วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1473

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเริ่มซีรี่ย์ใหม่ ตื่นเต้น เพราะเป็นซีรี่ย์ที่สนุกมากเลย ท่านอาจจะไม่ค่อยจะได้ยิน ได้ฟัง ซีรี่ย์นี้เท่าไร?  แต่พอพูดชื่อไป ท่านอาจจะโอ้โห อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลยพระคัมภีร์ อ่านเอง รู้สึกน่าเบื่อ แต่รับรองได้ว่าผมจะพยายามที่สุดเลย ที่จะทำให้ท่านสนุกให้ได้ เพราะว่าผมยังสนุกเลย ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก มันสั้นๆ เอง แต่สนุกมาก ซีรี่ย์นี้มีชื่อว่า “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้จะเริ่มต้นซีรี่ย์ของหนังสือ 1 ยอห์น อัครทูตยอห์น ที่เขาว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากที่สุด เขาว่านะ

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ให้ชื่อเรื่องตามหนังสือนี้ ที่จะมาเรียนรู้กันต่อไปนี้  ตามเรื่อง ก็คือ  ตอนที่ 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ” ทำไมถึงต้องสำคัญถึงขนาดนั้น ถึงกับเป็นหัวข้อเรื่องเลย

            ทำไมเริ่มต้นอัครทูตยอห์นถึงต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ด้วย เบื้องหลังของหนังสือ 1 ยอห์นตื่นเต้นมาก คือเขียนเมื่อประมาณ ค.ศ.90 คืออัครทูตยอห์นเป็นอัครทูตคนสุดท้าย ที่มีชีวิตยืนยาวที่สุด ทุกคนตอนที่เขียนส่วนใหญ่ ก็ถูกประหารชีวิตกันไปหมดแล้ว เหลืออาจารย์ยอห์นคนเดียว นึกถึงภาพนะ ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อ ค.ศ.90

            ข่าวประเสริฐเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มประกาศเมื่อไร? ใครจำได้บ้าง? เริ่มประกาศวันแรก คือวันเพ็นเตคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว วันเพ็นเตคอส คือวันเริ่มต้นเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ เริ่มต้นคริสตจักรของพระเจ้า วันนั้นเป็นวันเริ่มต้นวันประกาศข่าวดี ถ้าเป็นค.ศ. ก็ประมาณ ค.ศ.33 ตอนนี้ ค.ศ.90 ก็ผ่านมาประมาณ 50 กว่าปี ถูกไหม? อาจารย์ยอห์นก็อายุประมาณ 80 กว่า 90 กว่า แก่แล้ว

            และในช่วงนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นเพ็นเตคอส เริ่มต้นประกาศข่าวดี ข่าวดีบูมมากเลย  แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้คำว่าบูม มันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมากเลย  จำได้ไหมในหนังสือกิจการ วันแรก 3,000 คน คนแห่กันมาเชื่อมากเลย คริสตจักรกำลังเจริญเติบโต ผู้เชื่อเกิดขึ้นในที่ต่างๆ เหมือนดอกเห็ด ปุ๊บปั๊บๆ ที่โน่นก็มี ที่นี่ก็มี ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิว มาเชื่อพระเจ้ากันเต็มไปหมดเลย มารก็มีหน้าที่เร่งทำงานของมันเหมือนกัน ก็คือพยายามปกปิดความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำให้คนไม่รู้ข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง ก็เลยเกิดการต่อต้านขึ้น ปิดบังความจริงบ้างก็ไม่เชื่อเลยว่าโกหกทั้งเพ อย่างเช่นผู้นำศาสนายิว ยังไม่เชื่อเลย บ้างก็ไม่เชื่อเฉยๆ  แต่ก็ไม่สนใจ แต่บ้างไม่เชื่อไม่พอ ยังข่มเหงอีก  ทั้งเกลียดด้วย  ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบ  อย่างชาวยิวเขาเกลียด เขาไม่ชอบ เขาต่อต้านและข่มเหง เขายังมีเหตุผล

            เหตุผล ก็คือเขาเชื่อว่าพระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีมนุษย์คนไหนมาเป็นพระเจ้าได้ พระเยซูมาอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า นี่เขาหาว่าหมิ่นประมาท เพราะว่าเขาไม่รู้ความจริง  อันนี้โอเค แต่ยังมีคนที่เข้าร่วมด้วยขณะที่ไม่เชื่อ แล้วก็อ้างตัวเองว่าเป็น คริสเตียน อันนี้หนัก นึกภาพออกใช่ไหม? ไม่เชื่อเสียเลยก็ดีกว่า แต่เชื่อแบบบางส่วน

            ยกตัวอย่าง เชื่อว่าพระเยซูเป็นรับบี  “รับบี” แปลว่าอาจารย์ เก่งในเรื่องศาสนศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า บางคนก็บอกว่าเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาทำหมายสำคัญให้กับมนุษย์กลับใจใหม่เฉยๆ บางคนก็บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  แต่ไม่ได้มาอยู่ในสภาพของมนุษย์ เป็นพระเจ้าจริงๆ มาจริงๆ

            สรุป ก็คือต่อต้านว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า  หรือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ ก็คือพระผู้ช่วยให้รอดเพียงผู้เดียว ที่พระเจ้าส่งมา ซึ่งบอกไว้ในอดีตแล้ว เผยพระวจนะไว้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป นี่บิดไปเรื่อยๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย การปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นั้น และไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนบาป ถามว่าทำไมเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะว่านี่คือหัวใจของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนบาปอยู่ มนุษย์ต้องการหมอ มนุษย์ต้องรู้ว่าตัวเองป่วย  ตัวเองเป็นคนบาป ต้องการหมอ และหมอ ก็คือพระเยซูคริสต์

            เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เป็นคนบาป ก็จบกัน  ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็จบกัน เพราะหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือพระเจ้าส่งพระบุตรของพระองค์  คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพของมนุษย์ มนุษย์จริงๆ  เพื่อว่าจะได้เป็นตัวแทนแบกรับบาปทั้งปวงของมนุษย์ทั้งหลาย แล้วก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ ตายไปพร้อมกับบาป บนไม้กางเขน  เพื่อมวลมนุษย์จะได้พ้นจากความบาปนั้น และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มันต้องต่อเนื่องกันอย่างนี้

