คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2024
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”
ตอน 4 “คริสเตียนแท้อาศัยอยู่ในพระคริสต์
ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระองค์”
โดย นคร เวชสุภาพร
“1 ยอห์น” ตอนที่ 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและยอมถ่อมลงมา เกิดในร่างมนุษย์จริงๆ”
“1 ยอห์น” ตอนที่ 2 “พระเจ้าได้ลบล้างบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”
“1 ยอห์น” ตอนที่ 3 “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”
เราได้เรียนรู้กันมา 3 ตอนแล้ว สำหรับซีรี่ย์หนังสือ 1 ยอห์น” นี่คือความจริงที่เรียนรู้ไปแล้ว วันนี้ “1 ยอห์น” ตอนที่ 4 “คริสเตียนแท้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระองค์”
จากการบรรยายครั้งที่แล้ว ที่เราเน้นว่าเราได้รับการชำระล้างบาปหมดแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคตด้วย เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าอีก เพราะว่าเป็นคริสเตียน ก็ทำการสารภาพบาป เพียงครั้งเดียวว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการหาหมอ หมอทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือพระเยซูคริสต์ พอสารภาพปุ๊บ พระเจ้าก็ทำตามสัญญา ก็คือได้เกิดใหม่ ลบบาปหมดเลย ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไปจนนิรันดร์เลย เราเรียนรู้ นี่คือความจริง
ก็เลยมีคำถามมาถามว่า “แล้วเผื่อเป็นคริสเตียนแล้ว แต่ติดการอธิษฐานสารภาพบาปผิดไหม?”
ตกใจ หลายคนคิดในใจมันติดปาก มันติดใจ หรือมันเคยชินกับคำสอนมาก่อนหน้านี้ พอทำอะไรผิด
ก็ “พระเจ้าขอยกโทษให้ด้วย”
“อ้าว! แล้วที่เรียนรู้ว่าพระเจ้ายกโทษให้แล้ว จะหมายถึงอย่างไร?”
ก็เลยมีความแคลงใจ มาถามว่า “พาสเตอร์ มันจะผิดไหม? แล้วจะทำอย่างไร?”
ก็อยากจะบอกว่าการสารภาพบาปกับพระเจ้าของคริสเตียนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียกว่าผิดหรือถูก มันไม่ใช่ความผิด แต่มันขึ้นอยู่กับท่าทีภายในจิตใจ ในการอธิษฐานของเราว่าท่าทีนั้น มันอยู่ในความจริงของถ้อยคำพระเจ้าหรือเปล่า? ทั้งหมด ทั้งมวลอยู่ที่ท่าทีภายในของเราในการอธิษฐานนั้น ถ้าเราเข้าไปด้วยสำนึกว่าเราได้พลั้งพลาด ทำผิดไป เสียใจในการกระทำ ตรงนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าจะกระทำได้ เพราะเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า แต่ไม่ใช่อธิษฐานสารภาพด้วยความกลัวว่าเราจะสูญเสียความนิรันดร์ไป เพราะว่าเราได้ทำผิดบาป เราต้องขอโทษกับพระเจ้า ยกโทษให้เราด้วยเพราะเรากลัวโดนลงโทษ
ไม่ใช่การสารภาพบาปภายใต้จิตสำนึกหรือความคิด เพื่อจะได้รับการยกโทษบาปอีก เพราะเราได้รับเรียบร้อยหมดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขอยกโทษบาปเป็นประจำ ที่เราเคยถูกสอนมา หรือเคยเข้าใจผิด พอทำบาปปุ๊บ ต้องอธิษฐาน ยกโทษบาปเลยทันที ทุกครั้งที่ทำบาปไป ทำผิดไป หรือทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ว่าเราทำอันนั้นไป เมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้ว ขอโทษดีกว่า ให้พระเจ้าลบทิ้ง หรือคิดว่าต้องอธิษฐานยกโทษบาป จากพระเจ้าทุกวัน วันละ 3 เวลา หรือบางคนก็ตั้งเป้าไว้ว่าเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุกปี ปีละ 1 ครั้ง แล้วแต่จะตั้งกันเอง บางคนตั้งเป็นเดือน เป็นปี ก็มี นึกออกใช่ไหม?
อย่างเป็นปีชัดเจน เช่น วันเกิดเมื่อไร? ก็จะได้สารภาพบาป ให้มันล้างสักที ทั้งปีหนึ่ง ปีที่แล้วทำอะไรผิดบ้าง พระเจ้ายกโทษ
“ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด ปีใหม่ขอพระองค์ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”
คุ้นๆ ไหม? เพราะเราติดศาสนาเดิมมา เราติดพิธีกรรมเดิมมา เราก็เลย คิดว่ามันสำคัญ เพราะมนุษย์คิดขึ้นมาเองว่าวันสำคัญ แต่พระเจ้าเหมือนกันทุกวัน ยกโทษอภัยบาปนิรันดร์ อภัยหมดเรียบร้อยแล้ว แต่เราคิดขึ้นมาว่าพอเป็นวันพิเศษวันนั้น เราก็ตั้งเป้าไว้ นัดกันไว้ว่าวันนี้เราจะทำพิธีขอโทษยกบาปจากพระเจ้าให้ล้างบาปให้กับเรา เช่น วันเกิด เป็นต้น อย่างนี้ ลบล้างบาปที่เราได้กระทำไปแล้ว ตั้งแต่ต้น ทั้งปี หรือทั้งเดือน หรือทั้งวัน แล้วแต่บาปในอดีตที่เราได้กระทำ หรือบาปในปัจจุบันที่ได้กระทำอยู่ และแม้กระทั่งคิดไปถึงอธิษฐานขอพระเจ้าว่าบาปที่ตัวเองจำไม่ได้ด้วย มีไหม? คุ้นไหม? อธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษบาป
“ที่ลูกทำไปแล้ว แต่ลูกจำไม่ได้”
คิดถึงขนาดนี้ ขนาดจำไม่ได้ ก็ไปขอยกโทษ เพราะความกลัว
เพราะฉะนั้น การสารภาพบาปกับพระเจ้า มันไม่ใช่ความผิดของคริสเตียน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับท่าทีในการอธิษฐานภายในของเราคริสเตียนว่าการอธิษฐานนั้น มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือเปล่า? มันเป็นประโยชน์ไหม? ถ้ามันเป็นประโยชน์ก็ทำไป แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันเป็นโทษ ก็อย่าทำ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่อธิบายไป
เพราะฉะนั้น ผมเพียงแต่นำเสนอความจริงเหล่านี้ให้ท่านลองพิจารณาดู ด้วยความสุภาพ ไม่ได้ตั้งใจจะติเตียนอะไรท่าน มันติดไปแล้ว จะให้ทำอย่างไร? ไม่ได้ตั้งใจจะคิดอย่างนั้นนะ ให้ท่านลองพิจารณาดู เสนอด้วยความรักในพระคริสต์ เพราะไม่ว่าท่านจะทำหรือไม่ทำ? จะเชื่อแบบไหนก็ตาม จะสารภาพบาปทุกวันหรือไม่ก็ตาม? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ และสารภาพครั้งแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วนั้น ท่านก็ได้รับความรอด เหมือนๆ กัน จะสารภาพบาปทุกวันหรือไม่? ก็ได้รับความรอดนิรันดร์อยู่ดีนั่นแหละ เอเมนไหม?
ท่านลองพิจารณาดู เพียงแต่ถ้าท่านรู้ความจริง กระทำถูกต้องตามถ้อยคำแห่งความจริง ท่านก็จะสามารถเดินอย่างเป็นอิสระ ไม่ต้องแบกกางเขนให้เหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยได้รับอิสรภาพ เอากางเขนนั้น ตรึงไว้กับพระเยซูบนไม้กางเขน ที่พระเยซูทรงแบกเอาไว้ให้เรานั่นแหละ ท่านก็จะได้เป็นอิสระ เดินสบาย ตัวปลิวเลย
ผมนึกถึง คนปีนเขา เคยเห็นคนปีนเขาเป็นทีมไหม? เขาต้องมีสายเชฟตี้ยาวๆ ผูกกันไว้หมดเลย คนใดคนหนึ่งล้มไป ที่เหมือนยังเกาะอยู่ ไม่ตกลงไปตาย เรามีหัวหน้า คือพระเยซู … พระเยซูมองลงมาข้างล่างตลอดเวลา
“ไม่ต้องกลัว ตามฉันมาเลย” เดินไปทุกวัน ทุกวินาที “ไม่ต้องกลัว” เพราะบนโลกใบนี้ ลมมันแรง คำสาปแช่งมันยังอยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้มันวุ่นวาย อาจจะถูกเตะขา ตัดขา อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น เราอาจจะพลั้งเผลอ พลาดหล่นลงไป แต่ให้เรารู้ว่าไม่ต้องกลัว เชฟตี้อยู่ หล่นลงไปเมื่อไร ก็ไม่ตาย เอเมนไหม?
กับอีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีพระเยซูอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่พระเยซูก็อยู่ข้างบน เชือกก็ยังห้อยอยู่ แต่นึกว่าไม่มีเชือก พอตกลงไปทีหนึ่ง ก็ร้องโวยวาย ตาย ทุกวันตายหมดเลย จนมาถึงยอดเขา ถึงยอดเขาไหม? ถึงเหมือนกัน แต่เหนื่อยไหม? เหนื่อย ผมเรียกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา มันขึ้นภูเขานั่นแหละ แต่แทนที่จะขึ้นแบบสบายๆ เป็นอิสระ บินปร๋อเลย เอเมนไหม?
พระเจ้ามองภายในวิญญาณ ตัดสินที่ภายในวิญญาณ ที่มองไม่เห็น แต่มนุษย์และระบบของโลกนี้ มองที่ภายนอก ตามความประพฤติ การกระทำที่มองเห็นอยู่ อาจารย์ยอห์นจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ เขียนเรื่องราวเหล่านี้ ชี้ให้เห็นความจริงในโลกวิญญาณว่าสถานะเป็นเช่นไร? ถ้าท่านเป็น คริสเตียนแล้ว
ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านเป็นคริสเตียน อาจารย์ยอห์นได้อธิบายในหนังสือ 1 ยอห์นว่าท่านเป็น คริสเตียน ท่านจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่แตกต่างกับโลกที่มองเห็นนี้ ที่เรียกว่าอาณาจักรวิญญาณนั่นเอง อาจารย์ยอห์นชี้ให้ผู้เชื่อทั้งหลาย และผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนนั้น ชี้ให้เห็นว่า …
“ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า เป็นคริสเตียนจริงๆ อยู่ในอาณาจักรโลกวิญญาณ คุณจะอยู่ในความสว่าง คุณเป็นความสว่าง”
มันมองไม่เห็น แต่นี่เป็นความจริง คุณกำลังอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระคริสต์ คุณรู้จักสนิทสนม สามัคคีธรรม สัมพันธ์อันลึกซึ้งฝ่ายวิญญาณกับพระคริสต์ และคุณจะรู้ความจริง และความจริงอยู่ในตัวคุณ
นี่คือบทสรุปคร่าวๆ ที่อาจารย์ยอห์น พยายามจะชี้ให้ชาวยิวที่เป็นคริสเตียน และอ้างว่าตนเองเป็นคริสเตียน ได้เห็นความเป็นจริงว่าถ้าคุณเป็นคริสเตียน คุณจะดำเนินชีวิตอยู่ในพระคุณความรักของพระคริสต์ และความรักของพระคริสต์จะอยู่ในคุณ คุณจะรักพระเจ้า พี่น้องคริสเตียน เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งโลกนี้เลย เพราะสถานะของคุณนั้น คุณอยู่ในพระคริสต์ และคุณจะอยู่ในสถานะพระคริสต์อย่างนี้ เป็นความรักอย่างนี้ เป็นความสว่างอย่างนี้ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เอเมน
นี่คือบทสรุปที่อาจารย์ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ใน 1 ยอห์น บทที่ 1 พูดถึงชาวยิวส่วนใหญ่ ที่เป็นคริสเตียนและคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน บอกว่าคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียน อ้างว่าเขารู้จักพระเจ้า แต่เขาไม่รู้จักหรอกในโลกวิญญาณ อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าเพราะว่าเขาปฏิเสธการเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ของพระเจ้า ที่มีนามว่าพระเยซูคริสต์ เขาปฏิเสธ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า หรือเชื่อว่าเป็นพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ หรือเชื่อว่าเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นพระเจ้า และเชื่อว่าเขาเองไม่ได้เป็นคนบาป เขาไม่ต้องการพระเยซู มาช่วยเขาในเรื่องการไถ่บาป เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง แต่เขารู้จักพระเจ้า พระบิดา อะไรอย่างนี้ ถ้าเขาสารภาพบาป ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการผู้ช่วย คือพระเยซูคริสต์ ยอมรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาช่วยเหลือคนบาป เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือ นี่คือ 1 ยอห์น บทที่ 1
พอ 1 ยอห์น บทที่ 2 ที่เราเรียนรู้กัน ก็บอกอย่างนี้ 1 ยอห์น 2:1-2 …
1 ยอห์น 2:1-2 “1 ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่าน เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดา เพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม 2 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”
“พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”
“เรา” ในที่นี้ หมายถึงยิว กำลังบอกพี่น้องชาวยิวด้วยกันว่า …
