คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 10
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 3:23 บอกว่า …
กาลาเทีย 3:23-27 “23 ก่อนที่ความเชื่อนี้จะมีมา เราตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ ถูกกักขังไว้จนกว่าความเชื่อจะถูกเปิดเผย 24 ดังนั้น บทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ ให้นำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25 บัดนี้ ความเชื่อนั้นมาถึงแล้ว เราจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติอีกต่อไป 26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”
ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ชาวกาลาเทียได้รับรู้ความจริงของเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการงานของพระองค์เรียบร้อยไปแล้วว่าก่อนที่ความเชื่อนี้ จะมีมา ความเชื่อ ตรงนี้ คือก่อนที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วก็ได้มาสิ้นพระชนม์แทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหลายบนไม้กางเขน และได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น พวกเรา คือมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ ก็ตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ เราต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้น ผ่านทางโมเสส พวกเราคนต่างชาติ เราไม่รู้เรื่องหรอกบทบัญญัติ คนยิวจะถูกบทบัญญัติเหล่านี้บังคับไว้ เพื่อที่จะทำตาม ให้เป็นไปตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ แต่ส่วนเราที่เป็นคนต่างชาติ บทบัญญัติเหล่านี้ ถูกเขียนไว้ในวิญญาณของเรา เรารับรู้ความจริงตรงนี้ เรารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มนุษย์ทุกคนรู้หมด โดยที่ไม่ต้องมีใครสอน คือจิตใต้สำนึกมันจะรู้ แต่อยู่ตรงที่ว่าเรารู้ แล้วเราทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ ก็จะทำไม่ค่อยได้เท่าไร? เพราะว่าพื้นฐานของเรา เรียกว่าเกิดมาเป็นคนบาป เป็นคนบาป ทำความดีไม่ค่อยเป็น แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงกำหนดเวลาของพระองค์ ที่จะประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ให้มาเกิดบนโลกใบนี้
ดังนั้น แผนการที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่ใช่พระเจ้าพูดปุ๊บ มันเกิดปั๊บ แต่พระเจ้าวางแผนการไว้ แล้วแผนการนั้น จะต้องดำเนินไปตามระบบที่พระเจ้าตั้งไว้ ตามวันเวลาที่พระเจ้ากำหนดด้วย หมายความว่าเราจะคิดว่าต้องเร็วๆ ไปเร่งพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้ากำหนดว่าเมื่อไร? อย่างไร? พระองค์กำหนดเรียบร้อยแล้ว
คนอิสราเอลรอคอยพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าพระบิดา สัญญาว่าจะประทานให้ รอคอยมาหลายพันปี พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่า ณ เวลานี้ พวกเธอทำอย่างนี้ไปก่อน ก็คือปีต่อปี เอาแกะมาถวาย เป็นเครื่องบูชา เขาเรียกว่าลบบาปรายปี พอปีหน้าเธอต้องมาทำใหม่นะ ถ้าเธอไม่ทำ ก็เสร็จเลย ไม่สามารถที่จะเป็นประชากรของพระเจ้าได้ ดังนั้น คนอิสราเอลจะยึดถือกฎบัญญัติตรงนี้มากๆ เคร่งครัดด้วย คือทุกคนจะทำตามกฎต่างๆ ที่โมเสสเขียนไว้ ตั้งแต่สมัยเดิม แล้วก็ไล่มาจนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ คนยิวก็ยังคงทำเหมือนเดิม คือต้องเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ไปถวายเครื่องบูชา แม้แต่ตัวพระเยซูคริสต์เอง พระองค์ก็ยังคงอยู่ภายใต้กฎตรงนี้อยู่ ตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตอนที่พระองค์อายุ 1 ขวบถึง 30 ก็คือต้องเข้ามาในพระวิหาร ต้องมาถวายเครื่องบูชา จนอายุ 31 พระองค์ก็ทำภารกิจของพระองค์ คือถึงเวลากำหนดที่พระเจ้าบอกให้ออกมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ออกไปประกาศข่าวดีว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว มาใกล้แล้ว ก็คือตัวพระองค์เองกำลังจะทำภารกิจตรงนี้ ให้สำเร็จตามที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้