            ในช่วงนั้นมีผู้ต่อต้านแบบนี้  อย่างที่ตะกี้นี้บอก หลายอย่าง หลายแบบ แต่แบบที่สำคัญที่สุด  คือแบบที่ดูเหมือนไม่ต่อต้านเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนต่อต้าน แบบประณีประณอม อะลุ่มอล่วย ก็คือแอบเข้ามาในคริสตจักร แอบเข้ามาในกลุ่มผู้เชื่อคริสเตียน แล้วอ้างตัวเองว่าเป็น คริสเตียน  ก็คือกลุ่มลัทธิหนึ่งที่มีชื่อว่านอสซิส หรือนอสติก

            พวกนอสติก คือผู้ที่มีมาก่อน ที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ลัทธินี้ เชื่อในเรื่องโลกวิญญาณเป็นพิเศษ เชื่อในความรอดในโลกวิญญาณ เหมือนกับคริสเตียน เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน แต่ความเชื่อหนึ่งของเขา คือวัตถุเป็นโลกไร้สาระ  เหมือนโลกแห่งภาพลวงตา  ไม่เป็นอยู่จริง ไม่นานโลกวัตถุ ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ ก็จะต้องสูญสิ้นไป ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะไปยุ่งกับมัน  เพราะฉะนั้น ทำบาปอะไรก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ตายไปแล้ว ไม่ได้สำคัญ สำคัญที่สุด เรียนรู้ความลึกซึ้ง ความล้ำลึกแห่งความรู้ทางโลกวิญญาณ  ความรู้ตัวนี้  เรียกว่านอสซิส มาจากคำว่า “นอส” ที่แปลว่าความรู้ ต้องรู้เรื่องโลกวิญญาณจริงๆ มันลึกลับมาก  ต้องเรียนรู้จากพระเจ้าโดยตรงเลย ถึงจะได้รับความรอดของโลกวิญญาณ ส่วนมนุษย์เป็นคนบาปนั้น ไม่มีจริง ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เขายังเชื่อเหมือนกับคริสเตียนอยู่ ก็คือเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน  พอมองเห็นภาพไหม?

            ในหนังสือยอห์น เรียกพวกนอสซิสว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เคยได้ยินใช่ไหม?  พวกต่อต้านพระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกแอนตี้ไคร์ซ คือคนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าตระเตรียมไว้ ส่งมา เพราะฉะนั้น พวกนอสซิสพวกนี้ ก็คือพวกที่แอบเข้ามาในคริสตจักร แล้วก็มาชักชวนให้ผู้เชื่อจริงๆ ผู้เชื่อแท้ๆ หลงไปเชื่อในลัทธิคำสอนของเขา

            ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า … “นี่เธอก็เป็นคริสเตียน ฉันก็เป็นคริสเตียนเหมือนกัน ฉันเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน พระเยซูฉันก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก  ฉันจะบอกให้ฟังความจริง พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์มาในโลกใบนี้ มาในลักษณะเป็นวิญญาณ เป็นภาพเหมือน เป็นแสงสว่าง ร่างกายเป็นแบบวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกายแบบเนื้อหนัง แบบเราๆ อย่างนี้หรอก เพราะร่างกายแบบเราๆ มันสกปรก  โสโครก ไร้สาระ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อยอย่างนี้หรอก เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม? ร่างกายนี้ ก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง  เดี๋ยวมันก็ตายไปแล้ว  ทำบาป ทำอะไรต่างๆ มันสกปรก พระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้หรอก  ไม่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ที่ต่ำต้อยอย่างนี้หรอก”

            คริสเตียนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ในหลักการของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะโยงมาถึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง ในการรับบาปไว้ ก็เสียหาย เห็นอะไรบางอย่างไหม?

            ข้อมูลเท็จเหล่านี้ มันแทรกซึมเข้ามาอยู่ในคริสตจักร คริสตจักรสมัยก่อน ไม่ได้เป็นคริสตจักรอย่างนี้หรอก ส่วนใหญ่จะเป็นคริสตจักรตามบ้าน ตามชุมชน ตามกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย  ซึ่งกำลังเกิดเป็นดอกเห็ด อย่างที่บอก ความเชื่ออย่างนี้ มันก็เข้าไปซึมอยู่ในกลุ่มของคริสเตียนแท้ๆ จริงๆ ทำให้เกิดการสับสน และอันตรายมากๆ สำหรับความคิดอย่างนี้  ซึ่งเป็นหน้าที่ของศิษยาภิบาล ผู้อาวุโสที่ดูแลคริสตจักร  ก็คืออัครทูตยอห์น ในขณะนั้น  ก็เลยต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา

            แล้วก็เริ่มต้นพูดถึงเรื่องนี้ก่อน คือตั้งแต่บทที่ 1 เลย  เพราะในกลุ่มคนที่เป็นคริสเตียน  ในคริสตจักรในขณะนั้น หลายสิ่งหลายอย่าง มันอาจจะไม่เหมือนกัน ในความคิดของคริสเตียน ในขณะนั้น  แต่มันยังพอรับกันได้บางอย่าง ยังอะลุ่มอล่วยกันได้  อย่างเช่น อาจจะเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เหมือนกัน แต่อาจจะไม่คิดเหมือนกัน คือกินเนื้อสัตว์ที่มีมลทิน ตามบัญญัติของโมเสสได้ไหม? กินได้หรือไม่ได้ บางคนก็บอกว่ากินได้  บางคนก็บอกกินไม่ได้ อันนี้ไม่เป็นไร?  ไม่ได้สำคัญมากนัก  หรือจะนมัสการพระเจ้าวันสะบาโต วันอาทิตย์ดีหรือวันเสาร์ดี บางคนก็บอกวันอาทิตย์ดี บางคนก็บอกวันเสาร์ดี อย่างนี้ก็ไม่สำคัญ หรือเนื้อที่เขาถวายรูปเคารพแล้ว เอามาขายตลาด เอามากินได้ไหม? กินได้ไม่ได้ อันนี้ไม่สำคัญ

            แต่เรื่องที่จะมาบอกว่าไม่เหมือนกัน ตรงที่พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า  หรือเป็นพระเจ้า ไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ หรือปฏิเสธว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นคนบาปจริงๆ อันนี้ กระทบข่าวดีโดยตรง รับไม่ได้เลยจริงๆ  เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีหน้าที่ดูแล ก็คืออัครทูต ก็เลยต้องเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อยืนยัน ประกาศความจริงในเรื่องของพวกนอกรีต ที่เอาเข้ามาในคริสตจักรเหล่านั้น  ให้เขาได้เห็นว่านี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้  เราจะเป็นพยานให้ เราเป็นผู้ได้เห็นกับตา ได้รู้กับตัว ได้จับมากับมือเลยว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเราจริงๆ นึกออกใช่ไหม? พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะสนุกแล้ว