“ไม่ใช่ยกโทษบาปให้กับพวกเรายิวอย่างเดียวนะ จะบอกให้ ความรอดนี้ ข่าวประเสริฐนี้ ไปถึงคนที่ไม่ใช่ยิวด้วย”
คนไม่ใช่ยิว คือต่างชาติทุกคน ฉะนั้น มนุษย์มีอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งเรียกว่ายิว อีกพวกเรียกว่าพวกไม่ใช่ยิว จบข่าว ดังนั้น คือทุกคน
ยอห์นบอกว่าเหตุที่เขียนเรื่องพระคุณของพระเจ้าเหล่านี้ขึ้นมา ว่าพระเจ้าทรงรักท่านด้วยพระคุณมากเพียงใด อภัยในความผิดบาปของท่าน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว รับท่านเข้ามาเป็นลูก อยู่ในแสงสว่างแล้วขณะนี้ ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบุตร คือพระเยซูคริสต์แล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นพระคุณ แค่สารภาพบาปว่าตนเองเป็นคนบาป ต้องการการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราได้เปล่าๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่าพระคุณของพระเจ้า
อาจารย์ยอห์นเริ่มต้นเขียนอย่างนี้ เขียนเพื่อท่านจะได้รู้จักพระคุณของพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ความจริงเหล่านี้ และรู้ถึงสถานะทางฝ่ายวิญญาณ ที่ท่านได้รับจากพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่ถูกล่อลวงให้ทำบาป เพราะว่าถ้าท่านไม่รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะทำบาป ยิ่งรู้ว่าตัวตนแท้จริงท่านนั้น เป็นอะไร? เป็นใครในพระเยซูคริสต์มากเท่าไร? โดยพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้ท่านมากเท่าไร? ท่านก็จะถูกล่อลวงให้ทำบาปน้อยเท่านั้น คือรู้จักพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้กับท่านแล้ว มากเท่าไร? ท่านก็ยิ่งจะทำบาปน้อยเท่านั้น พระเยซูตรัสว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ เป็นไท ไม่ถูกหลอก ล่อลวง ให้ทำบาป อาจารย์เปาโลก็พูดในลักษณะเดียวกันอย่างนี้ เหมือนกัน ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า …
“ท่านไม่รู้หรือว่าโดยพระคุณของพระเจ้า ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว ตัวเก่าของท่านที่เป็นคนบาป ได้ตายไปแล้ว”
มันตายไปแล้วตัวเก่า มันจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ท่านจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปอีกต่อไป เพราะท่านได้เกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ ท่านบริสุทธิ์ สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า
“สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า”
ในโรม 12:1-2 ก็สรุปอย่างนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่า …
โรม 12:1-2 “เพื่อเห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านมอบร่างกายอวัยวะทุกส่วน ที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ยอมให้พระเจ้าใช้ด้วยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้สอดคล้อง สมกับเป็นคนใหม่ สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เรียบร้อยแล้ว”
ท่านจะเห็นพระคุณของพระเจ้าได้ ท่านต้องรู้ความจริง จะอธิบายความจริงให้ฟัง อย่างนี้นะ ก็คือเห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ผมอธิบายให้ท่านฟัง “ข้าพเจ้า” หมายถึงเปาโล ยอห์น หรืออัครสาวกต่างๆ ที่เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จะพูดลักษณะเดียวกันเลยว่า เพื่อเห็นแก่พระคุณของพระเจ้าเหล่านี้ ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านมอบร่างกาย อวัยวะทุกส่วน ที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เรียบร้อยแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าใช้ โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้สอดคล้อง สมกับเป็นคนใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เรียบร้อยแล้ว เอเมน สมบูรณ์แล้ว แล้วก็ให้ทำตาม เท่านั้นเอง
คือการเห็นตัวเองตามความเป็นจริง การรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จากถ้อยคำพระเจ้า ถึงเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว มันเปรียบเหมือนเราเห็นตัวเราเองเป็นเจ้าสาว ใส่ชุดเจ้าสาว ยืนอยู่หน้ากระจก ท่านลองคิดดูว่าท่านเป็นเจ้าสาว ใครเป็นผู้ชาย นึกภาพตัวเองแต่งตัวเป็นผู้หญิงนิดหนึ่งคราวนี้ จะได้เห็นภาพ เจ้าสาวใส่ชุดอะไรมาตรฐานทั่วโลก สีขาว บริสุทธิ์ สะอาด เรียบร้อย มองอยู่หน้ากระจก แต่งตัวเสร็จปุ๊บ กำลังจะออกเดินทางไปนอกบ้าน ไปพิธีแต่งงาน แต่งงานกับพระเยซู เจ้าบ่าวรออยู่ เรากำลังเดินทางไป ท่านเห็นตัวเองใช่ไหมเมื่อตะกี้นี้ ในกระจก สีขาวหมดเลย ท่านระวังตัวไหม? ท่านเดินไปขึ้นรถ ลงรถ ฝนตกแฉะๆ ท่านจะเดินแบบไม่ระวังไหม? ไม่สนใจอะไรเลยหรือเปล่า? ท่านจะระวังสุดชีวิตเลย ความสกปรกนั้น ไม่สามารถทำอะไรให้ท่านเปลี่ยนไปจากการเป็นเจ้าสาวได้ แต่ท่านรู้ตัวเองว่าเราใส่ชุดสีขาวมา เราต้องระวังเหลือเกิน
เปลี่ยนใหม่ ถ้าท่านจะไปแต่งงาน แบบวัยรุ่นๆ แต่งชุด สมมติเป็นชุดพรางแล้วกัน ชุดทหารพราน สีกลืนกับต้นไม้ไปเลย สีเทาๆ น้ำตาลๆ ดำๆ สกปรกๆ หน่อย ทาหน้า แบบแอบไป ท่านจะระวังไหม? เวลาท่านเดินออกจากบ้าน ท่านอาจจะระวัง แต่ระวังนิดเดียว ไม่ค่อยระวังหรอก เพราะท่านถือว่าสกปรกไปแล้ว ให้สกปรกไปเลย ช่างมัน เหมือนกันอย่างนั้นแหละ เห็นภาพหรือยัง?
เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้จักความจริง เรื่องตัวเราเองในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เรื่องความรักและพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อเรา และทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว นั้นเป็นเช่นไร? ซึ่งเป็นความรักและพระคุณของพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เราควรจะเรียนรู้จักพระคุณนี้ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เป็นประโยชน์กับชีวิตเราเหลือเกิน เอเมนไหม? ชัดเจนเลยนะ
ต่อจากครั้งที่แล้ว เราเรียน 1 ยอห์น 2:3 ที่พูดถึงว่า …
1 ยอห์น 2:3 “ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์”
เราเรียนรู้ไปแล้วว่าตรงนี้ บัญญัติหรือคำสั่งของพระเยซู ก็คืออะไร? ในยอห์น 13:34 …
ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”
พระเยซูให้มาบัญญัติเดียว “เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร? เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”
วันนี้เรามาต่อ 1 ยอห์น 2:4 …
1 ยอห์น 2:4 “ผู้ใดที่กล่าวว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ แต่ไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ผู้นั้นเป็นคนโกหก และความจริงไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”
ความหมายคืออะไร? ความหมาย ก็คือผู้ใดที่อ้างว่า เห็นไหม? อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่ามองดูข้างนอก ไม่ออกนะที่ประชุม คริสตจักร ไม่รู้คนไหนเป็นคริสเตียนแท้หรือไม่แท้ กำลังจะชี้ให้เห็นว่าถ้าเป็นคริสเตียนแท้ มันจะเป็นอาการอย่างนี้แหละ แต่ถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ เป็นตัวแอบอ้างมานะ จะปฏิเสธพระเยซูอย่างนี้แหละ และจะมีอาการในวิญญาณแบบนี้แหละ
“ผู้ใดที่อ้างว่าตนเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ รู้จักพระเยซู ได้สามัคคีธรรมทางฝ่ายวิญญาณกับพระเยซู แต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรักต่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน และต่อคนทั้งโลก ผู้นั้น ก็เป็นคนมุสา”
ก็คือโกหก ไม่จริง คือไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริงนั่นเอง ตะกี้นี้หมายความว่าอย่างนี้
อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่าคนที่เป็นคริสเตียนและคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เช็คดูตัวเองว่าใช่ไหม? ท่านเป็นคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์หรือไม่? ใจของท่านรักพี่น้องคริสเตียนผู้เชื่อด้วยกันและรักคนทั้งโลกหรือเปล่า? ทุกคนสะดุ้งเลยคราวนี้ แต่เดี๋ยวก่อน ฟังอาจารย์ยอห์นชัดๆ แล้วเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ใจของท่านรักพี่น้องคริสเตียน ที่เชื่อด้วยกัน และรักคนทั้งโลกหรือไม่? อะไรของท่านที่รักคริสเตียนด้วยกัน และรักคนทั้งโลก อะไรนะเมื่อกี้นี้ที่ผมพูด “ใจ” ความจริงอยู่ตรงนี้ ใจของท่านรักพี่น้องหรือเปล่า? รักอยู่ในใจ ในนี้กำลังบอกว่าเงื่อนไข คือรักอยู่ในใจ เดี๋ยวจะพาไปเรื่อยๆ จะเห็น
ใจของท่านรักพี่น้องไหม? รักอยู่ในใจ แต่ภายนอก ความประพฤติต่างๆ นั้น อาจจะไม่ชอบ หลายคนยิ้มสบาย เมื่อกี้นั่งหน้าเครียดหมด รักไม่ไหว ถ้าอย่างนี้รักได้ แล้วมันเรื่องจริงด้วย รักจริงๆ เลย แต่ไม่ชอบ ใช้น้ำหอมคนละกลิ่น บุคลิกคนละอย่าง ความประพฤติคนละเรื่อง ชอบอาหารคนละอย่าง มันไม่สามารถจะชอบกันหมดทุกอย่างได้ รักในใจ รักเพราะอะไร? เพราะเขาประพฤติดีหรือ? ไม่ใช่ ไม่รู้จักเลยว่าเขาเป็นใคร? ไปเจอกันที่ขั้วโลกเหนือ เจอเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องเลย แต่รู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน ข้างใน ทำไม? แอบรักเธออยู่ในใจแล้ว รักในใจ ที่เขาเป็นตามบัญญัติพระเจ้าที่บอกเมื่อตะกี้ เป็นคริสเตียนจริง รักที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งของโลกนี้ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา แต่อาจจะไม่ชอบบางอย่างที่เขาทำก็ได้ ไม่ชอบความประพฤติบางอย่างของเขาก็ได้ เช่น ขับรถเวียนหัว อาจจะมาชาร์ทเงินเขาเกินกว่าที่สมควร ก็ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน เป็นไปได้ไหม? นี่ผมพูดเกินเหตุไปนะ จะได้เห็นชัดๆ เป็นไปได้
