วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1483

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 6 “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราอยู่ใน “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้ตอนที่ 6 ชื่อเรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

            เราได้เรียนรู้อะไรกันมาแล้วบ้าง? 5 ตอนแล้ว ตอนนี้ตอนที่ 6 ในหนังสือยอห์น บอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณมากกว่า ที่บอกว่าคริสเตียนจริงๆ แล้ว เป็นใครอยู่ที่ไหน? ในโลกวิญญาณเรามองไม่เห็น อาจารย์ยอห์นไม่ได้มาสอนว่าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องทำอันโน้นอันนี้อย่างไร? แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริง สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตา ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเวลาเราเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณของเรามันเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง? ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอกว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเราเป็นคริสเตียน รับเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่าง เรียกว่าอาศัยอยู่ในความสว่าง ทั้งๆ ที่เราก็อยู่เหมือนเดิม เมื่อคืนปิดไฟนอน มืดไหม? มืด แต่เราเป็นคริสเตียน ทำไมพระคัมภีร์บอกว่าเราอาศัยอยู่ในความสว่าง  เห็นไหม? นี่คือความรู้ทางโลกวิญญาณ ที่เป็นเรื่องเดียวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่สอนให้คริสเตียน ให้ผู้คนได้รู้ ได้เข้าใจ  เพราะมันมองไม่เห็น  เราเรียนรู้ว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความรัก  ที่อยู่ภายในวิญญาณ

            ซึ่งได้เรียนรู้ว่ามันตรงกันข้ามกับก่อนหน้าที่เราไม่ใช่คริสเตียน  เราอาศัยอยู่ในความมืด ดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชัง  อยู่ภายในวิญญาณของเรา นี่คือความจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในความสว่างจริงๆ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แล้วไปทำบาป เรียกว่าเผลอ ถูกหลอกลวงให้ไปทำบาป ในขณะที่กำลังอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น ขณะที่ทำบาป เขาก็ยังอยู่ในความสว่าง กำลังอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับเขา นี่เป็นเรื่องจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอนแล้ว

            ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 2:10 ที่เราได้เรียนรู้กันชัดเจนมาก ผมยกมาให้เห็นชัดๆ …

        1 ยอห์น 2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้นไม่มีอะไร เป็นเหตุที่จะทำให้สะดุด (ทำบาป) เลย”

            “ผู้ที่รักพี่น้องของตน” ก็คือคริสเตียน ก็อยู่ในความสว่าง คริสเตียนอยู่ในความสว่าง ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง

            พูดความจริงอย่างนี้ เราได้เรียนรู้แล้วนะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นเลยว่าจงมั่นใจอย่างนี้ นี่คือตัวท่าน เป็นคริสเตียนในโลกวิญญาณ เราไม่มีธรรมชาติภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นสาเหตุให้เรา ไปทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่เชื่อ ตอนก่อนเชื่อ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เราอยู่ในความมืด  เราทำตามธรรมชาติในความมืดนั้น ทำบาปตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นใครในพระคริสต์?

            “ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

            เราต้องคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นการอธิษฐานถามพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ …

            “แล้วลูกเป็นใครในพระองค์ ในพระคริสต์”

            สถานะทางโลกวิญญาณของเราคริสเตียนนั้น เป็นอย่างไร? ที่ยอห์นกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความจริงแห่งพระคุณนี้ ตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่ เรียกว่า “พระคุณแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” “พระคุณแห่งข่าวดี” หรือ “ข่าวดีแห่งพระคุณ” ต้องจำคำนี้ไว้เลยว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ หรือพระคุณแห่งข่าวดี

            พระคุณแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คือเมื่อผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ต้อนรับข่าวดีแล้ว เขาก็จะได้รับพระคุณเหล่านี้ ที่เราได้เรียนรู้มาตลอด เขาได้รับฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่เปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ พระคุณเหล่านี้เป็นของเขา ได้รับฟรีๆ โดยความเชื่อนี้ คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในความสว่าง ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์  และจะอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเผลอ ถูกล่อลวงให้ทำบาป อะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม เขาได้รับความรอด จากการถูกพิพากษา ลงโทษแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แล้วเขาจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่เรียกว่า “พระคุณ”

            และเมื่อรับรู้พระคุณเหล่านี้ได้มากเท่าไร? พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้น หรือคริสเตียนคนนั้น เขาก็จะกระทำตัวให้เหมาะสม เขาก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นเหมือนความจริงในโลกวิญญาณได้มากขึ้น ตามที่เขาเป็นอยู่  ก็คือเขาถูกหลอก ล่อลวงให้ทำบาปน้อยลง เพราะเขารู้ความจริง

            ถ้ารู้ความจริง คนก็จะมาหลอกเราไม่ได้ ถ้าเรารู้ความจริงเยอะๆ คนก็มาหลอกลวงเราไม่ได้เยอะๆ ถ้าเรารู้น้อย ตรงที่เราไม่รู้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะถูกหลอกล่อ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่อง “พระคุณ” อย่างนี้ ในข่าวดีของพระเจ้า ในข่าวประเสริฐของพระองค์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งเล่ม ทุกเล่มในหนังสือจดหมายฝาก ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์ อ้างถึงตรงนี้ตลอด สอนถึงเรื่องราวตรงนี้ตลอด ให้เราจดจำตรงนี้ตลอด ให้เราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ตลอด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจจะถูกหลอกให้ทำบาป  ก็ได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น เป็นนิรันดร์ไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เกิดจากความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เรียกว่าพระคุณ

            ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้แหละ ในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1-2  “1 พี่น้อง (คือคริสเตียน) เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมความคิดและสติปัญญาของท่าน (ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่าน) ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการ กตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่ายอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่าน”

            พระคุณของพระเจ้าทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เห็นพระคุณตรงนี้ เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน ในทิตัส 2:11-12 ก็เช่นเดียวกัน …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            ฝึกฝนเราให้ปฏิเสธการถูกล่อลวงให้ทำบาป  ต้องเรียนรู้จักพระคุณนี้

            วันนี้มาต่อตอนที่ 6 เรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก” เราไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก  แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระเจ้า แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก มันหมายถึงอย่างนี้  พูดง่ายๆ ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เป็นความมืด วันนี้มาต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 2:15 …

        1 ยอห์น 2:15  “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก  ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก” เห็นอะไรบางอย่างไหม? อยู่ตรงข้ามกับในพระเจ้า ในพระคริสต์ “ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น คนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้ ที่อ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่เข้ามาในชุมชนของคริสเตียน สมัยนั้น ภายในวิญญาณของเขาไม่ได้เป็นความรัก  ไม่สามารถรักพระเจ้าได้ เขาจึงมีธรรมชาติในวิญญาณที่รักโลก และสิ่งของบนโลก เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            อาจารย์ยอห์นก็พูดว่า … “เพราะฉะนั้น พี่น้องคริสเตียน อย่าถูกหลอกให้รักโลกนั่นเอง”

            ความหมายของ 1 ยอห์น 2:15 ก็คืออย่าถูกหลอกให้รักโลกและสิ่งของบนโลก เพราะนั่นไม่ใช่ตัวจริงของเรา แต่เป็นตัวตนของผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน ในตรงนี้ อาจารย์ยอห์น ชี้ให้เห็นถึงคนที่เป็น คริสเตียนแท้ๆ ว่าสถานะทางวิญญาณเขาเป็นเช่นไร? แตกต่างจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนอย่างไร? เพื่อจะได้สังเกตตัวเองด้วย ในขณะนั้นนะ

            คนที่เป็นคริสเตียนแท้จะเป็นความรักแบบอากาเป้เหมือนพระเจ้า และรักพระเจ้าพระบิดา แต่จะเกลียดชัง ปฏิเสธโลก และสิ่งของบนโลก ระบบของโลก ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของความบาปและความชั่ว นี่เป็นธรรมชาติทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถไปด้วยกันกับโลกนี้อีกต่อไป  เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกัน  2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เราได้รับการขอร้องจากพระเจ้า ผ่านทางพระคัมภีร์ ขอร้องให้เราดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ขอร้องเรานะ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้ทำตามโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง เราจะได้ไม่ถูกหลอกให้ทำตามเนื้อหนัง เราจะได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน ทำให้สมกับฐานะคริสเตียนของเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่สมควรจะกระทำ มองไปที่วิญญาณที่อยู่ข้างใน ที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มองดูข้างนอก ระบบของโลกนี้ ที่อยู่เพียงชั่วคราว

            คริสเตียนแม้จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แต่ไม่ได้เป็นของโลก แล้วเป็นของใคร? เป็นของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ไม่ได้เป็นพลเมืองของโลกใบนี้อีกต่อไป  แต่ก่อนเราเป็นพลเมืองของโลก แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ อยู่ในพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ฟิลิปปี 3:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฟิลิปปี 3:20-21 “เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เราเป็นพลเมืองสวรรค์  เป็นประชากรสวรรค์แล้วในขณะนี้  เพียงแต่เฝ้ารอคอยวันที่จะได้ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พอได้พบพระเยซู ก็ได้รับร่างกายใหม่  มาแทนร่างกายนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ที่สามารถอยู่ในสวรรค์จริงๆ ได้ ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองตามความเป็นจริงในร่างกายใหม่ เรารอคอยตัวนั้น  เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงไม่ใช่เป็นของโลก ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเราเป็นเหมือนคนต่างด้าว เป็นเหมือนคนแปลกหน้า บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เดินบนโลกใบนี้ ขณะเดียวกัน เป็นคริสเตียน ต้องรู้ว่าเราเดินอยู่บนโลกที่ไม่ได้เป็นบ้านของเรา เราอยู่เพียงชั่วคราวเอง ในทางวิญญาณแล้ว เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ในขณะนี้

            ท่านคิดดูสิ ถ้าเกิดเราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ ชัดเจนมากๆ ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก มันจะมีความสุขขนาดไหน? เรานึกออกใช่ไหม? เราไม่ได้รอคอยสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:11 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:11 “ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน”

            วิงวอน ขอคริสเตียน ที่เป็นคนแปลกหน้าของโลกใบนี้ อยู่บนโลกใบนี้ อย่างไม่ใช่บ้านเกิดของเรา ให้ละเว้น ก็คือให้ระวังอย่าถูกล่อลวง โดยกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึก ศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า โคโลสี 1:13 ได้เรียนแล้ว ชัดเจนมากเลย …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้รับการย้ายเข้ามาแล้ว ย้ายเลยเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตายก่อน ขณะนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่อาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าสวรรค์ในพระคริสต์ เรียกว่าเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์  อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์ มาเป็นพลเมืองสวรรค์กับพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เรายังคงถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อน เพื่อจะได้ประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าจะได้ใช้เรา อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานเหมือนคนต่างด้าว กำลังทำงาน เพราะเรามาจากสวรรค์ ขณะนี้เราอยู่ในสวรรค์ เราไม่ได้เป็นของโลกใบนี้  โลกใบนี้เต็มไปด้วยความบาป ความมืด แต่เราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความชอบธรรม  อยู่ในพระเจ้า 1 ยอห์น 2:16 …

