คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2025
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 13
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 15 ที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดี คนเหล่านี้ได้ต้อนรับอาจารย์เปาโลอย่างดี แต่พอนานเข้า มีข่าวประเสริฐที่แทรกแซงเข้ามา เหมือนคนเหล่านี้เขาไม่ชอบใจอาจารย์เปาโลว่า …
“มาสอนอะไร? ฉันต้องทำโน่นทำนี่ ถึงจะได้รับความรอด แต่อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิม ความรอดมาจากพระคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของใคร? เรามาดูข้อที่ 16 บอกว่า …
กาลาเทีย 4:16 “บัดนี้ ข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของท่าน เพราะบอกความจริงแก่ท่านหรือ?”
ตั้งคำถามกับชาวกาลาเทียว่าที่พวกคนเหล่านี้ไม่พอใจอาจารย์เปาโล เป็นศัตรูกับอาจารย์เปาโล เพราะว่าอาจารย์เปาโลได้พูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวข่าวดีของพระเจ้ากระนั้นหรือ? จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไหม? ซึ่งความเป็นจริง ณ เวลานั้น การปฏิบัติของคนกาลาเทีย เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขามีความรู้สึกว่าอาจารย์เปาโลไม่น่าเชื่อถือ คนที่มาสอนเขาทีหลังว่าควรจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ น่าเชื่อถือกว่าเยอะ
พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป แต่ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ก่อนหน้านั้น มนุษย์พยายามอยากจะทำดี ด้วยกำลังของตัวเอง พี่น้องฟังดีๆ ทำดี ไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดี พยายามทำดีตามกำลังของตัวเอง ซึ่งการพยายามทำดีตามกำลังของตัวเอง ก็หล่น พ้นจากพระคุณของพระเจ้า
ความบาปที่ใหญ่หลวงของมนุษย์ ไม่ใช่เพราะเขาทำดี ไม่เกี่ยวนะ แต่เพราะเขาพยายามพึ่งพาการกระทำดีของตัวเอง แทนที่จะมาพึ่งพาพระเจ้า นี่แหละคือบาปของมนุษย์ ฉะนั้น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราทุกคนสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ความรอดได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราได้รับเรียบร้อยไปแล้วด้วย ฉะนั้น เราไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะพยายามทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อทำตัวเองให้ได้รับความรอด เรารอดแล้ว แต่ผลที่มันมาแตกต่างกัน ก็คือหลังจากที่เรารอดแล้ว มันจะจากข้างในวิญญาณของเรา ที่เราปรารถนา อยากจะทำดีให้กับพระเจ้า มันต่างกัน เราพยายามทำดี เพื่อเราจะได้รับความรอด หรือพยายามทำดี เพื่อจะให้พระเจ้าพอใจในเรา อันนั้นเรากำลังทำผิด แต่ถ้าเราทำดีจากข้างใน รับรู้ว่าเราเป็นคนดีแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า แล้วเราจะสำแดงตัวตนแท้ๆ ที่เป็นความดีออกไปให้คนได้เห็น อันนี้ต่างกัน ถ้าเราทำแบบหลังจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เป็นการนมัสการที่ถูกต้อง ก็คือทำตามสิ่งที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ข้อที่ 17 …
กาลาเทีย 4:17-19 “17 คนพวกนั้นร้อนรนเพื่อชนะใจท่าน แต่ไม่ใช่เพราะหวังดี สิ่งที่เขาต้องการ คือแยกท่านออกไปจากเรา เพื่อให้ท่านร้อนรนเพื่อพวกเขา 18 ถ้าร้อนรนเพราะหวังดีก็ดีอยู่ ขอให้เป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน 19 ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน”
