คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 7
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในกาลาเทีย 3:8 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงในข้อที่ 7 ที่บอกว่า …
กาลาเทีย 3:7 “ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”
พอวันนี้มาต่อข้อที่ 8 …
กาลาเทีย 3:8 “พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้า ว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”
พระพรตรงนี้ ที่พระเจ้าทรงตรัสกับอับราฮัม สัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 ที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …
“เราจะอวยพรเจ้า เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะให้ประชาชาติทั้งหลายได้รับพร ผ่านทางเจ้า”
สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าเขียนไว้ บอกไว้กับอับราฮัม มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นแผนการตั้งแต่เริ่มต้น ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติ ที่ล้มลงในความบาปแล้ว แล้วพระเจ้าก็บอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทรงอำนวยพระพร แล้วให้ลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัม อับราฮัมเป็นบุรุษแห่งความเชื่อ ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัม ก็คือเผ่าพันธุ์ที่มาโดยความเชื่อจะได้รับพระพร จากพระเจ้าผ่านทางอับราฮัม ในข้อที่ 9 บอกว่า …
กาลาเทีย 3:9 “ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมบุรุษแห่งความเชื่อ”
ตรงนี้พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงการประพฤติเลย อาจารย์เปาโลไม่ได้พูดถึง ไม่ได้เน้นย้ำถึงการประพฤติดีหรือชั่ว ไม่เกี่ยวกัน แต่กำลังเน้นย้ำถึงความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อมนุษยชาติ ที่ไม้กางเขน เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อตามที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระคัมภีร์บอกเรา คนนั้นแหละ เป็นลูกหลานของอับราฮัม สัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องความเชื่อของอับราฮัม ที่พระเจ้านับว่าอับราฮัม เป็นบิดาแห่งความเชื่อตอนไหน? ตอนที่อับราฮัมเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง บอกว่าให้ออกมาเลย แล้วเราจะอวยพรเจ้า อับราฮัมทำตามทันที โดยที่ไม่ได้ลังเลใจว่าตกลงพระเจ้าจะพาเราไปไหน? ไม่บอกด้วย แค่บอกว่าให้ออกมา อับราฮัมก็มีความเชื่อว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว เมื่อพระองค์สั่งอับราฮัมเชื่อตามนั้น ก็เดินทางออกมา นั่นแหละ เป็นครั้งแรก จุดเริ่มต้นที่อับราฮัมถูกพระเจ้าถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม
ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ ปัจจุบันด้วย ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน คนนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัม และได้รับพระพรผ่านทางความเชื่อ พอถึงข้อที่ 10 บอกว่า …
กาลาเทีย 3:10 “คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”
พอมาพูดถึงบทบัญญัติ บทบัญญัติอันนี้มันขัดแย้งกับความเชื่อที่พระเจ้าให้อับราฮัมไหม? ทำไมพระเจ้าต้องให้บทบัญญัติให้กับโมเสส ตั้งแต่ในยุคนั้น ให้ชนอิสราเอลยึดถือบทบัญญัตินั้น พระองค์มีเป้าหมายอะไร? บทบัญญัติเป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป เป็นสิ่งแสดงว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มนุษย์ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติทุกจุดทุกขีด ที่พระเจ้าสั่งไว้ ฉะนั้น บทบัญญัติพระเจ้าให้มา เพื่อทำให้มันมีกฎมีเกณฑ์ เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันเป็นระเบียบ
