คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2024
เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”
ตอน 3 “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”
โดย นคร เวชสุภาพร
ซีรี่ย์ “หนังสือ 1 ยอห์น ตอน 3 คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”
1 ยอห์น ตอนที่ 1 คือเรื่อง “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างกายมนุษย์จริงๆ”
1 ยอห์น ตอนที่ 2 คือเรื่อง “พระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”
วันนี้มาถึง 1 ยอห์น ตอนที่ 3 คือเรื่อง “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”
การได้รู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณที่พระเจ้าได้กระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นพระคุณ เขาเรียกกันว่าข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า ที่ได้อภัยในความบาปทั้งปวง ทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต จนถึงนิรันดร์ให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวงเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระคุณ ทำให้เรารู้ความจริงเหล่านี้ รักและระลึกถึงพระคุณของพระองค์อย่างมากมาย ยิ่งรู้มาก ยิ่งระลึกถึงกตัญญูถึงพระคุณของพระองค์มากขึ้น
แล้วถามว่า … “การรู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เราทำบาปมากขึ้นหรือ?”
จากการเรียนรู้เมื่อตอนที่แล้ว ท่านก็สามารถตอบว่า “ไม่ใช่เลย” ไม่ใช่รู้แล้ว ก็ไปทำบาปมากขึ้น คำตอบก็คือมันเป็นไปไม่ได้ เราเรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ตรงนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น ในหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 2 ครั้งที่แล้วที่เราได้เรียนรู้ อาจารย์ยอห์นก็ได้บอกว่าที่ให้ท่านได้เรียนรู้ถึงพระคุณความจริงเหล่านี้ เขียนให้ท่านมารับรู้ซึ่งพระคุณเหล่านี้ของพระเจ้า ไม่ใช่ เพื่อท่านจะไปทำบาป เราได้เรียนรู้ไปแล้วนะ อาจารย์ยอห์นก็ยังบอก ไม่ใช่ เพื่อท่านจะไปทำบาป แต่เขียน เพื่อท่านรู้ แล้วท่านจะไม่ทำบาป ถ้าไม่รู้ ท่านก็ทำบาป ถ้ารู้มาก ท่านก็ทำบาปน้อย ถ้ารู้น้อย ท่านก็ทำบาปมาก นี่อาจารย์ยอห์นพูดเลย
เพราะฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคิดว่ามารู้ความจริงเหล่านี้ พระเจ้าอภัยในความบาปผิดให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ทั้งอดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต อนาคตจะทำอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องถูกลงโทษแล้ว ท่านรู้อย่างนี้ ก็ทำบาปเยอะแยะเลย นี่คิดแบบมนุษย์ แต่ลึกๆ ในวิญญาณ อาจารย์ยอห์นยืนยันตามนี้ และเราก็รู้และยืนยันตามนี้จริงๆ พระเยซูตรัสว่าได้มาก ก็ให้มาก รู้ถึงพระคุณมาก ก็สามารถให้ได้มาก รู้ถึงพระคุณว่าพระองค์ทรงกระทำให้กับเรามาก ก็กตัญญูมาก รู้น้อย ก็กตัญญูน้อย พระเยซูตรัสเช่นนั้น ตอนที่เดินสอนอยู่บนโลกใบนี้ รู้ถึงพระคุณความรักของพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ เลย จากการเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย พอเรารู้ตรงนี้ปุ๊บ เราจะไม่ทำบาป
ซึ่งถ้าไม่รู้ เราก็นึกว่าเราได้พระคุณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เราเป็นคนดีเอง เราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเพิ่มเติมขึ้น เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักเราดีครึ่งหนึ่งด้วย แล้วเราก็คอยชี้นิ้วคนอื่นว่าคนอื่นทำไม่ค่อยดีเลย เราดีกว่า เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ ก็จะทำบาปมากขึ้นกว่าคนที่รู้พระคุณของพระเจ้า
เพราะฉะนั้น การสอนเรื่องความจริงเรื่องพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ อย่างที่เรากำลังเรียนรู้จากอาจารย์ยอห์นเหล่านี้ คือการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของมวลมนุษยชาติ รวมทั้งตัวเราด้วยที่รับรู้และรับเชื่อแล้ว เป็นการอภัยโทษบาปทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเยซูได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว สำเร็จแล้ว มันไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้คริสเตียน ผู้เชื่อทำบาปมากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน แต่มันเป็นการเน้นถึงพระคุณความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลัง เป็นความหวังให้กับคริสเตียน หรือผู้เชื่อทั้งหลาย ให้เราดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องตามความจริง
ความจริงจะเป็นฤทธิ์เดชอำนาจจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทจากการถูกล่อลวงของมาร ให้เรายอมให้มันนำไปทำบาป เอเมนไหม? เหมือนกับตอนนี้ เขาเอาความจริง การหลอกลวง ล่อลวงของมิจฉาชีพในโซเซียสมีเดียมาเปิดเผยความจริงให้เรารู้ เรารู้มากเท่าไร? เราก็ถูกหลอกน้อยเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้ เรารับโทรศัพท์ แล้วก็ทำตามเขา ก็ถูกหลอก ก็เหมือนกัน ไม่มีผิดเลย
พระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ ในทิตัส 2:11-12 ดูพระคัมภีร์นิดหนึ่ง …
ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”
ชัดเลยนะ “เพราะพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป” เพราะพระคุณนี้ เราจึงเป็นอิสระ รู้ถึงพระคุณมากเท่าไร? ก็เป็นอิสระมากเท่านั้น พระคุณนี้ ก็คือความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว รู้มากเท่าไร? พระคุณนี้จะสอนเรา อ่านชัดๆ ในข้อ 12 พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป เห็นไหม? ไม่ใช่พระคุณนี้ สอนให้เราฝึกฝนและสบายใจในการทำบาป ไม่ใช่ ให้เราปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา ก็คือไม่ทำตามการหลอกลวง อิทธิพลของบาป ที่ยังครอบอยู่บนโลกใบนี้ ทำอย่างนี้ เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติสมกับความเป็นจริง คือสมกับการที่ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์แล้ว รู้มากเท่าไร? ยิ่งทำบาปน้อยเท่านั้น พระเยซูจึงฝึกสอนเราในแต่ละวัน เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา พระวิญญาณนี้คอยเป็นพี่เลี้ยงเราด้วยความรัก ดูแล เลี้ยงดูเรา ทนุถนอมเราดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะลูกของพระเจ้า น้องๆ ของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เรียบร้อยแล้ว จากการทำงานสำเร็จของพระองค์บนไม้กางเขน
การสอนความจริงที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการอนุญาตให้ทำบาป แต่เป็นการสอนให้ปฏิเสธการทำบาป และดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ที่คริสเตียนได้เป็นอยู่แล้วภายใน เอเมนไหม?
