วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1467

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  เมษายน  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

            กลับมาที่ซีรี่ย์ Before and After คือวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู

            วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? เรากำลังพูดถึงเรื่องวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในพระคัมภีร์บอกไว้เลย  เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด มากกว่าโลกวัตถุที่มองเห็น ใน 2 โครินธ์ 4:8 ได้บอกไว้อย่างนี้ว่าเพราะฉะนั้น เรารู้อย่างนี้  เราจึงไม่มองในสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือวัตถุต่างๆ ที่เราจับต้องมองเห็นได้  แต่เรามองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือในโลกวิญญาณ  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น มันเป็นอยู่เพียงแค่ชั่วคราว  เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลงแล้ว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ คืออยู่ไปตลอดเลย นี่สำคัญที่สุด

            แล้วพระคัมภีร์ยังได้บอกเรา ให้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ชัดเจน  ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าถ้าเผื่อทางโลกวิญญาณ มันสำคัญอย่างนี้ ความจริงอันดับแรก ที่ไบเบิ้ลบอกให้มนุษย์ได้รู้ ก็คือมนุษย์นั้นเป็นวิญญาณ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้  เพียงชั่วคราว  นี่เห็นชัดเลย ร่างกาย วัตถุจับต้องมองเห็นได้  คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราวเอง  เราก็รู้อยู่ เดี๋ยวมันก็ต้องตายแล้ว จะตายเร็ว ตายช้า มันต้องตายแน่นอน แต่วิญญาณข้างในที่มองไม่เห็น มันอยู่นิรันดร์ ตรงนี้มันสำคัญมาก ให้เราสนใจ ให้เราได้เรียนรู้ว่าวิญญาณเรา เป็นอย่างไร? อยู่ในสถานะใด?  อยู่ที่ไหนในขณะนี้? อยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่ไหน? แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าในโลกวิญญาณนั้น มีอยู่แค่เพียง 2 แห่งเท่านั้นเอง  นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้

            ในโลกวิญญาณมีเพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น ที่วิญญาณมนุษย์จะอยู่อาศัย  อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้ เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง … ความเท็จ ก็คือไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอาณาจักรที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ไม่แห่งที่ 7 ที่ 8 มีแค่ 2 แห่งเท่านั้น ซึ่งเราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมา 4 ตอนแล้ว ในซีรี่ย์นี้ว่า …

            ตอนที่ 1 : ก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา  ก่อนเชื่อ วิญญาณของเราอยู่ในอาณาจักรของโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อก็คือได้บังเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ ส่วนรายละเอียดจะเป็นเช่นไร? เราเรียนมาแล้ว  ถ้าใครยังไม่เข้าใจตรงนี้อยู่ กลับไปฟังซีรี่ย์นี้ตอน 1 ได้

            และตอน 2 : เราได้เรียนรู้ว่าก่อนเชื่อ เราอยู่ในอาดัม  หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร?  กลับไปฟังดู

            ตอนที่ 3 : ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป  หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 : ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง

            มันจะมี 2 แห่งเท่านี้เอง ทั้งหมด มีแค่ 2 แห่ง ก่อนเชื่อและหลังเชื่อเท่านั้น

            วันนี้มาตอนที่ 5 เจ็บมากๆ เลย ก่อนเชื่อตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป หลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ในโลกวิญญาณมีอาณาจักรอยู่ 2 แห่ง ตอนนี้เรากำลังพูดถึงในตอนที่ 5 แห่งที่ 1 คือตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป แห่งที่ 2 คือหลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า มีอยู่แค่ 2 แห่ง อย่าลืมนะ เน้นอีกที เรากำลังเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะฉะนั้น ปรับความคิด เรากำลังคุยถึงเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้  ซึ่งคริสเตียนทุกคนควรจะรู้ความจริงว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในโลกวิญญาณบ้าง จากก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์ มาเป็นหลังเชื่อพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเมื่อเราเชื่อพระเยซู เราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะมันไม่ได้ใช้ความรู้สึก ไม่ใช้ความรู้ แต่รับรู้ความจริง รู้และเชื่อในความจริงนั้น รับรู้ความจริง ไม่ใช่มาเชื่อในพระเยซู เปิดใจ แล้วรู้สึกไหม? รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?  ไม่ใช่ดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกอย่างโน้นอย่างนี้ หรือตามองเห็นอย่างโน้นอย่างนี้ ที่เปลี่ยนแปลงอะไรไป มาเชื่อแล้วดูในกระจกว่าเปลี่ยนแปลงไหม? มาเชื่อแล้วดูนิสัยใจคอ เปลี่ยนแปลงไหม?  ไม่ใช่มาดูตรงนั้น แต่มาดูในถ้อยคำพระเจ้า เขียนไว้ว่าก่อนเชื่อนั้นเป็นอย่างไร? และหลังเชื่อท่านเปลี่ยนแปลงในวิญญาณเป็นตรงไหนบ้างมากกว่า? เอเมน อย่าไปมองที่ตามองเห็น …

            “คนนี้มาเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร? เชื่อมา 10 ปีแล้ว นิสัยยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย”

            ถูกหรือผิด? ผิด

            “คนนี้เชื่อมา 1 ปีแล้ว เปลี่ยนแปลงเยอะเลย”

            ถูกหรือผิด? ผิดอีกแหละ เพราะคนไม่เชื่อ เขาเปลี่ยนแปลง มีเยอะแยะไป นี่เขาพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ต้องเน้นตรงนี้

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ความจริงตรงนี้อย่างมาก  ก็คือรู้จักตัวตน วิญญาณของเรา ตัวจริงๆ  ตัวเป็นๆ ตัวแท้ๆ วิญญาณของเราที่อยู่นิรันดร์นั้นว่า …

            “ฉันเป็นใคร? อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นลักษณะอย่างไร?”