ฉะนั้น ในช่วง 3 ปีกว่าที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ณ เวลานั้น พระเยซูคริสต์ไม่ได้ประกาศกับคนต่างชาติ พวกเราไม่เกี่ยวกันเลย ก็คือไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะเข้ามารับความช่วยเหลือตรงนี้จากพระเจ้า ฉะนั้น พระเยซูคริสต์มาทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย เพื่อที่จะให้คนยิวทั้งหลาย รับรู้ว่าพระองค์คือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด คือคนที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาไว้ว่าจะประทานมาให้ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น
ฉะนั้น พอพระเยซูมาประกาศ เนื่องจากเวลาผ่านไปหลายพันปี คนยิวก็เริ่มลืม ลืมสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เนื่องจากรักษากฎบัญญัติ ยิ่งคนที่สามารถรักษากฎบัญญัติได้เยอะกว่าชาวบ้าน ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ยิ่งสนุกสนานในการรักษาบทบัญญัติใหญ่ เพราะว่าพอรักษาได้เยอะ ก็เหมือนกับไปเกทับคนอื่นได้เยอะ เหมือนกับภาคภูมิใจความดีงามของตัวเอง แล้วก็มีความสุข เพราะว่าพอรักษาได้เยอะ คนก็นับหน้าถือตา ก็มีคนเคารพรักเยอะ อะไรประมาณนั้น แต่ว่าพอพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ พระองคจะมาช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์มาตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีไม่เชื่อว่าพระเยซู คือผู้นั้น แล้วก็ยังคงมีความสุขกับการถือรักษากฎบัญญัติ ที่โมเสสสั่งไว้อย่างเคร่งครัด
นี่คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดของพวกมหาปุโรหิตและธรรมาจารย์ เพราะเขาไม่รับรู้ความจริงที่พระเจ้าประกาศให้เขารู้ว่า ณ เวลานี้ เมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา กฎบัญญัติต่างๆ ที่เป็นกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ มันจะเป็นโมฆะ หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์มาทำให้ภารกิจเหล่านี้สำเร็จ คือวันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์บนนั้น หลั่งพระโลหิต ถูกฝัง แล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย จากวันนั้น การถวายเครื่องบูชาแบบเดิมๆ จะถูกยกเลิกไป นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้
พระเจ้าทรงตั้งกฎใหม่ กฎใหม่ที่พระเจ้าตั้งมา ก็คือใครก็ตามที่มาเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นจะรอด ในผู้อื่น ความรอดไม่มี ก็คือคนยิว ถ้าจะยังยึดถือบทบัญญัติ พยายามเคร่งครัดที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ตามที่โมเสสสั่งไว้ อันนั้น ทำไปเถอะ มันไม่เกิดผลใดๆ เพราะพระเจ้าไม่รับ เมื่อพระเจ้าไม่รับ พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พี่น้องนึกภาพออกไหม? พระองค์มีสิทธิ์ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ ผู้ที่จะเข้าสวรรค์ของพระเจ้าได้ พระองค์มีสิทธิ์ไหม? หรือเราจะไปต่อล้อต่อเถียง …
“พระองค์ไม่ทรงยุติธรรมเลย ทำไมล่ะ ฉันทำซะเยอะแยะอย่างนี้ พระองค์น่าจะรับฉันได้นะ”
พระเจ้าบอก … “ฉันไม่สนใจ เราได้ตั้งกฎไว้แล้ว”
ก็คือมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะสามารถนำพามนุษยชาติไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้ นี่คือเงื่อนไข เพราะฉะนั้น พอถึงยุคหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ มนุษยชาติทุกคนจำเป็นจะต้องมาพึ่งพาในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน แค่นั้น ไม่สามารถพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง เพื่อที่จะไปถึงสวรรค์ได้
ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าคนที่ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อความเชื่อมาถึง ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน แล้วตะโกนว่าสำเร็จแล้ว วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ 2,000 ปี คือตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีก หรือมนุษย์จะไม่ได้ถูกควบคุมโดยบทบัญญัติอีกต่อไป ก็คือถ้าคนที่ไม่รู้ ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติเหมือนเดิม ยังคงเป็นทาสเหมือนเดิม แต่ถ้าคนที่รู้ความจริงเขาจะเป็นไท เป็นอิสรภาพ เขาจะสามารถเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ เข้ามาผ่านทางพระคุณ พระคุณ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทำให้มนุษยชาติทั้งหมดเปล่าๆ โดยไม่คิดมูลค่า ก็คือไม่ได้คิดว่ามาเชื่อพระเจ้า จะต้องเอาเงินมานะ ต้องเอาโน่นเอานี่มานะ จะได้รับความรอด ไม่มี พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ให้เปล่าๆ
ใครก็ตามที่เดินเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ แล้วบอกกับพระเจ้าว่าต้องการพระองค์ เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราต้องการพระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัว ทันที คนๆ นั้นก็จะได้มีสิทธิ์ มีส่วนเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำขบวนการของพระองค์ ซึ่งเราคุยกันหลายรอบแล้วว่ามันเป็นขบวนการในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ เราไม่สามารถมองด้วยตาของเรา จับด้วยมือของเรา เราไม่ได้สามารถทำถึงขนาดนั้น แต่มันเป็นขบวนการที่ผ่านทางความเชื่อ แล้วความเชื่อตรงนี้ เราสังเกตไหมในพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16 ผู้ใดที่วางใจ ไม่ได้พูดถึงความเชื่อนะ เพราะว่ามนุษย์บาปคนหนึ่ง ไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาสามารถวางใจ ก็คือได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเกิดความวางใจข้างในว่าลองสักตั้งหนึ่งว่าพระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าจริงไหม? แล้วเราสามารถยึดถือได้ไหม? เรามาวางใจพระองค์ดีกว่า
นี่คือจุดเริ่มต้นของคนที่เดินเข้ามาหาพระเจ้า เมื่อเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการการบังเกิดใหม่เกิดขึ้น มันเป็นขบวนการที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาในผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นของประทานมาเป็นชุด คือจากขบวนการนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่
คำว่า “เปลี่ยนใหม่” ไม่ใช่ซ่อมแซม ไม่ได้มาปะๆ ชุนๆ วิญญาณเก่าสกปรก โสโครก เอาน้ำมาล้างๆ ไม่ใช่ แต่ว่าพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ให้คนนั้นทันที เป็นวิญญาณชนิดเดียวกันกับพระเจ้าเหมือนพระเยซูคริสต์
พระเจ้าได้เปลี่ยนความคิดจิตใจใหม่ให้คนนั้น ทันทีอีก ก็คือเราจะมีความคิดจิตใจเดียวกันกับพระเจ้า เป็นความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นความคิดที่ไม่รู้จักคำว่าบาปเลย ทำบาปไม่เป็น แล้วจากนั้น ขบวนการตรงนี้ ในเรื่องของการบังเกิดใหม่นี้ ยังมีการชำระร่างกายของเรา ร่างกายนี้ ที่อยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่ ร่างกายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่บนโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าได้ทรงชำระเราให้สะอาด หมดจด ที่พระเจ้ารับเราได้ จนกระทั่งพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่มันเกิดขึ้นทันที