วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1469

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  พฤษภาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 2

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 1 คราวที่แล้วเราจบลงข้อที่ 6 บอกว่า …

        กาลาเทีย 1:6-8 “6 ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลาย ทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน โดยพระคุณของพระคริสต์ไปอย่างรวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่น 7 ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐเลย เห็นได้ชัดว่าบางคนกำลังทำให้ท่านสับสนวุ่นวาย และพยายามบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ 8 ไม่ว่าเราหรือทูตสวรรค์ หากประกาศข่าวประเสริฐอื่นซึ่งต่างจากข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!”

            อาจารย์เปาโลบอกว่าใครก็ตามที่ประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกจากข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลได้ประกาศไปแล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง

            ข่าวประเสริฐอื่นคืออะไร? คราวที่แล้วข้อที่ 6 บอกว่าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน ขอบอกตรงนี้เข้าใจว่าพูดกับคนไม่เชื่อ แต่จริงๆ บริบทนี้ตั้งแต่เริ่มต้น อาจารย์เปาโลพูดกับคนที่เชื่อแล้ว  เชื่อวางใจในข่าวประเสริฐของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แต่มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้เขา ดูเหมือนว่าเขาละทิ้งพระองค์ไป เหมือนกับว่าแทนที่เขาจะยึดมั่นในสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้ประกาศก่อนหน้านั้น คือประกาศว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เมื่อเขาเชื่อปุ๊บ เขาได้รับความรอด  ได้รับพระคุณจากพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้ คือแทนที่กลุ่มคนเหล่านี้ ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า จากที่เริ่มต้นได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ผ่านทางอาจารย์เปาโล เขาก็เชื่อจริงๆ ว่าความรอดนี้ ได้มาผ่านทางความเชื่ออย่างเดียว คือเขาไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาได้รับความรอด  อันนั้น คือเริ่มต้นที่เขาได้ยินข่าวดี แล้วเขายึดมั่นตรงนี้

            พอนานวันเข้า เราจะเห็นภาพ อาจารย์เปาโลเมื่อประกาศข่าวดีของพระองค์แล้ว  เขาก็มีการตั้งคริสตจักร จากนั้นอาจารย์เปาโลก็จะเดินทางไปที่อื่น  เดินทางไปประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ แล้วจะมีคนที่มาดูแลคริสตจักรต่อจากอาจารย์เปาโล พอมีคนมาดูแล หลายคนก็จะเกิดคำสอนที่มันผิดเพี้ยนไปจากเริ่มต้นที่อาจารย์เปาโลได้ประกาศว่าความรอด มีผ่านมาทางความเชื่อเท่านั้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อทำให้ความรอดสมบูรณ์ขึ้น แต่ความรอดที่พระเยซูคริสต์ทำให้ คือครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จแล้ว

            ฉะนั้น มีคนที่มาประกาศว่าไม่ได้ เชื่ออย่างเดียวไม่พอ ควรจะทำเพิ่มเติมด้วย อาจจะตรงนี้มีคาบเกี่ยวกับคนยิวด้วย เพราะว่าจะมีผู้เชื่อที่เป็นคนยิวด้วย มากลับใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แต่เนื่องจากความเคยชินเก่าๆ ที่เขาเคยรักษากฎบัญญัติ ทำโน่นทำนี่มาตลอด เมื่อมาเชื่อพระเจ้า เขาก็มีความรู้สึกว่าแค่เชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียวมันไม่พอ  มันควรจะทำอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง แล้วทำเพิ่มขึ้น คือตัวเองทำไม่พอ ยังไปบอกคนต่างชาติที่มาเชื่อ ต้องทำอย่างนี้เพิ่มเติมนะ  แค่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ สมมติว่าเมื่อก่อนมีพิธีเข้าสุหนัต เมื่อถึงวันสะบาโต ก็ต้องไปวิหารของพระเจ้า  ต้องโน่นต้องนี่ ก็คือหลายคนก็ถูกชักจูงให้หลงไป พอนานๆ เข้า รู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผลนะ เราควรจะทำโน่นนี่นั่น เพื่อให้ความรอดสมบูรณ์ขึ้น นี่แหละที่อาจารย์เปาโลพูดว่าทำไมท่านถึงได้หันเหไปจากข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้อย่างรวดเร็ว คือแทนที่จะยึดมั่นในความจริงตรงนี้ว่า …

            “ฉันรอดแล้ว ฉันได้รับพระพรนานับประการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว โดยที่ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อทำให้ความรอดฉันสมบูรณ์ขึ้น”