             แล้วจะรู้ได้อย่างไร? รับรู้ด้วยความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้าข้างในวิญญาณของท่าน  ไม่ใช่รับรู้ด้วยตามองเห็น  ไม่ใช่รับรู้ด้วยความรู้สึก เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก  ถูกขโมย  … ขโมยในสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน ก็คือถูกขโมยพระคุณ และพระพรต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ก็คือสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถูกขโมยไป ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นเลย  เรียนรู้ความจริงนี้มากเท่าไร? ท่านก็เป็นอิสระ จากการถูกหลอก ถูกขโมยมากเท่านั้น

            พระเยซูตรัสว่าใครที่จะเข้าสวรรค์ได้ ใครจะไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่อีกครั้ง ก็คือเกิดอีกครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วไม่ใช่เกิดใหม่หรอก เขาเรียกว่าเกิดอีกครั้งหนึ่ง ท่านต้องเกิดอีก 1 ครั้ง พระเยซูกำลังพูดถึงอะไร? พูดถึงว่าเกิดอีกครั้ง หลังจากเกิดจากครรภ์มารดา พระเยซูกำลังบอกว่าหลังจากเกิด เป็นมนุษย์ ก็คือเกิดจากครรภ์มารดา  เป็นมนุษย์ใช่ไหม?  มนุษย์ทุกคนเกิดจากครรภ์มารดาทั้งนั้น จะต้องเกิดอีก 1 ครั้ง ก็คือเกิดมาอีกหนึ่งครั้ง  เป็นการเกิดทางวิญญาณ วิญญาณที่ได้เกิดจากครรภ์มารดานั้น แสดงว่าต้องไม่ดีแน่เลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านต้องเกิดอีกครั้ง

            พระคัมภีร์บอกไว้ว่าวิญญาณที่ท่านเกิดจากครรภ์มารดานั้น  พอเกิดมา ท่านเป็นวิญญาณที่เรียกว่าคนบาป วิญญาณบาป ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นบาป วิญญาณบาปนี้จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงด้วยการฟื้นฟู ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงด้วยการซ่อมแซม แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เลย เปลี่ยนตัวใหม่ เพราะฉะนั้น วิญญาณเก่าที่เกิดในครรภ์มารดา ที่เป็นคนบาปนั้น วิญญาณนี้จะต้องถูกกำจัดออกไป จะต้องขจัดออกไป  จะต้องตายไปนั่นเอง มันจะต้องตายก่อน แล้วมันถึงจะได้บังเกิดใหม่ได้ไง มันจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? มนุษย์จะมี 2 วิญญาณได้อย่างไร?  ไม่ได้ วิญญาณตัวตนของเรา เกิดในครรภ์มารดา เป็นวิญญาณบาป วิญญาณบาปนี้ พระเยซูบอกต้องตายไปก่อน แล้วมาบังเกิดใหม่ซะ นี่คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            ซึ่งเราได้เรียนรู้กันไปแล้วในหนังสือโรม 6:1-7 ได้พูดว่าการจะเกิดใหม่นี้ ก็คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้ช่วยให้มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ได้ ซึ่งการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนนี้ ขบวนการนี้ พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่า “บัพติศมา” เราเรียนรู้ไปแล้วนะ ในโรม 6:1-7 ได้พูดตรงนี้ว่าการบัพติศมาคืออะไร? การบัพติศมา คือการบัพติศมาในวิญญาณ  คือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

        โรม 6:1-7 “เราได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์”

            “พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้นด้วย ฉันเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            วันนี้เราจะเริ่มต้นที่โรม 6:8-9 จะเรียนรู้ว่าตอนที่ 5 ก็คือก่อนเชื่อตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป หลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้านั้นเป็นเช่นไร? …

        โรม 6:8-9 “8 แต่ถ้าเราได้ตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่าพระคริสต์ที่ทรงถูกชุบ ให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้นแล้ว จะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่”

            หลังจากที่อธิบายให้ฟังถึงเรื่องการบัพติศมา เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ตอนที่ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตาย เรียนรู้ไปแล้ว ในโรม 6:8 ต่อมา บอกว่า “แต่ถ้าเราได้ตายแล้วกับพระคริสต์” ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน “ถ้าเราได้ตายแล้วกับพระคริสต์ เราก็เชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วยเช่นกัน” ก็คือตายกับพระคริสต์ ก็ต้องเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ ตายกับพระคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า เห็นไหมไม่ใช่เราทั้งหลายมีความรู้สึก

            เมื่อเราเข้าบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ถ้าเราตายกับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า รู้ข้างในว่าพระคริสต์ที่ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นแล้ว  จะหาตายอีกไม่ ไม่กลับไปตายอีก ไม่กลับไปถูกตรึงที่ไม้กางเขนอีกแล้ว เป็นขึ้นจากความตายชั่วนิจนิรันดร์ ครั้งเดียวเป็นพอ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ คือความตายไม่มีอำนาจอยู่เหนือพระองค์เลย คือพระองค์ไม่ต้องมาตายอีกที ไม่ใช่พระองค์ฟื้นจากความตาย ฟื้นมา แล้วก็ตายอีกได้  เหมือนกับมนุษย์บางคน ที่เราเคยได้ยิน  เหมือนกับลาซารัสที่พระเยซูเรียกเขาให้ฟื้นจากความตาย เดี๋ยวอยู่ไปอีก 50 ปี หรืออีก 20, 30 ปี เขาก็ต้องตาย อันนั้นเขาเรียกว่าฟื้น แต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย คือมีชัยชนะเหนือความตาย  ไม่ต้องตายอีกแล้ว  อันนี้พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเราทั้งหลายรู้อยู่ว่า เรารู้จากข้างใน  แต่เป็นความรู้ที่ง่าย  เพราะเรารู้อยู่ว่า ก็คือเรายังเห็นอยู่ เราเห็นพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  คนเหล่านั้นเห็น เป็นหลักฐาน เราเห็นว่าพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และมีหลายคนได้เห็นพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  มาปรากฏพระองค์ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ได้เห็นอีกเยอะแยะมากมาย  ถึง 40 วัน ก็เลยเชื่อตรงนี้ไม่ยากนัก เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า ด้วยการมองเห็นด้วย ก็ง่าย ต่อไป โรม 6:10-11 …

