วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1490

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 9 “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

            “ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ” ต้องว่าจริงๆ เพราะว่ามันมองไม่เห็น  เราต้องบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยเป็น ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราได้เรียนรู้มา

            สรุป เราได้เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้วในหนังสือ 1 ยอห์น 8 ตอนแล้ว เราได้เรียนรู้ว่าเริ่มต้น ยอห์นได้เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  เพื่อเป็นพยานให้กับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่อยู่ท่ามกลางคริสตจักร ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่ามกลางคริสเตียน  นึกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน   อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนด้วย   คือพวกนอสติก พวกเชื่ออะไรแปลกๆ ข่าวดี แต่ไม่เหมือนกับข่าวดีจริงๆ  แต่เป็นเรื่องของพระเจ้า ซึ่งอาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนมาแย้งให้เขาได้รู้ความจริง และเป็นพยานด้วยว่าสิ่งที่คุณเข้าใจผิดจริงๆ มันคืออะไร?  เพราะว่าอาจารย์ยอห์นเดินกับพระเยซูมาตั้งแต่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขน จนกระทั่งถูกตรึง และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อาจารย์ยอห์นก็ยังเดินอยู่กับพระองค์อยู่ตอนนั้น ถึง 40 วัน จึงเป็นพยานว่าพระเยซูเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ

            และขณะเดียวกันก็ชี้ให้คริสเตียน ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ ในขณะนั้น  ได้รู้ถึงสถานะของตนเอง ในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในพระเมซิยาห์ พระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในขณะเดียวกัน คือชี้ให้เห็นถึงทั้ง 2 ฝ่าย ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าคนที่ไม่เชื่อ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริง เขาเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ และคนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ นั้น เป็นลักษณะอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ยอห์นไม่ได้มาเขียนหนังสือ 1 ยอห์น เพื่อที่จะมาสอนให้คริสเตียน หรือคนที่ไม่ใช่คริสเตียนประพฤติ หรือกระทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อที่จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ไม่ได้มาสอนให้กระทำ  ไม่ได้มาสอนให้ทำดี พูดง่ายๆ  แต่มาประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคริสต์ทำอะไรบ้าง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี ข่าวดี คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูคริสต์กระทำให้สำเร็จ ทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ  มันบังเกิดขึ้น เพียงแต่ท่านเดินเข้าไปรับสิทธิของท่านเท่านั้น นี่คือหัวใจของการเรียนรู้ 1 ยอห์น และหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และทุกเล่ม  เป็นอย่างนี้

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? สรุป ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  พระเมสิยาห์ คือพระคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเจ้าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเหลือมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  ที่อยู่ในความบาป ที่เป็นคนบาป  ไม่มีคนไหนเลยที่ไม่ได้เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาปหมด  พระเจ้าสงสารและเห็นใจ และรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ชื่อพระเยซูคริสต์ สัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ตั้งหลายพันปีแล้ว ให้ชื่อว่าพระเมสิยาห์  ให้รอคอยพระเมสิยาห์  พระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์ เพื่อว่าจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้เป็นแพะรับบาปให้มนุษย์ทั้งปวง  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงสามารถไถ่มนุษย์ได้  ด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่มีเชื้อบาปในพระองค์เลย  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีบาปเลย พระองค์จึงสามารถเป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษย์ ที่เป็นคนบาปอยู่ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือหัวใจของข่าวดี มีแค่นี้

            แล้วพวกนอสติก พวกนอกรีตที่มีความเชื่อแบบแปลกๆ ก่อนหน้านั้น  หรือขณะนั้น  ที่เป็นความเชื่อในข่าวดี ข่าวดีของเขาแย้งกับหัวใจของข่าวประเสริฐเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมอธิบายสรุปรวมไว้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริงๆ  100% พระคัมภีร์บอกตัวเองเป็นคนบาป ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกทุกคนทำบาป เพราะข่าวดีของเขา เป็นข่าวดีปลอม เขาเชื่อแบบผิดๆ เพราะพวกนอสติกเขาเชื่อว่าทำอะไรก็เป็นบาปทั้งนั้น  มนุษย์ไม่มีทางทำบาปเลย แล้วพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก  เพราะสกปรก สิ่งที่มนุษย์ทำไป พระเจ้าไม่ได้คิดเป็นบาปเลย  แต่จริงๆ คือมันเป็นบาป นี่คือข้อแย้งที่ยอห์นได้มาประกาศให้กับพวกเขาได้รู้ ได้เข้าใจถึงความจริงของข่าวประเสริฐ  แล้วก็บอกว่าถ้าพวกท่านที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  เพียงแค่เปิดใจนะ ยอมสารภาพ ยอมจำนนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  และมาช่วยฉันที่เป็นคนบาปจริงๆ  และฉันขอสารภาพว่าฉันเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้น  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำตัวของฉัน  แค่นั้นเอง ท่านก็ได้รับอภัยโทษความบาปผิดทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านก็ได้มาเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมพ้นจากบาปทั้งปวง เกิดขึ้นทันทีเลยเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และต้อนรับข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น แค่เปิดใจเท่านั้น