        1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง [ความอยากในร่างกาย] ตัณหาของตา [ความปรารถนาอันโลภมากของจิตใจ] และความเย่อหยิ่งในชีวิต [ความมั่นใจในความรู้ความสามารถ สติปัญญาของตนเอง หรือความมั่นคงของสิ่งของทางโลก]  สิ่งเหล่านี้  ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลกเอง”

            ในโลกนี้มีอะไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น ในโลกที่เราไม่ได้อยู่อาศัยนั้น  แต่เราดำเนินชีวิตอยู่ ตรงนี้มีอะไรบ้าง? พูดถึงสิ่งที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่ได้มาจากพระบิดา ผู้สถิตอยู่ภายใน แต่มันเป็นของโลกเอง ให้เห็นความแตกต่างระหว่างภายในเรา  ที่เราอยู่กับพระบิดา  อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ในขณะนี้ อาศัยอยู่ในความสว่าง ในขณะนี้ กับเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก โลกเต็มไปด้วยความมืด  แต่เราอาศัยอยู่ในความสว่าง มันต่างกันมากเลย มันคนละเรื่องกันเลย

            ในโลกนี้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้  ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก จะใช้คำนี้ ลักษณะนี้ ก็คือตัณหาหรือกิเลสทางฝ่ายเนื้อหนังของระบบของโลกนี้ ซึ่งกิเลสตัณหาของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ที่หลอกลวง ล่อลวงเรา เป็นอิทธิพลที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ซึ่งมันสามารถแยกแยะออกมาเป็น 3 สิ่งหลักของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้ อาจารย์ยอห์นจะชี้ให้เราได้เห็น  เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่านี่แหละ คือศัตรูของเราตัวจริง นี่แหละ คือตัวที่ทำให้เราไปทำบาป ขณะที่เราเป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา  เราไปทำบาป ทำผิดพลาด ก็เพราะตัวนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันๆๆๆๆ มันประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลักเหล่านี้ คือ …

            (1) ตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึงความปรารถนาที่จะได้รับความพึงพาใจทางกาย คือความสุขทางกาย หรือความสุขทางกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะดึงดูดใจมนุษย์  นี่แหละ ชี้ให้เห็นเลยว่ามันมาจากตรงนี้แหละ มาจากกายที่ถูกเร้า

            (2) ตัณหาของตา หมายถึงความโลภ หรือความปรารถนาที่จะได้มีสิ่งที่เห็นอยู่นั้น อยากได้สิ่งที่เห็น ซึ่งจะนำไปสู่ความอิจฉาริษยา ความบาปต่างๆ ความโลภต่างๆ ทำให้เกิดการทำชั่วต่างๆ เกิดขึ้น จากสิ่งที่ตามองเห็นและอยากได้

            (3) ความเย่อหยิ่งในชีวิต หมายถึงความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง ทรัพยากรของตนเอง ก็คือที่พระเยซูบอกว่าอย่าสะสมทรัพย์ไว้กับตนเอง ทรัพย์ตัวนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทอง แต่หมายถึงปัญญาทรัพย์ ความเย่อหยิ่งว่าฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม อะไรต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรียกว่าความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง หรือความมั่นคงในสิ่งทางโลก  อันนี้หมายถึงทรัพย์แล้ว  ความมั่นคง คือในฐานะ ตำแหน่ง ทรัพย์สิน เงินทอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ความมั่นใจ ความมั่นคงเหล่านี้ อาจทำให้เราคริสเตียน เกิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือเกิดการพึ่งพาตนเองมากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า ซึ่งก็คือบาป นั่นเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า มั่นใจตัวเองจนเกินไป

            พระคัมภีร์ตรงนี้กำลังเตือนเรา คริสเตียนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าพระเจ้าล่อลวงเราให้ทำบาป  อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าชักจูงเราให้ทำบาป อย่ากล่าวหาว่าพระเจ้านำพาเราให้ไปทำบาป ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเรา ที่ตะกี้เราอ่านตั้งแต่ข้อแรก 1 ยอห์น 2:10 มันไม่มีเหตุจากภายในของเรา ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราบริสุทธิ์ สะอาด อย่าไปกล่าวหาเขา สิ่งเหล่านี้มาจากข้างนอกตัวเรา ตัวตนแท้จริงของเราสะอาด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า แต่มันเป็นสิ่งที่มากระตุ้น จูงใจเราจากระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบที่เป็นศัตรู ขัดแย้งกับพระเจ้า และขัดแย้งกับความจริงของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา ซึ่งได้บังเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว

            แล้วพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน พระเจ้าก็จะทรงฝึกฝนเรา นี่แหละ คือสงครามที่อยู่ในโลกวิญญาณ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน พระเจ้าก็จะฝึกฝนเราให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ฝึกฝน ด้วยความรัก ฝึกฝนเราว่าอันนี้ล่อลวง อันนี้เป็นอย่างไร? อะไรต่างๆ ให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ  ไม่ถูกล่อลวงให้ทำตามกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง เมื่อตะกี้นี้ที่เราหนุนใจกัน ซึ่งในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าจงดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณที่อยู่ภายใน อย่าสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