ก่อนหน้าที่มีบทบัญญัติ หรือก่อนหน้าที่มีกฎหมายบ้านเมือง เขาเรียกว่าคนเมืองเถื่อน ก็คือใครจะทำอะไรก็ได้ ฆ่าคนตาย ก็ไม่ผิด จะไปแย่งชิงอะไรของใคร ก็ไม่ผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมาย ถ้าเธอไปแย่งของเขา เธอผิดนะ เธอต้องชดใช้นะ พอไม่มีปุ๊บ ก็เลยทำผิดทำบาป ก็ไม่ได้ถูกกฎเกณฑ์บังคับว่าฉันต้องชดใช้ นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในบทบัญญัติของโมเสส ฉะนั้น พอพระเจ้าให้บทบัญญัตินี้ปุ๊บ ก็ทำให้มนุษย์รู้ว่าไม่ได้แล้วนะ ถ้าเราทำผิดจากที่กฎหมายบังคับไว้ แปลว่าเราต้องได้รับโทษ เหมือนกับกฎหมายไม่ได้บอกว่าข้ามถนน โดยไม่ข้ามทางม้าลาย จะถูกปรับ ถูกลงโทษ เราข้ามที่ไหนก็ได้ เราก็รู้สึกเฉยๆ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่พอมีกฎหมายบังคับว่าเวลาข้ามถนน ให้มาข้ามทางม้าลายนะ จะได้ปลอดภัย ถ้าเราไปข้ามที่อื่นปุ๊บ ข้างในจิตใจเราจะรู้สึกฟ้องผิดเอง เราทำไม่ถูกต้องนะ เราควรจะเดินไปที่ทางม้าลาย นอกจากว่าถนนเส้นนั้น กว่าจะเดินไปถึงทางม้าลาย เป็นระยะทาง 2-3 กิโลฯ อันนั้น ก็เป็นข้อยกเว้นนะ แต่ส่วนใหญ่ ม้าลายเขาก็จะมีเป็นช่วงๆ ให้ หรืออะไรหลายๆ อย่างที่ถูกระบุไว้ในกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำปุ๊บ เราก็รู้ว่าฉันทำผิดแล้ว มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์รู้ว่ายังไงๆ เธอก็ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติได้ทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลาได้
ในข้อที่ 10 บอกว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” ดูเหมือนใจร้าย ไม่ทำตามบัญญัติก็ถูกแช่งเลย นั่นคือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ พระองค์บอกว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรม จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า คนนั้นต้องสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม คือไม่ทำผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือคนๆ นั้น จำเป็นจะต้องรักษากฎบัญญัติที่ในยุคของพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ ใครก็ตามที่ทำผิดกฎตรงนั้น ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ชัดเจนว่าถ้าทำผิดแบบนี้ ต้องเอาอะไรมาถวายให้พระเจ้า เพื่อลบล้างความผิด คนอิสราเอลหนักกว่าคนทั่วไป ที่พวกเราเป็นคนต่างชาติ เราไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แต่ว่าเราก็ยึดถือกฎเหล่านี้ เพราะข้างในมันจะบอกเราเองว่าถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าเราฆ่าคนตาย ข้างในวิญญาณจะรับรู้ว่า …
“ฉันทำผิด ฉันฆ่าคนตาย”
ต้องชดใช้ ต้องถูกลงโทษให้ตัดสินประหารชีวิตเหมือนกัน คือกฎพระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ทั่วไป บนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ตลอดชีวิตของเขา มีใครทำได้ไหม? มันไม่มี เพราะไม่มีไง พระเจ้าเลยต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งเป็นสภาพของพระเจ้า ที่ไม่มีเชื้อบาปของอาดัมเลย มาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี แล้วพระองค์คลอดออกมาตามธรรมชาติ เหมือนมนุษย์ทุกคน ก็คือพระองค์เป็นทั้งมนุษย์ และเป็นทั้งพระเจ้า และในตัวพระเยซูคริสต์เอง ไม่มีเชื้อบาป เป็นเชื้อที่บริสุทธิ์ ซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น พระเยซูคริสต์สามารถที่จะทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ไม่ทำบาป ฉะนั้น สิ่งที่มันปรากฏขึ้น ก็คือพระเจ้าบอกว่าถ้าใครคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติของตัวเอง คือพยายามตะเกียกตะกาย อยากจะทำดี เพื่อว่าตัวเองจะไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าบอกอยากทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน คือเธอจะต้องทำตามกฎทุกจุด ทุกขีด ไม่มีขาดตกบกพร่อง และไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่วินาทีเดียว ตลอดชีวิตของเธอ ซึ่งแค่ฟังแค่นี้ หงายท้องเลย ไม่มีใครสามารถทำได้แน่นอน
พอไม่มีใครสามารถทำได้ พระเจ้าก็เลยนำเสนอบอก “เรามีตัวช่วยนะ” ตัวช่วยเราได้ถูกส่งมาแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตัวช่วยที่พระเจ้าส่งมา คือพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ถูกส่งมา บนโลกใบนี้ เพื่อจะเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ มาตายแทนมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าบอกว่าค่าจ้างของความบาป คือความตาย เมื่อมนุษย์ทำบาป ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับมนุษยชาติ พระเจ้าวางเป้าหมายไว้ สำหรับอาดัมและเอวา ก็คือเธอไม่ต้องทำอะไร เธอไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เธอแค่รับรู้ว่า …
“เธอสะอาดบริสุทธิ์ เธอเหมือนฉัน แล้วเธอก็ดำเนินชีวิตให้สบายใจ สิ่งที่เราสร้างมาในสวนเอเดน ให้เธอเชยชม กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นอันเดียวแค่นั้น”