พระคัมภีร์กล่าวไว้ในหนังสือเอเสเคียลอย่างนี้ ดูสิว่าพระเจ้าทำอะไรให้กับเราบ้าง? ชีวิตเราเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดี รู้ความจริงเหล่านี้ แล้วรับเอาความจริงเหล่านี้แล้ว มันเกิดอะไรขึ้น เอเสเคียล 36:26-27 …
เอเสเคียล 36:26-27 “พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
และสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ว่า “เราจะ” ก็คือ … “เราสัญญาว่าจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า จะขจัดใจหินออกไปจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ และเราสัญญาว่าจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
ฟังดีๆนะ นี่สัญญาไว้ แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จแล้ว พระเยซูตรัสบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว หลังจากที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้วตามสัญญา เราได้ใส่วิญญาณนี้ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้าได้กระทำตามสัญญา คือพระเจ้าได้ใส่ใจใหม่ ใจเนื้อ ใจที่เชื่อฟังแทนใจเก่าที่เป็นคนบาป ดื้อด้าน เหมือนหิน กลายมาเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เอเมน
เมื่อผู้ใดเชื่อ ก็คือเมื่อเขาคนนั้น หรือเราได้รับพระคุณพระเจ้า เราได้รับใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่ทำให้เรามีความปรารถนาในใจ ที่จะดำเนินชีวิตตามธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ของเรา พระคัมภีร์จึงยืนยันว่าเราเป็นอิสระจากกฎอะไรต่างๆ ที่เขาบอกว่าให้ทำโน่นทำนี่ เราดำเนินชีวิตด้วยใจใหม่ และวิญญาณใหม่นี้ต่างหาก โรม 10:4 ได้บันทึกอย่างนี้ …
โรม 10:4 “เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อในพระคริสต์ได้รับความชอบธรรม”
เราคริสเตียนผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติต่อไป บทบัญญัติท่านอาจจะคิดถึงโมเสส แต่อยากจะบอกว่าบทบัญญัตินี้ ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเองนั่นเอง เมื่อเป็นคริสเตียน เราเป็นอิสระจากกฎเหล่านี้ แต่เราอยู่ภายใต้กฎใหม่ ซึ่งเรียกว่ากฎพระคุณของพระเจ้า ซึ่งทำให้เรามีความปรารถนา ที่อยู่ในใจใหม่ของเรา ที่จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ก็คือดีเหมือนพระเจ้า
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าการสอนความจริงเรื่องพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ว่าเรามีใจใหม่แล้ว เรามีวิญญาณใหม่แล้ว เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย พระเยซูคริสต์กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน การรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่เป็นการส่งเสริมให้เราทำบาป แต่เป็นการเน้นถึงความรักของพระเจ้า และความเมตตาของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ทำให้เราดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง และฝึกฝนในการประพฤติปฏิบัติดีในชีวิต ตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ข้างใน ปฏิเสธการถูกล่อลวง โดยมารที่อยู่บนโลกใบนี้ให้เราทำบาป มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก และถ้าเราคริสเตียนไม่สนใจล่ะ ไม่สนใจถึงพระคุณนี้ ยังคงดื้อ ไม่ยอมเข้าใจในความจริงนี้ เมื่อไม่เข้าใจในความจริงนี้ รู้ไม่หมด ก็จะปฏิเสธความจริงนี้ ก็ไม่เป็นอิสระ ก็ถูกหลอกนั่นเอง
ถูกหลอกให้ไม่เข้าใจพระคุณของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐแห่งพระคุณนี้ เราก็เสียโอกาส ทำให้เสียหาย โดยการไม่เข้าใจถ้อยคำของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เมื่อไม่เข้าใจ ก็ไม่เชื่อ แปลความหมาย ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ โดยใช้ความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ คือของตนเอง นั่นเอง มันก็เกิดการขัดแย้งกันขึ้น เช่น ตีความข้อความ แทนที่จะตีตามบริบทของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เขียนว่าบริบทนี้ ในข้อความนี้ มันหมายถึงใคร? ไม่ได้หมายถึงตัวเรา หรือหมายถึงตัวเรา ก็เหมาเอาว่ากำลังพูดถึงเรา ก็เลยปฏิบัติตาม เช่น พระคัมภีร์เขียนถึงคนที่ไม่เชื่อ แต่เราก็เอามาใช้ เป็นคนที่เชื่อ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้จริงๆ แต่เขากำลังเขียนให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ เขาพูดถึงคนที่ไม่เชื่อ เราเชื่อแล้ว ไม่เกี่ยวกันแล้ว เราก็ดันทุรังว่าเขียนถึงเรา เราก็เอามาใช้ แล้วก็เอาไปสอนต่อว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องทำอย่างนี้
อย่างเช่น อาจารย์ยอห์นยกตัวอย่าง ใน 1 ยอห์น 1:9 อ่านทวนหน่อย เราเรียนรู้ไปแล้ว …
1 ยอห์น 1:9 “ถ้าเรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนนรับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง”