ในข้อนี้เน้นถึงความสำคัญในการดำเนินชีวิต เป็นความรักอย่างแท้จริง ทางวิญญาณ เป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก เป็นความรัก ไม่ใช่คิดว่าจะรักเขา แต่ท่านเป็นความรัก ในวิญญาณท่านมันเป็น สถานะทางวิญญาณ เป็นความรัก ในฐานะคริสเตียน ผู้เชื่อ ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูแล้ว เราถูกนำให้ดำเนินชีวิตในความรักนี้ ในความสว่างนี้ และดำเนินชีวิตให้สมกับฐานะของลูกพระเจ้านี้ ก็คือมีความประพฤติตามความเป็นจริงของวิญญาณ
ซึ่งตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่ภายใต้กฎบังคับ ให้เรารัก ต้องรักเขานะ ต้องชอบเขา ไม่ใช่ หรือให้เราพยายามรักษาบัญญัติของพระเจ้าว่าต้องรักเขา เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ให้เราทำตามบัญญัติ จะได้พระพร แต่จริงๆ แล้วเป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในวิญญาณของเรา ผ่านการได้รับการบังเกิดใหม่ และการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ คือได้รู้จักกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์
เมื่อเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง สนิทสนมกับพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงอย่างนี้ เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์อย่างนี้ ความรักและความจริงของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในเราที่เกิดใหม่นั้น ก็จะไหลผ่านเรา อย่างเป็นธรรมชาติ ออกมา ในการดำเนินชีวิต นำเราให้ดำเนินชีวิตในลักษณะที่แสดงถึงพระลักษณะของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรัก เหมือนกับเราเลย เราเหมือนกับพระองค์เลย เอเมน มันก็ไม่ได้เป็นภาระเลย ถูกไหม?
นี่ไม่ใช่เป็นการสอน หรือเป็นการบังคับ จากถ้อยคำพระเจ้า ที่อาจารย์ยอห์นบอก ไม่ใช่เป็นการให้เชื่อฟังอย่างเคร่งครัด แบบศาสนาว่าท่านต้องรักซึ่งกันและกัน ท่านเป็นศิษย์ของเรา ท่านต้องรักซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการบังคับ ฝืนใจ ถ้าไม่ทำ จะถูกลงโทษ ถ้าไม่ทำ ไม่ได้พระพร แต่เป็นเรื่องของผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา และผลของวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา ดำเนินชีวิตไปกับเรา นำพาเรา ในการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ คือเป็นความรัก แบบธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น การกระทำของเรา ความประพฤติของเรา เป็นเพียงการตอบสนองต่อความรัก แสดง สำแดงถึงพระคุณของพระเจ้า ที่กระทำในวิญญาณของเราออกมา ซึ่งวิญญาณของเราเป็นความรักนั้น เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เป็นการที่จะแสวงหา หรือการจะได้รับความรักจากพระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่ ไม่ต้องแสวงหาแล้ว สำแดงออกมาสิ มีอยู่แล้ว สำแดงออกมา ไม่ต้องไปแสวงหาความรักให้มากขึ้น จะพยายามรักคนนี้ให้มากขึ้น ขอพระเจ้าประทานความรักมาให้กับเรา ไม่ต้องแล้ว ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับเรา ที่จะสามารถสำแดงความรัก ที่เราเป็นความรักนี้ออกมาต่างหาก ตรงนี้สำคัญกว่าเยอะ
เพราะความรักเป็นของประทานจากพระเจ้า มนุษย์สร้างเองไม่ได้ กำลังพูดถึงความรักจริงๆ ความรัก แบบที่พระคัมภีร์เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ ในภาษาเดิม ความรักที่พูดถึงตรงนี้ จะมีลักษณะ เป็นความรักชนิดไหน? ไม่ใช่เป็นความชอบ ชอบพอ แต่เป็นความรักแบบอากาเป้ คือแบบพระเจ้า อธิบายเป็นภาษามนุษย์ ไม่สามารถเข้าใจได้ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ หรือความรักแบบสมบูรณ์แบบ คือแบบพระเจ้านั่นเอง
ความรักแบบสมบูรณ์อย่างนี้ เป็นความรักที่เป็นของประทาน มาจากพระเจ้าอย่างเดียว มีในพระเจ้าเท่านั้น เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าความรักที่พระเจ้าให้กับเรานั้น เป็นความรักที่มาก และสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เป็นแบบอากาเป้แล้ว ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว และพระเจ้าก็ไม่สามารถรักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะพระองค์ทรงรักเรา เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบอากาเป้เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน มันเรียบร้อยไปหมดแล้ว จะมาขอให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น ไม่มีแล้ว มันหมดแล้ว เข้าใจหรือเปล่าครับ? มันจบแล้ว มันไม่มีแล้ว ไม่ต้องไปขอมากขึ้น พระเจ้ารักเราหมดแล้ว แล้วเราก็มีความรักแบบนี้แหละ เพราะพระเจ้าใส่ความรักเหล่านั้นมาให้กับเรา ตอนเราบังเกิดใหม่ เราก็รักพี่น้องเหมือนกันอย่างนั้นเลย ภายในใจ