        โรม 6:10-11 “10 ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น พระองค์ได้ทรงตายจากบาป หนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตอยู่ในพระเจ้าเพื่อพระเจ้า 11 ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) ตายจากบาป และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์”

            “ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น  พระองค์ทรงตายจากบาปเพียงหนเดียวพอ” ถูกตรึงบนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ  เกิดผลมากมายในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่เรากำลังเรียนรู้ “แต่ซึ่งพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้น” ก็คือเป็นขึ้นจากความตายนั้น ทรงชีวิตอยู่ในพระเจ้า เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ ได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระเจ้า มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า

            ข้อ 11 “ในทำนองเดียวกัน” หมายถึงเราที่เข้าบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย  ลักษณะเดียวกันเลย  “ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่า” เห็นหรือยัง? ตอนนี้ไม่เหมือนตะกี้นะ ตะกี้นี้ เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า รู้อยู่แล้ว เห็นๆ อยู่ ตอนนี้มองไม่เห็น “ในทำนองเดียวกัน” คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นจากความตาย เรามองเห็น  แต่ในนี้บอกทำนองเดียวกันเลย เราก็ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ หนเดียวเป็นพอเหมือนกัน แล้วก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเจ้าเหมือนกันเลย ลักษณะเดียวกันเลย  จงรับรู้ความจริงนี้ “จง” แล้ว คือไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อแล้วตรงนี้  เห็นหรือยัง?

            จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง ก็คือคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่เชื่อและเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว บัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ก็คือคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ตัวท่านเองตายจากบาป  และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า  เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลยไม่มีผิด เอเมน เหมือนเลย  เห็นไหม? ไม่เห็น รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก แต่มันเป็นอย่างนั้นแหละ นี่แหละคือโลกฝ่ายวิญญาณที่เราต้องเรียนรู้ และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า เราได้ตายจากบาป และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า

            ตอนเกิด เราตายจากพระเจ้า มีชีวิตอยู่ในบาป แต่พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในทำนองเดียวกันเลย เราได้ตายจากบาป และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า เหมือนพระเยซูไม่มีผิด อยู่ในพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้ชีวิตนี้ แล้วก็เป็นลูกที่เชื่อฟัง

            “ฉันเป็นลูกที่เชื่อฟัง”

            ถามว่าท่านเชื่อฟัง เพราะท่านเป็นคนดีหรือ? ไม่ใช่ เป็นลูกที่เชื่อฟัง เพราะอะไร? เพราะตัวเก่าที่ไม่เชื่อฟัง มันได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ได้เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกที่เชื่อฟัง เพราะได้บังเกิดใหม่

            “ฉันได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกที่เชื่อฟัง ไม่ใช่ เพราะการกระทำของฉัน ไม่ใช่ เพราะฉันดี ไม่ใช่ เพราะฉันเป็นคนที่กตัญญูต่อพระเจ้า  ไม่ใช่ เป็นเพราะฉันอธิษฐานเยอะ ฉันจึงเชื่อฟัง แต่ฉันเป็น เพราะฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ฉันเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้น ในนี้บอกว่าในทำนองเดียวกัน ก็คือฉันเป็นไปตามทำนองเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นด้วย”

            ถามว่าพระเยซูคริสต์เชื่อฟังพระเจ้าไหม? เชื่อฟัง เพราะเป็นเด็กดีหรือ? เพราะวิญญาณพระองค์ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

            พระคริสต์ตายจากบาป  ในนี้บันทึกไว้ว่าหนเดียว เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน เมื่อเปิดใจรับเชื่อพระเยซู เราก็ตายจากตัวเก่าของเรา คือตายจากบาปเพียงหนเดียวเป็นพอ ไม่ต้องตายบ่อยๆ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันทีนั้น  โลกวิญญาณเราได้ตายไปแล้ว  เราตายจากบาปไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราตายจากบาป เราก็ไม่ต้องตายบ่อยๆ  ไม่ต้องอธิษฐานว่า …

            “พระเจ้า ลูกไม่ดี ลูกควรจะตายจากบาป”

            เพราะฉะนั้น ตรงนี้บอกว่าจงรับรู้ความจริงในเรื่องนี้ ใช้ความเชื่อเอา เชื่อถ้อยคำพระเจ้า  เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  มันมองไม่เห็น

            พระเยซูได้แบกบาปของมวลมนุษย์ไว้ และเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ตายบนไม้กางเขนนั่นเอง และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และในวันที่ 3 พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  พระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วยตัวของพระองค์เอง แต่พระเจ้าได้ชุบพระเยซู ได้ทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ด้วยพระวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้พระเยซูในวันที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และเป็นวิญญาณนิรันดร์ ที่พระเยซูคริสต์ได้แบ่งปันให้กับผู้เชื่อทุกคน  คือคริสเตียนทุกคน ให้ได้รับส่วนของวิญญาณนิรันดร์นี้ ด้วยเช่นเดียวกันกับพระองค์ในทำนองเดียวกัน  เราก็ได้รับไปด้วย เอเมน