            นี่คือสรุปรวม  เพื่อว่าในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ได้เป็นลูกพระเจ้าเลย  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีบาปอีกเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจเป็นเหมือนพระคริสต์เลย นี่ชี้ให้คนที่เป็นคริสเตียนแล้วได้รู้ว่าท่านเป็นขณะนี้เลย  อย่าให้ใครหลอกท่านว่าท่านยังไม่เป็น ท่านต้องกระทำอะไรบ้าง เพื่อให้ท่านสนิทกับพระเยซูคริสต์มากๆ เพื่อที่พระเจ้าจะได้รักท่านมากๆ  ท่านจะได้ไปสวรรค์เมื่อตายไปแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าถูกหลอก ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่ทันที  ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว  ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันที  และอธิบายให้ฟังว่าโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ท่านสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที และพระเจ้า 3 พระภาค ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านและพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคได้เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน แค่นี้เอง แล้วบอกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เพียงแค่รอคอยเท่านั้นเอง รอคอยวันที่จะพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  คือรอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป เพื่อเปลี่ยนร่างกายใหม่ เพื่อเป็นร่างกายที่เป็น เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ เพราะขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านที่เชื่อ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้วในโลกวิญญาณนั้น วิญญาณท่าน ใจท่านใหม่เอี่ยม  พระเจ้าทรงประทานให้ตั้งแต่วันที่ท่านรับเชื่อ เป็นวิญญาณและใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว บริสุทธิ์แล้ว ร่างกายท่านถูกชำระแล้วก็จริง แต่เป็นร่างกายเดิม  มันต้องตาย มันต้องสูญสิ้นไป เพื่อได้รับร่างกายใหม่ เพื่อว่าวิญญาณ และใจใหม่ที่บริสุทธิ์  สะอาดนั้น จะได้สวมกับร่างกายที่เหมาะสมกับเขา  ก็คือร่างกายนิรันดร์ ร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้น จากความตาย ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำการงานเหล่านี้ให้กับท่าน ท่านดำเนินชีวิตบนโลกนี้  ท่านก็รอคอยตรงนี้เอง นี่คือบทสรุปรวมของข่าวประเสริฐเหล่านี้ และข้อมูลที่อาจารย์ยอห์นได้เขียนข้อพระคัมภีร์นี้ โดยสรุปให้ฟังเท่านั้นเอง แล้วบางคนก็บอกว่า …

            “อ้าว! ถ้าเป็นอย่างนั้น เราบริสุทธิ์สะอาด แล้วทำไมเรายังทำบาปอยู่”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “ไม่มีทำบาปแล้ว ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด หมดจด ทั้งวิญญาณและจิตใจแล้ว ร่างกายได้ถูกชำระแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ถ้าท่านผิดบาปไป ก็ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว โดยโลหิตพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงอธิษฐานแก้ต่างให้ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ว่าท่านบริสุทธิ์”

            “อ้าว! แล้วทำไมเรายังทำบาป”

            ท่านทำบาป เพราะว่าถูกล่อลวง โดยภายนอก ก็คือคนรอบตัวท่าน ระบบของโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ความตาย ระบบของโลกใบนี้ คือกฎของความบาปและความตายคงอยู่ มันมีอิทธิพล มากระตุ้น มาล่อลวงให้ท่านคิดตามมัน แล้วก็เชื่อตามมัน ที่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อพระเจ้า แล้วก็หลงพลาดไปทำ ตามความเคยชินเดิม  เรียกว่าทำตามมัน ทำบาป

            เพราะฉะนั้น ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านสะอาดบริสุทธิ์  หมดจดแล้ว ทั้งตัวท่าน  แต่ท่านยังทำบาปจริงๆ  สรุปแล้ว คริสเตียนทำบาปไหม?  ทำ เราก็ยังทำบาปอยู่ แต่พวกนอสติกบอกว่าไม่แล้ว เราทำอะไร ก็ไม่บาปทั้งนั้น  ใครบอกล่ะ เป็นคริสเตียนก็ยังทำบาปอยู่ แต่เราทำบาปไป เพราะเราพลั้งพลาดไป เผลอไป เชื่อการหลอกลวงของอิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังต่างหาก ไม่ใช่ตัวเราทำ  ไม่ใช่ความคิดของเรา ความคิดของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะนี้  แต่ความคิดสกปรก ความคิดที่จะไปทำบาปนั้น มันความคิดจากข้างนอกเข้ามา มันไม่ใช่ความคิดของฉัน  ต้องยืนยันตามนี้ ต้องมั่นคงตามนี้

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น จึงบอกว่าคริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย  เพราะว่ามีเชื้อของพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด และดีพร้อมแล้ว  ไม่มีทางทำบาปเด็ดขาด เอเมน เราต้องเอเมน ไม่อย่างนั้นมันก็จะมาหลอกเราอยู่เรื่อยๆ

            นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝั่ง คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อพระเยซูจะเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรได้รับการสอนอย่างไร? ถ้าตรงนี้ที่ผมพูดเป็นความจริงในพระคัมภีร์ คริสเตียนควรได้รับการสอนให้รับรู้ว่าเขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่?  เขาควรจะได้รับรู้และเรียนรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้นะ  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ทันที เรียนรู้ยิ่งเยอะ ยิ่งดี ไม่ใช่ให้เขารับการสอน และเรียนรู้ว่าเขาต้องประพฤติตัวอย่างไร?  จะต้องรักษาความรอดที่ได้มาจากพระเจ้าอย่างไร?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์กับพระเจ้า? จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้เป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป? อยู่กับพระเจ้าตลอดไปได้?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงไม่สูญเสียความรอดในอนาคต ไม่ใช่ เขาควรจะเรียนรู้ว่าเขาได้เป็นใครแล้วในโลกวิญญาณ  ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่พระเจ้าทรงรักเขาดังแก้วตาดวงใจแล้วขณะนี้ บนโลกใบนี้  และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้ตรงนี้เยอะๆ ไม่อย่างนั้น ก็ถูกหลอกให้ไขว้เขว

            ครั้งที่แล้ว หลังจาก 8 ตอนแล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น 3:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้  เพื่อเราจะได้ต่อเนื่องวันนี้ได้ …

        1 ยอห์น 3:9-10 “9 คนที่เป็นคริสเตียนได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้าบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติเลย นอกจากพลาดพลั้งถูกหลอก 10 ด้วยเหตุนี้แหละ  ใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือคนที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม  ตามที่วิญญาณภายใน ได้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักพระคริสต์ เพราะอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณเดียวกัน ได้บังเกิดใหม่จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม เพราะวิญญาณภายใน ไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม แต่เป็นลูกหลานของมาร ก็จะเกลียดชังคริสเตียน และปฏิเสธไม่รักพระเยซูคริสต์ เพราะยังเป็นคนบาปยังไม่ได้เกิดใหม่จากพระเจ้า ยังฝึกฝนความบาป”

            ยอห์นชี้ให้เห็นถึงในโลกวิญญาณ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ กับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างขาวกับดำ ไม่มีคริสเตียนที่เทาๆ คือคริสเตียนที่ทำดีตั้งเยอะเลย แต่ทำบาปบ้าง ไม่มี คริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย เพราะเป็นหน่อเชื้อ เกิดจากพระเจ้านั่นเอง  แตกต่างกันสิ้นเชิง  เพราะว่าคริสเตียนบังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  แตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังไม่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น คนละขั้วเลย บังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  หรือยังไม่เกิดใหม่จากพระเจ้า  แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย คือขาวกับดำ คริสเตียนอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในความจริง ไม่เป็นคริสเตียน วิญญาณอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาป  อยู่ในความมุสา การโกหก ชัดเจน

            วันนี้เรามาต่อตอนที่ 9  ต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 3:11-12 …

        1 ยอห์น 3:11-12 “11 นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรก คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นเหมือนคาอิน ผู้เป็นฝ่ายมาร และฆ่าน้องชายของตน ทำไมเขาจึงฆ่าน้อง ก็เพราะการกระทำของตนชั่วร้าย และการกระทำของน้องชอบธรรม”

            จำไว้ว่าพื้นฐานการเรียนรู้ ก็คือไม่ได้มาสอนให้ท่านทำ ตรงนี้อ่านแล้ว ชอบคิดว่าเรากำลังมาสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน ไม่ได้มาสอนให้เรารักกันและกัน แต่มาบอกเรา มาชี้ให้เราได้เห็นว่าขณะนี้ วิญญาณเราเป็นอะไร?  วิญญาณของเราอยู่ในฝั่งรักซึ่งกันและกัน รู้จักกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ วิญญาณบาปก็จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม

            ตะกี้นี้ที่อ่าน 2 ข้อนี้  ก็คือวิญญาณที่บาป จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม ของผู้ที่ชอบธรรม พูดง่ายๆ ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง ชัดเจน คือขโมย ฆ่าและทำลาย ซึ่งเป็นของความมืด เป็นของมาร ต่อสู้ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับผู้ที่อยู่ในความสว่าง คือการให้ ความรัก และการเสริมสร้าง นี่ไม่ได้ชี้ให้ท่านไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนท่านต้องทำตัวอย่างไร? ให้เป็นความรัก ไม่เกลียดชังคนอื่น เปล่า กำลังมาบอกสภาวะของวิญญาณของท่าน มันเป็นจริงๆ วิญญาณของท่านเป็นความรัก วิญญาณของท่านเป็นความสว่าง เห็นไหม?

            “โลก” ก็คือระบบของโลก คือระบบของคนบาป  ระบบของโลกที่ตกลงไปในความบาป  โลกเกลียดชังผู้ที่ถูกช่วยให้รอดจากบาปแล้ว เรียกว่าพวกคริสเตียน โลกเกลียดชังคริสเตียน โลกเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น ในโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ จึงมีสงครามอยู่ เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ระหว่าง 2 พวก พวกหนึ่ง คือพวกที่เรียกว่าระบบของโลก  อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกหนึ่งเรียกว่าพวกมืด ต่อสู้กับที่เรียกว่าความสว่าง ผู้เชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ ตรงกันข้ามกัน นี่เป็นความจริง เป็นสถานะในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการสอนว่าให้เราประพฤติตัวอย่างไรเลย ถ้าเราจับจุดความหมายผิดไป มันแปลผิด จะไม่เข้าใจเลย ตรงนี้สำคัญมาก ต่อไป 1 ยอห์น 3:13-14 …

        1 ยอห์น 3:13-14 “13 พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจ ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน 14 เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิต เพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รัก  ผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย”

            พี่น้องทั้งหลาย ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านไม่ต้องแปลใจเลยว่าโลกนี้ทำไมเกลียดชังท่าน ยิ่งอดีต ยิ่งชัดเจน ตอนที่เขียนอยู่นี้ คริสเตียนตอนสมัย 2,000 ปีก่อน ถูกข่มเหง ถูกเกลียดชังอย่างไม่มีเหตุผลมากมาย เยอะมากเลย ปัจจุบันก็มีเยอะแยะมากมายไปหมด ทั่วโลก  เขาเรียกว่าถูกข่มเหง ถูกรังแก ด้วยโลกนี้ ไปตามธรรมชาติวิญญาณ

            เรารู้ว่าเราพ้นจากความตาย พ้นจากอาณาจักรของความมืดนั่นเอง เรารู้ว่าโลกใบนี้มันเป็นความมืด เป็นความบาป อยู่ในระบบของคำสาปแช่ง ความบาปและความตาย  แต่เราเป็นคริสเตียน ถูกช่วยให้พ้นจากอาณาจักรของความมืดแล้ว อาณาจักรของความตายแล้ว เราเข้ามาสู่ชีวิตและแสงสว่างแล้ว เห็นไหม?  กำลังบอกคริสเตียนว่าตอนนี้เราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของชีวิตแล้วนะ  เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่เป็นเครื่องหมายให้เราสังเกตได้ว่าเราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในชีวิตหรือไม่? ก็คือให้เรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่แล้ว มีเครื่องหมาย คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรารักพี่น้องในพระคริสต์ รักคริสตจักร มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพี่น้องในคริสตจักรทางวิญญาณ เรารักพระเยซูคริสต์ เอเมน

            นี่คือเครื่องหมายชัดเจน  เราอาจจะมองโลกวิญญาณไม่เห็น เราอาจจะมีความรู้สึกเฉยๆ หรือจับต้องอะไรไม่ได้เลย เรื่องความจริงเหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้ ก็คือพอเรามาเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าเราเริ่มต้นรักพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน รักแล้ว บางทีถูกหลอก ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้หรอก พอบอกว่าเป็นคริสเตียน เราก็รักเขาแล้ว ขับรถผ่านไปที่ไหน แล้วเจอโบสถ์ เราก็รู้สึกว่าชอบใจ พอเราได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์ เราก็อยากฟังอีก ร้องเพลง เราก็นมัสการพระเยซูคริสต์อีก อะไรอย่างนี้  นี่คือเครื่องหมาย หลักฐานแรก  ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในความสว่าง เพราะเรารักพี่น้องของเรา  ผู้ใดที่ไม่รัก ผู้นั้นยังอยู่ในความตาย เห็นหรือยัง? ผู้ใดที่ไม่รักคริสเตียน ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียนในวิญญาณ เขายังอยู่ในโลกของความบาป ก็เป็นศัตรูต่อต้านกับความจริง คือคริสเตียนทั้งหลาย โดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความประพฤติเลย แม้แต่นิดเดียว ข้อต่อไป 1 ยอห์น 3:15 …

        1 ยอห์น 3:15 “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง (ในพระคริสต์) ของตน ก็ย่อมเป็นผู้ฆ่าคน (ฆาตกร) และท่านทั้งหลายรู้แล้วว่าผู้ฆ่าคน ไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย”

            “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง” ก็คือผู้ที่อยู่ในโลก  คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในวิญญาณของเขา เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อของพระเจ้า เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อบริสุทธิ์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าอยู่ในใจเขา ใจเขา จึงเป็นใจที่ไม่มีความรัก โดยธรรมชาติ ก็คือใจที่เป็นความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และกับลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นศัตรูกับคริสเตียน เข้ากันไม่ได้นั่นเอง

            พระเยซูตรัสว่า “ในใจมีความเกลียดชัง ก็เท่ากับฆ่าคนตาย” ถ้าท่านโกรธ เกลียดใคร ก็เท่ากับท่านฆ่าคนตาย  พระองค์กำลังพูดถึงสภาพของวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? ไม่ได้พูดถึงความประพฤติ ไม่ได้พูดถึงการกระทำ แต่กำลังจะบอกว่าวิญญาณเป็นลักษณะใด? วิญญาณในใจเป็นคนบาป ก็เป็นคนบาป ไม่มีบาปเล็ก หรือบาปใหญ่ ไม่เป็นบาป ทำเฉพาะแค่เกลียดชังเท่านั้น ไม่ใช่ พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าในใจเป็นบาปอยู่ มันจะมีความเกลียดชัง แล้วความเกลียดชังนั้น เท่ากับฆ่าคนตาย ก็คือเป็นคนบาปเท่านั้นเอง  ทั้งหมดเป็นความบาป ความประพฤติไม่ได้เกี่ยวข้อง  ส่วนจะประพฤติอย่างไร? หรือไปเกลียดเฉยๆ หรือไปถึงกระทั่งทำร้ายเขา หรือไปฆ่าคนตาย  ก็ขึ้นอยู่กับถูกล่อลวงมากขนาดไหน? ในขณะที่เป็นคนบาปอยู่นั้น

