วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1481

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 5 “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 5 “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า” เรายังอยู่ในหนังสือ 1 ยอห์น เป็นซีรี่ย์ยาวเลย ซึ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องความรัก ความรักชนิดที่ไม่ใช่ของโลกนี้ ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบที่เป็นของพระเจ้า  ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะสำแดงให้เราได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เห็นแล้ว ไม่มีทางที่เราจะได้เห็น  เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงเขียนหนังสือนี้มาให้เราได้เข้าใจ เราได้รู้ถึงสถานะของเราในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในโลกวิญญาณ ภายในตัวของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณอยู่นี้ ไม่ได้มาเขียน เพื่อมาสอนศาสนาให้กับเราว่าให้เรามีศีลธรรมที่ดี ให้รักษากฎบัญญัติว่าไว้ให้รักษาความดีงามอะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเราเห็นว่ามันก็ดีอยู่แล้วในโลกใบนี้ มีคำสอนเยอะแยะมากมายต่างๆ ไม่ใช่เราต่อต้านความดีเหล่านั้น ไม่ใช่

            เรากำลังพูดถึงความเป็นจริงของหนังสือ 1 ยอห์น เขียนมา เรื่องเกี่ยวกับอะไร?  เพื่อเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจ มิฉะนั้น เราจะไขว้เขว เราจะผิดเป้าหมาย  เราอ่านแล้ว เราจะไม่รู้เรื่อง หรืออ่านแล้ว ก็ตีความเป็นหนังสืออื่นทั่วๆ ไป เหมือนหนังสือความรู้เรื่องศีลธรรม ความดีงาม กฎระเบียบต่างๆ ของศาสนาต่างๆ เหล่านั้น การรักษาศีลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น เหมือนกับทั่วๆ ไปเขาสอนกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลย แต่นี่ไม่ใช่ มันคือข่าวดีของพระเจ้า ที่เรียกว่าข่าวดีของพระคริสต์ ที่เรียกว่า “พระคุณ”

            พระคุณความดีงามของพระเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำ การประพฤติ จะเน้นถึงเรื่องสถานะทางวิญญาณ เราไม่รู้ว่าทางวิญญาณเป็นอะไร? เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน? แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา โดยให้อาจารย์ยอห์นเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อจะให้เรารู้ ถ้าเผื่อจะมาสอนแบบความประพฤติหรือการกระทำต่างๆ เหล่านั้น ไม่ต้องสอนก็ได้  มนุษย์รู้กันอยู่แล้ว มนุษย์รู้จักกฎ มนุษย์รู้จักระเบียบดี มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่กฎสมัยก่อนนี้ เรียกว่ากฎของโมเสส มนุษย์รู้มา จนกระทั่งเป็นหลัก เป็นรากฐานของกฎต่างๆ ศาสนาต่างๆ เขียนมาจากกฎเหล่านี้แหละ  พื้นฐานของโมเสสเหล่านี้ว่าอะไรดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ  ไม่ทำอย่างนี้ จนกระทั่งถึงกฎหมายระดับประเทศ ที่ดูแลกันอยู่ ก็มาจากกฎเหล่านี้ทั้งสิ้น อะไรดี อะไรไม่ดี ทำ โดนลงโทษอย่างนี้  เขาเรียกว่ากฎแห่งการกระทำ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งมันดี มันเหมาะสม สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มันดีไม่พอ สำหรับชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์ คือเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถูกไหม? ไม่อย่างนั้น เราจะเรียกชีวิตนิรันดร์ทำไม? ชีวิตนิรันดร์ คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นวิญญาณ ฉะนั้น เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น เอเมน  เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน เราจึงจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าจะสอนเรา  ไม่อย่างนั้น เราก็จะมัวแต่คิดเหมือนเดิมว่าเรายังอยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดีได้ดี มันต้องทำดีสิ ต้องพูดถึงการทำดี ซ้ำๆ ใช่อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่ตอนนี้เรากำลังเรียนเรื่องพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับหนังสือ 1 ยอห์น ยิ่งแทงทะลุไปในโลกวิญญาณ  มิฉะนั้น เราจะไม่เข้าใจ แล้วจะเข้าใจผิดด้วย  ไม่ใช่ไม่เข้าใจอย่างเดียว

            เราได้เรียนรู้มาถึง 4 ตอนแล้ว …

            ตอนที่ 1 เราให้เชื่อเรื่องว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ” ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในหนังสือ 1 ยอห์น 1:1-10 สรุปคร่าวๆ ก็คือเป็นเรื่องที่อาจารย์ยอห์นเขียนเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับผู้ที่เป็นคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน อ้างว่าเขารู้จักพระเจ้าพระบิดาเหมือนกัน เขารู้จักพระเยซูเหมือนกัน เขาอยู่ในท่ามกลางคนที่เป็นคริสเตียน อยู่ในคริสตจักร ชุมชนของคริสเตียน  สมัยก่อนโน้น เขียนให้พวกเขา พวกเขาอ้างว่าอย่างนั้น  แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ อาจารย์ยอห์นบอกว่าไม่ใช่ เพราะในวิญญาณ เขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้ทำกันในฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เขาจึงไม่ได้สามัคคีธรรมกับวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อแท้ทั้งหลายที่มีสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            อาจารย์ยอห์นรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ ไม่ได้อยู่ในการสามัคคีธรรมทางฝ่ายวิญญาณกับคริสเตียนด้วยกัน กับพระเยซูคริสต์ ก็เพราะเขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป เขาไม่ได้ทำบาป เขามีความเชื่อตามลัทธิเก่าของเขาว่าเขาเป็นคนไม่มีบาป ซึ่งเป็นหนึ่งข้อในเงื่อนไขของผู้ที่จะกลับใจใหม่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วบังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แสดงว่าเขาปฏิเสธความจริงที่พระเยซูคริสต์มาประกาศให้เขาฟัง ถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และทำบาป จึงต้องการได้รับการช่วยเหลือ ให้พ้นจากความบาป  และเขายังปฏิเสธอีกว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ และได้มาเกิดในร่างกายมนุษย์ เป็นมนุษย์แท้ๆ เหมือนเรา มีเลือด มีเนื้อ มีความเจ็บปวด เหมือนเราจริงๆ นี่คือหัวข้อของข่าวประเสริฐ เห็นไหมเกี่ยวกับโลกวิญญาณเลย

            อาจารย์ยอห์นเลยเขียนจดหมายนี้มาเพื่อเป็นพยานบอกกับคนเหล่านี้ ที่เขาไม่รู้ความจริง เขาอ้างตัวว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เขารู้จักพระบิดาเหมือนกัน แต่ปฏิเสธไม่ยอมรัรบว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เขาจึงไม่ต้องการหมอ พระเยซูคริสต์เป็นหมอ มาเพื่อรักษาคนบาป อาจารย์ยอห์นจึงเขียนเป็นพยาน เริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 1 เลย ว่าเขียนให้กับพวกคนเหล่านี้ ซึ่งก็คือไม่ใช่คริสเตียนแท้นั่นเอง อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ ไม่ใช่คริสเตียน เป็นคริสเตียนจริงๆ นะ จะต้องรู้ จะต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ เราเป็นพยานได้ เรา คืออัครสาวกที่เดินกับพระเยซูคริสต์ตั้งแต่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ สอนอยู่กับพวกเรา เดินอยู่กับพวกเรา 3 ปี แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เห็นชัดๆ แล้วมาปรากฏให้กับเราอีก 40 วัน เดินอยู่กับเรา กินข้าวอยู่กับเรา เราได้แตะต้องพระองค์ ได้คุยกับพระองค์ ได้นอนกับพระองค์ ได้ซบอกพระองค์ ได้โอบกอดพระองค์ เห็นพระองค์ชัดๆ  พระองค์เป็นมนุษย์ และเป็นพระเจ้าจริงๆ  เป็นขึ้นจากความตายผู้เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพระเจ้าได้จริงๆ เป็นพยานได้จริงๆ เป็นอย่างนี้ 