            ก็คือได้บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณนิรันดร์ วิญญาณนิรันดร์ที่เราได้รับ ซึ่งเราเรียกกันว่าชีวิตนิรันดร์ มาเชื่อพระเจ้าสิ จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เราคุ้นกันบ่อยๆ  แต่ตรงนี้ จริงๆ แล้วมันหมายถึงมาเชื่อพระเจ้าสิ จะได้บังเกิดใหม่ และวิญญาณได้เป็นชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า  เป็นวิญญาณที่เกิดใหม่ จากหน่อเชื้อทางวิญญาณ DNA ทางวิญญาณของพระเจ้าที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ไม่ได้หมายถึงวิญญาณที่อยู่ไปตลอด  แต่วิญญาณนิรันดร์เป็นชื่อของลักษณะของวิญญาณของพระเจ้า  วิญญาณของพระเจ้ามีลักษณะที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์  พระเจ้าประทานวิญญาณนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์แบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับผู้เชื่อทุกคน  ที่เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือวิญญาณที่มีพระลักษณะเป็นชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าแล้ว

            นี่กำลังพูดถึงคริสเตียนแต่ละคน กำลังพูดถึงฉันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว กำลังพูดถึงเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว กำลังพูดถึงเราที่คิดว่าเรายังไม่บริสุทธิ์ดีพร้อม แต่ในพระคัมภีร์บอก …

            “เธอเป็นลูกฉันและสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เหมือนฉันเลย” … นี่มันเป็นอย่างนี้

            2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ บันทึกว่าพระคุณของพระเจ้า เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ให้กับเรา …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปที่อยู่ในวิญญาณ)”

            “พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า” ตามสัญญา  สัญญาคืออะไร?  ประทานพระบุตรของเรา คือพระมาซีฮาห์ให้กับเรา มนุษย์ทุกคน  ที่วางใจในพระองค์ และจะได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่คือสัญญา สัญญาว่าอย่างไร?  ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือเขาจะได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะ วิญญาณนิรันดร์ของเรา  พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วม มีหรือยัง? จะมีหรือเปล่า?  ไม่ใช่ พอทำตามสัญญาปุ๊บ  พระเยซูทำสำเร็จแล้ว  พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  คือพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว ใครก็ตามที่เข้าส่วนร่วมในสัญญานี้

            “พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า พ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว” ก็หมายถึงพ้นจากความเป็นคนบาปในวิญญาณ วิญญาณไม่บาปอีกต่อไปแล้ว  ดังนั้น ตัวตนแท้จริงของวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่ได้สกปรก ไม่ได้มีมลทิน ไม่ได้มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเลย แม้แต่นิดเดียว ใช่หรือไม่ ตามถ้อยคำอันนี้ใช่ไหม? ใช่หรือ? แน่ใจหรือ? ไม่มีมลทิน  ไม่สกปรกเลย  ไม่มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเลย อะไรเมื่อตะกี้นี้ ยังคิดอิจฉาเขาอยู่เลย ตะกี้ยังคิดโกรธ คิดเกลียดเขาอยู่เลย ยังโลภอยู่เลย นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ สำคัญกว่า

            ถ้าถามว่าสภาวะที่เรามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เกิดขึ้นเมื่อใด? สภาวะบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  เหมือนพระเจ้าแล้ว  สภาวะที่มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว  เป็นตัวตนแท้จริงของเราเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นเมื่อใด ต้องรอให้ตายจากร่างกายนี้ไปก่อนหรือไม่?

            พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นเหมือนพระองค์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ต้องรอให้ตายจากร่างกายก่อน 1 ยอห์น 4:17 ได้บอกไว้อย่างนั้น “เราเป็นเหมือนพระองค์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว” เรามีพระลักษณะของพระเจ้า  เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา คือตัวตนจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์  ดีพร้อมแล้ว เมื่อไร?  เดี๋ยวนี้ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  เดี๋ยวนี้ ขณะที่เราตวาดคน โกรธคน เกลียดคน เดี๋ยวนี้ ขณะที่เราไม่สมบูรณ์แบบในการกระทำ การประพฤติ กิริยามารยาทอาจจะยังไม่ดี  แต่วิญญาณของเราบริสุทธิ์แล้ว  ยากไหมที่จะรับ มันยากนะ ถึงบอกตั้งแต่แรกแล้วไง  พระคัมภีร์บอกว่าเราจึงไม่มองในสิ่งที่มันมองเห็นได้ เพราะมันอยู่เพียงชั่วคราว มันไม่ถาวรนิรันดร์ อะไรที่เราเห็น โกรธเขา เกลียดเขา  เห็นไหม? เห็น ประพฤติตัวไม่ดี เห็นไหม? เห็นนะ แต่อะไรที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณ  เพราะมันอยู่นิรันดร์ สิ่งที่มองไม่เห็น คือวิญญาณข้างในเรา ตัวตนแท้จริงของเรานั้น เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ เหมือนพระเจ้าเลย ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

        1 ยอห์น 4:17 “เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะในโลกนี้ เราเป็นเหมือนพระองค์”

            เพราะฉะนั้น เราตายจากหนี้บาป และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นไหมครับ? ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟังเลย จากการบังเกิดใหม่  ไม่ใช่เป็นลูกที่เชื่อฟัง เพราะว่าประพฤติตามศีลธรรมอันดีงาม ที่พระเจ้าสอน ไม่ใช่ ซึ่งการประพฤติที่ดีงาม ตามที่พระเจ้าสอน เป็นสิ่งดีไหม? ดี ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันคนละเรื่องกับเรื่องโลกวิญญาณตรงนี้  เพราะไม่มีใครที่จะประพฤติตามสิ่งที่พระเจ้าบอกได้  สิ่งที่พระเจ้าสอนได้ทั้งหมด 100% เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว โคโลสี 2:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ ความจริงให้เห็นชัดเจนเลย …

        โคโลสี 2:13 “และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป (ได้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า) คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า”