            วิญญาณ ใจเป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนชอบธรรม ไม่มีว่าเป็นคนชอบธรรมเล็กหรือชอบธรรมใหญ่  ไม่มี เมื่อใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากันกับใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเปิดใจมาแล้ว 20 หรือ 30 ปี เราเพิ่งเปิดใจเมื่อวานนี้ หรือเมื่อตะกี้นี้ มีค่าเท่ากัน เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน ถามว่าอาจารย์บอกเท่ากับใคร? มีความชอบธรรมเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอใจไหม? มีใครสูงกว่านี้อีกไหม? ไม่มีแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านมาเชื่อพระเจ้า สมมติว่าตอนนี้ท่านยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวท่านฟังแล้ว ท่านรู้สึกว่า “มันเรื่องจริง ฉันเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์” ท่านยอมสารภาพบาปว่าท่านเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของท่าน พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวท่าน  เข้าไปทำการบัพติศมาผ่าตัดวิญญาณท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า และกลายเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว และวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อนั้น  จะเป็นความรัก เป็นชีวิตนิรันดร์ จากพระเจ้า ทันทีทันใดเลย จะเป็นชีวิตนิรันดร์ข้างในวิญญาณ และชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ท่านก็จะเป็นความรักทันทีในวิญญาณของท่าน

            เพราะว่าคริสเตียนเป็นความรัก เป็นอยู่ที่ไหน? ภายในใจของเขา เพราะฉะนั้น ความประพฤติบางครั้ง อาจจะไม่ตรงกับธรรมชาติ วิญญาณภายในก็ได้ ยังอาจจะมีความประพฤติที่เกลียด ไม่ชอบ โกรธ ซึ่งก็คือการทำบาป ยังทำอยู่ เพราะถูกล่อลวงจากอิทธิพลของบาปภายนอก ตัวท่าน มันส่งเข้ามาเป็นศัตรู อย่าตำหนิตัวเอง อย่าถล่มตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นความรัก เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรารู้แล้วอย่างนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราที่เป็นคริสเตียน เรารู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ว่าความรักคืออะไร? คือตัวฉันที่เป็นอยู่ข้างใน ตัวฉันเป็นความรัก  และเราก็จะรู้ว่าความรักตรงนี้ ผู้ที่เป็นแบบอย่างให้กับเรา ก็คือพระเยซู เป็นตัวอย่างของความรักนี้ ความรักนี้ที่อยู่ในตัวเรา อยู่ในวิญญาณของเรา เป็นความรักที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นความรักที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่เสียสละเหมือนพระองค์

            และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา ผู้เชื่อแล้ว ดังนั้น เราจึงเลียนแบบพระองค์ โดยรักพี่น้องที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในวิญญาณ เหมือนอย่างที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา ต้องพยายามไหม? ไม่ต้อง ความรักอยู่ในตัวเรานี่แหละ เห็นหรือยัง? เหมือนพระเยซูที่รักเรา ก็สถิตอยู่ในเรา ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรายอมตาย เพื่อคนอื่น ให้เราสละชีวิตเพื่อคนอื่น พระเยซูคริสต์ยอมตายให้เราจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราไม่ใช่พระเจ้า ตรงนี้ไม่ได้บอกให้เรายอมตาย

        1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

            คำว่า “เสียสละ” ตรงนี้ หมายถึงให้เรายอมฟังซึ่งกันและกัน ยอมจำนนต่อกันและกันด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนพระคริสต์ คือให้มีชีวิตอยู่ให้เห็นแก่ผู้อื่น เห็นคนอื่นดีกว่าตน หมายถึงตรงนี้ เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างนี้หรอก แต่เราสามารถดำเนินชีวิต ฝึกฝนในการสำแดงความรักนี้ ออกมาจากวิญญาณของเราแก่ผู้คนรอบข้างได้ในทุกวัน ทุกเวลา ทุกเสี้ยววินาที ในการสำแดงความรักนี้ ในทุกสถานะ ไม่ว่าเราจะยากจน มี ไม่มีอย่างไร? ทุกข์หรือสุขอย่างไร? เราสามารถสำแดงความรักที่อยู่ข้างในนี้ออกมาได้ ในชีวิตของเราบนโลกในนี้ ซึ่งด้วยการเสริมกำลัง การนำ การช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา คอยนำเรา ช่วยเราให้สำแดงความรักนี้ออกมา 1 ยอห์น 3:17-18 …

        1 ยอห์น 3:17-18 “17 คนใดที่มีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และกระทำใจแข็งกะด้าง ไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้า จะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้ 18 ดูก่อน  ลูกเล็กๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น  แต่ให้เรารัก ด้วยการประพฤติ และด้วยความจริง”

            เมื่อกี้อาจารย์ยอห์นบอกแล้วว่าไม่ได้มาสอนให้เราประพฤติ มีทรัพย์สมบัติ แล้วให้พี่น้องที่ขัดสน อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เห็นความจริง ให้ใครเห็น? ให้คนที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน เสแสร้งตัวเอง ก็คือพวกที่อยู่ท่ามกลางคริสเตียนแท้ทั้งหลาย  ก็คือพวกนอสติก พวกนอกรีต พวกที่เชื่อในข่าวดีแบบแปลกๆ ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตั้งแต่เริ่มต้น 1 ยอห์น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองไม่เคยทำบาปเลยในชีวิต ในวิญญาณ ไม่ได้เป็นคนบาป พวกที่ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้ากับคริสเตียน ในใจเกลียดคริสเตียน อยู่ตรงกันข้ามกัน แต่ภายนอก อยู่ต่อหน้า บอกว่ารัก ก็คือพวกไม่จริงใจ กำลังบอกพวกไม่จริงใจ จะมีลักษณะอย่างนี้ พวกที่ไม่จริงใจต่อคริสเตียน เพื่อหวังประโยชน์จากพวกคริสเตียน ที่หลงเชื่อ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น กำลังสอนให้ระวังพวกที่ไม่จริงใจ ที่จะเข้ามา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย คือใคร?

            ยกตัวอย่างในปัจจุบัน ถ้าในอดีต คือพวกนอสติก  พวกที่ไม่เชื่อพระเยซู เข้ามา เพื่อจะดึงคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ไปเป็นสาวกของเขา ไปเชื่อในลัทธิเขา มาดึงออกไป พอดึงไม่ได้ ก็เลยออกจากคริสตจักรไป ไม่อยู่ด้วยกันกับพี่น้องคริสเตียนจริงๆ นี่พูดถึงตอนที่เราเรียนมาก่อนหน้านี้ 8 ตอน มาหลอกเขา เหมือนในปัจจุบันก็มี อย่างเช่น พวกที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ก็เข้ามาหลอกว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกันนะ อาจจะเข้ามาสังสรรค์ สามัคคีธรรมกับเรา ทางร่างกาย เข้ามารู้จักมักจี่กับเรา เข้ามาในคริสตจักร มารู้จักกับเรา มาเยี่ยมที่บ้าน  อย่างเช่น พยานพระยะโฮวาห์ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่เขาเข้ามา ก็บอกว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เริ่มมาคุยให้ฟัง อันโน้นอันนี้ แต่ทั้งหมด เขาต้องการล้างสมองเรา ให้เราไปเชื่อแบบเขา เพื่อดึงเราออกไปจากความเชื่อแท้ๆ ตรงนี้

            ลักษณะเดียวกัน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 2,000 ปี ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเริ่มต้นใหม่ๆ แล้ว เหมือนพวกนอสติก เป็นต้น เขามา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย  เพราะในใจเขาเป็นอย่างนั้น เพราะในใจเขายังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์เลย  เพราะถ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ เขาต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนบาป ต้องพึ่งพาพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เป็นผู้เดียวเท่านั้น พระนามพระเยซูคริสต์ เป็นพระนามเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนรอด ไปหาพระบิดาได้ พระเยซูตรัสไว้อย่างนั้น

            “เราเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากเรา ไม่มีทางไปหาพระบิดาได้เลย”

            แต่เขาบอกว่าเขาไปหาพระบิดาได้ โดยผ่านทางอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ เขากำลังมาล้างสมองเรา ระวังให้ดี นี่พวกหน้าซื่อใจคดอย่างนี้ เป็นต้น เพราะในใจเขายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับเรา คริสเตียน โดยธรรมชาติ ในใจเขายังเกลียดชังคริสเตียน ต่อหน้าบอกว่ารัก แต่เขาไม่จริงใจ ยังเสแสร้ง ระวังพวกที่ไม่จริงใจเหล่านี้

            เคยดูในยูทูปไหม?  ที่เขามีภาพ เรื่องจริงนะ เขาถ่ายไปในคริสตจักร ในโบสถ์  ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนเดินเข้ามา แล้วก็ไปอธิษฐานในวันธรรมดา ที่ไม่มีคนเยอะ  อธิษฐานด้านหน้า โดยวางกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างหลัง เพราะว่าเขาไปในโบสถ์ พี่น้องคริสเตียนทั้งนั้น  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ วางกระเป๋าไว้ด้านหลัง แล้ววิ่งไปอธิษฐานด้านหน้า ตรงธรรมาส กล้องทีวีถ่ายไว้  ก็มีคนย่องมาหยิบกระเป๋า แล้วก็เดินไป  นี่มันเกิดขึ้นเยอะแยะ โบสถ์เรายังเคยเกิดขึ้นอย่างนี้เลย  เพราะฉะนั้น ก็ให้ระวังด้วย  เตือนในขณะนี้ เราระวังไหม? บอกให้ออกมาข้างหน้า วางไว้ตรงนั้นก็ได้  ระวังอาจจะหายไปก็ได้นะ ผมไม่รับผิดชอบ มันอย่างนี้ มันเรื่องจริง เราดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง ก็จะแสดงความรัก ความเมตตา ไม่ใช่เห็นด้วยตา หรือด้วยความประพฤติต่อหน้าอย่างเดียว คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเป็นอย่างไร?

            พยานพระเยโฮวาห์ นั่นคือตัวอย่างอันหนึ่งที่ชัดเจน เขามารักเรา ซื้อของมาฝากเรา ไปเยี่ยมบ้านด้วย ยิ่งป่วยอยู่ ไปเยี่ยมใหญ่เลย ไปเยี่ยมมากกว่าพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโบสถ์จริงๆ ด้วยซ้ำไป แต่ทั้งหมดในการเยี่ยมเยือน การซื้อของไปฝากนั้น เพื่ออะไร? เพราะรัก ข้างในใจไม่ใช่ แต่มนุษย์ถูกหลอกได้ เพราะรัก แต่จริงๆ เปล่า เพราะต้องการจะเปลี่ยนความเชื่อเรา เปลี่ยนความคิดของเราเท่านั้น ให้เป็นสาวก ให้เชื่อเหมือนเขาเท่านั้น อันนี้ก็ชัด

            เอาชัดกว่านี้ คือนักการเมือง มาช่วยเยอะแยะ มาแจกของเยอะแยะ นักการเมืองดีๆ ก็มีนะ  แต่กำลังพูดถึง ท่านก็รู้แล้ว พูดแค่นี้

