วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1457

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู วันนี้เป็นตอนที่ 3

            Before and After ก่อนเชื่อและหลังเชื่อ วิญญาณเราอยู่ที้ไหน?

            จากตอนที่ 1 เราได้รับคำตอบแล้ว เรียนรู้กันไปแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า

            ในตอน 2 เราได้เรียนรู้แล้ว จากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าก่อนเชื่อเราอยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            วันนี้มาตอนที่ 3 จากถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป  หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            การได้รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เรื่องอื่นๆ นะ ไม่ใช่เรื่องอธิษฐาน เรื่องทำพิธีกรรม เรื่องอะไรต่างๆ แต่เป็นเรื่องความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ที่คริสเตียนควรจะเรียนรู้ ไม่ใช่คริสเตียน ก็ควรจะเรียนรู้ แต่เรียนรู้ยาก เพราะยังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายใน แต่คริสเตียนหลังเชื่อแล้ว ควรจะเรียนรู้เรื่องนี้อย่างมากเลยว่าในโลกวิญญาณนี้ เป็นเช่นไร?  ความจริงในโลกวิญญาณ จะทำให้เป็นไท  เป็นอิสระ ถามว่าเป็นอิสระจากอะไร?  ก็เป็นอิสระจากการโกหกหลอกลวงของมาร  ก็แสดงว่ามารไม่มีอำนาจอะไรเลย  ถ้ามันมีอำนาจ มันคงไม่ใช่โกหก ไม่ใช่หลอกลวง ล่อลวง ถูกไหม? ถ้ามันโกหกหลอกลวง แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แล้วมันล่อลวง หลอกลวงเพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            มันขโมยอะไร? ขโมยความสุข ขโมยสันติสุข ขโมยผลประโยชน์อะไรต่างๆ ของเราไป มันขโมย ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจทำอะไรเราได้เลย มันแอบย่องมาขโมย ให้รู้ไว้ จะได้ไม่ต้องกลัวมัน มารซาตานมันสิต้องกลัวเรา  เพราะเราเป็นเจ้าของ มันมาขโมย เจ้าของกลัวขโมย หรือขโมยกลัวเจ้าของ อันนี้พูดตามเรื่องปกติทั่วๆ ไป ขโมยต้องกลัวมาก ย่องเข้ามา กลัวทั้งตำรวจ กลัวทั้งเจ้าของ เจ้าของยืนสบาย เพราะเราเป็นเจ้าของ ยืนมั่นใจ นี่แหละคือความจริง

            ยกตัวอย่างเช่น ความจริงต้องเรียนรู้ คืออะไร? คือพอเรามาเป็นคริสเตียน ได้รับความรอดจากพระเจ้า ความรอดเป็นของขวัญจากพระเจ้า ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ได้เป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เลยในวิญญาณ เราจะได้รับร่างกายใหม่ เมื่อจากโลกนี้ไปทันที เป็นร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ  ที่มารพยายามที่จะขโมยออกไปจากเรา คริสเตียนทุกคน เราควรจะเรียนรู้และรับรู้ว่าการบังเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร?  ความรอดเป็นอย่างไร? ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วในวิญญาณ มันเป็นอย่างไร?  เพื่อไม่ให้มันขโมยไป

            และเราเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล ตอนที่ได้รับร่างกายใหม่เลย  มันจะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ บริสุทธิ์อย่างนี้แหละ อย่าให้มารมาโกหก หลอกลวง ขโมยเอาความจริงนี้ไป แล้วเอาสิ่งปลอมปนเข้ามาอยู่ในความคิดของเรา  ทำให้เราเป็นเหมือนคริสเตียนที่ไม่ได้ใช้สิทธิของเราอย่างเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย

            ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ ของฟรีๆ จากพระเจ้า โดยที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเป็นพระคุณ เราได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นพระคุณ ความรอดนี้เป็นพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเชื่อและเปิดใจเท่านั้น  อย่าให้มันหลอกลวง ล่อลวง พยายามโกหก ปิดบังตา ตั้งแต่เราก่อนเชื่อ จนกระทั่งหลังเชื่อ ก็ยังปิดอยู่ ก่อนเชื่อปิดอยู่ จนกระทั่งได้รับรู้ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รู้แล้วๆ ได้รับความรอดแล้ว  ก็ดีแล้ว แต่ไม่ให้รู้เรื่องอื่นอีก พยายามจะปิดบังตา สมมุติว่าทรัพย์สินเงินทอง สมมุติว่ามี 4 อย่าง อันดับแรก เปิดใจรับเชื่อพระเจ้า เราได้รับทรัพย์ มันก็บอกว่าทรัพย์ เงินทองอย่าไปได้เลย  มันจะปิดบังตา  เราก็กระเสือกกระสนต่อไป พระวิญญาณนำต่อไป  ได้รู้ความจริงมากขึ้น พอรู้ความจริงมากขึ้น ก็ได้สินมาแล้ว ทรัพย์ แล้วก็สิน มันก็ปิดบังต่อไป ได้รับทรัพย์สินแล้ว โอเคไม่เป็นไร ก็ปิดบังต่อไปไม่ให้รับเงินทอง  เราก็เรียนรู้ต่อไป โดยพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา รับรู้ความจริง พอรับรู้ความจริงนี้ อ้าว! เงินก็เป็นของเราด้วย  เราก็ได้รับเงินกลับมา มันก็ต้องคายออกมา มันขโมยเราไม่ได้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างง่ายๆ แต่อย่าไปคิดอย่างโลกนี้ว่าผมกำลังบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้ทรัพย์สินเงินทอง  นี่เปรียบให้ฟัง