            เพราะในหนังสือของอาจารย์ยอห์นจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานะ ความเป็นอยู่ในโลกวิญญาณของคริสเตียนว่าเป็นเช่นไร? ซึ่งลึกซึ้งมาก สนุกมากเลย ซึ่งอาจารย์ยอห์น อย่างที่บอก ใกล้ชิดกับพระเยซูมาก เดือดร้อนใจในเรื่องนี้มาก เลยเป็นพยานยืนยันเริ่มต้นเลย ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ลองอ่านกันดู เมื่อเรารู้พื้นฐานนี้แล้ว เรามาดูว่าอาจารย์ยอห์น หรืออัครทูตยอห์น แย้งหรือเป็นพยานยืนยัน ประกาศความจริงในเรื่องนี้ ให้กับพวกนอกรีต พวกที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้อย่างไร?  อ่านภายใต้เบื้องหลังนี้ แล้วท่านจะเข้าใจ จะเห็นชัดขึ้นว่าทำไมเริ่มต้นจดหมายต้องเขียนอย่างนี้ด้วย ปกติจดหมายฝากอื่นๆ เริ่มต้นจดหมายจะไม่เขียนลักษณะอย่างนี้ คือลักษณะของการเริ่มเขียน ก็คือทักทายกัน ให้พระพรกัน  ทำไมอันนี้ต้องเขียนอย่างนี้ด้วย  ก็เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก เขียนถึงคริสเตียนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้  ที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน  โดยเฉพาะพวกที่ถือลัทธินอสซิส 1 ยอห์น 1:1-2 …

        1 ยอห์น 1:1-2 “1 เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมา ตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต 2 และชีวิตที่ว่านี้ ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และเราประกาศชีวิตนิรันดร์นี้ ให้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดา และมาปรากฏแก่เรา”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “เราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และได้จับต้องด้วยมือของเรา”

            จับใคร? เห็นใคร? ได้ยินใคร? พระวาทะแห่งชีวิต คือพระวาทะแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่อยู่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมกาล ก็คือพระเยซูคริสต์ ในหนังสือยอห์นอีกฉบับหนึ่ง ที่เขียนไว้ ก็เริ่มต้นอย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ คือพระวาทะ ยอห์นกำลังเป็นพยานต่อสู้กับความเชื่อผิดๆ ของพวกนอสติกหรือนอสซิสนี้ ยอห์นกำลังต่อสู้กับพวกนอกรีต ด้วยความจริงที่ว่าพระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นชีวิตนิรันดร์ ดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งมวล  ก่อนจะสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงอยู่ก่อนแล้ว

            ยอห์นกำลังบอกพวกเขาว่าเราได้ยินเสียงของพระเยซู เราได้เห็นพระองค์ด้วยตาทางกายภาพ นี่แหละ เราเห็นเลย  เราจับตาดูพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ  ด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ตอนที่ยังไม่เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ก็เป็นมนุษย์จริงๆ  ในสภาพที่เป็นพระเจ้าอยู่ด้วย พระองค์ไม่ใช่ผี พระองค์ไม่ใช่วิญญาณที่ลอยไปลอยมา พระองค์ไม่ใช่ลำแสง พวกนอสซิส บอกว่าเป็น พระองค์เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เหมือนเราๆ นี่เลย ผมจับกับมือเลย ดูด้วยตาเลย แล้วพระองค์ก็พูดกับพวกเรา (หมายถึงอัครทูต 12 คนที่อยู่ใกล้ชิด) ว่าให้พวกเราสัมผัสร่างกายของพระองค์ อัครสาวกก็ได้โอบกอดพระองค์ แตะต้องพระองค์จริงๆ  และรู้ว่าพระองค์มีร่างกายจริงๆ  โดยเฉพาะอย่างนี้ ข้าพเจ้า คืออัครทูตยอห์น ตอนที่ทำพิธีมหาสนิทก่อนที่จะถูกตรึงบนกางเขน พระคัมภีร์บันทึกว่ายอห์นไปซบอกของพระเยซู ข้าพเจ้านอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ นอนอยู่ที่อกของพระเจ้า ที่มีนามว่าพระเยซูคริสต์จริงๆ  พระองค์เป็นเนื้อหนัง เป็นร่างกายจริงๆ พูดอย่างสุภาพให้บรรดาคริสเตียนปลอมทั้งหลาย ให้เขาได้รู้ความจริงเหล่านี้

            ในข้อที่ 2 ที่บอกว่า “และชีวิตที่ว่านี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว” ชีวิตที่ว่านี้ คือชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นพระเจ้า ก็เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า คุ้นๆ ไหมชีวิตนิรันดร์ ผู้ใดวางใจพระบุตร พระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้นั้นได้รับชีวิตนิรันดร์ เราผู้เป็นคริสเตียนแท้ๆ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์นั่นเอง

            ชีวิตที่ว่า คือพระเยซูได้ปรากฏขึ้นแล้ว เราคืออัครทูต 12 คนนั้น เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้ ตั้งแต่วันเพ็นเตคอสมาแล้ว เราประกาศว่าเราเห็นกับตา เห็นตอนที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่ เห็นตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย เห็นพระองค์ลอยต่อหน้าต่อตาขึ้นไปในสวรรค์ เห็นพระองค์จริงๆ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ดำรงอยู่กับพระบิดา และมาปรากฏแก่เรา  ก็คือเป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดามาตั้งแต่นานนมแล้ว  และลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และมาอยู่กับเรา ก็คือมาเป็นมนุษย์เหมือนเราๆ นี้