นั่นคือบทพิสูจน์ความเชื่อฟังของมนุษย์คู่แรก ก็คืออาดัมกับเอวา แล้วเมื่อพระเจ้าสั่ง พระเจ้าบอกผลด้วย ไม่ได้สั่งเฉยๆ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราสั่งลูก แล้วเราไม่บอกเหตุผล ลูกก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงทำไม่ได้
“พ่อบอกมาสิ ทำไมถึงทำไม่ได้”
“เชื่อเถอะ ทำไม่ได้ ก็แล้วกัน”
เด็กก็มีความต้องการอยากจะรู้ว่าทำไมถึงไม่ได้ อยากจะทำ ยิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุ ก็เลยไปทำ ทำเสร็จ ก็เลยต้องถูกลงโทษ นี่คือมนุษย์ทั่วไป แต่พระเจ้าของเราไม่เหมือนมนุษย์ ตอนที่พระองค์สั่งอาดัมเอวาว่า …
“อย่ากินต้นไม้ต้นนี้นะ เป็นต้นไม้ที่สำนึกความดีความชั่ว แล้วต้นไม้ต้นนี้ เธอไม่จำเป็นต้องไปแตะมัน เพราะว่าเธอไม่รู้จักความชั่ว เธอรู้จักอย่างเดียว คือความดีงาม เธอเป็นเหมือนฉัน ดีงามแค่นั้น พอแล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุข”
แล้วพระเจ้าบอกว่า … “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”
บอกล่วงหน้าด้วย อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเธอไปแตะเมื่อไร? เธอตายนะ ตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกล่วงหน้า แต่มนุษย์ก็ถูกล่อลวง พระเจ้าให้อิสรภาพกับมนุษย์ตั้งแต่ยุคอาดัมจนถึงยุคเรา ยุคพระคุณ พระเจ้าก็ยังคงให้อิสรภาพกับเราผู้เชื่อทุกคน แม้ว่าพระองค์ได้ซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง จริงๆ พระองค์บังคับเราได้นะ ห้ามทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น กดปุ่มหยุดๆ เลิกทำ แต่พระเจ้าไม่ทำ พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา เพราะพระเจ้ารักเรา พระเจ้าให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าเราจะเชื่อพระองค์ หรือเราจะเชื่อฟังการล่อลวงของข้างนอกที่ส่งมา หรือเราจะเชื่อฟังตัวเราเอง ที่มีอีโก้ของตัวเองว่าฉันเก่ง ฉันแน่ คือมันเป็นความบาปที่ส่งเข้ามาวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เกิดความเย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองสามารถทำได้ เทียบเท่าพระเจ้าด้วย
ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ยังคงให้อิสรภาพเราเหมือนเดิม แต่พระเจ้าจะขอร้องเรา พี่น้องลองคิดดู พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ที่เป็นเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซื้อชีวิตของเรา ตายแทนเราด้วย แต่พระองค์ต้องขอร้องเรา ขอร้องให้เรามาเชื่อพระองค์ ขอร้องให้เราทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์ขอร้องนะ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้สั่ง แต่พระองค์บอกว่าให้มาทำแบบนี้เถอะ อย่าไปหลงเชื่อกลลวงของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา แล้วสิ่งที่เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา พระองค์จะคอยบอก คอยเตือนให้เรารับรู้ว่าอันนี้ มาจากพระองค์ อันนี้ไม่ได้เป็นของพระองค์ เรารู้อยู่แก่ใจ
ก่อนที่เราจะทำอะไร? ข้างในวิญญาณเรารู้แล้ว พระเจ้าบอกว่า “ถ้าลูกทำแบบนี้ นี่คือธรรมชาติใหม่ ที่เราให้กับเจ้านะ ตอนนี้เจ้าเป็นลูกของเรา เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีงาม เป็นความรัก”
นั่นคือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อทุกคน ข้างในวิญญาณเรารับรู้ แล้วถ้าอะไรก็ตามที่ส่งผลออกมา ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรารู้ ก็คือสิ่งที่พระเจ้าบอก อันนั้นก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า อย่างที่พระเจ้าบอก “ให้เรารักซึ่งกันและกัน เหมือนดังที่พระเจ้าทรงรักเรา” พระเจ้ารักเราก่อน พระเจ้าใส่ความรักลงมาในวิญญาณของพวกเราทั้งหลาย ในวิญญาณเราเป็นความรักอยู่แล้ว เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อที่จะไปรักคนอื่น ไม่ใช่ แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าข้างในตัวตนแท้ๆ ของเรา เป็นความรัก แล้วให้เรายอมให้พระเจ้าทำงานในวิญญาณของเรา ส่งผลให้ความรักที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง มันต่างกัน ไม่ใช่พยายามต้องรัก ไม่ใช่ เราเป็นความรักแล้ว เป็นอยู่แล้ว แค่เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ออกไปให้ผู้อื่นได้สัมผัส จับต้องได้ แค่นั้นเอง เมื่อเช้าที่อาจารย์หนุ่ยพูดถึงหนังสือโรม 12:1-2 ที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้ ที่ว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานความรอดให้กับพวกเราทั้งหลาย แล้วพระเจ้าก็ทรงให้เราทุกคนได้รับสิ่งสารพัดเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย ฉะนั้น ให้เรายอมจำนน ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองให้กับพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะใช้ทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลที่เป็นผลของพระวิญญาณของพระเจ้า ออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง
ฉะนั้น ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ สมองของเราเป็นป้อมปราการ เป็นสนามรบที่เรา ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ตัวเราเอง มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะมอบสนามนี้ ให้กับใคร? เราจะมอบให้พระเจ้าไหม? ถ้าเรามอบให้พระเจ้า สมองเราคิดอะไร? สมองจะสั่งการมาที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเราจะทำตามที่สมองสั่ง แต่ถ้าเราไม่ยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เรายอมให้กับโลกใบนี้ส่งข้อมูล ที่เราชอบพูด …
“แค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้ เขาทำกับเรา 10 เราต้องทำกลับไป 100” อะไรอย่างนี้
ถ้าเราอนุญาตให้ความคิดนี้ส่งเข้ามาในสมองของเรา พอส่งเข้ามา เก็บข้อมูลปุ๊บ สมองสั่งเหมือนกัน สั่งลงไปที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเราก็จะทำตาม เขาเหยียบขาเรา สมองสั่งเลย …
“ไม่ได้ เธอต้องเหยียบกลับ เหยียบให้เจ็บกว่าเดิม อภัยให้ไม่ได้”
แล้วถ้าสมองส่วนที่เป็นป้อมปราการ เป็นตัวกลางของเราให้พระเจ้าใช้ พระเจ้าว่าอย่างไร? พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ก็บอกอภัยให้เขาเถิด เขาแค่เหยียบขา เราเจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย ถ้าเราไปเหยียบกลับ เจอคนที่รุนแรง เขาอาจจะเอาอะไรเหวี่ยงใส่หัวเราก็ได้ มันไม่ได้ผลดีหรอก ต่อให้เราทำไป สะใจ แค่ชั่ววินาทีเดียว แต่มานั่งเสียใจอีกหลายเวลาเลย …
“ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมเราถึงทำไปแบบนี้”
ทั้งๆ ที่ข้างในวิญญาณของเรา เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว
นี่คือจุดสำคัญในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน แล้วหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกเราว่าวิญญาณของเรา ได้เป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย แล้ววิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตัวเก่าของเราที่เป็นบาปได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของเราแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ เราจะเผลอไม่ยอมเชื่อฟังพระวิญญาณที่อยู่ข้างใน เผลอไปเชื่อฟังการหลอกลวงของโลกใบนี้ แล้วเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็อย่าให้หลอกต่อ พอเราทำผิดปุ๊บ โลกนี้หลอกเราต่อนะ …
“เห็นไหม? แกมันเลว แกเป็นคริสเตียนนะ แกทำผิดอย่างนี้ได้อย่างไร? พระเจ้าไม่รักแกแล้ว”
เคยเป็นไหม ความรู้สึก แย่เลย “ฉันทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักฉันแน่ๆ เลย เราถูกหลอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามที่ผิดไปจากความเป็นจริง ในตัวตนของเรา มากน้อยขนาดไหน? ไม่สามารถที่จะสั่นคลอนความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ในตัวเราได้ พระเจ้ารักเราจนถึงที่สุด พระเจ้าตายแทนเราได้ ฉะนั้น ความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พี่น้องจำตรงนี้ ประโยคนี้ ดิฉันจะพูดทุกครั้ง เราเป็นผู้ชอบธรรม ที่บางครั้งเผลอไปทำบาป หรือเผลอไปทำผิด แต่ไม่ว่าเราเผลอไปทำผิดทำบาปขนาดไหน? เราก็ยังคงเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำผิด แล้วก็รับผล คือแทนที่เราจะมีความสุข เราอยู่กับพระเจ้า เรายอมจำนนกับพระเจ้า ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำเรา ทุกวันเราก็ใช้ชีวิตเต็มล้นด้วนสันติสุข ที่มันอยู่ข้างในเรา แทนที่มันจะเป็นอย่างนั้น ก็กลายเป็นเราทุกข์ไง
มีพี่น้องผู้เชื่อคนไหนที่ทำผิด แล้วมีความสุข ดิฉันเชื่อว่าไม่มีแน่นอน เพราะว่าวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ทำผิดเราจะทุกข์ เราจะทรมาน เราจะรู้สึกไม่น่าเลย ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ แค่ชั่วพริบตาเดียว ทำไมเราไม่อดทน อะไรก็แล้วแต่ มันจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หลายคนคิดว่าถ้าเราไม่สอนว่าต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น แล้วคริสเตียนก็สบายสิ ทำอะไรก็ได้ มันไม่จริงหรอก ข้างในวิญญาณเราจะไม่มีความสบาย ถ้าเราทำอะไรก็ตามที่ผิดจากธรรมชาติ ที่พระเจ้าให้เราใหม่
ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้าเถิดว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา จูงมือเราเดิน เดินไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต จนถึงวิญญาณเราออกจากร่าง หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง หลับบ้าง ตื่นบ้าง อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าพระเจ้าสัญญา พระองค์จะนำพาวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ต้องกลัวว่าวินาทีสุดท้าย เราจะหลุดไปจากทางของพระเจ้า คนที่วินาทีสุดท้ายหลุดออกจากทางของพระเจ้า คนนั้น วิญญาณเขาอาจดูเหมือนเชื่อ แต่เขาไม่ได้เชื่อจริงๆ
แล้วใครจะรู้ว่าใครเชื่อจริง ใครเชื่อไม่จริง ไม่มีใครรู้ แต่พระเจ้ารู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะรู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกับพระองค์ หรือไม่ใช่พวกเดียวกับพระองค์ เราอาจจะทำตัวเหมือนคริสเตียนที่สุดยอดเลย ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบเป๊ะ แต่ข้างในวิญญาณเราอาจจะยังไม่ได้บังเกิดใหม่ก็ได้ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครสามารถตัดสินได้ว่าคนนี้เชื่อจริง คนนี้เชื่อไม่จริง แต่ว่าพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเป็นคนบอกเราเอง ถ้าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ ข้างในวิญญาณเราจะปรารถนาทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่คือจุดที่เราสามารถจะทดสอบ หรือตรวจสอบตัวเองได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระเจ้าสั่งซ้ายเราไปขวา พระเจ้าสั่งเดินหน้า เราอยากจะถอยหลัง อันนั้นก็ต้องมีเครื่องหมายคำถาม ตกลงเธอบังเกิดใหม่ไหม? ถ้าบังเกิดใหม่จริงๆ มันเผลอได้นะ บางครั้งอาจจะดื้อกับพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกครั้งแน่นอน ข้างในวิญญาณคนที่บังเกิดใหม่ มีใจปรารถนาที่จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกอยู่แล้ว แล้วเราทำตามได้อย่างไร? ก็คือยอมให้พระเจ้าใช้ ไม่ต้องไปพยายามทำ ไม่ต้องไปพยายามรักคนอื่น ความรักมันอยู่ข้างใน มันจะส่งผลออกมาเอง
เหมือนดอกไม้ ต้นไม้เขาไม่ต้องพยายามที่จะบีบตัวเองให้ออกดอก ไม่ต้อง ก็คือถ้าถึงฤดูกาลของมัน มันจะออกดอกสะพรั่งให้เราเชยชมแน่นอน แต่ถ้ายังไม่ถูกฤดูกาลเราก็จะไม่เห็นดอก เห็นแต่ใบเต็มไปหมด หรือต้นไม้ที่ออกผล เขาก็จะมีฤดูกาลของเขา ถ้าเราไปบีบให้ออกผลนอกฤดูกาล มันก็ไม่อร่อย มันก็ไม่สวยงาม ทุกอย่างมีฤดูกาลของมัน แล้วพระเจ้าก็เฝ้ามองเราอยู่ ตามสายตาของมนุษย์ อาจจะเห็นว่าคนนี้เชื่อมา 10 ปีแล้ว ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่สายพระเนตรของพระเจ้ามองดูคนๆ นี้ เขาสวยงาม เขาสำเร็จแล้ว ตามที่เราวางแผนไว้ สำหรับชีวิตของคนๆ นี้ แต่ละคนพระเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระองค์ก็จะจูงมือเราเดินไปจนถึงแผนการที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับชีวิตของเรา สำเร็จปุ๊บ พระเจ้าบอกเสร็จงานแล้ว ไป กลับบ้าน ถ้ายังไม่เสร็จงาน อยู่ต่อก็แล้วกัน ต่อให้อายุเยอะขนาดไหน? ยังไม่เสร็จงาน พระเจ้าก็ให้อยู่ก่อน
