วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1505

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มกราคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 12

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:6 ปีที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 5 ที่บอกว่า

        กาลาเทีย 4:5 “เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            การไถ่มนุษยชาติให้เป็นบุตรของพระองค์ ทำให้เราได้รับอิสรภาพ ได้รับสิทธิการเป็นบุตรอย่างสมบูรณ์ การไถ่นี้ มันเกิดขึ้นโดยกำลังของเราไม่ได้ แต่โดยพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเข้ามารับเอา เรามาต่อในข้อที่ 6 …

        กาลาเทีย 4:6-7 “6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร   พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ” 7 ฉะนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย”

            อันนี้เป็นพระพรเลย  เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ทันทีที่พวกเราทั้งหลายได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับสิทธิที่พระเจ้าบอกกับเรา คือได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบมากๆ ตามที่พระเจ้าได้กระทำไว้เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้สำแดงให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ เราจึงกล้าเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ คงไม่มีใครกล้าเรียกพระบิดาว่าพ่อ มีไหม? กล้าไหม? คงไม่กล้า เราไม่กล้าอธิษฐานกับพระเจ้า ไม่กล้าสนิทสนมกับพระองค์ เพราะว่าอยู่กันคนละทิศ คนละทางกัน วิญญาณของเรา กับวิญญาณของพระเจ้าอยู่กันคนละพวก

            ฉะนั้น เมื่อวิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณก็ทำงานร่วมกับวิญญาณของเรา ให้เราสามารถรับรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้มโน  บางคนคิดว่าเรามโนไปหรือเปล่า แค่อธิษฐานแค่นี้ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าหรือ? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้นจริงๆ ว่าในโลกวิญญาณได้บังเกิด แล้วก็เกิดมาเป็นผลที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ จากที่ข้างในวิญญาณเรารับรู้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบอกกับเราได้ ด้วยเหตุผลของบนโลกใบนี้ที่จะบอกเรา 1, 2, 3, 4 ไม่ได้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารู้เลยว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด องค์นี้ เป็นพระเจ้าของเรา เป็นพ่อของเรา  แล้วเกิดความผูกพัน สนิทสนม  เป็นหนึ่งเดียวกัน มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งการเกิดขึ้นตรงนี้ ไม่ได้เป็นการกระทำของเราเลย แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผูกพันเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ทำให้เรามีความรู้สึกข้างในวิญญาณว่าเรากับพระเจ้าเป็นพ่อเป็นลูกกัน

            พอความรู้สึกตรงนี้จากข้างในวิญญาณปุ๊บ เราเลยกล้าที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า เรียกพระเจ้า พระบิดา หรือเรียกพ่อ เรียกปะป๊า เรียกแด๊ดดี้ เรียกอะไรก็ได้  ที่มันเป็นความรู้สึกของความผูกพันในวิญญาณของเรา

            เมื่อเราเป็นบุตรแล้ว ในข้อที่ 7 บอกว่าเราจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป  อาจารย์เปาโลกำลังยืนยันกับชาวกาลาเทียให้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ท่านทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ท่านไม่ได้เป็นทาสอีกแล้วนะ ไม่ได้เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ ที่พยายามจับคนกาลาเทีย หรือแม้แต่ปัจจุบัน กฎต่างๆ พยายามจับพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ภายใต้กฎเหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า  เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว

            เมื่อพระเจ้าให้เราเป็นลูกปุ๊บ เราก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือพระสัญญาที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์ และยืนยันอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าเราไม่เพียงแต่เป็นลูกเท่านั้น ลูกเฉยๆ ยังแบบปกติมาก แต่เป็นทายาท

            คำว่า “ทายาท” มีความหมายมากๆ สมมติว่าครอบครัวนี้มีลูกสัก 10 คน แต่จะมีคนเดียวที่เป็นทายาทของครอบครัวนี้ คำว่าทายาท หมายความว่าเขาจะได้รับมรดกมากกว่าคนอื่น อาจจะได้รับทั้งหมด แต่ส่วนคนอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่จะแบ่งสรรปันส่วนให้กับลูกคนอื่นๆ อีก 9 คน อาจจะคนละนิดคนละหน่อย แบ่งไป …