            อาจารย์ยอห์นมาเป็นพยานยืนยันในการเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์จริงๆ เราเห็นกับตาจริงๆ  พระคริสต์ทรงเป็นชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระบิดาจริงๆ ก่อนหน้านั้น  แต่ในช่วงหลัง ช่วงเวลาหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พระเจ้าองค์นี้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรนี้ ทรงมาเกิด ปรากฏต่อเราในร่างมนุษย์ และเป็นมนุษย์อยู่ เป็นเวลา 33 ปี พระองค์ทรงปรากฏแก่เรา 12 คน เห็นกับตา สนิทสนมกันใน 3 ปีนั้น  และที่เรากำลังประกาศอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เราได้เห็นกับตาจริงๆ  และได้ยินกับพระองค์จริงๆ ก็คือสิ่งที่เราประกาศให้กับท่าน  เรื่องข่าวดีนั้น  เราไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าพูดกับเรา ให้พระเยซูบอกเรา สอนเรา โดยร่างกายของพระองค์ ปากของพระองค์ พูด เราได้ยินจากหูเนื้อเราได้ยินจริงๆ ตาเราได้เห็นจริงๆ ตาเราได้สัมผัสจริงๆ 1 ยอห์น 1:3 …

        1 ยอห์น 1:3 “เราประกาศให้ท่านทราบถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน เพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเราด้วย และการสามัคคีธรรมกับเรา คือการสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์”

            “เราประกาศสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน จากพระเยซูคริสต์บอกเรา  พูดกับเรา อยู่กับเรา  ประกาศให้ท่านทราบ” ท่าน ในที่นี้ คือพวกนอสติก พวกที่อ้างว่ารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้เป็นคริสเตียนจริงๆ “ท่านจะได้ร่วม” ขณะนี้เขาได้ร่วมอยู่หรือเปล่า?  “ท่านจะได้ร่วม” แสดงว่าตอนนี้เขาไม่ได้ร่วม พูดง่ายๆ ว่าท่านจะได้เป็นคริสเตียนแท้ๆ สักทีหนึ่ง

            “ท่านจะได้ร่วม” ก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ก็คือพวกนอสซีสเหล่านี้  ที่อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนแล้ว ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านจะได้สามัคคีธรรมกับเราด้วย จะได้เข้ามาอยู่กับเรา ตอนนี้ท่านไม่ใช่

            คำว่า “สามัคคีธรรม” คืออะไร? สามัคคีธรรม คือในตอนนี้  พวกเขาก็สามัคคีธรรมกันทางด้านร่างกาย ทางตามองเห็นแล้ว  ก็คือเขาเข้ามาอยู่ในคริสตจักร เข้ามาพูดคุย อย่างนี้เราเรียกว่าสามัคคีธรรมใช่ไหม? แต่คำพูดในพระคัมภีร์ตอนนี้ ที่บันทึกไว้ใน 1 ยอห์น 1:3  หมายถึงสามัคคีธรรมทางวิญญาณ ไม่ได้หมายถึงสามัคคีธรรมอย่างนี้ อย่างที่เรามาคริสตจักร เขาอยู่ในคริสตจักรอยู่แล้ว แต่เขาไม่ใช่คริสเตียนแท้จริง เขาอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่เขาก็สามัคคีธรรมแบบมนุษย์ อยู่ด้วยกัน นึกออกไหม?  เขานึกว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  แต่อาจารย์ยอห์นบอกไม่ใช่เลย เข้าใจผิดแล้ว

            คำว่า “สามัคคีธรรม” ตัวนี้ มาจากคำว่า “koinonia (koy-nohn-ee’-ah) (คอย-โน-เนีย)” เป็นภาษากรีก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Fellowship” ความหมาย คือการเข้าส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์ เป็นวิญญาณเดียวกัน  มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง รู้จักกัน ผูกพันกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน (ทางวิญญาณ) ตรงนี้อาจารย์ยอห์นกำลังหมายถึงอย่างนี้

            เราประกาศความจริงเหล่านี้ให้กับท่าน เพื่อท่านจะได้เชื่อเรา  แล้วจะได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเราในพระเยซูคริสต์

            พวกอัครสาวกได้ประกาศเป็นพยาน เรื่องข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประกาศข่าวดีนี้ แก่ผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู เพื่อว่าผู้ที่ยังไม่เชื่อนั้น ก็คือพวกนอสซีสนั้นจะได้กลับใจใหม่ หันมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หันมาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาช่วยเขาได้รับความรอดจริงๆ พวกอัครสาวกได้ประกาศสิ่งเหล่านี้ ให้กับพวกนอสซิสได้เข้าใจ  เพื่อพวกเขาจะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าไปสู่การสามัคคีธรรมทางวิญญาณ คือวิญญาณของพวกเขาจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของผู้ที่ได้เชื่อในข่าวดี และได้บังเกิดใหม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ก็คือคริสเตียนแท้ทั้งหลาย รวมทั้งอัครสาวกเหล่านั้น  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค เพื่อพวกท่านจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา

            และเพื่อว่าพวกเขาทั้งหลาย พวกนอสซีสนั้น จะได้มาเชื่อ และเป็นผู้เชื่อใหม่ จะได้รู้จักสนิทสนมกับพระเจ้า  มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเราทั้งหลาย นี่คือความหมายของ 1 ยอห์น 1:3 จะเห็นภาพชัดเจนเลย 1 ยอห์น 1:4 …

        1 ยอห์น 1:4 “และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความชื่นชมยินดีของเรา (และท่าน) จะได้เต็มเปี่ยม”

            เราแจ้งข้อความเหล่านี้ คือเราประกาศความจริงให้กับท่านนะ  เพื่อว่าความชื่นชมยินดีของเรา ผู้ประกาศ และของท่าน ผู้ที่ถูกประกาศ  ที่ท่านได้รับฟัง  เพื่อท่านจะได้เชื่อและจะได้ชื่นชมยินดี  และเราก็ชื่นชมยินดีด้วย เราชื่นชมยินดี เพราะว่าเราได้ประกาศ และเราได้เห็นคนรับเชื่อและได้รับความรอด เหมือนเราทุกวันนี้ เราประกาศ แล้วคนรับเชื่อ หรือใครประกาศก็ตาม แล้วเขารับเชื่อ เราดีใจไหม? นี่แหละเราดีใจ และคนที่เชื่อใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาดีใจไหม? เขาดีใจ เพราะฉะนั้น เราทั้งสองคนจะได้ดีใจด้วยกัน จากข่าวประเสริฐนี้ นี่มันแปลว่าอย่างนี้ 1 ยอห์น 1:5 …

        1 ยอห์น 1:5 “แล้วนี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และกำลังประกาศแก่ท่านทั้งหลายในขณะนี้ คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่​มี​ความมืดอยู่ในพระองค์​เลย”