เพราะความรักของพระเจ้าที่เรามีอยู่ในวิญญาณ เป็นอมตะนิรันดร์ เป็นความรักที่เหมือนพระเจ้า เป็นความรักที่สุดๆ แล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักชนิดนี้ เข้ามาในวิญญาณของเรา ซึ่งอยู่ในใจของเรา ตอนบังเกิดใหม่ ในหนังสือเอเฟซัส 6:23-24 ได้พูดในลักษณะนี้ …
เอเฟซัส 6:23-24 “ขอพระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลายนิรันดร์”
เหมือนกับผมอธิษฐานให้กับท่านตอนนี้ หรือว่าบอกท่านตอนนี้ คริสเตียนรักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ ที่ไม่เสื่อมสลาย เอเมน นี่คือความสามารถของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้ว ความสามารถนี้ได้มาเมื่อไร? ต้องฝึกฝนท่านนานเท่าไร? ได้มาวิธีเดียว ไม่ต้องฝึกฝนเลย ก็คือได้มาตอนที่ท่านเปิดใจสารภาพบาปว่าเป็นคนบาป แล้วต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา ความรักนี้เข้ามา สมบูรณ์อยู่ในตัวท่านเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน จากนี้ต่อไป เป็นเรื่องเวลาของการฝึกฝน ที่จะให้ความรักนี้ออกมาได้ด้วยวิธีใด ด้วยความประพฤตินั่นเอง
เพราะฉะนั้น ในฐานะคริสเตียนผู้เชื่อ ต้องจำแล้วจำอีกเลย พูดง่ายๆ ว่าพยายามยัดเหยียดใส่ความจริงเหล่านี้เข้าไปในความคิดเดิมๆ ของเรา ความคิดเก่าๆ ที่ติดอยู่กับระบบของโลกนี้ ระบบศาสนา ระเบียบอะไรต่างๆ บัญญัติต่างๆ เยอะแยะไปหมด ใส่ตรงนี้เข้าไป ฉันเป็นความรักแล้ว แม้ว่าฉันเกลียดคนนี้ก็จริง จริงๆ ในใจฉันไม่ได้เกลียดเขาสักหน่อยเลย เอเมนไหม? ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ เพราะเราเป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว เพราะเราได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ได้รับความรักครบถ้วนบริบูรณ์จากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และความสามารถนี้ก็อยู่ในตัวเราอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรามีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบกับพระเจ้า ก็คือเรารักพระเจ้าด้วยสุดหัวใจจริงๆ เพราะพระเจ้ารักเราก่อน และให้ความรักของพระองค์ใส่ในตัวเรา เราก็เลยสามารถที่จะรักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ
เพราะฉะนั้น เราสามารถรักพระเจ้าด้วยสุดหัวใจ เพราะเราดี เพราะเราอธิษฐานเยอะ ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ อธิษฐานเยอะๆ ท่านจะได้รักพระเจ้ามากๆ ใช่หรือไม่ใช่? ไม่ใช่ เรารักพระเจ้าได้สุดๆ เพราะว่าพระเยซูคริสต์กระทำการงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ สมบูรณ์แบบ เป็นเหมือนพระองค์ เอเมน
และตัวตนใหม่ของเรา ที่เป็นความรัก ที่อยู่ในพระคริสต์ ทำให้เขามีพลัง ในการดำเนินชีวิตด้วยความรัก ตามพระบัญญัติของพระเยซู แล้วคราวนี้ จากแรงบันดาลใจของความรักและความกตัญญู ไม่ใช่ความจำเป็น ฝืนใจ ต้องการทำตามกฎบัญญัติ ไม่ใช่เลย เรามีอิสรภาพ แต่ในใจเราเป็นอย่างนี้เอง คือแอบรักเธออยู่ในใจ ต้องแอบจริงๆ คือรักอยู่ในใจ แต่ภายนอก อย่างที่บอก อาจจะไม่ชอบหลายอย่าง ภายในวิญญาณและใจนั้น มันสมบูรณ์แบบเรียบร้อยไปแล้ว แต่ความประพฤติที่บอก ความประพฤติต้องฝึกฝน ปฏิบัติตน พระคัมภีร์จึงบอกให้เรา ปฏิบัติ ประพฤติตน ให้สมกับที่เป็นคริสเตียน เป็นความรัก เป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ให้ท่านประพฤติ ปฏิบัติตัวให้สม
“สม” แปลว่าอะไร? ก็ให้ฝึกฝนไปสิ แล้วจะฝึกฝนไปถึงเมื่อไร? จนกว่าจะหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แหละ แล้วหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ จะทำสำเร็จไหม? ไม่สำเร็จหรอก บอกให้ฟังเลย ไม่มีวันสมบูรณ์แบบหรอก จะสมบูรณ์แบบเมื่อท่านหมดลมหายใจ เมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง หายใจเฮือกสุดท้ายนั่นแหละ สมบูรณ์แบบทันที เพราะว่าเมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับท่าน เป็นร่างกายที่เหมือนกับพระเยซูคริสต์ คราวนี้แหละ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ขอบคุณพระเจ้า เรามีความหวัง ….