            เพราะฉะนั้น ผู้ใดเข้าใจความจริงนี้แล้ว ถ้าท่านยอมสารภาพตาม 1 ยอห์น 1:9 ซึ่งเป็นหัวใจของบทนี้ ถ้าท่านยอมรับสารภาพ ยอมจำนนกับความจริงเหล่านี้ว่าท่านเป็นคนบาป และทำบาป พระเยซูก็รักษาคำมั่นสัญญาของพระองค์ คือพระองค์ทรงชำระบาปให้กับท่านได้ ถ้าท่านยอมรับ ก็เข้ามารับสิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน รับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซียาห์ ท่านก็จะได้รับความรอด คราวนี้ท่านก็จะได้เป็นคริสเตียนจริงๆ เข้ามาสามัคคีธรรมทางวิญญาณอย่างแท้จริงกับพวกเรา ก็คือพวกที่เป็นคริสเตียนแท้อยู่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ นี่คือบทสรุปของบทที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้ไป

            มา 1 ยอห์น บทที่ 2 เราก็เริ่มต้นด้วยตอนที่ 2 ให้ชื่อเรื่องว่า  “พระเจ้าลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น  แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว” นี่หัวข้อเรื่อง ซึ่งบรรยายจาก 1 ยอห์น 2:1-2 ในตอน 2 นั้น

        1 ยอห์น 2:1 “ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดาเพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์ องค์ผู้ชอบธรรม”

            หัวใจตรงนี้ ที่สรุปให้ ก็คือ “ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านทั้งหลายเช่นนี้  เพื่อท่านจะไม่ทำบาป” เขียนอะไรมา เขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐของพระองค์ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระคุณของพระองค์ คือท่านเป็นคนบาป ท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน หลั่งพระโลหิตเพื่อท่าน เพื่อให้ท่านได้เป็นคนใหม่  โดยไม่ต้องทำอะไร? ชำระบาปให้กับท่าน ลบบาปออกไปจากท่านทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งหมดเลย เรียบร้อยไปแล้ว  โดยท่านไม่ต้องประพฤติอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน นี่คือพระคุณ เขียน อธิบายเรื่องพระคุณเหล่านี้ให้กับท่าน เราได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว เพื่อท่านจะไม่ทำบาป  ไม่ใช่เขียนมา เพื่อให้ท่านรู้ว่าบาปในอดีตของท่านถูกลบล้างไปเรียบร้อยแล้ว  บาปปัจจุบันของท่านก็ถูกลบล้างไปเรียบร้อยแล้ว บาปที่ท่านกำลังจะทำในอนาคต พรุ่งนี้ มะรืนนี้  ก็ได้ถูกลบบาปนี้ออกไปเรียบร้อยแล้ว ลบออกไปจนถึงนิรันดร์เลย เรียบร้อยแล้ว ให้ท่านรู้เหล่านี้ เพื่อให้ท่านไปทำบาปหรือ? ไม่ใช่ เพื่อให้ท่านไม่ทำบาป ถ้าท่านรู้เรื่องเหล่านี้มากๆ ท่านจะไม่ทำบาป แต่มนุษย์ก็ไปคิดว่าถ้ารู้เรื่องเหล่านี้ ไปยุแหย่ให้เขาทำบาป ไม่ใช่ มันกลับกัน เห็นไหม?  ต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ แล้วมาถึงข้อ 2 บอกว่า …

        1 ยอห์น 2:2 “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา ลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            บาปทั้งปวง คือบาปทั้งในอดีต ตั้งแต่ก่อนเกิด อยู่ในอาดัม เชื้อบาปนั้น และหลังจากเกิด  จนกระทั่ง มาถึงก่อนที่ท่านจะเป็นคริสเตียน ทำบาปเท่าไร จนกระทั่งมาเชื่อแล้ว  ทำบาปอีกเท่าไร?  จนกระทั่งถึงวันนี้ และพรุ่งนี้ มะรืนนี้  ก่อนตาย ไปอีกกี่ปีไม่รู้ ท่านจะทำบาปอีกเท่าไร? ไม่รู้ มันได้ถูกลบล้างออกไปหมดแล้ว  จนกระทั่งวิญญาณท่านออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าตายจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณท่านไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ก็ไม่มีบาปอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว   เรียกว่าบาปในอนาคต   นิรันดร์ บาปเหล่านี้ได้ถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว    โดยพระเยซูคริสต์    เป็นพยานยืนยันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานในขณะนี้  เป็นทนายแก้ต่างให้กับท่าน ใช่เป็นอย่างนี้จริงๆ  รู้เหล่านี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป คือไม่ถูกหลอกให้ทำบาป นั่นเอง

            และการทำอย่างนี้ ไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น คืออาจารย์ยอห์นกำลังพูดกับคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ในบทที่ 1 ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนในบทที่ 2 เน้นถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เชื่อในพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ยอห์นบอกว่าบาปทั้งหลายที่ได้ถูกยกนั้น ไม่ใช่เพียงบาปทั้งหลายทั้งปวงของเราเท่านั้น  “เรา” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเราที่เป็นคริสเตียน แต่เราในที่นี้ หมายถึงเราที่เป็นชาวยิว อาจารย์ยอห์นกำลังเขียนถึงผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ ที่อ้างว่าเชื่อพระเจ้าแล้วนั้น ที่ส่วนใหญ่เป็นคนยิวทั้งนั้น คนยิวเหมือนกับอาจารย์ยอห์น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่า “เรา” ชาวยิวด้วยกัน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว บาปทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกยก ไม่ใช่บาปของเราเท่านั้น ไม่ใช่ของชาวยิว เขานึกว่าพระเจ้าองค์นี้ มาช่วยคนยิวเท่านั้น ไม่ใช่ เพื่อคนต่างชาติ แต่อาจารย์ยอห์นบอกไม่ใช่ อย่าไปคิดอย่างนั้น อย่าไปเหยียดผิว เหยียดชาติอย่างนั้นว่าไม่ใช่ พระเยซูมาเพื่อยกบาปให้กับพวกเราทั้งหมดชาวยิว

            บาปทั้งหมด ต่างชาติ ใครก็ตาม หมดเลย ทั้งโลก ซึ่งมันไม่ใช่อัตโนมัติว่าจะได้รับทั้งหมดทุกคนอย่างนี้  ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ ข่าวดีนี้เป็นพระคุณจริง ทำให้จริง ฟรีจริง  แต่คนๆ นั้น เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว ต้องทำสิ่งหนึ่ง ก็คือต้องสนองตอบ ต้องยอมรับว่ามันจริง ฉันจะเอา ฉันจะใช้สิทธิของฉัน แสดงเจตจำนง คือยอมเข้ามารับสิทธิ ตรงนี้ ที่เรียกว่าเปิดใจรับเชื่อนั่นเอง ข่าวประเสริฐประกาศไปเพื่อให้คนมาเชื่อและใช้สิทธิของเขา พอใช้สิทธิของเขา แล้วเขาก็เป็นคริสเตียน

            มาตอนที่ 3 ใช้หัวข้อเรื่องว่า “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก” จากหนังสือ 1 ยอห์น 2:3 ตอนที่ 3 ใช้ข้อเดียวเท่านั้นเอง …

        1 ยอห์น 2:3 “ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์”

            “ถ้าเรารักษาบัญญัติของพระองค์” เห็นไหมตอนแรกๆ ที่ผมบอก นึกถึงโลกวิญญาณ ความหมายอะไรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถ้าเราอ่านเฉยๆ ถ้าเรารักษาบัญญัติของพระองค์ เราก็นึกว่าถ้าเรารักษาศีลธรรม รักษากฎบัญญัติว่าอะไรทำ อะไรอย่าทำ อะไรไม่ควรทำ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ขโมยของเขา ไม่พูดปด ไม่ผิดศีลธรรมทางเพศ  ไม่โกงเขา ไม่โลภ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราคิดถึงอย่างนั้น ใช่ไหม? นั่นแหละ คือที่ผมบอก  คือระบบของโลก ระบบของมนุษย์ที่เขาสอนกัน ไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณ แต่ตรงนี้กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ถ้าเรารักษาบทบัญญัติของพระองค์

            บทบัญญัติของพระองค์ คือรักซึ่งกันและกัน ความรัก ซึ่งเป็นวิญญาณแห่งความรัก ถ้าเราเก็บรักษาตรงนี้ รู้ว่าภายในตัวเราเอง วิญญาณจริงๆ เราเป็นความรัก

            คำว่า “รักษา” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงการกระทำ ความประพฤติ  แต่รักษาอยู่ในใจ เหมือนกับเรามีเงินทองอยู่ที่ใจของเรา รักษาไว้ให้ดีๆ  เหมือนกับคนไทยที่ชอบพูดว่า “ขวัญเอ๋ย อย่าหนีไปไหนนะ ขวัญเอ๋ยจงมา รักษาขวัญของตัวเองไว้ดีๆ” ขวัญข้างใน รักษาไว้ คือมันมีอยู่แล้ว ให้รักษาไว้ ให้สนใจ จดจ่ออยู่ที่มัน

            “ถ้าเรารักษาบัญญัติของพระองค์” บัญญัติของพระองค์ คำสั่งของพระองค์ คือจงรักซึ่งกันและกัน จากใจ รักษาความรักตรงนี้ไว้ “เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์” คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ บัพติศมา สามัคคีธรรมในวิญญาณกับพระองค์ รู้จักกัน รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือเป็นคริสเตียนนั่นเอง

            พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเรารู้ว่าเราเก็บรักษาถ้อยคำของพระองค์ ที่สั่งให้เรารักซึ่งกันและกัน อยู่ภายในวิญญาณของเรา ถ้าเรารู้ว่าวิญญาณของเราเป็นความรัก ถ้าเรารู้นะ ในใจของเรา เราก็จะรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราก็จะรู้ว่าเราสนิทสนม แล้วเรารู้ว่าเรารักพระองค์ ท่านลองคิดดูในใจตอนนี้ง่ายๆ ว่าท่านรักพระเยซูไหม? แค่นี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าท่านเป็นคริสเตียนแท้ไหม? ท่านรักพระเยซู รักพี่น้องที่เป็นคริสเตียนด้วยหรือเปล่า? นึกออกใช่ไหม?  และท่านรักคนทั้งโลกไหม? ท่านเกลียดชัง หรืออาฆาตคนไหม?  นั่นแหละ คือการรักษาถ้อยคำของพระเจ้า  ที่อยู่ข้างใน รักถ้อยคำ บัญญัตินี้ ก็คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก

            แล้วก็มาต่อตอนที่ 4 คริสเตียนแท้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระองค์ ข้อที่ 4 จาก 1 ยอห์น 2:4-6 ในหัวข้อนี้นะ  ข้อที่ 4 บันทึกไว้ว่า …

        1 ยอห์น 2:4 “ผู้ใดที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์  แต่ไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ผู้นั้นเป็นคนโกหก และความจริงไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            ถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียน ข้างในใจจะไม่เป็นความจริงอยู่ในนั้น มีแต่ความโกหก หลอกลวง มีแต่ความเท็จ  แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง  ความจริงจะอยู่ในตัวเขา ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า พูดไว้เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเป็นเช่นไร?  ความหมายในข้อนี้ คือผู้ใดที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  แต่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้นะ แต่อ้างว่าตัวเองเป็นคนเชื่อในพระเยซู เชื่อในพระบิดาเช่นเดียวกันกับพวกท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน เราก็คริสเตียนเหมือนกัน เราก็เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน  แต่คนนั้น ไม่ได้ดำเนินชีวิตในความรักในใจของเขา ต่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน และต่อคนทั้งโลก ผู้นั้น ก็โกหกตัวเอง คือไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริงนั่นเอง  แต่บอกว่าเป็น มันไม่ใช่ รู้อยู่ที่ไหน? รู้อยู่ในใจของเขา ในข้อที่ 5 ต่อมา บอกไว้อย่างนี้ …

        1 ยอห์น 2:5  “แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น ด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์”

            ในโลกวิญญาณตรงกันข้ามกันใช่ไหม? เห็นไหม? ที่ตะกี้ผมบอก สถานะผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ อยู่ต่างกัน อยู่คนละแห่งกัน อยู่คนละอาณาจักรกันทางโลกวิญญาณ อยู่คนละสภาพ แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ความรักของพระเจ้า ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น

            ความรักของพระเจ้าเต็มบริบูรณ์ เขาสร้างขึ้นมาหรือ? เปล่า พระเจ้าให้ความรักเต็มบริบูรณ์ คือความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า ด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คืออยู่ในพระคริสต์ คือเป็นคริสเตียนแท้ เพราะว่าความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา เรารู้ได้อย่างไร? “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เรียนรู้ไปแล้ว  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้  ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้าท่วมท้นล้นอยู่ในใจของเรา ต่อผู้คนรอบข้าง รู้ได้อย่างไรว่ารัก “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราไม่ได้มาวัดกันที่ข้างนอกว่าความประพฤติคนนี้เป็นอย่างไร? แต่มันอยู่ข้างใน ตัวคนนั้นแหละจะรู้ และมันก็จะสำแดงออกมาเป็นการประพฤติทีหลัง รักและให้อภัยได้เสมอ ในใจ ในวิญญาณ  ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติข้างนอก  รักและอภัยได้ทุกอย่างในใจ อภัยให้ได้ 70×7 ครั้ง ต่อหนึ่งความผิดของคนอื่น คืออภัยได้ตลอดเลย ในใจๆ แต่ความประพฤติตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ เคยได้ยินไหม? ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ ความประพฤติมันคนละเรื่องกัน

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในจะค่อยๆ ฝึกฝนคริสเตียนคนนั้น ให้ปฏิบัติตามความเป็นจริงที่อยู่ในใจ ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าที่เกิดใหม่แล้วในใจ ให้สมกับความรักนั้น ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกฝนไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กเกิดใหม่ ฝึกที่จะพลิกตัว แล้วฝึกที่จะคลาน แล้วฝึกที่จะเดิน แล้วฝึกที่จะวิ่ง  แล้วฝึกที่จะวิ่งเร็วขึ้น  แล้วฝึกที่จะปีนขึ้นบนที่สูง คล้ายๆ อย่างนั้น