บางคน 90, 100 พระเจ้ายังไม่พากลับบ้านเลย งานยังไม่เสร็จ เขายังมีงานที่พระเจ้าให้ทำอยู่ แต่บางคนอายุยังน้อยอยู่เลย อ้าว! ทำไมพระเจ้าพากลับบ้านล่ะ เหตุผลง่ายๆ คืองานที่พระเจ้าใช้เขาสำเร็จแล้ว พระเจ้าบอกพอแล้วๆ งานจบแล้ว ให้ทำงานแค่นี้แหละ บางคนทำงานแค่ชั่วโมงเดียว บางคนต้องทำงานตรากตรำถึง 10 กว่าชั่วโมง แล้วแต่ละคนที่ทำงาน พระเจ้าเป็นผู้กำหนด พระองค์วางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เราสามารถมั่นใจในพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา และทรงนำพาย่างเท้าของเรา แล้วพวกเราทุกคน ที่ได้รับพระคุณ พระพรตรงนี้ ก็ไม่ได้เกิดจากความดีงามของเราเลย ไม่ใช่เราเก่ง ไม่ใช่เราแน่ ไม่ใช่เราเป็นคนดีมากๆ ช่วยเหลือคนอื่นทั่วไป ไม่ใช่ เราจะช่วยเหลือไม่ช่วยเหลือ ก็ไม่เกี่ยวกัน พระเจ้าไม่ได้มองตรงนี้ พระเจ้ามองตรงที่ว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์แล้วหรือยัง? เมื่อวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรามั่นใจได้เลย หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทาง แล้วก็พาเรากลับบ้านไปพักผ่อนกับพระเจ้า
บางคนถูกเรียกมาหนักหนาสาหัสเหมือนอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลรับใช้พระเจ้าแบบหนักหนาสาหัสมาก ล้มลุกคลุกคลาน ถูกข่มเหงทุกรูปแบบ แต่อาจารย์เปาโลก็รับใช้พระเจ้า อย่างไม่ย่อท้อ แล้วพระเจ้าให้กำลังเขาด้วย ถ้าพระเจ้าจะใช้ใครในงานรับใช้ ที่ใหญ่โตมโหฬาร พระเจ้าจะเป็นผู้เสริมกำลังให้กับผู้นั้น พี่น้องไม่ต้องกลัวนะ …
“พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ไหว งานใหญ่ขนาดนี้ ลูกจะไปได้อย่างไร?”
พระเจ้าบอก … “ลืมไปแล้วหรือ! คนที่อยู่ในเจ้าคือใคร? คือฉัน พระเจ้าตรีเอกานุภาพ”
พระองค์สถิตอยู่ในเรา และพระองค์จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา ให้จุดหมายปลายทางของเราที่พระเจ้ามอบหมายไว้ให้กับเราสำเร็จ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ …
กาลาเทีย 3:11 “เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”
“คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ” ในพระคัมภีร์บอกว่า “เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ดำเนินชีวิตในความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ”
ความเชื่อตรงนี้ไม่ได้เชื่อว่าเราจะสามารถทำหมายสำคัญ ทำการอัศจรรย์ ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกัน บางคนบอกต้องเริ่มต้นด้วยความเชื่อ พี่น้องต้องเชื่อนะ เชื่อว่าเราอธิษฐาน แล้วพระเจ้าจะทำตามที่เราอธิษฐาน ตามความเชื่อของเรา ไม่เกี่ยวกันเลยนะ
“ความเชื่อ” ตรงนี้ หมายความว่าเริ่มต้นด้วยความเชื่อ เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เราสามารถบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่คือความเชื่อเริ่มต้น และจากนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือยึดความเชื่อตรงนี้ไว้ ว่าตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว แล้วเรายึดมั่นตรงนี้ มั่นคงเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับผลการกระทำของเราแม้แต่นิดเดียว ถ้าเรายึดมั่นตรงนี้ปุ๊บ ระหว่างทางที่เราเดินอยู่ เราอาจจะเจอหุบเขา เงาแห่งความตาย เราอาจจะเผชิญกับปัญหาทุกข์ยากลำบากมากมาย เจอแน่นอน พระเยซูบอกแล้ว ในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ท่านชื่นชมยินดี เพราะฉันชนะโลกแล้ว ความทุกข์ยากเอาชนะฉันไม่ได้ ทุกข์แค่บนโลกใบนี้เท่านั้น หายใจเข้า หายใจออก เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว บ้านเราอยู่ไหน? อยู่บนสวรรค์ บ้านของผู้เชื่อทุกคนอยู่บนสวรรค์ ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ ขณะที่อยู่บนโลกนี้ แม้เราจะมีบ้านเป็น 10 หลัง หรือ 100 หลัง มีบ้านที่เป็นคฤหาสน์ ที่ใหญ่โตขนาดไหน? วันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งบ้านเหล่านี้ไป เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านถาวรของเรา มันเป็นแค่ที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่บ้านถาวรของผู้เชื่อทุกคน อยู่บนสวรรค์ แล้วพระเจ้าเตรียมที่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วด้วย
ดังนั้น ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พี่น้องนึกถึงภาพที่เราไปเข้าค่าย บางทีเราก็เจอค่ายที่ดี ไปอยู่โรงแรมหรู อยู่โรงแรม 5 ดาว มีของอร่อยกิน 3 มื้อ ไม่ต้องทำอะไรเลย กินๆ นอนๆ เล่นๆ เข้าค่ายกินๆ นอนๆ เล่นๆ จริงๆ แล้วเสร็จจบค่าย ต่อให้ค่ายที่เราไปจะสะดวกสบาย ดีงามขนาดไหน? เราก็ไม่อยากอยู่ตลอดชีวิตแน่นอน บอกค่ายมี 3 วัน วันที่ 3 เราอยากกลับบ้านแล้ว ต่อให้อาหารอร่อยแค่ไหน? ที่พักสวยงามแค่ไหน? …
“ไม่เอาแล้ว ฉันคิดถึงเตียงที่บ้านฉัน”
