คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม 2025
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”
ตอน 16 “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้กลับมาหนังสือ 1 ยอห์น วันนี้ตอนที่ 16 ใช้ชื่อเรื่องว่า “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์” ครั้งที่แล้วเราจบที่ 1 ยอห์น 5:5 …
1 ยอห์น 5:5 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ที่ถูกพิพากษาแล้วนี้ได้”
“ใครกันล่ะ?”
ก็ตอบว่า “ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ชนะโลก เพราะเชื่อพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ … เมสิยาห์ หมายถึงคริสต์ หรือไคร์ซ ในภาษากรีก เมสิยาห์เป็นภาษาฮีบรู ไคร์ซ เป็นภาษากรีก ภาษาไทย คือคริสต์ ในพระคริสต์ แปลว่าเราเชื่อว่าพระเยซูที่เราเชื่อ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า หมายถึงพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่เป็นพระเมสิยาห์ คือพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติ มาตั้งแต่หลายพันปีแล้วว่าจะประทานพระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย คำสาปแช่งต่างๆ กลับมาคืนดีกับพระองค์ได้ สั้นๆ มันหมายถึงอย่างนี้ พระเมสิยาห์
เมื่อเราเชื่อว่าเป็นของขวัญ เป็นพระเมสิยาห์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ประทานมาช่วยเหลือ เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ได้รับความรอด พระเยซูคริสต์ก็จะเข้าไปดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในผู้เชื่อนั้น แล้วผู้เชื่อนั้น ก็เข้ามาดำรง อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกกันว่าในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์ และทั้งสองวิญญาณ คือเรากับพระคริสต์ เลยกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือบทสรุปของตอนที่แล้ว ซึ่งการรวมกัน ทั้งหมดนี้เรียกว่าการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ชอบธรรม เพราะพระเจ้าทำให้เราหมดบาป หมดเวร หมดกรรม ให้เราได้บังเกิดใหม่ สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ก็สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูคริสต์มาอยู่กับเรา แล้วเราอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่ง ในครอบครัวของพระเจ้า นี่คือครั้งที่แล้ว
มันก็เป็นที่มาของตะกี้ที่เราบอก “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้ จนนิรันดร์”
วันนี้มาต่อ ตอนที่ 16 “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์”
พระเยซู … คริสต์ วันนี้จะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ทำไมเรียกว่าพระเยซู … คริสต์ เพราะคำว่า “เยซู” เป็นชื่อทั่วๆ ไป คนยิวตั้งชื่อพระเยซู เอา “พระ” ออกไปก่อน พระ เป็นการยกย่อง ให้เกียรติ คำว่า “เยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด เป็นชื่อหนึ่งของชาวยิวในอดีต คนในอดีตก็มีชื่อ “เยซูๆ” เยอะแยะเลย แต่มีเยซูอยู่ผู้หนึ่ง ที่เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์มีพระนามว่าเยซู เพื่อบ่งบอกถึงภารกิจของพระองค์ที่จะมาทำบนโลกใบนี้ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป จึงตั้งชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าให้ตั้งชื่อบุตรของพระองค์ที่ส่งลงมาช่วยนั้นว่า “เยซู” ก็คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งชื่อเมสิยาห์นี้ว่าเยซู แล้วทำไมต้องมี “คริสต์” เพราะว่าเยซูมีเยอะแยะมากมาย ทั้งก่อน ทั้งหลัง ชื่อเต็มไปหมดเลย ก็เลยให้คำจำกัดความให้ชัดเจนว่าเยซูผู้นี้ คือผู้ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้กับมวลมนุษย์ เพื่อจะมาทำภารกิจในการไถ่ถอนมนุษย์ทั้งปวงให้รอดพ้นจากความบาป และคำสาปแช่ง
คำว่า “คริสต์” หรือ “ไคร์ซ” แปลว่าผู้ที่ถูกเจิมตั้ง … เจิมตั้ง แปลว่าผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้มาทำงาน พูดง่ายๆ ว่าเยซู เติมคริสต์เข้าไป เยซูผู้นี้ คือผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาเป็นผู้ที่ช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ซึ่งสรุปก็คือพระเมสิยาห์ พระคริสต์ พอเข้าใจนะ
คริสต์ หรือเมสิยาห์ ที่มีชื่อว่าเยซู ที่ใส่พระเข้าไป ตามภาษาไทย เพื่อสรรเสริญ ถ้าไม่ใช้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต้องมีพระ ภาษาอังกฤษ เยซู ก็คือ Jesus คนชื่อจีซัส ก็เยอะแยะ โยชูวา ก็มาจากจีซัส … จีซัส คือเยซู แต่เยซู เฉพาะผู้นี้มีผู้เดียวในโลกนี้ ที่พระเจ้าส่งมาเกิด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาเป็นมนุษย์ที่จะมาช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ เกิดจากพระเจ้า มีผู้เดียวในโลกนี้ เยซูคำนี้แหละ เพราะฉะนั้น ใส่เยซู แล้วก็ต่อด้วยคำว่าคริสต์ ก็กลายเป็นเยซูคริสต์ คนไทยก็อย่างที่บอกว่าภาษาไทยเราต้องการยกย่อง สรรเสริญ ก็ใส่พระลงไป พระเยซูคริสต์ อันนี้รู้แล้วนะ เข้าใจความหมาย
ถ้าเราลึกซึ้งตรงนี้ เราจะเห็นชัดขึ้นว่าเข้าใจแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ตะกี้นี้ ข้อ 6 บอกว่าพระเยซูคริสต์ รู้แล้ว หมายถึงผู้นี้แหละ …
1 ยอห์น 5:6 “พระเยซูคริสต์ คือผู้ที่เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต พระองค์ไม่ได้เสด็จมา โดยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่โดยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณ ทรงเป็นพยานให้ เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง”
หมายถึงพระเยซูคริสต์ผู้นี้ มาเกิดเป็นมนุษย์ จากน้ำ “น้ำ” เล็งถึงการประสูติจากหญิงพรหมจารีมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง “น้ำ” เล็งถึงน้ำคร่ำ น้ำในมดลูกของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อแมรี่ นอกจากนั้น ยังมีพระโลหิต คือมีเลือดจริงๆ ไม่ใช่เลือดเพียงเฉพาะเวลาที่ประสูติ ก็คือคลอด มีการตัดสายสะดือ มีเลือด แต่ยังรวมถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน ถูกเฆี่ยน ถูกตี มีเลือดไหลออกมาจากเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้านี้จริงๆ พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกจากวรกายของพระองค์จริงๆ ตอนที่ถูกตรึงกางเขน ตอนเป็นมนุษย์ เกิดบนโลกใบนี้ เป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์จริงๆ เพื่อจะให้เป็นไปตามที่พระเจ้าได้สัญญากับมนุษย์ว่าพระองค์จะทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ เพื่อเป็นเมสิยาห์ มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง เป็นพยาน
ทำไมอาจารย์ยอห์นต้องเขียนตรงนี้ ในข้อ 6 เมื่อสักครู่นี้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน และเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้นเป็นพยาน การเกิดจากน้ำของพระองค์เป็นพยาน การมีโลหิต มีเลือดในร่างกายของพระองค์ เป็นพยานว่าพระองค์เป็นมนุษย์
ทำไมต้องย้ำในการเป็นมนุษย์ของพระองค์ จำได้ไหม? ที่เราได้เรียนรู้เรื่องหนังสือ 1 ยอห์น ตั้งแต่ต้น ตามบริบทของหนังสือ 1 ยอห์น เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นมา อันดับแรกเลย เพื่อชี้แจงให้ชาวคริสเตียนได้รู้ถึงว่าอะไรจริง อะไรเท็จ คนไหนได้เป็นคริสเตียนแท้จริง คนไหนไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง
เพราะว่าในขณะนั้น ในช่วงนั้น มีลัทธิหนึ่งเรียกว่านอสติก พวกนอกรีตที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเสด็จมาในเนื้อหนังนั้นว่ามันไม่จริง เขาไม่เชื่อตามนี้ว่าพระองค์ทรงประสูติ มาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ พระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์ ไม่เชื่อว่าเยซู คนที่เดินอยู่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ลูกของแมรี่ เป็นพระคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่เชื่อ อาจารย์ยอห์นจึงต้องการแยกแยะระหว่างผู้ที่เชื่อจริงๆ ว่าช่างไม้คนนั้น คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ถ่อมตนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นช่างไม้ ลูกของแมรี่และโยเซฟ แต่คลอดโดยแมรี่ หญิงพรหมจารีจริงๆ นึกออกไหม?
