วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1501

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2024

เรื่อง “ข่าวดี … พระเยซูคริสต์ ของขวัญจากสวรรค์ แก่มนุษย์ทุกคน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อวันนี้ แน่นอน ก็ไม่หลุดจากคำว่าข่าวดี      “ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ ของขวัญจากสวรรค์ แก่มนุษย์ทุกคน” คริสต์มาสเป็นข่าวดีจากพระเจ้า สำหรับคนบางคน  ไม่ใช่ สำหรับคนที่เชื่อ ก็ยังไม่ใช่อีก  แต่สำหรับคนทุกคนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นข่าวดีสำหรับเขา เราจึงเรียกว่าเป็นข่าวดีของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ แน่นอน คนที่เชื่อและวางใจ ก็ได้รับประโยชน์จากข่าวดีนี้ คนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับประโยชน์  เรามาดูสิว่าข่าวดีนี้เริ่มประกาศเมื่อไร? มนุษย์จะได้รู้ เราจะได้รู้ด้วยว่าข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวง เริ่มต้นเมื่อไร? เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เริ่มต้นตอนไหน? ช่วงเวลาของวัน คือเริ่มต้นตอนกลางคืน คืนวันที่ข่าวดีนี้เริ่มต้น อยู่ที่หนังสือพระคัมภีร์ ชื่อลูกา 2:8-12 …

        ลูกา 2:8-12 “และในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่ง เฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขา ทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง ในวันนี้ที่เมืองของดาวิดองค์พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาบังเกิดเพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”

            นี่คือเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ที่พิสูจน์ได้จริง  เป็นประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถจับต้องมองเห็นได้ เป็นอย่างนี้  แต่อย่างที่บอก เราเรียนรู้จักจากพระคัมภีร์ หรือเรียนรู้จักพระเจ้า ต้องเรียนรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ภายใต้ประวัติศาสตร์ ภายใต้หนังสือที่เราอ่าน ที่เราเข้าใจ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เบื้องหลัง คือเรื่องโลกวิญญาณ ที่สำคัญมากว่ามันหมายถึงอะไร? พระกุมารคือใคร? หญิงสาวพรหมจารีคือใคร?  และเป็นอะไร? อย่างไร? มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทูตสวรรค์มาบอกกับมนุษย์ ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี เป็นครั้งแรกเลย ที่ประกาศบนโลกใบนี้ เป็นคำพูดที่สามารถจดได้ บันทึกได้ มีหลักฐานจริง ก็คือมีทูตสวรรค์มาปรากฏและประกาศข่าวดี เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง ไม่ใช่คนที่เชื่อ แต่คนทั้งปวง

            รายละเอียดของข่าวดีนี้ ที่บันทึกไว้คืออะไร? คือพระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เรื่องข่าวดีเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ตรงนี้สำคัญมาก บันทึกไว้อย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ แต่จะรู้ความจริงได้ ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เห็นไหม? ชัดเจนเลยไหม?

            นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระกุมาร หมายถึงเด็กน้อย เด็กที่เราเห็น เป็นเด็กทารก พูดง่ายๆ ข่าวดีนี้ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อคนทั้งปวง พูดง่ายๆ ก็คือวันเกิดพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีของมวลมนุษย์นั่นเอง  เพราะว่าวันเกิดของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเห็นด้วยตามนุษย์ ประวัติศาสตร์สามารถบันทึกได้ว่ามีเด็กคนนี้จริงๆ ชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์หนึ่งคนจริงๆ แต่ทางโลกฝ่ายวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังนั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ละเอียดกว่านั้น ก็คือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าที่มนุษย์ตั้งกัน เรียกกันทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่าเป็นของปลอมทั้งสิ้น เพราะบันทึกไว้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าผู้นี้ มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์ ที่เราสามารถบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ได้ สามารถเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า พระเจ้าพระบุตร หรือพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ และพระองค์มาเกิด เพื่อมนุษย์ทั้งปวง สามารถเรียนรู้ต่อไปว่าต้องเรียนรู้อย่างไร?

            นี่ 2,000 ปี คืนวันนั้น พระเยซู พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในรางหญ้า 30 ปีผ่านมา ใน 30 ปีนั้น พระองค์ก็เป็นมนุษย์เหมือนเราอย่างนี้ เดิน กิน ทำงาน อ่านหนังสือ เรียนรู้จักการดำเนินชีวิตแบบมนุษย์เหมือนเรา ตั้งแต่เด็ก ค่อยๆ คลาน ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ วิ่ง อะไรต่างๆ ค่อยๆ เรียนหนังสือ รู้จักคนนี้เป็นแม่ คนนี้เป็นพ่อ ก็เป็นมนุษย์ เหมือนเรา 30 ปีต่อมา พระองค์เริ่มต้นการงานของพระองค์ คือเป้าหมายของพระองค์ ถูกส่งมาโดยพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ก็คือพระเจ้า เจ้าของสวรรค์นั่นเองว่าพระองค์มาทำภารกิจอะไร ที่มาเกิดในโลกนี้ พระองค์พูดเองเลย 30 ปีเป็นคนเหมือนกับพวกเราอย่างนี้ พอปีที่ 31 ปุ๊บ เริ่มต้นปฏิบัติการเป็นพระเจ้า เขาเรียกสำแดงออกมาในร่างกายของมนุษย์