1 ยอห์น 2:5-6 “แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ ความรักของพระเจ้า ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์ คือผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์ผู้นั้น ต้องดำเนินชีวิต อย่างที่พระเยซูได้ทรงดำเนิน”
อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นอีกแล้วว่าคนที่อ้างเป็นคริสเตียนไม่แท้กับคนที่เป็นคริสเตียนแท้ ดูตรงไหน? … “ด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์ คือพระคริสต์ คือผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์ ผู้นั้น ต้องดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูทรงดำเนิน “ต้อง” เลยนะ เห็นหรือยัง? ชัดเลย ต้องโดยอะไร? ต้องโดยบังเกิดใหม่
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็คือเราคนนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้า รักแบบอากาเป้ รักแบบสมบูรณ์ท่วมท้นล้นอยู่ในใจ ไม่ใช่ล้นอยู่ในความคิด มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ล้นอยู่ในความรู้สึก มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ล้น …
“ฉันรู้สึกรักเธอเหลือเกิน” ไม่ใช่
ไม่ใช่ล้นอยู่ด้วยตามองเห็น “ฉันรักคนนี้มากเลย เขาเป็นคนดีมากเลย ทำดีมากเลย” ไม่ใช่
แต่รักเพราะ “มันเป็นคุณสมบัติของฉันในใจที่เกิดใหม่ต่างหาก” มันเป็นอย่างนั้น
ก็คือคนนั้น ต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบพระเจ้า ท่วมท้นล้นอยู่ในใจ รักใคร? รักจากในวิญญาณ ต่อผู้คนทั่วๆ ไปรอบข้าง
แล้วรู้ได้อย่างไรว่ารัก? ก็อย่างที่ตะกี้นี้ที่บอกว่าไปที่ไกลๆ ไม่รู้จักกันเลย แต่พอรู้ว่าเป็นคริสเตียน ก็ทำไม? ก็รู้สึกว่ารักเขาเหรอ? ไม่ใช่ เพราะรู้สึกอาจจะไม่ชอบด้วยซ้ำ ทำอะไรบางอย่างไม่ดี แต่พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน ข้างใน เซนต์อะไรบางอย่าง เซนส์ตรงนี้ ข้างในลึกๆ พระคัมภีร์ไม่รู้จะบอกว่าอะไร? ภาษาไทย เขาเรียกว่า …
“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”
ไม่ใช่ … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในความคิด” … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในความรู้สึก” … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในบัญญัติ” … “ข้ารู้ เพราะว่าพาสเตอร์สั่งให้มา” … “ข้ารู้ เพราะข้าต้องทำ” … “ข้ารู้ เพราะเขาทำดี” ไม่ใช่
“ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”
เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าเราเป็นคนที่ลำเอียง ไม่ยุติธรรมเท่าไร? ข้ารู้ เพราะข้ารักคริสเตียนมากกว่า
เราเป็นความรัก เรารักทุกคนหมดบนโลกใบนี้ เหมือนพระเยซู พระเยซูทรงรักมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ไม่ใช่ชาวยิวอย่างเดียว แต่คนที่ไม่ใช่ยิวด้วย ก็คือคนทั้งโลก พระเยซูทรงรักคริสเตียนเท่าๆ กันกับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน เพราะพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน สละพระโลหิตของพระองค์เอง เพื่อคนทั้งปวง คือคนที่เป็นคริสเตียน และคนที่ไม่ใช่คริสเตียนด้วย รักเท่าๆ กันหมดเลย เพียงแต่เขาไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เราเป็นเหมือนพระเยซู เราจึงรักคนทั้งโลก เหมือนกับพระองค์ แต่นิดหนึ่ง เรารักคนที่บังเกิดใหม่แล้วมากกว่า เพราะว่า “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” ไม่รู้จักกันเลย แต่รัก ยอมได้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น รักและอภัยให้ได้เสมอ เหมือนกับที่พระเยซูได้ยกตัวอย่างให้กับเปโตรว่าพระเจ้าต้องการอย่างนี้ ท่านทำได้ไหม?
เปโตรถามว่า “ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องอภัยให้เขากี่ครั้ง? 7 ครั้งได้ไหม?
7 ครั้ง ก็คือสมบูรณ์แบบมนุษย์แล้วนะ หมายเลข 7 เป็นหมายเลขแห่งความสมบูรณ์ 7 ครั้งได้ไหม? เปโตรกำลังบอกว่าอภัยให้เขา รักเขา ทำสุดความรักของมนุษย์ คือพยายามเต็มที่ ตามศาสนาแล้ว ได้ 7 ครั้ง ถือว่าสมบูรณ์แบบ 7 ครั้งก็ทำไม่ได้แล้ว
พระเยซูบอกว่า “ใครบอกเธอ 7 ครั้ง ฉันจะบอกให้พระเจ้าต้องการให้เธอยกโทษ อภัยให้เขา 70x7 ครั้ง ไม่มีทางทำได้เลย พระองค์กำลังจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก นอกเสียจากเธอจะได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าใส่ความรักของพระองค์เข้ามาในวิญญาณเธอ นั่นแหละ เธอถึงทำได้” เอเมน
แล้วคนก็ไม่เข้าใจ ก็เอาไปประพฤติใหญ่เลย พระเยซูสั่งให้ 70×7 ครั้ง เพราะฉะนั้น เราต้องอภัยๆ เขาตบข้างขวามา เราต้องหันแก้มซ้ายให้เขาตบ เขาอยากได้เสื้อ เราเอาเสื้อคลุมให้เขาเลย ทำหรือเปล่า? ไม่ได้ทำสักหน่อยเลย ทำไม่ได้ ใครทำได้บ้าง? ยกมือขึ้น มาทดลองดูสักหน่อยสิ มันทำไม่ได้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำ กำลังมาชี้ให้เห็นว่าเราทำไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น ต้องพึ่งพระองค์ วางใจในพระองค์ พอเกิดใหม่นั่นแหละ ถึงทำได้ ในใจๆ เกิดใหม่แล้ว 1 ยอห์น 2:6 …
1 ยอห์น 2:6 “ผู้ใดที่อ้างว่าเขาอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นจะดำเนินชีวิตเหมือนที่พระองค์ ได้ดำเนินชีวิต”
ผู้ใดที่คิดว่าตัวเองเป็นคริสเตียน เกิดใหม่แล้วจริงๆ ก็คือเขาอยู่ในพระองค์ อ้างว่าเขาอยู่ในพระองค์ คือเขาเป็นคริสเตียน ผู้ใดที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ในสมัยนั้นนะ ก็มีคนอ้างว่าเขาก็ได้รู้จักพระเยซูคริสต์ เขาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน เขาก็เป็นคริสเตียนนะ อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าผู้ใดที่อ้างว่าเขาเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้น ก็จะดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
คนนั้นต้องดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ได้ดำเนินชีวิต ตรงนี้หมายถึงอะไร? คนก็เอาไปใช้ ดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็หมายถึงทำอัศจรรย์เหมือนพระองค์ ต้องไล่ผีเหมือนพระองค์ วางมือรักษาโรค ทำการอัศจรรย์ในพระองค์ สั่งต้นไม้ให้มันตายได้ สั่งภูเขาให้ลงไปในทะเล สั่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น ใช่หรือเปล่า? เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่ นี่เขาพูดถึงอะไร?