คนที่เชื่อจริงๆ เหล่านี้ ก็คือคริสเตียนแท้จริง คนที่ไม่เชื่อเหล่านี้ ก็คือผู้หลอกลวง อาจารย์ต้องการชี้ให้เห็น เพราะในสมัยนั้น กลุ่มนอสติกกำลังเป็นที่นิยม ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นว่าถ้าใครกล่าวว่าพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์ คนนั้น คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่าไปฟังพวกเขา เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ เพราะว่ากลุ่มนอสติกเหล่านี้ อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนด้วยกัน เขาก็เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน พระบิดาเหมือนกัน เขาก็มาอยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ มั่วไปหมด เลยคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง อาจารย์ยอห์นเลยต้องการมาชี้ให้เขาเห็นว่านี่แตกต่างกันตรงนี้แหละ และมาดูกันต่อไปว่าอาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าแตกต่างกันตรงไหน? ตรงพยานเหล่านี้ คุณเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์
คำพยานเหล่านี้ คือตัวพยานเหล่านี้ จะบ่งบอกว่าพระเยซูเป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อในคำพยานเหล่านี้ ก็เท่ากับคุณไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ เมื่อไม่เชื่อว่าเป็นพระเมสิยาห์ คุณก็ไม่ได้รับความรอด เมื่อคุณไม่ได้รับความรอด คุณจะมาบอกว่าคุณเป็นบุตรของพระบิดาเป็นไปไม่ได้ เพราะใครจะมาหาพระบิดา ต้องมาทางเราผู้เดียว ก็คือมาเชื่อในเรา “เรา” หมายถึงพระเยซู
ในหนังสือที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ยอห์นบอกว่ามีหลักฐานหลายอย่างที่ยืนยันว่าพระเยซู … คริสต์ เป็นมนุษย์เหมือนเราจริงๆ เดินอยู่บนโลกนี้จริงๆ
หลักฐานอันที่ 1 ยืนยันว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน พระวิญญาณแห่งความจริงยืนยันถึงพระเยซู พระวิญญาณคือใคร? ก็คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในตัวของผู้เชื่อ เพราะเชื่อจริงๆ ปุ๊บ วิญญาณของเขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ข้างใน และพระวิญญาณนี้จะเป็นผู้ยืนยันกับวิญญาณของคนเชื่อเองว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์จริงๆ เหมือนเราทั้งหลายตอนนี้เราเชื่อไหมว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เราเชื่อเต็มที่ เชื่อ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ตอนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้สถิตอยู่ในเรา ไม่ได้เชื่อหรอก มาเชื่อไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ยอห์น 15:26 พระเยซูได้พูดอย่างนี้ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ …
ยอห์น 15:26 “เราจะส่งองค์ที่ปรึกษาจากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งออกมาจากพระบิดา เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา”
“เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา” ก็คือพระองค์มาแล้ว และมาอยู่ในตัวผู้เชื่อ ที่เราร้องว่าเป็นหนึ่งเดียวกันๆ
หลักฐานอันที่ 2 ว่าพระเยซู คริสต์เป็นมนุษย์จริงๆ ก็คือพระเยซูประสูติจากน้ำ ซึ่งหมายถึงการประสูติจากหญิงพรหมจารี พระองค์ทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ
หลักฐานอันที่ 3 ยืนยันว่าพระเยซูมีโลหิต ทั้งเวลาประสูติ และขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน โลหิตของพระองค์ไหลออกมาจากพระกาย อันนี้เห็นชัดๆ ตอนที่เด็กๆ คลอดเห็นชัดๆ คลอดจากหญิงพรหมจารีเห็นชัดๆ อันนี้ หลักฐานยืนยันว่าพระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ
“เป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซู คริสต์ เป็นมนุษย์จริงๆ”
พระองค์ คือพระเยซู คริสต์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์และทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันด้วย เดี๋ยวจะมาดูว่าอะไรยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า อันนี้พูดถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ มีหลักฐานยืนยันอย่างนี้ ในอดีตถึงปัจจุบันก็จะมีบางคนที่เขาเชื่อว่าการบัพติศมาในน้ำของพระเยซู ตอนที่จะเริ่มภารกิจของพระองค์ เป็นคำยืนยันหรือเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับการเป็นมนุษย์ของพระเยซู เขาบอกพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ จึงไปลงน้ำ บัพติศมากับยอห์นบัพติศโต นี่ความเชื่อ เขาเชื่อว่าอย่างนั้น