            แต่สิ่งที่มันปรากฏขึ้น หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าพูดอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย มันไม่ใช่ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้ผลักดันจากข้างในเราออกไปสู่ภายนอก  ก็คือโน้มนำเราให้ประพฤติปฏิบัติตามตัวตนแท้ๆ ของเรา  ที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะทำดีได้มากกว่าเดิม แต่เป็นการทำดีจากธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นคนดี ไม่ได้ทำดี เพื่อเราจะได้รับความรอดเพิ่มเติมขึ้น อันนี้ชัดเจนนะ  ถ้าพี่น้องแยกตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เวลาฟังถ้อยคำของพระเจ้า  หรืออ่านถ้อยคำของพระเจ้า พี่น้องก็จะไม่สับสน

            อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครก็ตามมาประกาศข่าวประเสริฐอื่น ที่ทำให้ผู้เชื่อ ที่มีความเชื่อมั่นคงแล้ว เกิดความสับสนวุ่นวายว่าตกลงต้องอย่างไรดี?  แล้วแค่นี้พอไหม?  เราต้องทำอะไรเพิ่มไหม?  เป็นลักษณะบิดเบือนความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “ถ้าใครก็ตามที่ประกาศข่าวประเสริฐอื่น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทูตสวรรค์ หรือจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือแม้แต่ตัวอาจารย์เปาโลเอง ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกเหนือจากที่เคยประกาศแล้ว ให้คนนั้น ถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์”

            คำว่า “ถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์” หมายความว่าอยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า ใครก็ตามที่ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มีข่าวประเสริฐเดียว คือพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และใครก็ตามที่เชื่อในถ้อยคำตรงนี้  เขาได้รับความรอด เขาได้รับชีวิตนิรันดร์ เขาได้รับพระพรนานับประการ  ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว นี่ข่าวประเสริฐมีแค่นี้เอง แต่ถ้าใครมาเพิ่มเติมข่าวประเสริฐ ซึ่งมันไม่ตรงตามความเป็นจริง คือเพิ่มว่าเราจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่นเพิ่มเติม เพื่อทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  เพื่อทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือเพื่อทำให้เราบริสุทธิ์มากขึ้น  ทำให้เราเป็นคนดีมากขึ้น อันนั้นไม่ใช่แล้วล่ะ คนเหล่านั้นกำลังทำให้ผู้เชื่อไขว้เขว แล้วก็พยายามกลับไปที่เดิม

            การกลับไปที่เดิม คือเรากลายเป็นกลับไปที่เดิมตรงที่ว่าเราต้องทำ ถึงจะได้ แต่ความเป็นจริง คือเราได้แล้ว เราถึงทำ อันนี้ต่างกันมาก

            ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราจำเป็นจะต้องทำความดี เพื่อเราจะได้มาตรฐานตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ และไปอยู่ที่สวรรค์ แต่ตอนนี้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว สถานะเรา คือเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ณ เวลานี้ เราอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว จากนั้น เราค่อยดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงของการบังเกิดใหม่ของเรา ที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ความเป็นจริงตรงนี้ คือความประพฤติออกไป ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเราอยู่ข้างใน มันต่างกันมาก ถ้าทำแบบนี้ คือเราทำแบบสบายๆ มันจะออกมา เป็นธรรมชาติของเรา ธรรมชาติอย่างที่เราคุยกันอยู่บ่อยๆ ธรรมชาติเป็นปลาก็ว่ายน้ำเป็น แค่พัฒนาการว่ายน้ำให้มันเชี่ยวชาญขึ้น เป็นคนก็เดินเป็น ถ้าถึงวัยที่สมควร เด็กทุกคนเดินเป็น นอกจากเด็กพิการเท่านั้น ที่เดินไม่ได้ ถ้าปกติ ถึงเวลา เด็กคนนั้นจะเดิน จะเดินได้เร็วหรือช้าก็แล้วแต่ แต่ยังไงวันหนึ่งเขาจะเดิน หรือมนุษย์ทุกคนพูดเป็น บางคนพูดช้ามาก อายุ 5 ขวบแล้วยังไม่พูดเลย พ่อแม่ตกใจ …

            “ลูกฉันจะเป็นใบ้ไหม?”

            แต่พอถึงวาระของเขา เขาพูดได้ เขาได้ยินสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สนทนา ได้ ยินสิ่งที่ผู้คนรอบข้างสนทนา แล้วเขาก็ฝึกที่จะพูด อันนี้เป็นภาพปกติของธรรมชาติของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ฉะนั้น เมื่อเราบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นธรรมชาติหนึ่ง คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ เป็นธรรมชาติที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเจ้าเลย

            เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นความดีงาม  เกิดมาเป็นความรัก คือเกิดมาธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนั้นแล้ว แค่เรารับรู้ความจริง แล้วก็อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา ทำการงานในชีวิตของเรา เพื่อให้ชีวิตที่เราเป็นนั้น ได้สำแดงออกไป ให้ผู้คนสามารถมองเห็นได้  บางคนอาจจะสำแดงได้เยอะได้น้อย ก็แล้วแต่ไม่เป็นไร เหมือนกับเราเป็นลูกของพระเจ้า เราจะสามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราได้มากหรือน้อย ก็ไม่เป็นไร ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ เรายังได้รับความรอดนิรันดร์อยู่ เราเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เพียงแต่ว่าการสำแดงมันช้าไปเท่านั้นเอง เมื่อช้าไป ก็ไม่ได้สามารถเป็นเครื่องมือให้กับพระเจ้าที่ใช้เราได้เต็มที่ แค่นั้นเอง …

        กาลาเทีย 1:9 “ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน นอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!”

            มา 2 ข้อเลยนะ แปลว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ที่อาจารย์เปาโลเน้นหนักหนา ทำไมอาจารย์เปาโลถึงต้องเน้นถึงขนาดนั้น  เพราะว่าถ้าคนที่ประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นความจริงตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เป็นข่าวประเสริฐที่ผสมปนเป คนที่ได้ยินได้ฟัง เขาไม่สามารถที่จะรับข่าวดีที่แท้จริง คนที่ไม่เชื่อ เขาไม่สามารถที่จะบังเกิดใหม่ได้จริงๆ เลย หรือคนที่เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ได้รับข่าวดี จริงๆ แล้วได้รับข่าวดีที่ดีแล้ว  แล้วพอได้ยินอะไรที่ผสมมา ทำให้สามารถไขว้เขวแล้วก็ดำเนินชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ตัวตนแท้ๆ ที่เขาเป็นอยู่ได้

            ฉะนั้น อันนี้อาจารย์เปาโลเน้นมาก แล้วก็ไม่ยอมเลยที่จะลดละ ต่อสู้เพื่อเรื่องนี้จริงๆ ที่เรารู้ว่าอาจารย์เปาโลต่อสู้เพื่อเรื่องนี้ เพราะว่าอาจารย์เปาโลเรียกว่าไม่ยอมอ่อนข้อกับอะไรก็ตามที่มันไม่ตรงตามความเป็นจริง อาจารย์เปาโลก็เลยถูกข่มเหงไง ถูกข่มเหงหนักมาก …

        กาลาเทีย 1:10 “นี่ข้าพเจ้ากำลังมุ่งให้มนุษย์  หรือพระเจ้ายอมรับกันแน่? หรือว่าข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจ? หากข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์”

            การทำให้มนุษย์พอใจ อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ เวลานั้น  ที่อยู่ในช่วงนั้น อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าความรอด จะมาถึงคนยิวก่อน  จากนั้นจะมาถึงคนต่างชาติด้วย คนต่างชาติ ซึ่งสมัยก่อน ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นพวกเดียวกันกับคนยิว  ก็คืออยู่กันคนละระดับ  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้แล้วสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ หมายความว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าเท่าเทียมกัน เมื่ออาจารย์เปาโลประกาศอย่างนี้ คนยิวไม่ยอม อย่างเด็ดขาดเลย  คนต่างชาติซึ่งไม่มีระดับ เขาจะมาอยู่ในสถานะอันเดียวกันกับเราได้อย่างไร?  เราเป็นประชากรของพระเจ้านะ และยิ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าโดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น  คนต่างชาติจะเข้ามาอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับคนยิว  สามารถเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา เรียกพระเยซูคริสต์ เป็นพี่ชายคนโตได้ ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้นใหญ่เลย

            ฉะนั้น เหตุผลตรงนี้แหละ ทำให้อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ เพราะถูกเรียกมา ไม่ประกาศไม่ได้ อาจารย์เปาโลจึงถูกไล่ล่าตลอดเวลา พวกคนยิว พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี ก็เหมือนกับตอนที่พระเยซูประกาศนั่นแหละ พวกคนยิว พวกฟาริสีก็พยายาม วันดีคืนดี ก็จะเอาหินขว้างพระเยซูให้ตาย แต่พระเยซูก็หลบหลีกได้ทุกครั้ง จนถึงวันที่พระเจ้ากำหนด พระเยซูก็ไม่หลบ ก็ยอมให้จับโดยดี และก็เดินทางไปที่แดนประหาร

            ฉะนั้น ตรงนี้เป็นภาพที่ให้เห็น อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าถ้าฉันจะเอาใจมนุษย์ หรือทำให้มนุษย์พอใจ ณ เวลานั้น คือทำให้พวกธรรมาจารย์พอใจ  ทำให้ฟาริสีพอใจ ทำให้คนยิวในยุคนั้นพอใจ ฉันก็จะอะลุ่มอล่วยว่าไม่เป็นไรหรอก คนต่างชาติมาเชื่อพระเจ้า เชื่อไปด้วย ปฏิบัติตามกฎบัญญัติไปด้วยก็ได้ ไม่เป็นไร  แต่อาจารย์เปาโลบอกไม่ได้ มันคนละเรื่องเลย เอามาผสมกันไม่ได้ เรื่องของความเชื่อในความรอดในพระเยซูคริสต์ จะมาผสมกับการปฏิบัติด้วยกำลังของตัวเองไม่ได้