        กาลาเทีย 5:16-17 “ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป เพราะตัณหาของวิสัยบาป ขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณ ขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำ จึงไม่ได้ทำ”

            “เนื้อหนัง” ในที่นี้ พอพูดปุ๊บ จำไว้เลยว่าระบบของโลกนี้ มันคือศัตรู มันไม่ใช่ตัวท่าน มันคือตัณหาของวิสัยบาป  ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง  พูดอีกนัยหนึ่ง ให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง คือความอยากได้  อยากเป็น อยากมี ในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ นึกออกไหม? มีอยู่แค่ 2 อันแค่นี้เอง  ทั้งหมดเลยที่ตะกี้นี้ว่ามา 3 หัวข้อหลักของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สรุปมาได้แค่ 2 ข้อว่ามันทำแค่นี้ ทำให้มนุษย์เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น กระตุ้นให้ทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยกระตุ้นอย่างนี้ทั้งหมด คือความอยากได้ อยากเป็น อยากมีในสิ่งที่ตนเองต้องการ  ในสิ่งที่เราอยากได้ เราต้องการ  หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ  อันนี้เข้าใจยากนิดหนึ่ง เราไม่ต้องการอะไร? เราป่วยเป็นมะเร็ง เราก็ไม่อยากได้ อยากจะแข็งแรง นี่แหละ รวมความแล้ว ก็คือความไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เป็นอยู่นั่นเอง

            ความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในวินาทีนี้ ในขณะนี้ เราพอใจไหม? ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ เราไม่ถูกหลอกด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ถ้าเราไม่พอใจเมื่อไร? นั่นแหละ เริ่มต้นถูกหลอกแล้ว  ถูกหลอกเพราะอะไร? เพราะตัวเราเอง ไม่ใช่ ตัวข้างในเราพึงพอใจในตัวเราเองที่เป็นอยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง แต่มันเป็นการล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ภายนอก

            “กิเลสตัณหาที่อยู่ในโลกนี้ อยู่ภายนอกตัวเรา”

            ต้องจดจำความจริงให้แม่นเลย  เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก บางคนถูกหลอกว่ามาจากพระเจ้า เลยเละเลย เลยไม่รู้ว่าศัตรูเรา คือใคร? นึกว่ามาจากพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนี้ วิงวอนขอจากพระเจ้าให้เราหลุดพ้นจากสิ่งพวกนี้ มันก็ไม่หลุดสักที ก็เพราะว่าเราไม่รู้ศัตรูตัวจริง ศัตรูมันแอบอยู่ ยุยง เป็นเหตุให้เราทำบาป  ก็คือมันนั่นแหละ แล้วมันก็บอกว่าที่เราทำ เพราะตัวเราอยากทำเอง เห็นไหม? แค่นี้ไม่พอ หมัดที่ 2 บอกว่า “พระเจ้าเป็นคนล่อลวงให้แกทำ” กล่าวหาพระเจ้าอีก  แล้วก็บอกว่าพระเจ้าไม่ชอบ พระเจ้าเขี่ยแกทิ้งแล้ว เราก็รู้สึกฟ้องผิด แย่แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์แล้ว ตกสวรรค์ไปแล้ว  ไม่ได้รับความรอดแน่ๆ เลย ตายไป แทนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับแล้ว จะรอดหรือเปล่าหนอ นี่ไง เราถูกหลอกด้วยศัตรูมันยุแหย่ ยุยงให้เราตีกันเองกับพวกเรา พี่น้องคริสเตียนด้วยกัน หรือมนุษย์ด้วยกัน แล้วไปตีกันเองกับพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งรักเรามากเหลือเกิน มาก ดังแก้วตาดวงใจ ข้อต่อไป 1 ยอห์น 2:17 …

        1 ยอห์น 2:17 “โลก​และ​กิเลส​ของ​โลก ​ก็​กำลัง​ล่วงลับ​ไป แต่​ผู้​ที่​กระทำ​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​เจ้า ​จะ​ดำรง​อยู่​ตลอด​ไป”

            พูดง่ายๆ คืออย่าให้มันหลอก ให้เราไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น อยากได้สิ่งเหล่านั้น มันอยู่ชั่วคราว มันเอามาหลอกและล่อเรา อีกไม่นาน มันก็สูญสิ้นไปแล้ว เหมือนที่มันหลอกล่อพระเยซู นำพระเยซูขึ้นไป บอกว่า …

            “ทรัพย์สินทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิทธิอำนาจในโลกใบนี้เป็นของเรา เราจะมอบให้ใครก็ได้  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านกราบไหว้เรา” ซาตานทดลองพระเยซู “เราจะให้ท่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด”

            พระเยซูบอก “ไปให้พ้น”

            จะให้สิทธิอำนาจบนโลกใบนี้ ทรัพย์สินบนโลกใบนี้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว โลกและกิเลสของโลก กำลังล่วงลับไป  อิทธิพลเหล่านี้กำลังหมดไป  กำลังจบสิ้นไป อดทน นิดเดียวเท่านั้นเอง

            ยอห์นสรุปในที่นี้นะ เพราะฉะนั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทั้งหลาย อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนี้  ไม่ได้มาสั่งให้เราบอกว่าท่านทั้งหลายอย่าทำนะ  เพราะอาจารย์ยอห์นรู้ว่าภายในท่าน ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านจะถูกล่อลวง มันไม่ได้มาจากตัวท่าน  มันมาจากข้างนอก  เพราะฉะนั้น พี่น้องอย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ เพราะมันอยู่ไม่ได้นาน มันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน  พูดง่ายๆ เดี๋ยวมันก็ล่วงลับไปแล้ว

            อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ โดยผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของท่าน ที่ถูกปลุกเร้าและต้องการจนเสียความสมดุลตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น มันเสียสมดุลไป เช่น …

            ควรจะพอใจในสุขภาพร่างกายเท่าที่สามารถทำได้ ก็ไม่พอใจอีก อยากจะแข็งแรงกว่านี้ มันก็ทุกข์สิ นึกภาพให้ดีๆ แทนที่จะยอมรับ และรู้ว่านี่คือความจริง พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่ากายภายนอกของเราจะต้องทรุดโทรมไป  เราก็ไม่ยอมให้มันทรุดโทรม ไม่ให้ทรุดโทรมมันก็โอเค ออกกำลังกาย ก็ว่ากันไปตามเหตุและผล ตามความพอเหมาะ ไม่ใช่ไปแสวงหาแบบจิ๋นซีฮ่องเต้ หายาอายุวัฒนะอะไรที่มันแปลกประหลาด ที่มันมากเกินเลย มันทำลายความสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลกนี้ มันยุแยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันเกินไป หรือไม่ก็น้อยเกินไป หาอายุวัฒนะอะไรแปลกประหลาดเกินเลย มันทำลายสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก ยุยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ไม่พอดี

            ควรจะพอใจในการกิน การอยู่ และทรัพย์สินเงินทองเท่าที่สามารถทำได้ ตามที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าได้ทรงประทานกำลัง ควรจะพอใจ ก็แค่นั้นแหละ  เราขอบคุณพระเจ้า ขยันทำงาน ทำมาหากิน แต่ไม่เว่อร์ ถึงกับโลภ …

            “ปีหน้าฉันต้องได้อย่างนี้ ปีต่อไป ฉันต้องได้มากกว่านี้ ฉันจะต้องร่ำรวยเหมือนคนนี้ๆ”

            นี่แหละความไม่สมดุล ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ก็เกิดความทุกข์

            ควรพอใจในคำสรรเสริญเยินยอ ตามสถานะในสังคม ที่ผู้คนยกย่อง ตามความเป็นจริง ไม่เกินไปหรือขาดไป  ขาดไปอย่างไร? เกินไปเรารู้อยู่แล้ว เกิดความมั่นใจ เกิดความเย่อหยิ่ง แต่ขาดไป คือเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ฟ้องผิดในตัวเอง ถล่มตัวเองอยู่ตลอดเวลา …

            “ฉันมันเลวๆ”

            นึกออกไหม? ตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไปตลอดเวลา  … “ลูกมันแย่อย่างนั้น” อย่างนี้ก็เกินไป  ไม่มีความพึงพอใจ แต่ให้เรามีความพอใจในสถานะนั้น ที่พระเจ้าได้ให้เราเป็นอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่ากำลังถูกคนเขานินทา ลบหลู่เกียรติ หรือกำลังยกย่องเราก็ตาม เราก็รับได้ สมดุล บางคนก็ขาดความสมดุล ยกตัวอย่างเช่น คนมาชมเรา …

            “ไม่หรอก ไม่ ขอบคุณพระเจ้าๆ”

            บางครั้งมันก็เว่อร์ไป อย่างนี้ คิดให้ดีๆ พอมันเว่อร์ไป ในที่สุด มันตกขอบ พอตกขอบ มันไม่มีตรงกลาง มันก็คือบาปนั่นเอง  เพราะว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ที่เราอยู่อาศัยกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ มันอยู่นิรันดร์ แต่สิ่งของที่อยู่บนโลก ที่บอกให้เราพึงพอใจนั้น มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เราควรจะพึงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่พระเจ้าให้เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เพราะมันอยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันอยู่แค่แป๊บเดียว ถ้าเขาจะสรรเสริญเยินยอเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเขาจะติฉินนินทาเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยขนาดไหน? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะแข็งแรงเท่าไร? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว เพราะโลกนี้อยู่ในการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกวินาที ไปสู่ความสูญสิ้น แต่ในโลกวิญญาณที่เราอยู่แล้ว ในสวรรค์ ในวิญญาณเรา ในพระคริสต์นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ตลอดไปเป็นนิตย์  เพราะฉะนั้น เราควรจะจดจ่อชีวิตเราไปอยู่ที่ไหน? อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เราเห็นถึงสถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้นะ อย่ามองในสิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้ เพราะมันอยู่เพียงชั่วคราว แต่จงมองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะมันอยู่นิรันดร์  สิ่งที่มองไม่เห็น คืออะไร? ก็คือสวรรคสถาน คือพระคริสต์ ที่เราได้อาศัยอยู่แล้ว

            พระเยซูตรัสว่าให้เราแสวงหาสิ่งของที่อยู่ในสวรรค์ ให้เราแสวงหา ไม่ใช่หมายถึงให้เราไปค้นคว้าหา     แต่ให้จดจ่อ    ให้ความสนใจกับทรัพย์สินที่เรามีอยู่แล้ว       ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณที่มันเหลือล้นมากเลย  พระพรนานัปการให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว

            “แต่ผู้ที่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป” ในข้อนี้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร? คนไหนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า จะดำรงอยู่ตลอดไป บางคนก็คิดว่านี่กำลังจะบอกว่าถ้าใครทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็จะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิจ ก็จะได้รับความรอดจนถึงนิรันดร์

            มันไม่ใช่อย่างนั้น ตะกี้เราคุยกันแล้วว่าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิด ทำพลาดไป  ไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าสักหน่อย นึกออกไหม? แต่ทำตามการถูกล่อลวงด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วตรงนี้หมายถึงอะไร? “แต่ผู้ที่กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มีคนมาถามพระเยซู …

            “แล้วต้องทำอย่างไร? ต้องทำอะไรตามพระประสงค์ของพระเจ้าบ้าง? กิจการงานอะไรที่ควรจะทำบ้าง? เพื่อว่าจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้ดำรงอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า”

            พระเยซูเปลี่ยนคำว่า “การงานต่างๆ” อะไรบ้างหลายอย่าง เปลี่ยนเป็นเอกพจน์ คืออย่างเดียวเท่านั้น พระประสงค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ เพื่อที่ท่านจะดำรงอยู่เป็นนิจกับพระองค์ คือวางใจในเรา ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือวางใจในพระเยซู พูดง่ายๆ ตรงนี้ คือแต่ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดไป เอเมน อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้

            ถ้าคนเข้าใจผิดตรงนี้ เอาไปพูดบอกว่าเพราะฉะนั้น ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คิดสิ จะทำอะไรที่ต้องคิด ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตามปุ๊บ ก็ไม่ดำรงอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจ ก็อาจจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ เป็นคริสเตียน พลาดไปทำบาป พลาดไปโกหก ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ พลาดไปโลภ โลภเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่รอดแน่ เห็นไหม? ถูกหลอกอีกแล้ว แต่น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ประตูเปิดให้ทุกอย่างเรียบร้อย พระเจ้าต้องการแค่นี้  ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เธอมนุษย์คนหนึ่ง ต้องการเพียงแค่วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เหลือพระเจ้าทำหมด

            พอวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ได้บังเกิดใหม่ ได้รับเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านิรันดร์กาลเรียบร้อยเลย เรียกว่าความรอดนิรันดร์ ชัดเจน …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            “วาระสุดท้าย” คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก วาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาเร็วๆ นี้ กำลังชี้ให้เห็นอะไร? ยอห์น คืออัครทูต ในสมัย 2,000 ปีก่อน เขียนถึงคริสเตียนอย่างนี้  เพราะว่าอัครทูตเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุดแล้ว อัครทูตเหล่านี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? เขาและพวกยังคิดว่าพระเยซูกำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้ หมายถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อน อาจจะมาอีก 10 วันมั้ง พระเยซูสัญญาว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเขา 40 วัน เขารู้ไหมว่าอยู่อีก 40 วัน เขาไม่รู้หรอก  แต่เขารอตามที่พระเยซูสั่งให้รอ ก็รอ รอไปแค่ 10 วัน พระเยซูกลับมาแล้ว วันเพ็นเตคอส เขาก็นึกว่าหลังจากวันเพ็นเตคอส พระเยซูอยู่ด้วยกันกับเขา แล้วก็บอกว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง เขาก็คิดว่ารออีกไม่นาน คงกลับมาแน่ เขาก็คิดว่ากลับมาในยุคที่เขามีชีวิตอยู่นั่นแหละ นึกออกไหม? แม้กระทั่งอัครทูตยังไม่รู้เลย พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย หรือวันที่พระองค์จะกลับมาใหม่นั้นเป็นวันใด? โมงใด? ไม่มีใครรู้ พระบุตรเองก็ไม่รู้ แต่มีมนุษย์ทั้งหลาย พยายามอยากรู้มาตลอด เขียนหนังสือบ้าง? บรรยายบ้างว่าจะกลับมาวันนั้น วันนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ในหนังสือวิวรณ์เขียนบอกอีก อย่างนั้นอย่างนี้ พยายามบอกทุกอย่าง ตรวจต่างๆ แล้วบอกว่าจะมาวันนั้น แล้วไม่มาสักที เช่นเดียวกัน วาระสุดท้ายตรงนี้ ก็หมายถึงเขาคิดว่าจะมาในวาระสุดท้าย คือวันนั้น

            และคำว่า “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ จะมาในวาระสุดท้ายนั้น”

            และที่เข้าใจผิดอีกคำหนึ่ง ก็คือ “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ หรือแอนตี้ไครซ์” ก็หมายถึงมาร ซึ่งเป็นศัตรู มารซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้  ปฏิปักษ์พระคริสต์มีมามากมาย  เหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย  หมายถึงอะไร? คนก็เข้าใจผิด นึกว่าวาระสุดท้าย คือมีคนอ้างตัวเองว่าเป็นพระเยซูเยอะแยะ มาทำอัศจรรย์ หลอกล่อคน มันไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้นเลย  นึกย้อนไป 2,000 ปีก่อน อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่ามารซึ่งเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ถึงเรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์