            นี่คือวิธีการโกหกหลอกลวงของมาร ฟังในโลกวิญญาณอย่างนี้ แล้วไปคิดในเรื่องโลกวัตถุ พาสเตอร์นครบอกแล้วว่ามาเชื่อพระเจ้า จะได้รับทรัพย์สินเงินทอง นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ คือการโกหกหลอกลวงของมาร วิธีการของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นชัด ก็คือเมื่อมันหลอกลวง ก็แสดงว่ามันไม่มีอะไรเลย มันมีอำนาจเก๊ เมื่อมันขโมย เพื่อจะฆ่า ทำลาย มันก็ไม่มีสิทธิอำนาจที่จะฆ่า ทำลาย นอกจากให้เราฆ่าตัวเราเอง ถูกไหม? เพราะว่ามันขโมยเอาความจริงไป  จบเลย

            นี่ก็คือความจริงของกฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียนรู้ วันนี้จะเพิ่มเติม กฎทางฝ่ายวิญญาณเป็นความจริง คือ “ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์” เราจะเรียนรู้ตรงนี้แหละว่าก่อนเชื่อเราเป็นทาสบาป เป็นอย่างไร? หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? ในทางวิญญาณ  เราจะเริ่มต้นที่โรม 6:16  บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

        โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาส ของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

            ตรงนี้สำคัญมาก “ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย” ตรงนี้ ก็คือก่อน ถูกไหม? ก่อนจะเชื่อ เรามาดูที่หลังเชื่อในนี้เขียนว่าอย่างไร? “หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม” นี่คือหลังเชื่อใช่ไหม?  เห็นภาพไหม?

            จะอธิบายให้ฟัง เป็นทาสบาป ลักษณะเป็นอย่างไร? ต้องรู้คำในพระคัมภีร์ คำนี้ก่อนว่ามันแปลว่าอะไร? ท่านรู้ไหมว่านมัสการแปลว่าอะไร? ในทางตามองเห็น  ในทางวัตถุ สิ่งของ ปฏิบัติบนโลกใบนี้ คำว่า “นมัสการ” ก็คือการกราบ ไหว้ บูชา สรรเสริญ จะพาท่านไปดูความหมายของคำว่านมัสการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หมายถึงอะไร?

            “นมัสการ” หมายถึงบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนเหมือนดั่งทาส  นี่คือความหมายของคำว่านมัสการ ในพระคัมภีร์ ในเชิงของวิญญาณ  ในทางวิญญาณที่เราบอกว่าสำคัญที่สุด อ่านพระคัมภีร์ต้องนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งหมด  ความรอดเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  สำคัญที่สุด

            นมัสการเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แปลว่าบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนน เหมือนดั่งทาส เพราะฉะนั้น  คำตะกี้เราบอกว่าไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของความบาป ก็แสดงว่าไม่ว่าท่านจะนมัสการบูชา เคารพเชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป ท่านเป็นทาส ก็คือท่านยอมเชื่อฟัง เคารพ บูชา  ยอมจำนนต่อบาป เหมือนดั่งทาส ซึ่งคือก่อนที่ท่านจะเชื่อ อยู่ในสภาพนี้  วิญญาณของท่านกำลังนมัสการบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป หลังเชื่อค่อยมาว่ากัน

            เรามาดูสิว่าบูชา นมัสการ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป หมายถึงอะไร? ในพระคัมภีร์บอกอาดัมนำเอาเชื้อบาปเข้ามา  เราได้ยิน เชื้อบาปคืออะไร?  เชื้อบาป คือการพึ่งพาในตนเอง ทำตนเองให้เป็นรูปเคารพบูชา นมัสการตนเอง  ก็คือเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เชื่อฟังตนเอง เหมือนดั่งทาส นี่เรียกว่าความบาป แทนที่จะเชื่อฟังนมัสการพระเจ้า

            บาป คือการยกตนเองเป็นใหญ่ คือยอมจำนน ก้มกราบ เชื่อฟังในตัวเอง คิด แล้วก็ทำตามใจปรารถนาของตนเอง ซึ่งไม่มีทางที่จะทำดี สมบูรณ์ ครบถ้วน  ดีพร้อมตามที่ตัวเองคิดได้หรอก ถูกหลอกไป  เพราะตายจากความดีงาม คือตายจากพระสิริของพระเจ้าไปแล้ว  ทิ้งพระเจ้าไป  ก็ไม่มีทางทำดีได้  จึงไม่มีกำลังที่จะทำดี ให้บริสุทธิ์ดีพร้อมได้ตามที่ตัวเองคิดไว้ พระคัมภีร์บอก เพราะพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งความดี

            “พระเจ้าดี” คำว่าพระเจ้าดี คือพระเจ้าเป็นดี God is good ไม่ใช่พระเจ้ามีดี พระเจ้ามีพระลักษณะ คือเป็นพระเจ้า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพระเจ้า ที่ดี และเป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม เป็นความสว่าง เมื่อไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณของอาดัม  คือตายจากพระเจ้าไปแล้ว ก็มีลักษณะของความบาป คือตรงกันข้ามมาแทนที่  ในวิญญาณ ก็เกิดสิ่งหนึ่งมาแทนที่ คือความเป็นมลทิน ความชั่ว ความอธรรม ความมืด อะไรที่ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าดี ก็กลายเป็นชั่ว ก็คือเป็นบาป  พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี  พระเจ้าไม่อยู่แล้ว  ก็กลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม ก็คือเป็นบาปนั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดนี้ ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่ได้เป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น ในการวางแผนสร้างมนุษย์ให้เป็นลูกของพระองค์เลย เมื่อไม่ได้เป็นน้ำพระทัย  ไม่ได้เป็นพระประสงค์ ไม่ได้เป็นเป้าหมายของพระเจ้า จึงเรียกการกระทำนี้ว่าบาป

            บาป ก็คืออะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายของพระเจ้า เรียกว่า Missed the target แปลว่าพลาดเป้าไป นี่คือคำแปลของคำว่าบาป  Sin แปลตรงตัวเลย  แปลว่าเหมือนเรายิงธนู เล็งเป้าไว้กลมๆ สมมุติว่ามี 1 ถึง 10 มันหลุดออกไปเลย  หลุดกรอบไป เรียกว่าพลาดเป้า นี่คือภาษาจริงๆ ของพระคัมภีร์ คำว่า Sin แปลว่า Missed the target ความหมายคือเล็งแล้วมันไม่ตรงเป้า  ก็คือไม่ใช่วัตถุประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำอย่างนั้น  พระเจ้าต้องการให้มนุษย์สบาย  พระเจ้าต้องการให้มนุษย์มีความสุข พักอยู่กับพระองค์ เป็นวันสะบาโตกับพระองค์ตลอดไป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์พึ่งพาในพระองค์ วางใจในพระองค์ แต่มนุษย์ถูกหลอก โดยเริ่มต้นที่อาดัม ถูกล่อลวงให้พึ่งในตนเอง

            เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?  เห็นชัดเลยนะ มารมีอำนาจมาเกี่ยวข้องไหม? ไม่มีเลย มันมาหลอกบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของเราพลาดไป ถูกหลอก ด้วยความแยบยลของความชั่วร้าย ความคิดร้าย ความบาปของมารซาตาน ทำให้อาดัมฝืนคำสั่งของพระเจ้า ที่พระเจ้าสร้างกฎไว้ว่าอย่ากินผลไม้ที่ห้าม อย่ากิน วันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตายจากเรา วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะหลุดออกจากพระสิริของเรา วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะไปอยู่ตามลำพังเจ้าเอง นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้

            บางคนบอกพระเจ้าสร้างและรักเรา  ทำไมต้องมีกฎนี้ หลายคนถาม วันนี้ตอบแล้วนะ เขาถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าสร้างต้นไม้นี้ ต้นแห่งความดีและความชั่ว ไม่ให้กิน ไหนบอกรักเราไง เพราะรักเรา ถึงสร้างต้นไม้นี้ เพราะรักเรา ถึงสร้างกฎนี้ขึ้นมา เพราะกฎนี้ คือพระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก  จึงได้ประทานอิสรภาพให้กับเขา  ไม่ใช่สร้างเขามาเป็นโรบอต ไม่ได้สร้างเขามาเป็นหุ่นยนต์ว่า …

            “เธอต้องเชื่อฉัน เกิดมาต้องเชื่ออย่างเดียว”

            ให้เขาเป็นอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะรักพ่อหรือไม่รัก จะเชื่อฟังพ่อหรือไม่เชื่อ  ให้เขาเป็นอิสระจากใจของเขา ดีกว่าไหม?  มิฉะนั้น เราก็เป็นเหมือนโรบอต เรามีลูก เราให้ลูกเราทำดีด้วยวิธีใด? ล่ามโซ่ ไม่ให้ออกจากบ้านเลย  อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ เราให้อิสระเขา  เราสอนเขา เราบอกเขาออกจากบ้านไปได้ ไปเลย  แล้วอยู่ที่เขาตัดสินใจ เขาจะเชื่อเรา หรือจะเชื่อคนนอกบ้าน แล้วอาดัมเชื่อใคร?  อาดัมนำบาปเข้ามา  อาดัมบรรพบุรุษของเราเชื่อการโกหกหลอกลวงของมาร อาดัมนำเอาพลังอำนาจหนึ่งที่เรียกว่าความบาป ความบาป มีพลัง มีอำนาจ ถ้าผมยกตัวอย่างจะเห็นชัด บางคนบอกว่าเป็นอำนาจของความบาปและความตาย มันไม่เห็น ไม่รู้เป็นอย่างไร?

            ยกตัวอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพลังอำนาจของแรงดึงดูดของโลกมีไหม?  โยนของขึ้นไป ก็ตกลงมาหมด เห็นไหมว่าอะไรดูดลงมา  ไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริงๆ เหมือนกัน พลังอำนาจความบาป ความตาย เข้ามาในโลกนี้ ครอบคลุมอยู่เหนือโลกนี้ โดยที่เราไม่เห็น  แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นอยู่จริงๆ  เรียกว่าพลังอำนาจของความบาปและความตาย อาดัมเอาเข้ามา พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ทำให้เกิดคำสาปแช่ง

            คำสาปแช่ง คืออะไร? ฟังแล้วตกใจ ถ้าพูดง่ายนิดเดียว  คำสาปแช่ง คือพระพรของพระเจ้าหายไป คำสาปแช่ง คือตรงกันข้ามกับสิ่งที่เวลามีพระเจ้าอยู่ด้วย  มีพระพร พระเจ้าไม่อยู่ พระพรหายไป คำสาปแช่งเข้ามาแทนที่

            สิ่งดีงามที่พระเจ้าเรียกว่าพระพรต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์ และโลกใบนี้ที่เป็นบ้านของเขา  วัตถุต่างๆ ทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจหนึ่ง ที่เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความบาปและความตาย  และก่อให้เกิดคำสาปแช่ง เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ครอบครองอยู่ในวิญญาณจิตใจร่างกายของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างด้วยวิญญาณ จิตใจ และร่างกายนี้ ถูกครอบด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างรวมทั้งร่างกายมนุษย์ทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  คือต้องมาสู่ความสูญสิ้นทั้งสิ้น ตกอยู่ใต้พลังอำนาจของความบาปและความตายนี้ เหมือนดั่งทาส เห็นภาพหรือยังว่าเป็นทาสของความบาปและความตายหมายถึงอะไร?  เป็นทาสของความบาปและความตาย คืออยู่ใต้กฎนี้ โงหัวไม่ขึ้นเลย

            เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพลังอำนาจนี้มีอยู่จริง เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา พิสูจน์ได้ แล้วพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่ทำให้เราคิดชั่ว คิดอะไรที่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า มีอยู่จริงๆ เราจะพิสูจน์ได้โดย แม้มองไม่เห็นพลังอำนาจนี้ แต่พลังอำนาจนี้ สามารถส่งอิทธิพลผ่านเข้ามาในความคิดของเรา  ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม บนโลกนี้ ไปแอบอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือจะไปที่ดาวอังคารก็ตาม ดาวอังคาร ก็ยังเป็นโลกนี้อยู่นะ โลกนี้ หมายถึงวัตถุต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นมหาจักรวาลนี้

            อิทธิพลของความบาปและความตายนี้ ผ่านทางความคิดเข้ามาสู่เรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายนี้ เป็นสื่ออยู่ เมื่อไรที่วิญญาณเราออกจากร่าง ก็หลุดพ้นแล้ว แต่หลุดพ้นหรือไม่ มันก็หลุดออกไปจากร่างกาย ไม่ใช่ความคิดแล้ว แต่มันอยู่ในสถานที่วิญญาณนั้นได้เป็นทาสอยู่ ไม่ได้เป็นอิสระ ก็เป็นทาสตลอดไปนิรันดร์

            ตราบใดที่เรายังมีร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก สามารถรับสื่ออิทธิพล คลื่น กระแสความคิดนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  มัน  “มัน” ในที่นี้ หมายถึงพลังอำนาจของความบาปและความตาย อิทธิพลนี้  มันสามารถเกิดขึ้นได้ จากภายในตัวของเราเอง ความคิดในตัวของเราเองมันขึ้นมา  และจากภายนอก จากสื่อ จากข้างนอก มันตาเห็น หูได้ยิน มือไปสัมผัส ความคิดนี้มันสื่อเข้ามาได้  มันสามารถผ่านทะลุกำแพง ไม่ว่าจะหนาขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะปิดหู ปิดตา ไม่รับฟังก็ตาม ความคิดนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นมาได้ ในความคิดของเราเอง ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ากระแสของโลกนี้  เรียกว่าระบบของโลกนี้  เรียกว่าเนื้อหนัง ที่เราได้เรียนรู้ไปตอนที่ 1

            ระบบของโลกนี่ คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย ซึ่งเป็นศัตรูอยู่ตรงกันข้าม ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม  ความบริสุทธิ์ ความรัก และเป็นพระเจ้าตัวจริงๆ  พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ผู้ทรงประกาศอยู่เสมอว่าเราคือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ แต่เพียงพระองค์เดียว  แปลว่านอกนั้น หลอกเราหมด มีพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นเอง ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และสร้างกฎเหล่านี้ขึ้นมาทั้งหมด  ถูกหลอกว่าตรงนั้นเป็นพระเจ้า ตรงนี้ก็พระเจ้า  พระเจ้าเลยประกาศอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ว่าเราเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และถ้าถูกหลอกไป ก็คือไปมีพระเจ้าอื่น ก็จะอยู่ในการถูกหลอก อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งผลที่อาดัมทำเหล่านี้  ที่เอาพลังอำนาจของความบาปเข้ามาบนโลกใบนี้ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มันจะหมดไป เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง ผลก็คือลูกหลาน เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คือพวกเราที่เกิดตามมา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ใน DNA ของอาดัม เป็นลูกหลานที่ต่อสายพันธุ์ เชื้อชาติเข้ามา ก็ตกอยู่ใต้พลังอำนาจแห่งความบาปและความตายนี้ ก็คือตกเป็นทาสของความบาปนี้

            ตกเป็นทาส เชื่อฟังความคิดของบาป ก็คือเชื่อฟังความคิดของตัวเอง เห็นแก่ตัว ตัวเองเป็นใหญ่ เย่อหยิ่ง จองหอง  บูชา นมัสการตนเอง แทนที่จะนมัสการพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่อยู่ในใจของมนุษย์ รูปเคารพที่อยู่ในใจ คือบาป ตัวนี้แหละ  ก็คือตัวเองเป็นใหญ่  อะไรก็ฉัน ฉันเป็นใหญ่ และรูปเคารพที่อยู่ในใจ  คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย ตรงนี้จะทำให้เกิดผลออกมา เป็นการกระทำภายนอก ผลของการกระทำภายนอก มันเกิดจากข้างใน ก็คือสร้างรูปปั้นจากสัตว์ จากอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  มาเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงรูปเคารพที่อยู่ในใจ แล้วตัวเองกราบไหว้ ต้องการให้รูปเคารพนั้น ทำตามความปรารถนาของตนเอง ตัวเองเป็นใหญ่อยู่ในใจของตนเองนั่นเอง  สร้างมา เพื่อว่าเขาจะได้ทำตามเรา  แต่พระเจ้าบอกให้ทำตามพระเจ้า พระเจ้าปลอม ก็คือสร้างขึ้นมาโดยตัวเราเองนั่นเอง  เป็นคนที่อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ รูปเคารพมีไว้เพื่ออะไร?  เพื่อเราจะได้ขออะไรต่างๆ ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระเจ้าให้เราพึ่งพา วางใจในพระองค์

            ในข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้บอกว่า “ท่านไม่รู้ความจริงหรือว่า” ก็แสดงว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก  ท่านควรที่จะรู้ความจริงนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มีทาสของความบาป และทาสของความชอบธรรม มี 2 ทาสเท่านั้นเอง นี่พูดถึงคริสเตียน ก็คือหลังเชื่อแล้ว ก่อนเชื่อนั้น ท่านเป็นทาสของความบาป  หลังเชื่อ ท่านเป็นทาสของพระเจ้า  เป็นความชอบธรรม ท่านควรจะรู้

            พูดง่ายๆ ในโลกวิญญาณ มีแค่ 2 เจ้าเท่านั้นเอง  ไม่ใช่ร้านขายของนะ  2 พระเจ้า พระเจ้าจริงกับพระเจ้าปลอม พูดง่ายๆ ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 เจ้านายเท่านั้นเอง ที่ท่านจะเชื่อฟัง และท่านจะกราบไหว้บูชา นมัสการ

            เจ้านายแรก ก็คือบาป ทุกคนเกิดมาอยู่ในเจ้านายแรก  อยู่ใต้ เป็นทาสเจ้านายแรก นมัสการเจ้านายแรก  เรียกว่าบาป

            เจ้านายที่สอง เรียกว่าชอบธรรม คือพระคริสต์ คือพระเจ้าแท้จริง

            พระเจ้าปลอม คือพระเจ้าบาป บาป คือตัวเองเป็นใหญ่  พึ่งพาในการกระทำของตนเอง

            พระเจ้าจริง คือพระเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เป็นพระเจ้า  บาปส่งผลเป็นความตาย  ส่วนเจ้านาย คือพระเจ้าจริงๆ  ส่งผลเป็นชีวิต จำที่พระเยซูพูดได้ไหม? …

            “ท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะเป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นาย”

            ท่านต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง  ท่านจะเลือกทั้งนมัสการตัวเองด้วย ทั้งนมัสการพระเจ้าด้วยไม่ได้ ท่านต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวิญญาณของท่าน อยู่ 2 ที่ไม่ได้ อยู่ที่เดียว มันเป็นกฎ โดดไปโดดมา ก็ไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็อยู่เลย  จนกระทั่งนิรันดร์ ถ้าท่านอยู่ในบาป ท่านก็จะอยู่ในบาปนิรันดร์  มีเจ้านาย  คือบาป ถ้าท่านเปลี่ยนเจ้านายใหม่ เจ้านายเป็นพระเจ้า ท่านก็มีพระเจ้าพระคริสต์ เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว ตลอดไป เป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นายไม่ได้ ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างท่านจะเป็นทาสของบาปต่อไป ซึ่งนำไปสู่ความตาย ก็คือก่อนจะเชื่อ หรือท่านตัดสินใจจะมาเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม หลังเชื่อ ท่านต้องเลือกเอา นำไปสู่ความชอบธรรม ก็คือนำไปสู่พระคริสต์นั่นเอง มาดู โรม 6:17 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:17  “แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้น อย่างสุดใจ”

            พระคัมภีร์ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลเขียนถึง กำลังพูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว หลังเชื่อแล้ว  ในข้อ 17 จึงบอกว่า “แต่ขอบคุณพระเจ้า” ทำไมขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า เพราะคุณเลือกเชื่อแล้ว หลังเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้า

            “แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป” คือแต่ก่อนนี้ ท่านอยู่ใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ “ท่านก็ได้เชื่อฟังคำสอน ซึ่งมอบหมายแก่ท่านนั้น อย่างสุดใจ” ตรงนี้เป็นสำนวน  ที่หมายถึงขอบคุณพระเจ้า  ที่แต่ก่อนนี้ ท่านอยู่ภายใต้การเป็นทาสของบาป  แต่ขอบคุณพระเจ้า ท่านตัดสินใจเลือกข้างใหม่ มาอยู่ในพระคริสต์ และพระเจ้าทรงประทานใจใหม่ให้ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟังพระองค์ มันแปลว่าอย่างนี้  ก็คือโดยพระคุณพระเจ้า   ทรงประทานใจที่เป็นลูกของพระเจ้า ลูกแห่งการเชื่อฟังให้กับเรา ให้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา ที่เกิดใหม่ในวิญญาณ ใจที่เชื่อฟังนี้ เป็นส่วนหนึ่งในความรอดที่เราได้รับจากพระเจ้า เมื่อเราตัดสินใจย้ายข้าง เมื่อเราตัดสินใจย้ายออกจากทาสของความบาป มาสู่ทาสของพระคริสต์

            พูดง่ายๆ ว่าตรงนี้หมายถึงว่าท่านได้ไปอยู่ในพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าได้ประทานถ้อยคำ ก็คือพระคริสต์ ก็คือความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้ท่านเชื่อ และท่านเชื่อฟัง คำว่าเชื่อฟังตรงนี้ หมายถึงเชื่อฟัง ที่เป็นของประทานเกิดขึ้นอยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ของท่านที่เกิดใหม่ เป็นของประทานที่ไม่ไปไหนเลย  ไม่ใช่ท่านเชื่อฟังเอง  แต่เป็นการเชื่อฟังที่เป็นบุคลิก เป็นลักษณะหนึ่ง ที่พระเจ้าได้ใส่ลงไปในวิญญาณและในใจใหม่ของท่านนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อได้รับธรรมชาติใหม่ และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในพระองค์ด้วย เป็นของประทานให้เชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าประทานให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ไม่ใช่พยายามเชื่อ แต่มันเชื่อโดยเป็นธรรมชาติ  มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการพยายามบรรลุถึงสภาวะของการประพฤติ ในร่างกายนี้ ให้บริสุทธิ์ ให้ดีพร้อม ไม่ใช่ ให้เชื่อฟัง ไม่ใช่ แต่เป็นการตระหนัก และรับรู้ และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงว่า …

            “ตัวตนแท้จริงของฉันในวิญญาณนั้น บริสุทธิ์และเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกที่บริสุทธิ์และเชื่อฟังแล้ว ในพระคริสต์ ตรงนี้ต่างหาก ที่ต้องรับรู้ ความบริสุทธิ์ของเรานั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยายาม หรือการงานของเราทำ ไม่ใช่เราจะไปพยายามทำให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ใช่ แต่ขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขนต่างหาก การสำเร็จ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ตั้งแต่การสิ้นพระชนม์จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายนี้ ทำให้คนที่เชื่อในพระองค์บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง ในวิญญาณ และในใจ ไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติเลย ข้อที่ 18 ต่อ …

        โรม 6:18 “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

            เห็นไหมครับ? “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป ได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว” ก็คือมันเป็นขึ้นมาโดยกำเนิด มันไม่ได้เป็นการกระทำ  ไม่ใช่ท่านได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสรภาพจากความบาป โดยการประพฤติของท่านที่หนีออกมาจากความบาป ไม่ใช่ แต่พระเจ้าประทานให้ต่างหาก พูดง่ายๆ เหมือนท่านได้รับปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากบาป ก็คือตอนก่อนเชื่อ ท่านถูกล่ามโซ่อยู่ เป็นทาสของบาป รู้แล้วใช่ไหมบาปหมายถึงอะไร?  เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ ตอนนี้ท่านเป็นลักษณะเดียวกัน คือท่านถูกล่ามโซ่ เหมือนกับทาสเหมือนกัน แต่เป็นการถูกล่ามโซ่ เหมือนกับทาส ถูกควบคุมให้ทำตามพระเจ้า

            เห็นอะไรบางอย่างไหม? แต่ก่อนนี้ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องพยายามเลย  ท่านก็ทำชั่วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  ท่านก็เชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว พอมองเห็นไหม? นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณว่ามี 2 ข้าง ข้างหนึ่งเป็นทาสแห่งความบาป คือไม่เชื่อฟัง อีกข้างหนึ่งเป็นทาสของพระคริสต์ คือเชื่อฟัง จะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง พระคัมภีร์กำลังอธิบายให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่ามันมี 2  ข้าง

            พระเจ้าประทานความปรารถนาในใจให้กับเรา  ตอนที่เราย้ายข้างมา  พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่ ในพระคัมภีร์บอก เพราะฉะนั้น ตัวตนของเราจริงๆ คือวิญญาณและใจของเรา อยากได้อะไร ทั้งหมดนั้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น  มันของดีหมดเลย แต่ของไม่ดี มันมาจากข้างนอก นอกตัวเราแล้ว มันจะมาหลอกล่อ หลอกลวงเราต่างหาก

            พระเจ้าประทานความปรารถนาในใจให้กับเรา ซึ่งท่านไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุมท่านอยู่ เพราะท่านเกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของท่าน อยู่ในใจของท่าน ควบคุมอยู่เลย ท่านจะไปไหนรอด  ไม่รอดเลย เพราะว่าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุมท่าน อยู่ในใจของท่าน อยู่ในวิญญาณของท่าน ให้วิญญาณและในใจของท่านได้นมัสการ บูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อพระเจ้า ถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันแปลว่าอย่างนี้ พระวิญญาณนำท่าน ที่เกิดใหม่นั้น ให้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  คือพระคริสต์

            นมัสการแปลว่าอะไร? ก็รู้อยู่แล้วตะกี้นี้ ก็คือให้ท่านบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อพระคริสต์ จอมเจ้านาย เหมือนดังเป็นทาส เปรียบเทียบให้ดู เหมือนแต่ก่อนนี้ เราเคยเป็นทาสของความบาป  แล้วมาเป็นทาสของพระเจ้า  เปรียบให้เหมือน ไม่ใช่เราเป็นทาสจริงๆ แต่เราเป็นลูก เป็นทาสที่เป็นลูก พูดง่ายๆ ข้อ 19 …

        โรม 6:19 “ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามประสามนุษย์ ก็เพราะท่านอ่อนแอตามปกติวิสัยของท่าน เมื่อก่อนท่านเคยให้ส่วนต่างๆ ในกายของท่าน เป็นทาสของความโสโครก และความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุดอย่างไร บัดนี้ ก็จงให้ส่วนต่างๆ นั้น เป็นทาสของความชอบธรรม ซึ่งนำมาสู่ความบริสุทธิ์อย่างนั้น”

            ต้องเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าแต่ก่อนนี้ ท่านไม่ได้เชื่อ ท่านอยู่ในความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านั้น  เพราะเป็นทาสเขาอยู่ เพราะว่าท่านอ่อนแอ ต้องยกตัวอย่างอย่างนี้ว่าความชั่วร้ายที่ท่านเคยทำมาเป็นอย่างไร?  บัดนี้ ท่านไม่ได้อยู่อย่างนั้นแล้ว  ท่านจะไปทำความชั่วร้ายนั้นอีกทำไม? และท่านไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว  บัดนี้ ท่านเชื่อแล้ว ท่านมาเป็นทาสของพระเจ้า ของความดีงามแทนแล้ว  ตรงนี้ต่างหาก

            ก่อนเชื่อ เป็นทาสของความโสโครก ความชั่วร้าย

            หลังเชื่อ เป็นทาสของความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ที่อยู่ภายในใจ ในวิญญาณของท่านแล้วนั้น

            ให้เห็น 2 ข้างว่า แต่ก่อนนี้ทำไม่ดีต่างๆ เพราะว่าเป็นทาสของความไม่ดี ตอนนี้เป็นทาสของความดี ก็น่าจะมาทำตาม ให้มันสมกับการที่ภายในเป็นคนดีแล้ว พูดง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังสอนเราว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านควรจะมอบอวัยวะในร่างกายของท่าน มาเชื่อฟังพระเจ้า จะได้บริสุทธิ์ จะได้สะอาด จะได้ดีมากขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่กำลังบอกให้เห็นว่ามันมี 2 ข้าง  ข้างหนึ่งชั่ว ข้างหนึ่งดี  ตอนนี้เราดีแล้ว ดีโดยกำเนิด ดีครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมันก็ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย

            แต่ปฏิบัติตัวภายนอก ก็คือมอบอวัยวะในร่างกายทุกส่วนให้กับวิญญาณที่อยู่ภายใน ให้กับพระเจ้าที่อยู่ภายในใช้ ให้มันสมกับที่มันเป็นคนดี สมบูรณ์แบบแล้ว  ไม่ใช่ว่ามอบอวัยวะในร่างกายให้กับพระเจ้าใช้นะ  เพื่อที่ท่านจะได้บริสุทธิ์ ดีพร้อมมากขึ้น  ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่ เราถูกโกหกหลอกลวงว่าให้เป็นอย่างนี้ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องทำดี ต้องทำอะไรต่างๆ นั้น มอบอวัยวะในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เพื่อเราจะได้บริสุทธิ์ดีพร้อมมากขึ้น มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะท่านได้รับความบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ จะทำให้ท่านบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นได้อีกเลย เพราะมันสมบูรณ์แล้ว  พระเยซูตรัสว่ามันสำเร็จแล้ว เอเมน

            ซาตาน มารก็พยายามมาหลอกเรา โกหกเรา มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องทำดีอีก ต้องทำพร้อมกว่านี้  ไม่ดีหรอก ทำอย่างนั้น ก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ ยังไม่พร้อม จริงๆ ก็คือมันดีพร้อมหมดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ภายนอก มันยังอยู่ใต้อิทธิพลของการหลอกลวงของมารอยู่ ข้อ 20-21 …

        โรม 6:20-21 “20 เมื่อท่านเป็นทาสของบาป ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม 21 ครั้งนั้น ท่านได้เก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านก็ละอายแก่ใจ ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้น คือความตาย”

            เห็นไหม? เปรียบเทียบ 2 อัน ตอนนั้นท่านเป็นทาสของความบาป  พยายามทำความดีมากเท่าไร ก็ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้เลว  ยังไงก็เป็นผลเลว  เป็นความพินาศ ความตาย  ท่านทำไป ก็มีแต่ความตายตลอดเวลา  มีแต่ความเสียหายตลอดเวลา ท่านเห็นไหม? แต่เดี๋ยวนี้ ข้อ 22 …

        โรม 6:22  “แต่บัดนี้ ท่านเป็นอิสระจากบาป และได้กลายมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ประโยชน์ที่ท่านได้เก็บเกี่ยว นำไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลลัพธ์ คือชีวิตนิรันดร์”

            แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นกิ่งก้านที่พระเจ้าถอนออกมาจากต้นไม้เดิม คือต้นไม้อาดัม ต้นไม้บาป  คือตัวท่านถูกย้ายมา ตัวท่านก็เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ ย้ายออกมาต่อติดกับต้นไม้ดี คือพระเยซูคริสต์แล้ว พระคริสต์ คือเจ้าชีวิตของท่าน เป็นเจ้านายของท่าน แต่เพียงผู้เดียวแล้ว  ท่านได้เป็นชีวิตนิรันดร์ เข้าส่วนร่วมวิญญาณเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว  เป็นร่างกายของพระองค์แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านจะไปทำอย่างเก่าอีกทำไม? นี่กำลังพูดอย่างนี้ หมายถึงท่านเป็นแล้ว  ท่านอย่าถูกหลอกให้ประพฤติเหมือนดังที่เคยประพฤติ ตอนที่ยังไม่ย้ายมา  ตอนที่เป็นทาสของบาปอยู่ ท่านไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว  ท่านปฏิเสธมันได้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลย  เพราะว่าวิญญาณและใจของท่านนั้น ใหม่เอี่ยม สะอาด เป็นส่วนหนึ่ง เป็นร่างกายของพระคริสต์แล้ว

        โรม 6:23 “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

            เพราะค่าตอบแทนของความบาป คือความตาย ถ้าท่านยังไปทำเหมือนเดิม ไปยอมเชื่อมารว่าให้ทำตามเหมือนเดิม ก็คือทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า  ก็คือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รู้ไหมค่าจ้างของความบาป  ค่าจ้าง คือผลตอบแทน ท่านต้องลงแรงลงกาย ไปทำบาป แล้วก็ได้ความตาย  ความไม่สบายกลับมา  ได้ความทุกข์ใจกลับมา  ท่านจะไปลงแรงลงกายทำทำไม? เหนื่อยด้วย แล้วแถมได้สิ่งที่ไม่ดีกลับมาด้วย ท่านมาทางพระเจ้าดีกว่า เพราะว่าบาป คือการพึ่งพาแรงกาย การกระทำของตนเอง  ซึ่งทำไม่ได้ เหนื่อย  ยากลำบากมาก และค่าตอบแทนของการทำบาป  ทำตามใจตัวเองนั้น  ก็คือตายจากพระเจ้า ไม่ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ ท่านจะไปทำทำไม?

            กำลังพูดให้เห็นว่าท่านไม่อยากทำอยู่แล้ว ในใจของท่าน  เพราะมันเหนื่อย หมายถึงคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  เวลาทำบาปแล้ว มันจะเหน็ดเหนื่อยมาก เหนื่อยเหลือเกิน  มันไม่อยากทำ  เพราะรู้ว่าค่าจ้างของมัน คือความตาย มันไม่มีประโยชน์เลย

            เพราะฉะนั้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจรับของขวัญจากพระเจ้า  คือการพึ่งพา การกระทำของพระเยซูคริสต์ดีกว่า วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่เหนื่อย ยาก ลำบาก ได้รับค่าตอบแทนสูงด้วยอีกต่างหาก ก็คือได้ชีวิตนิรันดร์ อยู่ในบาป พยายามๆ จะไปอยู่ในสวรรค์ นึกภาพออกนะ  ก่อนเชื่อ  อยู่ในบาป พยายามทำ เพื่อไปสวรรค์ เหนื่อยไหม? เหนื่อย  แล้วได้สวรรค์ไหม? ไม่ได้ ได้อะไรแทน ตกมาตาย  มาอีกข้างหนึ่ง มาวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ให้พระเยซูทำ แต่ได้รางวัล คือได้สวรรค์ ไม่ตาย  นี่มันหมายถึงอย่างนี้

            ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดู เป็นสุดท้ายก่อนที่จะจบ เห็นชัดเลย มันเหมือนเราจะไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ตกเป็นทาสบาป เขาอยากไปสวรรค์ อยากจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ สวรรค์เหมือนยอดภูเขา  อยู่บนยอดสวรรค์ มนุษย์เกิดมาปุ๊บ อยู่ตีนภูเขา  แล้วทำอะไร? มีบันไดให้ปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง  ไปสวรรค์ด้วยตัวเอง ก็คือปีน เกิดมาปุ๊บ วันแรก ก็เริ่มปีน  ปีนไปเรื่อยๆ บางคนก็ได้มากขั้น บางคนก็ได้น้อยขั้น แต่ไม่มีใครไปถึงสวรรค์สักคน ปีนๆ ไป ในที่สุด ก็ตาย ผลของการปีน เหนื่อย แล้วก็ต้องตาย ก็คือไม่ได้ไปสวรรค์นั่นเอง ไม่ได้อยู่ในสวรรค์

            แต่พระเจ้าส่งพระเยซูลงมา เพราะว่ามองเห็นมนุษย์อยู่ว่าปีนอย่างไรก็ไม่ถึง พระเยซูก็ลงมา แล้วก็ชี้ให้มนุษย์เห็นว่ามนุษย์ คุณปีนอย่างไรก็ไม่ถึง แล้วคุณพึ่งพาการกระทำของตนเอง พึ่งพาในความดีงามของตนเอง  เพื่อจะไปสวรรค์ มันไม่ถึงหรอก เพราะว่าคุณปีนไป คุณก็ทำชั่ว  เพราะว่าท่านเกิดอยู่ในบันไดของความชั่ว  ความบาปนี้  ท่านต้องย้าย  พระเยซูเลยมาบอกว่าวางใจในเราสิ  ไม่ต้องปีนให้เหนื่อย  วางใจในเรา ก็คือเข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์เหมือนลิฟต์ รู้จักลิฟต์ใช่ไหม? เข้าอยู่ในลิฟต์ ปีนๆ อยู่ เหนื่อยๆ  ไม่ไหวแล้ว  ไม่ไหวก็เข้าไปอยู่ในลิฟต์ ขึ้นลิฟต์ปุ๊บ ถึงสวรรค์ทันทีเลย ไม่ต้องปีน ขึ้นลิฟต์ กดปุ๊บ ขึ้นสวรรค์เลย กด เมื่อท่านตัดสินใจจะย้ายออกจากบันไดนั้น พอย้ายจากบันไดปุ๊บ เข้าลิฟต์ ลิฟต์ขึ้นทันที ไม่ใช่เข้าเสร็จ ต้องรอให้คนอื่นมาหรือยังๆ ทุกคนมีลิฟต์ส่วนตัว พอเข้าลิฟต์ปุ๊บ ท่านกดทันที ขณะที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเข้ามาอยู่ในลิฟต์ มันขึ้นสวรรค์ทันทีแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจ และจะอยู่ที่นี่กับพระเจ้าตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่เหนื่อยด้วย และได้รับรางวัล คือสวรรค์

            อีกข้างหนึ่งทั้งเหนื่อย  ทั้งลำบาก ทั้งปีนด้วยตัวเอง แต่ในที่สุด  ตาย จะเอาอะไร? ปีนด้วยตัวเอง  พึ่งพาตัวเอง แล้วก็มองไปข้างล่าง

            แล้วก็บอก … “ตามฉันมา ทำให้ได้เหมือนฉันสิ  ฉันได้เยอะแล้ว  ฉันคิดว่าฉันไปถึง”

            แล้วถึงไหม? ไม่ถึง แต่ก็พยายามที่จะสอนคนข้างล่างว่าตามฉันขึ้นมา  ปีนขึ้นมาอีก พยายามปีนขึ้นมา พยายามปีนอีกนิดหนึ่ง คนสอนก็ไม่ถึง คนถูกสอน คนตามมาก็ไม่ถึง

            แต่พระเยซูบอก … “ฉันมา ไม่ได้ต้องการให้เธอมาปีนขึ้นมาตามฉัน ขึ้นมาๆ เพราะฉันจะบอกให้เธอฟังว่าฉันรู้ดี เธอปีนอย่างไรก็ไม่ถึงหรอก  เพราะฉะนั้น เลิกปีนเถอะ  เลิกยึดกฎระเบียบตามความบาป แต่ให้มาวางใจในฉัน  ฉันจะพาขึ้นสวรรค์เอง  จงวางใจในเรา แล้วท่านจะพบกับพระบิดา ท่านจะมาหาพระบิดาได้มีทางเดียว คือทางเรา พระบิดา คือเจ้าของสวรรค์ ท่านจะไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ได้ ก็เพราะทางเราเท่านั้น เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าให้มนุษย์เลือกทางที่จะไปอยู่สวรรค์กับพระองค์

                        1. ทางของมนุษย์คิด

                        2. ทางของพระเจ้าคิด

            ทางของมนุษย์ คือสะสมทำดีก่อน เพื่อจะไปสวรรค์

            ทางของพระเจ้า คือได้อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วจึงสะสมทำดี

            ความคิดมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ดีพร้อม เพื่อจะไปสวรรค์

            ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ดีพร้อมอยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราจะฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติสมกับที่บริสุทธิ์ดีพร้อม

            ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง

            ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            ยอห์น 3:16 … “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์”

            เพราะเรารอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  ตั้งแต่นาทีที่เราเชื่อ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้แล้ว   ได้บังเกิดใหม่แล้ว

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จาก (ทาง) กฎแห่งบาปและความตาย”

            พระเจ้าอวยพรครับ