            30 ปีก่อนหน้านั้น เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างนี้ ไม่มีอะไรเลย แต่พอเริ่มต้นปีที่ 31 ปุ๊บ เริ่มต้นแสดงอาการลักษณะของการเป็นพระเจ้า มาปรากฎแล้ว และเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ซึ่งคำประกาศนี้ ใครๆ ก็ได้ยินมาตลอด 2,000 ปี เป็นหัวข้อ เป็นคำประกาศที่ดังลั่น พูดง่ายๆ เหมือนรถขายกับข้าว ผ่านเข้ามาในซอย แล้วประกาศว่า …

            “มาแล้วๆๆๆๆ”

            อะไรมา ใครจะซื้อกับข้าว ก็ไป ได้ยิน เช่นเดียวกัน พระเยซูประกาศถ้อยคำนี้ ที่เรากำลังจะอ่านต่อไปนี้ เป็นครั้งแรก ให้โลกได้ยินว่าสิ่งที่โลกรอคอยอยู่ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งเป็นหลายพันปี บัดนี้ มาแล้วจริงๆ ยอห์น 3:16 ซึ่งใครๆ ก็ได้ยิน ได้ฟังก่อนที่จะมาเชื่อ และคุ้นหูตอนที่เชื่อแล้ว …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่คือข่าวดี  ข่าวดี ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตร ก็คือตัวพระองค์เอง พระเยซูคริสต์ องค์เดียวเท่านั้น คือพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้นสรรพสิ่งทั้งปวงในฐานะบุตรผู้เดียว พระเจ้ายอมเสียสละให้บุตรผู้นี้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ วางใจในข่าวดีนี้ จะไม่พินาศ  คือตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระองค์ กลับมามีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า

            ทำไมพระองค์ต้องมาเกิด? เพราะอะไร? ข้อ 17 บอกเลยว่าพระองค์มาบังเกิดเพราะอะไร? ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น ก็หมายถึงว่ามนุษย์ กำลังถูกลงโทษอยู่ ได้รับโทษอยู่ แล้วจะรอดจากโทษนั้นได้อย่างไร? ก็โดยการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์

            ข้อ 18 บอกว่าคนที่พึ่งพา วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ก็จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ คือตายนิรันดร์ อยู่ในนรก ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้วในความตาย ในความบาป เหมือนเดิม ก็คือเป็นอยู่แล้ว

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในการเป็นนักโทษ ไปสู่ความตาย ถึงตายนิรันดร์อยู่แล้ว ถ้าไม่มีใครมาช่วย ก็อยู่ในความตายและตายนิรันดร์  และเขาจะอยู่ในที่นั่น ที่เดิม แม้ว่าข่าวดีจะมาถึงแล้วก็ตาม พระเยซูจะมาถึงแล้วก็ตาม เพราะว่าเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เขาไม่เชื่อในข่าวดีนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดี ก็จะได้รับความรอด ใครที่ไม่เชื่อในข่าวดี ก็ตกอยู่ในการถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วเหมือนเดิม และเมื่อจากร่างนี้ไปสู่โลกวิญญาณภายหลังความตาย ก็อยู่ในความพินาศ ในนรกเหมือนเดิม

            เพราะฉะนั้น เขาจึงจะเห็นว่าข่าวดีนี้ คืออะไร? ข่าวดีมากคืออะไร? คือแค่เชื่อและวางใจเท่านั้น ไม่มีเขียนอะไรเลยมากกว่านั้น พระองค์พูดเองเลยว่าเราจะได้รับความรอดจากความบาป จากนรก จากความพินาศหลังความตายได้ด้วยวิธีการ คือวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ฟูลสต๊อบ จบไม่ต้องเติมอะไรลงไปอีกเลย  เพราะพระองค์บอกแค่นั้นเองจริงๆ ว่าเงื่อนไข คือให้วางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ

            ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์เห็นชัดเลย ก็คือโจรบนไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อภารกิจนี้ และโจรบนไม้กางเขน บอกพระเยซูว่าเชื่อในพระองค์ พระเยซูบอกไปเจอกันที่สวรรค์ วางใจในพระบุตรที่อยู่ที่ไม้กางเขน วางใจในพระเยซูคริสต์ตรงนี้เป๊ะเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย อีกสักครู่หนึ่ง อีกสักชั่วโมง 2 ชั่วโมงก็ตายแล้ว ก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วสิ่งที่เขาทำมา เขาเป็นโจร เขาฆ่าคนตายมา เขาทำชั่วทำบาปเยอะแยะต่างๆ นั้น ทำไมล่ะ เขาถูกยกโทษ ก็เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนบอกว่าทุกคนที่วางใจและทำบาปน้อยกว่าทำดี ทำดีได้มากกว่า  และทำบาปไม่เยอะ ไม่รุนแรงมากจะได้ความรอด ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนที่วางใจในพระบุตรเท่านั้น นี่เขาวางใจในพระบุตร เขาได้รับความรอดทันที

            เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อ เลยบอกว่า … “โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ทำไมงมงายกันอย่างนี้ หัวเราะหน่อยได้ไหม? งมงายจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? อย่างนี้ก็สบายสิ ก็ไม่ต้องทำดีเลย วันทั้งวันก็ทำแต่ชั่วๆ เสร็จแล้วก็รอวันตาย แล้วค่อยเชื่อพระเยซู งมงายจริงๆ พวกนี้”

            นี่โลกพูดอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อ ลองฟังดูนะ 1 โครินธ์ 1:18 ดูสิ 2,000 ปีก่อน เขาคิดอย่างนี้ไหม? มันเป็นอย่างนี้ไหมในสังคมโลก คนที่ไม่รู้จักข่าวประเสริฐ  ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้  เขาพูดกันอย่างนี้ไหม? เหมือนกับในปัจจุบันไหม? …

        1 โครินธ์ 1:18 “เพราะว่าข่าวดีเรื่องกางเขนเป็นความโง่เขลา สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ที่กำลังพินาศ แต่สำหรับเราที่เชื่อ ที่กำลังได้รับการช่วยให้รอดนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า”

            เอเมนไหม? เอเมน 2 อันนะ  เราผู้เชื่อเราเอเมนว่าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ช่วยเราให้รอด เป็นอัศจรรย์ แต่คนไม่เชื่อก็เอเมนเหมือนกัน เอเมนว่าข่าวดีเรื่องกางเขน เป็นความโง่เขลา  สำหรับคนที่ไม่เชื่อ สำหรับพวกเธอที่นั่งอยู่ที่นี่  ทำไมโง่งมงาย เชื่ออะไร โอ๊ย! คนเราต้องพึ่งพาตนเองสิ ตัวเองทำไม่ดี แล้วจะได้ดีได้อย่างไร?

            นี่คือสิ่งที่เขาพูดกัน แล้วมันก็ใช่จริงๆ ใช่ในลักษณะสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้ มันเห็นจริงๆ ขับรถฝ่าไฟแดงก็ถูกตำรวจจับสิ แล้วจะมาไถ่บาปได้อย่างไร? ฆ่าคนตายก็ต้องติดคุกสิ แล้วพระเยซูจะไปช่วยได้อย่างไร? มันคนละเรื่องกัน นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ข่าวดีเรื่องกางเขน มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่อย่างนั้น บนกางเขนจะมีข่าวดีได้อย่างไร?  คนชั่ว คนบาปถูกลงโทษ ตายบนไม้กางเขน  ข่าวดีมากเลย พวกนี้มันตายไปดีแล้ว เพราะได้ทำชั่ว อย่างนั้นหรือ? มนุษย์เขาคิดอย่างนี้ มันไม่มีข่าวดีบนนั้นหรอก มันมีแต่ข่าวเศร้า ข่าวโหดร้ายทั้งนั้น

            แต่พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ตายบนไม้กางเขน แล้วเป็นข่าวดี สำหรับผู้ที่เชื่อ ข่าวดีเรื่องกางเขน ฟังดูแล้ว สำหรับคนไม่เชื่อ เป็นเรื่องไร้สาระ อย่าไปสนใจเลย  แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีของวันคริสต์มาส วันที่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น เรารู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ในวันคริสต์มาสแรกของโลก เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะนำคนที่เชื่อไปสู่ความรอดจากบึงไฟนรกนิรันดร์ หลังความตาย เพราะฉะนั้น ในโรม 1:16-17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 1:16-17 “16  ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวดี เพราะข่าวดี คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย 17 เพราะในข่าวดีนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”

            เพราะฉะนั้น พอเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว เราเชื่อแล้ว เราจึงไม่อายในเรื่องข่าวดีนี้เลย ใครบอกเราเป็นคริสเตียน เชื่อในเรื่องงมงาย  เรื่องข่าวดีนี้ ไม่ต้องทำดี ได้ไปสวรรค์เลยนะ ไม่ต้องระมัดระวังตัวอะไรเลย แล้วก็หัวเราะ อิอิ เราภูมิใจในการเป็นคริสเตียนของเรา เอเมนไหม? เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์อำนาจ เราอยากจะบอกเขา เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์อำนาจ เป็นปาฏิหาริย์  ปาฏิหาริย์ แปลว่ามนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าปาฏิหาริย์ไง

            แค่เชื่อและรับของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์นี้เท่านั้น  เหตุที่เกิดขึ้น ก็คือพระเยซูมาช่วยเรา ทำงานแทนเรา ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว  แค่เชื่อในพระองค์ ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้น คือจากการที่เราเป็นคนบาป ต้องโทษ เป็นนักโทษ ที่ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว เราสามารถที่จะบังเกิดใหม่  เป็นคนชอบธรรมทันที

            ข้อความเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงตรงนี้ว่าถ้าเรารับของขวัญ เชื่อและวางใจในของขวัญนี้ คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้นี้ เราที่จากเป็นคนบาป ต้องโทษ เป็นนักโทษ ได้บังเกิดใหม่เป็นคนชอบธรรมทันที เขาเรียกว่าพ้นโทษ  เรียกว่าผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ปราศจากมลทินใดๆ ทั้งปวง ปราศจากการถูกลงโทษอะไรทั้งปวง เป็นอิสระ เพราะว่าข่าวดีเป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผลของมนุษย์ จะเข้าใจได้อย่างไร? จะพยายามหาประวัติศาสตร์มายืนยันในเหตุการณ์เหล่านี้หรือ? เถียงกันให้ตาย พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ หรือ? ไปหาหลุมฝังศพว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ไม่ใช่วิธีนั้น ยังไงก็สู้เขาไม่ได้หรอก สู้เขาได้อย่างไร? เขาเรียกว่าเอาระบบที่จำกัดของมนุษย์ตามสายตามองเห็นได้  ตามประวัติศาสตร์มนุษย์ มาเทียมหรือมาพิสูจน์ แย้งกับความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ มันคนละเรื่องเลย เหมือนฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย  พระคัมภีร์ก็บอกว่าไม่มีทางเข้าใจ ต้องเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น

            ยกตัวอย่างเช่นพระเยซูตายแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เป็นไปได้อย่างไร? ไหนพิสูจน์สิ พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ไหนล่ะ เห็นที่ไหน? หรือใครเชื่อวางใจในพระเยซู เขาจะได้บังเกิดใหม่ นี่ยิ่งแย่ใหญ่เลย ไหนเธอเกิดใหม่แล้วหรือ? ฉันเห็นเธอเหมือนเดิมเลย เกิดใหม่ได้อย่างไร? เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ข่าวดีถูกประกาศใหม่ๆ ที่พระเยซูประกาศ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็อย่างนี้แหละ  มีคนๆ หนึ่งชื่อนิโคเดมัส เป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องศาสนายิว สงสัยพระเยซู ประกาศเรื่องนี้ วางใจในพระองค์เท่านั้น  แล้วจะได้บังเกิดใหม่ มีทางเดียวเท่านั้น คือมาทางนี้ และได้บังเกิดใหม่ จะได้ไปสู่สวรรค์ของพระบิดา นอกจากทางนี้ หนุนใจมาก แต่เขาไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจ เขาก็แอบย่องไปหาพระเยซู

            ก็ถาม … “แล้วมันเกิดใหม่ได้อย่างไร? เราต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งหรือ? แล้วคลอดออกมา”

            นี่คือปัญหาของมนุษย์ แต่เราที่เชื่อ เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่เราเข้าใจนะ แต่ในวิญญาณเรามั่นใจว่ามันใช่ เอเมนไหม?  ว่ามันใช่ มันเกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ แต่ความรู้สึก จับต้องมองเห็นได้ ประวัติศาสตร์ เราไม่เข้าใจหรอก จะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ อะไรทำนองนั้น

            เพราะว่าตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เสมอ ตลอดเวลาว่ามันเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ใครจะมาแสวงหาพระเจ้า ใครจะมาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ และพระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงที่มองเห็นทั้งหมดเลย ตั้งแต่ดวงดาว ดวงจันทร์ หรือใครบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ พลังงานต่างๆ บนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างเพียงผู้เดียวเท่านั้น  และยังบันทึกไว้ว่าสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ ว่ามันเกิดขึ้นจากพระเจ้าที่มองไม่เห็น ผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้เท่านั้น

            พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่าเป็นข่าวดีของพระเยซูที่ความรอดนิรันดร์นี้  ความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์นี้ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ และสำคัญมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นอีกด้วยซ้ำ หลายสิ่งเรามองไม่เห็น แต่เราเชื่อเลย เพราะว่าสติปัญญาอันน้อยนิดของเรา ค้นคว้าจริงๆ ยกตัวอย่างอย่างเช่น กฎของโลก พลังงานอะไรต่างๆ ที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง หรือแม้แต่ออกซิเจน ไฮโตเจนที่อยู่ในอากาศ เรามองไม่เห็น แม้แต่ฝุ่น เรามองไม่เห็น แต่ยุคเทคโนโลยีหาจนเจอว่ามันมีฝุ่น  ที่เรามองไม่เห็น มีฝุ่นอยู่ หรือแม้แต่ดวงดาวต่างๆ เต็มฟ้าไปหมดเลย เราเห็นไม่กี่ดวง เราก็บอกมีแค่นี้ แต่จริงๆ เลย ไปมีอีกตั้งเยอะแยะ เราค่อยๆ สร้างเทคโนโลยี ความสามารถแบบตามองเห็นได้เยอะขึ้น มากขึ้น แล้วเราก็บอกมีอยู่จริงๆ แล้วเราก็ไปบอกคนที่สร้างทั้งหมด ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็นว่าพวกโง่เขลา ไปเชื่อได้อย่างไรพระเจ้า

            เพราะสิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณนั้นอยู่นิรันดร์ พระเจ้าบอก มันอยู่นิรันดร์ ที่มองไม่เห็น แต่โลกวัตถุต่างๆ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ และยังหาไม่เจอ แต่เป็นโลกวัตถุนั้น  วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไปเจอได้ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ที่มองไม่เห็นอีกเยอะแยะมากมาย พระคัมภีร์บอกว่ามันอยู่แค่ชั่วคราวเอง มันอยู่แค่แป๊บเดียวเอง แต่วิญญาณที่เป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรานั้น มันอยู่นิรันดร์ จะอยู่ในบึงไฟนรก พินาศนิรันดร์ หรืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ มันเป็นความจริง ไม่มีอยู่ตรงกลาง ไม่มีสวรรค์ตรงโน้นตรงนี้อีกแล้ว มีอยู่แค่นี้ พอจากร่างนี้ไป ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก เห็นโลกวิญญาณ มีความจริงอยู่หนึ่งเดียว คือสวรรค์ของพระบิดา ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลายนั่นเอง เอเมน

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มวลมนุษย์ ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ หลายพันปีมาแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านก็อาจจะถาม หรือเราก็อยากจะรู้ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ คนในอดีต 2,000 ปีที่แล้ว ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพระมาซีฮาห์ผู้นี้  ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทำปาฏิหาริย์มาเลย พ้นจากบาปเลยไม่ได้หรือ? ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เราก็ต้องตอบว่า “ไม่รู้” แต่พระองค์บอกไว้ในพระคัมภีร์อย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พระองค์จึงยอม แล้วทำไมไม่ลงมาแบบปาฏิหาริย์ล่ะ ไม่รู้ เท่าที่รู้ ก็คือกาลาเทีย 4:4-5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 4:4-5 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร (รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์”

            เป้าหมายที่พระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายแบบมนุษย์ ก็เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ เพื่อแบกรับบาปของมวลมนุษย์ และตายเพื่อมวลมนุษย์ได้ นี่เรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ พระเจ้าต้องการให้พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นแม่พิมพ์ เป็นต้นแบบของมวลมนุษย์พันธุ์ใหม่ เพื่อว่ามนุษย์ก็สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย อันนี้ต้องค่อยๆ เข้าใจแล้วนะ เพราะไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะบอกเป็นไปได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ เป็นอัศจรรย์ทั้งสิ้น มนุษย์สามารถเป็นอย่างพระเยซูคริสต์ได้ มนุษย์สามารถตายจากการเป็นคนบาป  เราเกิดมาเป็นคนบาป มนุษย์สามารถตายจากบาป  และเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ได้ พระเยซูบริสุทธิ์อย่างไร? มนุษย์ก็จะบริสุทธิ์อย่างนั้น พระองค์เป็นแม่พิมพ์ มนุษย์จึงสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ได้ นี่คือเป้าหมายของการที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป้าหมายของวันคริสต์มาส เป้าหมายของข่าวดีนี้

            นี่คือจุดประสงค์ของข่าวดีที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระบุตร องค์เดียวของพระองค์ เพื่อมาเป็นพระมาซิฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซิฮาห์ ก็คือพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระบุตรเอาไว้ เพื่อมาทำการนี้ ตั้งแต่ในอดีตหลายพันปีก่อน ที่ถึงกำหนดเวลามาจริงๆ นั่นเอง เพื่อความรอดมีแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง เน้นคำว่า “ทั้งปวง” ตลอดเลย เพราะหลายคนคิดว่ามาเพื่อคนที่เชื่อ คนที่พระเจ้าเลือกสรร ให้เป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่ พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  แต่เลือกแล้ว เขาไม่เอาเอง  พระเจ้าก็เสียใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร?

            ฮีบรู 2:14-17  ได้บันทึกถึงความหมายของคำว่า “เนื้อหนัง” “ร่างกายแบบมนุษย์” ที่พระเยซูมาเกิดเหมือนกับเราทั้งหลาย ทำไมต้องมาเกิดเหมือนกับเรา …

        ฮีบรู 2:14-17 “เหตุฉะนั้น ครั้นบุตรทั้งหลายมีส่วนในเนื้อและเลือดอยู่แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงรับเนื้อและเลือดเหมือนกัน เพื่อโดยความตาย พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้น ที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามาร และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้น ให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เพราะเหตุกลัวความตาย ความจริงพระองค์มิได้ทรงรับสภาพของทูตสวรรค์ แต่ทรงรับสภาพของเชื้อสายของอับราฮัม เหตุฉะนั้น พระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยพระเมตตา และความสัตย์ซื่อในการทุกอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปทั้งหลายของประชาชน”

            เหตุฉะนั้น ครั้นเมื่อบุตรทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย ก็คือพวกเรา ก็คือมนุษย์ทุกคน มีร่างกาย มีเลือดและเนื้อ ก็คือร่างกายภายนอกอย่างนี้ พระองค์ก็ได้ทรงได้รับเลือดและเนื้อเหมือนกัน คือยอมมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ แบบเราอย่างนี้ เขาเรียกมีเนื้อและมีเลือด เพื่อจะได้ตายได้  ถ้าเป็นวิญญาณตายไม่ได้ คำว่าตาย หมายถึงร่างกายหยุดทำงาน  มันหมายถึงอย่างนั้น  เพื่อโดยความตาย พระองค์จะได้ทำลายผู้นั้น ที่มีอำนาจเหนือความตาย คือพญามาร  ทรงช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เหตุจากกลัวความตาย ก็คือความบาป ทำให้เกิดความกลัว

            พูดง่ายๆ เหตุจากความบาปที่อยู่ที่วิญญาณภายใน ไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก  การกระทำข้างนอก เป็นเพียงแค่อาการของความบาป แต่หัวใจ ก็คือวิญญาณข้างใน เป็นคนบาป การแก้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือความบาปนั้น พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นมหาปุโรหิต คือหัวหน้าปุโรหิต

            ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา บริสุทธิ์ สะอาด มีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้ากับพระเจ้าได้ ไปหาพระเจ้าได้ตลอดเวลา พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มหาปุโรหิต แปลว่าหัวหน้า เหล่า คณะ หรือครอบครัว  หรือประชากรที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เป็นหัวหน้าของผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  พอนึกออกแล้วใช่ไหม?  เป็นมหาปุโรหิต แปลว่าเป็นหัวหน้าของผู้ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ก็คือหัวหน้าของมวลมนุษย์  พระองค์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  เราเป็นเหมือนหัวหน้า หัวหน้าบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เราก็เป็นเหมือนพระองค์ หมายถึงอย่างนั้น ็นป

            เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมา เพื่อจะเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์  เป็นต้นแบบของสายพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ คือเป็นมนุษย์ที่เป็นวิญญาณ

และใจใหม่ นี่พูดถึงเราล้วนๆ นะ เราผู้เชื่อ มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ คือเป็นมนุษย์ที่เป็นวิญญาณและใจบังเกิดใหม่ และมีร่างกาย ได้รับการชำระ ให้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ไร้มลทิน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ตลอดเวลา เขาสนิทกับพระเจ้า เป็นผู้ปรนนิบัติพระเจา เรียกว่าปุโรหิต ซึ่งในโลกนี้ ภาษาไทยแปลปุโรหิตคำนี้ว่า “พระ”  พระ คือปุโรหิต  มีหน้าที่เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ที่เป็นคนบาป จะไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า พระคัมภีร์

            เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงเป็นมหาปุโรหิต เป็นหัวหน้าปุโรหิต เริ่มต้นของมวลมนุษยชาติ  มนุษย์พันธุ์ใหม่ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายบนกางเขน เพื่อมวลมนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์และได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ด้วย จึงยอมตาย  เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายกับพระองค์ด้วย  มัทธิว 16:24-25 พระเยซูประกาศไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 16:24-25 “แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเรา ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา เพราะผู้ใด ต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะได้ชีวิต”

            ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง ก็คือให้ผู้นั้น ไม่พึ่งพาในตนเองอีกต่อไป  ไม่พึ่งพาในการที่จะรับผิดชอบกับความบาปของตนเองอีกต่อไป มันหมายถึงตรงนั้น  แต่ให้เขามั่นใจ พึ่งในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะมั่นใจ พึ่งพาในตนเอง คือผู้ใดที่ต้องการเอาชีวิตรอด ก็คือผู้ใดที่มีความมั่นใจ  พึ่งพาในตนเองว่าฉันจะเอาความรอดจากบาป ด้วยการกระทำดีด้วยตนเอง ผู้นั้นจะเสียชีวิต ผู้นั้นจะช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา แต่ผู้ใดไม่ทำด้วยตนเองแล้ว มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้เกิดใหม่ ได้มีชีวิตนิรันดร์ หมายความว่าอย่างนั้น ใครก็ตามที่ได้ยินคำประกาศของพระเยซูว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม กฎประเพณี กฎของความเชื่อต่างๆ ให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎต่างๆ ที่เชื่อเหล่านั้น จนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้าได้ โดยการกระทำของตนเอง ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเยซูประกาศเอง

            พระเยซูบอกว่านอกจากเขาจะเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้  พระองค์เลยบอกก็ให้ผู้นั้น  คนที่พึ่งพาตนเอง  ยังไงก็ทำไม่ได้  ก็ให้ผู้นั้นเลิกความตั้งใจที่จะพึ่งพาตนเอง อย่างนั้นเสีย แล้วให้แบกเอากางเขน ความบาปของตน แล้วตามพระองค์ไป  ไปไหน? ไปที่โกละโกธา  ไปตายด้วยกัน  ร่วมกับพระองค์บนไม้กางเขน

            นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณล้วนๆ เลย แบกความบาปของตนเองไป  ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  เพื่อว่าตัวเก่าที่เป็นคนบาป  เป็นวิญญาณบาปภายในนั้น จะได้ตายไป เพื่อบังเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์ที่มาจากพระองค์ ชีวิตใหม่ที่เป็นของพระองค์ โดยการเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระองค์ พร้อมกับพระองค์ ในยอห์น 3:3 พระเยซูประกาศความจริงว่า …

        ยอห์น 3:3 “พระเยซูประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

            เราก็สามารถเติมได้เลยว่า “ไม่มีใครสามารถบังเกิดใหม่ด้วยตนเอง เป็นไปได้หรือ?  เห็นไหม? มันต้องอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น แล้วมนุษย์จะต้องทำอย่างไร? จึงจะได้บังเกิดใหม่นั้น  เราก็คิด พระคัมภีร์ก็บอกว่าเราจะบังเกิดใหม่ได้ เป็นการอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ของข่าวดีเท่านั้น  ก็เพียงแค่วางใจและเชื่อ เชื่อในคำประกาศของพระคริสต์ เพียงเท่านั้น ทุกคน ใครก็ตามสามารถรับการบังเกิดใหม่ได้แล้ว ส่วนขบวนการการบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  เป็นการกระทำอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เป็นอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น เข้าสวรรค์ได้ ด้วยความเชื่อและวางใจเท่านั้น อย่างเดียว

            มาดูคร่าวๆ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เราบังเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นตัวแทนเราอย่างไร? พอจะเห็นภาพได้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  วางใจในพระเยซู ต้อนรับข่าวดีนี้ โรม 6:3-5 …

        โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            เห็นการเป็นตัวแทนไหม? นี่แหละคำว่าเป็นตัวแทน ถ้าไม่เข้าใจ พยายามไปอ่านข้อความนี้หลายๆ เที่ยว อ่านในลักษณะในความเข้าใจทางฝ่ายโลกวิญญาณ คริสเตียนควรรู้เรื่องนี้อย่างมาก  เพราะเป็นขบวนการ การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเรา เราเกิดใหม่จริงๆ โดยพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ถ้ายังไม่ชัด ถ้ากษัตริย์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นตัวแทนของประเทศนั้น  ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสงครามว่าสงครามนี้เขาชนะ  ประเทศเราชนะ เราแม้จะอยู่ที่ตำบลโน้น สุดขอบของประเทศเลย จังหวัดติดขอบประเทศเลย  เราก็เป็นคนที่ชนะด้วย ตอนที่ประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี หรือกษัตริย์ประกาศที่พระราชวัง หรือที่ไหน?  ที่กรุงเทพ? หรือที่เมืองหลวง  บอกว่าบัดนี้ ประเทศเราได้ชนะแล้ว เราอยู่จังหวัดเหนือสุด ใต้สุด เราก็ชนะไปด้วย  เพราะว่าเป็นตัวแทน เราไม่ได้ไปรบกับเขาเลย เราไม่ได้ไปทำอะไรกับเขาเลย  เราทำเพียงอย่างเดียว คือ เมื่อคำประกาศมาถึง เราเชื่อในคำประกาศนั้น  เราวางใจในคนที่พูด กษัตริย์ของเรา นั่นใช่ประธานาธิบดีจริงๆ ของเรา เป็นตัวแทนรัฐบาลจริงๆ อย่างนั้นแหละ ลักษณะเดียวกัน

            เราทั้งปวงที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียนทั้งหลาย  ก็ควรจะรับรู้ความจริงในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งมันเกินความคิด ความเข้าใจ และสติปัญญาของมนุษย์  เพราะฉะนั้น ข่าวดีวันคริสต์มาส จึงเป็นการอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์สำหรับทุกคนที่เชื่อ ตรงนี้จึงจะแยกออกมาแล้ว ไม่ใช่ทุกคนแล้ว  ทุกคนที่เชื่อ อัศจรรย์จึงจะเกิดขึ้น ทั้งที่มันเป็นข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคนจริง  แต่มันจะเกิดเป็นผล เป็นขบวนการ ฤทธิ์เดชอำนาจขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นเชื่อในข่าวดี พระเจ้าจึงบอกว่าให้ลองมาเชื่อในข่าวดีนี้ดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าดี สดุดี 34:8 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดๆ …

        สดุดี 34:8 “โอ ขอเชิญชิมดู แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าดี  คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”

            เปลี่ยนนิดหนึ่งดีกว่า สมมติว่าเราเรียนมาถึงตรงนี้แล้ว ได้รู้ความจริงตรงนี้แล้ว น่าจะพูดอย่างไร? พูดดังๆ สิ …

            “โอ้โห! ขอเชิญชิมดู แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าดี คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”

            ลองฝึกไว้พูดกับคนข้างๆ สิ … “โอ้โห! ลองชิมดูสิ” ตะกี้ โอ้โห แบบอ่าน  ลองโอ้โห แบบธรรมชาติสิ …

            “โอ้โห! เธอลองชิมดูสิ เธอลองดูได้ ลองวางใจในข่าวดีนี้ ลองเชื่อในข่าวดีนี้ดู ลองวางใจในพระเยซูคริสต์ดูว่าจริงหรือเปล่า แล้วเธอจะรู้ว่าเธอก็จะถูกเรียกว่าผู้โง่งมงายในอนาคตอันใกล้”

            พระเจ้าเชิญชวนให้มนุษย์ทุกคนได้สัมผัส ประสบการณ์ความดีงามของพระองค์ในชีวิตของเขา พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ความรักและความเมตตา พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคน ได้รู้จักพระองค์ ใกล้ชิดพระองค์ ข่าวดีวันคริสต์มาสเป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ สำหรับทุกคนที่เชื่อ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าเป็นข่าวดี สำหรับคนที่เชื่อ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เป็นข่าวไร้สาระ  เพราะฉะนั้น ข่าวดีของคนที่เชื่อ คือยอห์น 3:16 ย้ำอีกทีหนึ่ง …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีสภาวะ พระลักษณะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในเขา เอเมน ทุกคนที่พึ่งพา วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์จะได้รับอิสระ อิสระจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง ตลอดไป ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตนอีกต่อไป มีหนี้บาป เวรกรรมจริงๆ แต่พระเยซูชดใช้ให้หมดแล้ว  เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของตนเองอีกต่อไป ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตนิรันดร์อีกต่อไป และจะไม่พินาศ คือตายนิรันดร์อยู่ในความบาป ในบึงไฟนรก หลังความตายนิรันดร์เช่นเดียวกัน  คนที่เชื่อ คนที่เป็นคริสเตียน วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนนิรันดร์

            ลองมาชิมดูข่าวดีนี้  พระเยซูประกาศ พระเจ้าต้องการ  ชิมดูโดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ เลย แค่วางใจเท่านั้นเอง ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการลองชิมพระเจ้า ผู้แสนดีนี้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ เลย ในการลองชิมข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร? ชนชาติใด? ภาษาอะไร? ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อจะเป็นอย่างไร? ท่านสามารถลองชิมพระเจ้า พระเยซูคริสต์นี้ได้ ท่านสามารถพิสูจน์ ด้วยวิญญาณของท่านได้ด้วยตนเอง ไม่มีข้อห้ามใดๆ  ไม่ต้องเลิกเชื่อ ไม่ต้องเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ท่านเคยทำมา ไม่ต้องย้ายจากประเทศนี้ ไปประเทศโน้น ไม่ต้องย้ายจากนี่ไปโน่น ไม่ต้องย้ายจากประเพณีที่เคยทำ แล้วบอกว่าทำไม่ได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการวางใจและลองชิมข่าวดีนี้ดูว่ามันจริงหรือไม่? ต้องการความจริงใจ และถ้าท่านลองชิมเมื่อไร? ท่านก็จะรู้ว่าพระเจ้าดี ท่านจะมีประสบการณ์ และการอัศจรรย์เกิดขึ้นทันทีแน่นอน 100% ไม่ต้องรอคนอื่นมาวางมือ ไม่ต้องรอคนอื่นมาอธิษฐานให้ ท่านสามารถวางใจด้วยตัวท่านเองนั่นแหละ ทุกที่ที่ไหนก็ตาม ท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย  เพราะว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ท่านจะมีประสบการณ์และการอัศจรรย์ในวิญญาณของท่าน เพราะว่าในวิญญาณของท่านจะรับรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ

            ข่าวดีวันคริสต์มาส เป็นข่าวดีจริงๆ  เพราะเวลาท่านพิสูจน์ ท่านวางใจในพระเยซู สิ่งที่พิสูจน์ชัด ก็คือพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ พระเจ้าจะเข้ามาเดินอยู่กับท่าน เผชิญอุปสรรคปัญหา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างที่จับต้องมองเห็นได้กับท่านจริงๆ ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  ท่านจะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับท่าน ท่านไม่โดดเดี่ยวคนเดียวอีกต่อไป ท่านไม่ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพังทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แต่พระองค์ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา และอยู่ด้วยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ทันที หลังจากที่ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ และจะอยู่กับท่านอย่างนี้ ไปจนกระทั่งถึงหลังความตาย จนถึงนิรันดร์ เรียกว่าสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าท่านจะอยู่สวรรค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ และอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ข่าวดีวันคริสต์มาส ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าจริง พระเจ้านั้นดี และดีจริงๆ  พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 6

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ  :  มีธรรมชาติเป็น … ศัตรูที่ต่อต้าน  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

            หลังเชื่อ  :  มีธรรมชาติเป็น … ลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า

            โรม 6:11-14 … “11 ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า  เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ 12 ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป มาเป็นเจ้า ครอบครอง ร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่าน ต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน 13 ท่านไม่ควรยอมให้บาป มาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับ เป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้น ขอให้ท่าน ยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่าน ให้เป็นเครื่องมือ  ในการทำความดี   (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า) 14 เพราะบาป ไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  (ไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ”

            ก่อนเชื่อ  :  มีธรรมชาติ เป็นศัตรูที่ต่อต้าน  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

            หลังเชื่อ  :  มีธรรมชาติ ที่เป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว

            ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป มาเป็นเจ้า ครอบครอง ร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่าน ต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน

            ท่านไม่ควรยอมให้บาป มาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับ เป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว

            ดังนั้น ขอให้ท่าน ยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่าน ให้เป็นเครื่องมือ  ในการทำความดี  (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)

            พระเจ้าอวยพรครับ