            แล้วมาจบครั้งที่ 4 ครั้งที่แล้ว คือ 1 ยอห์น 2:6  …

        1 ยอห์น 2:6 “ผู้ใดที่อ้างว่าเขาอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นจะดำเนินชีวิตเหมือนที่พระองค์ ได้ดำเนินชีวิต”

            “ผู้ใดที่อ้างตัวว่าเขาอยู่ในพระองค์” ก็คือคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็น ถ้าเขาเป็นจริง ในนี้บอกว่าเขาจะดำเนินชีวิต เหมือนที่พระองค์ได้ดำเนินชีวิต คือดำเนินชีวิตในความรักแบบอากาเป้ คนนั้นจะรู้เอง อาจารย์ยอห์นจะให้พิจารณาดู คนเหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนแท้หรือไม่แท้ ตัวเองพิจารณาตัวเองด้วย ขณะเดียวกัน เราสามารถพิจารณาคนอื่นได้ด้วย  คือคนนั้นดำเนินชีวิตด้วยความรักพระเจ้า รักคนทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนก็ตาม  เหมือนที่พระเยซูรัก ไม่มีผิดเลย  เราสามารถสังเกตได้ คนนี้รักพระเจ้าจริงไหม?  รักพระเยซูไหม? สังเกตออกใช่ไหม? รู้ใช่ไหม? รักเหมือนพระเยซูไหม? พระเยซูรักคนทั้งโลก  คนนี้เขารักคนทั้งโลกไหม?  คนนี้ปฏิเสธพระคริสต์ไหม?  เกลียดชังคริสเตียน เกลียดชังพระเยซูคริสต์ไหม? อย่าพูดชื่อพระเยซูให้ได้ยินนะ ฉันเบื่อจะฟัง นั่นแหละ และเราล่ะ ตัวเราเอง อยากฟังเรื่องพระเยซูไหม?  เมื่อเราได้ยินว่าคนๆ นี้ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ เราดีใจไหม? เมื่อเราไม่รู้จักกัน เราได้ยินว่าคนนี้มาเป็นคริสเตียน เราดีใจไหม? คนนี้เป็นคริสเตียน เป็นแท้หรือไม่แท้เราไม่รู้เลย แต่เขาเป็นคริสเตียนแล้ว เรารู้สึกกระดี๊กระด๊าน่าดูเลย นั่นแหละ การดำเนินชีวิตด้วยความรักเหมือนพระเยซู

            จำได้ไหมตะกี้นี้บอก มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นการดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ในใจ คริสเตียนเป็นความรักเหมือนพระคริสต์ อยู่ในใจของเขา  ไม่ใช่เกลียดชัง เป็นศัตรู ทำร้ายและทำลายโลกและมนุษย์คนอื่นๆ แต่รักมนุษย์ทั้งปวงด้วยความรักของพระเจ้าที่อยู่ในตัวของเขา รักพระเยซู รักคริสเตียนด้วยกัน  เป็นเหมือนพี่น้องกัน รักคริสเตียนคนอื่นๆ รวมทั้งคนทั้งโลก เราก็รัก  และไม่ใช่ความรักที่ถูกบังคับ ให้ทำตามกฎบัญญัติว่าเธอต้องรักเขานะ ไม่ใช่ ไม่มีคำว่า “ต้อง” มีแต่บอกว่าสำแดงออกมา

            “พระเจ้าได้ใส่ความรักลงไปอยู่ในใจของเราเรียบร้อยแล้ว”

            ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้ทำตามกฎบัญญัติ คำสั่งให้รักผู้อื่น หรือให้รักพระเจ้า เพราะมันเป็นธรรมชาติของวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่เป็นความรัก แบบอากาเป้ เหมือนพระเจ้า อยู่แล้วในวิญญาณที่บังเกิดใหม่นั้น เหมือนพระเยซู

            เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นการวางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จึงทำให้คนๆ นั้น หรือเรานั้น ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นธรรมชาติที่อยู่ภายในตัวของเรา จึงไม่เป็นภาระสำหรับเรา ในการที่จะรักพระเจ้า และรักคนอื่นๆ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเราก่อน และให้เรานั้น  ส่งต่อความรักล้นออกมาจากใจ เผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่นรอบข้างเรา เป็นไปตามธรรมชาติ เอเมน นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เห็นไหม?

            พอเรามาคุยกันถึงเรื่องนี้ ความประพฤติ กลายเป็นภาระหนัก แบกกันใหญ่เลย เธอจำเป็นต้องรักเขา พอทำไม่ได้ กลุ้มใจ ฉันทำบาป ฉันไม่ดี ฉันแย่ ฉันเลว ทั้งๆ ที่ความรักท่วมท้นอยู่ในใจ อย่างที่บอกนะ จำได้ใช่ไหม? ความรักกับความชอบไม่เหมือนกัน รักอยู่ในใจได้ แต่บางทีเราไม่ชอบ มันคนละเรื่องกัน เราไม่ได้เกลียดเขานะ แต่เราไม่ชอบ มันคนละรสชาติกัน ไม่ใช่รักทุกคน ชอบทุกคน ไม่ใช่ รักทุกคน รักคนอินเดีย แต่ไม่ชอบอาหารอินเดียได้ไหม? ได้ รักคนไทย แต่ไม่ชอบอาหารไทย เพราะมันเผ็ดมาก ก็ได้ มันคนละเรื่องกัน

            วันนี้มาต่อ นี่เป็นการพิสูจน์ได้ว่าเราเป็นคริสเตียนแท้หรือเปล่า? วันนี้มา 1 ยอห์น ตอนที่ 5 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า” เริ่มต้นด้วย 1 ยอห์น 2:7 …

        1 ยอห์น 2:7  “ท่านที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่าน ด้วยพระบัญญัติใหม่ แต่เป็นพระบัญญัติเดิม ที่ท่านมีตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเดิมนั้น คือพระวจนะที่ท่านได้ยินแล้ว”

            ในข้อนี้ ยอห์นกำลังเน้นถึงความสำคัญของบัญญัติ ที่ผู้เชื่อได้รับตั้งแต่เริ่มแรก คิดตามนะ ซึ่งก็คือคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับอะไร? ถ้าทางโลกมนุษย์ ก็คืออย่าฆ่าคน ถ้าว่าเขาว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า ก็เท่ากับฆ่าคนตาย อย่าล่วงประเวณี แค่มองคนอื่นด้วยความกำหนัด  ก็ถือว่าล่วงประเวณี ใช่ไหม? ให้ดำเนินชีวิต โดยการเสียสละ ถ้าเขาขอเสื้อมา ให้เสื้อคลุมไปด้วยเลย ให้เพิ่มไปอีก ไม่ว่าเขาขออะไร ก็ต้องให้ ไม่ให้ไม่ได้ ใช่ไหม? นี่คือมนุษย์คิดอย่างนั้น พระเยซูมาสอนอย่างนั้น ผมบอกแล้วไงว่าพระเยซูมาสอนเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            คำสอน คำบัญญัติของพระเยซู คือท่านจงรักซึ่งกันและกัน จบข่าว คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก  เราจะรู้ได้อย่างไร เราเป็นคริสเตียนอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความรัก 

            เพราะฉะนั้น บัญญัติที่ผู้เชื่อได้รับจากพระเยซู ก็คือคำสอนของพระเยซู เกี่ยวกับความรัก รักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์รอบข้าง เห็นหรือยัง? เปลี่ยนไปไหม? ทัศนคติเราเปลี่ยนไปเลยนะ บัญญัตินี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เราก็นึกว่าให้เราไปเน้นเรื่องอย่าโกรธเขา อย่าเกลียดเขา อย่าฆ่าคน อย่าเอาเปรียบคน อย่าโกหก อย่าโลภ อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันไม่ใช่เลย สรุปมีเรื่องเกี่ยวกับความรักอย่างเดียวเท่านั้น

