วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1498

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 13 “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 13 ใช้ชื่อเรื่องว่า “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า” เราเรียนรู้ 1 ยอห์น มา 12 ตอนแล้วว่าอัครทูตยอห์นยืนยันความจริงให้กับเราว่าคริสเตียนผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เชื่อวางใจว่าพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ คือเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมวลมนุษยชาติ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ สรุปใช้คำว่า “พระเมสิยาห์” หรือ “พระคริสต์” อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณที่ไม่เปลี่ยนแปลง ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสถานะทางวิญญาณอย่างเด็ดขาด ระหว่างคริสเตียนผู้เชื่อพระเยซูกับผู้ที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียน ไม่ได้เชื่อพระคริสต์  ที่เรียกว่าเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือเป็นศัตรูต่อความจริงเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ และอาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้สอนความจริงกับผู้สอนเท็จ  ผู้สอนความจริง คือผู้เผยพระวจนะ ถ้อยคำพระเจ้า ผู้สอนเท็จ คือผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เอาถ้อยคำที่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า เป็นถ้อยคำที่แย้ง ต่อต้านความจริงของพระเจ้ามาสอน

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเราที่เป็นผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณ เราเป็นอย่างไร? สรุปรวมๆ ก็คือ …

                        – เราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์         ไม่ใช่ในอาดัม  นี่สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณนะ

                        –  เราอยู่ในความสว่าง                     ไม่ใช่ในความมืด  เห็นไหม แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

                        –  เราอยู่ในความจริง                        ไม่ใช่ในความเท็จ

                        –  เราอยู่ในความรัก                          ไม่ใช่ในความเกลียดชัง

                        –  เราเป็นคนชอบธรรม                    ไม่ใช่เป็นคนบาป

                        –  เราเป็นคนที่ได้รับการอภัยบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว    ไม่ใช่เป็นคนที่มีหนี้บาป

                           เวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกเลย

                        –  เราเป็นคนบริสุทธิ์สะอาด           ไม่มีมลทินใดใดในเราเลย ไม่ว่าจะวิญญาณ จิตใจ

                         หรือร่างกายก็ตาม

                        –  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว                     ไม่ได้อยู่ในโลก แม้ว่าตามองเห็นเรายังดำเนินชีวิต

                         ในโลกก็ตาม แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกวิญญาณ

                        –  เราเป็นของพระเจ้า                       ไม่ได้เป็นของโลกนี้

                        –  พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา                เป็นใหญ่กว่าผู้คนเหล่านั้น ทุกอย่างที่อยู่ในโลก

            เหล่านี้ คือสถานะทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นสถานะทางวิญญาณที่คงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่มีขึ้นๆ ลงๆ เข้าๆ ออกๆ ดำบ้าง ขาวบ้าง หรือเทาๆ ในชีวิตของเรา มันเด็ดขาดเลย ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าไม่อยู่อาศัยในอาดัม ก็อยู่อาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการอาศัยอยู่ในทั้ง 2 ที่ ต้องอาศัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  ถ้าไม่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ก็ยังคงอาศัยอยู่ในความตาย ในบาป ในอาดัม ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้เท่านั้น ไม่มีที่อื่นๆ ที่ตรงกลางๆ ไปๆ มาอีก ไม่ใช่วันนี้หงุดหงิดอยู่ในอาดัม พรุ่งนี้ มีความสุข วันอาทิตย์อยู่ในพระคริสต์ วันจันทร์อยู่ในอาดัม วันอังคารอยู่ในพระคริสต์ วันพุธอยู่ในอาดัม วันพฤหัสอยู่ในอาดัม พอมาถึงวันอาทิตย์มาอยู่ในพระคริสต์ ไม่มี อยู่ในที่ไหนก็ที่นั่น

            และถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน ท่านกำลังฝึกฝนอุปนิสัยและความประพฤติตามธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา 12 ตอน ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 3:7 ได้บอกไว้ว่า …

        1 ยอห์น 3:7  “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง  และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            นี่บันทึกไว้ชัดเจน นี่คือความจริง เราคริสเตียน ผู้เชื่อ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ และจะเป็นอย่างนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น ยอห์นก็เตือน ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้วว่าให้ระวังวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ วิญญาณที่ต่อต้านพระคริสต์ ต่อต้านความจริงเหล่านี้ ซึ่งวิญญาณเหล่านี้มาจากมารทั้งสิ้น เพราะมารมีหน้าที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ คอยกล่าวหาคริสเตียน หรือผู้ที่เชื่อ ด้วยความเท็จ ทั้งกลางวันและกลางคืนว่า …

            “เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? แต่ทำไมเจ้ายังมีอุปนิสัย ความประพฤติ ไม่สมบูรณ์เลย แกทำตัวตรงนี้ ประพฤติอย่างนี้ สมบูรณ์ดีพร้อมแล้วหรือ?  ที่จะเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เจ้ายังทำบาปอยู่เลย”

            จริงๆ ไม่ใช่เจ้าด้วย ต้อง “แก” … “แกไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อม เมื่อวานแกยังอิจฉาริษยา แกยังโกหกอยู่เลย วันนั้นยังหงุดหงิด ตวาดอยู่เลย อย่างนี้จะสมบูรณ์ เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?”