            เราบอกความจริงที่เราได้ยินจากพระองค์ เห็นไหม?  เราได้ยินจากใคร? จากพระเยซู เราก็ได้ยินจากพระองค์ พูดว่าอย่างไร? เราได้ยินพระเยซูพูดกับเราว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่าง เราไม่ได้คิดเอง  เราไม่ได้อธิษฐานด้วย พระเจ้าในรูปของพระเยซูคริสต์ พูดกับเราเองว่าพระองค์เป็นความสว่าง พระองค์บอกพระองค์เป็นพระเจ้าด้วย ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นพระบิดา จงวางใจในเรา เพื่อจะได้ไปพบพระบิดาได้ พระองค์เป็นผู้พูดกับเราทั้งนั้น  เราในที่นี้ คืออัครทูตเหล่านั้น  ใน 1 ยอห์น 1:6 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:6 “ถ้าเราอ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ แต่ยังดำเนินในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยความจริง”

            “ถ้าเราดำเนินชีวิตในความมืด แต่อ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ ทั้งๆ ที่เราไม่มี เพราะเรายังอยู่ในความบาปมืด เพราะเราปฏิเสธความจริงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอมถ่อมตนมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนในการไถ่บาป ให้มนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ทั้งปวงล้วนเป็นคนบาป  นี่เราปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะมาบอกว่าเราสามัคคีธรรมอยู่กับพระองค์ด้วย โกหก  พวกแอบอ้าง ข้อ 7 บอกว่า …

        1 ยอห์น 1:7 “แต่​ถ้า​เรา​ดำเนิน​อยู่​ใน​ความ​สว่างเหมือน​อย่าง​พระ​องค์​ สถิต​อยู่​ใน​ความ​สว่าง เรา​ก็​ร่วม​สามัคคี​ธรรม​ซึ่ง​กัน​และ​กัน และ​พระ​โลหิต​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ ​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์​ได้​ชำระ​เรา​ทั้ง​หลาย ​ให้​ปราศ​จาก​บาป​ทั้ง​สิ้น”

            1 ยอห์น 1:7 บอกว่าแต่ถ้าเราเป็นคริสเตียนจริงๆ เราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็อยู่ในความสว่าง พระเยซูก็อยู่ในความสว่าง เหมือนกันเลย นั่นแหละ เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน ก็คือร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และผู้เชื่อคนอื่นๆ  ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ  ก็เป็นแสงสว่าง ต่างคนเป็นต่างเป็นแสงสว่าง มารวมกันเป็นแสงสว่าง

            และเป็นคริสเตียนแท้ๆ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ได้ชำระเราทั้งหลาย ให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น คือบาปตั้งแต่บรรพบุรุษ คือบาปตะกี้นี้  เขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป ก็ถูกยกออก และบาปในการกระทำ คือบาปปัจจุบันที่คุณ มาเชื่อเป็นคริสเตียนอยู่ อาจจะพลั้งไปทำบาป ก็ได้รับการยกทั้งสิ้น ได้รับการอภัยทั้งหมดเลย

            พูดง่ายๆ ว่าถ้าเรา “เรา” ในที่นี้ ก็คือพวกนอสติก พวกที่อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพวกนอสซิสที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  ถ้าเขาได้เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา เขาจะไม่เป็นเช่นนี้

            สิ่งอะไรที่เกิดขึ้นกับเขา ถ้าเกิดคุณเป็นคริสเตียนจริงๆ คริสเตียนก็ต้องอยู่ในความสว่าง ไม่ใช่อยู่ในความมืดอย่างนี้ ความมืดซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับความสว่าง  เป็นความหลอกลวง เป็นความเท็จ  ต่อต้านความจริง คือพระคริสต์ เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกัน  แบบที่คุณกำลังทำอยู่นี้ มันตรงกันข้ามกัน คุณไม่ใช่คริสเตียนแท้ คริสเตียนแท้ๆ เขาจะอยู่ในความสว่าง เหมือนพระเยซูคริสต์อยู่ในความสว่าง  มันหมายถึงอย่างนี้  ความสว่างเป็นสถานที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง ที่เป็นความสว่าง ไม่ใช่ความประพฤติ เป็นความสว่าง

            ความสว่างเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัย อยู่ในความสว่างหรือไม่อยู่ในความสว่าง ก็คืออยู่ในความมืด มีอยู่ 2 แห่ง จะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่หนึ่ง  เราจะอยู่ในความสว่าง เราก็ไม่ได้อยู่ในความมืด  ถ้าเราอยู่ในความมืด เราก็ไม่ได้อยู่ในความสว่าง ไม่ใช่เราอยู่ในความสว่างครึ่งหนึ่ง แล้วอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่ง  หรืออยู่ในความสว่าง 20% แล้วอีก 80% อยู่ในความมืด  ไม่ใช่ ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ สำหรับอาศัยอยู่ในความสว่างหรือในความมืด อาจารย์ยอห์นจะพูดให้เห็นชัดเจน เด็ดขาดเลย  แต่การเขียนของอาจารย์ยอห์นต่อไปด้วยว่าแบ่งกันเด็ดขาด อาณาจักรไหน? อาณาจักรนั้นเลย อย่างเช่นใน 1  ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะในโลกนี้ เราเป็นเหมือนพระองค์”

            ขณะที่เราอยู่บนโลกนี้  กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราได้เป็นเหมือนพระเยซู คือเป็นความรัก ความสว่าง เหมือนที่พระองค์เป็นความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง  พูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือเราเป็นความสว่างเท่าๆ กับพระองค์เป็นความสว่าง  และเท่าๆ กับบรรดาคริสเตียนแท้ๆ ทั้งหลาย ที่อยู่ในความสว่างเช่นเดียวกัน พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            พระคัมภีร์บอกเราอีกว่าความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเหมือนกันนี้ พระคัมภีร์อธิบายให้เราฟังว่ามีลักษณะอย่างไร? เพื่อเราจะได้เข้าใจเท่าที่ทำได้ เพราะนั่นเป็นสถานะความจริงในโลกวิญญาณ อาจจะเข้าใจยากหน่อยหนึ่ง พระคัมภีร์จึงยกตัวอย่างว่าพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง อยู่ในร่างกายของพระองค์ พระองค์เป็นชีวิตนิรันดร์ เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระองค์ พระเยซูเป็นต้นไม้แห่งความชอบธรรม เราก็เป็นกิ่งที่ต่อติดอยู่ในพระองค์ เราจึงเป็นความชอบธรรมเหมือนพระองค์

            พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกของพระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าคริสตจักรทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือประชากรของพระเจ้า เราก็เป็นศิลา เป็นก้อนหนึ่งอยู่ในพระวิหาร เป็นประชากรของพระเจ้าคนหนึ่ง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน นี่แปลความเป็นหนึ่ง หมายความว่าอย่างนี้  แล้วยังบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 17:20-23 บอกว่าอย่างนี้

            บอกว่า … “คริสเตียนเราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา  และเรากับพระเยซูอยู่ในพระบิดา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่ชัดเจนเลย โรม 8:38-39 จึงได้บอกอย่างนี้ สรุปว่า … “ไม่มีใครสามารถพรากเราออกไปจากสถานที่นี้ สถานะนี้ได้เลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครมาเอาเราไปไหนได้เลย  เราอยู่ที่นี่ แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดไป เอเมนไหม? โคโลสี 1:12-14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:12-14 “12 อีก​ทั้ง​ขอบคุณ​พระ​บิดา ​ผู้​โปรด​ให้​ท่าน​มี​ส่วน​ร่วม​ ได้​รับ​มรดก​ ของ​บรรดา​ผู้​บริสุทธิ์​ของ​พระ​เจ้า​ ใน​อาณาจักร​แห่ง​ความ​สว่าง 13 ด้วย​ว่าพระ​องค์​ได้​ช่วย​เราให้​พ้น​จาก​อำนาจ​ของ​ความ​มืด และ​นำ​เรา​สู่​อาณาจักร​แห่ง​พระ​บุตร ​ผู้​เป็น​ที่รัก​ของ​พระ​องค์ 14 เรา​ได้​รับ​การ​ไถ่ คือ​การ​ยก​โทษ​บาป​ทั้งปวงจาก​พระ​องค์”

            เราจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง  ไม่มีการอยู่ทั้งสองข้าง และไม่มีไปๆ มาๆ อยู่ในความสว่าง 2 ปี ประพฤติไม่ดี กลับกลายเป็นเด้งไปอยู่ในความมืด 2 ปี กลับใจใหม่ กลับไปอยู่ในความสว่างอีก 1 ปี ประพฤติตัวไม่ดี หล่นมาอยู่ในความมืด ไม่มี แต่ทั้งสองอัน อยู่ที่ไหน? ก็ที่นั่น ยกเว้นอย่างเดียวว่าอยู่ในความมืด ถ้ายังไม่ตายจากโลกนี้  ยังมีโอกาส คือเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทันทีทันใดนั้น พระเจ้าก็จะย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และเมื่อท่านอยู่ในความสว่าง ท่านก็จะได้รับการไถ่ คือการยกโทษบาปทั้งปวง ทั้งสิ้นทันที

            การยกโทษบาปทั้งปวงของท่าน เพราะว่าท่านเป็นคนบาป จึงต้องยกโทษบาปให้กับท่านทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งสิ้น ก็คือทั้งบาปที่ท่านเป็นคนบาป ในวิญญาณ ถูกยก ถูกลบออก ทั้งบาปที่ท่านเป็น คริสเตียนแล้ว ยังประพฤติบางอย่าง ล้มลงในความบาป ล้มลงในการล่อลวง ทำผิดอะไรบ้าง ก็ถูกลบออกไปหมดสิ้น ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ท่านกระทำ ได้ถูกลบออกไปหมดเลย เพราะวิญญาณของท่านได้อยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว เอเมน

            ทั้งหมดนี้ คือความเชื่อ คือความจริงของสถานะของคริสเตียนแท้ๆ ในโลกวิญญาณต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ยอห์นอธิบายให้ฟังอย่างนี้  เพื่อให้คริสเตียนได้เห็นชัด  เพื่อว่า คริสเตียนที่ได้ยินได้ฟัง ในขณะนั้น ในช่วงนั้น ถูกข่มเหงรังแกมาก ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส เขาจะได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่ได้ไปไหนเลย เขาเป็นความสว่าง พระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ถ้าเขาจากโลกนี้ไป  เขาก็ไปอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับร่างกายใหม่ เขาถึงทนอยู่กับความเลวร้าย แห่งสถานการณ์ การข่มเหงคริสเตียน ในขณะนั้นได้ ในขณะเดียวกัน นี่คือความจริงที่จะประกาศให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน ได้เห็นชัดเจนว่าท่านไม่ได้เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เพราะว่าท่านปฏิเสธพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์

            เราจะเห็นชัดเจนว่าความรอดเริ่มต้นจากการยอมรับตนเองว่าเป็นคนบาป สำคัญที่สุดเลย พระเยซูบอกคนป่วยต้องการหมอ ท่านบอกว่าท่านไม่ป่วย ใครจะไปรักษาท่าน ท่านไม่ไปหาหมอ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นจากการยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองได้  ไม่ใช่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาปเฉยๆ ไม่อย่างนั้น ท่านยอมรับว่าตัวเองป่วย ฉันจะรักษาตนเอง ฉันจะใช้สมุนไพรกิน รักษาตัวเอง โรคของคุณหนักเกินกว่าที่จะรักษาด้วยตนเองได้ ท่านต้องไปหาหมอ เช่นเดียวกัน ท่านเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ท่านต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้เสียก่อน ต้องการความช่วยเหลือจากใคร? มีอยู่ผู้เดียวที่ช่วยได้ ก็คือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดอยู่ในสภาพมนุษย์ ช่วยท่านได้ มีผู้เดียวเท่านั้น นอกนั้น เป็นมนุษย์คนบาปทั้งสิ้น ยกเว้นพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ช่วยท่านได้ ตรงนี้ เห็นไหม? ท่านต้องยอมรับความจริงตรงนี้ 1 ยอห์น 1:8 จึงบันทึกอย่างนี้ อย่างชัดเจน บอกให้กับคนที่เป็นนอสซีส บอกให้กับคนที่ปฏิเสธต่อต้านพระคริสต์ บอกให้กับคนที่เป็นแอนตี้ไคร์ซได้รู้ความจริงอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:8 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ปฏิเสธว่า​เรา​ไม่​ได้เป็นคนบาป เรา​ (เขา) ก็​หลอกลวง​ตนเอง และ​ไม่​มี​ความ​จริง​ (พระคริสต์ผู้เป็นความจริง และเป็นความสว่าง) อยู่​ใน​ตัว​เขา”