ถ้อยคำของพระเจ้าตรงนี้ มีไว้สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ใช่ไหม? เราได้เรียนรู้ไปแล้ว พูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ปฏิเสธข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธพระเยซู แต่ผู้ที่เชื่อแล้วบางคนก็หลง ถูกหลอก ไม่เข้าใจความจริงที่แท้จริง ก็เอาไปใช้กับตัวเอง เพราะว่าเขาสอนมาอย่างนี้ นี่มันถ้อยคำพระเจ้า มันจริงๆ นะ ก็เลยถูกหลอก นึกว่ากำลังพูดกับตัวเขาเอง ซึ่งเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็เลยปฏิบัติตาม เดี๋ยวจะพาไปดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปฏิบัติตาม แล้วเกิดผิดพลาดอะไร? ทำไมมารถึงมาหลอกตรงนี้ เพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้ไม่รู้ความจริง เพื่อลูกของพระเจ้าบนโลกใบนี้จะไม่รู้ความจริง ก็ทำตาม ก็คืออธิษฐานซ้ำบ่อยๆ ขอการอภัยโทษจากบาปบ่อยๆ เมื่อทำผิดบาปไป
พระคัมภีร์บอกแล้วนะ อาจารย์ยอห์นบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ได้ยกโทษอภัยบาปทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไปจนถึงนิรันดร์ ไปจนหลังความตาย ก็ยกโทษไปหมดแล้ว คริสเตียนทำบาปเมื่อไร ก็ถูกลบออก โดยออโตเมติก โดยอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รู้ความจริง ก็อธิษฐานขอยกโทษบาปซ้ำเดิมๆ เพราะไม่รู้ความจริงว่าพระเจ้าให้อภัยหรือยัง? ที่ทำไปเมื่อวาน ที่ไปโกหกชาวบ้านเขา ไปโกงชาวบ้านเขา ไปทำอะไรไม่ดีไว้ พระเจ้ายกโทษหรือยัง? นึกออกใช่ไหม? มันก็เกิดปัญหาขึ้น พออธิษฐานซ้ำไปมากๆ ทุกวัน เกิดความเชื่อ เชื่อว่าบาปยังไม่หมด ต้องสารภาพทุกวัน ตอนแรกๆ สารภาพแต่ตอนเช้าอย่างเดียว ตอนหลังต้องสารภาพบ่ายด้วย และกลางคืนก่อนนอน กลัวลืม เพราะมันอยู่ข้างใน ความคิดมันถูกหลอก
ถูกหลอกถึงขนาดว่าถ้าเราสารภาพไป แล้วเกิดมีคนมาถามผม ถ้าเกิดเราสารภาพไปๆ อันไหนลืมสารภาพ เกิดตายกะทันหันขึ้นมา ทำอย่างไร? นึกภาพออกไหม? ตายกะทันหันยังไม่ได้สารภาพเลย มาถามว่าคริสเตียนคนนั้นเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดอุบัติเหตุทันทีทันใด ในการเดินทาง ตกเครื่องบินตาย เขาไปอยู่กับพระเจ้าหรือเปล่า? เขาได้รับความรอดไหม? นี่ไง มันก็เป็นอย่างนี้ เขาจะรอดหรือไม่?
“ฉันจะรอดหรือเปล่า?” หรือ “ฉันไม่รอด”
“หลังความตายฉันจะไปอยู่ในสวรรค์หรือไม่ได้อยู่”
ก็เกิดความกังวลและกลัวในชีวิตคริสเตียน ซึ่งควรจะเป็นอิสระ กลายเป็นความกลัว ซึ่งความจริงในข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ ใน 1 ยอห์น 1:9 นี้ กำลังเขียนถึงคนที่ยังไม่เชื่อ อาจารย์กำลังจะบอกว่าคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้เชื่อนะ ถ้าเขายอมสารภาพว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการการช่วยเหลือ ยอห์นบอกว่าให้เขามาได้เลย พร้อมสำหรับเขา ยอห์นกำลังเชื้อเชิญผู้ที่ยังไม่เชื่อ ผู้ที่ยังไม่ได้รับความจริงของพระเจ้า ผู้ที่ยังปฏิเสธพระเยซูคริสต์อยู่ ให้เขายอมจำนนต่อความจริงว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยท่านได้ ให้พ้นบาป ลบล้างบาปให้กับท่านได้ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตไปถึงนิรันดร์เลย ให้ท่านมาใช้สิทธิของท่าน พระเจ้ารักท่าน รักคนทั้งโลก และอภัยบาปให้กับคุณเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ที่ท่านยังไม่เกิด ให้มารับสิทธิของท่านเสีย
อาจารย์ยอห์นไม่ได้เขียนเรื่องนี้ พูดเรื่องนี้กับคนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว เพื่อให้คริสเตียนประพฤติ ปฏิบัติตามนี้ ต้องสารภาพอยู่นั่นแหละ และก็เกิดความกลัว อย่างที่ตะกี้นี้บอก เพราะยิ่งอธิษฐานสารภาพบาปอย่างนี้เท่าไร? เกิดอะไรขึ้น? เดี๋ยวจะพาไปเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะยิ่งอธิษฐานสารภาพบาป สารภาพความผิดที่ได้กระทำไปมากขึ้นเท่าไร? ยิ่งเพิ่มความไม่เชื่อมากขึ้น แทนที่จะเชื่อการเป็นอิสระ การลบบาปจากพระเยซูคริสต์ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นเพิ่มความเชื่อว่าตัวเองยังเป็นคนบาป
ก็คือแทนที่จะเชื่อว่า … “พระเยซูแบกรับบาปของฉันไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขนหมดไปแล้ว”
ก็กลายเป็น … “ฉันต้องมาแบกรับบาปด้วยตัวฉันเองอยู่เลย”
ถูกหรือไม่ถูก? มันแบกไว้ มันเหนื่อย เพิ่มความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนสกปรกอยู่ มีมลทินอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่เลย แย้งกับถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมดเลย ซึ่งเท่ากับการกล่าวหาว่าพระเยซูโกหก ที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่าทำสำเร็จแล้ว โกหก พระเจ้าทำตามสัญญาแล้ว ไม่จริง การสารภาพบาปของคริสเตียน มีความหมายว่าอย่างนั้น ยิ่งสารภาพบาป ก็เท่ากับยิ่งกลัวการสูญเสียความรอดมากเท่านั้น ยิ่งอธิษฐาน ยิ่งกลัว เพราะฉะนั้น หลังความตาย ยิ่งกลัวใหญ่ว่าจะรอดหรือไม่? และข้อสำคัญ คือการอธิษฐานสารภาพบาปอย่างนี้ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว สารภาพ การกระทำบาปบนโลกนี้ นิดหน่อย ก็จริง แต่คิดให้ดีๆ สิ มันเท่ากับเรากำลังทำบาป พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เราบอกไม่สำเร็จ พระเยซูบอกให้แล้ว เราบอกยังไม่ให้ ถ้าให้ แล้วเราจะมาขอทำไม? ยังกังวลเรื่องการทำบาป อย่างนี้เป็นต้น
เราไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีบอกว่าพระเยซูได้แบกรับบาปทั้งสิ้น ทั้งมวล ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว หมดเกลี้ยงแล้ว เกลี้ยงตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนท่านจะเกิดอีก ท่านได้รับการลบบาปไปหมดแล้ว ท่านไม่เชื่อในข่าวดีทั้งหมด ก็เท่ากับกำลังทำบาป แล้วท่านก็มานั่งคิดตอนนี้ว่าอ้าว? คริสเตียนทำบาป แล้วทำอย่างไร? คริสเตียนทำบาปทุกคน บาปเล็กบาปน้อย พระเจ้าถือว่าบาปทั้งสิ้น จะฆ่าคนตาย หรือด่าเขาว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า หรือหงุดหงิดใส่เขา เครียดใส่เขา โกรธเขา มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย บาปทุกคน ชี้นิ้วไป เข้ามา เราทำบาปกันทุกคน แต่พระเยซูคริสต์ พระโลหิตของพระองค์ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต 2,000 ปีแล้ว ตอนนี้ทำบาปปุ๊บ ก็ถูกลบล้างออกหมดสิ้น เราเป็นอดีตคนบาป และปัจจุบันไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว แต่ยังทำบาปอยู่ แต่บาปที่ทำนั้น ได้ถูกยกโทษเรียบร้อยไปแล้ว ไปจนถึงนิรันดร์เลย เอเมน
แล้วคริสเตียนทำบาป แล้วทำอย่างไร? หัวเราะหรือ? อ้าว! ทำบาป แล้วทำยังไง? ท่านก็คงคิด ทำอย่างไร? ก็คือขอกำลังจากพระเจ้า ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ขอการนำจากพระเจ้า เพราะในใจท่านไม่อยากจะทำอีกแล้ว แล้วทำอะไร? ขอบคุณพระเจ้าในการอภัยโทษบาปให้แล้ว ตรงนี้แหละสำคัญ ทำทุกครั้งให้มีความรู้สึกว่าขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงยกโทษบาปให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันฝืนกับความคิดของมนุษย์ที่โลกใบนี้ สติปัญญาบนโลกใบนี้ เฮ้อ! ทำบาป แล้วยังมาขอบคุณพระเจ้าอีก สบายใจ เราเรียนรู้แล้วนะ พระคุณสอนเราให้กตัญญู ให้มีพลังในการปฏิเสธการหลอกลวงให้ทำบาป ต่างกันเยอะ เห็นไหม? ฉะนั้น เราก็ขอกำลัง ขอสติปัญญา การนำจากพระเจ้า แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าบ่อยๆ ในการอภัยโทษบาปผิดให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต 2,000 ปีมาแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย มันฝืนไหม? ฝืนมากเท่าไร? ก็เท่ากับของเก่าเราถูกหลอกมากเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้น เราทำอะไรได้อีก ขอกำลังจากพระเจ้า ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ขอการนำจากพระเจ้าและสามารถที่จะสารภาพบาป อยากสารภาพบาปใช่ไหม? ได้ สารภาพบาปกับใคร? ไม่ใช่พระเจ้า สารภาพบาปกับเพื่อนของเรา ที่เป็นคริสเตียนด้วยกัน ที่สนิทสนมกัน สามารถไว้ใจเขาได้ และเข้าใจเราได้
“เราทำอันนี้ไป ในพระคัมภีร์บอกให้เราอธิษฐาน ถ้าเราทำผิดพลาดไป ให้เราอธิษฐานกับพี่น้อง”
มันเหมือนกับการชำระความคิด ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า CBT คือการบำบัดทางความคิด ไปโรงพยาบาลได้ ไปหาหมอที่เชี่ยวชาญในด้านการบำบัดทางความคิด เขาก็จะมาบอกว่าเราคิดอย่างนี้ๆ ไม่ถูก เพื่อนที่เราไว้ใจได้ เขาก็จะบอกเราคิดให้ถูกต้อง อันดับแรก เพื่อนเราก็จะบอกว่าไม่ต้องห่วง พระเจ้าอภัยให้เสมอ ตลอดเวลา นี่คือไว้ใจได้ หมายถึงอย่างนี้ ไว้ใจได้ ไม่ใช่ แค่เก็บความลับของเราเท่านั้น ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว แต่หมายถึงเขาเข้าใจในเราว่าไปทำแบบนี้ อย่างนี้มา เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะลงโทษเธอ อย่างนี้ตายแน่ ไม่ได้รับการรักษาแน่ ไม่ใช่ CBT คือปรับความคิดให้
“คิดอย่างนั้นไม่ได้นะ เธอต้องคิดใหม่แล้ว เธอได้รับการอภัยโทษเรียบร้อยแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น เรามานั่งคิดกัน เรามาอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยกัน ให้พระเจ้าทรงนำ ให้มีสติปัญญา”
นี่อย่างนี้สารภาพบาปได้ ไม่ใช่สารภาพกับพระเจ้า แล้วสารภาพกับใครได้อีก? อันนี้ ชัดเลย ผมสังเกตเห็นชัดมาก แทนที่จะสารภาพบาปกับพระเจ้า สารภาพบาปกับมนุษย์สำคัญกว่าเยอะ บ่อยๆ ได้เลย สารภาพบาปกับพระเจ้าไม่ต้องแล้ว ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว แต่กับมนุษย์ สารภาพบาป ขออภัยกับมนุษย์ผู้ที่เราทำให้เขาเสียหาย ผู้ที่เราไปละเมิดสิทธิ์เขา ทีอย่างนี้ไม่รู้จักคิดทำ พูดถึงตัวเองนะ ไม่ได้ว่าท่านนะ ทีอย่างนี้อายที่จะทำ ไม่อยากจะทำ นี่ถูกหลอกขนาดไหน? ทีสารภาพบาปกับพระเจ้า
“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”
พระเจ้าบอก … “ยกโทษให้แล้ว เธอไปหาคนนั้น คนนั้นเขายังไม่ยกโทษให้เธอ”
แล้วไปไหม? ไม่ไปหรอก ก็เขาสมควรได้รับอย่างนั้นแล้ว เขาคงไม่ให้อภัยแล้ว หรืออะไรต่างๆ ก็หาข้ออ้างต่างๆ ที่จะไม่ไปทำ
สารภาพบาป แสดงความเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป อย่างนี้สามารถทำได้กับพระเจ้าแล้ว แทนที่จะสารภาพบาป ขออภัย
“พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ลูกเครียดเกินไป ลูกเลยตวาดเขา ลูกเสียใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้ ลูกจะไปขอโทษเขา ให้เขายกโทษให้”
อย่างนี้ควรทำ ในทำนองอย่างนี้ ทำได้อีกหลายๆ อย่าง ยกเว้นอย่างเดียวที่ไม่ควรทำ คือการสารภาพ ขออภัยโทษจากพระเจ้า ในบาปที่กระทำไปอีก เพราะว่าได้รับการอภัยไปเรียบร้อยแล้ว โดยการงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา
โอเคไหม? โอเคเลย ชัดเจนมาก หวังว่าคงไม่มีใครสารภาพบาปกับพระเจ้าอีกแล้วนะ หันพุ่งไปสารภาพบาปกับใคร?