            อาจารย์เปาโลไม่ยอมเด็ดขาด ก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ มันต้องเป็นแบบนี้ ก็คือความรอดผ่านทางความเชื่อเท่านั้น พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ ก็ไม่ได้เอาใจพวกธรรมาจารย์แล้วใช่ไหม?  ไม่ได้เอาใจพวกฟาริสีแล้วใช่ไหม? พวกธรรมาจารย์ฟาริสี คนต่างชาติมาเชื่อแล้ว ไหนๆ เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว งั้นจับมาเข้าสุหนัตแล้วกัน

            การเข้าสุหนัต เป็นพิธีกรรมหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่สมัยอับราฮัม ที่พระเจ้าให้ทำพันธสัญญากับพระเจ้าครั้งแรก ให้อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเป็นพันธสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  แล้วอับราฮัมก็ทำพิธีนั้น โดยผู้ชายทั้งหมดในบ้านของอับราฮัม ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานเหลนโหลน คนใช้ ข้าทาสบริวารทั้งหมด อับราฮัมก็จับมาทำพิธีเข้าสุหนัตเลย แล้วการเข้าพิธีทำแบบนี้ในสมัยพระคัมภีร์เดิม ก็คือเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า  เพราะว่าพระเจ้าสั่งอับราฮัมทำตรงนั้น มันเป็นความเชื่อ ในพระคัมภีร์เดิม

            แต่พอถึงยุคของพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าบอกว่าพิธีนั้นไม่ต้องแล้ว  เราจำได้ใช่ไหมวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  ม่านในวิหารขาด  แปลว่าการถวายเครื่องบูชาตั้งแต่วินาทีนั้น ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาอีกแล้ว ม่านขาดแล้ว สถานอภิสุทธิสถานที่คนยิว พวกมหาปุโรหิตเข้าไปปีละครั้ง  ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าพันธสัญญาเดิมได้ถูกยกเลิก ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วพระเจ้าก็ตั้งพันธสัญญาใหม่ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่พระเจ้าบอกว่ามีทางเดียวที่มนุษย์สามารถเดินทางไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้  หรือเดินทางไปถึงสวรรค์ที่พัก ที่อาศัยของพระเจ้าได้ ก็คือมาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            พระเยซูเป็นคนบอกเองตั้งแต่สมัยที่พระองค์ยังเดินอยู่กับคนยิว ยังเดินอยู่กับสาวกของพระองค์ พระเยซูบอกว่าเราเป็นทางนั้น  คือทางที่มนุษย์จะเดินไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้ เราเป็นความจริง ความจริง ก็คือมนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ด้วยการกระทำดีของตัวเอง  ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน แล้วเป็นชีวิต มีแหล่งชีวิตเดียวเท่านั้น คือมีในพระเยซูคริสต์ ในผู้อื่นไม่มีชีวิต ฉะนั้น ใครก็ตามที่มาทางพระเยซูคริสต์ เขาจะได้ชีวิต แล้วเป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้  สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เดินมารับ เขาก็ได้

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าถ้าเราจะทำให้มนุษย์พอใจ  เราก็ไม่ต้องไปขัดใจกับมนุษย์ เราก็หยวนๆ อือออห่อหมกไป แต่อันนี้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้เชื่อ ถ้าอาจารย์เปาโลยอมให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ควบคุม ก็คืออำนาจในยุคนั้น เป็นอำนาจ เป็นอิทธิพลใหญ่ที่จะสามารถควบคุมผู้คนมากมาย แต่อาจารย์เปาโลไม่ยอมถูกควบคุมด้วยอำนาจเหล่านี้ อาจารย์เปาโลยังยืนยัน และเดินหน้าต่อไป ที่จะประกาศความจริงของพระเจ้า  ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้อาจารย์เปาโลต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถูกไล่ล่าตลอดเวลา ถูกจับติดคุก

            อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้ข้าพเจ้าถูกจับติดคุก ถูกล่ามโซ่ แต่ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่มีใครสามารถล่ามโซ่ไว้ ก็ยังถูกประกาศออกไป อยู่ในคุกก็ยังให้คนช่วยเขียนจดหมาย ที่จะหนุนจิตชูใจผู้เชื่อ ส่งออกไป แล้วก็ให้คนโน้นคนนี้อ่าน สมัยก่อน มีจดหมายฝากฉบับหนึ่งส่งไป แล้วเขาก็อ่านเวียนไปทั่ว เป็นคำหนุนจิตชูใจที่อาจารย์เปาโลส่งไป …

        กาลาเทีย 1:11-12 “11 พี่น้องทั้งหลาย  ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้น 12 ข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนี้จากมนุษย์คนใด      หรือมีคนมาสอน แต่รับการทรงสำแดงจากพระเยซูคริสต์”

            อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันในกาลาเทีย บทที่ 1 เป็นการยืนยันว่าข่าวประเสริฐที่ฉันได้รับ ไม่ได้มาจากการได้ยินได้ฟัง หรือมาจากมนุษย์ที่มาสอน หรือไปเรียนกับเปโตร ไปเรียนกับพวกอัครทูต ไม่ใช่เลย  แต่ว่าพระเยซูคริสต์เองเป็นผู้มาสั่งสอนอาจารย์เปาโลด้วยตัวของพระองค์เอง อาจารย์เปาโลถึงสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นอัครทูต แต่เป็นอัครทูตคนสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์มาสำแดงให้เขาได้เห็นจริงๆ  หลังจากที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้นการยืนยันตรงนี้ เพื่อที่จะให้ผู้คนในกาลาเทียได้รับรู้ว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดมาจากพระเยซูคริสต์จริงๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์เลย เป็นการยืนยันตัวตนแท้ๆ ของอาจารย์เปาโลว่าเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์ส่งมาจริงๆ …

        กาลาเทีย 1:13-16 “13 ในเมื่อท่านก็ทราบว่าเมื่อก่อน  ขณะยังถือศาสนายิวข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรงและพยายามจะทำลายให้สิ้น 14 เมื่ออยู่ในศาสนายิว  ข้าพเจ้าก้าวหน้ากว่าพี่น้องยิวหลายคนในรุ่นเดียวกัน และหัวรุนแรงอย่างยิ่งในการยึดถือประเพณีตามบรรพบุรุษของข้าพเจ้า 15 แต่เมื่อพระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่กำเนิด และทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ 16 พระองค์พอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรนั้น ท่ามกลางชาวต่างชาติ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษามนุษย์คนใด”

            ทำไมอาจารย์เปาโลต้องไล่ยาวขนาดนั้น  เพราะว่ากำลังบอกให้คนเหล่านี้รับรู้ว่าฉันไม่ได้ถูกส่งมา โดยมนุษย์นะ พระเยซูคริสต์เป็นผู้ส่งฉันมาเอง  แล้วก็ไล่ถึงอดีตของท่าน อาจารย์เปาโลอยู่ในกลุ่มพวกฟาริสี ก็คือเป็นคนที่รู้กฎบัญญัติของพระเจ้าเยอะมาก คือรู้แบบทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่รู้อย่างเดียว อาจารย์เปาโลยังเป็นผู้ประพฤติตามด้วย ก็คือทำตามระเบียบเป๊ะๆ เลยตามนั้น  ที่อาจารย์เปาโลต้องเล่าให้ฟังว่าที่แต่ก่อนนี้ ฉันเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ คือเป็นคนหัวรุนแรงมาก  เป็นคนรักพระเจ้า รักสุดๆ เลย แล้วพอพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าพระองค์เป็นผู้นั้น เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ อาจารย์เปาโลก็ไม่เชื่อ ณ เวลานั้น ท่านต่อต้าน เราจะเห็นภาพหนึ่ง ตอนที่สเทเฟน ซึ่งเป็นมัคนายก ที่ถูกเลือกมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า แล้วถูกคนยิวเอาหินขว้างจนตาย ต่อหน้าต่อตา แต่ สเทเฟนก็ให้เขาขว้างจนตาย แล้วสิ่งที่สเทเฟนทำ ก็คือมองไปที่ฟ้าสวรรค์ รู้ว่าไม่เป็นไร ถ้าตาย เขาก็ได้อยู่กับพระเจ้า แล้วเขายังได้อธิษฐานเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐาน คือ …

            “พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้กับคนเหล่านี้เถิด  เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ที่เขาทำ เขาคิดว่าเขากำลังปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า กำลังเป็นผู้ที่ต่อสู้ เพื่อความจริงของพระเจ้า ที่ใครก็ตามที่จะมาลบหลู่พระเจ้าไม่ได้ ใครก็ตามที่มาอ้างว่าเป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่ได้” อะไรประมาณนั้น

            แล้ว ณ เวลานั้น สเทเฟนถูกหินขว้างตาย เปาโลก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย  ก็คือเห็นดี เห็นงาม เห็นชอบว่าพวกนี้สมควรตาย พวกที่ไปทางนั้น เขาเรียกว่าทางนั้น ทางพระเยซูคริสต์ สมควรตายอย่างยิ่ง เพราะว่าลบหลู่และหมิ่นประมาทพระเจ้า พระบิดา นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลเป็น

            เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นภาพที่อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่า … “เห็นไหม ฉันเคร่งศาสนามาก พอตอนที่คนมาเชื่อวางใจในพระเจ้า ฉันก็ยังเป็นคนที่ไปไล่ล่า”

            คนอื่นไม่ไล่ล่านะ แต่อาจารย์เปาโลไปไล่ล่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เอามาติดคุกบ้าง เอามาทรมานบ้าง อะไรบ้าง  ก็คือได้ยินข่าวว่าที่ไหนมีคนจับกลุ่มกัน สุมศีรษะกัน พูดถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทันทีเลย อาจารย์เปาโลต้องไปจัดการให้สิ้นซาก  เหมือนลักษณะว่าอย่างนี้เรารักพระเจ้ามาก ปล่อยให้คนเหล่านี้ทำแบบนี้ไม่ได้ เราต้องไปจัดการ นี่คือภาพ

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามเล่าให้ฟังถึงเรื่องเหล่านี้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่สมัยนั้น พูดถึงบทบัญญัติ การดำเนินชีวิตแบบตามกฎเป๊ะๆ ฉันสุดยอดแล้ว ไม่มีใครเหนือกว่าแล้ว แต่ว่าโดยพระคุณของพระเจ้า เมื่อวันที่อาจารย์เปาโลกำลังจะไปไล่ล่าคริสเตียน พระเยซูมาพบอาจารย์เปาโลโดยตรงเลย พอพบปุ๊บ อาจารย์เปาโลกลับใจใหม่ คำว่า “กลับใจใหม่” คืออาจารย์เปาโลรู้เรื่องของพระเจ้าดีอยู่แล้ว  ไม่ต้องมาอธิบายเหมือนพวกเรา พวกเราเป็นคนต่างชาติ เราไม่รู้หรอกว่าพระเยซูเป็นใคร?  เราต้องมาเรียนรู้ อาจารย์เปาโลไม่ต้องเรียนรู้ เพราะว่าเขารู้อยู่แล้ว

            พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าวันหนึ่งพระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มาให้ เมื่อเขาได้พบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า ตอนที่จะเดินทางไปจับคริสเตียน เขาได้กลับใจใหม่ เขาได้บังเกิดใหม่ เขาได้รับการบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อเขาได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ เขาก็เริ่มปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าเลย คือไปประกาศ แทนที่เมื่อก่อน ใครพูดถึงทางนั้น อาจารย์เปาโลจะไปไล่ฆ่า แต่วันนี้กลับกันอาจารย์เปาโลกำลังไปประกาศ เรื่องของทางนั้น คือประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ท่ามกลางคนต่างชาติด้วย ซึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าอาจารย์เปาโลเป็นภาชนะ ที่พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น ก็คือเตรียมไว้ เพื่อเขาจะได้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งการเตรียมตรงนี้ เรียกว่าสาหัสมาก เหมือนไปท้าทายอำนาจที่สูงสุดของพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เลยล่ะ  เพราะว่าคนยิวถือว่าคนต่างชาติเป็นเหมือนหมู เหมือนหมา ไม่สามารถจะมาเทียบระดับชั้นเดียวกับเราได้เลย

            แต่อาจารย์เปาโลกลับไปประกาศเรื่องความจริงว่าพระเจ้าเลือกคนต่างชาติด้วย แล้วเมื่อผ่านทางความเชื่อ หมายความว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ กฎเดิมถูกยกเลิกไปแล้ว  คนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องมาบังเกิดใหม่ คือย้ายจากความเชื่อเดิม คือพึ่งพาในการทำตามกฎบัญญัติทุกประการ เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระเจ้า ตอนนั้น ไม่ใช่ลูกพระเจ้าด้วยนะ เป็นประชากรของพระเจ้า เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ แต่พระเจ้าบอกว่าไม่มีทาง ทำไม่ได้ พระองค์เลยเตรียมแผน 2 ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แผนแรก คือเตรียมคนยิว และแผนการที่ให้คนยิว เอาแพะเอาแกะมาไถ่บาป นั่นคือแผนแรก ก็เอาสำรองไป เป็นเงา แต่วันหนึ่ง เมื่อพระเยซูคริสต์มา ก็คือเป็นแผน 2 ที่พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ต่อแต่นี้ไป พระเยซูคริสต์เป็นแกะปัสกา คือถวายตัวพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แปลว่าการถวายเครื่องบูชาในพระวิหารมันจบสิ้นแล้ว ไม่ต้องทำแล้ว

            ฉะนั้น คนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ จำเป็นจะต้องย้ายจากการพึ่งพาการทำความดีตามบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ มาพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ มาพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในความดีที่พระเยซูคริสต์ทำให้ ทุกคนไม่มีข้อยกเว้น แล้วถ้าคนยิวยังยึดถือในเรื่องเดิมอยู่ ในการประพฤติตามกฎเก่าอยู่ เมื่อถึงวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อคนยิวละร่างกายนี้ เรียกว่าถึงวันตาย เรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง ถ้าเขายังไม่ย้ายจากที่เดิมมาอยู่ที่ใหม่ เขาก็ยังคงจะอยู่ที่เดิม ที่ๆ อยู่ในคำสาปแช่ง มนุษย์ทุกคนอยู่ในคำสาปแช่งหมดเลยนะ เกิดมา ก็ถูกสาปแช่งแล้ว  เกิดมาก็เดินทางไปสู่ความตายแล้ว ฉะนั้น ถ้าไม่คิดจะย้าย ก็ยังอยู่ที่เดิม       แต่จะมีคนยิวกลุ่มหนึ่งที่ย้ายมา

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงเมตตาให้ข่าวดีนี้ มาถึงพวกเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติ เป็นคนที่เรียกว่าไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่สมควรที่จะเป็นลูกของพระเจ้าเลย แต่พระเจ้าเมตตา พระองค์ให้เราได้มีโอกาสได้กลับใจใหม่  ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ แล้วก็บอกเราว่าผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ อย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเชื่อปุ๊บ พระเจ้าจะทำขบวนการของพระองค์ในโลกวิญญาณ แล้วเราก็จะเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้รับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้บอกไว้

            หลังจากนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว ณ เวลานี้ พวกเราทุกคนมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรานะ เราไม่สามารถสัมผัส จับต้องด้วยมือของเราได้ ไม่สามารถมารู้สึกหวือหวา …

            “เอ๊ะ! จริงหรือเปล่า พระเจ้าอยู่ในเรา?”

            เราไม่สามารถใช้ลักษณะแบบนี้ได้ แต่เราเชื่อในความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้วจริงๆ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอยโน้มนำเรา ให้เราประพฤติปฏิบัติตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น

            การโน้มนำ คำนี้แปลว่าโน้มน้าวจิตใจ ให้เรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วประพฤติตามธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นอยู่แล้ว คือความดีงามออกไป คือเอาแสงสว่างที่มันมีอยู่แล้ว ในตัวเรา ออกไปกับการบังคับ มันต่างกัน  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าไม่บังคับเรา แต่พระเจ้าจะหนุนใจเรา  พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลยนะ  แล้วพี่น้องคิดดู แม้แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา แล้วเราจะมีสิทธิ์อะไร ไปบังคับคนอื่น มันไม่ได้ พระเจ้าให้เสรีภาพกับพวกเราทุกๆ เราจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยอมให้พระเจ้าทำงานมากน้อยแค่ไหน? อย่างไร? กี่เปอร์เซ็นต์? ถ้าเรายอมให้พระเจ้าทำงาน 10% เราก็จะได้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปให้คนอื่นได้เห็น 10% ถ้าเรายอมให้พระเจ้า 20, 30, 40, 50, 60% เราก็จะสามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ออกไป 60%  แต่เราไม่สามารถทำได้ 100% แน่นอน ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ แต่ว่าพี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะทำได้กี่เปอร์เซ็นต็ก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะในวิญญาณของเราให้กลายเป็นอื่นได้  เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิมเลย

            เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เราก็ได้อยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่ง ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เรานั่งอยู่แล้ว พระเจ้าบอกว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พอเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย นี่คือภาพ

            ฉะนั้น ถ้าเราเห็นภาพตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในสิ่งสารพัด ที่พระองค์ได้ทำให้กับพวกเราสำเร็จแล้ว และชื่นชมยินดีที่จะเชยชมกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเรา สำเร็จแล้ว มีความสุขในแต่ละวัน ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ความสุขตรงนี้หมายถึงความสุขข้างในวิญญาณ ส่วนร่างกายเรา เราอาจจะสุขบ้าง? ทุกข์บ้าง? อะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร เพราะว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอแน่ๆ ทุกข์บ้าง? สุขบ้าง? อะไรบ้าง? ยิ่ง ณ เวลานี้ อากาศร้อนมาก ออกไปข้างนอก เราก็ทุกข์นะ เพราะว่าเดินไปเดินมาเหงื่อซกเลย อะไรแบบนี้ นั่นคือทุกข์กาย แต่เราจะไม่ทุกข์ใจ

            ข้างในวิญญาณเราจะมีความสุข เพราะว่าเราได้รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และอยู่บนโลกนี้  ก็แค่แป๊บเดียวเอง วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม ไม่ต้องทรมานด้วย ถึงบอกว่าผู้เชื่อ พอเรามาเป็นคริสเตียน เราจะพูดถึงเรื่องความตาย ไม่ได้มีผลอะไรเลย เพราะว่าใครตายก่อน สบายก่อน เอาอย่างนี้ดีกว่า ใครตายก่อนสบายก่อน ถ้าเมื่อก่อนนี้เราไม่เชื่อพระเจ้า ใครตายก่อน เราก็ทุกข์นะ อายุยังน้อยอยู่เลย ทำไมถึงตายล่ะ อะไรอย่างนี้ แต่พอเรารู้ความจริง คือใครตายก่อน สบายก่อน  เพราะว่าพระเจ้ากำหนดเขาไว้แค่นั้นเอง ใครก็ตามที่เสร็จงาน  พระเจ้าก็พากลับบ้าน เสร็จงาน พระเจ้าก็พากลับบ้าน  งานตรงนี้ ไม่ใช่งานที่เราอยากทำ แต่เป็นงานที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราแต่ละคน ที่มันไม่เหมือนกัน ก็คือเมื่องานของใครสำเร็จ พระเจ้าบอกโอเคแล้ว  เสร็จงานแล้ว ไปพักผ่อน กลับบ้าน  เราก็หลับไป อยากเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลับไป ไม่ต้องป่วยตาย หรืออะไร? เราเลือกไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ต่อให้เราป่วยตาย เราก็ยังได้พักผ่อนก่อนคนอื่น ก็คือวิญญาณเราได้ไปอยู่กับพระเจ้าจริงๆ เลย เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้

            ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข เราจะไม่รู้สึกว่าทุกวันจะต้องมานั่งทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจ ก็คือทำให้ตัวเองมีความสุขมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าให้เรามี พระเจ้าต้องการให้ลูกของพระองค์ชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ในแต่ละวัน ในแต่ละวินาที ที่พระองค์ได้ประทานให้กับเรา  ชื่นชมยินดีว่าเราไปไหน พระเจ้าอยู่ด้วย  พระเจ้าอยู่ในนี้ พระเจ้าไม่ได้ไปไหนเลย ไปด้วยกัน เกี่ยวก้อยในวิญญาณด้วยกัน กอดคอไปด้วยกัน นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องเห็น เมื่อเราเห็นปุ๊บ  เราจะมีความสุขในทุกๆ วัน …

        กาลาเทีย 1:17-20 “17 ทั้งไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  เพื่อพบบรรดาคนที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าตรงไปยังประเทศอาระเบียทันที และภายหลังได้กลับมายังเมืองดามัสกัส 18 สามปีต่อมาข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม   เพื่อทำความรู้จักกับเปโตร และพักอยู่กับเขาสิบห้าวัน 19 ข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นๆ    เลย    นอกจากยากอบน้องขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20 ข้าพเจ้าขอยืนยันต่อหน้าพระเจ้าว่าที่เขียนมานี้ไม่ได้โกหก”

             ที่ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าอาจารย์เปาโลพอได้รับการทรงเรียกปุ๊บ ไม่ได้ไปเจอพวกอัครทูตนะ ก็ไปประกาศข่าวดีของพระเจ้าเลย กับคนต่างชาติ  เลยมาหลายปี ก็กลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปพบกับเปโตร ไปพบกับยากอบ เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียม เป็นผู้ส่งอาจารย์เปาโลไปเอง ฉะนั้น ข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลได้รับ ก็ไม่ได้รับจากเปโตร หรือไม่ได้รับจากยากอบเลย แค่มาทักทายกัน เหมือนกับต่างคนต่างรับใช้  เปโตรถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนยิว อาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ แล้วนานๆ ก็มาเจอกันที มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ มาเป็นพยานเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าได้นำไปทำ แล้วก็ชื่นชมยินดี เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วไม่มีใครดีกว่าใคร? ไม่มีใครเก่งกว่าใคร? คนที่ทำงาน คือพระเจ้าเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา

            ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถอวดอ้างได้ว่าเราทำงานเยอะกว่าคนอื่น ถ้าเราทำงานเยอะกว่าคนอื่น แปลว่าพระเจ้าให้ของประทานเราเยอะกว่าคนอื่น ให้กำลังเราเยอะกว่าคนอื่น แล้วคนที่ทำ ก็คือพระเจ้าที่อยู่ในเรานั่นแหละ เหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่เป็นความเป็นจริง ฉะนั้น พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอกให้คิดว่าเราดีกว่าคนอื่น หรือคนอื่นด้อยกว่าเรา เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในพวกเราทุกๆ คน คือพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครด้อยกว่าใคร เพราะว่ามีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวทุกคนเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกบอกว่า “ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตา จับต้องด้วยมืออย่าเชื่อเด็ดขาด”

                        แต่ …

            พระเจ้าบอกว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระองค์ได้เตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”

            ท่านเชื่อใครครับ?

            1 โครินธ์ 2:9 … “ดังที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”

            ฮีบรู 11:3, 6 … “3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา

            6 ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง”

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