            “ก่อนเชื่อนั้น ท่านได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ” เห็นไหม? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนมาก  “เพราะวิญญาณเป็นบาปอยู่” ก็คือตายจากพระเจ้า  มาอยู่ในบาป  จึงมีผลให้ทำบาป  ทำบาปออกจากใจเลย เพราะใจเป็นบาป ในขณะนั้น ท่านได้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พอเกิดมาจากครรภ์มารดา ก็เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังเลย  ทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำเลย  ทำบาปหรือยัง? ยังไม่ได้ทำเลย  แต่ได้เป็นก่อนแล้ว เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  ต่อต้านพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น การเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า การเป็นศัตรูกับพระเจ้า  การต่อต้านกับพระเจ้าทุกอย่าง ต่อต้านกับความจริงของพระเจ้า มาจากความคิดของเขาคนนั้น หรือเราในอดีต  หรือมาจากการเกิด ไม่ได้มาจากความประพฤติถูกไหม? นี่เห็นชัดเจนเลย  ได้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือจากการเกิดมาเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟัง เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ได้เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะเราไปทำบาป ไม่ใช่ ถึงไม่ทำอะไรเลย เกิดมาเป็นศัตรูแล้ว นี่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้ชัดเจน

            ในทำนองเดียวกัน อีกขั้วหนึ่ง ก็คือเมื่อมาเป็นผู้บริสุทธิ์ทางพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน มันก็เกิดมาเป็นลูกที่เชื่อฟัง เกิดมาเป็นลูกที่บริสุทธิ์สะอาด เกิดมาเป็นลูกที่มีชีวิตอยู่ เพื่อพระเจ้า ทำตามพระเจ้า มันเป็นธรรมชาติ มาจากการเกิดมาเป็น ไม่ใช่จากการประพฤติเลย ต่อมา โรม 6:12 …

        โรม 6:12 “ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปมาเป็นเจ้า ครอบครองร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่านต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน”

            อย่าทำตาม ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป ก็แสดงว่าท่านมีอำนาจอยู่เหนือมัน เขากำลังพูดถึง คริสเตียน  ที่วิญญาณนี้ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  ไม่ได้ตายอยู่ในบาปอีกต่อไป  ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปมาเป็นเจ้านาย  ครอบครองร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย  อย่าทำตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คือระบบของโลก เป็นทางการดำเนินชีวิตของเราในอดีต ซึ่งเป็นคนบาป ตายจากพระเจ้า เป็นทางของความบาป คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า อย่าให้มันมายุแหย่ ล่อลวง ให้ท่านต้องเชื่อฟังมัน  เห็นอะไรบางอย่างไหม?  แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเรา  กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้มันไม่ใช่ตัวเรา  เพราะเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว  แต่ความบาปและกิเลสตัณหาของเนื้อหนังนี้ต่างหาก มันเป็นศัตรูต่อต้านกับเรา ซึ่งเป็นคนบริสุทธิ์แล้วต่างหาก  คิดให้ดีๆ อย่าให้มันมาครอบครองเรา  อย่าให้มันมาเป็นเจ้านายเรา มันไม่ใช่ตัวเรา

            ตัวเรา คือวิญญาณของเรา  อยู่ภายใต้การเชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว  นึกถึงภาพนี้ ชัดๆ เลย มี 2 ข้าง ข้างหนึ่งคือศัตรู มันจะมายุแหย่ให้เราดื้อต่อพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้ว ตัวเป็นๆ ข้างในของเรา เชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้น ในกาลาเทีย 5:16 จึงได้บันทึกอย่างนี้ เห็นชัดเจนเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว  ทำไมเรายังทำสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนกับชีวิตเดิมของเราอยู่ ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงในความประพฤติ ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงในการกระทำเลย เปลี่ยนแปลงบ้าง? ไม่เปลี่ยนแปลงบ้างอยู่เลย ทั้งๆ ที่วิญญาณของเรา พระคัมภีร์บอกเมื่อตะกี้นี้ บอกว่าบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม  เหมือนพระคริสต์ เหมือนพระเจ้าเลย  ตัวตนจริงๆ เราเหมือนพระเจ้าเลย  แล้วมันเกิดอะไรขึ้น  มาดูกาลาเทีย 5:16 …

        กาลาเทีย 5:16  “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าให้เราดำเนินชีวิต สนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่สนองต่อความต้องการของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง”

            “ท่านจะได้ไม่สนองความต้องการของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง” ก็แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เห็นไหม? ถ้าท่านดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็คือตามตัวจริงๆ ของท่าน ที่อยู่ข้างในวิญญาณตามพระเจ้านั้น ที่อยู่ข้างในวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ท่านทำตามนั้นปุ๊บ แสดงว่าท่านไม่ได้ทำตามศัตรูที่คอยกระซิบอยู่ข้างหู ให้ท่านทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามนั่นเอง เพราะกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันก็คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ที่กระทำการงานอยู่ในโลกนี้ ยังอยู่นะ เราหลุดพ้นออกมาจากมันจริง แต่มันยังอยู่นะ  พลังอำนาจนี้ถึงมองไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างแล้ว เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แรงดึงดูดของโลกมีอยู่จริงๆ ซึ่งมันทำงานอยู่ในโลกนี้ ซึ่งรวมทั้งร่างกายของเรา ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            โลกวัตถุนี้ มันก็ยังอยู่ในเครือข่ายของอิทธิพลของพลังอำนาจของความบาปและความตาย กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง มันสามารถมายุแหย่ มามีอิทธิพลอยู่ในร่างกายของเราได้ อยู่ในสมองของเรา สมองนะ  ก็คือหนึ่งในจำนวนร่างกายของเรา ที่เป็นตัววิเคราะห์ คิดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ความเคยชินเดิมๆ ก่อนเชื่อ ที่เราประพฤติ ที่เราเคยใส่เมมโมรี่เอาไว้ เป็นโปรแกรมเอาไว้ว่าเราเคยประพฤติอย่างนี้ ตีมา เราตีกลับ อะไรอย่างนี้ แค้นนี้ต้องชำระ มันยังอยู่นะ ในสมองเก่าๆ มันยังอยู่ ในความคิดจิตใจเดิม ซึ่งมันมีพลังอำนาจ คอยผลักดัน ชักจูงให้เรา ทำตามกิเลสตัณหาของมัน ซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า  คือต่อต้านอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าต้องการ  ที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา  คือต่อต้านความประสงค์ของพระเจ้า  ที่ต้องการให้เราทำอย่างนี้  แต่กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อิทธิพลของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ มันต่อต้านอยู่

            กาลาเทีย 5:17 อันนี้พูดให้เห็นชัดเลยว่าเพราะอะไร?  จะได้เห็นชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา  ที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว …

        กาลาเทีย 5:17  “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง  เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์”

            “ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์” ต้องการทำตามพระเจ้า ต้องการทำตามพระวิญญาณ แต่มีศัตรูมาขัดขวาง  เห็นหรือยัง? ชัดเจนเลยว่ามีศัตรูมาขัดขวาง ศัตรูนั้นก็คืออำนาจของความบาปและความตาย  หรือเรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ ซึ่งยังมีอิทธิพลอยู่ มันไม่ใช่ตัวท่าน ตัวท่านภายใน ต้องการทำตามพระเจ้า  ต้องการทำตามวิญญาณของท่านที่บริสุทธิ์ สะอาด และดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ต้องการทำตามอย่างนี้แหละ แต่ขณะเดียวกัน มีศัตรูอยู่ภายนอก  พยายามต่อต้าน สิ่งที่อยากกระทำ ท่านอยากจะให้อภัย อยากจะรัก แต่ภายนอก ระบบของโลกนี้ มีแต่การแก้แค้น มีแต่การโกรธเกลียด เกลียดชัง เห็นแก่ตัว

            วิญญาณภายในท่านอยากจะให้ วิญญาณภายนอกอยากจะโลภ เอา มันจะเป็นอย่างนี้แหละ  และใครชนะ ก็บอกแล้ว วิญญาณของเราเป็นนิรันดร์  แต่ภายนอกนั้น มันอยู่ชั่วคราว  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เพราะฉะนั้น จงมั่นใจว่าท่านเกิดใหม่แล้ว แม้ว่าท่านจะดำเนินชีวิตหลายครั้ง หรือบางครั้ง แพ้ศัตรู ที่คอยขัดขวางท่าน ที่ท่านอยากทำ แล้วท่านไม่ได้ทำ  เพราะว่าสู้มันไม่ได้ก็ตาม ร่วงหล่นลงไปทำตามมัน  ไปโกรธ ไปเกลียด ไปอิจฉาริษยาเขา ไปโลภอะไรต่างๆ เหล่านั้น บ้างก็ตาม แต่ท่านจงมั่นใจว่าวิญญาณของท่านก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เป็นนิรันดร์ ท่านจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น  เมื่อวันหนึ่งท่านออกจากร่าง วิญญาณและความคิดจิตใจท่านไป แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ ท่านไม่ได้หอบเอาโลกใบนี้ และกิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ไปด้วยเลย เพราะว่ากิเลสตัณหาของโลกใบนี้  และโลกใบนี้ มันต้องสูญสิ้นไป มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น การกระทำเหล่านี้ จึงไม่มีส่วนที่ทำให้ท่านเสื่อมเสียอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ท่านจงมั่นใจว่าท่านเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ดีพร้อม 100% แล้ว แน่นอน เอเมน  ไม่ว่าเป็นความคิดชั่ว หรือการกระทำผิด ทำบาป ทำชั่วอะไรต่างๆ มันไม่ได้มาจากตัวท่านเลย

            “ความคิดสกปรก ความคิดชั่ว  การกระทำบาป  ไม่ได้มาจากตัวฉันเลย”

            มันมาจากศัตรูข้างนอก มันไม่ใช่ตัวท่าน นี่คือพระคัมภีร์ ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง แล้วที่ไม่เชื่อฟัง ท่านถูกหลอกไป  แต่ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง ขณะที่ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง ท่านถูกหลอกไปทำสิ่งที่ต่อต้านนั้น  ท่านไม่ได้เป็นลูกแห่งการต่อต้านพระเจ้า แต่ท่านเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง ความประพฤติ การกระทำกับการบังเกิดใหม่ มันคนละเรื่องกัน  เป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ อาจจะบางครั้งคลานเหมือนลิง  แต่เขาไม่ได้เป็นลิง เขาเป็นมนุษย์ แต่คลานเหมือนลิง เขาเป็นมนุษย์ แต่บางครั้ง ตบตีกันยังกับไก่แจ้ มนุษย์เขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก  แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ โรม 6:13 …

        โรม 6:13 “ท่านอย่ายอมให้บาปมันมาใช้ อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า ให้สมกับเป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้น ขอให้ท่านยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่านให้เป็นเครื่องมือในการทำความดี (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)”

            “ท่านอย่ายอม” ก็คือท่านมีอิสระ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระเจ้าให้กำเนิด และพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านข้างใน  แต่พระเจ้าไม่ได้ดูแลท่าน เหมือนกับทาส ที่บังคับท่าน ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น เหมือนหุ่นยนต์ แต่เป็นลูกที่ให้สิทธิกับท่าน  มีอิสรภาพ ท่านจะทำอะไรก็ได้  ท่านจะยอมให้บาปมาใช้ก็ได้ อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของท่าน เป็นเครื่องมือกระทำความชั่ว ก็แสดงว่าร่างกายของเรา ก็ไม่ได้สกปรก เห็นหรือยัง? ร่างกายของเราไม่ชั่วเลย  ไม่สกปรก ไม่บาป ร่างกายของเรา  เป็นเหมือนเครื่องมือชิ้นหนึ่ง เครื่องมืออันหนึ่ง จะให้พระเจ้าใช้ หรือให้ระบบของโลกนี้ใช้  อย่ายอมให้บาปมันมาใช้  ก็คือจะให้บาปเอามาใช้ไหม?  หรือจะให้พระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน หรือวิญญาณของเราข้างในใช้ ใช้ไปทางไหนดี ร่างกายเราไม่ได้ชั่วช้าเลย ไม่ได้สกปรกเลย  มันอยู่ที่เราตัดสินใจว่าเราจะให้เครื่องมือนี้  ให้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายใช้ เพราะเรามีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในแล้ว  พระวิญญาณสถิตอยู่ภายในแล้ว

            ยกตัวอย่างว่าร่างกายเราเหมือนกับมีด เรามีมีดอยู่ ตัวมีดเอง มันไม่ได้มีความหมายอะไรว่ามันจะชั่วหรือไม่ชั่วเลย ดีหรือไม่ดีเลย  เราสามารถตัดสินใจว่าจะเอามีดไปปอกผลไม้เย็นๆ ให้กับผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา  ทำกับข้าวให้เขากิน  แล้วเราก็มีความสุข เขาก็มีความสุขด้วย หรือเราจะเอามีดไปไล่แทงคน  แล้วเขาก็มีความทุกข์ เราก็มีความทุกข์ และได้รับโทษด้วย  จะเอาอย่างไหน? ตัวมีดไม่ได้มีผลอะไรสักนิด จะไปบอกมีดเลวหรือ? ไม่ใช่มีดเลว มีดมันเป็นมีดเฉยๆ ลักษณะอย่างนั้น  อย่ายอมให้บาปมันมาใช้ ก็คืออย่ายอมให้ความคิดของโลกนี้  ฟังให้ดีๆ  บาป คือของโลกนี้  ตัวเราไม่มีบาปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว  อย่ายอมให้โลกนี้  ก็คือบาปที่อยู่ในโลกนี้ ความเลวทราม ที่อยู่ในโลกนี้ มามีอิทธิพล ใช้ร่างกายของเรานี้ ในการทำชั่ว  เห็นหรือยัง?  ชัดเจนนะ  แต่ทางตรงกันข้าม คือให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับคนที่ตายไปแล้ว  ท่านตายต่อบาปแล้ว  แล้วไปยอมมันอีกทำไม?

            ท่านบังเกิดใหม่แล้ว “ดังนั้น ขอให้ท่านยอมให้พระเจ้าใช้อัวยวะทุกส่วนของร่างกายของท่าน ให้เป็นเครื่องมือในการกระทำดี (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)” มาทำตรงกันข้ามดีกว่า  เพราะท่านตายไปแล้วจากวิญญาณเก่า ท่านไม่ได้เป็นทาสบาปอีกแล้ว ท่านจะไปยอมมันอีกทำไม?  อย่าไปยอมมัน ท่านมีกำลังชนะมันแล้ว เพราะท่านไม่ได้เกิดมาเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังอีกแล้ว ท่านเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง  เพราะฉะนั้น อย่าไปยอมมัน

            ทำความดีตามประสงค์อันดีงามของพระเจ้า คืออะไร? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ข้างในท่าน เป็นพี่เลี้ยงของวิญญาณของท่าน  ที่บริสุทธิ์ สะอาด และดีพร้อมแล้วนั้น นึกภาพนะ ทางโลกวิญญาณ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟัง   เพราะฉะนั้น ให้ทำดี  ตามพระประสงค์ของพระเจ้านี้ ก็คือทำตามพระวิญญาณข้างในใจของท่าน ที่เป็นลูกที่เชื่อฟังโดยธรรมชาติแล้ว ไม่ใช่ทำดีตามกฎบัญญัติ อันนี้มันเข้าใจยากมากเลย  ท่านทำดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือทำดีตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน  ตามความบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในวิญญาณของท่าน ที่อยู่ข้างใน ตามความเป็นธรรมชาติที่ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว  ที่อยู่ข้างใน

            ความต้องการนี้บริสุทธิ์  ท่านจึงทำตามความดีนี้ ไม่ใช่ทำดี ตามกฎบัญญัติที่เขาบอกว่าท่านต้องทำอย่างนี้ ท่านต้องทำอย่างนั้น ไม่ใช่การทำดีตามบัญญัติ เพื่อจะเพิ่มเติมสถานะของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้สมบูรณ์มากขึ้น  หรือเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม มากขึ้น  เพราะสิ่งเหล่านี้ เราได้เป็นแล้ว สมบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว ด้วยความเชื่อ ในการงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนเท่านั้น เราทำดี เพราะว่าข้างในมันดี เราเชื่อในพระเยซู เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นคนดี เราไม่ได้กระทำดีตามกฎ เพื่อว่าเราจะได้ดีมากขึ้น  เราจะได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เราจะได้ดีพร้อมมากขึ้น เพราะถ้าเราทำตามกฎและบัญญัติ แล้วความต้องการอย่างนี้ ก็แสดงว่าเราไม่เชื่อพระเยซูว่าพระองค์ทรงกระทำครั้งเดียวเป็นพอ สำเร็จแล้ว ทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระองค์แล้ว  เราบอกยังไม่เหมือนหรอก เราจะต้องทำดี เพื่อจะได้ดีพร้อมเหมือนพระองค์ มันหลอก วิธีหลอกล่อของมัน หลายวิธีเหลือเกิน ซึ่งเมื่อเราทำไป มันก็เลยกลายเป็นระบบของโลก หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แบบดูดี

            เรามาโบสถ์ เพื่อพระเจ้าจะรักเรามากยิ่งขึ้น  เพื่อว่าเราจะได้เป็นลูกของพระองค์ สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น  อย่างนี้ดูดี  เราอธิษฐาน เราอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ มากๆ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ เพื่อเราจะได้เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์ดีพร้อม ดูดี

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่ดูไม่ดี ก็คือเรายังคิดชั่ว เรายังคิดโกรธเขา เกลียดเขา  ไม่ให้อภัยเขา นินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย  ไม่ควรทำอย่างนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่าคิดชั่ว มันเห็นชัด  เพราะฉะนั้น ก็ต้องคิดให้ดีๆ ข้อสุดท้ายสำหรับวันนี้ โรม 6:14 …

        โรม 6:14 “เพราะบาปไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ”

            เพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณ ไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติอีกต่อไปแล้ว

            “ก่อนเชื่อ เราได้ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป อยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หลังเชื่อ เราได้ตายจากบาป มาเกิดใหม่อยู่ในพระเจ้า อยู่ภายใต้พระคุณ”

            พูดง่ายๆ ก็คือก่อนเชื่อ เราได้ตายจากพระคุณของพระเจ้า  มาอยู่ในบาป  อยู่ภายใต้กฎบัญญัตินั่นเอง พอหลังเชื่อ เราได้ตายจากบาป ได้ตายจากกฎของบัญญัติแล้ว มาเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคุณของพระเจ้านั่นเอง วิญญาณเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป  อยู่ภายใต้พลังอำนาจของกฎของความบาป และความตาย คือภายใต้บทบัญญัติ กฎของการทำดีทำชั่ว  ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ เราคุ้นกันดีเหลือเกิน  ซึ่งตัวตนเก่านี้ ได้ตายไป สูญสิ้นไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในความบาปและความตายนี้อีกต่อไป  เพราะว่าตัวเก่านี้ ตัวบาปนี้ได้สูญสิ้นไปแล้ว เราได้เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วต่างหาก

            เพราะฉะนั้น ตัวตนในวิญญาณใหม่นี้ ที่อยู่ในพระคริสต์ และอยู่ในพระเจ้านี้ อยู่ใต้พลังอำนาจเหมือนกัน แต่เป็นพลังอำนาจของกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ เราเป็นอิสระจากพลังอำนาจของกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรมแล้ว  กฎแห่งกรรมมีไหม? มีอยู่ แต่เราเป็นอิสระจากกฎแห่งกรรมแล้ว  ไม่ใช่ว่ากฎแห่งกรรมไม่มี กฎแห่งกรรมมีจริง กฎแห่งการกระทำดีทำชั่วมีไหม? มีจริงๆ  นี่เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณนะ  แต่เราเป็นอิสระจากกฎเหล่านี้แล้ว ตอนนี้เราอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เราอยู่ภายใต้กฎแห่งพระคุณของพระเจ้า  ไม่ได้อยู่ในกฎแห่งการกระทำดีกระทำชั่วอีกต่อไป แต่เราอยู่ในกฎแห่งพระคุณของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เราดำเนินชีวิตด้วยตัวตนในวิญญาณใหม่ข้างใน ดำเนินชีวิตด้วยวิญญาณ มันแปลว่าอย่างนี้  ทำทุกสิ่งจากใจ มันแปลว่าอย่างนี้ จากใจที่ได้บังเกิดใหม่ ดำเนินชีวิตด้วยตัวตน ด้วยวิญญาณใหม่ ที่อยู่ในพระคริสต์ ซึ่งมีธรรมชาติเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังของพระเจ้า  ธรรมชาตินี้จึงต้องการทำแต่ความดีงาม เหมือนพระเจ้า โดยมีอิสรภาพ เสรีภาพในการตัดสินใจ ไม่ได้อยู่ใต้การบังคับของกฎ หรืออะไรทั้งสิ้น พระเจ้าไม่ได้เอากฎมาตั้งให้เราอีกต่อไปแล้ว แต่เอาพระคุณอย่างเดียวว่าเชื่อมั่นในตัวเราว่าพระองค์ให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ มีพระลักษณะของพระองค์ มีความบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว  เป็นลูกที่เชื่อฟังด้วยต่างหาก พระองค์มั่นใจตรงนี้มาก และให้เรามีอิสระเลย ไม่ต้องห่วงเลย เราอยู่ภายใต้พระคุณมันหมายถึงอย่างนี้  และพระองค์ประทานพี่เลี้ยงให้เราอีกต่างหาก คือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง คอยนำทางเรา สถิตอยู่ในใจเรา

            เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิดว่านี่คือความจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ ผู้ใดที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โรม 8:1-2 บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ …

        โรม 8:1-2 “ดังนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกนี้บอกว่า … “ท่านต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม”

            พระเยซูบอกว่า … “เราชดใช้หนี้บาปเวรกรรมให้ท่านแล้ว”

            ท่านเชื่อใครครับ?

            ท่านรู้หรือไม่ว่าหนี้บาปเวรกรรมที่มนุษย์ทุกคนต้องชดใช้นั้น พระเยซูคริสต์ได้แบกรับไปหมดเรียบร้อยมา  2,000 ปีแล้ว แค่รับรู้ความจริงนี้ และเปิดใจต้อนรับสิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            1 เปโตร 2:24 … “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น (ยอมมอบชีวิตพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาป ให้มวลมนุษย์) เพื่อเรา จะได้ตายต่อบาป (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็น ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ)ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

            2 โครินธ์ 5:21 … “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์  (พระเยซู) ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

            ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป โดยการตายพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นใหม่ พร้อมพระเยซูแล้ว ขณะนี้  พระเจ้าอวยพรครับ