มาต่อในวันนี้ ต่อบทที่ 2 เป้าหมายของหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 1 บทที่ 2 ที่เราขุดหาความจริงเหล่านี้ คืออาจารย์ยอห์นยืนยันการเป็นพระเมซิยาห์ของพระเยซูคริสต์ ที่มาลบล้างบาปทั้งปวงให้กับมนุษย์ทุกคนทั้งโลก ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิวด้วย ทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน
อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นถึงสถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ทั้งที่เป็นคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างเด็ดขาด 100% เลย ระหว่างคนที่เป็นคริสเตียน ผู้เชื่อกับผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้ที่ปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระมาซิฮาห์ ก็คือไม่ได้เป็นคริสเตียน อยู่ตรงกันข้ามกัน ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระเมซิยาห์ นี่พูดกับยิวชัดๆ เลย จริงๆแล้ว ในหนังสือยอห์นจะพูดตรงไปกับคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ที่เป็นชาวยิวซะส่วนใหญ่ พูดในลักษณะที่ชาวยิวควรจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ มากกว่าคนต่างชาติ ชาวยิวที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ พอบอกพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ คนยิวเขาจะเข้าใจคำนี้เลยว่าก็คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ คือพระบุตรของพระองค์ ที่จะมาช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดพ้นจากความบาปผิด มนุษย์ทั้งปวง นี่คือความรู้ของชาวยิว
อาจารย์ยอห์นจะชี้ให้เห็นถึงถ้าเป็นคริสเตียนจริง ถ้ามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ แล้ว เขาเรียกว่าคริสเตียน เราเรียกกันว่าคริสเตียน อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้ามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้ใช้คำว่าคริสเตียนหรอก เพราะถ้าคุณเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ มีสถานะในวิญญาณของคุณ จะอยู่ในความสว่างแล้ว จะอยู่ในความจริง จะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในความบริสุทธิ์ อยู่ในความรักของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่คุณบอกว่าคุณมายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คุณเชื่อแล้ว แต่สถานะทางวิญญาณคุณยังอยู่ในความมืด อยู่ในความเท็จ อยู่ในความบาป อยู่ในความเกลียดชัง ตรงกันข้ามเลย ไม่มีย้ายไปย้ายมา ไม่มีอย่างละครึ่ง ถ้าคุณยังไม่เชื่อ คุณก็อยู่ในความมืด ในความเท็จ ในความบาป ในความเกลียดชัง ถ้าคุณเชื่อ คุณอยู่ในความสว่าง อยู่ในความบริสุทธิ์ อยู่ในความรักของพระเจ้า แน่นอน 100% ไม่มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแล้ว มนุษย์ทุกคนสามารถเปลี่ยนได้แค่ครั้งเดียว ก็คือยังไม่เชื่อ เปลี่ยนมาเป็นเชื่อ จบ
เรามาเริ่มต้นวันนี้ 1 ยอห์น บทที่ 2 ครั้งที่แล้วเราจบลงที่ 1 ยอห์น 2:2 วันนี้มาต่อข้อ 3 …
1 ยอห์น 2:3 “ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์”
บัญญัติหรือคำสั่งของพระเยซูคืออะไร? ท่านคิดถึงอะไร? ส่วนใหญ่ที่อ่านอย่างนี้ปุ๊บ ก็คิดถึง นี่เฉพาะชาวยิวนะ ชาวยิวเขาได้ฟัง บัญญัติ คำสั่งของพระเยซู พอบอกบัญญัติ คำสั่งของพระเจ้า ก็คือบัญญัติ ที่พระเจ้าได้ประทานให้โมเสสเขียนขึ้นมา ก็คือกฎระเบียบ 613 ข้อ เขาก็จะคิดอย่างนี้แหละ และถ้าเราไม่ใช่ชาวยิว เราปรับเอามาใช้กับเราว่าถ้าเราเป็นคริสเตียน พระเยซูบอกว่าให้รักษาบัญญัติของพระองค์ บัญญัตินั้นคืออะไร? เราไม่ได้เกี่ยวกับชาวยิว แล้วเราไม่ได้เกี่ยวกับ 613 ข้อนี้ แล้วบัญญัตินี่คืออะไร? บัญญัตินี้ ก็คือกฎแห่งการกระทำ คือการพึ่งการกระทำของตนเอง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และก็ไม่มีใครทำดีได้หมด ทำบาปแน่นอน อยู่ในบาป พึ่งพาในตนเอง ก็คิดถึงตรงนี้แน่นอน เดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าอาจารย์ยอห์นว่าอย่างไร? ยอห์น 13:34 ฟังพระเยซูพูดเองเลยว่าบัญญัตินี้คือบัญญัติ 613 ข้อหรือ? สำหรับชาวยิวนะ แต่สำหรับเราที่ไม่ใช่ชาวยิว บัญญัตินี้หมายถึง 217 ข้อของศาสนาหรือ? หรือ 80 ข้อของความเชื่ออย่างนี้หรือ? หรือต้องอะไร? ยอห์น 13:34 พระเยซูตรัสอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่ เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”
เราผิดแล้วหรือเนี้ย? ไม่ใช่ 613 ข้อ นี่คือคนยิวตกใจ คนยิวชัดเลย พอฟังพระเยซูพูด พอบอกว่ารักษาบัญญัติ ต้องรับ 613 ข้อ พระเยซูมาให้กำลังกับเรา รักษาได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เราเคยทำไม่ได้ เราเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราเคยโกหกชาวบ้านเขา ตอนนี้พระเยซูจะช่วยเราไม่ให้โกหก เราเคย เขาตบหน้ามาข้างขวา เราตบข้างซ้ายใส่เขาเลย เขาชกเรา เราชกกลับเลย แต่พระเยซูบอกว่าเขาชกมา อย่าให้เราชกตอบ เราทำไม่ได้ พระเยซูช่วยเรามั้ง เราคิดอย่างนั้น แบบมนุษย์ แต่ไม่ใช่ เพราะเราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียว แสดงว่าข้อเดียว ข้อนั้นคืออะไร? ยอห์น 14:15 …
ยอห์น 14:15 “ถ้าพวกท่านรักเรา พวกท่านจะเชื่อฟัง สิ่งที่เราบัญชา”
“เชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา” พระองค์บัญชาไว้ว่าอย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่านรู้แล้ว คือ “ท่านรักกันและกัน” สิ่งที่พระองค์บัญชา สิ่งที่พระองค์สั่งข้อเดียว คือรักซึ่งกันและกัน ถ้าท่านเกลียดชัง ปฏิเสธ เป็นศัตรูกัน หรือศัตรูกับเรา ไม่ยอมรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ได้บังเกิดใหม่ พวกท่านก็จะไม่เชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา คือไม่รักซึ่งกันและกันนั่นเอง เป็นตรรกะเลย ความหมายของข้อนี้ อย่างลึกๆ ก็คือถ้าพวกท่านได้บังเกิดใหม่ “ถ้า” อีกแล้วนะ ถ้าพวกท่านได้บังเกิดใหม่ เชื่อในเรา ไม่ปฏิเสธเรา ถูกไหม? เหมือน 1 ยอห์น 1:9 ถ้าท่านสารภาพว่าท่านเป็นคนบาปนะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพวกท่านได้เชื่อในเรา ได้บังเกิดใหม่ในเรา เป็นความรักเหมือนเรา พวกท่านจะเชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา คือรักซึ่งกันและกัน และรักคนทั้งโลก เหมือนเราที่รักคนทั้งโลก ท่านจะสามารถทำได้ ถูกไหม?
ท่านสามารถเชื่อฟังและรักเราได้ เพราะได้รับการบังเกิดใหม่ และท่านได้อาศัยอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านมีวิญญาณใหม่ ท่านเป็นคนใหม่แล้ว นั่นมันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาให้เรามีภาระต้องทำ รักษาบัญญัตินี้ รักคนอื่น เหมือนรักตนเอง เดี๋ยวฟังต่อไป เพราะว่าพระองค์กำลังบอกว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ พระองค์แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นวิญญาณที่มีลักษณะเป็นความรักเหมือนพระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ให้เราแบ่งปันความรักนี้ ที่เหมือนพระเจ้านี้ ให้แก่คนอื่นๆ รอบข้างทั้งหมดทั้งโลกเลย อย่างเป็นธรรมชาติจากวิญญาณใหม่ ใจใหม่ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น อย่างนี้ ไม่ได้พึ่งพาตนเองอีกแล้ว 1 ยอห์น 3:23 พระองค์ทรงย้ำยืนยันตรงนี้ว่า …
1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลาย วางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติ (ใส่) ไว้ (ในใจ) แก่เรา”
ย้ำอีกแล้ว “และนี่เป็นพระบัญญัติใหม่ บัญญัติเดียวของพระองค์” บัญญัติเดียว แปลว่ามีกฎเดียว กฎนั้นคือ “ให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ก็คือให้เราที่ยังไม่เชื่อ สารภาพบาปต่อพระองค์ วางใจในพระเยซูว่าช่วยเรา ผู้เป็นคนบาปได้ ซึ่งเราทำไปแล้ว คริสเตียนทุกคน ไม่เป็นคริสเตียนก็ต้องทำตามนี้ กำลังพูดกับยิว ที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ยิวที่เชื่อแล้ว เขาก็ทำไปแล้ว วางใจไปแล้ว ยิวที่ยังไม่เชื่อ ก็คือท่านต้องสารภาพบาป และวางใจว่าพระองค์เป็นเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ เป็นผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ มาช่วยเหลือท่าน และมนุษย์ทั้งโลก วางใจในพระเยซูคริสต์และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติเอาไว้ ภาษาเดิมตรงนี้ คือใส่ไว้ในใจ บัญญัตินี้ใส่ไว้ในเรา ก็คือรัก ดำเนินชีวิตด้วยใจ ด้วยความรักที่เป็นพลังงาน อำนาจของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า ก็คือตัวของพระเจ้าเองอยู่ในเราแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ให้เราทำตามตรงนี้
ความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของเราอยู่แล้ว เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ โดยการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เชื่อตามนี้ ก็จะได้สิ่งเหล่านี้ เราก็แค่ฝึกฝน ปลดปล่อยให้ธรรมชาติของความรักนี้ฉายแสงออกมา เป็นความประพฤติทีหลัง เท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้ผู้อื่นรอบข้าง เหมือนที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว
เพราะฉะนั้น รู้ความจริงในเรื่องพระคุณอย่างนี้มากเท่าไร? ก็สามารถแบ่งปันออกไปได้มากเท่านั้น รับพระคุณไปมากเท่าไร? ก็สามารถเอาไปใช้สอยได้มากเท่านั้น สมมติ พระคุณเป็นเงิน 100 บาท ถ้าท่านรับได้ 50 บาท ท่านก็จะไปแบ่งคนอื่นได้แค่ 50 บาท แต่ถ้าท่านรับมาครบเลย รู้หมดเลย 100 ท่านก็สามารถแบ่งคนอื่นได้ 100 บาท ท่านรู้มาแค่ 50% ท่านก็สามารถรักพี่น้องที่เป็นคริสเตียนได้เหมือนกัน อย่างที่เรากำลังทำอยู่นี้ แต่ถ้าท่านรู้มากขึ้นให้ครบ 100 เยอะขึ้น อาจจะไม่ครบ 100 แต่อาจจะได้มากขึ้น ท่านก็จะสามารถรักพี่น้องที่เป็นคริสเตียน และรักคนอื่นที่ไม่ใช่คริสเตียนได้ เพราะว่าความรักนี้ เป็นความรักที่รักคนทั้งโลก ทั้งที่เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว และทั้งที่ไม่เป็นคริสเตียน เพราะว่าเป็นความรักของพระเยซูที่มีต่อโลก พระองค์ทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อประทานให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ได้รับความรอด มนุษย์ทั้งปวง แปลว่ามนุษย์ทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
ซึ่งความรักนี้ บัญญัตินี้ รักษามันไม่เป็นภาระเลย ไม่เหนื่อยเลย เพราะมันเป็นธรรมชาติของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนลูกปลา เป็นปลาก็ฝึกว่ายน้ำตามธรรมชาติ เป็นนกก็ฝึกฝนบินตามธรรมชาติ เป็นงูก็ฝึกฝนเลื้อยตามธรรมชาติ เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่ ก็ฝึกฝนความรัก เป็นธรรมชาติ ให้รู้ว่าเราเป็นความรัก 1 ยอห์น 5:3 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 5:3 “การรักพระเจ้า คือการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า และพระบัญชาของพระองค์ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง”
อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เขาแปลอย่างนี้ว่า “การรักพระเจ้า คือการเชื่อฟัง ประพฤติตาม โดยการดำเนินชีวิตด้วยความรัก และการรักซึ่งกันและกัน ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่เป็นภาระ”
ก็แสดงว่าไม่มีบัญญัติสิ พระเยซูบอกบัญญัติของเรา คือรักกันและกัน แล้วก็เอาความรักใส่ในใจของท่าน สรุปแล้ว ไม่ได้แบกอะไรเลย เป็นกางเขนที่พระเยซูเป็นผู้แบก เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเยซูจึงบอก … “ใครมีความทุกข์และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข” ก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ต้องแบกกางเขนของเราเอง ทำครั้งเดียว แบกกางเขนของเราเอง เดินไปที่กลโกธา ไปตายพร้อมพระเยซูบนไม้กางเขน ก็คือเชื่อในพระเยซู และได้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ จบจากการทำตามบัญญัติ กฎแห่งกรรม มาพึ่งพระเยซู เป็นพระคุณชัดเจน
การรักษาพระบัญญัติของพระคริสต์ ก็คือการจดจ่อความคิดจิตใจของเรา ไปที่ความรักของพระคริสต์ ที่อยู่ภายในเรา
เอาใหม่อีกที … การจะรักษาบัญญัตินี้ ไม่ใช่รักษาบัญญัติกฎเกณฑ์ เหมือนสมัยก่อนที่เรารักษากฎเกณฑ์ของโมเสส หรือกฎเกณฑ์ของศาสนา หรือกฎเกณฑ์ของความเชื่อ กฎเกณฑ์ของสังคม เยอะแยะไปหมด ประเพณี ไม่ใช่ การรักษาบทบัญญัติของพระคริสต์ คือการจดจ่อความคิดจิตใจเราไปที่ความรักของพระคริสต์ ที่พระองค์ใส่ลงมาอยู่ในวิญญาณ อยู่ในจิตใจของเรา จิตใจใหม่นี้ นี่แหละ คือการรักษา ไม่ใช่การพยายามทำสิ่งที่ดีสิ่งที่งาม ไม่ใช่ว่าสิ่งดีงามไม่ดี แต่กำลังพูดถึงต้นเหตุ เนื้อแท้ๆ ของเรื่องนี้ คืออะไร? จะทำให้สำเร็จ ความจริง คืออะไร? หมายถึงอย่างนั้นมากกว่า
ความจริง ก็คือการรักษาบทบัญญัติของพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าบทบัญญัติใหม่นี้ คือการจดจ่อความคิดจิตใจเรา ไปที่ความจริง คือความรักของพระคริสต์ อยู่ภายในเรา จดจ่อ เพื่อปฏิบัติตามธรรมชาติของวิญญาณของเราที่ได้รับความรอดแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว สำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน
เป็นความรักที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว จึงประพฤติความรัก ก็คือให้ความรักออกมา โดยการประพฤตินั่นเอง เหมือนพระเยซู คิด ระลึก เฝ้าภาวนาความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา ก็คือการรักษาบทบัญญัติของพระคริสต์ ไม่ใช่เฝ้าคิดแต่ว่าทำอย่างนี้เรียกว่าดี การไปช่วยเหลือเขาตอนที่เขาลำบาก อย่างนี้ เราต้องรักษาอย่างนี้ ไม่ใช่เบอร์หนึ่งที่เราต้องทำ เบอร์หนึ่ง คือฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนดีในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วในพระเยซูคริสต์ รักษาบทบัญญัตินี้ไว้ และความประพฤติมันจะออกมาเอง ถ้าเราไปรักษาความประพฤติก่อน ตั้งใจไปจดจ่อถึงความประพฤติ มันก็กลับกลายเป็นเราไปรักษาความประพฤติเหมือนเดิม ก็คือตามกฎแห่งกรรม กฎแห่งการพึ่งพาตนเองอยู่ เช่น อย่าโกหกๆๆๆๆ ในที่สุด ก็โกหก อย่านินทาๆๆๆๆ ในที่สุด ก็นินทา อย่าโลภๆๆๆๆ ในที่สุดก็โลภ อย่าคิดอย่างนี้ๆๆๆๆๆ ในที่สุดก็คิด
แต่เรากลับกัน อย่าโลภ … “ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันมีพร้อมทุกอย่าง พระเจ้าประทานทุกสิ่งให้ฉันพอเพียงแล้ว ขอบคุณพระเจ้าในชีวิตที่พอเพียงทุกอย่าง”
การรักษาบัญญัติ คืออย่างนั้น พูดง่ายๆ คือการรักษาบัญญัติของพระเจ้า บัญญัติใหม่ของพระคริสต์ ก็คือไม่ใช่เป็นการประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีๆ รับความรอด เพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ รักษาพระพรให้คงอยู่ ไม่ใช่การถูกบังคับ ให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะได้ไม่ถูกลงโทษ
การที่พระเยซูบอกให้เรารักษาบัญญัติของพระองค์ไว้ ไม่ใช่การถูกบังคับ ให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะได้ไม่ถูกลงโทษ ไม่ใช่ให้ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อจะได้รับความรอด หรือรักษาความรอดที่ได้รับไปแล้วให้อยู่ แต่เป็นผลของความรอด และผลของการบังเกิดใหม่ ที่เราได้รับมาแล้วในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ต้องจดจ่อตรงนี้ ให้ดีๆ ว่าเราได้รับอะไรมาแล้ว แล้วเราจะได้ให้ออกไป ไม่ใช่ไปจดจ่อที่ให้ออกไปๆ ต้องให้อะไรๆ โดยไม่ได้คิดถึงว่าเรามีอะไร? พึ่งในพระเยซูคริสต์ หมายถึงอย่างนี้
และเราคริสเตียน คือผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ ก็คือภายใต้บทบัญญัติใหม่ ที่พูดนี้ บทบัญญัติเดียวกันนี้ เราไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของโมเสส 613 ข้อ หรือกฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย กฎแห่งการกระทำดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎของโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎนั้น ที่จะต้องไปทำตามที่ดีๆ ต้องไปคอยวิเคราะห์ว่ามีอะไรทำดีได้ดีบ้าง มีเมตตา ทำดี แบ่งปันออกไป ให้คนอื่น แล้วเราจะได้รับกลับเข้ามา ไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นตรงนี้มากกว่าที่เราพูดไปตะกี้นี้ โรม 6:14 ย้ำยืนยันตรงนี้ว่า …
โรม 6:14 “ด้วยว่าบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่าน เพราะท่านไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติ แต่อยู่ภายใต้พระคุณ”