อาจารย์เปาโลพยายามบอกกับชาวกาลาเทียว่าคนที่มาทีหลังท่าน ที่พยายามมาเสี้ยมสอนให้ชาวกาลาเทียประพฤติปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่ ที่เขานำเสนอมา แล้วชาวกาลาเทียก็เห็นด้วย เพราะธรรมชาติอยากทำอยู่แล้ว เป็นพื้นฐานของความบาปของมนุษย์ ที่พยายามอยากทำ แต่พระเจ้าบอกเราว่าไม่ต้องทำแล้ว คือเรารอดแล้ว แต่ถ้าเราจะทำจริงๆ มันจะต้องทำจากข้างในวิญญาณของเราออกมา ไม่ใช่ทำจากการหว่านล้อมทุกรูปแบบของคนรอบข้าง อันนี้เราต้องชัดเจน
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า … “คนเหล่านี้ไม่ได้หวังดีกับพวกเธอหรอก เขาพยายามที่จะส่งข้อมูลให้เธอ แทนที่เธอจะเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เธอกลับพยายามทำ ด้วยกำลังของตัวเอง”
ซึ่งผลปลายทาง มันจะมีผลที่น่ากลัวมาก ก็คือถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วเราถูกหลอกให้พยายามทำดี แล้วมนุษย์พยายามทำดี คือดีแค่นี้เราไม่พอ พอดีแค่นี้ เราก็อยากดีอีก ดีขึ้นเรื่อยๆ ดี จนถึงจุดหนึ่งที่เราดีไม่ไหวแล้ว เราแป๊ก แล้วเราทำอย่างไร? เกิดอาการฟ้องผิดว่าแย่เลย ทำไมเราทำไม่ดี กลายเป็นว่าเราพึ่งในตัวเองว่าเราต้องทำดี เพื่อให้พระเจ้าพอใจ แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าพอใจเรามากๆ ตรงไหน? ตรงที่ว่าเราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นคือความพอใจของพระเจ้า วิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่ พระเจ้าพอใจมาก แล้วพระเจ้าก็รับเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือความพึงพอใจของพระเจ้า
แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ สามารถดึงเรา หรือแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ได้เลย มันทำไม่ได้ มันทำได้อย่างเดียว คือหลอกเรา หลอกผู้เชื่อทั้งหลาย ให้ผู้เชื่อพยายามดิ้นรน เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่ ซกๆ เพื่อจะทำให้พระเจ้าพอใจ แล้วพระเจ้าก็ไม่ต้องการให้เราเป็นแบบนั้น
สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราสำเร็จแล้ว ก็คือให้เราเข้ามารับพระพร ชีวิตของผู้เชื่อ คือเข้ามารับพระพรจากพระเจ้า พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว นั่งนับพระพรที่พระเจ้าให้กับเราในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่โลกฝ่ายวัตถุ เราเคยร้องเพลงนับพระพรไหม? เพลงนับพระพร เขาจะพูดถึงคุณภาพชีวิตของผู้เชื่อในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแน่นอน แต่ว่าพอเราเจอปัญหาปุ๊บ สิ่งที่เราจะทำได้ ก็คือหันไปนับพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าทำให้เราสำเร็จแล้ว แล้วเมื่อเราเรียนรู้ที่จะนับพระพรปุ๊บ ใจเราเกิดสันติสุข ตรงที่ว่าไม่เป็นไร การที่เราอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นช่วงสั้นมาก แม้เราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา 108, 1009 พระเจ้าไม่ได้อยากให้เราเจอปัญหา แต่เพราะโลกนี้ มันเสื่อมโทรมไปแล้ว เราก็เลยต้องเจอหางว่าว โดยปริยาย แต่สิ่งที่มันสำคัญ ก็คือผู้เชื่อมีหลักประกันที่แน่นอน มีเกราะป้องกันที่ยิ่งใหญ่มาก ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา ในขณะที่เราเผชิญกับปัญหามากมาย ที่เราดูเหมือนว่าไม่ไหวแล้ว แต่พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน พระองค์จะให้กำลังเรา ให้สติปัญญาเรา เมื่อเราหันกลับไป ผ่านมาได้อย่างไรไม่รู้ เชื่อพระเจ้ามา 30 กว่าปี เจอทุกรูปแบบ ผ่านร้อนผ่านหวาน พี่น้องเห็นดิฉันยืนอยู่ตรงนี้ว่าสุขสบายดี ไม่สุขสบายดีหรอก มีปัญหาเหมือนชาวบ้านนั่นแหละ แค่ไม่คุยให้ฟังเท่านั้นเอง
ฉะนั้น ปัญหาทุกคนมี แล้วเราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางปัญหาทุกรูปแบบ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าไม่มีปัญหา เราไม่สามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้เลย เราก็อยู่ไปทุกวัน แฮปปี้มีความสุข ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า กลายเป็นความเคยชิน ที่ว่ามันก็โอเคแล้ว แต่ว่าพอปัญหาผ่านเข้ามาปุ๊บ สิ่งแรกที่เราจะนึกถึง คือเรามีพระเจ้า พระเจ้าอยู่ข้างในเรา แล้วพระองค์ผู้นี้ เป็นพระผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เหนือกว่านั้นอีก เป็นพ่อของเรา
พี่น้องลองคิดดู พระเจ้าองค์นี้เป็นพ่อของเรา มีพ่อคนไหนที่จะยอมปล่อยให้ลูกตัวเองตกระกำลำบาก ไม่มีพ่อคนไหนเขาอยากทำ แต่ว่าที่ลูกต้องตกระกำลำบาก มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เหมือนกับเวลาเราเลี้ยงลูก ลูกเล็กๆ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกหกล้ม หัวโน แต่เหลนดิฉัน คนโต เจ้าต้นโอ๊คหัวโนเป็นประจำ เป็นเด็กที่ชอบวิ่ง วิ่งเร็ว หัวทิ่ม หัวโน ร้องไห้ ร้องไห้แล้วทำอย่างไร? ดินสอพอง มะนาวมาคนๆ แล้วก็ทาๆ เด็กเดี๋ยวก็หาย
ฉะนั้น ไม่มีพ่อแม่คนไหนเขาอยากให้ลูกเจ็บ จะคอยบอก คอยเตือนตลอดเวลา แต่เราห้ามเขาไม่ได้ เราจะไปผูกเขา หรือล็อคเขา หรือเอาเขาไปขังไว้ในที่แคบๆ อย่าวิ่ง อยู่เฉยๆ นะ จะได้ไม่เจ็บตัว มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยให้เขาใช้ชีวิตแบบปกติธรรมชาติของเด็ก เด็กก็ต้องซน เป็นเรื่องปกติ เด็กไม่ซน ก็ไม่น่าจะเป็นเด็กเนอะ ผู้ใหญ่ยังซนเลย พี่น้องอย่าไปคาดหวังว่าเด็กไม่ซน แล้วเด็กส่วนใหญ่ พอโตระดับหนึ่ง ก็ดื้ออีก เราก็ต้องดูแลและจับจุดให้ได้ว่าเราควรจะจัดการกับเขา หรือพูดคุยกับเขา หว่านล้อมเขาแบบไหน? อย่างไร? เพื่อให้เขาสามารถดำเนินชีวิตอยู่กับคนอื่นได้
พระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าทรงดูแลพวกเราทุกคน พวกเราที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ในสายตาของพระเจ้า เรายังเป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ บางครั้งเราก็ดื้อ เราต้องยอมรับความจริงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นคนดี ศรีอยุธยา เราไม่เคยดื้อกับพระเจ้าเลย เราเชื่อฟังตลอดเวลา มันไม่มีทางหรอก บางครั้งเราก็ดื้อกับพระเจ้า บางครั้งเราก็บ่นกับพระเจ้าอีก บางครั้งเราก็ไม่ค่อยถูกใจสิ่งที่พระเจ้าส่งมาให้เรา พระองค์เอามาทำไม ไม่เห็นถูกใจเราเลย อะไรประมาณนั้น ไม่เอาได้ไหม? ไม่รับได้ไหม? แต่ว่าความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มันเป็นโอกาส ที่จะทำให้เราฝึกฝนในการเชื่อวางใจพระเจ้า แล้วมั่นใจในพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเราว่าพระองค์ผู้นี้ ไม่ทิ้งเราแน่นอน เมื่อถึงวาระจำเป็น พระองค์มาทันเวลาเสมอ แต่มันจะไม่ได้ดังใจเราคิด ซึ่งสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ
เรายอมรับอันหนึ่งว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว ตัวร่างกายเรานะ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณ ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ถูกสาปแช่งแล้ว ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ ในวิญญาณของเรา เราได้รับความรอด ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายเรียบร้อยไปแล้ว แต่ร่างกายของเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ภายใต้คำสาปแช่งอยู่ ซึ่งมันเลี่ยงไม่ได้ เราจะมาคิดว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์จะต้องทำตรงนี้ให้มันเสร็จสรรพ เรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ยาก ไม่จน เราจะต้องดีตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ มันขัดกับธรรมชาติที่มันเป็นไปแล้ว โลกนี้เสียหายไปแล้ว มนุษย์บนโลกนี้ ก็เสียหายไปแล้ว รอวันหนึ่ง คือรอวันไหนที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วเราทิ้งร่างกายเก่านี้ ร่างกายที่โกโรโกโส ไม่เห็นน่าอภิรมย์เท่าไรเลย แต่ว่าในขณะที่พระเจ้าให้เราอยู่กับร่างกายนี้ เราก็ดูแลเขานิดหนึ่ง อย่าปล่อยปละละเลย ดูแลทำความสะอาด ดูแลรักษาสุขภาพเท่าที่กำลังเราทำได้ ถ้ากำลังทำได้แค่ไหนแค่นั้น ถ้าเราทำจนสุดความสามารถของเราแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็ผ่านไป โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว พระเจ้าบอกเราชัดเจน ต่อให้เราอยู่ดีมีสุขจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ยังไงเราก็ต้องตาย ยังไงเราก็ต้องทิ้งร่างกายนี้ไว้ ยังไงวิญญาณเราก็ต้องกลับไปสู่พระเจ้าอยู่ดี
แต่ความคาดหวังของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครอยากจะได้สิ่งไม่ดีแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเราก็สามารถอธิษฐานได้ ขอพระเจ้าทุกวันนั่นแหละ อยากจะสุขภาพแข็งแรง พระองค์เจ้าข้า อยากจะมีความสุข อยากอะไร ก็ขอไปเถอะพี่น้อง แต่ว่าพระเจ้าจะให้หรือไม่ให้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง บังเอิญ สิ่งที่เราขอ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราแล้ว เราก็ได้ตามนั้น
ฉะนั้น พระเจ้าทรงให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่คำว่าไม่เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ารักเราน้อยกว่าคนอื่น นึกออกไหม? พระเจ้ารักทุกคนเท่ากันเลย พระเจ้าไม่ลำเอียง ไม่เหมือนพวกเรา เราเป็นมนุษย์ เรายังรักคนนี้มากกว่าคนโน้น บ้านเราเอง เรายังรักพี่น้องคนนี้มากกว่าพี่น้องคนโน้นถูกคอ คุยกระหนุงกระหนิง คุยได้หลายชั่วโมง แต่คนนี้สวัสดี เราก็จบแล้ว อะไรประมาณนั้น อันนี้เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ ไม่ต้องไปรู้สึกยังไง ก็เอาให้มันเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่เรารับรู้ ก็คือพระเจ้าทรงรักเราถึงที่สุดแล้ว พระเยซูคริสต์ก็ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว
เราผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ ก็คือมารับเอาผลสำเร็จที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า นับพระพรแต่ละวัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่พระองค์ให้กับเรา ขอบคุณพระเจ้า สำหรับการเป็นหนึ่งเดียวกันที่พระเจ้าทำให้เราพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าเราจะอยู่ดีมีสุขตลอดเวลา นึกออกไหม? ไม่มีนะคำสัญญาตรงนี้ แค่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ
พอถึงข้อที่ 19 อาจารย์เปาโลบอกว่า “ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน” อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายถึงลักษณะของพี่เลี้ยง อาจารย์เปาโลเป็นผู้เลี้ยงดูคนเหล่านี้ ลักษณะเป็นเหมือนผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูก เจ็บปวดขนาดไหน? อาจารย์เปาโลมีความรู้สึกแบบนั้น ที่เจ็บปวดแทนพี่น้องเหล่านี้ว่าเมื่อได้ดูแลเขาในฝ่ายวิญญาณ ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว
สิ่งที่อาจารย์เปาโลคาดหวัง คือให้เขาได้เจริญเติบโต ให้พระเยซูคริสต์ได้ก่อร่างสร้างขึ้นในชีวิตของพวกเขาทุกๆ คน นี่คือความปรารถนาของผู้เลี้ยงที่ดีทุกคน สิ่งที่เราปรารถนา เราไม่ได้ปรารถนาให้สมาชิกต้องมาทำอะไรให้เรา แต่เราปรารถนาที่จะให้พี่น้องทุกคนเจริญเติบโตในเรื่องของความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น รับรู้ความจริงมากขึ้น เราจะถูกหลอกน้อยลง แล้วชีวิตเราก็จะมีสันติสุขมากขึ้นด้วย ไม่ต้องหัวทิ่มหัวตำอะไรอย่างนี้ ก็คือมีสันติสุขในใจมากขึ้น อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกความจริงจะทำให้เราเป็นไท นี่คือความจริงเลย อิสรภาพอย่างแท้จริงที่มันจะบังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าขณะนี้ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา
กาลาเทีย 4:20 “ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะอยู่กับท่านตอนนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าข้องใจในตัวท่าน!”
จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียนถึงชาวกาลาเทียยังไม่เจอหน้ากันเลยนะ อาจารย์เปาโลบอกอยากเจอหน้าจริงๆ เจอหน้าจะได้เปลี่ยนน้ำเสียงจากน้ำเสียงที่อ่อนโยน เป็นน้ำเสียงที่น่าจะเกรี้ยวกราดพอสมควร เหมือนกับว่า …
“ทำไมเธอถึงฉลาดน้อยขนาดนั้น พระเจ้าให้เธอเป็นอิสระแล้ว ทำไมเธอถึงเอาตัวเองไปอยู่ใต้บังคับของกฎระเบียบเยอะแยะมากมาย แทนที่จะมีอิสรภาพ กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันไม่อยากมีอิสรภาพ ฉันไปขอแบกแอกเอาไว้ด้วยตัวของฉันเอง” ประมาณนั้น
อาจารย์เปาโลก็บอกเจอหน้าเดี๋ยวต้องดุแรงๆ ตาใจฝ่ายวิญญาณจะได้เปิดออก จะได้เข้าใจในความจริงในพระเจ้ามากขึ้น เหมือนตอนที่เริ่มต้น เริ่มต้นเข้าใจมากเลยนะ ไปๆ มาๆ เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาไป กลายเป็นบ้องกัญชา ประมาณนั้น ตอนมาใหม่ดูดีนะ ไปๆ มาๆ ทำไมกลายเป็นแบบนั้นล่ะ ไหนบอกเชื่อพระเจ้าไง ไหนบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วไง ไหนบอกเราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วไง อ้าว! ไปๆ มาๆ เดี๋ยวก่อนๆ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติดีๆ เดี๋ยวโอกาสที่การเป็นลูกของพระเจ้าจะหลุดหายไป หรือว่าการเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์อาจจะพระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว นิสัยไม่ดี ปลดเธอออกจากตำแหน่งทายาทของพระเจ้า มันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าสถาปนาไปแล้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงได้ เป็นแล้วเป็นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นเลย
แล้วถ้าผู้เชื่อยังคงทำแบบนี้ ถามว่าความรอดหายไปไหม? ไม่หาย แต่แทนที่เราจะอยู่บนโลกนี้ อย่างมีความสุข เราก็อยู่แบบเหมือนดำน้ำ ขึ้นๆ ลงๆ ผวาตลอดเวลา ทำโน่นทำนี่ ก็ …
“ตกลงทำไปทำมา ฉันจะรอดไหม? วินาทีสุดท้ายของชีวิต ลมหายใจสุดท้ายออกจากร่าง ฉันจะยังอยู่กับพระเจ้าไหม?”
มันจะเกิดข้อกังขาขึ้นมาทันที ถ้าเราพึ่งการกระทำของตัวเอง เพราะเราไม่มีความสามารถที่จะทำดีได้ตลอดเวลา 100% อย่างแน่นอน ฉะนั้น ถ้าเราวางใจในพระเจ้า แล้วมั่นใจว่าพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงเป็นผู้นำเราในการทำทุกอย่าง ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงใส่ความปรารถนาในใจให้กับเรา นำเราในการทำสิ่งที่ดีทุกอย่าง ฉะนั้น ในการดำเนินชีวิตของเรา ถ้าเราดำเนินชีวิต หรือทำอะไรในชีวิตประจำวัน ถ้ามันไม่ได้อยู่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ถือว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเรา แต่ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก แล้ว ณ เวลานี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความเกลียดชัง แปลว่าไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ เราหลงทาง เราถูกหลอก โลกนี้กำลังนำเราอยู่ แค่นี้เอง เราจะรู้ สามารถเทียบได้ พอเทียบได้ปุ๊บ ทำอย่างไร? เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? เรารอดแล้วใช่ไหม? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ทำอย่างไร? เราก็หันหลังกลับสิ หลงทาง ก็ต้องรีบกลับ ถ้าหลงทางแล้วยังปล่อยให้ไม่เป็นไร ปล่อยให้หลงไป ก็จะเสียเวลา
พี่น้องเคยนั่งรถเมล์หลงทางไหม? ดิฉันเคยนั่ง นั่งผิดฝั่ง อันนี้นานแล้วนะ สมัยโน้น 10 กว่าปีที่แล้ว เวลานั่งรถเมล์ รู้แค่ 2-3 ที่ ไปตลาด มาโบสถ์ กลับบ้าน ไปแค่นี้เอง แล้วถ้าเลยจากนี้ ไปไม่ถูกเลย อย่างไปห้าง ถ้าไม่จำดีๆ เข้าห้าง หาทางออกไม่เจอ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้เลย หาทางออกไม่เจอ เวลาหลงทาง ทุกข์นะ นี่ไม่ได้หลับ แต่นั่งผิดฝั่ง ตอนนั้นไปเซ็นทรัล ลาดพร้าว แล้วจะนั่งรถไปทางลำลูกกา ต้องนั่งฝั่งไหนไม่รู้ จำไม่ได้ ตอนไปก็ไปกับพี่น้องในโบสถ์ พอขากลับ ต่างคนต่างแยกย้ายกัน เราต้องกลับเอง เราก็ไปจำผิด ไปขึ้นผิดฝั่ง แล้วไม่ชะล่าใจด้วย ปล่อยมันพาไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่ตะวันสว่าง จนฟ้ามืดแล้ว ทำไมมันไม่ถึงบางเขนสักที เราจะได้ไปต่อรถไปลำลูกกา แล้วมานึกขึ้นได้ 3 ชั่วโมงผ่านไปพี่น้อง มันเสียเวลามาก แล้วก็ไปถาม เราจะกลับไปตรงนั้น เราต้องนั่งรถอย่างไร? เขาก็ชี้ข้ามถนนไป แล้วก็กลับมา เสียเวลามาก นี่คือแค่เราเสียเวลา ไม่เป็นไรแก่แล้ว ถือว่าไปนั่งรถเที่ยวแล้วกัน อะไรประมาณนี้
แต่ชีวิตความเป็นจริงของเรา การหลงทางมันน่ากลัว ถ้ามนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า จะไปหาพระเจ้าก็ไม่รู้จัก แล้วเขาหลงทาง หลงแล้วหลงเลยนะ อันนั้นกลับมาไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเกิดหลงทาง พระเจ้าก็จะสะกิดเรา ไม่ได้ปล่อยปละละเลยไป 2-3 ชั่วโมง ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร? ไม่ใช่ พระเจ้าก็จะสะกิดเรา …
“ลูกๆ หลงแล้ว กลับมา”