วันที่พี่น้องอธิษฐานขอพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา มันเกิดขึ้นทันที และของประทานอีกอันหนึ่งที่พระเจ้าใส่เข้ามา ในวิญญาณของเรา ก็คือของประทานแห่งความเชื่อ เราจึงสามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน ความเชื่อตรงนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาให้เรา ซึ่งความเชื่อนี้มันจะคงอยู่ มันจะไม่วิ่งขึ้นวิ่งลง เหมือนกับที่เราคิดว่าแย่แล้ว ความเชื่อถดถอย วันนี้ความเชื่อพุ่งปรี๊ด ไม่มี ของประทานนี้ พระเจ้าใส่เข้ามา ทำให้เราสามารถเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย
ดังนั้น ของประทานแห่งความเชื่อนี้ จะอยู่กับเราตลอด ความเชื่อของเราจะไม่เสื่อมถอย ตามในหนังสือฮีบรูบอกไว้ ทำไมเราเสื่อมถอยไม่ได้ เพราะว่าอันนี้มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากความรู้สึก การนึกคิด หรือพยายามสร้างความเชื่อด้วยวิธีการของเรา ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้มันจะไม่เสื่อมถอย เราก็จะสามารถเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต คือลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเราก็ได้ไปอยู่กับพระองค์ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์จะทรงนำพาท่านไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงความสำเร็จ พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าอยู่กลางทาง แล้วพี่น้องสะดุดหัวทิ่ม วิญญาณหลุดหายไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ในอาดัม มันเป็นไปไม่ได้ ก็คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เชื่อแล้วเชื่อเลย เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตรงนี้มันถูกสถาปนาเรียบร้อยไปแล้ว แต่ส่วนที่เราเผลอเรอไปทำบ้าง พลั้งบ้าง หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันเกิดจากในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราถูกล่อลวง ให้หลงไปเท่านั้นเอง
ดังนั้น การล่อลวงเหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะ ความเป็นลูกของพระเจ้าของเราไปได้เลย มันเปลี่ยนสถานะไม่ได้ แค่ว่าถูกล่อลวงเยอะ ก็ทุกข์เยอะบนโลกใบนี้ ถูกล่อลวงน้อย ก็ทุกข์น้อยบนโลกใบนี้ มีความสุขมากขึ้น มีทุกข์น้อยลง เท่านั้น แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ คือวิญญาณเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ พี่น้องนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกเราอย่างนี้ว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของเรา ในโคโลสีบอกอย่างนั้นว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สถิตอยู่ในเรา มนุษย์ตัวเป็นๆ อย่างเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม พระเจ้าอยู่ในเรา ไม่ว่าวันไหนตื่นขึ้นมางอแงบอกว่าวันนี้ สงสัยพระเจ้าหายไปแล้ว ไม่เห็นสดชื่นเหมือนวันก่อนเลย ก็เปลี่ยนสถานะนั้นไม่ได้ เปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้ พระเจ้าก็ยังคงสถิตอยู่ในท่าน หรือแม้แต่วันไหนที่ท่านเผลอไปทำบาป พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในท่านเหมือนเดิม พระองค์ไม่หนีไปไหน? เพราะว่าพระเจ้าบอกเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน
จะให้เห็นภาพ ทันทีที่เราบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ เรากับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสนิทกัน คำว่า “สนิท” คือเหมือนกับกระดาษ 2 แผ่น ที่เราเอากาวลาเท็กซ์ที่มันแน่นๆ มาทาแล้วแปะเข้าด้วยกัน มันไม่สามารถแยกจากกันได้ มันจะแยกจากกันได้ ก็คือฉีกมันทิ้งเท่านั้นเอง แต่ว่าจะให้เราแยกจากพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่จะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะช่วยพี่น้องให้สามารถหนักแน่นมั่นคง สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกที่ชั่วร้ายนี้ โลกแห่งการหลอกลวงทุกรูปแบบ โลกที่พยายามส่งข้อมูลเท็จเข้ามาหลอกเราว่า …
“พระเจ้าไม่รักเราแล้ว นิสัยอย่างนี้ พระองค์ไม่เอาหรอก”
เราก็สวนไปเลย … “นิสัยอย่างนี้แหละ ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีอะไรไหม? เพราะว่าฉันได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว”
แต่โดยความเป็นจริง พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตเราจะไม่เปลี่ยน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเปลี่ยนแปลงเราเอง ให้ธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกสำแดงออกมาผ่านทางชีวิตของเรา จะมากจะน้อย ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนผู้คนรอบข้างจะเห็นสง่าราศีของชีวิตของเรา เห็นพระเยซูคริสต์ปรากฏผ่านทางชีวิตของพวกเรา นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ โดยที่เราไม่ต้องพยายามบีบตัวเอง หรือว่าพยายามเข็นตัวเอง ให้ต้องทำๆ ไม่ใช่ต้องทำ แค่ทำอย่างเดียว คือยอม ยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ยอมรับรู้ความจริงของพระเจ้าทุกวี่ทุกวันว่าพระองค์ได้ทำอะไร? ให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แค่นั้นเอง พอรับรู้ความจริงมากเท่าไร? ผลแห่งความจริงนี้จะถูกสำแดงออกไปได้มากเท่านั้น
อย่างที่ดิฉันเคยบอก เราพูดถึงต้นไม้ ต้นไม้มันจะเกิดดอก ออกผล ถ้าเป็นต้นไม้ที่เป็นผล พอถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะออกผลให้เราเห็นชัดเจนว่าต้นนี้ต้นอะไร? ตอนนี้พี่น้องไปดูต้นมะม่วง ห้อยเต็มเลย มันถึงฤดูกาล แล้วต้นนี้อร่อยด้วย รอให้มันโตเต็มที่มาเก็บกินได้เลย หรือว่าต้นที่เป็นดอก พอถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะออกดอกให้เราเห็น ดิฉันยังไม่เคยเห็นต้นไม้ต้นไหน เขาพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเองที่ผลิดอกออกผลด้วยกำลังของตัวเอง ไม่มี เขาอยู่ของเขานิ่งๆ เฉยๆ เห็นไหม ต้นไม้นั่งนิ่งมาก แล้วคนที่ปลูกมันก็คอยให้น้ำ ให้ปุ๋ย แล้วต้นไม้ก็ยืนเฉยๆ พอถึงฤดูกาล มันก็มาแล้ว ดอกออก ผลออก แต่ละอย่างมันจะออกมา ให้คนเชยชมว่านี่ต้นมะม่วงนี่เอง ตอนไม่มีดอก ไม่มีผล ไม่รู้ต้นอะไร ก็เห็นแต่ใบ อะไรประมาณนี้
ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ พวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราไม่ต้องพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของเราเองว่าต้องๆ สมัยก่อนเราถูกสอนว่าต้อง พอต้องเยอะๆ เหนื่อย หอบ หายใจไม่ทัน แล้วเราต้องไปต้องมา คือทำด้วยกำลังของเราเอง พอทำด้วยกำลังของเราเอง มันไม่เกิดออกมาเป็นผลดังใจเรา เราก็ท้อ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำด้วยกำลังของเราเอง เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พึ่งพาในพระเจ้าว่าเมื่อถึงฤดูกาลของมัน พระเจ้าเองจะเป็นผู้ทำให้มันเกิดผล เหมือนกับที่ในหนังสือยอห์น บทที่ 15 บอกว่าเราเป็นเถาองุ่นที่ติดกับลำต้น ลำต้นเป็นผู้ให้น้ำเลี้ยงกับกิ่ง แล้วกิ่งนั้นเกาะติดกับลำต้น พอมันประสานเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ เมื่อถึงฤดูกาลที่มันจะเกิดดอก ออกผล มันจะเกิดเองโดยธรรมชาติ
ภาพเดียวกัน เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อทุกคน เราเกาะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงฤดูกาลที่มันสมควร แล้วพระเจ้าเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งแต่ละคน เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร อย่างไร? เวลาไหนก็แล้วแต่? ที่พระเจ้าจะใช้เขา พระองค์ก็จะให้ผลมันออกมา ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา มันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติ ซึ่งพี่น้องไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย พยายามดิ้นรน ด้วยกำลังของตัวเอง นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ
พอเรารู้ความจริง เราก็หายเหนื่อยเป็นสุข รู้ความจริง เราก็ไม่ต้องพยายามดิ้นรนซกๆ ถ้าเราไม่ทำโน่นทำนี่ พระเจ้าจะไม่รักเรา ถ้าเราไม่ออกไปประกาศ พระเจ้าก็จะไม่รักเรา ถ้าเราไม่รับใช้ พระเจ้าก็จะไม่อวยพรเรา มันไม่เกี่ยวอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านรับใช้ พระเจ้าจะเป็นผู้กระทำกิจภายในท่าน ทำให้ท่านอยากจะทำจากข้างใน ไม่ใช่อยากจะทำจากแรงกดดัน หรือแรงเร้าจากสิ่งรอบข้าง หรือจากคณะศิษยาภิบาล ที่พยายามผลักดันท่านให้ต้องทำๆๆๆๆๆ ไม่มีเวลา ท่านก็ต้องหาเวลาให้ได้ ต้องทำให้ได้ มันไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าเองจะเป็นผู้กระทำการงาน ในชีวิตของท่าน เมื่อถึงเวลา เราจะออกมาสบายๆ อยากจะทำอะไร เราก็ทำแบบสบายๆ ทุกอย่าง มันออกมาจากใจ ใจข้างในเรา ก็จะเป็นที่ถวายเกียรติ แด่พระเจ้า นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย
ดังนั้น การที่มาหาพระเจ้า ไม่ได้เป็นการที่เราจะต้องมาแบกภาระหนัก จนหลังแอ่น ไม่ใช่ พระเยซูได้แบกให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พวกเราผู้เชื่อทั้งหลายที่ในปัจจุบัน หรือในอดีตหลังจากพระเยซูทำสำเร็จ เราแค่มาชื่นชมยินดีกับผลสำเร็จที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็มาตรวจสอบรายชื่อว่าอะไรบ้างที่พระเจ้ากระทำให้เราสำเร็จ แค่นั้นเอง โอ! พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตื่นเต้นๆ ในขณะที่เรายืนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ในโลกวิญญาณเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ใครจะมาพูดอะไรฉันไม่สนใจ ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเป็นพระบิดาของฉัน หรือมาดูผลที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เราสำเร็จ คือพระเยซูบอกว่าโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของเราทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย ซึ่งแม้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว โอกาสที่เราจะทำบาป ยังมีอยู่ แต่พระเยซูรู้ล่วงหน้า พระองค์ก็เลยทำให้มันเป็นขบวนการเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมาครั้งเดียว บาปในอดีตที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า พระองค์ล้างแล้ว บาปในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเผลอทำอยู่ ทันทีที่เราเผลอ พระโลหิตพระเยซูคริสต์ก็ชำระล้างเราแล้ว แล้วในอนาคตที่เราเผลอไปทำอีก พระเยซูก็ให้พระโลหิตของพระองค์ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นความจริง
เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่าปัจจุบัน เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย เมื่อเราไม่มีบาปแล้ว จำเป็นไหมที่เราจะต้องเข้ามาสารภาพบาปกับพระเจ้า ไม่รู้จะสารภาพอะไร เพราะมันไม่มีบาปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เราก็ถูกหลอกมานานมาก เป็นหลายพันปี ก็พยายามสารภาพบาปของเรา พยายาม
“พระองค์เจ้าข้า ลูกมันเลว ลูกมันชั่ว ลูกทำผิดอีกแล้ว” … ก็เข้ามาสารภาพบาป
แล้วพระเจ้าก็บอก … “เธอเลว เธอชั่วตรงไหน? เธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันทำให้เธอเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เธอสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนฉันเลย เธอไม่มีบาปเลย”
