วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1463

คำบรรยายวันศุกร์ที่  29  มีนาคม  2024

เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”

โดย วราพร  คงล้วน

            คืนนี้เรามาดูในหนังสือฮีบรู บทที่ 9 หนังสือฮีบรูจะพูดถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ที่เสด็จมาบนโลกใบนี้ มาในฐานะมหาปุโรหิต  ก็คือจริงๆ แล้วมหาปุโรหิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าได้ทรงเจิมตั้งไว้ สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในขณะที่มนุษย์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พันธสัญญาใหม่ที่ยังมาไม่ถึง แต่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมาเป็นมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์ทำพิธีนี้เพียงครั้งเดียว จบสิ้นเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว โดยที่ไม่ต้องทำต่อเนื่องเหมือนสมัยก่อน ในอดีต มหาปุโรหิต ต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าทุกปีๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ การถวายเครื่องบูชาก็จะจบสิ้นไป  ก็คือพระเยซูทำสำเร็จแล้ว  แล้วผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์ก็มีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน แล้วก็อนาคตข้างหน้าด้วย เราดูในข้อ 11 …

        ฮีบรู 9:11 “เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิต แห่งสิ่งประเสริฐต่างๆ ซึ่งได้มาถึงแล้ว พระองค์ทรงผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้”

            ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าได้เลือกประชากรกลุ่มหนึ่ง  ที่เรารู้จักกัน ก็คือคนยิว  แล้วก็ได้เลือกคนกลุ่มหนึ่ง  คือชาวเลวีที่จะมาทำหน้าที่ปฏิบัติในเต็นท์นัดพบ หรือในพระวิหารของพระเจ้า  เพื่อถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า เรียกว่าเป็นการมาผ่อนส่งบาปให้กับคนอิสราเอล ปีต่อปี

            พระเจ้าทรงแต่งตั้งมหาปุโรหิตคนแรก คืออาโรน  แล้วจากนั้น ตระกูลของอาโรนก็จะสืบเชื้อสายมาทำหน้าที่ตรงนี้ มาตลอด แต่พระเจ้าก็ได้สัญญาไว้ว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด มาให้กับมนุษยชาติ ณ เวลานี้พระเจ้าให้พวกมหาปุโรหิตทำการถวายเครื่องบูชาไปก่อน เป็นเงา สำหรับอนาคตข้างหน้า  เมื่อตัวจริงมา ก็คือพระเยซูคริสต์มา พิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ก็จบสิ้นไป  คือไม่ต้องทำอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้

            ดังนั้น พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้เข้ามาสู่พลับพลา โดยที่ไม่ได้เป็นพลับพลาที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ แต่เป็นพลับพลาที่เรียกว่าเป็นอภิสุทธิสถาน ซึ่งในโลกวิญญาณ วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนปุ๊บ ในพระคัมภีร์ที่บอกว่าม่านในวิหารขาดออก ตั้งแต่บนจรดล่าง หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่าสำเร็จแล้ว ก็คือการไถ่บาปนิรันดร์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้ทำสำเร็จแล้วต่อแต่นี้ไป มนุษย์ไม่ต้องทำพิธีกรรมนี้อีกต่อไป จะไม่มีม่านในวิหารอีกต่อไป จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาในวิหารอีกต่อไป  แปลว่ากลุ่มคนเลวีตกงาน  ไม่ต้องใช้แล้ว  พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แล้วใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เขาก็จะได้รับความรอดพ้นจากความผิดบาปทั้งหมด ไม่ต้องมาหาแพะ หาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชาปีต่อปี  เพราะว่าพระเยซูทำเที่ยวเดียวจบสิ้นขบวนการทั้งหมดเลย คือไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชา ไม่ต้องมีการลบล้างบาปอีกต่อไป แต่บาปของมนุษยชาติจะถูกลบล้างไปทั้งหมดเลย ตั้งแต่บาปอดีต ปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า

            แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับมนุษยชาติ ก็คือพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่กับพวกเรา สมัยก่อนคนยิวมาถวายเครื่องบูชา วิญญาณข้างในเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ จิตใจข้างในเขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขาสะอาดบริสุทธิ์เลย เพราะว่าเมื่อเขาทำบาป เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แล้วเขาก็ต้องไปถวายเครื่องบูชา พอปีหน้าเขาก็ไปถวายเครื่องบูชาอีก ความรู้สึกของการหายจากบาปมันไม่มีในวิญญาณของคนยิวในยุคนั้น  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ ผู้เชื่อทุกคนเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ข้างในวิญญาณเราจะรู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เราไม่ต้องไปทำพิธีกรรมใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ เพื่อทำให้เรารอดพ้นจากบาปเลย ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น จุดสังเกต คือก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราแสวงหาทุกอย่างใครว่าอะไรดี เราจะไปหมด เพราะข้างในวิญญาณเรากระหายหาพระเจ้า แต่เราหาพระเจ้าเที่ยงแท้ ที่เป็นพระเจ้าจริงๆ ไม่เจอ เมื่อหาไม่เจอ ก็ต้องหาไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่ง เมื่อเราพบพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แล้ววิญญาณได้ถูกเปลี่ยนเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เราจะหยุดแสวงหา วิญญาณเราจะนิ่ง แล้วเราจะมีสันติสุข เราจะรู้เลยว่าข้างในวิญญาณเรา เราไม่รู้สึกว่าตายไปแล้ว เราจะต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกเลย  เพราะว่าข้างในวิญญาณเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์  แล้วเราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษอีกเลย ตั้งแต่วินาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น การพิพากษามันจะไม่มีเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า หลายคนอาจจะถูกหลอก โดยข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในความคิด บอกว่าถ้าเกิดเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยังต้องถูกพิพากษาลงโทษ  แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาดหมดจดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว การพิพากษาไม่มีสำหรับผู้เชื่ออีกต่อไป  แต่การพิพากษามันจะมีขึ้นเฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียน อย่าคิดว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราทำอะไรก็ได้ เราทำผิดทำบาป แล้วเราไม่ต้องรับผลอะไร? มันไม่ใช่ มันยังต้องรับผลอยู่ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ตั้งกฎทั้ง  2 อย่าง คือทั้งกฎฝ่ายวิญญาณ และกฎทางฝ่ายร่างกาย การเคารพทั้ง 2 กฎ ก็เป็นการยำเกรงพระเจ้า  ดังนั้น คริสเตียนเราเคารพทั้ง 2 กฎ กฎที่พระเจ้าบอกว่าเป็นกฎพระวิญญาณแห่งชีวิต เราเคารพ เราเอเมน เราสรรเสริญพระเจ้า เราเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้เราเป็นใครแล้ว  ณ เวลานี้ เราได้รับอะไรเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แม้ขณะนี้ สมมตินะ ณ เวลานี้ ความคิดเราไปคิดชั่ว  เราก็ยังคงยืนกรานดังเดิมว่าวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรม

            นี่คือการนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือเราเอเมนกับทุกอย่างที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้นแล้ว ยืนกรานตรงนั้น  เพื่อเราจะได้สามารถที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยืนกรานในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

            หลายครั้ง คริสเตียนจะถูกหลอก ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ  เราก็จะถูกหลอกว่าตอนนี้เราไม่ชอบธรรมแล้ว แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พี่น้องต้องยืนหยัด ให้มั่นเลยว่า …

            “แม้ฉันจะทำสิ่งที่ผิดพลาดไป แม้ตอนนี้ฉันกำลังด่าใครอยู่ แต่วิญญาณข้างในฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจด ฉันเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องยืนหยัด แล้วก็ยึดมั่นในความจริงตรงนี้ ตามที่อาจารย์ยอห์นบอกให้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและด้วยความจริงทุกอย่างที่พระเจ้าบอกเรา เราดูข้อที่ 12 …

        ฮีบรู 9:12 “พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

            พระคัมภีร์จะเน้นคำว่า “ครั้งเดียวเป็นพอ”

            การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้ทำให้มนุษยชาติได้รับการไถ่ถอน จากบาปทั้งสิ้นชั่วนิรันดร์ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ เขาจะได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ไม่ว่าบาปที่คนนั้นทำตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตยังจะทำอยู่ ก็ได้รับการอภัยหมดสิ้น  เพราะถ้อยคำตรงนี้บอกว่า “ครั้งเดียวพอ” พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาตายแล้วตายอีก หลั่งพระโลหิตแล้ว หลั่งพระโลหิตอีก เพื่อที่จะชำระล้างความผิดบาปของเรา ข้อที่ 13-14 …

        ฮีบรู 9:13-14 “13 เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมีย ที่ประพรมลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด  พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า โดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่!”

            ก่อนหน้านั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ   ตอนนั้นคนยิว ที่ได้รับการชำระผ่านทางปุโรหิต ผ่านทางเลือดแพะเลือดแกะ แค่ชำระภายนอกเท่านั้น  แต่จิตใจภายในไม่ได้รับการชำระเลย เขายังคงรู้ว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ แต่ปัจจุบันพวกเราเชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้รับการชำระข้างในวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ซึ่งบางครั้งอาจจะลืมตัว หรือหลง ถูกหลอกลวงไปทำบาป หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เรายังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่

            ถ้าเป็นสมัยก่อน คนยิวหรือคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เขาเป็นคนบาป อยู่ในอาดัม ต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม  ภาพ 2 ภาพนี้ ถ้าพี่น้องเห็นชัดปุ๊บ พี่น้องจะอ๋อ! เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อก่อนไม่ว่าเราทำดีขนาดไหน? ข้างในเรายังไม่รู้สึกว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด เราชอบธรรมเลย  แต่ปัจจุบัน เรารู้สึกเลยว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว แม้ขณะที่เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ข้างในวิญญาณเรายังรับรู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ ข้อที่ 15-22 …

        ฮีบรู 9:15-22 “15 ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่  เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้น จะได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่ เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก 16 ในกรณีของพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมนั้นสิ้นชีวิตแล้ว 17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ ก็ต่อเมื่อผู้ทำตายแล้ว หากผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมจะไม่มีผลอะไร 18 ด้วยเหตุนี้ แม้แต่พันธสัญญาแรกจะมีผลบังคับใช้ ก็ต้องมีเลือด 19 เมื่อโมเสสประกาศบทบัญญัติทุกข้อ แก่เหล่าประชากรทั้งปวงแล้ว เขาก็นำเลือดลูกวัว พร้อมด้วยน้ำ ขนแกะสีแดงและกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนและเหล่าประชากร 20 เขากล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายรักษา” 21 และเขาใช้เลือดประพรมพลับพลา และทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ เช่นเดียวกัน 22 อันที่จริงบทบัญญัติระบุให้ชำระแทบทุกสิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือด ก็ไม่มีการอภัยบาป

            นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต ต้องหลั่งเลือด ถึงจะมีการอภัยบาป ก่อนหน้านั้น เป็นเงาที่พระเจ้าทำไว้  ก็คือเอาสัตว์ตัวหนึ่งมาตายแทนมนุษย์ แล้วก็เอาเลือดของสัตว์นั้นมาถวายให้พระเจ้าปะพรมที่แท่นบูชา กฎนี้ยังอยู่ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์มาทำให้กฎสมบูรณ์แบบ ก็คือพระองค์มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์นำเอาเลือด เข้าไปในอภิสุทธิสถาน ซึ่งไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คือสวรรค์จริงๆ เลย  พระองค์ใช้เลือดของพระองค์เอง โดยที่ไม่ได้ใช้เลือดแกะเลือดแพะใดๆ เลย เลือดของพระองค์เอง ซึ่งบริสุทธิ์สะอาด หมดจด เลือดของพระองค์ ที่ได้ชำระทุกอย่างให้สะอาดบริสุทธิ์ มอบถวายให้พระเจ้า ทำให้พวกเรามนุษยชาติทั้งหมด สามารถที่จะได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ นิรันดร์

            การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับการประพรมด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระนิรันดร์ ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งครั้งเดียว แล้วมนุษยชาติไม่ว่าเราจะทำบาปขนาดไหน? คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เลือดของพระองค์พร้อมตลอดเวลา ก็คือทันทีที่เราทำผิดปุ๊บ เลือดก็ชำระเราทันทีเลย ไม่ต้องรอช้า หรือไม่ต้องรอให้เรามาขอจากพระเจ้า มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตั้งไว้  แล้วมันจะอัตโนมัติมากๆ ที่พระเจ้าบอกแล้วว่ามนุษย์ทุกคนจะได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พระเจ้าทรงยกโทษบาปให้กับพวกเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า ซึ่งเรายังสามารถทำบาปอยู่ แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  พี่น้องว่าจริงหรือไม่จริง? มีใครกล้าบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เคยทำบาปเลย ไม่มี เราก็ยังทำบาป เยอะบ้าง? น้อยบ้าง? แล้วแต่

            แต่ถ้าเป็นกฎเดิม ไม่ว่าบาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย พระเจ้าถือว่าบาปหมด แต่มนุษย์เอามาตั้งเป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์เองว่าถ้าทำบาปแบบนี้ ไปนินทาชาวบ้าน ถือว่าเป็นบาปเล็ก ถ้าไปฆ่าคนตาย ถือว่าเป็นบาปใหญ่ ซึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กบาปน้อย ถ้าเราทำบาป ก็คือบาปหมดเลย  ทำดี 99.99% ทำบาป 0.01% ก็ถือว่าบาป ดังนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะใช้ความดีงามของตัวเอง หรือการกระทำดีของตัวเอง เพื่อที่จะลบล้างความบาปของตัวเอง หรือถีบตัวเองไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ มันเป็นไปไม่ได้ ข้อที่ 23 …