            “แต่คนนี้ฉันเลือกไว้แล้วว่าจะเป็นทายาทของตระกูลนี้ ซึ่งเขาสามารถรับมรดกทั้งหมดของฉัน”

            นี่คือความสำคัญของการเป็นทายาท ไม่อย่างนั้นจะมีศึกการชิงมรดกหรือ? จ้องจะฆ่าทายาทให้ตายอย่างเดียว ซึ่งนี่เป็นความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกกับพวกเราผู้เชื่อว่าเราไม่ใช่เป็นบุตรเฉยๆ แต่เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  พระเยซูมีอะไร? เรามีอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ได้รับอะไรจากพระเจ้าพระบิดา เราได้รับด้วยอย่างนั้น

            นี่คือความหมายของคำว่า “ทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์” นี่คือสิทธิพิเศษ สำหรับพวกเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้า ซึ่งของประทานนี้ เป็นของประทานแห่งความรอดที่พระเจ้าให้กับมนุษย์เปล่าๆ ใครก็ได้ ตาสีตาสา เรียนหนังสือ อยู่ป.1 หรือไม่มีเงินเรียน หรือจบดร. ถ้าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คน 2 คนนี้จะมีสถานะเดียวกัน  คนที่จบแค่ ป.1 กับคนที่จบ ดร. มีสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกันในพระเยซูคริสต์ อย่างที่พระคัมภีร์บอกไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีกรีก ไม่มีชนชาติใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            สถานะเราทุกคน จะเป็นสถานะเดียวกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ดังนั้น คนที่เข้ามาหาพระเจ้าจะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้ว่าในตัวตนแท้ๆ ที่เขาเป็นอยู่ เขาอาจจะเป็นลูกน้อง เป็นลูกจ้าง เคยไปทำงานที่ไม่มีเกียรติ แต่เขามีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าถือว่าเราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 4:8-9 “8 เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของผู้ซึ่งโดยสภาพแล้ว  ไม่ใช่เทพเจ้าเลย 9 แต่เดี๋ยวนี้ ท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว ท่านยังจะหวนกลับไปหาหลักการเก่าๆ ซึ่งอ่อนแอและน่าสังเวชหรือ? ท่านอยากตกเป็นทาสด้วยสิ่งทั้งปวงนี้อีกหรือ?”

            เหตุผลที่อาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น เพราะในคริสตจักรกาลาเทีย ตอนที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า ชาวกาลาเทียเหล่านี้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาได้รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าเขาได้เป็นอิสรภาพจากกฎของความบาปและความตาย  เขาไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป แล้วเขาก็ชื่นชมยินดีมาก หลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไปประกาศที่อื่น แล้วก็มีผู้คนที่มาสอนเรื่องความรอด ซึ่งแตกต่างจากที่อาจารย์เปาโลสอน เป็นความรอดที่ต้องบวกการประพฤติด้วย ซึ่งพระเจ้าบอกว่ามันไม่มี ไม่ต้องบวก เราทำไม่ได้หรอก พระเยซูทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องทำอีกแล้ว เรารับเอาอย่างเดียว แต่มีคนมาสอนชาวกาลาเทียว่า …

            “เธอเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอก รอดไม่ 100% เธอจำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ เธอจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่นเยอะแยะมากมาย”

            มันเป็นกฎมายาวมาก แล้วชาวกาลาเทีย คือโดยความเป็นมนุษย์ แล้วก็พอฟังเยอะๆ ตกใจ …

            “ตกลงฉันรอดไหมเนี้ย ฉันต้องทำโน่นต้องทำนี่ไหม”

            แล้วก็หลงเชื่อ แล้วก็ไปทำตาม ถ้าเมื่อไรที่เราพยายามประพฤติ เพื่อได้รับความรอด เราก็ตกจากระดับของพระเจ้า ดังนั้น การประพฤติของผู้เชื่อ ไม่ได้ประพฤติ เพราะจะทำให้เราได้รับความรอด พี่น้องต้องฟังให้ชัด เรารอดแล้ว เราถึงประพฤติดี การประพฤติดี คือการประพฤติตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา คือเป็นคนดี  เป็นความดี เป็นความรัก พระเจ้าใส่มาเรียบร้อยแล้ว แล้วเราก็ฝึกฝนที่จะทำมันออกไป คือปฏิบัติออกไป  นี่คือหลักการของผู้เชื่อ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำพวกนี้ เพื่อทำให้เราได้รับความรอด เรารอดแล้ว

            ยกตัวอย่าง นาย ข. เป็นลูกของนาย ก. คลอดออกมาแล้ว เป็นลูกแล้ว ต่อแต่นี้ไป นาย ข. ไม่ว่าจะทำอะไร เพราะเขารักนาย ก. ที่เป็นพ่อ เขาทำสิ่งที่ดี เพื่อให้คุณพ่อมีความสุข  แต่ไม่ได้หมายความว่านาย ข. พยายามทำดี เพื่อให้ตัวเองได้เป็นลูกของพ่อ ต่างกันนะ  พยายามทำความดี เพื่อให้ตัวเองมาเป็นลูกของพ่อ แล้วพ่อก็มอง

            “เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอไม่ต้องทำดี แม้แต่ไม่ทำอะไรเลย เธอก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ เหมือนเดิม”

            อันนี้ คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนจะโดนหลอกตลอดเวลาว่าเราต้อง ต้องๆๆๆ และต้อง ถ้าไม่ต้อง แล้วพระเจ้าไม่รัก  ไม่จริง พระเจ้ารักเราที่สุดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเราแล้ว แม้เราจะไม่ประพฤติตามตัวตนแท้ๆ ของเรา พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ แต่พระเจ้าจะทำการงานในใจของเรา พระเจ้าจะโน้มนำเรา จะคอยบอกเรา ให้เราพร้อมและยอมที่จะทำตาม เรียกว่าตัวตนใหม่ของเรา ให้มันส่งผลออกไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำ

            ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา  ไม่จริง แต่พระเจ้าก็จะทุกข์ใจนิดหนึ่ง ตรงที่ว่าถ้าเราไม่ทำตาม สิ่งที่เป็นตัวตนแท้ๆ เราก็จะทำตามสิ่งตรงข้าม มันไม่มีตรงกลาง ไม่ดำก็ขาว ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่มีกลางๆ ถ้าเราไม่ทำตามพระเจ้า เราก็ไปหลงทำตามกฎของโลกใบนี้ คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถ้าเราไม่รัก ก็เกลียด มันอยู่ตรงกันข้าม ฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำตาม ข้างในวิญญาณที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างนี้แล้ว  เราไม่ทำตามปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราจะเก็บเกี่ยวผล ผลของสิ่งที่เรากระทำออกไป ซึ่งมันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์ต้องเก็บเกี่ยวผลเหล่านี้  แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งกฎมา แล้วพระองค์เป็นผู้รักษากฎอีกต่างหาก

            กฎในโลกวิญญาณกับกฎในโลกวัตถุ มันก็มี 2 กฎ กฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตทำให้ท่านหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย นี่คือกฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกแล้ว มันไม่มีผลอะไร ไม่ว่าจะประพฤติแบบไหน? ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา วิญญาณของเรารอดแล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือสถานะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ใครก็ไม่สามารถกระชากเราออกจากเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าลงมาอยู่ข้างล่างได้ ในโลกวิญญาณ เราอยู่ตรงนั้นแล้วกับพระเยซูคริสต์