อย่าให้โดนหลอก อย่าให้คำสอนใดๆ ทั้งสิ้นบนโลกใบนี้ ที่ส่งเข้ามาหลอกพวกเราว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ ให้รับรู้ความจริงว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเกิดมา “เป็น” ไม่ใช่ “มี” นะ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ปุ๊บ เราเป็นอิสรภาพเลย เราจะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป หรือบางครั้งเผลอๆ เราอาจจะโดนหลอก แต่ว่าเราจะไม่ถูกหลอกนาน ถ้าความจริงเหล่านี้ถูกสถาปนาลงไปในวิญญาณของเรารับรู้ไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ แล้วความจริงเหล่านี้กลายเป็นตัวตนของเรา ที่เราหลับตาลืมตา หรือหลับไป แล้วคนตะโกน …
“พระเยซูมาแล้ว”
เราลุกขึ้นมา แล้วขึ้นไปอยู่กับพระองค์เลย นึกออกไหม คือไม่ต้องคิดอะไร เพราะมันฝังเข้ามาในวิญญาณ ในเลือด ในเนื้อของเรา ทุกวี่ทุกวันที่เรารับรู้ความจริงนี้ ฉะนั้น ไม่มีอะไรสามารถแยกเราไปจากความรักของพระเจ้าได้เลย
พระเจ้าได้ทรงบอกเราชัดเจน ในเรื่องเหล่านี้ อยากให้ความจริงเหล่านี้ เป็นเครื่องป้องกันพวกเราทุกๆ คน เอาความจริงเหล่านี้ มาภาวนาหรือมาใคร่ครวญทุกวัน แม้ความจริงเหล่านี้มันมีไม่เยอะ มีนิดเดียวเอง แล้วพี่น้องอาจจะรู้สึกเบื่อ เหมือนเรากินข้าวไข่เจียวทุกวัน ตื่นขึ้นมา นึกไม่ออก เอาไข่เจียวแล้วกัน ไข่ดาวแล้วกัน ไข่ต้มแล้วกัน อะไรประมาณนั้น มันน่าเบื่อ แต่ความน่าเบื่อตรงนี้ มันเป็นสารอาหารที่ดีที่สุด ที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายเราให้เจริญเติบโต มีพลังในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
ฉะนั้น ให้พี่น้องเอาความจริงเหล่านี้ ไปใคร่ครวญทุกวัน แล้วก็เอเมนกับความจริงเหล่านี้ คำว่าเอเมน คือยอมรับความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าบอกเรา
ยอมรับ … “ว่าใช่ๆ ฉันเป็นคนชอบธรรม ฉันไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป ณ เวลานี้ ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว”
เอเมนกับทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า ณ เวลานี้ พระองค์ทำให้เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือการเชื่อฟังพระเจ้า นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงทั้งหมด ที่พระเจ้าได้บอกเราไว้ในถ้อยคำของพระองค์
เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งดีงามเหล่านี้ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ที่เราตื่นตาตื่นใจทุกปลายปี พอธันวาคม ใกล้วันที่ 25 เราก็ตื่นเต้น พอเริ่มต้นธันวาฯ ปุ๊บ เริ่มประดับประดาสวยงาม แต่สิ่งที่สำคัญ คือคริสต์มาสมันอยู่ในใจของพวกเราทุกวัน ทุกวันเป็นวันคริสต์มาสของเรา ทุกวัน คือพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
before and after ตอน 5
ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป
หลังเชื่อ ตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า
ก่อนเชื่อ อยู่ในคำสาปแช่ง
หลังเชื่อ อยู่ในพระพรนานัปการ
ตัวเก่า คนเก่า ได้ตายไปแล้ว สูญสิ้นไปแล้ว ทุกวันนี้ ที่มีชีวิตอยู่ เป็นตัวใหม่คนใหม่ อยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์ ในพระเจ้า แล้วกำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่และสรรพสิ่งที่จะทรงสร้างขึ้นใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปนิรันดร์
เอเฟซัส 2:1-5 … “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดและในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการถูกลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ”
ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป
หลังเชื่อ ตายจากบาปมาอยู่ในพระเจ้า
ก่อนเชื่ออยู่ในคำสาปแช่ง
หลังเชื่อ อยู่ในพระพรนานัปการ
พระเจ้าอวยพรครับ