อย่างที่เคยบอกไง มันต้องดูบริบท ในนี้เขาพูดถึงอัศจรรย์บ้างไหมเนี้ย ตั้งแต่เรียนมา ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 เริ่มต้นมา เขาพูดถึงอะไรตอนนี้ ความรักๆ ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบพระเจ้า ความรักที่สมบูรณ์แบบ การดำเนินชีวิตด้วยความรัก พระเยซูดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักมนุษย์ทุกคน รักคนที่เป็นคริสเตียน และไม่ได้เป็นคริสเตียนเท่ากันทั่วโลก รักคนทั้งหมดทั่วโลก จึงยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิวก็ตาม รักหมดทุกคนเลย สมัยก่อนยิวไม่ชอบคนที่ไม่ใช่ยิว เรียกว่าคนต่างชาติ รังเกียจเขา แต่อาจารย์ยอห์นกำลังบอกว่าถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว รักหมด เหมือนพระเยซูรัก เพราะพระเยซูรักพวกเธอชาวยิว บอกว่ารักมากเท่าไร? พระเยซูก็รักคนต่างชาติที่เธอเกลียดนั่นแหละมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเยซูรักหมด ตอนนี้ เธอต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักอย่างนี้ คือรักคนที่เป็นคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน ก็รักหมดเลย แล้วเธอทำได้ด้วย เพราะฉันเป็นคนใส่ความรักนี้ ลงไปในตัวเธอ ให้เธอเหมือนกับฉัน พยายามดำเนินชีวิตบนโลกนี้แล้ว เอเมน แล้วก็เอาไปทำตาม แล้วมันเกิดไหมล่ะ ท่านรู้อยู่แล้ว อัศจรรย์เกิดไหม? ดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูสิ ต้องมีอัศจรรย์เกิดขึ้น เอาว่ากันไป
พระเยซูดำเนินชีวิตด้วยความรัก แต่เรากำลังบอกว่าเราดำเนินชีวิตด้วยการอัศจรรย์ ท่านคิดดูก็แล้วกัน อาจารย์ยอห์นกำลังบอกว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะถ้าท่านไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านจะอยู่ตรงกันข้าม ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ท่านต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบพระเยซูคริสต์ รักคนทั้งโลก รักคนที่อยู่รอบข้าง และสำคัญที่สุด รักพระเยซู ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ ก็คือคุณไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง คุณอยู่ในความเกลียดชัง ในใจคุณมีแต่ความเกลียดชัง เกลียดชังใคร? เกลียดชังมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตรงกันข้ามเลย คุณอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง แม้ข้างนอก คุณทำตัวเหมือนรักกัน แต่ในใจคุณเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เต็มไปด้วยฆ่า ขโมย และทำลาย ทั้งพระเยซูคุณก็เกลียด ปฏิเสธพระเยซู คุณเกลียดโลกใบนี้ คุณทำอะไรก็หงุดหงิดไปหมด ไม่มีอะไรดีสักอย่าง คุณอยู่ตรงกันข้าม คุณไม่ใช่คริสเตียนนั่นเอง และความเกลียดชังนี้อยู่ภายในคุณ ตรงกันข้ามกับคริสเตียนนะ ความรักอยู่ภายในเรา ความเกลียดชังอยู่ภายในคุณ พระเยซูบอกว่าโลกนี้เกลียดชังเราอย่างไร? โลกนี้ก็เกลียดชังท่าน คือคริสเตียนอย่างนั้น เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกัน ความมืดกับความสว่าง ยอห์น 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 4:17 “ในการได้ (บังเกิดใหม่) เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”
เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ คือเราคริสเตียนเป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย ภายในวิญญาณและจิตใจ โรม 8:29 ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 8:29 “เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จักได้รัก และได้เลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง(บังเกิดใหม่) จนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์”
“เขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้บังเกิดใหม่ จนกระทั่งให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู และได้เข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุด เหมือนพระองค์ ก็คือพระองค์เป็นความรัก ไม่ใช่เกลียดชัง โกรธเคืองกัน ทำร้ายทำลายโลกและมนุษย์ด้วยกันเอง อยู่ตรงกันข้ามกัน แต่เหมือนพระองค์ ก็คือรักมนุษย์ทั้งปวง ด้วยความรักของพระเจ้า
“ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า
ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า
ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”
เราจะเห็นราศีของพระเจ้าไม่ใช่แค่ในชีวิตคริสเตียนอย่างเดียว ถึงแม้เขาไม่ได้เป็นคริสเตียน เราก็เห็นราศีของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขาแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ เขายังไม่ได้มาใช้สิทธิของเขา แต่พระเยซูก็รักเขา พระเยซูมองเขา ตอนที่เขายังไม่เชื่อพระเจ้า ตอนที่เรายังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั้น มองเราอย่างไร? มองเราว่าเต็มไปด้วยราศีของพระเจ้า เราเป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไป เขาก็เป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไปเท่านั้นเอง พูดตรงๆ เราต้องรักเขามากกว่ารักคริสเตียนด้วยซ้ำ แต่นี่มันไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ เขาคือราศีของพระเจ้าที่หลงหายไป เหมือนเราในอดีต พระเจ้าอวยพรครับ
******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ เราเผชิญพรุ่งนี้ได้
เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ ความกลัวสิ้นไป”
แค่เพียงยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ แล้วเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในใจเท่านั้น
ฮีบรู 13:5 … “จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี (คือมีความสุขในทุกสถานการณ์) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน”
พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง พระองค์จะดูแลเอาใจใส่ ประคับประคองเรา
ดังนั้น ให้เราพอใจคือ มีความสุขได้ เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันพอใจแล้ว ฉันได้รับสารพัดทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บนึง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง
เราจึงอดทนรอคอย ที่จะได้รับพระเกียรติสิริ ร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง
โคโลสี 1:27 … “คือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”
ให้เราดำเนินชีวิต ด้วยการตระหนัก รับรู้ความจริงนี้อยู่เสมอว่า …
– พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่ฉันได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้จนถึงโลกหน้านิรันดร์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว
– ขณะนี้พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้
– พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงไม่กลัว
– พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย
– พระคริสต์อยู่ในฉัน และฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันชั่วนิรันดร์
พระเจ้าอวยพรครับ