            แต่กฎของโลกใบนี้ ก็ยังมีอยู่ พระเจ้าตั้งไว้เหมือนกัน ก็คือใครหว่านอะไร ก็ต้องเก็บเกี่ยวอย่างนั้น เราเป็นผู้เชื่อ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี  เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี เราจะไปร้องโวยวายกับพระเจ้าไม่ได้

            “พระองค์เจ้าข้า ทำไมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น” อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ เพราะว่ากฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งไว้แล้ว ถ้าเราขว้างก้อนหินออกไป มันโดนกำแพง มันก็เด้งกลับมา ขว้างยิ่งแรงเท่าไร? มันก็เด้งกลับมาแรงเท่านั้น  ก็คือเราจะต้องเก็บเกี่ยวผล

            เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยแนะนำเรา คอยเตือนเรา สะกิดเรา เป็นไหม บางครั้งเราคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี ความคิดมา พระวิญญาณที่อยู่ข้างใน จะเตือนเรา ไม่ดี ไม่เอา มันจะมีการตัดสินใจ การตัดสินใจอยู่ที่เรา ซึ่งพระเจ้าไม่ตัดสินใจแทนเรา  และพระเจ้าไม่บังคับเราด้วย คือเราจำเป็นจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในแต่ละวัน แต่ละนาที แต่ละเหตุการณ์ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเราว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะตัดสินใจแบบไหน? เราจะตัดสินใจแบบธรรมชาติใหม่ของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก หรือเราจะตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาว่าแค้นนี้ต้องชำระ ดูหนังจีนเยอะ แค้นนี้ต้องชำระ อย่างนี้ เราตัดสินใจได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ห้ามการตัดสินใจของเรา  แต่พระเจ้าจะบอกผลของการตัดสินใจของเรา ในแต่ละครั้ง  ตัดสินใจตามพระเจ้า เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งดี ตัดสินใจตามโลกนี้ เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการ ไม่อยาก แต่พระเจ้าก็บีบคอเราไม่ได้  พระเจ้าน่ารักมาก คือไม่บีบคอลูกของพระองค์

            “ไม่ได้ๆ” ลากกลับมา

            ไม่มี พระเจ้าก็ปล่อยให้เราเรียนรู้ ให้เรามีประสบการณ์ในการตัดสินใจต่างๆ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเราเลี้ยงลูก เราไม่สามารถครอบเขาเหมือนเอาสำลีห่อไว้ ทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่บ้าน เราก็ต้องป้องกันอย่างแรง ลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ไม่เจ็บ เป็นไปไม่ได้  ถ้าลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ก็ต้องเจ็บ แต่ว่าการเจ็บของเขา เขาจะเรียนรู้ เหมือนเด็กๆ ส่วนใหญ่เขาเห็นรูไม่ได้ แปลกดี แปลกแต่เป็นเรื่องจริงนะ เห็นอะไรมีรูไม่ได้ นิ้วเล็กๆ ขอแหย่นิดหนึ่ง  แล้วสมัยก่อน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน  ปัจจุบันก็เหมือนกัน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน เขาจะเอาอยู่ข้างล่าง มันก็ล่อตาล่อใจเด็ก เด็กคลานไปคลานมาก็เอานิ้วไปจิ้ม ก็โดนไฟช๊อต พ่อแม่ก็จะคอยบอก …

            “ลูกอย่าทำนะ อย่าๆ”

            บอกว่าอย่าและบอกเหตุผล แต่เผลอทีไร ลูกก็ไปทำ แต่ถ้าเขาทำ ครั้งแรกช๊อตไม่เยอะ เขาอาจจะไม่จำ พอคราวหน้าเขาลืม คลานไป เขาก็ไปลองจิ้มดูใหม่ แต่ถ้าช๊อตเยอะ คือเจ็บ เขาก็จะจำ เขาก็จะมอง อันนี้อันตราย คราวหน้าก็ถอยห่างหน่อย เราไม่เข้าใกล้แล้ว มันอันตราย นี่คือลักษณะของเด็ก