            ถ้าเราพูดถึงข้างนอก ยิ่งชัดเจน นักธุรกิจที่ไปบริจาคเงินเยอะแยะมากมาย เขากำลังทำอะไร? เขากำลังหาผลประโยชน์ แต่ปากบอกว่าฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับนักธุรกิจอย่างเดียว กับพวกเราทุกคน ก็เกิดได้ กับคริสเตียนก็เกิดได้

            คริสเตียนบางคนเพิ่งกลับใจใหม่ เข้ามาทำดีกับพี่น้องเยอะแยะมากมายเลย  นี่เป็นคริสเตียนจริงๆ นะ เพราะถูกหลอกไง ถ้าเขาทำบาป  ก็แสดงว่าถูกหลอก แต่ทำไปทั้งหมด เพื่อจะสร้างเครือข่ายทำมาหากิน  การค้าขาย ขายตรง หาสมาชิก แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ทำมาค้าขายต้องตกใจว่ากำลังฟ้องผิด มันขึ้นอยู่กับในใจของท่าน ท่านทำได้ ทำไปเถอะ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก ที่มองเห็นอยู่ มันอยู่ที่ในใจ มันทำเหมือนกัน

            พี่น้องบางคนเขาเอาของมาขาย ไม่ผิด  การกระทำไม่ผิด อยู่ที่ใจของคุณ คุณคิดอะไรกับพี่น้องของเรา  คุณตั้งใจจะให้ของดีไหม? คุณตั้งใจจะช่วยเหลือใช่ไหม? คำว่า “ช่วยเหลือ” ไม่ใช่ว่าคุณจะมาแจกของฟรีตลอดเวลา ไม่ใช่ ถ้าท่านต้องขายของ ก็ขายไป แต่ในใจท่าน เป็นอย่างไร? มันสำคัญ ตรงนี้มากกว่าว่าในใจคุณต้องการประโยชน์ส่วนตนมากกว่า หรือต้องการช่วยเหลือเขามากกว่า จากใจที่เกิดใหม่ หรือจากใจที่ไม่ได้เกิดใหม่ จากใจที่ต้องการขโมย ฆ่า และทำลาย  หรือจากใจที่ต้องการให้ เป็นความรัก ซึ่งมันแตกต่างกัน เพราะถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริงแล้ว  การจะแสดงความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคริสเตียนที่เรามีกำลังเพียงพอ  มีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ควรจะสะท้อนออกมา ในรูปแบบของการกระทำ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น มากกว่าเห็นแก่ตนนั่นเอง เห็นไหม? ทั้งหมดนี้อยู่ที่ในใจของใครของเขา ไม่ต้องมาแอบมองกันว่าคนนี้ทำอันนี้ ข้างนอกมันมองไม่เห็น

            การแสดงความรัก การแบ่งปันทรัพยากร หรือของต่างๆ ให้กับผู้ที่ขัดสน เป็นการแสดงออกถึงความรักที่แท้จริง  ที่เรามีต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนมนุษย์ และการแสดงความรักนี้ เป็นผลของการที่เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ซึ่งเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกบังคับ  คริสเตียนมีธรรมชาติเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ความรัก คือการให้ ในวิญญาณจึงหมั่นฝึกฝนความรักนี้  ฝึกฝนการมีเมตตาในการให้ออกไปจากใจ ที่เต็มไปด้วยความรัก ที่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากอดีตของเรา ซึ่งเป็นคนบาป มีธรรมชาติเป็นความโลภ เห็นแก่ตัว หมั่นฝึกฝนความโลภในใจ การเอาเปรียบผู้อื่นอย่างแยบยลจากใจเช่นเดียวกัน แยบยลเหมือนกัน แต่แยบยลในทางมืด พระเจ้าดูที่ไหน? พระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถหลอกมนุษย์ได้  แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้  เพราะพระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถทำบาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ได้

            บาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ ยกตัวอย่าง เช่น บริจาคเงินมากมายด้วยความโลภ ความเย่อหยิ่งในใจ ต้องการชื่อเสียง ต้องการผลประโยชน์ เพราะการทำบาปในสายตาพระเจ้า มีทั้งแบบภายนอกดูดีกับบาปที่ภายนอกดูไม่ดี พระเจ้ามองแล้วเป็นบาปไม่ดี มนุษย์มองก็ไม่ดีด้วย มันมีทั้งบาปที่ดูดีและดูไม่ดี แต่ทั้ง 2 อัน ก็เป็นบาปทั้งคู่ และใครรู้? พระเจ้ารู้ และใครรู้อีกถ้าเป็นคริสเตียน? ตัวท่านเองต้องรู้ เมื่อท่านนึกถึงเรื่องนี้เมื่อไร? ท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำไป มันจริงใจไหม? มันใช่ไหม?

            พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา จะช่วยเราฝึกฝนเรา ให้รู้จักสังเกตและแยกแยะภายในใจของเราว่าอะไรที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ภายในจริงๆ อะไรที่เป็นความบาป การล่อลวง จากระบบของโลกที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ใช้อะไร? ฝึกอะไร? ฝึกฝนในการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามเนื้อหนัง 1 ยอห์น 3:19-20 …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            ตรงนี้เน้นให้เห็นถึงความมั่นใจ ที่เรามีในความสัมพันธ์กับพระเจ้าว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วหรือไม่จริงๆ แม้ว่าเราจะรู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ เห็นไหม? นี่คือการล่อลวงจากภายนอก ที่ใส่ความคิดให้กับเราว่า …

            “เราทำบาป เราเป็นคนไม่ดี เราฟ้องผิด เรารู้สึกถูกกล่าวโทษ เธอมันแย่ เธอมันไม่ดี เธอทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”

            ในนี้กำลังบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา  ที่ถูกโจมตีด้วยการฟ้องผิด พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรา ก็คือรู้ว่าเราบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อ พระองค์ทรงรู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้หรอก

            พระองค์บอกว่า … “ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีงามของเรา เหมือนเราเลย แต่สิ่งที่ท่านทำผิดไปต่างๆ เหล่านั้น มันถูกล่อลวงจากภายนอก เชื่อเราสิ”

            หมายถึงอย่างนั้น ไม่ต้องฟ้องผิด ยืนยันมั่นใจ จากภายในพระวิญญาณของเรา จะบอกว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูตลอดชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมีความมั่นคงได้  เพราะสถานการณ์กับพระเจ้าขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ พระราชกิจของพระองค์ที่ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความรู้สึก หรือการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว

            โรม 8:1 บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎแห่งความบาปและความตาย  ไม่มีการกล่าวโทษใดๆ กับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามั่นใจว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงไม่มีการมากล่าวโทษ ไม่มีการมาฟ้องผิด ไม่มีการมาชี้เป้าว่าเราผิดอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ต้องมั่นใจตรงนี้  เรามั่นใจได้ เพราะพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเรา

            เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ว่าเราเป็นคริสเตียนหรือไม่? คือเราต้องรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราหรือเปล่า? แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่าทดสอบได้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าหรือไม่? มั่นใจในพระองค์หรือไม่ ก็คือท่านรู้หรือไม่ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน รู้ เอเมน ซึ่งความมั่นใจนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต มั่นใจว่าเราเป็นที่รัก และได้รับความรัก การยอมรับว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เอเมน

            ทดสอบแค่นี้ ถ้าท่านผ่านตรงนี้ ท่านก็จะไม่ฟ้องผิดอีกเลย พอจะฟ้องผิด ท่านก็รู้ว่ามาจากข้างนอก มันจะมาโจมตีเรา กั้นไว้เลย แล้วก็บอกว่า …

            “ฉันพิสูจน์แล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในใจ ฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เอเมน” … มีอะไรไหม?

            “อ้าว! ยังทำบาปอยู่เลย”

            “ไม่รู้ล่ะ พระวิญญาณสถิตอยู่ในฉัน เดี๋ยวพระเจ้านำฉัน สอนฉันเอง” … มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

            เราจะจบลงที่ 1 ยอห์น 3:2 …

        1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ  เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร?  พูดกันตรงๆ  เรารู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ คือเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณสะอาดหมดจด ใจสะอาดหมดจด  เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายเป็นร่างกายเดิมที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว  ไม่มีบาปเลย แต่เรายังทำบาปอยู่ เพราะเราอาจถูกล่อลวงให้พลั้งพลาดได้เป็นเรื่องธรรมดา นี่มันอย่างนี้ ให้เรายึดมั่นตรงนี้ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันก็เป็นอิสระ มันก็สบาย มันก็สู้กับโลกใบนี้ เรื่องความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างเดียว ซึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องมาสู้กับโลกวิญญาณอีก ในโลกวิญญาณฉันฉลุยแล้ว ดำเนินชีวิต เพื่อไปเปลี่ยนร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เตรียมไว้ เพื่อวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป  พอจากไปปุ๊บ จะเห็นพระเยซูปรากฏ พระเยซูก็เปลี่ยนร่างกายเดิมให้เป็นร่างกายใหม่ ให้เป็นร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่ท่านได้รับแน่นอน 100% ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครมาทำให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ดำเนินชีวิตโดยพุ่งเป้ามาที่นี่ แอ่นอกเหมือนนักกีฬาวิ่ง โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อไปสู่เส้นชัย เขาไม่มองซ้ายมองขวา เขามองตรงไปเลย ตรงไปที่เส้นชัย  และเส้นชัยของเรา คือพระเยซูคริสต์ วิ่งไปเลย ซ้ายขวา คือทำผิดบ้าง ทำพลาดบ้าง ใครมาฟ้องผิดเรา ไม่สนใจ ฉันวิ่งตรงไปอย่างเดียว ไปที่พระเยซูคริสต์ เมื่อไปถึงเส้นชัย เห็นพระเยซูคริสต์เมื่อไร เมื่อนั้นฉันเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว จากโลกใบนี้ ฉันเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ตามความเป็นจริง และจะครอบครองโลกใหม่ที่ไม่เหมือนใบนี้  โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างใหม่ และสรรพสิ่งที่ในโลกใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างให้ฉันเข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซู และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ฉันได้เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            ถ้าท่านแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันที คือการบังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนอยู่ในพระคริสต์

            และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้าหลังความตาย ซึ่งมันสายไปแล้ว

            ข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก กระทำการอัศจรรย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            1 เปโตร 1: 3-4 … “3 สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก  อันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป  ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว  เพื่อพวกท่าน”

            พระเจ้าอวยพรครับ