        ฮีบรู 9:23 “ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องชำระสิ่งต่างๆ อันเป็นแบบจำลองของสวรรค์ด้วยเครื่องบูชาเหล่านี้ ส่วนของในสวรรค์เอง ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาที่ดียิ่งกว่า”

            ดียิ่งกว่า ก็คือเลือดของพระเยซูคริสต์ย่อมดีกว่าเลือดสัตว์แน่นอน  ข้อ 24-25 …

        ฮีบรู 9:24-25 “24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานนมัสการ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นเพียงแบบจำลองมาจากของแท้ พระองค์ทรงเข้าสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ ทรงปรากฏต่อหน้าพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลาย 25 ทั้งไม่ได้ทรงเข้าสู่สวรรค์ เพื่อถวายพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบที่มหาปุโรหิตเข้าสู่อภิสุทธิสถานทุกๆ ปีพร้อมด้วยเลือด ซึ่งไม่ใช่เลือดของตัวเอง”

            อันนี้ชัดเจนเลยนะ ถ้าพี่น้องเห็นภาพในอดีตกับภาพในปัจจุบัน ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว พี่น้องจะเห็นชัดมาก มหาปุโรหิตสมัยก่อนทำภารกิจไม่เสร็จสักที จะต้องทำแล้วทำอีก ทุกปีๆ  แต่พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว และในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ก็ประทับลงนั่ง

            เวลาเรานั่งพัก ก็คือทำงานเสร็จ ถ้าทำงานไม่เสร็จ พักไม่ได้นะ มหาปุโรหิตไม่เคยพัก ยืนทำอยู่นั่นแหละ ยืนประกอบพิธีตลอดเวลา ซึ่งไม่มีเวลาพัก แต่พระเยซูคริสต์ได้หยุดพักจากการงานทั้งหมดวันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว  ก็คือสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถที่จะได้รับความรอด สามารถที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

            ก่อนหน้านั้นที่บอกพินัยกรรม  เวลาคนทำพินัยกรรม เหมือนกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ทวดมีมรดกเยอะ ก็จะทำพินัยกรรมไว้ให้ลูกหลาน  ดังนั้น พินัยกรรมนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมนี้ก็ยังไม่มีผล ต้องรอให้คุณพ่อคุณแม่เสียชีวิต แล้วทนายความหรือคนที่ถูกมอบหมาย เขาก็จะมาอ่านพินัยกรรมว่าคุณพ่อคุณแม่ให้มรดก ให้กับลูกคนนี้เท่าไร? ลูกคนนั้นเท่าไร?  ก็จะมีผลบังคับใช้

            เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์ประทานพินัยกรรมให้กับพวกเรา เป็นพินัยกรรมที่สุดยอด  ก็คือทุกคนจะได้เท่ากันหมด ไม่มีใครได้มาก ได้น้อย แล้ววันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ทันที พินัยกรรมฉบับนี้ สามารถที่จะใช้การได้เลย ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะรับพินัยกรรมนี้ไป ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์เท่ากันหมด ทุกคนได้เท่ากันเลย  คือชีวิตนิรันดร์  เป็นแบบพระเจ้า ได้รับวิญญาณใหม่ทุกคนเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้รับความคิดจิตใจใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกคน แล้วอนาคตข้างหน้า เรายังได้รับร่างกายใหม่ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อย่างนี้ ทุกคนจะได้เท่ากันหมด  แล้ววันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน ก็คือเขาเรียกว่าของประทาน ของประทานพระเจ้าจะให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เท่ากัน บางคนได้เยอะ บางคนได้น้อย ไม่ว่าจะได้เยอะได้น้อย ก็มีผลเท่ากัน เหมือนกัน คนที่มีของประทานเยอะ ทำงานเยอะ ก็ไม่ได้ทำให้เราได้รับความรักจากพระเจ้าเพิ่มขึ้น หรือได้รับชีวิตนิรันดร์เพิ่มขึ้น ไม่ได้นะ เท่าเดิม พระเจ้ารักเราจนถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น ของประทานต่างๆ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ก็คือให้เรา เพื่อที่จะรับใช้ซึ่งกันและกันเท่านั้น ข้อ 26 …

        ฮีบรู 9:26 “หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่บัดนี้ พระองค์ทรงปรากฏในปลายยุคเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้น โดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา”

            ตรงนี้ ผู้เขียนได้อธิบายว่าถ้าหากว่าพระเยซูคริสต์ต้องทำเหมือนกับมหาปุโรหิต ที่ต้องถวายเครื่องบูชาทุกปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายความว่าพระเยซูคริสต์ต้องมาถวายตัวพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ตายอีก แล้วก็เป็นอีก อย่างนี้น่าจะทรมานน่าดู แต่ว่าความเป็นจริง คือมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว แล้วก็ทนทุกข์ครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ แล้วพระองค์ปรากฎในปลายยุค ก็คือวันที่พระองค์สัญญาว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ไปอยู่กับพระองค์ นี่คือพระสัญญาที่พระองค์ได้บอกกับเรา แล้วพระองค์ก็กำจัดบาปทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว โดยการที่พระองค์ถวายตัวพระองค์เอง ฉะนั้น พระเยซูมาทำพิธีกรรมเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือมากำจัดบาป ให้กับมนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วก็ให้เราทุกคนมั่นใจเลยว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นวิญญาณใหม่ วิญญาณเราทำบาปไม่เป็น ไม่รู้จักเลยคำว่าบาป  คืออะไร?  มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณข้างในเราปรารถนา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเยซูคริสต์บอก เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ด้วย ไม่มีวิญญาณกบฏเลย ในวิญญาณใหม่ของเราทุกคน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            เราจึงเข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับคืนวันศุกร์ประเสริฐในทุกๆ ปีที่เราเข้ามาระลึกถึงพระคุณความรักของพระองค์ ที่ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน  และระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ก็คือชำระล้างบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้แม้แต่คนหนึ่งคนใด โดนหลอกจากใครก็ตาม หรือจากคำอะไรก็ตามที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราว่าเรายังมีบาปอยู่ เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักมาก ดังแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าพฤติกรรมเราเป็นย่างไรก็ตาม ไม่สามารถทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลง

            ดังนั้น การที่พระเจ้ามองผู้เชื่อทุกคน พระเจ้ามองที่เราเป็นใคร? ไม่ได้มองที่เราทำอะไร? อันนี้ชัดเจน  อันนี้สำคัญมาก  หลายคนเข้าใจว่าพระเจ้ามองว่าวันๆ เราทำอะไรอยู่ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้น พระเจ้ามองว่าเราเป็นใคร?  ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ที่ไหน? เราไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ จำตรงนี้ให้ดีๆ  พระเจ้าไม่ได้สนใจเลยว่าเราทำอะไร? แม้แต่นิดเดียว าพระองค์รู้อยู่แล้ว เมื่อเราวางใจในพระเจ้า  เรามีธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระเจ้า เราปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว เราไม่มีความรู้สึกอยากทำบาปเลย ถ้าวันไหนเราทำ แปลว่าเราโดนหลอกนิดเดียวเอง โดนหลอกเราก็ลุกขึ้นมา แล้วเราก็ถอยกลับมาแค่นั้นเอง  ไม่มีผลอะไรกับชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับมาแล้ว แม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ตั้งแต่เกิด มวลมนุษยล้วนแสวงหา การได้ไปอยู่ในสวรรค์  เพราะอะไร?

            จิตใต้สำนึกในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน รู้ดีว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ดีพร้อม ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้

            ปัญหาของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ การกระทำ แต่อยู่ที่การเกิดมาอยู่ในตระกูลอาดัม ซึ่งเป็นคนบาป

            ดังนั้น พระเจ้าแก้ปัญหาให้มนุษย์ ก็ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติ การกระทำ แต่อยู่ที่ทรงทำให้ได้ “บังเกิดใหม่” อีกครั้งเช่นเดียวกัน

            โรม 5:12 … “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            – ไม่ต้องทำอะไร  ก็เท่ากับ   ได้ทำผิดบาป   เป็นนักโทษกบฏ ต่อพระเจ้าผู้สร้างแล้ว

            – เกิดมาก็ตายจากพระเจ้าทางวิญญาณ    เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            – เกิดมาวิญญาณก็อาศัยอยู่ในบาป  เป็นคนอธรรม (คนชั่ว) แล้ว

            โรม 5:15-16 … “15 แต่ของประทาน (การบังเกิดใหม่) นั้น ต่างจากการล่วงละเมิด  เพราะถ้าคนเป็นอันมาก   ตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด   พระคุณของพระเจ้า  และของประทาน (การบังเกิดใหม่)  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก 16 และของประทาน (การบังเกิดใหม่ ) จากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว   และนำไปสู่การลงโทษ  แต่ของประทาน (การบังเกิดใหม่ ) เกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง   และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม (พ้นจากการเป็นคนบาป)”

            พระเจ้าอวยพรครับ