            พวกเราเหมือนกัน เราเป็นผู้เชื่อ เราก็เป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ พระองค์ก็จะอนุญาตให้เรามีประสบการณ์ ในการตัดสินใจทุกอย่าง  แต่พระเจ้าจะบอกเลยว่า …

            “ถ้าตัดสินใจแบบนี้ ลูกจะได้แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะได้อย่างนี้”

            พระเจ้าบอกไว้เรียบร้อยทุกอย่าง แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีตัวช่วย ตัวช่วยของเราสุดยอดที่สุด  ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ที่จะคอยช่วยเรา โน้มนำเรา ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            ทุกๆ การตัดสินใจของเรา  พระเจ้าจะคอยอยู่ข้างๆ แต่พระเจ้าก็จะไม่บังคับเรา คือเราตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของเราทุกอย่าง แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะคอยบอกเรา  อยู่ที่ว่าบอกแล้วเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน  หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่น้อง ไม่ว่าเราตัดสินใจอย่างไร? สมมติ พลาดไป เราก็เริ่มต้นใหม่  เราก็ลุกขึ้นมา โอเค อันนี้ พลาดไป ก็เสียเวลานิดหนึ่ง ไม่เป็นไร เราก็มาเริ่มต้นใหม่ อะไรประมาณนี้  เพราะว่าผู้เชื่อทุกคนมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ พระเจ้าให้เรามีโอกาสนั้น

        กาลาเทีย 4:10 “ท่านกำลังถือวัน เดือน ฤดูและปี”

            คนกาลาเทียเริ่ม คือเวลาเราเชื่อพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด พระเจ้าบอกว่าทุกวันดี ดีหมด เราดูจากในหนังสือปฐมกาล  ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ วันแรกสร้างอะไร? พอสร้างจบ พระเจ้าบอกว่าดี วันที่สอง, สาม, สี่, ห้า, หก พระเจ้าก็ยังคงบอกคำเดียวกัน คือดี  แล้วพอวันที่เจ็ด พระเจ้าพัก หมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมา มันดีหมด แต่มนุษย์ไปทำให้มันเสียหาย คือไม่ดี พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกวันเป็นวันดี ถ้าวันนั้นเราสบาย นึกออกไหม? เราสบาย ไม่เดือดร้อนใคร เราว่าง เราสามารถไปได้ สามารถทำสิ่งนั้นได้  ถือว่าเป็นวันดีหมด

            ฉะนั้น ผู้เชื่อไม่จำเป็นจะต้องไปยึดวันเดือนปีว่าเราจะทำอย่างนั้น เราควรจะเลือกแบบไหน? หรือเราต้องไปให้หมอดูไหมว่าวันไหนดี? ผู้เชื่อต้องไปให้หมอดูว่าวันไหนดีไหม? ไม่ต้อง เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้แล้ว เมื่อพระเจ้าบอกว่าดี แล้วข้างในวิญญาณเรายืนยันว่าดี เราตัดสินใจเอาวันนี้แหละดี หรือแม้แต่เราจะฉลองวันเกิด มันไม่ตรงกับวันที่เราว่าง

            สมมติเราเกิดวันที่ 12 แล้ววันนี้เราไม่ว่าง เพื่อนก็ไม่ว่าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ มาจัดวันที่ 12

            “เพื่อน วันไหนสะดวก พรุ่งนี้หรือ? วันที่ 13 โอเค เรานัดกัน ไปฉลองวันเกิดกัน วันที่ 13 เราถือว่าเป็นวันดี”

            นี่คือลักษณะ ฉะนั้น อย่ายึดวันเดือนปีว่าต้องอย่างโน้นต้องอย่างนี้ ถึงจะเป็นวันดี  เพราะพระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระเจ้า ทุกวันดีหมด

        กาลาเทีย 4:11 “ข้าพเจ้าหวาดหวั่นแทนท่าน เกรงว่าที่ข้าพเจ้าบากบั่นทุ่มเทให้ท่านนั้น จะเปล่าประโยชน์”

            อาจารย์เปาโลหวาดหวั่นแทนชาวกาลาเทีย เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลหว่านลงไปที่คริสตจักรชาวกาลาเทีย คือความรอดที่ไม่ได้พึ่งการประพฤติ แต่เป็นความรอดที่ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ เราได้รับความรอด  และเป็นความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ฉะนั้น เมื่อชาวกาลาเทียเริ่มต้นไปเชื่อฟังคำสอนอะไรก็ไม่รู้ ที่เขามาสอนว่า …

            “เชื่อแค่นี้ไม่พอ  เธอต้องทำเพิ่ม เธอต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องๆๆๆๆๆ”

            ขบวนการต้องทั้งหลายแหล่ ซึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่เคยใช้คำว่าต้องกับพวกเรา  คำว่าต้องคือบังคับ  ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้  ถ้าไม่ทำ ต้องถูกลงโทษ  นี่คำว่า “ต้อง” พระเจ้าไม่เคยใช้คำว่าต้องกับลูกของพระองค์  แต่พระเจ้าจะใช้คำว่า “ควร” มันนุ่ม

            “ลูกเอ๋ย ลูกควรทำแบบนี้นะ เรื่องนี้ตัดสินใจ ลูกควรจะทำอย่างนี้นะ ลูกควรจะสำแดงความรักนะ เพราะว่าลูกเป็นความรักแล้ว มันอยู่ข้างใน มันไม่ยากเลย  ลูกแค่สำแดงออกไปเท่านั้นเอง”

            คำว่า “ควรจะ” หมายความว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร?  …

            “อ้าว! ไม่ทำหรือลูก ควรจะ แต่ลูกไม่ทำใช่ไหม? ลูกไม่ทำ ลูกต้องรู้นะ เดี๋ยวลูกจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง”

            แล้วเราก็เริ่มเรียนรู้จากการตัดสินใจของเรา ในทุกๆ เรื่อง เรียนรู้ว่าตัดสินอย่างนี้ผิด พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง เราก็เก็บเกี่ยวผล แค่นั้นเอง เห็นไหมว่าการเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วพระเยซูทำให้ง่ายมากๆ แต่มนุษย์จะพยายามทำให้มันยุ่งยากเข้าไว้ เหมือนมันมีอะไรให้ทำ แต่ว่าพระเยซูบอก …

            “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะว่าฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอแค่มารับอย่างเดียว ก็โอเค จบแล้ว”

            ดังนั้น อาจารย์เปาโลก็กลัวว่าชาวกาลาเทียทั้งหลาย จะเริ่มต้นไม่ได้เชื่อในข่าวดี ที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้ตั้งแต่เริ่มต้นไปใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่  ทำให้ได้รับความรอด อันนี้น่ากลัว

        กาลาเทีย 4:12-15 “12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ขอให้เป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เป็นเหมือนท่าน ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าพเจ้า 13 ท่านก็ทราบอยู่ตอนแรก ที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า   เป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูกหรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลท้าวความให้ชาวกาลาเทียฟังว่าตอนที่ท่านมาประกาศข่าวดี ให้กับชาวกาลาเทีย ท่านไม่ได้มาแบบคนที่แข็งแรง มาแบบสง่างาม มาแบบห้าวหาญ  มาแบบด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าในนามพระเยซู หยุดๆ ไม่ใช่ ไม่มี แต่อาจารย์เปาโลมาในลักษณะที่ป่วยออดๆ แอดๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าถ้าเป็นไปได้ ท่านอาจจะควักตาให้กับข้าพเจ้า อาจารย์เปาโลอาจจะป่วยด้วยเรื่องสายตา อาจารย์เปาโลเคยตาบอด จำได้ใช่ไหม? ตอนเจอพระเยซูคริสต์ ตกม้า ท่านตาบอดไป 3 วัน ฉะนั้น ความป่วยไข้ตรงนี้อาจจะเกี่ยวกับเรื่องของตาด้วย แต่ว่าชาวกาลาเทียไม่ได้สนใจสิ่งภายนอกของอาจารย์เปาโลเลย แต่เขาสนใจข่าวดีที่อาจารย์เปาโลประกาศ  ซึ่งตัวอาจารย์เปาโลเองไม่ได้มีความสำคัญใดๆ เจ็บป่วย แต่ชาวกาลาเทียยังคงยืนยันความเชื่อของเขาด้วยถ้อยคำของพระเจ้าที่อาจารย์เปาโลประกาศเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  แล้วคนเหล่านี้ก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า ณ เวลานั้น วันแรกที่เราเจอกัน ได้พูดคุยเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ท่านทำอย่างนี้จริงๆ แทบจะคิดว่าฉันเป็นพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ใช่หรอก ท่านรับเอาข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ  ที่ทำให้ท่านได้กลับใจใหม่