            ยอห์นแนะนำให้เราปฏิเสธ ยืนยันไปเลย ด้วยความจริง จากถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ที่เราได้เรียนรู้กัน คือบอกไปเลย บอกให้มาร บอกให้ปฏิปักษ์พระคริสต์ ได้ยินได้ฟังชัดเจนว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ โดยผ่านความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ไม่ได้ทำด้วยตัวเอง  ไม่ได้ผ่านทางความประพฤติ  หรือการกระทำของฉันเองเลย  แม้แต่นิดเดียว  แต่ฉันพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เราไว้ใจได้ เพราะเราวางใจในพระเยซูคริสต์ เรามิได้วางใจในตัวเอง

            นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณแท้จริง ที่คริสเตียนผู้เชื่อต้องเผชิญตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แน่นอน ทั้งวันทั้งคืน มีแต่ส่งข่าวสารเท็จนี้มาหาเราคริสเตียนว่าเรายังไม่พร้อม เรายังไม่ดี จริงหรือ? บอกเขาไปเลยว่าจริง บอกลงไปในความคิดของเรา มันจะส่งข้อมูลเท็จเข้ามาในความคิด เราก็ต้องส่งข้อมูลจริงเข้าไปในความคิดของเราว่า …

            “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์จริงๆ ในขณะนี้ บนโลกใบนี้ เอเมน”

            วันนี้ หนังสือ 1 ยอห์น ตอนที่ 13 เราจะมาย้ำยืนยันกันในชื่อเรื่อง “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า” เพราะว่าเราก็ถูกหลอกอีก เรื่องจริง คือการที่จะรักกัน การที่จะมีความหวังดีต่อกัน มันก่อเกิดขึ้นมาจากพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถผลิตออกมาได้ ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า เรามาดูสิว่าถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราจบกันที่ 1ยอห์น 4:6 วันนี้เริ่มต้นข้อ 7 …

        1 ยอห์น 4:7  “เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก (สำแดงความรัก จากภายในวิญญาณ) ซึ่งกันและกัน เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า (ธรรมชาติภายในวิญญาณ ก็จะรักพี่น้อง ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกัน) และรู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า”

            เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก หมายถึงให้เราสำแดงความรัก จากภายในวิญญาณ  ซึ่งกันและกัน  เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า  ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ก็คือเป็นความรัก ที่เป็นธรรมชาติภายในวิญญาณ เหมือนพระเจ้า ที่จะสามารถรักพี่น้อง  ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกันได้ และการกระทำอย่างนี้ เป็นการสำแดงว่าเขาได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า

            เรามาดูสิว่าเป็นอย่างไร? คือทันทีที่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอมาเชื่อพระเจ้าปั๊บ พระเยซูก็ประทานวิญญาณแห่งความรักของพระองค์มาให้กับเขา และเราเรียกกันว่าบังเกิดใหม่ เขาก็บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระองค์ เหมือนพระเจ้า เป็นความรัก ที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่ อาจารย์ยอห์นไม่ได้สอนเราว่าเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราปฏิบัติความรัก คือกระทำความรัก ไม่ใช่ แต่กำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณ สถานะในโลกวิญญาณ ให้เราได้รับรู้ว่าเมื่อเราเชื่อปั๊บ พระเจ้าก็จะเชื่อมต่อคนอื่นๆ ที่เชื่อพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งเรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเยซู และเราจะรักกันเอง โดยธรรมชาติ หรือโดยออโตเมติกส์ ไม่ต้องทำเลย มันเป็นเอง  เป็นความรัก มันก็เชื่อมต่อกับวิญญาณอื่นที่เป็นความรัก คริสเตียนคนอื่นๆ นั่นเอง ไม่ได้ให้เราพยายามที่จะรักกัน ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่  แต่มันเป็นธรรมชาติใหม่ของเราในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทุกๆ คนในโลกใบนี้ เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องกันในวิญญาณ เป็นความรักเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  พอวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  พระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ซึ่งเรียกว่าพระเจ้าก็รู้จักเราในฐานะลูกของพระองค์ “รู้จักเรา” คำนี้สำคัญมาก เดี๋ยวจะพาท่านไป รู้จักเรา ในฐานะเป็นลูกของพระองค์ ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว

            คำว่า “รู้จัก” แปลว่ารู้จักสนิทสนม ติดสนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนสามีภรรยา มีความสัมพันธ์กันอย่างนั้น คำว่า “รู้จัก” ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ วิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของเราผู้เชื่อ เมื่อเราบังเกิดใหม่ รู้จักสนิทสนมกันอย่างนี้แหละ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ส่วนผลของความรัก ที่เราเป็นอยู่นั้น ในโลกวิญญาณนี้ ที่จะสำแดงออกมาเป็นความประพฤติ คราวนี้สำแดงออกมาจากข้างในแล้วนะ  ออกมาเป็นความประพฤติในแต่ละคน จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าเขาหรือเรานั้น รู้ว่าตัวตนจริงๆ ในโลกวิญญาณของเรานั้น เป็นความรักมากน้อยขนาดไหน? รู้มากไหมว่าเรานั้นเป็นความรัก เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทสนมกัน เป็นความรักเหมือนกัน ถ้ารู้มาก ก็จะสามารถสำแดงออกมาเป็นความประพฤติได้มาก ถ้ารู้น้อย ก็ออกมาได้น้อย เมื่อเจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ รับรู้ความจริงได้มากเท่าไร? ผลของความรัก ก็จะสำแดงออกมาเป็นความประพฤติปฏิบัติได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอน เราสังเกตได้ บางครั้ง เราอาจจะประพฤติออกมาเป็นความเกลียดชัง คริสเตียนบางครั้งไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก มีไหม? มีบ่อยไป ผมมีทุกวัน บางคนก็มีทุกวัน ส่วนใหญ่ก็มีทุกวันแหละ มันหงุดหงิด เพลินไป นินทาชาวบ้านเขา รักที่ไหน นินทาชาวบ้าน รถติดๆ อดทนไม่ได้ ก็ไม่ใช่ความรักแล้ว

            บางครั้งเราก็มีความประพฤติสำแดงออกมาเป็นความเกลียดชัง ขณะที่เราสำแดงความเกลียดชังออกมานั้น ก็แสดงว่า ณ เวลานั้น เราไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามธรรมชาติที่แท้จริง ที่อยู่ภายในของเรา ซึ่งเป็นความรัก เนื่องจากเราถูกหลอก ถูกล่อลวง เชื่อฟังมารและระบบของโลกนี้ ซึ่งต่อต้านความจริงของพระเจ้า ที่คอยชักจูงให้เราประพฤติตามมัน คือไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่อยู่ข้างในเรา เห็นไหม? ซึ่งเราเรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์บอกก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ทำให้การเป็นความรักที่อยู่ภายในนั้น เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่สามารถทำให้การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณของเราเปลี่ยนแปลงไปเลย เพียงแต่ทำให้เรานั้น เมื่อประพฤติแล้ว เราเกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจมากขึ้นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            หน้าที่ของเรา ที่พระเจ้าต้องการ ก็คือค่อยเรียนรู้ว่าตอนนี้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรักแล้ว แม้จะเผลอถูกล่อลวง ให้ผลที่แสดงออกมาเป็นความเกลียดชัง แต่สิ่งที่ประพฤติออกมานั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย ไม่สามารถเลย เห็นไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ไม่มีที่ติเลยในสายพระเนตรพระเจ้าตลอดไป นี่คือความจริง เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานแล้ว ขณะนี้ อยู่นิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป นี่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ซึ่งไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย แม้ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย ความจริงนี้เราได้รับมาจากการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ นี่ตามพระคัมภีร์เป๊ะ มาข้อที่ 8 … 1 ยอห์น 4:8 …

        1 ยอห์น 4:8 “ผู้ที่ไม่รัก (ไม่สามารถรักพระเจ้าและคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติภายในวิญญาณ) ก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก”

            มาอ่านอย่างขยายความ … ผู้ที่ไม่รัก ก็คือผู้ที่ไม่สามารถรักพระเจ้าและคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติภายในวิญญาณของเขา ไม่สามารถรักพระเจ้า ไม่สามารถรักคริสเตียนผู้เชื่อคนอื่น เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่ได้เกิดใหม่ … มันแปลว่าอย่างนี้ เพราะคนๆ นั้น ก็ไม่รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เห็นไหม? เขาไม่เกิดใหม่ เขาไม่รู้จัก อีกแล้ว เขาไม่ได้สนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับสามีภรรยา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขายังไม่ได้เชื่อนั่นเอง ซึ่งพระเจ้าเป็นความรัก เขาก็เลยไม่ได้เป็นความรักภายในวิญญาณของเขา

            ผู้ที่ไม่รัก คือไม่บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเยซู ก็ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้รู้จักในฐานะลูกของพระเจ้า คนที่ธรรมชาติข้างในวิญญาณของเขา ยังเป็นคนบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่คนละฝั่งกับพระเจ้า ก็จะไม่รู้จักพระเจ้า  พระเจ้าก็ไม่รู้จักเขา เขาไม่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขานั่นเอง ตัวตนจริงๆ ข้างในเป็นความบาป เป็นความเกลียดชัง ไม่สามารถผลิตความรักของจริงออกมาได้เลย แม้ว่าบางครั้ง ผลที่แสดงออกมาเป็นความประพฤติ การปฏิบัติออกมาให้เราดูเหมือนดี เหมือนเป็นความรักก็ตาม นี่พูดถึงคนที่ไม่เชื่อนะ  แต่ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? มันก็เป็นเพียงแค่ผลเทียม เหมือนผลไม้พลาสติก ดูเหมือนจริง แต่มันเป็นของปลอม ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเขา ที่ภายในวิญญาณเป็นคนบาป มีแต่ความเกลียดชังในวิญญาณได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณข้างในนั้นเป็นของจริง คือเป็นคนบาป ที่ธรรมชาติเป็นคนเกลียดชัง นี่พระคัมภีร์พูดไว้นะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 ข้าง  2 ขั้ว ไม่มีขั้วอื่น

            ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้พึ่งพาวางใจในพระเยซู ไม่ได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณ พระเยซูก็ไม่เคยรู้จักเขา  ก็คือพระเยซูไม่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์นั่นเอง และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า ถ้าเผื่อเขาไม่เปลี่ยน มันก็จะไม่มีการเปลี่ยนในโลกวิญญาณ จนกระทั่งถึงหลังความตาย อยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา พระเยซูตรัสไว้ว่าแม้ว่าเขาจะอ้างว่าได้ทำดีมากมายบนโลกใบนี้

            “โอ้! ลูกได้ทำดีโน่น ทำดีนั่น ทำดีนี่”

            แต่ไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระเยซูก็บอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้า”

            เห็นไหม? “ไม่เคยรู้จักเจ้า”  ไม่ใช่ไม่รู้จักนะ  ไม่เคย ก็แสดงว่าไม่รู้จักมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่บนโลกใบนี่ ก็ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว เคยรู้จักตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทสนมกันมาก แต่นี่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้า ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย เจ้าไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของเราเลย”

            ครอบครัวในสวรรค์ หนังสือแห่งชีวิตในสวรรค์เปิดออก ก็คือหนังสือสำมะโนครัว

            “เจ้าไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย”

            ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ คนๆ นั้น ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องจริง การพิพากษามันเกิดขึ้นจริงๆ  ก็ต้องแยกกันถาวรนิรันดร์เลย  ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไป มา 1 ยอห์น 4:9

        1 ยอห์น 4:9 “ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแก่เรา ก็คือพระองค์ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาในโลก เพื่อให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางพระองค์”

            “ชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระองค์” ชีวิตนิรันดร์ที่เราเป็นอยู่นี้ ไม่อยากจะบอกว่ามีอยู่ “มี” เหมือนของมีอยู่ แล้วมันสามารถหายไปได้  สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าบอก “เป็น” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่เราเป็นอยู่นั้น เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับผ่านทางชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู

            ตอนที่พระเยซูยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และตอนที่พระเยซูได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  โดยพระเจ้า ชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น ชุบโดยให้พระเยซูกลับมาเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิมก่อนตาย แล้วพระเยซูบอกว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้ ตอนเป็นขึ้นจากความตามนั้น พระองค์ได้แบ่งให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์  ก็คือผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือคริสเตียนนั่นแหละ ได้รับวิญญาณเดียวกัน เขาเรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ เหมือนกับพระเจ้าเลย เหมือนกับพระเยซูเลย แต่เป็นส่วนหนึ่ง เราไม่ใช่เป็นพระเจ้า แต่เราได้บังเกิดใหม่  โดยหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกัน เรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้เชื่อ คือผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูมากที่สุดแล้ว  ก็คือมีวิญญาณเหมือนกัน  เพราะว่าเป็นผู้ที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  ได้รู้จักกับพระคริสต์อย่างสนิทสนม  เป็นเหมือนสามีภรรยากัน สนิทกันมากถึงขนาดนั้น เป็นเนื้อเดียวกัน

            พระเยซูอุปมาตรงนี้ชัดมากเลย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำการไถ่บนไม้กางเขนให้สำเร็จ พระองค์บอกว่าเหมือนกับกิ่งของเถาองุ่น ก็คือกิ่งต่อกับลำต้น ท่านเป็นกิ่ง พระองค์เป็นลำต้น

            ท่านลองคิดถึงต้นไม้ ต้นหนึ่ง มีกิ่งออกมา แล้วก็มีลำต้น ท่านว่ากิ่งนั้น ต่อติดกับลำต้น สนิทขนาดไหน? นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น และกิ่งมันอยู่ของมันเองได้ไหม? ไม่ได้มันต้องได้รับชีวิตมาจากรากของลำต้น ไหลขึ้นมา ผ่านกิ่งมา แล้วก็มีชีวิต แล้วจึงออกผล ผลก็คือมาจากราก มาจากลำต้นนั่นเอง

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราคริสเตียน ผู้เชื่อนั้น เราได้อาศัย ต่อติดสนิทอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ คือเรารู้จักพระคริสต์ เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เรารู้จักพระคริสต์ พระคริสต์ก็รู้จักเรา เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เรากับพระคริสต์ 2 วิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเราคริสเตียน วิญญาณของเราขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านลองคิดดูก็แล้วกัน สนิทสนมขนาดไหน?

            นี่คือสถานะในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้น ที่อาจารย์ยอห์นพยายามที่จะอธิบาย ชี้ให้เราได้เห็น เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอกด้วยคำเท็จ เพราะฉะนั้น ผลของชีวิตของคริสเตียนออกมานั้น จึงเป็นผลออกมาจากต้น ก็คือมาจากชีวิตของพระคริสต์ คำนี้มันหมายถึงอย่างนั้น เพื่อให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระองค์ มันแปลว่าอย่างนี้ คริสเตียนไม่ได้มีชีวิต เพื่อพระองค์ ซึ่งหลายท่านอาจจะเข้าใจผิด ในอดีตว่าเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ ไม่ใช่ เราจะไปอยู่เพื่อพระองค์ได้อย่างไร? กิ่งจะมาอยู่เพื่อต้นหรือ? ไม่ใช่ ต้นต่างหากที่เป็นผู้ซับพลายส์ หรือเป็นผู้ให้ชีวิตกับกิ่ง กิ่งมีหน้าที่รับเอา กิ่งมีหน้าที่พึ่งพาลำต้น เพราะฉะนั้น ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่พึ่งพาพระเยซูอย่างเดียว ไม่ใช่ไปรับใช้โดยการบอกว่าจะมาช่วยพระเยซูทำ ผลเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เพราะกิ่ง ผลจะเกิดขึ้น ก็เพราะว่าลำต้นส่งอาหารมา อย่าเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น ความรักก็เช่นเดียวกัน เราจะผลิตความรักออกมาด้วยตัวเราเองไม่ได้ ความรัก คือผลที่มาจากลำต้นพระเยซูคริสต์ ผลของการอยู่ในพระคริสต์ของเรา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ทำให้เราสามารถแสดงผลออกมาเป็นความรักได้  ไม่ต้องพยายามที่จะเบ่งความรักออกมา เพราะว่าเบ่งอย่างไร ก็ทำเองไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแค่รับรู้ เชื่อและวางใจ และก็ฝึกฝนเท่านั้น เชื่อและวางใจว่าอยู่นิ่งๆ นะ อยู่นิ่งๆ แล้วก็รับเอาชีวิตนิรันดร์ ที่เราต่อติดกับพระเยซู เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่าน้ำพุแห่งชีวิต ไหลพุ่งขึ้นมาตลอด เป็นกิ่งต่อใหม่ๆ แล้วก็ดูดเอา ซึมซับเอาความรักนั้นเข้าไป

            ซึมซับอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เราประพฤติหรือทำตัวแย่ๆ ไม่ดี หงุดหงิด ไม่ได้เป็นความรัก ก็ให้เรารับรู้ในขณะนั้นว่าพระองค์ทรงอยู่กับเรา ถึงจะรับรู้ทีหลัง ก็ยังดี ถ้ารับรู้ตอนนั้นได้เลย ก็ดี ถ้ารับรู้ไม่ได้ หงุดหงิดไปแล้ว หลังจากนั้นมา ขณะที่เราหงุดหงิด  ขณะที่เราด่าทอ โกรธเขาไป ชีวิตพระคริสต์ก็อยู่กับเรา เรากำลังถูกหลอก แล้วอะไรอีก  แล้วก็รู้ตัวว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเราในขณะนั้น และพระองค์ทรงทราบดีว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร? จุดอ่อน จุดแข็งเราเป็นอย่างไร?  เราคิดอะไรอยู่? และพระองค์จะนำเราในแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระองค์รู้จักเราดีกว่าเรารู้จักพระองค์ เพราะเราเป็นกิ่ง พระองค์เป็นลำต้น มา 1 ยอห์น 4:10 กำลังพูดถึงความรัก เป็นความรักแบบพระเจ้าที่อยู่ในเรา …

        1 ยอห์น 4:10 “ความรักเป็นเช่นนี้ คือมิใช่ว่าเรารักพระเจ้า แต่พระองค์ได้รักเรา และส่งพระบุตรของพระองค์ให้เป็นเครื่องบูชา (ที่พอพระทัยถวายแด่พระเจ้า) เพื่อชดใช้บาปทั้งปวงของเรา”

            เห็นไหม? ความรักเป็นอย่างนี้ คือไม่ใช่เราพยายามรักพระเจ้า รักคนอื่น ไม่ใช่ ความรัก คือพระองค์ได้ให้เราก่อน ถ้าพระองค์ไม่ประทานความรักให้กับเรา  เราจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร? นึกถึงภาพว่าความรักเป็นข้าวสาร พระองค์ประทานข้าวสารให้กับเรา เราจึงจะมีข้าวสารที่จะไปให้กับคนอื่นที่หิวโหยได้ นี่เห็นชัดเจนเลย เราผลิตข้าวสารได้ไหม? ไม่ได้หรอก เราไม่มี ความรักเป็นของพระเจ้า ข้าวสารเป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว ใครอยากได้ข้าวสารไปหาพระเจ้า พูดง่ายๆ เราไปหาพระเจ้า แล้วเราเชื่อแล้ว พระเจ้าประทานข้าวสารให้กับเรา เราก็สามารถเอาไปให้ใครได้ แล้วก็ไม่มีหมด มันไหลมาตลอด ยกเว้นเราจะถูกหลอกว่าหมดแล้ว ต้องผลิตเอง อย่างนั้นเป็นต้น

            แล้วในนี้บอกว่าอย่างไร? พระองค์ได้ทรงให้เราแล้ว ให้ด้วยวิธีใด? ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา เพื่อชดใช้บาปทั้งปวงให้กับเรา ความรักของพระองค์ที่ให้กับเรา โดยการสละชีวิต หลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เป็นแพะรับบาปทั้งปวงของมวลมนุษย์ ที่พระเจ้าพอใจแล้ว ตรงนี้มันหมายความว่าอย่างนี้ ที่พระเจ้าพอพระทัยแล้ว ทำไมพอพระทัย? พอพระทัยตามกฎวิญญาณที่พระองค์ทรงวางไว้เอง ตั้งแต่ในอดีต มันต้องเป็นไปตามกฎ คือเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง แม้แต่เป็นลูก ก็คืออาดัมและเอวาปฏิเสธพระองค์ ไม่ต้องการพระองค์ ไม่เชื่อในพระองค์แล้ว เขาก็ได้รับสิ่งที่เขาต้องการนั้นไปเลย คุณได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ก็คือลูกต้องออกไป โดยที่ไม่มีพระเจ้า พระสิริพระเจ้าก็หายไป ก็ตกอยู่ในความบาป ความบาป คือการกระทำใดๆ ที่ผิดพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้านั่นเอง

            บาปทั้งปวงของเราได้รับการชดใช้ ลบล้างออกไปแล้ว  โดยพระเยซูมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน โดยการหลั่งพระโลหิต พระโลหิตของพระองค์ คือสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ตามกฎ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย มีคนเดียวในโลกนี้ ก็คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเมสิยาห์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เลือดของพระองค์ตามกฎ สามารถชดใช้บาปเวรกรรมของมวลมนุษย์ได้ ครั้งเดียวเป็นพอ นี่คือกฎ ดังนั้น พระเยซูทำตามกฎเป๊ะเลย  เกิดเป็นมนุษย์ บริสุทธิ์ สะอาด สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต มนุษย์เลยได้รับความรอด ตามกฎนี้ เพราะฉะนั้น บาปทั้งปวงของเราได้รับการชดใช้ ลบล้างออกไปหมดสิ้นแล้ว อาจารย์ยอห์นบอก หมดสิ้นเลย

            “หมดสิ้น” “ลบล้าง” คำนี้ แปลว่าชำระจนเกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลย ไม่มีทางที่จะกลับมามีบาปได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นการชำระล้าง แบบสะอาดหมดจด เที่ยวเดียวเป็นพอ คือเอาบาปออกไปเลย จากมวลมนุษย์ ผู้ใดเชื่อ เขาก็ได้รับการเอาบาปออกไป โดยพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเอาบาป ลบบาปออกไป ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? บาปได้ถูกเอาออกไปไกลเท่านั้น ตะวันออกกับตะวันตกไม่มีวันได้เจอกันเลยนะ ทิศเหนือกับทิศใต้ยังมีวันได้เจอกัน ถ้าเราออกเดินทางทางทิศเหนือวันหนึ่งเราก็จะไปเจอขั้วโลกใต้ ถูกไหม? ตามการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ แต่ถ้าเผื่อมุ่งหน้าทางทิศตะวันออก ท่านไม่มีทางเจอทิศตะวันตกเลย มันก็หมุนไปเรื่อย พระเจ้าเรายอดเยี่ยมขนาดไหน? นี่ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะรู้เรื่องโลกกลม โลกหมุนอย่างไร? นี่ตั้งหลายพันปีแล้ว 3,000 กว่าปีบันทึกเอาไว้ พระองค์เอาบาปของมวลมนุษย์ออกไปไกลเท่านั้น คือระหว่างตะวันออกกับตะวันตก คือไม่เจอกันอีกแล้ว  เราไม่มีวันจะเป็นบาปอีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเห็นดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก

            เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เรามีอยู่นี้  คือชีวิตที่เหมือนพระเยซู ชีวิตที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต นิรันดร์เลย ข้อต่อไป ข้อ 11 …

        1 ยอห์น 4:11 “ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้ารักเราเช่นนั้น เราก็ควรรักซึ่งกันและกันด้วย”

            ถ้าพระเจ้าให้ความรักกับเราอย่างนั้น เราก็สามารถรักกันและกันได้ พูดง่ายๆ คืออย่างนี้ เราสามารถรักผู้อื่น ก็เพราะว่าพระเจ้ารักเราก่อน เราสามารถให้กับคนอื่นได้ ก็เพราะพระองค์ให้เราก่อน อย่างที่ตะกี้ผมยกตัวอย่างข้าวสาร เราสามารถให้ข้าวสารคนอื่นได้ ก็เพราะว่าพระเยซูได้ให้ข้าวสารกับเราก่อน ให้ความรักกับเรา เราก็เพียงแต่รับรู้ว่าพระองค์ให้กับเราแล้ว เรามีอยู่แล้ว เต็มตุ่ม เราก็แบ่งข้าวสารเหล่านั้นให้กับคนอื่น เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือให้รู้ความจริงเหล่านี้ ซึมซับความจริงเหล่านี้ ซึมซับความรักของพระเจ้า ที่ล้นอยู่ในใจของเรา แล้วก็ฝึกฝนในการสำแดงมันออกมา ไม่ใช่พยายามด้วยกำลังของตนเอง

            ความจริงในโลกวิญญาณ คือเราผู้เป็นคริสเตียน ในทางวิญญาณ เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นความรักของพระองค์อยู่ในเรา ไหลผ่านชีวิตเราตลอดเวลา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เป็นพลังแห่งชีวิต เราจำเป็นต้องพึ่งในพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพลังแห่งชีวิต เราเป็นผู้รับพลังแห่งชีวิตนี้ไม่ใช่เป็นผู้ผลิต หรือผู้ให้ แต่เราเป็นผู้รับจากพระองค์ แล้วให้มันไหลผ่าน เป็นผลออกมา เหมือนกิ่งไม้กับลำต้น กิ่งไม้จะออกดอก หรือออกลูก รับอาหารจากลำต้น ข้อ 12 …

        1 ยอห์น 4:12 “ยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็อาศัยอยู่ในตัวเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ ก็บริบูรณ์อยู่ในเราด้วย”

            “บริบูรณ์” ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความรัก พระคริสต์อยู่ในเรา ความรักอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระคริสต์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้  พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นความรักที่ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ เป็นความรักแบบพระเจ้า พระคริสต์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้  เราก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ แบบอากาเป้เหมือนกัน ความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วน เป็นของประทาน

            จากวันนี้ที่ได้ศึกษาถ้อยคำเหล่านี้ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าความรักแบบอากาเป้ของแท้จริงของพระเจ้านั้น เป็นของประทาน นั่นหมายถึงว่าเราสร้างขึ้นเองไม่ได้ เราทำขึ้นเองไม่ได้ มันเป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นพระลักษณะของชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ด้วย เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์นี้ เราได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และเต็มล้นไปด้วยความรักแบบอากาเป้นี้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ จนไปถึงนิรันดร์ ไม่มีวัน ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีกเลยนิรันดร์ เอเมน

            นี่คือสถานะในวิญญาณของผู้ที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์  และขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงดำเนินชีวิตอยู่ภายในเรา กำลังฝึกฝนชีวิตใหม่ของเรานี้ คือฝึกฝนดำเนินชีวิต ในความรักแบบอากาเป้นี้ ฝึกฝนการดำเนินชีวิตแบบชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์นี้ ให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นความรัก ความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม อย่างสมบูรณ์ ชั่วนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว นึกออกใช่ไหม? พระวิญญาณจะสอนเรา จะฝึกฝนเรา ในสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่ฝึกฝนเราให้เราเป็น แต่ฝึกฝนตามสิ่งที่เราได้เป็นอยู่แล้ว

            ทำไมพระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ฝึกฝน” เพราะฝึกฝนความประพฤติ ฝึกฝนการกระทำที่เป็นอยู่แล้ว เป็นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์ แต่ฝึกฝนนี้ เป็นอย่างไร ความประพฤติ มันเปลี่ยนได้ มันพลาดได้ พอจะมองเห็นภาพนะ นักกีฬาฝึกฝน ก็พลาดได้ เด็กๆ ฝึกฝนอะไรก็พลาดได้ เราฝึกฝนทำอะไร มันก็จะผิดพลาดบ้าง แต่ฝึกฝนมากเท่าไร มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นมากเท่านั้น นี่คือหลักการในทางของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และความรักแบบอากาเป้ ชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังฝึกสอนเราอยู่นี้ มีคุณสมบัติ ลักษณะเป็นอย่างไร? อาจารย์เปาโลเปิดเผยของประทานนี้ ว่าของประทานนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้ ให้ทุกคนแสวงหา รับรู้ว่ามันอยู่ภายในเรา และให้ผลของพระวิญญาณ ออกมาในชีวิตของเรา เรามาดูลักษณะของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้าที่เป็นของประทานให้กับเรา หน้าตาเป็นอย่างไร? 1 โครินธ์ 13:4-8 …

        1 โครินธ์ 13:4-8 “ความรักเป็นการอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักเป็นการไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชอบ  ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            ทั้งหมดนั้น เป็นลักษณะของของประทานความรัก ซึ่งอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกคนอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ที่เรียกว่าคริสเตียน วิญญาณและใจข้างในของเรา เป็นความรัก แบบอากาเป้นี้  เป็นความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้าเลย ไม่มีส่วนอื่นผสมอยู่เลย รับรู้ความจริงนี้ ซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา แล้วฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ทุกวัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะนำเรา จะสอนเรา ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบอากาเป้ ที่อยู่ในใจของเราให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ฝึกฝน ฝึกฝน ด้วยวิธีในพระคัมภีร์บอก โดยการตั้งความคิดไว้เลยว่ายอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตา หู คอ จมูก ลิ้น กาย ทุกส่วนในร่างกาย อวัยวะของเรา ให้พระเจ้าใช้ เป็นเครื่องมือ ปลดปล่อยให้ความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรานั้น ได้สำแดงออกมาเป็นการกระทำนั่นเอง

            นี่คือหน้าที่ของคริสเตียน คือยอมเท่านั้นเอง ตัดสินใจยอมให้พระวิญญาณนำ  แล้วก็ยอมเชื่อฟัง จะใช้อะไรก็ว่ากันเท่านั้นเอง แน่นอนฝึกฝน มันก็จะผิดบ้าง พลาดบ้าง เผลอบ้าง พลั้งบ้าง มันก็ไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้า เริ่มต้นใหม่ พระวิญญาณ ก็จะนำเราต่อไป ให้เชื่อมั่นตรงนี้ ให้ไว้วางใจในพระเจ้าตรงนี้ นี่คือถ้อยคำแห่งความจริง  พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 3

            คริสเตียน

            ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป …

            หลังเชื่อ เป็นทาสความชอบธรรม

            โรม 6:16-18 … “16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาส ต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้ท่านจะเคยเป็นทาสของ ความบาปมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ ท่านได้เชื่อฟังแบบอย่าง คำสอนที่พระเจ้าให้ครอบครองท่านนั้นอย่างสุดหัวใจ 18 ท่านจึงไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป แต่เป็นทาส (ความชอบธรรม) ที่ทำตามใจพระเจ้า”

            ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป โดยมีธรรมชาติในวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำไปสู่ความตาย และคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ เป็นทาสความชอบธรรม โดยมีธรรมชาติในวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า นำไปสู่ชีวิตและพระพรนานัปการ

            ก่อนเชื่อเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง

            หลังเชื่อเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง

            คริสเตียนจึงเป็นลูกของพระเจ้า ที่มีธรรมชาติในวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง   พระเจ้าอวยพรครับ