            ใน 1 ยอห์น 3:23 ที่เราได้เคยยกตัวอย่างมาว่าบัญญัตินี้คืออะไร? มาเน้นให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง …

        1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลาย วางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติ (ใส่) ไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            ตามที่พระองค์บัญญัติไว้ในใจ คือใส่ไว้ในใจให้กับเรา เห็นหรือยัง? วางใจในพระนามของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน วางใจ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วความรักก็จะเข้ามาอยู่ในใจของเรา จากนี้ไป ดำเนินชีวิตด้วยข้างในใจของท่าน นี่คือคำสั่ง นี่คือบัญญัติ คำสอนของพระเยซู ซึ่งเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ โดยตรงเลย  ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความประพฤติ ว่าให้ท่านไปประพฤติอะไร?  มีเงินทองก็แบ่งปันให้คนอื่นเขาเยอะๆ เขาขอเสื้อ ก็ให้เสื้อคลุมเขาไปด้วยเลย  อภัยให้เขา เขาทำบาปผิดอะไรต่างๆ  ทำอะไรผิดต่อท่าน อภัยให้เขา 70×7 ครั้ง ต้องอภัยตลอด ถ้าไม่อภัย ท่านก็เศร้าสร้อย ทำไม่ได้ ก็หงอย  ไม่ใช่แบบนั้น แต่ให้ท่านดำเนินชีวิตตามวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่เราใส่ลงไปในใจท่าน และเป็นวิญญาณแห่งความรักตรงนั้น  และใครจะเป็นคนสอน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในจะสอนท่าน

            ในยอห์น 13:34-35 ได้พูดถึงบัญญัติใหม่ที่พระเยซูให้ไว้อันหนึ่ง คือ …

        ยอห์น 13:34-35 “เราให้​บัญญัติ​ใหม่​ไว้​แก่​เจ้​าทั้งหลาย คือให้​เจ้​ารัก ซึ่​งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้​าจงรั​กกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรั​กกันและกัน ดังนี้​แหละ  คนทั้งปวงก็จะรู้​ได้​ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”

            คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นคริสเตียน  ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เรารักท่าน คือเรารักท่านอย่างไร? เราใส่ความรักของเราเข้าไปที่ตัวท่านอย่างไร? ท่านก็เอาความรักนั้น แบ่งปันให้คนอื่นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นภาระอะไรเลย เป็นธรรมชาติ เราเป็นอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น เขาถึงเรียกว่าเราเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน พี่น้องคริสเตียน คือพี่น้องแห่งความรัก ครอบครัวแห่งความรักของพระคริสต์นั่นเอง

            ยอห์นไม่ได้แนะนำสิ่งใหม่เลย นี่ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่กำลังย้ำถึงความสำคัญของความรักซึ่งกันและกัน ความรักในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคริสเตียน คำสอนของพระเยซูนั่นเอง

            พระบัญญัติเดิมที่ยอห์นกล่าวถึง คืออะไร? คือคำสอนที่ผู้เชื่อได้รับตั้งแต่ตอนเริ่มแรกของการเป็นคริสเตียน ของสมัยโน้นนะ ตอนเริ่มแรก ก็คือตอนที่พระเยซูมาประกาศข่าวประเสริฐใหม่ๆ ในช่วง 3 ปี พระองค์ก็พูดเรื่องความรักๆ ที่ผมยกตัวอย่าง ไม่ใช่บัญญัติเลย แต่ความรักสำคัญกว่า พระเยซูบอกฟาริสีบอกว่าท่านมัวแต่รักษาบัญญัติๆ เคร่งครัดในเรื่องบัญญัติ เครียดในบัญญัติ ชี้เรื่องบัญญัติ แต่ท่านขาดซึ่งความเมตตาและความรัก เป็นหัวใจสำคัญของพระเจ้า วันสะบาโตไม่ได้มีไว้ เพื่อให้ท่านไปลงโทษคนอื่น แต่ว่ามีไว้ เพื่อท่านจะได้ระลึกถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อท่าน สรุปแล้ว ก็คือความรักสำคัญมาก สำคัญที่สุด ซึ่งความรัก ที่เป็นหัวใจสำคัญ ตั้งแต่เริ่มต้น พระเยซูเริ่มสอน ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้  ตอนที่เริ่มต้นคริสเตียนใหม่ๆ ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ในวันเพ็นเตคอส เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน นั่นแหละ ความรักเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น ให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เป็นคำสั่งของพระองค์ตั้งแต่วันนั้น พระองค์สั่งสาวกตั้งแต่เดินอยู่บนโลกใบนี้ว่าจงวางใจในเรา และรักซึ่งกันและกัน เหมือนตะกี้ที่เราได้อ่านข้อพระคัมภีร์ในหนังสือยอห์น บทที่ 13 พระองค์พูดด้วยพระองค์เอง ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ว่าวางใจในเราและรักซึ่งกันและกัน นี่คือคำสั่งไว้ตั้งแต่เริ่มต้น คำสั่งเดิม นั่นเอง

            อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าที่เขียนเรื่อความรักนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่เลย แต่ซ้ำอันเดิมที่พระเยซูพูดไว้เมื่อหลายปีก่อน นี่อาจารย์ยอห์นเขียน หลังจากที่พระเยซูประกาศบนโลกใบนี้แล้ว ประมาณสัก 50-60 ปีผ่านไป อาจารย์ยอห์นก็เขียน

            “ที่ผมเขียนเรื่องความรัก ว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ก็อันเดิมกับที่ท่านเคยได้ยิน ตอนเริ่มต้นชีวิตคริสเตียนใหม่ๆ บนโลกใบนี้ พระเยซูก็เป็นผู้สอนเอง อันเดียวกันนั่นแหละ มาข้อที่ 8 …

        1 ยอห์น 2:8 “อีก​นัย​หนึ่ง ก็​นับ​ได้​ว่า​ข้าพเจ้า​เขียน​ถึง​ท่าน เกี่ยว​กับ​ข้อ​บัญญัติ​ใหม่ ​ถึง​ความ​จริง​ที่​ปรากฏ​ใน​พระ​องค์ ​และ​ใน​ท่าน​ทั้ง​หลาย เพราะ​ว่า​ความ​มืด​ผ่าน​ไป และ​ความ​สว่าง​ที่​แท้จริง ​ก็​ทอแสง​แล้ว”

            เห็นไหม? “อีกนัยหนึ่ง ก็คือข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เกี่ยวกับบัญญัติใหม่” ก็ว่าได้อันนี้ ก็คืออันใหม่แหละ อันใหม่จากอันเก่าที่เหมือนกัน ก็คือความรักเป็นพื้นฐานของชีวิต ของคนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ตั้งแต่ในอดีต  ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประกาศข่าวประเสริฐอีกด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเป็นความรัก ความรักสำคัญที่สุด สำหรับพระเจ้าของเรา เป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่โดดเด่นที่สุด   ตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ท่านก็รู้อยู่ “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงชาวยิวเขาจะรู้ นี่กำลังพูดกับชาวยิว ท่านก็รู้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้วว่าความรักในเรื่องของพระเจ้า มันสำคัญที่สุด  ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวประเสริฐ มีธรรมาจารย์ที่เป็นพวกที่เคร่งและคล่อง ต้องชำนาญเกี่ยวกับเรื่องธรรมบัญญัติ เกี่ยวกับบทศีลธรรมทางศาสนา จะทดสอบความรู้พระเยซู

            “ท่านอาจารย์ บทบัญญัติทั้งหมด 613 ข้อของพระเจ้า ข้อไหนสำคัญที่สุด”

            พระเยซูตอบอย่างไร? … “จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจของเจ้า  และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

            ก็คือไม่ใช่ข้อนั้น ข้อนี้ ข้อโน้นที่ท่านคิดว่าสำคัญ รวมทั้งหมดแล้ว คือรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจของท่าน และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง รักมนุษย์ทุกคน  และทำได้ไหม? ไม่ได้ ในขณะนั้น เขายังไม่สามารถทำได้ เพราะวิญญาณยังไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ทำได้แล้ว เพราะวิญญาณใหม่ มันหมายถึงอย่างนั้น

            ความจริงอยู่ในพระองค์ และความจริงอยู่ในท่าน  ก็คือกฎใหม่ บัญญัติใหม่ที่เกี่ยวกับความรัก ถึงความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในท่านทั้งหลาย  ก็คือความจริงที่อยู่ในพระองค์ อยู่ในพระเยซู ฟังให้ดีนะ ความจริงที่อยู่ในพระเยซูและความจริงที่อยู่ในท่านทั้งหลาย  ก็คือความรักที่อยู่ในพระเยซู และความรักที่อยู่ในท่าน เป็นความจริง เป็นกฎใหม่ ยอห์นกำลังเน้นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็คือกฎใหม่ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในพระเยซูคริสต์ กฎใหม่ของผู้เชื่อที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระองค์ และอาศัยอยู่ในพระองค์จริงๆ แล้ว ความจริงจะอยู่ในตัวเรา ก็คือความรักจะอยู่ในตัวเรา เราจะดำเนินชีวิตด้วยความจริง ไม่มีการหลอกลวงอยู่ภายในเรา ไม่มีความเกลียดชังอยู่ภายในเราเลย มีแต่ความจริง คือความรักที่อยู่ในเรา ความจริงในตัวเรานี้ เป็นความจริง ที่ไม่มีการแปรผัน พระเยซูจึงบอกว่าเราเป็นความสว่างที่แท้จริง  ที่มาจากพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์

            ความสว่างกำลังทอแสงอออกมา ความมืดได้ผ่านไป  เพราะเราเป็นคริสเตียน ในวิญญาณ ในใจของเรา ไม่มีความมืดเหลืออยู่ มีแต่ความสว่าง มีแต่ความรักเท่านั้น ต้องรับรู้สิ่งเหล่านี้  แม้ว่าความประพฤติภายนอก บางครั้ง ยังทำดูเหมือนเกลียด เหมือนไม่ชอบ แต่เราแค่ไม่ชอบ แต่ข้างในนี้ เราเป็นความรัก เราต้องยอมรับตรงนี้ มันเรื่องจริง

            หลายครั้งเราเห็นคนทำอะไรไม่ถูกต้องกับเรา เราโกรธมากเลย แต่ยังไงก็ตาม ในใจเรารู้ เดี๋ยวไม่ช้าไม่นาน เราก็ “พระเจ้าอภัยให้เขาเถอะ” หรือแม้เราไม่พูด แต่ในใจเราก็ไม่จงเกลียดจงชังเขา อาฆาตแค้นเขา ถูกไหม? นี่แหละคือหัวใจของคริสเตียน

            พระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่างของโลก  และเมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราก็จะไม่เดินในความมืดอีกต่อไป มันหมายความว่าอย่างนั้น แต่จะเป็นแสงสว่างของโลกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้พระเยซูยังบอกว่าเราก็เป็นแสงสว่างของโลก และเราจะส่องสว่างออกไปให้กับคนอื่นๆ ได้เห็น เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นการดีของเรา เห็นหรือยัง? ความประพฤติมาทีหลัง เพื่อพวกเขาจะได้เห็นการดีของเรา และสรรเสริญพระบิดาในสวรรค์ ในมัทธิว บทที่ 5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูพูดเอง เรื่องเกี่ยวกับความรักและแสงสว่างที่อยู่ในตัวเราผู้เชื่อ

            ดังนั้น ในข้อนี้จึงเป็นการเตือนให้เราระลึกถึงความประพฤติ การกระทำ ไม่ใช่ เฉพาะข้อนี้นะ ให้เราระลึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ภายในชีวิตของเรา เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระคริสต์ เป็นคริสเตียน  และให้เราดำเนินชีวิตในความจริง ในความสว่างของพระองค์อย่างนั้น เสมอ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ชั่วนิรันดร์เลย จะทำได้มากน้อยเพียงใดไม่รู้ แต่ให้รู้ว่าเราเป็นอย่างนั้นอยู่  เป็นธรรมชาติของเราอยู่  เราอาศัยอยู่ในความสว่าง ในความรักตลอดเวลา  และตลอดไป จนถึงนิรันดร์ เราอยู่ในความสว่าง ในความรัก แต่บางครั้ง การดำเนินชีวิต อาจจะตามความมืด ความเกลียดชัง ความเท็จ การหลอกลวงของโลกนี้ ระบบของโลกนี้

            ในขณะที่คริสเตียนทำบาป  ทำไม่ถูกต้อง หรือเรียกว่าทำชั่วก็ตาม  แต่ภายในวิญญาณ ก็ยังอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่เรื่องจริง ขณะที่เราทำไม่ดี ทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย วิญญาณเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย วิญญาณเราก็เป็นอย่างนี้ตลอดนิรันดร์ เหมือนกับที่ตะกี้เราพูดกัน วิญญาณเรายังคงอาศัยอยู่ในพระคริสต์  และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป วิญญาณ คือตัวตนเราที่จะอยู่นิรันดร์นั้น ยังเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์อยู่ ในขณะที่เราทำผิด ทำบาปอยู่ เอเมนไหม? ภายในวิญญาณเรายังบัพติศมาอยู่ในพระคริสต์ ยังรู้จักพระคริสต์  อย่างสนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เพราะว่าเราบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา เราจึงรู้จักสนิทสนมลึกซึ้ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ และอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเราตลอดไปชั่วนิรันดร์ อยู่แล้ว ตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และเราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก ที่เรากำลังพูดอยู่นี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว อยู่ในความจริง อยู่ในการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน พระวิญญาณจะนำพาเราไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้นเลย

            แน่นอน แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความประพฤติอาจไม่เป็นไปตามความจริงนี้ เพราะถูกล่อลวงจากอิทธิพล กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังบนโลกใบนี้ ซึ่งเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังมีอิทธิพลของโลกใบนี้ต่างๆ และความคิดเดิมๆ ของเรา ที่ก่อนเชื่อยังมีอิทธิพลล่อลวง  หลอกลวงให้เราสามารถที่จะทำผิดทำพลาดได้ ยอห์นกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างที่อยู่ภายในวิญญาณ อย่างเด็ดขาดของเรา ยอห์นกำลังชี้เรื่องโลกวิญญาณ  ไม่ใช่เรื่องการประพฤติ ชี้เรื่องโลกวิญญาณว่าเด็ดขาดเลย ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แต่ทางโลกวิญญาณ ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ สารภาพตัวเองว่าเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระเมสิยาห์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  และอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์อย่างนี้ตลอดไป  ได้รับการชำระบาปตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยเด็ดขาด

            นี่คือความแตกต่างที่อยู่ภายใน อย่างเด็ดขาดของคริสเตียนแท้ แตกต่างกับผู้ที่อ้างตัวว่าเป็น คริสเตียน นี่คือเนื้อของสิ่งที่อาจารย์ยอห์นเขียน แจ้งให้กับคริสตจักรได้ฟังใน 1 ยอห์น มันต้องดูที่ภายในวิญญาณเป็นอย่างไร? แล้วมันก็ค่อยๆ สามารถสำแดงออกมาเป็นภายนอกได้ คือรักพระเยซูและรักพี่น้องคริสเตียน รักเพื่อนร่วมโลก ให้สังเกตตรงนี้  ไม่ใช่มองว่าเขาเป็นคนดี บริจาค ถวายโบสถ์เยอะเลย  เขาเป็นคริสเตียนแน่นอน  ไม่ใช่ไปดูว่าเขาเป็นคนนิสัยดี ไม่กินเหล้า เมายา เพราะฉะนั้น เป็นคริสเตียนแน่นอน ไม่ใช่ดูว่าเขาเป็นคนไม่หงุดหงิดเลย มีบุคลิกดี สงบเสงี่ยม ไม่ขุ่นเคืองอะไรเลย เป็นคริสเตียนแน่นอน  แล้วก็มาบอกว่าคนนี้ ไม่น่าจะเป็นคริสเตียนหรอก เพราะเมายา  คนนี้ไม่น่าจะเป็นคริสเตียนเลย คนนี้เป็นคนที่ขี้หงุดหงิด ขี้โกรธ ปากไม่ค่อยดี  เราก็ตัดสินคนด้วยภายนอก ด้วยการกระทำอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง มาข้อ 9 …

        1 ยอห์น 2:9 “ผู้​ที่​กล่าว​ว่า​ตน​อยู่​ใน​ความ​สว่าง แต่​ใจ​เกลียดชัง​พี่​น้อง​ของ​ตน​ก็​นับว่ายัง​อยู่​ใน​ความมืด”

            นี่คือความแตกต่างโดยสิ้นเชิงของคริสเตียนแท้กับคริสเตียนไม่แท้ “ผู้ที่อาศัยอยู่ในความสว่าง” ก็คืออาศัยอยู่ในความรักแบบอากาเป้ กับผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืด อาศัยอยู่ในความเกลียดชัง ไม่ใช่แบบอากาเป้ ก็คือแบบธรรมชาติ  อาศัยอยู่ในความเกลียดชัง ไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา แบบธรรมชาติ ภาษาแบบเดิมๆ บอกว่าอาศัยอยู่ในความมืด  เกลียดชังตามสันดาน คือเกิดมาเป็นอย่างนั้น

            ถ้าพูดตรงนี้ ก็คือความแตกต่างโดยสิ้นเชิงของคริสเตียน กับไม่เป็นคริสเตียน คือคนที่เป็น คริสเตียนจะอาศัยอยู่ในความสว่าง  ในความรักแบบอากาเป้ เป็นสันดานของเขา …

        1 ยอห์น 2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้นไม่มีอะไร ที่จะทำให้สะดุด”

            เห็นหรือยัง? นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณชัดเจนเลย คริสเตียนที่ได้มีวิญญาณและใจใหม่ เป็นความรักแบบพระเจ้า แบบอากาเป้ ไม่มีความเกลียดชังอยู่ในนั้นเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้ คริสเตียนแท้จะไม่มีทางดำเนินชีวิตโดยการเกลียดชัง  มันเป็นไปไม่ได้  เพราะเขามีหัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าทรงใส่วิญญาณเรียบร้อยแล้ว  แต่ความประพฤติภายนอกอาจจะอย่างที่บอก อาจไม่ชอบหลายอย่าง  หรือว่าบางคนชอบทุกอย่าง ถามจริงๆ เถอะ ชอบทุกอย่างที่เขาทำ คริสเตียนด้วยกัน ไม่จริง อย่าพูดโกหกเลย ไม่ชอบทุกอย่างเป็นไปไม่ได้หรอก ชอบแค่อย่างเดียว ก็ดีใจแล้ว แต่เรามีมารยาท เราก็เก็บไว้ในความคิดว่าไม่ชอบ แต่ในใจจริงๆ รักครับ เป็น คริสเตียนแล้ว ดีใจแล้ว พอได้ยินว่าเขาเชื่อใหม่ โอ้โห! ดีใจเหลือเกิน

            คริสเตียนแท้บังเกิดใหม่ เป็นความรัก เป็นความสว่าง เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น แต่ความคิด ความประพฤติยังคงสะดุดอยู่บ่อยๆ ได้ในหลายๆ ทาง

            “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง ความสว่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาสะดุด”

            ไม่มีอะไรทำให้คริสเตียนสะดุดได้ คือความคิดและความประพฤติสะดุดไหม?  สะดุด  ไม่ชอบ คือสะดุดแล้วไง  คือทำบาป ไม่ชอบ  เขาบอกให้รัก ภายนอกยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ได้รับการอภัยโทษในบาปเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยก่อนล่วงหน้าแล้ว รู้ว่าเธอทำไม่ได้ รู้ว่าเธออดไม่ได้หรอก ทำอย่างนี้ลงไป เธอต้องด่ากลับ แล้วด่าไหม? ด่า  โกรธไหม? โกรธ ถ้าเธอเจออย่างนี้เข้าไป เธอต้องโลภแน่ เธอต้องเห็นแก่ตัวแน่ๆ เลย แล้วโลภไหม? โลภ อย่างนี้เขาเรียกว่าสะดุด แต่มันเป็นความประพฤติภายนอก ได้รับการอภัยโทษไปเรียบร้อยแล้วก่อนหน้า ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และพระองค์ผู้ทรงทูลอธิษฐานแก้ต่าง ให้กับเราที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในขณะนี้ คือพระเยซูคริสต์ นี่กำลังพูดถึงในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณไม่มีอะไรทำให้คริสเตียนสะดุดได้ เขาอยู่ในความสว่างแล้ว ไม่มีวันสะดุดได้เลย ในวิญญาณเขาไม่มีเลย เพราะวิญญาณเขาไม่เคยเกลียดชังใครเลย มันจึงเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ช่วยให้เรารอดจากบาป โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ ถ้าเรารอด โดยการประพฤติ เราตายแน่ เราทำไม่ได้หรอก เราอ่านหนังสือ

            หรือไปดูป้ายโฆษณาอะไรบางอย่าง … “คนนี้หล่อจัง” นั่นแหละ ล่วงประเวณีแล้ว

            หรือไม่เคยดูเลย ไปไหน หลับตาตลอด ปลงตลอด … “คนนี้ก็ไม่สวย คนนั้นก็น่าเกลียดๆ ห้ามดู ห้ามชอบเหมือนกัน” พอชอบ ล่วงประเวณีแล้ว อย่างนั้นหรือ?

            ใครทำอะไรก็ต้อง … “ครับๆ ขอบคุณครับๆ” ไม่โกรธเขาเลยหรือ?