            พอถึงข้อที่ 15 บอกว่า … “ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว” ก็คือจากข้อมูลที่ได้ยินได้ฟัง ข้อมูลข่าวประเสริฐที่มีการเจือปน บวกๆๆๆ  แล้วก็บวกว่าไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียวที่ได้รับความรอด ต้องกระทำด้วย ฉะนั้น ความชื่นชมยินดีมันหายไปหมดเลย เริ่มไม่เชื่ออาจารย์เปาโลแล้ว เริ่มพยายามทำด้วยกำลังของตัวเองแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกถ้าเราพยายามประพฤติด้วยกำลังของตัวเราเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด เราก็หล่นจากพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

            เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกเราทุกๆ คน ในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เวลาเราเดินกับพระเจ้า ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราเชื่อจริงๆ …

            “พระเยซูคริสต์ทำให้ฉันรอด ฉันรอดโดยพระคุณด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ทำดีด้วยตัวของฉันเอง”

            พอเชื่อพระเจ้าไปนานๆ เริ่มรู้สึก … “ฉันต้องทำอย่างนี้ ฉันต้องทำอย่างนั้น ฉันต้องๆๆๆๆ”

            มาแล้ว มาเป็นขบวนการ ซึ่งมันเป็นการหลอกล่อ หลอกลวงของโลกใบนี้ที่พยายามทำให้เราพึ่งพากำลังของตัวเอง แทนที่เราจะพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น คำว่า “ต้อง” ไม่มี การประพฤติของคริสเตียน คือเมื่อเราเชื่อแล้ว เราอยากจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกๆ คน อาจารย์เปาโลก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ในขณะเดียวกัน พวกเราทุกคน เหมือนกัน ในความเป็นห่วงของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้ท่านเชื่อ วางใจในพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  แล้วรับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วเท่านั้นเอง นี่คือข่าวดีที่มาถึงพวกเราทุกๆ คนในเช้าวันนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 10

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            1 เปโตร 2:9-10 … “9 แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู)  เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว)  เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ  (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ บารมี และพระคุณ) ของพระองค์  ผู้ใด้ทรงเรียกพวกท่าน (ย้ายพวกท่าน)  ให้ออกมาจากความมืด  เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10 เมื่อก่อน (ก่อนเชื่อ) ท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลาย หาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว”

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อท่านไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า แต่เป็นคนของโลก ท่านอยู่ในอาดัม

ตอนนี้ หลังเชื่อ ท่านได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซู

            แต่ก่อนนี้  ก่อนเชื่อท่านอยู่ในความพินาศ ในอาดัม ในความบาป เดี๋ยวนี้หลังเชื่อท่านได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์  ตอนที่ท่านยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  ท่านอยู่ในความพินาศ  เพราะไม่ยอมรับพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว  แต่ท่านไม่เอาเอง  แต่ตอนนี้ ท่านเชื่อแล้ว  ก็เท่ากับท่านยินยอมรับเอา  พระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า  เข้ามาแล้ว

                        เพราะฉะนั้น

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