“อยู่ภายใต้พระคุณ” แต่เราอยู่ภายใต้พระคุณและการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา พระเจ้าเป็นความรัก เรารู้ดี เราเป็นลูกของพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์เลย ต้องรักษาบัญญัตินี้เอาไว้ให้ดีๆ รักซึ่งกันและกัน หมายถึงตรงนี้ เราเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก เราจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความรักที่อยู่ภายใน เดี๋ยวมันออกมาเอง เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ
****************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียน! … “ไม่ใช่ฤทธิ์ ไม่ใช่แรง แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณ”
ฟิลิปปี 2:12-13 … “12 ดังนั้น ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมายและทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง ด้วยความรัก เคารพยำเกรงพระเจ้า 13 (ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง และสร้างพลัง และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ อีกทั้งเกิดการกระทำดี ตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”
ในฟีลิปปี 2:12 นี้อาจารย์เปาโลพูดกับพี่น้องชาวฟิลิปปีว่า “พี่น้องที่รัก ท่านเคยเชื่อฟังคำแนะนำของเรามาตลอด ตอนที่ท่านต้อนรับข่าวดี”
ได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยจากความบาปทั้งสิ้นและได้บังเกิดใหม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านมีธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณท่าน และท่านก็เชื่อตามที่เราบอกท่านไว้ ให้ท่านอดทน ฝึกฝน ให้ผลของธรรมชาติใหม่นี้ได้ถูกสำแดงออกมา
โดยผ่านทางความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่าน ตอนที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ฝึกฝนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว ขอให้พี่น้องมีความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยความอดทนให้เป็นไปตามธรรมชาติการเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณจะเป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกฝน
ให้กำลังความสามารถสติปัญญากับท่านเอง ให้ท่านพัฒนาธรรมชาติใหม่ ที่ท่านเป็นลูกพระเจ้า ให้หมั่นฝึกฝนพุ่งเป้าไปที่ความรอดที่ท่านได้แล้ว
ให้ฝึกฝนให้ผลของความรอดออกมาในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ
ฝึกฝนให้รู้ว่าอะไรคือเนื้อหนัง ที่เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ อะไรคือพระวิญญาณ
ฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณ
ฝึกฝนที่จะปฏิเสธการกระทำตามเนื้อหนัง
เช่นพระวิญญาณที่อยู่ในเราแนะนำ พร้อมให้กำลังเรา บอกเราว่าควรสำแดงความรักแทนความโกรธ
ฝึกฝนให้สันติสุขและความชื่นชมยินดีออกมา
ฝึกฝนคอยสังเกตว่าแต่ละวันเราเผชิญกับอะไร
สถานการณ์ไหน เราควรจะตอบสนองออกไปแบบไหน ตามพระวิญญาณ หรือตามเนื้อหนัง ผิดบ้างพลาดบ้าง นี่เป็นบทเรียน
นี่คือการฝึกฝนของผู้เชื่อในแต่ละวัน เพื่อเราจะได้สำแดงธรรมชาติใหม่ ที่อยู่ภายในเราออกมามากขึ้นด้วยความรัก เคารพ ยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า พ่อของเรา
คำว่าด้วยความเคารพยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้าหมายถึงพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎและรักษากฎอย่างเคร่งครัดพระองค์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ถ้าใครทำผิดกฎ ก็จะถูกลงโทษ คนที่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ถือว่าผู้นั้นให้ความเคารพยำเกรงพระองค์ ให้เกียรติกับกฎระเบียบที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่ ฉะนั้น การฝึกฝนเพื่อให้ความเคารพยำเกรงพระเจ้า ฝึกฝนผลของพระคุณที่ทำให้ท่านรอด ให้ท่านพ้นจากบาป ทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านควรจะทำตัวให้สมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ฉายแสง สำแดงธรรมชาติตัวจริงภายในของเราที่บังเกิดใหม่แล้วนั้นออกมา เป็นความประพฤติ
ถ้าท่านทำดี ตามพระวิญญาณนำท่านก็เก็บเกี่ยวผลจากพระวิญญาณคือชีวิตความชื่นชมยินดีสันติสุข แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็เก็บเกี่ยวความตายความทุกข์ลำบาก
ฉะนั้น ถ้าท่านฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณนำ ท่านก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ทำให้พระเจ้ามีความสุขด้วย แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็จะได้รับผลในโลกนี้คือความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้พระเจ้า ผู้เป็นพ่อทุกข์ใจเสียใจ
ในข้อ 13 บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานในท่าน ให้กำลังท่านจากข้างใน ให้ท่านสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แปลว่าท่านแค่มอบถวายทุกส่วนในร่างกายของท่าน ให้กับพระเจ้าและพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กระทำการงาน ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงออกมาเอง โดยธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้
พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับพระคุณความรัก ความเมตตาที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับลูก
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด การเป็นลูกของพระเจ้าเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ เป็นความรัก เป็นความสว่าง เป็นสันติสุข เป็นความชื่นชมยินดี ขอบคุณที่พระองค์ประทานกำลังให้ผลเหล่านี้ได้ถูกสำแดงออกมาจากชีวิตของลูก ลูกขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน