยอยู่ในอาดัม เกิดจากหญิงทาส “ทาส” ก็คือมันไม่มีอิสระ เป็นทาส คือถูกทำทารุณกรรมได้ เป็นคนไม่มีอิสระเสรีในการดำเนินชีวิต ดังนั้น คำว่า “เกิดจากหญิงทาส” ก็คือเป็นความต้องการของตัวเอง
ตอนที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม บอกว่า “เราจะให้เจ้ามีบุตร และเราจะอวยพรเจ้า ให้ลูกหลานของเจ้าเหมือนเม็ดทรายในทะเล เหมือนดาวบนท้องฟ้า นับได้ นับไปเลย ลูกหลานของเจ้าจะเยอะขนาดนั้น”
แต่เนื่องจากอับราฮัมกับนางซารายรอพระเจ้าไม่ไหว รอพระเจ้า ก็คือจะต้องใช้ความเชื่อ พระเจ้าบอกรอไปเถอะ เราก็ตั้งตารอ รอไปรอมาไม่ไหวแล้ว ขอทำเองแล้วกัน อิชมาเอลเกิดมาจากความต้องการของนางซารายกับอับราฮัม ซึ่งยกนางฮาการ์ เป็นคนใช้ ให้อับราฮัม เพื่อจะได้ลูกออกมา แล้วคิดว่าลูกคนนั้น คือลูกแห่งพันธสัญญา เขาคิดนะ ตามความเป็นมนุษย์
เขาคิดว่า … “ฉันแก่ขนาดนี้แล้ว พระเจ้าคงไม่อวยพรฉัน ให้ลูกเกิดจากฉันหรอก งั้น อับราฮัมไปนอนกับคนใช้เลย”
แล้วก็ได้ลูกมา แต่พระเจ้าบอกว่าลูกคนนั้นไม่ได้เกิดจากพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ พระเจ้าสัญญาว่าลูกที่ออกมา ที่พระเจ้าต้องการ คือต้องมาจากอับราฮัมกับนางซารายเท่านั้น กับคนอื่น พระเจ้าไม่นับ ฉะนั้น ลูกคนนี้ เกิดจากความต้องการของมนุษย์เอง แต่หลังจากนั้น พระเจ้าก็เมตตาให้นางซารายได้ตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตร ตอนนางซารายคลอดบุตร อายุ 90 ปี ซึ่งโดยความเป็นมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ ฉะนั้น ลูกคนนี้เกิดมาตามพระสัญญา เมื่อพระเจ้าทรงให้สัญญาแล้ว เวลามันจะนานแค่ไหน พระเจ้าจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ เหมือนตอนที่พระเจ้าสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่าพระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ ทรงสัญญากับมนุษย์คู่แรกด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเขาแหลก เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พงศ์พันธุ์ของหญิงมีเพียงผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์ แล้วก็ลูกหลานของอับราฮัม มีคนเดียวที่เป็นลูกแห่งพันธสัญญา ถ้าเราไม่นับอิสอัค ก็คือเป็นเชื้อสายที่พระเจ้าเล็งไปถึงอนาคตข้างหน้า มีหน่อเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าจะประทานมาให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ
ฉะนั้น ทุกอย่าง พระเจ้ากำหนดไว้แล้ว แต่ความเป็นมนุษย์บางครั้ง เรารู้สึกพระองค์ช้าจังเลย เคยรู้สึกไหม? ช้าจังเลยพระองค์เจ้าข้า ไม่ทันใจ ขอจัดการเองหน่อย ก็แล้วกัน คือเมื่อเราจัดการเอง พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร? อยากทำ ก็ทำไปเถอะ แต่ทำไป เราก็เหนื่อยเปล่า แล้วมันก็จะไม่เกิดผลตามที่พระเจ้าให้ไว้ ตามที่พระเจ้าต้องการ แต่ถ้าเราอดทนรอคอย คริสเตียนมีหน้าที่อย่างเดียว คืออดทนรอคอย ตามพระสัญญา พระเจ้าให้เราอดทน
คนสมัยก่อน หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้เชื่อในยุคนั้น เขาอดทนมากเลย เขาได้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า เขาได้เห็นพระเยซูถูกตรึง ได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วอยู่กับเขา 40 วัน เขาได้เห็นพระเยซูลอยขึ้นไปบนสวรรค์กับตาเลย แล้วเขาได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา ในวันเพ็นเตคอส คือเขาได้เห็นหมด สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นกำลังใจ เป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ เป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ดังนั้น คนในยุคก่อนไม่ว่าเขาจะถูกข่มเหงขนาดไหน? เจอความทุกข์ยากขนาดไหน? เขาไม่ละทิ้งความเชื่อ เพราะเขามั่นใจในพระองค์ เขายึดพระเจ้าไว้ แล้วเขามีท่าทีแบบว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับเขา มันเทียบกันไม่ติด ความหวังใจของผู้เชื่อในยุคเก่า เขามองพุ่งไปที่ข้างบนเลย ก็คือที่เบื้องบน ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าวันหนึ่ง เมื่อลมหายใจเขาออกจากร่าง พระเจ้าจะพาวิญญาณเขาไปอยู่กับพระองค์ ความหวังใจตรงนี้ ทำให้บุคคลในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าเขาจะทุกข์ทรมานเขายังคงยึดมั่นในพระเจ้า และเขาก็อดทนรอคอย ทำได้อย่างเดียว อดทน รอคอย คนในยุคเดิม เขาอดทนรอคอย เพราะเขามีความหวังใจ