            ดังนั้น เป็นข่าวดีที่พระเยซูคริสต์ช่วยเรารอดจากบาปทั้งปวงด้วยความเชื่อ ในพระองค์ วางใจในพระองค์เท่านั้น  และดำเนินชีวิตด้วยความรักต่อไป …

        1 ยอห์น 2:11 “แต่​ผู้​ที่​เกลียดชัง​พี่​น้อง​ของ​ตน ​ก็​นับว่า​อยู่​ใน​ความ​มืด เดิน​อยู่​ใน​ความ​มืด และ​ไม่​ทราบ​หนทาง​ที่​จะ​ไป  เพราะ​ว่า​ความ​มืด​ได้​ทำ​ให้​ตา​เขา​บอด​เสีย​แล้ว”

            รู้ได้อย่างไรว่าอาศัยอยู่ในความมืด ก็ตรงกันข้ามกับอาศัยอยู่ในความสว่าง ก็คือการแสดงออกมา ซึ่งความเกลียดชังผู้เชื่อหรือคริสเตียน หรือเกลียดชังพระเยซูคริสต์

            เราไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นคริสเตียนหรือเปล่า? ตัดสินด้วยการประพฤติไม่ได้ภายนอก  เราไม่สามารถพูดได้ เขาอาจจะเชื่ออยู่ภายใน เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ เมื่อไรก็ตามที่เขาแสดงออกด้วยการกล่าวถึง หรือพูดถึงท่าทีของเขาต่อพระเยซูคริสต์ และต่อคริสเตียนด้วยกัน มันเป็นอย่างไร? เราจะรู้เอง พอบอกพูดอะไรก็พูดได้ พูดถึงเครื่องรางของขลัง ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น  พิธีกรรมอย่างนี้ การเข้าเจ้า เข้าทรง ผีต่างๆ ฟังอย่างดีเลย ฟังปรัชญาชีวิต พอบอก “พระเยซูตรัสว่า” เธออย่าพูดเรื่องพระเยซูมากนัก อย่างนั้น เหมือนเราในอดีต 1 ยอห์น 2:12 …

        1 ยอห์น 2:12  “ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปทั้งปวงของท่าน ได้รับการอภัยแล้ว เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”

            “ลูกเล็กๆ”  เหมือนกับว่าพี่น้องในครอบครัวพระเยซูคริสต์ เราเป็นพี่น้องกัน  ได้รับการอภัยแล้ว ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ถึงนิรันดร์ เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าเป็นการยกย่องถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเป็นการเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ยอมเชื่อฟังพระองค์ ก็คือยอมถวายเกียรติแด่พระองค์ว่าพระองค์ทำจริง ตายเพื่อเราจริงๆ ในการถวายเกียรติอย่างนั้น  ถ้าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เรายังคงอธิษฐานขอการอภัยลบบาป เมื่อไรจะลบบาปลูกสักที หรือไม่เชื่อเลย  ก็เป็นการหมิ่นพระเยซู ไม่ถวายเกียรติแด่พระเยซูนั่นเอง 1 ยอห์น 2:13-14 สุดท้าย …

        1 ยอห์น 2:13-14 “ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้​รู้​จั​กกับพระองค์ ​ผู้​ทรงดำรงอยู่​ตั้งแต่​เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้​รู้​จั​กกั​บพระบิดา ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้​รู้​จั​กกับพระองค์​ ผู้​ทรงดำรงอยู่​ตั้งแต่​เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว”

            สรุปสั้นๆ ก็คือนี่กำลังพูดถึงครอบครัวในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ คริสเตียนจริงๆ ด้วยกัน เป็นเหมือนพี่น้องกันในครอบครัวทางฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์

            “ท่านที่เป็นบิดา” ในข้อแรก หมายถึงพวกที่เป็นชาวยิว อายุมากๆ เขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพระมาซีฮาห์  … พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเขาว่าเป็นพระเจ้ามาโปรดช่วยมนุษย์ให้รอด โดยเฉพาะมาช่วยชาวยิวให้ได้รับความรอด ในอดีตนั่นเอง  พระเยซู คือพระเมซิยาห์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีตเริ่มแรก อาจารย์ยอห์นกำลังพูดอย่างนั้น

            “สำหรับคนหนุ่ม ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ในพระคริสต์อยู่ในความสว่าง เป็นความสว่าง ชนะความมืด ชนะมารร้าย พระเจ้าสถิตอยู่ภายในท่าน ท่านใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความเป็นอิสระ ไม่มีการลงโทษใดๆ กับท่านที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เพราะกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ ได้ทำให้ท่านเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตายเรียบร้อยแล้ว มันหมายถึงอย่างนี้ หมายถึงท่านไม่ต้องกลัวอะไรต่างๆ เหล่านั้นจะมาลงโทษท่าน  ท่านทำอะไรผิดไป ท่านได้รับการอภัยจากความบาปผิดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตามบริบทนี้ ก็คือพูดถึงเรื่องนี้  ให้ท่านดำเนินชีวิตด้วยความรัก เป็นอิสระจากฎระเบียบ มาสั่งอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว  ท่านไม่ต้องดำเนินตามกฎระเบียบอะไร บทบัญญัติทางโมเสสอะไรต่างๆ เหล่านั้นอีกแล้ว  ท่านเป็นอิสระแล้ว ดำเนินชีวิตด้วยใจที่เป็นความรักเหมือนพระเยซู

            “ลูกเล็กๆ ทั้งหลาย”  เปรียบเหมือนลูกๆ เล็กของพระเจ้า ท่านทั้งหลาย พระเจ้าดูแลท่านเปรียบเหมือนลูกเล็กๆ ของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่ท่านเรียกพ่อว่าอับบา พ่อจ๋า ปาป๊า สนิทสนมกัน ท่านเป็นลูกเลย และไม่มีเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ท่านทำบาปผิดไป เหมือนกับท่านเป็นเด็กอยู่ เดินหกล้มบ้าง พระเจ้าอภัยให้ท่านตลอดนั่นแหละ ท่านจงมาอยู่ใกล้ๆ พระเจ้าเลย พระเจ้ารักท่านมาก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ มีท่าทีอย่างนี้กับท่าน เป็นอิสระ จงรักซึ่งกันและกัน จงดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ภายใน คือรักของพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เข้าไปร่วมชีวิตกับท่านแล้วหรือยัง?

            มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ได้เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้าไปร่วมชีวิตด้วย ท่านทราบหรือไม่ว่าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด กำลังจีบท่านทุกวัน  ขอเข้าไปมีชีวิตร่วมกับท่าน พระองค์ให้สัญญาว่าจะดูแลชีวิตของท่าน ยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์ตลอดไป ไม่มีเสื่อมสลายในความรักแท้ของพระองค์

            พระองค์จะเข้าไปเป็นหุ้นส่วน สัมพันธ์กับชีวิตของท่านเหมือนสามีที่ปกป้อง คุ้มครอง ดูแล เอาใจใส่ทะนุถนอมท่าน ด้วยรักที่ไม่มีเงื่อนไข

            ท่านจะยอมหรือไม่? เท่านั้นเอง

            ท่านมีค่าและเป็นที่รักของพระองค์อย่างมากมาย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร รู้สึกตัวเองว่าต่ำต้อยหรือสกปรกเพียงใดก็ตาม จะมีประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านการทำบาปมากมายแค่ไหนก็ตาม พระองค์ได้ให้อภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พระองค์ยังคงรักและรอคอย ที่จะร่วมหอร่วมชีวิตกับท่าน

            มาเป็นเจ้าสาวของพระองค์เถิด

            พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงไถ่มนุษย์ทุกคน มาเป็นของขวัญ ประทานให้เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์

            ยอห์น 17:24 …  พระเยซูอธิษฐานว่า … “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้บรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่ และให้พวกเขาเห็นเกียรติสิริของข้าพระองค์ คือเกียรติสิริซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างโลก”

            ยอห์น 10:28-29 … พระเยซูประกาศว่า … “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