แต่ผมว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่สำคัญมากนักหรอก แต่อยากจะอธิบายให้ฟังนิดหนึ่ง ให้ท่านลองคิดเอาเองว่ามันจริงไหม? เพราะการบัพติศมาในน้ำของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ เป็นสิ่งที่ยืนยัน เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู การที่พระเยซูไปบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้มาเล็งถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จึงไปลงน้ำบัพติศมา ไม่ใช่ แล้วจะมาอ้างว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไปลงน้ำบัพติศมา เพราะฉะนั้น เรามาเชื่อ เราต้องลงน้ำด้วย “ต้อง”ลงน้ำ ผมว่าไม่ใช่
การลงน้ำของพระเยซูนั้น เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ถามว่าตรงไหนที่ยืนยัน ตรงที่มีบันทึกเหตุการณ์ในเรื่องนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่พระเยซูเดินทางไปรับบัพติศมาในน้ำกับยอห์นนั้น ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีเสียงจากฟ้าสวรรค์ คือพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ พูดจากสวรรค์ลงมาอย่างอัศจรรย์เลย เสียงอันดังจากสวรรค์ลงมา ตอนที่พระเยซูขึ้นจากน้ำมา บอกว่า …
“ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา”
นี่แหละ เป็นหลักฐานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระบิดาเป็นผู้ประกาศว่านี่แหละ คือพระเมสิยาห์ ที่เราสัญญาไว้ เราแต่งตั้งไว้ นี่คือพระคริสต์ ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้มาทำงานนี้ ตรงนี้มากกว่า
แต่ถ้าพูดถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู สิ่งที่เป็นพยาน ก็คือการที่พระองค์ประสูติจากน้ำ ในครรภ์มารดาอย่างที่บอก ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ จำที่พระเยซูพูดได้ไหม? ตอนที่กำลังจะไปถูกตรึง มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อนิโคเดมัสมาถามเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ พระเยซูตรัสตอบสั้นๆ ว่า …
“ท่านต้องเกิดจากน้ำ และพระวิญญาณ จึงจะสามารถเข้าสวรรค์ได้”
พระองค์บอกเลยว่าท่านต้องเกิดจากน้ำ คำว่า “ต้องเกิดจากน้ำ” หมายถึงอะไร? ในหนังสือยอห์น ที่บันทึกไว้ในบทที่ 3 พระเยซูบอกท่านต้องเกิดจากน้ำ น้ำ ก็คือตะกี้นี้ 1 ยอห์น บทที่ 5 ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ ท่านต้องเกิดจากครรภ์มารดา พูดง่ายๆ ว่าท่านต้องเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพราะว่าพระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของสัตว์ ของอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของวิญญาณ ทูตสวรรค์ แต่พระองค์มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า? ท่านต้องเกิดจากน้ำก่อน ก็คือเป็นมนุษย์ แล้วท่านจึงจะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ก็คือต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจึงบอกว่าท่านต้องเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ เกิดเป็นมนุษย์ แล้วบังเกิดใหม่ อันเดียวกัน น้ำเดียวกัน ต่อมา 1 ยอห์น 5:7-8 …
1 ยอห์น 5:7-8 “เพราะมีสามสิ่งที่เป็นพยาน คือพระวิญญาณน้ำ และพระโลหิต และทั้งสามนี้ สอดคล้องกัน”
พระเยซู คริสต์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน ก็คือเป็นพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตั้งนมตั้งนานมาแล้วว่าจะส่งพระบุตร ก็คือเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ยอห์นได้แยกแยะระหว่างผู้เชื่อ และผู้หลอกลวง ผู้โกหก มดเท็จ ในยุคนั้น ซึ่งสามารถเอามาใช้ ในยุคนี้ได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนอสติก ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงมาเกิดในเนื้อหนัง
ยอห์นกล่าวไว้ว่าใครก็ตามที่ปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นมนุษย์ ผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นศัตรูกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ผู้นั้น คือผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น คือผู้ที่หลอกลวง ผู้นั้น คือผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ผู้นั้น ผู้ที่มาทำให้คริสเตียนหลงหายไป
สรุปหลักฐานการยืนยัน หรือที่เราเรียกว่าเป็นพยานให้กับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ คือพระเยซู คริสต์ต้องเป็นมนุษย์จริงๆ คือ …
(1) พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพยานยืนยันอยู่ในตัว
(2) พระองค์ประสูติจากน้ำ หมายถึงการประสูติทางร่างกาย
(3) พระองค์มีพระโลหิต ซึ่งไหลออกจากร่างกายของพระองค์ในเวลาประสูติ และเวลาที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ในขณะที่ถูกเฆี่ยนตีนั้น เลือดพระองค์ไหลออกมาจริงๆ นี่เห็นกับตาได้
โยเซฟ แมรี่ สมมตินะไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า สมมติว่ามีหมอตำแย ก็จะเห็น ตัดสายสะดือเห็นเลือดจริงๆ ของเด็กเยซูผู้นี้ ผู้ที่เป็นพระเมสิยาห์
แล้วหลักฐานที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซู คืออะไร? ก็คือ …
(1) เสียงจากฟ้าสวรรค์ยืนยันว่าพระองค์เป็นบุตรที่เรารัก พระเจ้าพูดเองจากฟ้าสวรรค์ ตอนที่พระเยซูไปลงบัพติศมาในน้ำ
(2) หมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ ไม่มีใครในโลกนี้ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีใครทำอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์อย่างนี้เลย เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลย ยกตัวอย่างเช่น ตายไปหลายวันแล้ว ยังเรียกขึ้นมาได้ เดินออกมา อย่างเช่น ลาซารัส เป็นต้น หรือทำให้คนง่อยตั้งแต่กำเนิด สามารถเดินเหินได้เหมือนเดิม อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คืออัศจรรย์ แล้วอีกหลายๆ อย่าง เยอะแยะมากมายไปหมด ยอห์นบอกว่าถ้าจะให้เขียน มีกระดาษไม่พอที่จะให้เขียน อัศจรรย์อะไรที่พระองค์ทรงทำบ้าง? และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์อีก สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ ก็คือหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ
(3) ที่เป็นพยานยืนยัน แน่นอนเลย ก็คือคำสั่งสอนของพระองค์ หรือคำพูดของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานให้กับเรา ที่สถิตอยู่กับเรา ตัวนี้ยืนยันชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เอเมน
และพยานเหล่านี้ทั้งหมด ทั้ง 2 อันเลย คือที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ และอีกอันที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้านั้น ทั้ง 2 อย่าง ทั้ง 3 อย่าง ทั้งหมดนี้อยู่ในตัวของผู้เชื่อ โดยยืนยันผ่านทาง ผู้เดียวกัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับผู้เชื่อด้วย 1 ยอห์น 5:9 บอกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 5:9 “ถ้าเรารับคำพยานของมนุษย์ คำพยานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะนี่คือคำพยานของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นพยานถึงพระบุตรของพระองค์”
อาจารย์ยอห์นได้เน้นถึงเรื่องนี้ว่าความสำคัญของคำพยานของพระเจ้า ที่เกี่ยวกับพระเยซู คริสต์ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของมนุษย์ การยอมรับคำพยานของพระเจ้า เป็นการยอมรับความจริง ที่พระองค์ได้เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องพระบุตรของพระองค์ คือพระเมสิยาห์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของความเชื่อของคริสเตียน ก็คือเรื่องความเชื่อในพระเมสิยาห์ หัวใจพื้นฐานของคริสเตียน ก็คือการเชื่อว่าเยซูผู้นี้ ผู้ที่เราฉลองวันเกิดนี้ ผู้ที่เป็นลูกของแมรี่กับโยเซฟในทางมนุษย์ คือพระเมสิยาห์ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
ยกตัวอย่าง ปกติแล้วคำพยานของมนุษย์บนโลกใบนี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เปรียบเทียบให้เห็นว่าในห้องพิจารณาคดี ในศาล แบบมนุษย์ การมีพยาน เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินคดีอย่างมากว่าจริงหรือไม่จริง ยิ่งพยานเยอะเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น ดังนั้น พระเจ้าจึงให้ชาวยิวเขียนกฎบัญญัติออกมาว่าถ้ามีการขึ้นศาลกันเมื่อไร? ให้มีพยานอย่างน้อย 2-3 คน จึงจะเชื่อถือได้ นี่ในโลกของมนุษย์ยังเป็นแบบนี้ และในโลกของมนุษย์ คำพยานของมนุษย์เทียบค่ากับพระเจ้า เป็นพยานด้วยตัวพระองค์เองไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงมีพยานยืนยันอย่างชัดเจน ให้เราสามารถเชื่อได้จากพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ และเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกัน และสิ่งเหล่านี้ คือคำพยานของพระเจ้าเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ คือทั้งหมดที่ตะกี้เราอ่าน คือคำพยานของพระเจ้าว่าใช่ พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่รู้จะบอกอย่างไรแล้วว่าให้คำพยานยืนยันถึงขนาดนี้แล้วว่า …
“เยซูผู้นี้ คือบุตรของเรา ที่เราประทานให้เจ้าทั้งหลาย มวลมนุษยชาติเอ๋ย ตามที่สัญญาไว้”
1 ยอห์น 5:10 “ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ก็มีคำพยานนี้อยู่ในใจ ผู้ที่ไม่เชื่อก็หาว่าพระเจ้ามุสา เพราะไม่เชื่อคำพยานที่พระเจ้าให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์”
ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ ก็จะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีคำพยานนี้อยู่ในใจ อยู่ในตัวของเขา ผู้ที่ไม่เชื่อ ก็คือมันเชื่อไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขา เขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูผู้นี้เป็นพระเมสิยาห์ เขาก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นช่างไม้ เป็นคนธรรมดา
ยอห์นกำลังบอกเราว่า 3 สิ่งที่เป็นพยาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา น้ำและพระโลหิต เป็นพยานยืนยันอยู่ในตัวของเราผู้เชื่อ ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาคำพยานจากโลกนี้อีกต่อไป ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องไปอ่าน ยกตัวอย่าง มีอยู่พักหนึ่งดังมาก ไปพิสูจน์ว่านี่คือผ้าพันพระศพพระเยซูคริสต์ ผ้าพันพระศพพับมาอย่างนี้ แสดงว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย หลักฐานตรงโน้นตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่จริงๆ ไปดูหลุมศพ ไปดูที่เกิดของพระเยซู แล้วบอกว่าหลักฐาน แสดงว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ต้องไปหาหลักฐานเหล่านั้น เพราะถ้าหาหลักฐานเหล่านั้น ท่านจะหลงทาง ท่านจะไม่มีวันจบ เพราะว่าหลักฐานต่างๆ คำพยานต่างๆ จากโลกใบนี้ เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขา ไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา เพราะเขาหาไปเรื่อยๆ แต่เรามีความจริงอยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เรารู้ว่ามันเป็นจริง เพราะว่าข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา เราจึงรู้ จึงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ โรม 8:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 8:16 “พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”
พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ภายในเรา พูดกับเราถึงถ้อยคำเหล่านี้ ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ จากพระคัมภีร์เหล่านี้ว่ามันเป็นจริง ในยอห์น 16:13 บันทึกอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
“พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”
พระองค์ คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเรา จะนำเราผู้เชื่อหรือคริสเตียน ไปสู่ความจริงทั้งมวล จากถ้อยคำของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ อาจจะไม่ใช่พระคัมภีร์ที่เราอ่านเอง เราอาจจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่จากคนที่อ่านออก แล้วมาพูดกับเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะยืนยันว่านี่แหละ คือความจริง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสเตียนเล่มนี้ เล่มที่เรากำลังถืออยู่นี้ เป็นหนังสือเล่มที่ไม่ใช่ธรรมดา เหมือนกับหนังสือทั่วๆ ไป หนังสือวรรณกรรมที่เราอ่าน มารวมตัวกันวันอาทิตย์ มาอ่านหนังสือเล่มนี้กัน สนุกดี ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วมันสนุก มีเรื่องราวยิ่งใหญ่ มีเรื่องข้ามน้ำ ข้ามทะเล มันอัศจรรย์เลย หรือว่ามันเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ ที่ยอดเยี่ยมมากเลย ประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนเลยว่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกเป็นอย่างนี้ๆ เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหนังสือพระคัมภีร์ ยอดเยี่ยม ความรู้มากมายเลย มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่พระคัมภีร์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ มันแตกต่างออกไปจากหนังสือทั่วๆ ไป
เมื่อเราอ่านหรือเรียนรู้จากถ้อยคำต่างๆ ในหนังสือพระคัมภีร์นี้ มันมีบางสิ่ง บางอย่างในตัวเราที่เร้าใจเกิดขึ้น มันมีการไม่หยุด ปกติเราอ่านประวัติศาสตร์ เรื่องราวต่างๆ อะไรที่เกิดขึ้น อาจจะตื่นเต้น หรือวรรณกรรม เรื่องราวต่างๆ ที่สนุกสนาน อาจจะติดตาม แต่เราจะไม่แสวงหาต่อ แต่ถ้าเราเรียนรู้ ศึกษาจากพระคัมภีร์ เราจะมีความรู้สึกอยากจะแสวงหาความจริง อย่างลึกขึ้นไปอีก มีความปรารถนา มีความกระหาย มีความต้องการที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มากขึ้น พอเราเริ่มเรียน ศึกษา จนรู้ว่าเราเป็นลูกของพระองค์อย่างไร? พระองค์ปฏิบัติต่อเราอย่างไร? พระองค์มีความรู้สึกอย่างไร? พระองค์ต้องการอะไร? มันไม่ใช่หนังสือธรรมดาแล้ว เห็นไหม? เพราะว่าถ้อยคำเหล่านั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ มันมีชีวิต มันไม่ใช่ถ้อยคำธรรมดา ให้ความรู้เฉยๆ แต่มันมีชีวิตจริงๆ มันไม่ใช่เพียงแค่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เรามาอ่านหาความรู้ทั่วๆ ไป มันเป็นชีวิต
ในพระคัมภีร์อาจารย์ยอห์นพูดไว้ในหนังสือกิตติคุณยอห์น ตอนต้นๆ ตั้งแต่เริ่มต้นว่าพระเยซู คือพระวจนะ พระเยซู คือถ้อยคำ พระเยซู คือพระคำ ดังนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือพระเยซูทั้งสิ้น คือพระวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะอ่าน จะเข้าใจอะไรต่างๆ ก็ต้องอาศัยพระวิญญาณเป็นผู้ชี้แจงให้เราเห็นว่านี่คืออะไร? และเมื่อคนที่เกิดใหม่ หรือพูดง่ายๆ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีพระวิญญาณอยู่ในตัว ก็จะไม่อยู่นิ่ง จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา และคอยสอนเราเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์นี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ต่อให้เราอ่านหนังสือไม่ออก พระองค์ก็จะสอนเรา ในคริสเตียนยุคแรก ก็อ่านกันไม่ออก เขาก็พึ่งพระวิญญาณทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น คริสเตียนจงรับรู้เถิดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณแห่งความจริงนี้ สถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา เป็นพยานยืนยันความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเมสิยาห์ของเรา พระองค์สอนเราตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแต่เราจะรับรู้หรือไม่? เท่านั้นเอง ผมจึงใช้คำว่า “จงรับรู้เถิด” ก็พยายามรับรู้ ให้รู้ตลอดเวลาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน เป็นพยานยืนยันเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู คริสต์ พระเยซู คริสต์เป็นอย่างไร? เกิดเป็นมนุษย์อย่างไร? ทำอะไรเพื่อฉันบ้าง? บัดนี้อยู่ที่ไหน? เรียนรู้จากพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายในท่าน และพระองค์จะเป็นพยานยืนยันในถ้อยคำแห่งความจริงว่าพระองค์เป็นใคร? และท่านเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ โดยจะยืนยันเสมอว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว ตามถ้อยคำของพระองค์ที่ทรงบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระวิญญาณยืนยันอย่างนั้น ในนามพระเยซู เอเมน”
พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
พระเจ้าได้ตรัสว่า … “ไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว”
โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ! ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้าย อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขา เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขา ว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญ ไว้ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า ในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติ เพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”
• บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นกฎหมายทางศีลธรรม ที่จารึกอยู่ในใจ
• ถ้าทำดี ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่ว แม้นิดเดียว ก็พินาศโดยพลัน
✓ มนุษย์ มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ
แต่พระเจ้า มองที่ฐานภูเขาน้ำแข็ง มหึมา ใต้น้ำ
✓ มนุษย์ มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้า มองที่วิญญาณข้างใน
• พระเยซู กำลังชี้ให้ชาวยิว และมนุษย์ทั้งปวง ได้เห็น ฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ คือโลกวิญญาณ ที่เกี่ยวกับทางแห่งความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งคือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษา ว่าจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่
• ทางแห่งความรอดนี้ ก็คือผ่านทางความเชื่อวางใจ ในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคน เป็นกฎแห่งพระคุณ หรือกฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเองเลย
• ส่วนบนโลกใบนี้ ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย คือพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เป็นกฎแห่งกรรม คือทำดี ก็ได้สิ่งที่ดี ทำชั่วก็ได้เก็บเกี่ยวความชั่วกลับมา
• ซึ่งเรารู้กันอยู่แล้ว เพราะเห็นกันชัดอยู่แล้ว พยายามปฏิบัติดี ก็เก็บเกี่ยวผลดี ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างมีความสุข มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎ ก็ทุกข์มากขึ้น
• เพราะฉะนั้น ใครที่พยายาม บังคับ ควบคุมตนเองได้มาก ก็มีความสุข มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ เช่น เรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่พยายามลดละ เราก็จะเก็บเกี่ยว ผลของสุขภาพย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มความทุกข์ ให้กับร่างกาย
• เพราะฉะนั้น ทั้งสองโลก คือโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ สำคัญทั้งสองกฎ แต่โลกวิญญาณนั้น สำคัญกว่ามาก เพราะจะอยู่นิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเท่านั้น
• ดังนั้น การรักษา เชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งผลให้มีทุกข์น้อยลง
• แต่ทั้งนี้ ไม่มีผลใดใดกับทางโลกวิญญาณ ที่จะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณ หลังความตายจากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติวิญญาณ
• พระเยซูจึงอยากให้เรา ให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า จงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่จะเข้าสวรรค์ โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้น
• ปัญหาจึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงว่ามันมีอยู่สองกฎ คือกฎของโลกวิญญาณ และ กฎของโลกวัตถุ จึงหวังผล สลับกันไปมา มั่วไปหมด เช่น กระทำดีตามกฎหมายศีลธรรม อันดีงาม ก็ไปหวังผล คือความรอดในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้
• หรือรอดในวิญญาณแล้ว คือเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วย เช่น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว หวังว่าจะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ มันถูกปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยาก ลำบาก เนื่องจากบาป
• ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด เหมือนแดดส่องมาบนโลก โดนทุกคน เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็จะมีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน คอยนำพา
• และพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา และเป็นผู้ดูแล กฎทั้งสองกฎนี้ ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรง คือเชื่อฟังพระองค์ พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย คือเชื่อวางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และให้ความสำคัญทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้พระพร อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์ รวมทั้งพรบนโลกใบนี้ มีความสุข ความสงบ ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ด้วย
• นี่คือการเคารพยำเกรงจนตัวสั่น ต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม ไม่มีลำเอียง เป็นผู้พิพากษาทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่ได้ให้ไว้แล้ว กับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ พระเจ้าอวยพรครับ