ในยุคของเราเหมือนกัน จริงๆ แล้วพระเจ้าบอกว่าความทุกข์ยากลำบากในแต่ละยุค แต่ละสมัย ทุกคนก็เจอหมด พอถึงสมัยยุคของเรา เราก็รู้สึกเราทุกข์กว่าเขา …
“พระองค์เจ้าข้า ทุกข์จังเลย ทำไมเราถึงเกิดมาในยุคนี้ ยุคที่โควิดก็มา ฝุ่น PM 2.5 ก็มา โน่นนี่นั่นมา ไฟป่าก็มา น้ำท่วมก็มา ทุกอย่างเลย ทำไมต้องมาประดังประเดอยู่ในยุคของเราด้วย พระองค์เจ้าข้า”
แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บที่มันมาแปลกๆ โรคอะไรก็ไม่รู้ หมอก็สันนิษฐานไม่ออก พอหมอสันนิษฐานไม่ออก แล้วตาย ก็บอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด เราก็ไม่รู้ว่ามันติดเชื้อตอนไหน? อย่างไร? อะไรประมาณนั้น
เราคิดว่านี่หนักหนาสาหัสแล้ว แต่ว่าคนในยุคโบราณ ก็หนักหนาสาหัสเหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่เรามีความมั่นใจ มีความปิติยินดีตรงที่ว่าไม่ว่าเราจะเจอกับเหตุการณ์อะไรก็ตาม เรารู้ว่าพระเจ้า พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือหลักประกันที่ทำให้เราสามารถที่จะฮึดสู้ …
“อีกนิดเดียว ไม่เป็นไรพระองค์เจ้าข้า ประคองลูกไป ถ้าลูกหมดแรง ก็หิ้วปีกลูกไปด้วยเถิดพระองค์เจ้าข้า”
ก็ประมาณนั้น แต่พระเจ้าก็จะกระซิบข้างหูของเราว่า …
“เราอยู่กับเจ้านะ เราไม่ได้หนีหายไปไหน?”
แม้หลายครั้ง ความรู้สึกของเราเหมือนกับพระองค์ทิ้งเรา ถ้าพระองค์ไม่ทิ้งเรา ทำไมเราต้องเจอเหตุการณ์ขนาดนั้น แต่พระเจ้ายังคงพูดคำเดิมว่าพระองค์อยู่ด้วย พระองค์ไม่เคยทิ้งเรา พระองค์ไม่ทิ้งเราเหมือนลูกกำพร้า พระองค์คอยประคับประคองจูงมือเราเดิน เพียงแต่ว่าหลายครั้ง เราเป็นมนุษย์ เราไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเหตุนี้ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แต่เรายังคงเชื่อมั่นว่าทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย และพระองค์จะเอื้ออำนวยให้มันเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเราเสมอแน่นอน นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ฉะนั้น พระองค์จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น พระองค์ไม่เคยทิ้งเราแน่นอน
โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว อยู่อีกกี่วันเราไม่รู้? อยู่กี่ปีเราไม่รู้? แต่สิ่งที่เรารู้ คือเมื่อลมหายใจออกจากร่าง เราจะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า คืออยู่เพื่อรับรู้ว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์นะ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรานะ ตายก็ได้กำไร ก็คือลมหายใจออกปุ๊บ กำไรทันทีเลย กำไรแรก คือไม่ต้องมาดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ซึ่งเราเลือกไม่ได้
บางคนอยากตาย ทุกข์อย่างนี้ขอตายดีกว่า พระเจ้าบอกยังๆ ยังไม่ถึงเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลา ต่อให้เราอยากตาย ก็ตายไม่ได้นะพี่น้อง แต่ถ้าถึงเวลา เขาบอกไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกยังตายเลย ก็คือมันถึงเวลา ที่พระเจ้าบอกกลับบ้านได้แล้ว เราก็จากไป แต่ว่าทั้งนี้และทั้งนั้น ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือพวกเราว่าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราเผชิญกับความทุกข์ยาก ขอพระเจ้าเมตตา ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านมันไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า สามารถที่จะยังมีสันติสุข มีความชื่นยินดีในพระองค์ สามารถที่จะขอบคุณพระองค์ในทุกๆ สถานการณ์ ซึ่งมันยากมาก พูดนะง่าย แต่มันทำยาก คนที่ไม่เคยเจอจะไม่รู้ แต่ดิฉันยังเชื่อว่าถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เจอ พระองค์มีพระคุณเพียงพอสำหรับพวกเราทุกๆ คน เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลมีหนามในเนื้อ อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง
“พระองค์เจ้าข้าไม่อยากได้ๆ เอามันออกไปได้ไหม? มันทรมานใจ ทรมานความคิด ทรมานอารมณ์ มันไม่ไหวเลย เวลาไปรับใช้พระเจ้ามันหงุดหงิด” อะไรแบบนี้ “ขอเอามันออกไปได้ไหม?”
พระเจ้าตอบประโยคเดียวกับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเลิกขอเลย …
“การที่มีคุณของเรา ก็เพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”
พระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา มันเพียงพอแล้ว “ความอ่อนแอของเจ้าอยู่ที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะได้ปรากฎเต็มที่ในตัวเจ้า” (2 โครินธ์ 12:9)
เมื่อเราอ่อนแอมากเท่าไร? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะสำแดงในชีวิตของเรา ส่งผลออกไปให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนมาก ชัดเจนที่สุดเลย ฉะนั้น พระเจ้าก็บอกอย่างนี้ เหมือนตอนที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้าเหมือนกัน พระองค์มีแผนการ ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า ถ้าพระองค์เป็นเฉพาะมนุษย์ พระองค์ก็จะถามนั่นแหละ ถามพระบิดาว่า …
“ทำไมพระเจ้าต้องทารุณลูกขนาดนั้น ต้องให้ลูกเดินไปที่ไม้กางเขน ลูกเป็นลูกที่รักของพระองค์นะ พระองค์บอกว่าพระองค์รักลูกมากเลย แต่พระองค์ยังคงอนุญาตให้ลูกเดินไปที่ไม้กางเขน ให้ทหารตีกระชากเนื้อลูกออกมา ให้เขาสวมมงกุฎหนามลูก แล้วให้เขาตรึงลูกบนไม้กางเขน”
การตรึงมันทรมาน ยิงตายเลย ถ้ายิงขั้วหัวใจ ก็ตายไปเลย ลมหายใจออกจากร่าง มันง่าย แต่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน เลือดค่อยๆ หยดๆ จนเลือดหยดสุดท้าย แล้วลมหายใจออกจากร่าง แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ละวิญญาณของพระองค์เอง พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ไม่มีใครทำให้พระเยซูคริสต์ตาย ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม แต่พระเยซูยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ตอนที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” ตอนที่พระเยซูอธิษฐาน ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะกลัว กลัวขนาดเหงื่อออกมาเป็นเลือด พระองค์กลัวนะ ตอนนั้นเป็นพระเจ้าก็จริง ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่พระเยซูก็ยังคงยอม เดินไปที่ไม้กางเขน เพื่อให้น้ำพระทัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์สำเร็จ ถ้าพระเยซูไม่สิ้นพระชนม์ พวกเราก็ตายทุกคน ก็คือไม่รอด ไม่มีใครสามารถรอดได้เลย ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ก็ถูกพิพากษา ตายจากโลกใบนี้ ก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า
ฉะนั้น พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว พระเยซูก็เดินตามแผนของพระองค์ แต่ตอนที่เดินไปมันทุกข์ไหม? ทุกข์ พระองค์เป็นมนุษย์แท้ๆ ก็เลยทุกข์ แต่พระองค์ก็ยอม พวกเราเหมือนกัน พระเจ้ามีแผนการให้กับพวกเราหมด อยู่ตรงที่ว่าเราพอใจ ในการนำของพระองค์ไหม? ถ้าเราพอใจ พระเจ้าก็จะนำเรา เวลาเราพอใจปุ๊บ เราก็จะเห็นทุกอย่างสบายๆ พอพอใจปุ๊บ อันนี้มา โอเค พออันนั้นมา โอเค ตอนนี้หกล้มหัวแตกเลย โอเค นึกออกไหม? ถ้าเราพอใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปหกล้มหัวแตกนะ ไม่ต้องขนาดนั้น แต่ว่าถ้าบังเอิญ เราไม่ระวังตัว มันอยู่ที่ตัวเราเองด้วยนะว่าอยู่ในพระเจ้า เราก็ต้องระวังตัว ใช้ชีวิตให้มีสติ
แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าสิ่งที่เรารับรู้ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระองค์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลาเลย ยามหลับยามตื่น ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“มนุษย์ไม่จำเป็นต้องถวายเลือดสัตว์แด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตนเองทุกๆ ปีอีกแล้ว!”
เพราะ!
“ด้วยชีวิตและเลือดอันบริสุทธิ์ของพระเยซูเอง ได้ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปแด่พระเจ้า ครั้งเดียวเป็นพอ”
พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนักต้องการช่วยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความพินาศ การถูกสาปแช่งในความบาป ซึ่งต้องชดใช้หนี้บาปด้วยชีวิตคือโลหิตของมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย บริสุทธิ์ไม่มีตำหนิใดใด ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดเป็นผู้บริสุทธิ์เลยซักคน ทุกคนล้วนเป็นคนบาป สืบเชื้อสายมาจากอาดัม บรรพบุรุษซึ่งเป็นบาป จึงใช้เลือดสัตว์ไร้มลทินถวายแทนไปก่อน
เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์ ยอมถ่อมใจ สละสถานะพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป โดยเกิดจากหญิงพรหมจารีชื่อแมรี่ เพื่อตัดต้นตอของเชื้อบาปในบรรพบุรุษอาดัม เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ทำการชดใช้หนี้บาป ปลดปล่อยให้มวลมนุษยชาติเป็นอิสระจากการเป็นคนบาป ด้วยชีวิตและโลหิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์เอง ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปแด่พระเจ้า ครั้งเดียวเป็นพอ
ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องถวายเลือดสัตว์แด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตนเองทุกๆ ปีอีกแล้ว
เพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำแทนมวลมนุษย์แล้วเท่านั้น
ฮีบรู 10:1-18 … “1 บทบัญญัติเป็นแต่เพียงเงา ของสิ่งประเสริฐ ซึ่งจะมาถึง ไม่ใช่ของจริง เพราะเหตุนี้ จึงไม่สามารถทำให้ ผู้เข้าเฝ้านมัสการสมบูรณ์พร้อม ด้วยเครื่องบูชาเดิมๆ ซึ่งถวายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกๆ ปีไม่มีสิ้นสุด 2 เพราะถ้าทำเช่นนั้นได้ เขาจะไม่หยุดถวายเครื่องบูชาหรือ? เพราะผู้นมัสการจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ แล้วจะไม่รู้สึกผิดกับบาปของเขาอีกต่อไป 3 แต่เครื่องบูชาเหล่านั้น เป็นสิ่งเตือนให้สำนึกบาปทุกปี 4 เพราะเลือดแพะ เลือดวัว ไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไป 5 ฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ประกาศว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชา และของถวาย แต่ทรงเตรียมกายหนึ่งไว้สำหรับข้าพระองค์ 6 พระองค์ไม่ได้พอพระทัยเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาป 7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า ‘ข้าพระองอยู่ที่นี่ ในหนังสือม้วน ได้เขียนถึงข้าพระองค์ไว้ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์’ 8 พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชา และของถวาย เครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ (แม้บทบัญญัติกำหนดให้ทำเช่นนั้น) 9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองอยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 11 วันแล้ววันเล่า ที่ปุโรหิตทุกคน ยืนปฏิบัติศาสนกิจ ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เขาถวายเครื่องบูชา แบบเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถลบล้างบาป ให้สิ้นไปได้เลย 12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้ ถวายเครื่องบูชา ลบล้างบาปครั้งเดียว สำหรับตลอดไปแล้ว ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา พระองค์ทรงรอคอย จนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์ จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์ ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญา ที่เราจะทำกับเขาทั้งหลายหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป” 18 และเมื่อทรงอภัยบาปให้แล้ว ก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชา สำหรับไถ่บาปอีกเลย”
บนไม้กางเขนเมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ประกาศให้ทั้งโลกและมวลมนุษย์ได้รับรู้ว่าทั้งหมดนี้ “สำเร็จแล้ว” พระเจ้าอวยพรครับ