เตียงที่บ้านเราอาจจะไม่หรูเท่ากับโรงแรม อาจจะเป็นแค่เตียงไม้ ไม่มีฟูกด้วย แต่เป็นที่ๆ เราคุ้นชิน เราอยู่แล้วมีความสุข นั่นคือบ้านเรา แต่ที่พระเจ้าบอก ก็คือบ้านของเราถาวรอยู่บนสวรรคสถาน ไม่ว่าบนโลกใบนี้เราจะได้รับพระพรขนาดไหน? มากกว่าคนอื่นขนาดไหน? บางคนถูกเรียกมายากจนตลอดชีวิต จนลมหายใจออกจากร่าง ก็ยังยากจนอยู่เลย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ยากจนแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น เขามีความหวังใจ เขาไม่ได้มองที่ตัวเองอยู่ ณ เวลานี้ แต่ผู้เชื่อคนนั้น มองไปที่พระเจ้า และมีความหวังใจ อยู่แป๊บเดียวๆ อยู่แค่ชั่วคราวเอง เป็นบ้านเช่าด้วย ไม่มีบ้านตัวเองด้วย บ้านเช่าไม่พอ เช่าถูกๆ ด้วย ฝนตกที ต้องหากะละมัง ถังมารองน้ำฝนที่ตกจากหลังคา เขาก็ยังมีความสุขที่จะอยู่ เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาจะอยู่ถาวร ณ ที่แห่งนั้น บ้านของเขาอยู่ที่สวรรคสถาน เขาจับจ้องมองดูที่พระสัญญาที่พระเจ้าบอกเขาว่าวันหนึ่ง เมื่อเราทำงานเสร็จ พระเจ้าจะให้เรากลับบ้าน
ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน วันที่เรากลับบ้านบนสวรรค์ เป็นวันที่เรามีความสุขที่สุด เราไม่กลัวว่าตายไป เราจะไปอยู่ไหน? เพราะว่าพระเจ้าบอกเราแล้ว เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเยซูอยู่ในเราขณะนี้ ไม่ต้องรอตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรคสถานแล้ว ในโลกวิญญาณ เราใช้ความเชื่อ แต่วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราไม่ต้องใช้ความเชื่อ เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย นี่คือพระพรที่พระเจ้าบอกกับพวกเราว่าเราจะได้รับแบบนี้แหละ
ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าเราดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ ยังไง เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา ยึดมั่นในสิ่งนั้น แล้ววันหนึ่ง เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง คือวันที่เราพักผ่อน เรามีความสุข ดังนั้น เวลาเรามีงานไว้อาลัย เราจึงไม่โศกเศร้าจนเกินไป เพราะว่าเราแค่จากกันชั่วขณะหนึ่ง วันหนึ่งเราจะได้ไปพบกับคนที่เรารัก และในพระคัมภีร์ คริสเตียนไม่ได้ตาย
พระเยซูบอก … “เราเป็นเหตุให้ท่านได้รับชีวิต และเป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์”
คริสเตียนจะไม่ตาย เขาเรียกว่าล่วงหลับ เราแค่หลับไป เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า แค่นั้นเอง นี่คือภาพที่เรายึดมั่นและมีความหวังใจในพระองค์ …
กาลาเทีย 3:12 “บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้”
“ทำสิ่งเหล่านี้” คือทำตามบทบัญญัติ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครที่คิดว่าตัวเองจะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติทุกประการ เพื่อที่จะได้รับความรอด เขาก็จะมีชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ ก็คือตามบทบัญญัติ เมื่อตามบทบัญญัติปุ๊บ ข้อข้างบนบอกว่าใครที่ทำตามบทบัญญัติ คนนั้นจะถูกสาปแช่ง ก็คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในคำสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่คิดที่จะย้ายสถานที่ที่เขาอยู่ ก็คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ถ้าเขาไม่ยอมย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์
อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็คือผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเขาบนไม้กางเขน เท่านั้นเอง เขาก็จะได้รับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าเตรียมการไว้ให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว ทำเรียบร้อยไปแล้ว ของขวัญจัดไว้เรียบร้อยไปแล้ว แค่รอให้ใครก็ตามได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้ไป แค่นั้นเอง
อาจารย์เปาโลพยายามชี้ให้ผู้ที่อยู่ในกาลาเทียได้เห็นภาพ ว่าถ้าใครคิดว่าจะทำตามกฎบัญญัติ ก็ต้องทำให้ครบถ้วนทุกประการ เหมือนพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์คิดว่าตัวเองสามารถทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อตัวเองจะได้ไปถึงพระเจ้า ไปถึงสวรรค์ พระเยซูมาประกาศว่า …
“เธอทำไม่ได้หรอก ยังไงเธอก็ทำไม่ครบ มาเชื่อฉันเถอะ”
แต่เขาก็ยังเย่อหยิ่งเกินไป ที่จะมายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พระเจ้าก็ไม่ห้าม พอเขาตัดสินใจแบบนั้น พระเยซูต้องพูดว่า “เอเมน” เอเมน แปลว่าเป็นไปตามนั้น ท่านตัดสินใจอะไร? ท่านจะรับผลตามนั้น
เราขอบคุณพระเจ้าที่ข่าวดีของพระเจ้ามาถึงพวกเราทุกๆ คน แล้วเราก็ตัดสินใจแล้ว มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราพึ่งในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็อาเมนเหมือนกัน ก็คือได้ตามนั้นเลย เราจะได้รับชีวิตใหม่ เราได้รับวิญญาณใหม่ เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เราได้มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเจ้าเลย วิญญาณเราได้อยู่กับพระเจ้าแล้ว หลังความตาย เราไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้รับโทษแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือข่าวดี นี่คือพระพร นี่คือพระคุณที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเรามนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือน คนที่ส่องกระจก มองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้วก็ไป และทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาตนเอง เป็นอย่างไร
ยากอบ 1:22-25 … “22 อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น 23 ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นเป็นเหมือนคนที่ส่องกระจก มองหน้าตัวเอง 24 หลังจากส่องดูแล้วก็ไป และทันใดนั้นก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร 25 ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์ ซึ่งให้เสรีภาพ และทำสิ่งนี้ต่อไป โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน แต่ปฏิบัติตาม เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ”
ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แล้วไม่เชื่อ ไม่ได้ทำตาม ก็อยู่ในการพิพากษาลงโทษเหมือนเดิม
ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แล้วเชื่อและได้ทำตาม ก็ได้รับการบังเกิดใหม่รับความรอดนิรันดร์
สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเหมือนกระจกเงาให้เราส่องดูว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หน้าตาของเราเป็นอย่างไร สะอาดหมดจดแค่ไหน บาปของเราได้รับการยกออกแล้ว วิญญาณของเราและจิตใจใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ให้เราจดจำถ้อยคำเหล่านี้
เพื่อเราจะไม่ถูกหลอกให้ลืมความจริงนี้ และไปติดตามคำยุแยงของศัตรู ที่ส่งกระแสเข้ามา ผ่านทางอิทธิพลของความบาป ล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า
เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว มองดูตนเองในกระจกเงา คือถ้อยคำของพระเจ้าก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก
ตรงนี้พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา ไม่ว่าเราจะประพฤติออกมาเป็นความรักหรือไม่ก็ตาม ทำผิดหรือทำถูก ก็ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในความรักแล้ว อยู่ในกฎใหม่แล้ว ตัวจริงๆ ของเราตามธรรมชาติใหม่
เป็นความดีงาม เป็นความรัก ถ้าเราไม่เผลอลืม เราก็จะดำเนินชีวิตตามความรัก พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องปฏิบัติ
แต่ให้เราปฏิบัติตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่ของเรา ไม่ถูกหลอก ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็จะได้รับพรในสิ่งที่เราทำ เกิดเป็นผลดีต่อชีวิตของเราทางฝ่ายโลก ไม่เกี่ยวอะไรกับทางวิญญาณของเราเลย
เมื่อเราเชื่อ วิญญาณเรารอดแล้วแน่นอน ความประพฤติไม่สำคัญเลย แม้จะทำดีหรือทำไม่ดี ก็ไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลย
เพราะพระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับความรอด โดยพระคุณความรักของพระเจ้าไม่ใช่โดยการกระทำความประพฤติของตนเอง
แต่ร่างกายของเรา ยังอาศัยอยู่บนโลกนี้ ยังอยู่ภายใต้ กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีละชั่ว กฎของการหว่าน และการเก็บเกี่ยว หว่านอะไรต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราประพฤติอย่างถูกต้อง ด้วยความเคารพยำเกรงในกฎทั้งสอง ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาดูแล ด้วยความยุติธรรม
เราก็จะได้รับผลดีในชีวิตของเรา เป็นพระพรตามที่พระเจ้าได้ระบุไว้ในถ้อยคำของพระองค์อย่างแน่นอน
พระเจ้าอวยพรครับ