            อันนี้ชัดเจนมาก หลายครั้งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึก เขียนถึงคริสเตียน แต่ก็มีหลายครั้งหลายคราวที่เขาใช้สรรพนามหลายๆ อย่างในนี้ พูดถึงคนที่ไม่เชื่อด้วย พูดถึงคนทั่วๆ ไปด้วย อย่างเช่นบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ผู้ใดก็ตาม ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง รวมทั้งคนเชื่อ ไม่เชื่อ นี่คือกฎธรรมชาติ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ในนี้ก็เช่นเดียวกัน  เราจึงเห็นบริบทมา ตั้งแต่ข้อ 1 มาถึงข้อ 8 แล้ว “ถ้าเรา” ก็คือมนุษย์ผู้ใด ใครก็ตามปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป  เราไม่ได้เป็นคนบาป ก็คือผู้ใดก็ตามนั้น มนุษย์คนนั้น ที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง ก็คือเขาคนนั้นที่ปฏิเสธนั้น  ก็กำลังหลอกลวงตัวเองอยู่ และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา ความจริง ก็คือพระคริสต์ ซึ่งเป็นความจริงและแสงสว่าง เขาก็ไม่มีความจริง ไม่มีความสว่างอยู่ในตัวเขา เห็นชัดเลย มนุษย์คนใดก็ตาม  ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เขาก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริง คือไม่มีพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่มีความสว่างอยู่ในเขา ถูกหลอก ชัดไหม?

            สรุป ก็คือเพราะท่านทั้งหลาย พวกนอสติกเอ๋ย ที่หลงเชื่อผิดๆ ที่ปฏิเสธความจริงเหล่านี้ ปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อไถ่บาปให้กับคนทั้งปวง รวมทั้งตัวท่าน ซึ่งเป็นคนบาปด้วย ท่านปฏิเสธอย่างนี้ใช่ไหม? ท่านจึงยังคงอาศัยอยู่ในความมืด ไม่ใช่ความสว่างอย่างที่ท่านคิด ท่านอยู่ในการถูกหลอกลวงในความเท็จ ไม่ใช่ความจริง ท่านกำลังอยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย เนื่องจากโทษของความบาปของท่านอยู่เลย ออกจากร่างกายนี้ไป ท่านก็ต้องลงไปอยู่ในการถูกพิพากษา ลงไปอยู่ในนรก  เราไม่อยากจะเห็นท่านเป็นอย่างนั้น เราอยากประกาศข่าวดีให้กับท่าน อาจารย์ยอห์นกำลังพูดอย่างนี้ ชัดเจนนะ ใน 2 ยอห์น 1:1-2 อาจารย์ยอห์นได้พูดอย่างนี้ ในหนังสือเล่มเดียวกัน แต่อยู่ในบทต่อไป ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงอยู่ในตัวตนของคริสเตียนแท้ ถ้าไม่ใช่คริสเตียนแท้จะไม่มีความจริงอยู่ในนั้น มีแต่ความหลอกลวง มีแต่ความโกหก มีแต่ความเท็จ ลองอ่านดู …

        2 ยอห์น 1:1-2 “1 จดหมายฉบับนี้ จากข้าพเจ้าผู้อาวุโส ถึงท่านสุภาพสตรี ที่ทรงเลือกไว้กับบุตรทั้งหลายของท่าน 2 ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความจริง (พระคริสต์) และไม่ใช่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริง (พระคริสต์) ด้วย ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง (พระคริสต์) ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลาย และซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป”

            อาจารย์ยอห์นเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโส ก็คือผู้ดูแลผู้เชื่อทั้งหลายในขณะนั้น ผู้เลี้ยงนั่นเอง ก็คือพูดง่ายๆ พาสเตอร์ ศิษยาภิบาลนั่นเอง ศิษยาภิบาลอาวุโสแก่มากแล้ว แจ้งหรือเขียนจดหมายฉบับนี้ ให้กับพวกท่านทั้งหลาย ก็คือให้กับคริสเตียนแท้ๆ แล้วนะ ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความจริง ผมวงเล็บไว้ให้ จะได้ชัดๆ ความจริงนี้ ก็คือพระคริสต์ คือความสว่าง และไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริง  ก็คือที่รู้จักพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ Fellowship สามัคคีธรรมกับวิญญาณกับพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง ข้าพเจ้าไม่ได้รักพวกท่านเพราะว่าเป็นมนุษย์รักท่าน  แต่ข้าพเจ้ารักท่านด้วยวิญญาณของข้าพเจ้า ก็คือที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง คือพระคริสต์ ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลาย ซึ่งพระคริสต์รักท่าน เพราะว่าพระคริสต์อยู่ในผม  และพระคริสต์อยู่ในท่านด้วย  เราต่างคนต่างอยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกัน ผมถึงรักคุณไง ไม่ใช่รักคุณ เพราะว่าคุณหน้าตาดี ไม่ใช่ เพราะคุณเป็นญาติ  ไม่ใช่ รักคุณ เพราะคุณเป็นมนุษย์  นั่นเป็นความรักธรรมดา แต่ผมรักคุณ เพราะความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายใน  ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และความเป็นหนึ่งเดียวกันนี่แหละ ซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรัก ความสว่าง พระคริสต์จะอยู่ในเรา เป็นของเรา อยู่ในสภาวะนี้ตลอดไป

            เรากลับมาดูใน 1 ยอห์น 1:9 มาดูสิว่าประกาศให้กับพวกนอสซิส พวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ เขาควรทำอย่างไร? อาจารย์ยอห์นพูดถึงบทสรุปว่าเพราะฉะนั้น ท่านควรจะทำอย่างไรถึงจะได้เป็นคริสเตียนแท้จริง เหมือนอย่างเรา …

        1 ยอห์น 1:9 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา ​และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เรา​ให้​บริสุทธิ์  พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง”

            อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าอย่างนี้ … “เพราะว่าความจริง ก็คือถ้ามนุษย์ผู้ใด มนุษย์คนใดยอมจำนนรับว่าเขานั้นเป็นคนบาป  และเขาสารภาพบาปของเขาต่อพระเจ้า พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เขา และชำระเขาคนนั้น ที่ยอมรับให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ทั้งสิ้นเลย ใครก็ตาม”