            ข่าวดีของพระคริสต์ คือพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งปวง  มารเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนปฐมกาลแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้มารตกกระป๋องมา  ก็เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  เป็นศัตรูต่อพระคริสต์ ตั้งแต่ตอนสมัยที่ยังไม่ได้เป็นมาร เป็นลูซีเฟอร์อยู่ แล้วมาถึงตอนนี้ แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด คือส่งพระมาซีฮาห์มา มารก็ต่อต้านพระมาซีฮาห์ ต่อต้านพระคริสต์มาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว เรื่อยมา แล้วจะมาเร่งการงานของมันมากขึ้น ในยุคสุดท้ายนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น ในยุคสุดท้าย วาระสุดท้าย มันจะมีมากมายขึ้น คือกระทำการงานผ่านทางคนมากมาย เพราะว่ามันจะหมดเวลาของมันแล้ว  ก่อนที่จะสิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลกใบนี้  ก่อนที่มันจะถูกพิพากษาลงโทษ โยนลงไปในบึงไฟนรกนิรันดร์นั่นเอง มันก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของมันแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น และก่อนที่มันจะสิ้นสุดโอกาสในการที่จะล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด เชื่อในความเท็จของมัน  โดยการปิดบังตามนุษย์ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มารก็เร่งการงานมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าใกล้วันเท่าไร ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พูดง่ายๆ มีคริสเตียนมากขึ้นเรื่อยๆ มารมันก็ทำงานผ่านทางคนนี่แหละ ผ่านทางมนุษย์นี่แหละ ในการบิดเบือนข่าวประเสริฐ จึงเป็นการเตือนจากอาจารย์ยอห์นให้คริสเตียน ที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน อยู่ในคริสตจักรขณะนั้น เกี่ยวกับการปรากฏตัวของปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่ต่อต้านพระคริสต์  และคำสอนของพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แค่นี้เอง ซึ่งคือใคร? ในบริบทนี้ ยอห์นกำลังเตือนสติให้ระวังผู้ที่พยายามหลอกลวง เบี่ยงเบนความเชื่อของพวกเขาคริสเตียนที่แท้จริง

            จำได้ไหม บทที่ 1 เราได้เรียนรู้แล้วว่ามีคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ใช่คริสเตียน แล้วได้มาอยู่ในท่ามกลางเหล่าคริสเตียน  แล้วก็มาสอนอะไรที่ผิดๆ ก็คือมาต่อต้านพระคริสต์ ยอห์นใช้คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เพื่อที่จะบ่งบอกถึงผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พยายามบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐ ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ คือปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อช่วยคนบาป ได้บันทึกแล้วก็เขียนถึงคนเหล่านี้ ใน 1 ยอห์น 2:22 …

        1 ยอห์น 2:22 “ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์  คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร”

            นี่แหละปฏิปักษ์พระคริสต์ คือคนที่โกหก ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าเตรียมไว้  ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ในบริบทนี้ จึงหมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมีมากมาย นับไม่ถ้วนในโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงบุคคลที่ตั้งตนเอง หรืออุปโลกน์ตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นพระเยซูมาเกิด ฉันคือพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 แล้ว” คนละเรื่อง

        1 ยอห์น 2:19  “พวกเขาออกไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่ เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไป แสดงว่าในพวกเขา ไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านี้ อยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ ในขณะนั้น ทุกวันนี้ก็มีอยู่ ดูเหมือนคริสเตียน แต่ไม่ใช่  เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ แต่เขาอ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน และพยายามสอน แนะนำความเชื่อที่แตกต่าง ที่เป็นความเชื่อที่ปฏิเสธข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในหลายๆ รูปแบบ เช่น พวกนอสซีส ที่พูดไว้ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือ …

            “เธอรับเชื่อพระเจ้าหรือยัง?”

            “รับเชื่อแล้ว”

            “เธอเป็นคริสเตียนหรือยัง?”

            “ฉันก็เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้วเหมือนกัน แต่ฉันจะบอกให้นะ ยังไม่พอหรอก เธอต้องเพิ่มความรู้ เพิ่มพิธีกรรม เพิ่มโน่น เพิ่มนี่ ต้องเชื่อตรงโน้นด้วย เชื่อตรงนี้ด้วย พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงหรอก  แต่ฉันรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ”

            หรือไม่ก็ “พระเยซูเป็นพระเจ้าจริง แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอก จะบอกให้” อะไรอย่างนี้

            ซึ่งปัจจุบันก็มีอย่างนี้แหละ ลักษณะเดียวกัน ซึ่งปฏิปักษ์ของพระคริสต์เหล่านี้ ไม่ได้สามัคคีธรรม ทางวิญญาณกับคริสเตียนเลย ไม่ได้เกิดใหม่  ไม่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทางวิญญาณ  พูดง่ายๆ ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณเลย ถ้าเขารู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เขาจะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปของฉันที่เป็นคนบาป และไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งโลกที่เป็นคนบาป และทำบาป ตรงนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า สำคัญที่สุด

            และอาจารย์ยอห์นบอกว่าพวกคนเหล่านี้ ที่เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์แล้ว เป็นแอนตี้ไครซ์ ก็มีเยอะแยะมากมายไปหมดเลย มาในรูปแบบของบุคคลเอย เป็นคณะ เป็นคำสอนอะไรต่างๆ เยอะแยะ ปัจจุบันก็มีเยอะแยะ  เช่น บอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าอันดับหนึ่ง พระเจ้าอันดับหนึ่ง คือพระบิดา อะไรแบบนี้ ท่านต้องระวังไว้ให้ดี เหล่านี้ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด อาจารย์ยอห์นบอกว่านอกเสียจากว่าพวกเขาเหล่านี้ เมื่อได้ยินได้ฟังความจริงจากพวกเราที่เป็นคริสเตียนแท้ ที่อยู่ในคริสตจักรแล้ว ได้ยินคำประกาศของอาจารย์ยอห์นแล้ว ถ้าเขายอมรับความจริง แล้วเปลี่ยนความคิดจิตใจเขาเสียใหม่ กลับใจใหม่ มายอมสารภาพ มายอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์นี้ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อคนบาปอย่างท่าน อย่างเรา มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถเข้ามาบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นคริสเตียนเหมือนเราได้  ที่เราได้เรียนรู้ไปใน 1 ยอห์น 1:9 ถ้าเขาสารภาพบาป เขาก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน

            และในทุกวันนี้ ก็เช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ยอมรับ สารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาปและทำบาป ต้องการการช่วยเหลือ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดจากความบาป ชำระทุกคนด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ เขาก็จะได้กลายเป็นคริสเตียนแท้จริง เช่นเดียวกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            จงหมั่นอดทนฝึกฝนธรรมชาติใหม่ของชีวิต ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ด้วยความภาคภูมิใจให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยพระคุณและความเชื่อ

            ฟิลิปปี 2:12-13 … “12 ดังนั้น  ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า  แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก  ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า  13 (ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            ในฟีลิปปี 2:12  อาจารย์เปาโลพูดกับพี่น้องชาวฟิลิปปีว่า …  “พี่น้องที่รัก  ท่านเคยเชื่อฟังคำแนะนำของเรามาตลอด  ตอนที่ท่านต้อนรับข่าวดี ได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยจากความบาปทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านมีธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณท่าน และท่านก็เชื่อตามที่เราบอกท่านไว้ ให้ท่านอดทน ฝึกฝน ให้ผลของธรรมชาติใหม่นี้ ได้ถูกสำแดงออกมา  โดยผ่านทางความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในท่าน  ตอนที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ฝึกฝนอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว ขอให้พี่น้องมีความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยความอดทน ให้เป็นไปตามธรรมชาติการเป็นลูกของพระเจ้า  พระวิญญาณจะเป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกฝน ให้กำลังความสามารถ สติปัญญากับท่านเอง  ให้ท่านพัฒนาธรรมชาติใหม่  ที่ท่านเป็นลูกพระเจ้า ให้หมั่นฝึกฝนพุ่งเป้าไปที่ความรอดที่ท่านได้แล้ว ให้ฝึกฝนให้ผลของความรอดออกมาในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ  ฝึกฝนให้รู้ว่าอะไรคือเนื้อหนัง ที่เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ  อะไรคือพระวิญญาณ  ฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณ ฝึกฝนที่จะปฏิเสธการกระทำตามเนื้อหนัง”

            เช่นพระวิญญาณที่อยู่ในเราแนะนำ พร้อมให้กำลังเรา  บอกเราว่าควรสำแดงความรักแทนความโกรธ  ฝึกฝนให้สันติสุขและความชื่นชมยินดีออกมา  ฝึกฝนคอยสังเกตว่าแต่ละวันเราเผชิญกับอะไรสถานการณ์ไหน  เราควรจะตอบสนองออกไปแบบไหนตามพระวิญญาณหรือตามเนื้อหนัง ผิดบ้างพลาดบ้าง นี่เป็นบทเรียน นี่คือการฝึกฝนของผู้เชื่อในแต่ละวัน  เพื่อเราจะได้สำแดงธรรมชาติใหม่ที่อยู่ภายในเรา ออกมามากขึ้นด้วยความรัก เคารพ ยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า พ่อของเรา

            คำว่า “ด้วยความเคารพยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า” หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎและรักษากฎอย่างเคร่งครัดพระองค์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด  ถ้าใครทำผิดกฎ  ก็จะถูกลงโทษ  คนที่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ถือว่าผู้นั้นให้ความเคารพยำเกรงพระองค์  ให้เกียรติกับกฎระเบียบที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  ฉะนั้น การฝึกฝน เพื่อให้ความเคารพยำเกรงพระเจ้า  ฝึกฝนผลของพระคุณที่ทำให้ท่านรอด  ให้ท่านพ้นจากบาป  ทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านควรจะทำตัวให้สมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ฉายแสง สำแดงธรรมชาติตัวจริงภายในของเราที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ออกมาเป็นความประพฤติ

            ถ้าท่านทำดีตามพระวิญญาณนำ ท่านก็เก็บเกี่ยวผลจากพระวิญญาณ คือชีวิต ความชื่นชมยินดี สันติสุข

            แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็เก็บเกี่ยวความตาย ความทุกข์ลำบาก

            ฉะนั้น ถ้าท่านฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณนำ ท่านก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำให้พระเจ้ามีความสุขด้วย แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็จะได้รับผลในโลกนี้ คือความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้พระเจ้า ผู้เป็นพ่อทุกข์ใจเสียใจ

            ในข้อ 13 บอกว่า … “พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานในท่าน ให้กำลังท่านจากข้างใน  ให้ท่านสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้”

            แปลว่าท่านแค่มอบถวายทุกส่วนในร่างกายของท่าน ให้กับพระเจ้าและพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กระทำการงาน  ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงออกมาเอง โดยธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้  ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ลูกขอบคุณพระองค์  สำหรับพระคุณความรัก  ความเมตตาที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับลูก  ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด  การเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ เป็นความรัก เป็นความสว่าง  เป็นสันติสุข  เป็นความชื่นชมยินดี  ขอบคุณที่พระองค์ประทานกำลังให้ผลเหล่านี้ ได้ถูกสำแดงออกมาจากชีวิตของลูก ลูกขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