เราจะวัดจากตรงไหน? วัดจากถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระลักษณะชีวิตของพระเจ้าเป็นอย่างไร? แล้วเมื่อไรก็ตามที่เราดำเนินชีวิตตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า แปลว่าเราหลงทางแล้ว พระเจ้าเป็นความรัก เรากำลังดำเนินชีวิตแบบเกลียดชัง เราหลงทางแล้ว พระเจ้าเป็นความดีงาม ถ้าเราดำเนินชีวิตไม่เห็นดีเลย พาลไปทั่วเลย แปลว่าเรากำลังหลงทาง เมื่อเราหลงทาง เรามีวิธีเดียว หันหลังกลับ แล้วก็กลับมาที่เดิม แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร แค่เสียเวลาไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราหลงทาง แล้วเราไม่ยอมกลับ ปล่อยตัวเองให้เตลิดไป ไม่เป็นไร มันสนุกดี เราก็ทำไป เราก็ทุกข์ใจในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะมีสันติสุข มีความสุข เราก็ไม่มีความสุข แต่เราก็ยังคงได้รับความรอดเหมือนเดิม อย่าตกใจว่าเราจะหลุดไปจากทางของพระเจ้า ไม่มี
พระเจ้าบอกเมื่อเราบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างไรเราก็รอด แต่รอดแบบทุลักทุเลกับรอดแบบเดินผิวปาก มีความสุข ร้องเพลงไป มันต่างกันเนอะ เราอยากจะรอดแบบไหน? เราสามารถเลือกได้ แล้วพระเจ้าให้สิทธิ์ในการเลือกด้วย พระเจ้าไม่บังคับเรา เราก็ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเราว่าเมื่อเราหลงทาง สะกิดให้เรารู้ทันเร็วๆ อย่าให้มันนานเกิน แล้วมันทรมานจิตใจตัวเอง ไม่ได้ไปทุกข์กับใครเลย ทุกข์กับตัวเอง
ฉะนั้น เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาจารย์เปาโล ขอบคุณพระเจ้าสำหรับถ้อยคำต่างๆ ที่สอนเรา บอกเรา แม้จะเป็นถ้อยคำที่เหมือนย้ำเตือนเราตลอดเวลา แต่มันเป็นถ้อยคำแห่งความจริงที่จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยเสรีภาพในพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
before and after ตอน 12
คริสเตียน!
ก่อนเชื่อ … เป็นศัตรู เข้ากับพระเจ้าไม่ได้
หลังเชื่อ … เป็นลูก ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า
โรม 5:8-11 … “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์ มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้ พระเจ้ายอมรับเรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษเพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของ อำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุ ให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”
พระเยซูคริสต์จึงเป็นเหตุ ให้มวลมนุษย์กับพระเจ้า กลับคืนดีกัน
• นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันได้ คือการได้บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าได้แล้วทันที ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
• และพระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเราจากภายใน ไปจนถึงหมดลมหายใจ ทิ้งร่างกายเดิม แล้วรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์และอยู่กับเราจนถึงนิรันดร์
• แค่ตัดสินใจ! เปิดใจ ต้อนรับสิทธิ ในพระเยซูคริสต์นี้ เท่านั้น
และหลังตัดสินใจเปิดใจต้อนรับแล้ว
เอเฟซัส 2:19 บอกว่า … “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าว แปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกันกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิก ในครอบครัวของพระเจ้า”
ตัดสินใจ กลับมาเป็นลูก เป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์เถิด … พิสูจน์ได้ เดี๋ยวนี้ ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน