วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1493

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 9

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 3 ต่อข้อที่ 18 เดือนที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 17 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:17 “ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้  คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี  ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”

            เราจบลงตรงนี้ วันนี้ เรามาต่อข้อที่ 18 …

        กาลาเทีย 3:18 “เพราะหากการรับมรดกขึ้นกับบทบัญญัติ ก็ไม่ได้ขึ้นกับพระสัญญาอีกต่อไป แต่โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าประทานมรดกแก่อับราฮัม  ผ่านทางพระสัญญา”

            อันนี้ชัดเจน อาจารย์เปาโลกำลังเน้นย้ำให้กับชาวกาลาเทียและคนในยุคนั้นได้เห็นถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าพระองค์ประทานความรอดให้กับคนยิวก่อน ต่อจากนั้น ก็เป็นพวกเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติ โดยผ่านทางพระสัญญา ที่พระเจ้าทรงให้กับอับราฮัม ตอนที่พระองค์เรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมืองของตัวเอง แล้วพระองค์บอกว่าประชาชาติทั้งหลายจะได้รับพร เพราะเจ้า

            “พร” ตรงนี้ คือพระพรแห่งความรอด ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้หลายพันปี เพื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลายบนไม้กางเขน มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว จบ หมายความว่าเลือดของพระเยซูคริสต์สามารถชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ ทั้งในอดีต ก่อนที่เชื่อพระเจ้า ทั้งในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว และในอนาคตข้างหน้าที่เราจะทำบาปอีก เราต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียน เรายังคงทำบาปอยู่ ถ้าใครบอกว่าตัวเองไม่เคยทำบาป คนนั้น ก็โกหก

            พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ รู้ว่าเรายังอยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังมีโอกาสที่จะถูกล่อลวง ด้วยระบบของโลกใบนี้อยู่ เราสามารถที่จะดื้อกับพระเจ้า การดื้อกับพระเจ้า ก็คือไม่ทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าบอกไว้ ให้กับพวกเรา เราก็ไปทำตรงกันข้าม เขาเรียกว่าดื้อ พอดื้อ ก็คือทำบาป แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำบาปลงไปด้วยความตั้งใจ จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว ไม่มีการตั้งใจ ที่จะทำบาปแน่นอน  เพราะว่าในวิญญาณของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้ววิญญาณใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย  ก็คือไม่มีบาป เมื่อไม่มีบาป โอกาสที่เราจะตั้งใจทำบาป มันไม่มีอยู่แล้ว  แต่ว่าเราเผลอไปถูกล่อลวงด้วย ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา เราก็เลยทำบาป

            การทำบาป ก็คือไม่ได้ทำตามตัวตนแท้ๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าพระบิดารู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์ ยังอยู่ในร่างกายนี้ โอกาสที่จะทำบาป มีเยอะแน่นอน พระเจ้าก็เลยเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องรอให้มนุษย์มาขอ ในหนังสือฮีบรูบอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งลงครั้งเดียวเป็นพอ แล้วพระโลหิตของพระองค์สามารถที่จะชำระ ตั้งแต่บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย และตรงนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น แต่สิ่งที่พระเยซูทำเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือของขวัญได้เตรียมไว้สำหรับทุกคนบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ที่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้ เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระองค์ แล้วเขายอมเข้ามารับของขวัญนี้หรือไม่?

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พวกเราทุกคน ที่มานั่งอยู่ที่นี่ คือเราได้ยิน เราได้ฟังข่าวดี แล้วระยะเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราต้องการพระองค์ แล้วเราก็เดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า ของขวัญที่พระเจ้าให้กับเรา ไม่ได้ให้อย่างเดียว แต่ให้มาเป็นกล่องโตๆ กล่องใหญ่ๆ เลย คือพระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระพรเหล่านี้เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราอาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่รู้สึก ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเรื่องนี้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อวันที่พระเยซูตะโกนดังๆ ว่า …

            “สำเร็จแล้ว”

            ก็คือพระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ณ ปัจจุบัน เราเลยอยู่ด้วยความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ณ เวลานี้ พระเจ้าทำให้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำให้เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ก็คือตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึก แล้วเรารับเอาด้วยความเชื่ออย่างเดียวเลย คือเราต้องเชื่อเอานั่นแหละ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ตัวตนก็ยังเหมือนเดิม ดำก็ดำเหมือนเดิม ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือในวิญญาณของเราได้เปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระเจ้า 100% เต็ม

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าการรับมรดก ขึ้นกับบทบัญญัติ ถ้ามนุษย์สามารถรับมรดก โดยบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระเจ้าเขียนไว้ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที โดยไม่มีการผิดพลาดเลย อันนั้นพระเจ้ารับได้นะ ถ้าใครสามารถทำถึงขนาดนั้น พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ มนุษย์อยู่ในความบาป มนุษย์เป็นคนบาป และกระทำบาป ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำจนถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้

            พระองค์จึงให้คำสัญญาผ่านทางอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา ก็คือผ่านทางบิดาแห่งความเชื่อ ตั้งแต่วันแรกที่เรียกอับราฮัมออกมา แล้วพระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาว่า …

            “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะได้พระพร และประชาชาติเยอะแยะจะได้รับพระพร เพราะเจ้า”         

            แล้วพระพรผ่านทางพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้  ก็คือรอเวลาที่พระเยซูคริสต์ถูกกำหนดให้มาเกิดบนโลกใบนี้  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ข่าวดีของพระเจ้าได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม ก็เรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นับตั้งแต่วินาทีนั้น จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ทำให้บทบัญญัติทุกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ทำให้เราสามารถที่จะทำตามบทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เพราะพระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรารับพระคุณนี้ โดยที่เราไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย ในพระคัมภีร์บอกว่าในอาดัม มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เราเกิดมา ก็บาปเลย  เป็น DNA บาป สืบเชื้อสายมาตั้งแต่มนุษย์คู่แรก จนถึงยุคของเรา  และในอนาคตข้างหน้าด้วย มนุษย์ทุกคนเกิดมาในบาป และก็ทำบาป แล้วก็เดินทางไปสู่ความบาป ความตาย ความพินาศ  แต่ของประทานที่พระเจ้าให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  ก็คือใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ  เพื่อเขาบนไม้กางเขน โดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาสถิตอยู่ในเขา  เขาคนนั้นจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมทันที โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น

            ก่อนที่พระเยซูมา เราเกิดมาเป็นคนบาป  แต่หลังจากที่พระเยซูเสด็จมาบนโลกใบนี้ และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เราบังเกิดใหม่  เราก็เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ

            ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับชีวิตนิรันดร์ชนิดแบบเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม มันได้สำเร็จเรียบร้อยในพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 3:19-20 “19 ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร?    การที่มีบทบัญญัติเพิ่มขึ้นมา  ก็เพราะการล่วงละเมิดทั้งหลาย และบทบัญญัตินี้คงอยู่จนกว่า “พงศ์พันธุ์” นั้นซึ่งพระสัญญาระบุไว้มาถึง บทบัญญัติมีผลบังคับใช้ผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์โดยคนกลาง 20 อย่างไรก็ตามคนกลาง   ไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว”

            พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างด้วยตัวของพระองค์เอง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ พันธสัญญาเดิม พระเจ้าให้ทูตสวรรค์เป็นคนกลางที่ทำพันธสัญญากับมนุษย์ แต่สัญญาตรงนั้น ยังต้องใช้กำลังของตัวมนุษย์เอง  ที่จะต้องทำด้วย กฎระเบียบต่างๆ ที่ถูกบันทึกมาไว้ ก็คือพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับคนยิว เริ่มต้นที่คนยิว ผ่านทางโมเสส เริ่มต้นที่โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า 40 วัน พระเจ้าก็ให้บทบัญญัติมา บัญญัติ 10 ประการ

            สมัยก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ดูหนัง โมเสส บัญญัติ 10 ประการ เราตื่นเต้นยินดี แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร? แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารู้ว่าสิ่งแหล่านี้ พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่านี่ บทบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าให้ไว้ แค่ว่ามนุษย์จะได้มาอยู่ในระบบระเบียบ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ มนุษย์ก็ไม่มีระเบียบ ถ้าไม่มีข้อห้าม มนุษย์ก็ทำตามใจตัวเอง เหมือนสมัยก่อน ก่อนที่จะมีกฎหมายบ้านเมือง มนุษย์ก็เป็นคนเถื่อน ฆ่าใครตายก็ได้ จะไปชิงทรัพย์ใครก็ได้  จะไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม แต่เมื่อมีกฎหมายปุ๊บ ถ้าทำผิดจากกฎที่เขาตั้งไว้ ก็ต้องรับโทษ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            แล้วพระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้ เพื่อที่จะให้คนยิว ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิมรักษาตรงนี้ไว้ แต่คำว่า “รักษาตรงนี้ไว้” มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าสั่งไว้ คือมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ เพราะแม้ว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้า พระเจ้าเลือกเขาไว้ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ พี่น้องต้องรู้ตรงนี้ คนยิวในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม เขายังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ใน DNA ของอาดัม เขาไม่ใช่ผู้ชอบธรรม

            เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมผ่านทางความเชื่อ ตามที่พระเจ้าสั่งอับราฮัมไว้ จากโมเสส พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ แล้วคนอิสราเอลก็ทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้ ใครก็ตามที่มาทำตามนั้น เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นประชากรของพระองค์ หมายความว่าชั่วคราว ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่ได้เข้ามาสถิตกับคนอิสราเอลเลย พระเจ้าอยู่รอบๆ  ฉะนั้น คนอิสราเอล เวลาพระเจ้าจะทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์ หรือจะทำการงานของพระองค์ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พระองค์ก็จะเข้าไปสถิตอยู่กับผู้เผยพระวจนะคนนั้น เป็นตัวแทน เป็นปาก เป็นเสียงให้กับพระเจ้าที่จะประกาศกับคนอิสราเอลได้รับรู้ว่าความต้องการของพระเจ้า ณ เวลานั้นๆ คืออะไร? แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ออกมา พระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ก็คือใช้งานเสร็จ พระเจ้าก็ออกมา นี่คือสมัยเดิม มันเป็นอย่างนั้น

            แล้วสมัยเดิม หนักกว่านั้นอีก ก็คือพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ สะอาดมาก แต่มนุษย์เป็นคนบาป ติดเชื้อบาปอยู่ มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้ เข้าใกล้เมื่อไร? ตายเมื่อนั้น พระเจ้าเลยตั้งกฎเกณฑ์อันหนึ่ง ให้มีชนเผ่าเลวีที่จะเป็นคนกลางระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า  ที่จะเข้ามาสารภาพบาปกับพระองค์ เอาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ในแต่ละปี หรือเอาเครื่องธัญบูชา หรือเอาอะไรที่มีบาปเบี้ยใบ้รายทางทุกวี่ทุกวัน  ก็เอามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า คนอิสราเอลสมัยก่อนเป็นแบบนั้นนะ ก็ลำบากประมาณหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ก็เอาของมาถวาย ทำผิดนิดหนึ่ง ก็ห้ามเข้าในพระวิหารของพระเจ้า ถ้าผู้ชาย 7 วัน ถ้าผู้หญิง 14 วัน กฎเยอะมาก

            ฉะนั้น กฎตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อให้คนอิสราเอลรักษาตรงนี้ไว้ จนกว่าบุคคลที่เป็นไปตามพระสัญญา ที่พระเจ้าจะส่งมา ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา การถวายเครื่องบูชา ก็จบลง กฎเก่าก็จะถูกยกเลิกไป พระเจ้าก็จะตั้งกฎใหม่

            แต่ ณ เวลานี้ ในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เมื่อมีกฎ คนก็จะถามว่าถ้ามนุษย์มาเชื่อพระเจ้า โดยพระสัญญา แล้วพระเจ้าเอากฎพวกนี้มาเพื่ออะไร? กฎพวกนี้ เพื่อพระเจ้าจะเล็งให้มนุษย์เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้าได้ 100% เต็ม อย่าทำเลย อย่าพยายาม อย่าพยายามสร้างความชอบธรรม ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ให้สร้างความชอบธรรมผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ คือมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร เป็นของขวัญ เป็นของฟรีที่ให้เปล่าๆ รับปุ๊บ ได้ทันที นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ

        กาลาเทีย 3:21-22 “21 ถ้าเช่นนั้น  บทบัญญัติขัดกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! เพราะถ้าทรงให้มีบทบัญญัติซึ่งให้ชีวิต ความชอบธรรมย่อมมีได้โดยบทบัญญัติ 22 แต่พระคัมภีร์ประกาศว่าทั้งโลก  ตกเป็นนักโทษของบาป เพื่อว่าสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น  จะประทานแก่บรรดาผู้เชื่อ โดยทางความเชื่อ  ในพระเยซูคริสต์”

            นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมการไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความผิดบาป หรืออีกนัยหนึ่ง ให้มนุษยชาติสามารถเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ การคืนดีกับพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะพึ่งความดีของตัวเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม มาคืนดีกับพระเจ้าได้

            วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป จากที่เดิมเคยคุยกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าแบบใกล้ชิดสนิทสนม คุยกันกระหนุงกระหนิง เป็นครอบครัว เป็นลูกกับพ่อ เป็นพ่อกับลูก แต่วันที่มนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา เรารู้ได้อย่างไรว่าผลักพระเจ้าออกจากชีวิตของเขา เพราะว่ามนุษย์ตัดสินใจ ที่จะพึ่งในความดีงามของตัวเอง แทนที่จะพึ่งความดีงามที่พระเจ้าบอกเขาว่า …

            “พระองค์สร้างเขาดีแล้ว ดีสุดแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร ฉันสร้างเธอสุดยอดแล้ว เธอแค่ทำหน้าที่อย่างเดียว ไปชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งที่เราสร้างให้เจ้า”

            ก็คือในสวนเอเดนทุกอย่าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ ก็ให้ไปชื่นชมยินดี ไม่ได้ให้มนุษย์ทำงานนะ หลายคนคิดว่าอาดัมยังต้องทำงาน ต้องดูแลสวน ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าให้สวนนั้นสวยสดงดงาม ไม่ต้องไปหว่าน ไม่ต้องไปรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย อะไรในยุคนั้นที่ความบาปยังไม่เข้ามา ทุกอย่างงดงามตามที่พระเจ้าได้สร้างไว้

            มนุษย์ทำหน้าที่อย่างเดียว คือเชื่อวางใจในพระองค์ แล้วก็ชื่นชมกับทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้ให้ แค่นั้นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ถูกหลอก หลอกแบบใสๆ หลอกแบบไม่คิดว่าตัวเองจะกบฏกับพระเจ้า เขาคิดว่าเขาอยากจะทำดี เพื่อที่จะให้พระเจ้าพอใจ เราเคยไหม อยากทำดีให้พ่อแม่มีความสุข  แต่พระเจ้าบอกอาดัมกับเอวาว่า …

            “ไม่ต้อง เธอดีแล้ว เธอไม่ต้องทำเยอะกว่านั้น”

            แต่เอวาหลงเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน มาในคราบของงูว่า …

            “ที่พระเจ้าห้าม ไม่จริงหรอก อย่างไรเธอก็ไม่ตาย  แต่ถ้าเธอกิน ตาเธอจะสว่างขึ้น เธอจะสามารถรู้จักว่าความดี ความชั่ว คืออะไร? เธอสามารถที่จะทำดีได้ ด้วยกำลังของเธอเอง”

            ฟังอย่างนี้ “ว๊าว! สุดยอดเลย น่าจะลองดู”

            แล้วก็เริ่มต้น ตัดสินใจ เมื่อการตัดสินใจของมนุษย์คู่แรก เท่ากับเขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

            “ณ เวลานี้ พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ต้องการพระองค์แล้ว ลูกสามารถทำเองได้ เชิญพระองค์ออกไป”

            นี่อัตโนมัติเลยนะ เมื่อมนุษย์เป็นคนบาปปุ๊บ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้ พระองค์ก็ต้องเชิญตัวพระองค์เองออกไป ไม่อย่างนั้นอาดัมเอวาตายแน่ๆ พระองค์ก็ออกไป

            เราจะเห็นภาพหนึ่ง ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือให้เป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับมนุษย์ด้วย ตั้งแต่อดีต มนุษย์คู่แรก จนถึงปัจจุบัน จนถึงพวกเราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเรา พระองค์ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจทุกเรื่อง แม้ว่าเราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มีสิทธิ์ที่จะบังคับเราก็ได้ แต่พระองค์ไม่บังคับ พระองค์ยังให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจเลือกว่าเราจะดำเนินชีวิต ตามตัวตนแท้ๆ ที่เราตอนนี้เป็นแล้ว เป็นความชอบธรรม เป็นความรัก เป็นความดีงาม คือเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เราจะยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลตรงนี้ ที่มันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปให้ชาวโลกได้เห็นไหม? หรือเราจะเชื่อตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา คือความเคยชินเก่าๆ ที่เรายังเคยทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า แล้วเราก็ตัดสินใจว่าเราทำตามมัน พอทำตามปุ๊บ เราก็พลาดจากการเชื่อฟังพระเจ้า แต่ข่าวดี คือถ้าเป็นเมื่อก่อน ลงโทษเลย  แต่ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว การลงโทษ จะไม่มีสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่เป็นเรื่องของโลกวิญญาณนะ เราต้องยึดตรงนี้ไว้ อย่างไร วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเหมือนเดิมแหละ แต่ร่างกายเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานกฎ ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณและกฎฝ่ายโลกนี้  แล้วพระองค์ก็เป็นผู้รักษากฎด้วย พระองค์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ลำเอียงด้วย

            “คนนี้ลูกเรา ทำไปเถอะ ไม่ลงโทษก็ได้ ปล่อยผ่านไปๆ”

            ไม่มี ถ้าผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาจะได้รับผลบนโลกใบนี้เท่านั้น ก็คือหว่านอะไร ท่านต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ท่านจะมาอ้างว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องถูกลงโทษ เราไปฆ่าคนตาย แล้วเราก็เดินไปบอกตำรวจว่า …

            “ไม่ต้องมาจับฉันหรอก ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกฉันว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ตำรวจ ไม่มีสิทธิ์จับฉัน”

            จริงหรือ? มันไม่ใช่นะ ตำรวจจับท่านแน่ๆ แล้วท่านต้องไปติดคุกด้วย ถ้าโทษถึงตาย ท่านก็ตายด้วย ตายอยู่ในคุกก็ได้ ถูกประหารชีวิตก็ได้ แต่โลกนี้ประหารชีวิตท่านได้เฉพาะร่างกายนี้เท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังเป็นของพระเจ้าอยู่ วิญญาณของท่านยังเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมนิรันดร์กาล เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  ไม่มีการเป็นลูกวันนี้ พรุ่งนี้ทำไม่ถูกต้อง ระเห็จไปเป็นลูกมาร  พรุ่งนี้ทำดี พระเจ้าเอากลับมาใหม่ ไม่มีนะ เราถูกหลอก พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่หลงเชื่อระบบโลกนี้ พระเจ้ายังคงรักเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคืออะไรรู้ไหม? พระเจ้าก็เศร้าไง …

            “ลูกเอ๋ยๆ ลูกไปทำอย่างนี้ เดี๋ยวลูกก็เจ็บตัวหรอก ลูกเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บนะ”

            เวลาเราเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บกว่าเราอีก พระเจ้าไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ผู้เชื่อไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของเรา แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาต เราบอกพระเจ้าอนุญาตเหมือนพระเจ้าส่งเสริมเราทำ ไม่ใช่ ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมนไง? เราตัดสินใจอะไร พระเจ้าต้องเอเมนตาม ก็คือเหมือนอนุญาต แบบไม่อยากให้ทำ แต่ก็ยังคงต้องอนุญาต แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแน่นอน

            สิ่งที่เป็นความจริง ที่เราต้องรู้  ก็คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เราบังเกิดใหม่จริงๆ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ ธรรมชาติใหม่ของเรา สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจริงๆ แล้ว เราไม่มีความต้องการที่จะทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เราอย่าคิดว่าเราสามารถที่จะมีความสุขกับการทำบาปได้ตลอดเวลา ไม่มีทางแน่นอน เพราะเราเป็นผู้เชื่อ

            อย่างที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่างให้ฟังว่าสมมติว่าเราเป็นเจ้าสาว แล้วเราใส่ชุดสีขาวสวยๆ เวลาเราเดินออกไปข้างนอก เราจะระวังมาก ถ้าเราเจอฝนตก เราจะค่อยๆ ย่อง ถ้าเราเดินพั๊บๆ น้ำมันพุ่งขึ้นมา สกปรกหมด เราก็จะค่อยๆ เดินไป เราจะรักษาชุดของเราให้ดีที่สุด ให้มันเปื้อนน้อยที่สุด มันเป็นภาพนะ

            แต่ถ้าสมมติว่าเจ้าสาวคนนั้น ไม่ได้ใส่ชุดสวยงาม ใส่แบบโกโรโกโส ไม่มีตังค์ซื้อชุดแต่งงาน ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์  เขาก็ไม่ต้องระวัง เดินออกไป ฝนตก ไม่เป็นไร ฉันก็กางร่ม เจอโคลน ฉันก็ย่ำไปเลย สกปรก เดี๋ยวก็ไปซัก

            มันเป็นภาพให้พวกเราเห็นว่าในวิญญาณของเรา เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เราจะระวังมาก เราจะไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีความสุขมากกับการทำบาป มันไม่มีทาง เมื่อเราหลงเชื่อคำหลอกลวงของโลกนี้ ทำไปแป๊บเดียวเอง สิ่งแรกที่มันเกิดขึ้น คือข้างในเราไม่สบายใจทันทีเลย เพราะว่ามันผิดกับวิญญาณจริงๆ ของเรา มันไม่ใช่เลย ดังนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วไม่ต้องกังวลว่าคริสเตียนจะสามารถแช่อิ่ม อยู่ในความบาป อย่างมีความสุข ไม่มีทาง

            คริสเตียนจะเป็นโรคหนึ่ง คือโรคแพ้ความบาป  เขามีแพ้ฝุ่น แพ้อากาศ แพ้ทุกอย่าง แพ้อาหาร แพ้ปู แพ้ปลา แต่ว่าคริสเตียนเป็นโรคแพ้ความบาป ถ้าเราทำบาปปุ๊บ เราจะคันคะเยอไปทั้งตัว เราอยู่ไม่ได้ เราทุกข์ นึกภาพคนที่แพ้ ทุกข์ทรมาน มันไม่ได้มีความสุขหรอก แล้วถ้ามันทุกข์ทรมานมากๆ  เรายังอยากทำอีกไหม? ไม่อยากแน่นอน เหมือนเรารู้ว่าอันนี้ มันไม่ถูกกับเรา เราก็ไม่พยายามไปกินมัน เราต้องเลี่ยง ไม่ใช่ว่าไม่เป็นไรหรอก แค่คันๆ เท่านั้นเอง  เดี๋ยวกินไปให้มีความสุขก่อน มันเป็นไปไม่ได้ คือมนุษย์ทุกคนรักชีวิตของตัวเอง พวกเราทุกคนก็รักชีวิตของตัวเอง  เราอยากให้ชีวิตของเรามีทุกข์น้อยที่สุด มีสุขมากที่สุด แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค พระองค์จะนำพาย่างเท้าของเรา พระองค์จะคอยเตือน คอยบอก คอยแนะนำเราในสิ่งสารพัด

            อาจารย์เปาโลบอกให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นผู้สะอาด ชอบธรรม หมดจดเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเป็นเหมือนพระเยซู เราจะกล้าไปทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกไหม? มันไม่มีทาง โดยวิญญาณของเรา เราอยากทำดี ความอยากนะ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เพราะวิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า แต่เนื้อหนังอาจถูกล่อลวงได้ ไม่เป็นไร พี่น้องก็ไม่ต้องไปรู้สึก แย่แล้วๆ ถ้าเราทำผิด แล้วทำอย่างไร? พระเยซูบอกทำผิด ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมา แล้วเราก็เริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่ เมื่อเราพลาด พระองค์จะให้กำลังเรา เราจะพลาดน้อยลง เราจะรับรู้ความจริงมากขึ้น  ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงมากเท่าไร? พี่น้องก็จะทำผิดน้อยลง แต่ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงน้อย พี่น้องก็จะทำผิดมากขึ้น มันเป็นกฎปกติ ที่เราเห็นชัดๆ

            สมมติว่าแก้วใบนี้ เราใส่น้ำโคลนไว้ เรียกว่าสิ่งที่โกหก หลอกลวงมาใส่ไว้ในแก้วใบนี้  แล้ววิธีการที่เราจะไล่น้ำโคลนนี้ทิ้ง ก็คือใส่น้ำสะอาดลงไป ไล่มันไปเรื่อยๆ เราจะเห็นภาพนะ พี่น้องเคยทำไหม? ใส่มันไปเรื่อยๆ จนไล่น้ำโคลนออกไปหมด ถ้ายังเหลือนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไล่ไปเรื่อยๆ ใส่ไปจนน้ำโคลนหายหมด เหลือแต่แก้วที่ใส่น้ำสะอาดหมดจด

            ลักษณะเดียวกัน ความเคยชินเก่าๆ มันยังอยู่ในเรา สิ่งที่เราทำได้ ก็คือเอาความจริงของพระเจ้าใส่เข้ามา ใส่มาในแก้วใบนี้แหละ ไล่เอาการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ ออกไปจากแก้วใบนี้ ค่อยๆ ไล่ มันจะค่อยๆ ออกไป แต่ถามว่าเราสามารถที่จะทำดีทุกอย่าง โดยไม่มีข้อผิดพลาดในชีวิตนี้  ทำได้ไหม? ไม่มีทาง จนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลมหายใจออกจากร่าง เรายังเผลอทำบาปอยู่เลย  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และถ้าเราจะไม่ทำบาปเลย ครบถ้วนสมบูรณ์เลย มีทางเดียว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทิ้งร่างกายนี้กับสิ่งต่างๆ ที่เราทำบนโลกใบนี้ ทิ้งไว้ เอาวิญญาณใหม่กับความคิดจิตใจใหม่ ขึ้นไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย  เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายที่เราสามารถที่จะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  โดยที่เราไม่ต้องถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์แล้ว ทุกวันนี้เราถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกจากกันไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็ซ่อนเราเอาไว้  ปกป้อง คุ้มครอง นำพาย่างเท้าของเรา

            คำว่า “ปกป้อง คุ้มครอง” ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินบนกลีบกุหลาบ ไม่เจอปัญหา อุปสรรค ไม่ใช่ แต่พระเจ้าจะปกป้อง คุ้มครองวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปรับชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว แต่อีก 2 อย่างที่เรายังไม่ได้รับ  มันเป็นความหวังของผู้เชื่อทั้งหลาย  แล้วก็เฝ้ามอง เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่สนใจซ้าย ขวา ข้าพเจ้าโน้มตัวไปข้างหน้า  เพื่อไปรับรางวัล”

            รางวัลของเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ เราคิดว่าต้องเป็นแก้ว แหวน เงินทอง ไม่ใช่นะ รางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างให้ใหม่ คือวันหนึ่งข้างหน้า โลกนี้สลายไป  เราจะไปอยู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน บนโลกใบนี้ ซ้ายขวา หน้าหลัง  เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอะไร ช่างมันเถอะ แป๊บเดียวก็หมดไป เราต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวเราก็ตายไปแล้ว หรือเราใช้ชีวิตแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง วันนี้ไม่มีเงินกินข้าว พรุ่งนี้มีกิน 2 มื้อ มะรืนนี้กิน 3 มื้อ อีกวันหนึ่งอดอาหารเลย อดอาหาร เพราะไม่มีเงินซื้อข้าว อะไรแบบนี้ ก็ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเองอยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียวเอง พระเจ้าบอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นบ้านถาวรของเรา

            บ้านถาวรของผู้เชื่ออยู่บนสวรรค์ และสายตาของพวกเราจ้องไปที่โน่นเลย คือมีเป้าหมายเดียว ที่เราวิ่งแข่งไป เพื่อถึงจุดหมายปลายทางนั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีอะไรที่เข้ามาแทรกแซง เข้ามาพยายามที่จะหันเหความสนใจของเรา ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ต้องสนใจ เราวิ่งไปตรงนั้นเลย จนถึงแต่ละคน พระเจ้าจะมีกำหนดเวลาของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็จะมารับวิญญาณเราไปอยู่กับพระองค์ และ ณ เวลานั้นแหละเราจะได้ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตอนนั้น เราก็ไปนั่งรอพี่น้องทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ เราไปนั่งเชียร์อยู่บนสวรรค์ ถ้าอีก 2-3 วัน ดิฉันจากไปอยู่กับพระเจ้า ดิฉันจะไปนั่งเชียร์พวกเราบนสวรรค์

            นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อ เราจะมีความสุขเหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร นี่คือกำไรชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย ฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปกลัวเกรง ถ้าเรารู้ความจริงไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็จะกลัวว่า …

            “ตอนนี้ ฉันยังทำอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรเลย  แล้วตกลง ถ้าวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันยังได้รอดไหม?”

            ยืนยันนะ พระเยซูคริสต์บอกว่าเรารอดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว รอดแล้วรอดเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้นิรันดร์กาล  แล้วหลังจากจากโลกนี้ไป เราก็ยังรอดอยู่ เหมือนเดิม เปลี่ยนไม่ได้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เปลี่ยนไม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์กาล เป็นแล้วเป็นเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เอเมน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เป็นภาระหนักและทุกข์ใจ

                        ถ้า!

            เป็นปลาฝืนขึ้นมาอยู่บนบก

            เป็นนกฝืนลงมาต๊อกๆบนดิน

            เป็นสิงห์ฝืนกินหญ้า

            เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว … ฝืนทำบาป เพราะ …

            มันฝืนธรรมชาติ งัย!

            เมื่อได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติตัวตนแท้จริงภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ ดีงามแล้ว พระเยซูก็เริ่มต้นสอน ฝึกฝนเราให้ประพฤติดีงาม ตามธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นทันที เหมือนเด็กทารกแรกเกิด เริ่มต้นฝึกฝน กิน คลาน นั่ง เดิน ค่อยๆ พัฒนาไป

            การบังเกิดใหม่นี้เราได้รับ โดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซู ไม่ใช่การกระทำดีด้วยตัวของเราเอง จึงเรียกว่าพระคุณ

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            พระเยซูจะสอนเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วย เป็นพี่เลี้ยงเรา ด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า น้องๆ ของพระองค์

            กาลาเทีย  5:16-21 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า ให้เราดำเนินชีวิตและอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ และสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่อยากจะสนองต่อความต้องการ ของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มันคืออิทธิพลพลังของความบาป) ที่ยังคงกระทำการงานอยู่ในร่างกาย และโปรแกรมเดิมในความคิดในสมอง 17 เพราะว่าความต้องการของโลกียตัณหาเนื้อหนังนี้ มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกโลกียตัณหาเนื้อหนัง คอยขัดขวางในการที่จะทำตาม ความปรารถนาในใจของท่าน 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมันอีกต่อไป) 19 การงานของโลกียตัณหาเนื้อหนัง (อิทธิพลพลังของความบาป) นั้นเห็นได้ชัด คือ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก 20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาท การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน 21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่าน (ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูให้ท่าน) มาก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าขอย้ำเตือนท่าน (ในเรื่องข่าวดีของพระเยซูนี้) เหมือนกับที่เคยเตือน (ประกาศแก่ท่าน) มาแล้วว่าคนที่ (ฝึกฝนกระทำสิ่งเหล่านี้ ตามธรรมชาติของตัวตน ที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นคนบาป ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) จะไม่ได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก (ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า)”

            เพราะฉะนั้น มาต้อนรับพระเยซูและบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อวิญญาณและจิตใจ ตัวตนแท้จริงของท่านจะได้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นธรรมชาติเหมือนของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