            พวกคุณนอสซิสใช่ไหม? คุณรีบกลับใจใหม่ซะ ยอมจำนนต่อความจริง หันหลังให้กับลัทธิหลงผิด ลัทธินอสติกนั่นแหละ แล้วมารับข่าวดี อันดับแรก เชื่อว่าท่านเป็นคนบาป ยอมรับสารภาพต่อพระเจ้า เชื่อ ลูกยอมแล้ว พระองค์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป ลูกเป็นคนบาป ยอมๆ และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ  มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ รับโทษบาปแทนท่านได้จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แค่นี้เอง ท่านเปลี่ยนความเชื่อ มาเชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง ท่านก็จะได้รับการอภัยโทษในบาปทั้งปวง ทั้งสิ้นของท่าน ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไปเลย เอเมน

            ไม่ใช่นอสซิสอย่างเดียว ใครก็ตามที่ไม่เชื่อด้วยเหตุผลใดก็ตามว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ แบกรับบาปของมนุษย์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาป  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป  พระเยซูมาช่วยได้  แค่นั้น ก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว 1 ยอห์น 1:10 จึงเป็นบทสรุปของ 1 ยอห์น บทที่ 1 นี้ …

        1 ยอห์น 1:10 “ถ้า​เรา​ (มนุษย์คนใด) พูดว่าเรา​ (เขา) ไม่​เคย​ทำ​บาปเลย ก็​เท่า​กับ​เรา​ (เขา) ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​โกหก และ​ถ้อยคำของ​พระ​องค์​ (คือพระเยซู คือความจริง) ก็ไม่ได้อยู่​ใน​ตัว​เรา (เขา)”

            นี่แย้งกันว่า “ถ้ามนุษย์คนใดพูดว่าเขาไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเขาทำให้เขา หรือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนโกหก ไม่จริง กล่าวเท็จ และถ้อยคำของพระองค์ คือถ้อยคำของพระเยซู ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา” คือถ้อยคำพระเยซูที่บอกว่าเป็นความสว่าง เป็นความจริง ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา

            พระเยซูตรัสว่า “คนป่วยต้องการหมอ”

            เราบอกว่า “โกหก ไม่จริง”

            พระเยซูบอกว่า “เราไม่ได้มาหาคนชอบธรรม แต่มาหาคนบาป”

            เราบอก “ไม่จริง เพราะไม่มีใครบาปเลย”

            ก็เท่ากับเรากำลังบอกพระเยซูโกหก

            พระคัมภีร์บอกความจริง ในโรม 5:12 ไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:12 “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            นี่คือความจริง เชื้อบาป ก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนๆ เดียว คืออาดัม มนุษย์ทุกคนจึงเกิดมาเป็นคนบาป ทั้งหมดเหล่านี้ คือความจริงที่พระเยซูบอกเราทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ถ้าใครปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป เขาก็ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริงแน่นอน เขาก็ยังคงแบกบาปทั้งหมดของตน ไว้ที่ตนเอง เข้าสู่การพิพากษาต่อไป จนถึงหลังความตาย แบกรับบาปของตัวเองไว้ แต่ผู้ที่ยอมรับความจริง คือพระคริสต์ ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาก็ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ได้รับความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 1 ยอห์น 2:12 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:12 “ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย (คริสเตียน) เพราะบาปทั้งปวงของท่านได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์”

            “ลูกที่รัก” ก็หมายถึงคริสเตียน นี่บทที่ 2 แล้ว  ที่เราจะเรียนรู้ในครั้งต่อไป อาจารย์ยอห์นจะเน้น เขียนถึงคริสเตียนแล้ว คริสเตียนแท้ๆ คริสเตียนจริงๆ  ที่อยู่ในความสว่าง มีสามัคคีธรรมกัน ทางวิญญาณ รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ  โดยเรียกผู้เชื่อเหล่านี้ คริสเตียนเหล่านี้ว่าลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะเป็นคริสเตียนที่แท้จริง เพราะบาปทั้งปวงของท่านได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยนามพระเยซู เนื่องด้วยท่านเชื่อในนามพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ท่านจึงได้รับการยกโทษบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว

            คริสเตียนได้รับการยกโทษจากบาปทั้งปวง คือบาปที่อยู่ในอาดัม แล้วเราติดเชื้อมา  บาปที่เรากระทำตั้งแต่ในอดีต ตอนเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทำผิดพลาดไป ก่อนรับเชื่อ บาปที่รับเชื่อแล้ว เป็น คริสเตียนยังคงทำบาป ประพฤติ ไม่ถูกต้องอยู่ ก็ได้รับการยกโทษอภัย การอภัยนี้ยกโทษไปหมด บาปไม่มีอยู่อีกเลยในตัวเรา นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์นกำลังจะแจ้งให้เราได้เห็น ได้ชัดเจน ทั้งกับคนที่เป็นคริสเตียนปลอมและคริสเตียนแท้จริงได้รู้ ครั้งต่อไป เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำอธิษฐานของผู้ที่วางใจ ในพระเยซูคริสต์

            ฟิลิปปี 4:6-8 .. “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญ ถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

            ตัวอย่างลักษณะคำอธิษฐานของผู้ที่วางใจพระเยซูคริสต์ ด้วยสุดจิตสุดใจสุดความคิด …

            “พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้ และพระวิญญาณของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในลูกในขณะนี้ ทำให้ลูกเชื่อมั่น และวางใจในพระองค์ได้ ในทุกสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ ปัญหาเรื่องการกินการอยู่ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ในครอบครัวที่แตกแยก ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง ไม่เข้าใจกันและกัน ความกลัว ความวิตกกังวล แม้กระทั่งความตาย

            ลูกไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ลูกรู้คือ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ด้วย พระองค์รัก และห่วงใยลูก และนำพาลูกตลอดเวลา

            ขอบคุณพ่อ ที่คอยสอนลูก ให้รู้จักเคล็ดลับในการดำเนินชีวิต ด้วยสันติสุข ความพอเพียง ไม่ว่ายามสุขสบาย หรือยามทุกข์ยากลำบาก ยามขัดสน หรือยามมีเหลือล้น ยามเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ลูกพร้อมเสมอ ที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยการนำ การทรงสถิตอยู่ ของพระวิญญาณของพระองค์ภายในลูก… ลูกขอวางใจในพระองค์ และดำเนินชีวิต ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทุกประการ ด้วยความยินดี

            ในนามพระเยซูคริสต์

            เอเมน”