คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2023
เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองคทรงอยู่)”
ตอน 6 “อิสระจากความกลัวพระเจ้า”
โดย นคร เวชสุภาพร
ให้เราหันไปบอกกันและกันว่า “Merry Christmas” อย่านึกว่าผมจำไม่ได้ว่าวันนี้วันอะไร? ฝึกไว้ก่อน คราวนี้ฝึกเป็นภาษาไทย เราแปลได้หลายปีแล้ว “ขอให้ท่านได้พบกับสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับท่าน” เอเมน
วันนี้เรามาต่อในซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” ตอนที่ 6 “อิสระจากความกลัวพระเจ้า” มนุษย์ทุกคนคุ้นหูเรื่องนี้มากเลย ถ้าเราคิดให้ดีๆ เวลาเราจะทำอะไร เราจะบอก …
“ระวังนะ พระเจ้ามองดูอยู่ พระเจ้าไม่มีลำเอียงเลยนะ พระเจ้ารู้หมด เธอต้องทำดีๆ นะ ทำไม่ดี พระเจ้าลงโทษ”
พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เราก็บอกว่า … “เนี้ย พระเจ้าลงโทษ”
คนที่ทำชั่ว ทำอะไรไม่ดี เห็นชัดๆ แล้วได้รับอะไรที่ไม่ดีเข้ามา เราก็จะบอกว่า … “นี่ พระเจ้าลงโทษ”
เกิดอุบัติเหตุ หรืออะไร? ภัยธรรมชาติต่างๆ เยอะแยะมากมาย ภูเขาไฟระเบิดอะไรต่างๆ เราก็บอกว่าพระเจ้ากำลังลงโทษ โควิดมา คนตายเยอะแยะ พระเจ้ากำลังลงโทษ มนุษย์ทำอะไรบาปไว้มั้ง หรือใครทำอะไรที่ชั่วร้ายไว้ พระเจ้ากำลังจัดการลงโทษ นี่คุ้นหูมากเลย พระเจ้าลงโทษๆ
ในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้ตรงนี้ด้วยเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม คำนี้ใช้บ่อย คือ … “จงเกรงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น”
พออ่านก็สะดุ้งทุกทีเลย แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? วันนี้เราจะมาค้นหาความหมายของคำว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น” นึกในใจว่าพระเจ้าต้องการให้มนุษย์กลัวพระองค์หรือ? ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวพระเจ้า ความจริงในวันนี้ ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ จะทำให้เรารู้ความจริงว่าเราควรกลัวพระเจ้าไหม? พระเจ้าเป็นผู้ที่น่ากลัวอย่างนั้นหรือ? สำหรับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวพระเจ้า แล้วได้เข้าหาพระองค์อย่างสนิทสนมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ วันนี้เราจะมาดูสิว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ให้มนุษย์กลัวพระเจ้าหรือไม่?
ต้นเหตุของความกลัวพระเจ้ามาจากไหน? ต้นเหตุของความกลัวพระเจ้าสั้นๆ ในพระคัมภีร์บอกมาจากบาป ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้น เรียกว่าก่อกรรมทำเอง ไม่ใช่พระเจ้า นี่คือความจริงชัดๆ มนุษย์ก่อกรรมขึ้นมาเอง เราจึงใช้ พูดกันสั้นๆ ชัดๆ ว่าก่อนเรามาเชื่อ เราก็บอกว่าคนเราเกิดมาใช้กรรมเก่า ถูกเลยนะ ใช้กรรมเก่า เป็นกรรมเก่าที่เราไม่ได้ทำ แต่บรรพบุรุษเราเป็นคนทำ เหมือนคนที่เกิดในครอบครัวที่เป็นหนี้เป็นสิน เกิดมาต้องใช้หนี้ใช้สิน เพราะว่าบรรพบุรุษเราขายทรัพย์สมบัติไปหมดเลย เราตกเป็นทาสเขา ไม่มีเงินเหลือเลย ติดหนี้ติดสินเขา ต้องยกครอบครัวให้กับเขา เกิดมาก็เป็นหนี้เขาแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น เกิดมาใช้กรรม ไม่ใช่พระเจ้าเป็นต้นเหตุแห่งการใช้กรรมของเรา ใครเป็นต้นเหตุ มนุษย์เอง บรรพบุรุษของเรา เป็นผู้ขายเรา และบ้านของเรา คือโลกใบนี้ทั้งหมด ให้กับบาป
“บาป” คือการไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ไม่มีสันติสุข ไม่มีพระสิริของพระเจ้า ไม่มีพระพรของพระเจ้า สิ่งดีงามของพระเจ้าทั้งหมด ที่จัดไว้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง ได้หายไปหมดเลย เขาเรียกว่าทรัพย์สินของมนุษย์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา ทั้งทรัพย์สินที่ภายในวิญญาณ ร่างกาย และวัสดุบนโลกใบนี้ ทั้งหมด ได้สูญหายไปหมดแล้ว มนุษย์ได้ออกจากสวรรค์ไป ต้นเหตุก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า ชัดเจนไหม? ก็ มนุษย์เกิดมาใช้กรรม และอยู่ใต้คำสาปแช่ง บนโลกใบนี้ ต้องทำมาหากินด้วยเหงื่อต่างน้ำ ด้วยความลำบากยากเย็น เพราะพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? ต้นเหตุมันไม่ใช่นะ
วันนี้ ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเห็นถึงน้ำพระทัยพระเจ้าจริงๆ ว่าพระเจ้าเป็นใคร? แล้วพระองค์มีความรู้สึก สัมพันธ์ต่อมนุษย์ แค่ไหน? อย่างไร? พระองค์สาปแช่งลูกของพระองค์ คือมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงให้กำเนิดมาได้ถึงขนาดนี้นั้นหรือ?
ความจริงอันดับแรกที่เราต้องเรียนรู้ คือความรักของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์ ในฐานะผู้ให้กำเนิด คือเรียกว่าพ่อนั่นเอง ว่าความรักของพ่อ คือพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น มากขนาดไหน? เป็นห่วง เป็นใย และแคร์เรา มากขนาดไหน? นี่ดูจากถ้อยคำพระเจ้าชัดๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่จะสำแดงพระเจ้า ให้เราได้เข้าใจ ได้รู้ ชัดเจน ถึงพระลักษณะของพระเจ้า และความต้องการของพระองค์ และจิตใจของพระองค์นั้น ก็คือตัวของพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ และพระองค์มาถึงปุ๊บ พระองค์ก็สำแดงน้ำพระทัยของพระเจ้าว่าพระองค์มีน้ำพระทัย มีความต้องการ มีความสัมพันธ์ มีความรักต่อมนุษย์ขนาดไหน? ฟังดูแล้วท่านจะเข้าใจเลย แทบจะไม่ต้องพูดอะไรอีกมากเลยว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดนี้แหละ
เราจะเริ่มต้นจากลูกา 15:17-24 ซึ่งพระเยซูยกอุปมาตัวอย่างให้กับชาวยิวในขณะนั้น ได้รู้ถึงน้ำพระทัยพระเจ้าว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ มีความรักต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง? โดยยกตัวอย่างง่ายๆ ชัดๆ ว่ามนุษย์ที่ตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง อยู่ในความบาปนั้น เหมือนลูกที่หลงทางออกจากบ้าน ออกจากทางของพระเจ้าไป ไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ที่อยู่ในสวรรค์มีความรู้สึก อย่างไรต่อลูกที่จำเป็นต้องจากกันไป เพราะลูกตัดสินใจเองว่าจะไปอยู่ตามลำพัง ไม่ต้องมีพระเจ้าก็ได้ แต่ในที่สุด มันก็เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่ได้พรจากพระเจ้าเลย พระเจ้ามีความรู้สึกต่อเขาอย่างไร? ที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เผชิญกับคำสาปแช่งต่างๆ เหล่านั้น อ่านดู แล้วเดี๋ยวเราจะมาทำความเข้าใจกัน …
ลูกา 15:17-24 “17 เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรา มีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่ เรากำลังจะอดตาย 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเรา และกล่าวกับท่านว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์ และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขา ก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเรา ได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”
พระเยซูยกตัวอย่างว่าคนบาป มนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับลูกของพระเจ้าที่หลงหายออกไปจากสวรรค์ ออกไปจากบ้าน แล้วเจอความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ระลึกขึ้นมาได้ว่าเราลำบากลำบนอย่างนี้ทำไม? พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา เป็นเจ้าของสวรรค์น่าจะช่วยเราได้ น่าจะอภัยให้เราได้ เรากลับไปที่บ้านดีกว่า แม้ว่าจะกลับไป แล้วถูกพ่อลงโทษอย่างไร? ก็ยังดีกว่า ที่จะมาอยู่อย่างทุกข์ทรมานอย่างนี้
“บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป”
มนุษย์มีความรู้สึกว่าเราไม่คู่ควรกับพระเจ้าเลย เพราะเราไม่บริสุทธิ์ เราสกปรก แต่พระเจ้าบริสุทธิ์ สะอาด เข้าใกล้กันไม่ได้เลย เป็นศัตรูกัน อยู่กันไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่มีค่า สมควรที่จะเข้าไปในสวรรค์ได้เลย นี่คือความรู้สึกของมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป
“ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา” … เอาล่ะ กลับไปหาพ่อแล้วกัน พ่อจะลงโทษอย่างไร ก็ยินยอมทุกอย่าง ยอมหมด
“แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขา ก็สงสาร” … ทำไมพระเยซูยกตัวอย่างว่าอยู่แต่ไกล และเห็น …
1. แสดงว่าบิดาจำได้ว่าลูกของตัวเอง ไกลลิ๊บเลย ลูกหายไปตั้งนานแล้ว กลับมาแต่ไกล ก็มองเห็น นั่นลูกเราเนี้ย แสดงว่าจำอยู่ไม่ลืมเลยลูกคนนี้ เรามีลูกกี่คน? เราจำได้ไหมลูกทุกคน? แล้วหายไปตั้งนานแล้ว เดินกลับมา อยู่ไกลๆ เห็น
2. แสดงว่าบิดาคนนี้ รอคอยลูกกลับมาอยู่ทุกวัน พอกลับมา ก็เห็นแล้ว ไม่ใช่กลับมาเคาะประตูตั้งนาน ถึงเห็น กลับมาปุ๊บ อยู่ไกลๆ ก็เห็นแล้ว แสดงว่ามองทุกวัน กลับมาหรือยัง? มาหรือยัง? นี่คือท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อคนที่ยังอยู่ในบาป ใช้กรรมอยู่ อยู่ในคำสาปแช่ง ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ วิญญาณสกปรก วิญญาณเป็นคนชั่ว ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ให้กำเนิดเขาได้
บิดามีความสงสาร เห็นไหม? ออกไปรอคอยด้วยความโกรธหรือ? … “สมน้ำหน้า บอกแล้ว อย่าออกไป อย่าทำๆ เห็นไหม? บอกแล้วว่า “อย่าๆ อย่าเชื่อเขา บอกแล้วว่าอย่า ให้เชื่อฟังพ่อแม่ แล้วทำอย่างนี้ ดูสิ” ใช่หรือเปล่า? พระคัมภีร์บอก “บิดาเห็นเขา ก็สงสาร” ต่อด้วย “จึงวิ่งมาหาบุตรชาย” เพราะดีใจมาก แทนที่บุตรชายจะวิ่งมาหาบิดา บุตรชายกลัวจะตาย กลัวจนตัวสั่น …
“อย่าลงโทษลูกเลย เข้ากันไม่ได้เลย พ่อลูกผิดไปแล้ว ลูกมันเลว”
แต่พ่อวิ่งเข้าไปหาบุตรชาย แล้วสวมกอด แล้วจูบเขา ไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย นึกถึงภาพนะ สวมกอดและจูบเขา นี่ยังไม่ได้เข้าบ้านนะ นี่อยู่โน้น เลยหน้าไปออกไปอีก เพราะวิ่งออกไปนอกบ้านแล้ว ไปรับลูก
พอสวมกอดเขา ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาก็คือคนบาป ที่หลงหายไป ได้รับการสวมกอดจากพระเจ้า จากพระบิดาแล้ว พูดอย่างนี้ว่า …
“บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นลูกของพระเจ้าต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามันเลว ข้าพเจ้ามันไม่ดี ข้าพเจ้ามันชั่ว ข้าพเจ้าทำผิดไปแล้ว ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”
คงร้องและคุกเข่าลง แต่บิดาสวมกอดก่อน คงคุกเข่าไม่ได้ คงพยุงขึ้นมา 2 แขน มาแล้วก็กอด ลูกก็พูดไป อยากจะคุกเข่า ขออภัย
“แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่าเร็วเข้า” … แสดงว่าบิดา ไม่ได้ฟังเขาเลยนะ ไม่ได้บอกว่ายกโทษให้แล้ว แต่แสดงอาการเหล่านี้ทั้งหมด คือพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ไม่จดจำความผิดความบาปของเรา ที่เคยทำในอดีตเลย แม้แต่นิดหนึ่ง พระองค์ลืมไปแล้ว ลบไปแล้ว ลบตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขนแล้ว พระองค์ไม่เคยคิดเลยว่าเราเป็นคนบาปมาก่อน อะไรต่างๆ เหล่านั้น
“แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่าเร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุด มาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา เอารองเท้ามาสวมให้กับเขา นำลูกวัวขุนมาฆ่า เพื่อมาฉลอง” … คือเอาสิทธิทั้งหมด เป็นลูก เป็นทายาท มรดกอะไรที่เป็นของเขา บ้านที่เป็นของเขา ทรัพย์สมบัติของพ่อ ที่เป็นของเขา ให้หมดเลย ให้สิทธิ เป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ได้คิดถึงเรื่องความผิดอะไรต่างๆ ของเขาที่ทำมา แม้แต่นิดเดียวเลย แค่นั้นไม่พอ จัดงานฉลองด้วย ฉลองแล้วบอกว่าอย่างไร? …
“บุตรของเราที่ตายไปแล้ว คือเป็นคนหลงทางไป เป็นบาปนั้น ต้องชดใช้กรรมอยู่นั้น บัดนี้ กลับเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว กลับบ้านแล้ว กลับมาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ดังนั้น เราก็ต้องมีงานฉลองในสวรรค์กันหน่อยสิ” พระเยซูตรัสว่าในสวรรค์จะมีการฉลองกันใหญ่โตเลย เมื่อมีคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่มาหาพระเยซูคริสต์ เข้ามาสู่สวรรค์ ในสวรรค์จะมีการฉลองกันใหญ่โต เป็นอย่างนั้น พระเยซูคริสต์จึงได้พูดอย่างนี้ ในหนังสือมัทธิว 7:9-11 ว่าให้เราเปรียบเทียบให้ผู้คนที่ฟังอยู่ขณะนั้น ได้รู้ถึงความรู้สึก ความลึกซึ้งของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นคนบาป ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความพินาศ ตกอยู่ในความสาปแช่งว่าความรู้สึกของพระองค์เป็นอย่างไร? อันนี้ก็เฉียบขาดมาก มัทธิว 7:9-11 …
มัทธิว 7:9-11 “9 ใครบ้างในพวกท่าน ถ้าบุตรขอขนมปัง จะให้ก้อนหิน? 10 หรือถ้าบุตรขอปลา จะให้งูแก่เขา 11 ถ้าแม้ท่านเอง ซึ่งเป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้สิ่งดีๆ แก่บุตรของท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะประทานสิ่งดี แก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด”
“ประทานสิ่งที่ดีแก่บรรดาผู้ที่ทูลขอต่อพระองค์ ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด” ให้เรานึกถึงว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักมากเลย มีอะไรบ้างที่เราทูลของต่อพระองค์ต่างๆ เราอาจจะยังไม่ได้ หรือไม่ได้ตามใจตัวเอง แล้วเรานึกว่าพระเจ้าคงลงโทษ พระเจ้าคงไม่ให้ เพราะอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น ขนาดเราเป็นคนบาป คนชั่ว เรามีลูก เรายังรักลูกของเรา เรายังอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเขาเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ที่พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะรักเรามากขนาดไหน? จะให้สิ่งที่ดีที่สุด ไว้สำหรับเรา เราอาจจะยังไม่เข้าใจตอนนี้ แต่เห็นนะว่าท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์เป็นอย่างไร? นี่กำลังพูดถึงคนบาป ไม่ใช่คริสเตียนนะ พระเจ้ายังรักถึงขนาดนั้นเลย รักมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนบาป หลงหายไป หรือเป็นคริสเตียน แน่นอน ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงห่วงใยคนที่เป็นคนบาป ที่ยังไม่เป็นคริสเตียนมากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนแล้วนิดหนึ่ง เพราะคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว รอดแล้วรอดเลย อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว สบายใจไปแล้ว น้องที่ยังไม่ได้เข้ามา ในสวรรค์ ยังอยู่ในความพินาศอยู่ นั่นแหละ คือเป็นคนที่พระบิดาทรงห่วงใยมากกว่า 1 ยอห์น 3:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ พูดถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นะ …
1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลายก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 เพื่อนที่รัก บัดนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า ภายหน้าเราจะเป็นอย่างไร เรายังไม่อาจรู้ได้ แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะเห็นพระองค์ อย่างที่พระองค์ทรงเป็น”
พระเจ้าพระบิดา ทรงโปรดประทานความรัก คือรักเรามาก ถึงขนาดให้เรากลับมามีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เท่าเทียม เหมือนกับพระบุตร คือเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกวันนี้ เมื่อเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาหาพระเจ้าแล้ว วิญญาณและใจใหม่ของเรานั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิม แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราเห็นพระเยซูคริสต์ปรากฏ คือเราได้พบกับพระเยซูคริสต์ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือรักเราขนาดไหน?
ยอห์น 3:16 อันนี้พระเยซูก็แจงชัดเจน อีกอันหนึ่งว่าพระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์เลย มนุษย์ทุกคน มนุษย์ที่เกิดมาใช้กรรม ที่เกิดจากการกระทำของตนเอง หมายถึงเผ่าพันธุ์ของตนเองนั่นแหละ และพระเจ้าลงมาช่วยเหลืออย่างไร? ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น เป็นเช่นไร? …
ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ (ที่เป็นของพระองค์) เหมือนพระองค์”
“พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก” มนุษย์ คือมวลมนุษย์ ไม่มีว่ารักคนนี้ คนชั่วหรือไม่ชั่ว ทุกคนในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นคนชั่วทั้งหมด ชั่ว แปลว่าบาปนั่นเอง บาปกับชั่ว คืออันเดียวกัน คือคนที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา พระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลูกของพระองค์ผู้เดียวที่อยู่กับพระองค์มาตังแต่ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์ได้ถูกพระเจ้าประทาน ยอมให้ลูกมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน มาช่วยเราทั้งหลาย เพื่อว่าคนที่วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาปอย่างนั้น และได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เหมือนกับพระองค์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อและวางใจเท่านั้น โรม 8:32 …
โรม 8:32 ”พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ?”
พระเจ้าผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ไม่หวงเอาไว้เลย รักไหม? รักมากถึงมากที่สุด อยู่กับพระองค์ตั้งแต่ก่อนโน้น ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่หวงพระบุตรองค์เดียว แต่ได้ประทานพระบุตรนั้น แก่มวลมนุษย์ทุกคน เห็นแค่นี้ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์อย่างไรแล้ว ในนี้จึงบอกว่าพระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรอย่างนั้นหรือ? ก็คือมีอะไรที่ดีๆ ที่พระองค์จะหวง เก็บเอาไว้ ไม่ให้เราอีก ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงรักและมีค่าที่สุดของพระองค์ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระองค์ยังประทานให้ได้เลย แล้วมีอะไรที่ให้ไม่ได้อีก โรม 8:37-39 …
โรม 8:37-39 ”37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต หมายถึงผู้ที่เป็นคนบาป แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้รับความรอดเลย แค่เปิดใจเชื่อและได้รับมรดกทั้งหลายทั้งปวง เป็นลูกของพระเจ้า เท่าเทียมกับพระเยซูคริสต์เลยนั่นแหละ ได้ชื่อว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต
ผู้พิชิต คือไม่ต้องทำอะไรเลย รับลูกเดียว ใครรู้ไหม? เห็นภาพชัดเจนเลย คือลูกเรา ไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดมารับลูกเดียว เป็นลูกเรา เป็นทายาท เราทำมาหากิน ทั้งหมดตกเป็นของลูกเรา ลูกเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต พ่อแม่ไปทำมาหากิน เก็บเงินเก็บทองไว้ให้ลูก เราก็รู้อยู่ ถูกไหม? ยิ่งกว่าผู้พิชิต เราจึงเห็นภาพ ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? นี่แหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ว่าความรักของพระเจ้านั้นเป็นเช่นไร? ความจริงอันดับแรกที่เราควรจะรู้
ในยอห์น 17:23 ยิ่งเป็นตัวประทับตราสุดท้ายเลย จริงๆ มีเยอะกว่านี้ ผมเอามาจำนวนหนึ่งให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเป็นพื้นฐานให้กับเรา รู้ว่าพระเจ้ารักเรา และเราควรจะกลัวพระเจ้าไหม? กลัวจนตัวสั่นไหม? เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าลงโทษมนุษย์อย่างนั้นหรือ? ในเมื่อรักเราขนาดนี้ …
ยอห์น 17:23 “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”
พระเยซูกำลังอธิษฐานให้กับบรรดามนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับในพระองค์ วางใจในพระองค์เมื่อวางใจในพระองค์แล้ว เขาจะได้รับความรักจากพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เขาจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือเป็นวิญญาณเดียวกัน เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพนี้
และข้อสำคัญตรงนี้ ประโยคสุดท้ายบอกว่า “พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เพื่อว่าพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา (เรา หมายถึงตรีเอกานุภาพ) และพระองค์ทรงรักพวกเขา (พวกเขา คือมนุษย์ทั้งปวง) ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวง” นี่แหละ เพื่อเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาที่ได้รับรู้ความจริง แล้วก็เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนให้กับเขา เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์
รักพวกเขา มนุษย์ทั้งปวง เท่ากับรักพระเยซู พวกเขาแปลว่ามนุษย์ทั้งปวง แน่นอนมันจะเกิดผลแต่เฉพาะกับคนที่ได้ยินความจริงในเรื่องนี้ แล้วก็เปิดใจมารับสิทธิของเขา ถ้าเขาไม่รับสิทธิของเขา พระเยซูที่ตายบนไม้กางเขน ความรักของพระเจ้าที่รักเขาเท่าๆ กับรักพระเยซู ก็ไม่เกิดผล เห็นไหมครับ? พระเจ้ารักมนุษย์ขนาดไหน? นี่เป็นตัวแย้งให้เราเห็นว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัย ให้มนุษย์กลัวพระองค์จนตัวสั่นหรือ? ทำอย่างนี้ กลัวจนตัวสั่น เข้าไปกอด เข้าไปจูบ ไม่ฟังเลยว่าจะทำบาปอะไรมา ทำชั่วขนาดไหนมา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมาขออภัย ทำบาปอย่างโน้นมา ทำบาปอย่างนี้มา ช่วยรับเราเข้าสวรรค์ที ไม่ต้องเลย เพราะว่าโดยพระเยซูคริสต์ ความรักของพระองค์ได้เปิดเผยแล้ว อภัยให้หมดแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนนั้น บ่งบอก สำแดงถึงความรักของพระองค์ และการอภัยโทษของพระองค์ ให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับมนุษย์ทั้งปวง เข้ามารับสิทธิเลย ไม่ต้องกลัว เหล่านี้ คือความจริงอันดับหนึ่งที่เราควรจะเรียนรู้ มนุษย์ทั้งปวงเอ๋ย
ความจริงอันดับที่สอง ที่ควรจะเรียนรู้ เพื่อจะได้มั่นใจถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา คือพระเจ้านอกจากจะเป็นพ่อของเราแล้ว ของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ยังคงเป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎระเบียบของพระองค์ในมหาจักรวาล ในโลกที่มองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกนี้ด้วย ขณะเดียวกัน ควบ 2 ตำแหน่ง พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ทรงปกครองด้วยความชอบธรรม เป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง เมื่อพระองค์ตรัสแล้ว ตั้งเป็นกฎระเบียบขึ้นทันทีแล้ว จะไม่ลืมคำของพระองค์เอง พูดอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น และพระคัมภีร์ ก็ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้แสนดี และดีตลอดเวลา และดีตลอดไป
ในพระองค์ไม่มีเงาแห่งความมืด ใม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความอยุติธรรม ไม่ว่ามนุษย์จะคิดอย่างไร? ตามความคิดของมนุษย์จะเข้าใจอย่างไร? ที่แย้งกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเจ้ามีบุคลิกอย่างนี้ ในหนังสือยากอบ 1:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยากอบ 1:17 ”ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศ ล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ ผู้ไม่ได้ทรงผันแปร เหมือนเงาที่แปรเปลี่ยน”
พูดง่ายๆ คือพระเจ้าให้แต่ของดีๆ อย่างเดียว แต่ขณะเดียวกันทรงเตือนเรา ในสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เพื่อเราจะได้ของดีๆ อย่างเดียว คำแปลในนี้ง่ายนิดเดียว พระเจ้าไม่แปรผันสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นอยู่ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แสนดี สิ่งดี สิ่งล้ำเลิศ ล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าพูดถึงพระเจ้าปุ๊บ มีแต่สิ่งดีมาให้มวลมนุษยชาติ และโลกใบนี้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ที่เราบอกว่าโควิดมาจากพระเจ้า ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ โควิดดีไหม? ไม่ดี ภูเขาไฟระเบิดดีไหม? ไม่ดี ฝุ่น PM 2.5 ดีไหม? ไม่ดี โรคภัยไข้เจ็บดีไหม? ไม่ดี ความยากจนดีไหม? ไม่ดี อย่าบอกว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระเจ้า คนชั่วได้รับสิ่งชั่วร้าย มาจากพระเจ้าหรือเปล่า? ไม่ใช่มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ก็ในนี้บอกว่าพระเจ้ามีแต่สิ่งดีๆ แล้วความชั่วร้ายมาจากไหน? ตอบว่ามนุษย์เป็นผู้นำเข้ามาเองนั่นแหละ พระเจ้าไม่มีการลำเอียง ไม่มีเงาแปรผัน ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ดีงาม ไม่มีแปรผัน เอาความชั่วมานิดหนึ่ง ไม่มี ไม่รู้จัก ไม่รู้จักเกลียดชัง ไม่รู้จักขโมย ฆ่า และทำลาย มีแต่ความดี ความรัก พระเจ้าเป็นความรัก เป็นแสงสว่าง เป็นความดีงาม เป็นความยุติธรรม เป็นความอ่อนโยน นี่คือพระเจ้าผู้แสนดี แต่ขณะเดียวกัน เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เดี๋ยวเราเรียนรู้ต่อไป กันดารวิถี 23:19 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
กันดารวิถี 23:19 ”พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์ มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้ว ไม่ทรงกระทำ? หรือทรงสัญญาไว้แล้ว ไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น?”
เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พูดคำไหน เป็นคำนั้น พระองค์บอกพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ดีงาม ก็เป็นพระเจ้าผู้ดีงาม ตั้งแต่สร้างมนุษย์ใหม่ๆ แล้วพระเจ้าบอกว่าสร้างมนุษย์ อาดัมและเอวา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งโลกใบนี้ อย่างดีเยี่ยม ไม่มีสิ่งชั่วร้ายต่างๆ
เลย แม้แต่นิดเดียว และได้บอกว่าให้อยู่อย่างนี้กับพระองค์ในสวรรคสถาน อย่างดีเยี่ยมเลย ครอบครองบรรดาฝูงปลาทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่สร้างขึ้นมาเป็นของเธอ ลงมาพูดคุยกับลูกของพระองค์อย่างสนิทสนม ถ้าอยู่อย่างนี้ ไม่มีปัญหา แต่เธออย่าดื้อนะ อย่าเอามือไปแหย่ปลั๊ก แหย่ปลั๊กมันตายนะ เตือนแล้ว อย่าดื้อ กินผลไม้ที่ต้องห้าม จากต้นนี้นะ ทุกอย่างกินได้หมดเลย แต่อย่ากินตรงนี้ก็แล้วกัน ไม่งั้น เธอจะรู้ดีรู้ชั่ว เธอจะตกลงไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เห็นไหม? เป็นผู้พิพากษาไหม?
แล้วลูกตัวเองเอามือไปแหย่ปลั๊กจริง แล้วจะทำอย่างไร? ก็ตาย แล้วพ่อทำอย่างไร? พ่อก็หาวิถีทางช่วย กู้ลูกขึ้นมาใหม่ ผมพยายามยกตัวอย่างให้ฟัง รีบเรียกรถแอมบูแลมซ์มา ส่งลูกไปโรงพยาบาล ปั้มหัวใจ อะไรประมาณนั้น
ความชั่วร้ายไม่ได้มาจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ไม่มีเงาของความชั่วร้าย ไม่มีความมืดอยู่ในตัวพระองค์ พระองค์เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลายอยู่ในพระองค์เลย แต่ขณะเดียวกัน พระองค์เป็นผู้พิพากษา บอกอย่าทำนะ ถ้าขืนทำ พระสิริ หรือพระเจ้า พระพรของพระองค์จะหลุดหายออกไปจากเขา ใครทำก็ต้องได้รับตามที่กฎหมายทางวิญญาณที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว ไม่คืนคำ มันจะเป็นอย่างนั้น ยอห์น 3:17-18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูจึงชี้ให้เราเห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา มันจำเป็นต้องเป็นไปตามนี้ ตามกฎเกณฑ์ทางโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎเกณฑ์มันต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก เราเป็นชาวบ้าน อาจจะไม่รู้ว่าแรงดึงดูดของโลกเป็นอย่างไร? แต่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กิ่งไม้หัก มันก็ร่วงลงมาเหมือนกัน จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องร่วงลงมาเหมือนกันหมด จะรู้ว่ามีกฎแรงดึงดูดของโลกหรือไม่รู้ แรงดึงดูดของโลกก็ทำงานเหมือนเดิม เพราะมันเป็นกฎ ยอห์น 3:17-18 …
ยอห์น 3:17-18 “17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น (โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์) 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ (ในความตาย ในความบาป) เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขา ไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
เห็นชัดเลยว่ามันมีอยู่ 2 กฎ พระเยซูแจงให้เห็นชัดเจนเลยว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ พระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่ เพื่อพิพากษามนุษย์และโลก แต่ช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษอยู่นั้น นี่คือกฎเดิม ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในการพิพากษา ให้ตาย ให้อยู่ในคำสาปแช่ง ให้ไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพรของพระเจ้าอยู่ ทุกข์ลำบาก นี่คือมนุษย์เกิดมาก็อยู่ในกฎนี้แล้ว กฎเดิม จะรู้หรือไม่รู้ ก็อยู่ในกฎนี้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า จะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน ก็อยู่ในกฎนี้ ซึ่งพระเจ้าช่วยมนุษย์ ที่อยู่ในกฎเดิมนี้ให้รอด โดยการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า แค่นั้นเอง ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และมนุษย์ผู้นั้นทำอะไร มีหน้าที่แค่มาเชื่อและวางใจในพระเยซูเท่านั้น ก็หลุดพ้นจากกฎเดิมนี้แล้ว
ข้อ 18 บอกว่าคนที่วางใจ พึ่งในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ เห็นไหม? จะหลุดออกจากการถูกพิพากษาทันทีเลย ก็คือกฎใหม่นั่นเอง พระเยซูคริสต์มาเริ่มต้นกฎใหม่ให้ ส่วนคนที่ไม่ไว้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว มันเป็นกฎ เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เห็นหรือยังว่าความรักของพระองค์ มีเงื่อนไขแค่ว่าพระองค์เป็นผู้พิพากษา มันจำเป็นต้องทำไปตามกฎ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กฎมันมีอยู่ เหตุนี้ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงจำเป็นต้องถูกประกาศออกไป เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักกฎในโลกวิญญาณนี้ และจะได้เลือกกฎให้ถูกว่าเขาจะอยู่ในกฎไหน?
นี่คือความจริงอันดับที่สอง ที่เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ถ้าข่าวดีในกฎใหม่ ที่ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ความตาย ความพินาศในนรกแล้วนั้น ได้ถูกประกาศออกไปแล้ว มนุษย์มีหน้าที่ต้องเลือก วางใจในพระองค์ ในความรักของพระองค์ และเชื่อตามกฎใหม่นั้น จึงจะได้รับสิทธินี้ ไม่ใช่พระองค์ไม่รัก รักแต่ต้องดูแลให้เป็นตามกฎหมายของโลกวิญญาณที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล
ความจริงอันดับที่สาม จะทำให้เราไม่กลัวพระเจ้า และรู้ว่าอะไรคือความเป็นจริงว่าความรักของพระเจ้าไม่เคยสั่นคลอน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง พระองค์ทรงรักมนุษย์จริงๆ แม้ว่ามนุษย์คนนั้นจะต้องพินาศ ในบึงไฟนรก ในอนาคตก็ตาม พระองค์ทำได้แค่นี้จริงๆ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล
ความจริงอันดับที่สาม คือเราจำเป็นต้องรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “กลัวจนตัวสั่น” ที่กล่าวในพระคัมภีร์ว่าหมายถึงอะไร? อ่านในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม เขียนไว้ในนั้นว่าจงเคารพยำเกรงกลัวพระเจ้า ในภาษาเดิมบอกว่าจงกลัวพระเจ้าด้วยตัวสั่น งันงก เราต้องเรียนรู้ว่าจริงๆ มันหมายความว่าอย่างไร? เราจะได้รู้ว่าพ่อเราเป็นความรัก เพราะฉะนั้น เราไม่ควรกลัว แต่ทำไมพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้น เราต้องรู้ความหมายนี้
ความหมายในพระคัมภีร์ กลัวจนตัวสั่น หมายถึงความเคารพ ยำเกรง เชื่อวางใจ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยความถ่อมใจ ต่อกฎเกณฑ์ทางด้านวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวพระเจ้า กฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางไว้ ที่ได้กำหนดไว้ในเรื่องของความรอด จากความพินาศ หรือตกอยู่ในความพินาศนิรันดร์นั่นเอง ในเรื่องของความบาป ที่มนุษย์ตกอยู่ใต้คำสาปแช่งนั้น คือหมายความว่าไม่ได้ให้กลัวพระเจ้า ไม่ได้ให้กลัวผู้พิพากษา พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาใช่ไหม? คือไม่ได้กลัวผู้พิพากษา คือพระเจ้า แต่กลัวกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่ระบุไว้ มันเที่ยงตรง แม่นยำ ไม่มีการลำเอียง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้พิพากษาเป็นผู้ดูแล เราไม่ได้กลัวตำรวจนะ แต่เรากลัวกฎหมายที่ตำรวจดูแลอยู่ เราไม่ได้กลัวคณะผู้พิพากษา ที่ศาล แต่เรากลัวกฎหมายต่างๆ ที่ผู้พิพากษาในศาลเขาดูแลอยู่ ตัดสินให้เป็นไปตามนั้น ใครเชื่อทำตาม ก็ได้รับผลประโยชน์ ตามกฎหมายเหล่านั้น ใครไม่เชื่อ ไม่ทำตาม ก็ได้รับโทษตามกฎหมาย ไม่มีเข้าข้างผู้ใด ไม่มีคนหนึ่งคนใดพิเศษกว่าคนใดเลย ทุกคนมีค่าเท่าๆ กัน สดุดี 19:7-9 ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ว่าพระเจ้าดูแลกฎหมายของพระองค์อย่างไร? …
สดุดี 19:7-9 “7 กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา 8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง 9 ความยำเกรงพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น”
ถ้อยคำพระเจ้าได้พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งการพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณทั้งสิ้นของพระเจ้า เป็นการแสดงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น แต่ให้เชื่อฟังพระองค์ ให้เคารพยำเกรงกฎเกณฑ์เหล่านั้น ด้วยตัวสั้นงันงกเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กลัวกฎหมายบ้านเมืองอย่างไร ก็กลัวกฎหมายทางโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนั้น มากกว่านั้นอีก ให้เคารพ เกรงกลัวจนตัวสั่น ทึ่งในความอัศจรรย์ และความรักอันยิ่งใหญ่ ต่อความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวงเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษ จนถึงหลังความตายนิรันดร์ มนุษย์อยู่ในกฎของความบาป และความตาย นี่คือกฎเดิมที่พระเจ้าบอกไว้ในข่าวดีว่าตอนนี้เธอทั้งหลายอยู่ในกฎเดิมนี้ อยู่ในความตาย ความบาปเหล่านี้ และกฎใหม่ว่าอย่างไร? กฎใหม่ในวิญญาณบอกว่าให้รีบตัดสินใจ ย้ายมาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นกฎใหม่นี้ เพื่อให้พ้นโทษจากความตายและหลังความตาย และความจริงทั้งหมดนี้เป็นกฎทางวิญญาณของพระเจ้า ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว พระเจ้าแม้ว่าจะเป็นพ่อของเรา พ่อของมวลมนุษยชาติ รักเรามากขนาดไหน? เราได้รู้แล้วก็ตาม แต่พระองค์ยังคงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล
มันต้องเป็นไปตามกฎเหล่านั้นแหละ เราโยนหินขึ้นไป มันต้องร่วงลงมาโดนหัวเราแน่นอน ตราบใดที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเป็นคนทำดีหรือทำชั่ว ไม่ว่าเราจะรู้จักพระเจ้าหรือไม่รู้จัก ไม่ว่าเราจะรักพระเจ้าหรือไม่รัก ไม่ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง โยนหินขึ้นไป มันก็ตกลงมาทุกคนแหละ เพราะว่ามันเป็นกฎ
เราจะบอกว่า … “เรามองไม่เห็น”
พระเจ้าบอก … “เขามองไม่เห็น เพราะฉะนั้น อย่าตกลงมาโดนหัวเขานะ”
ไม่ได้ โรม 8:1-2 ยิ่งเห็นชัดเจนใหญ่เลยว่า 2 กฎเหล่านี้อยู่คู่กันบนโลกใบนี้ ขณะนี้แล้ว พระเยซูคริสต์มาเปิดทางใหม่ มาเปิดกฎใหม่ให้กับเราทั้งหลาย ในวันคริสต์มาสนั้น คริสต์มาสแรกของโลก เมื่อ 2,000 ปีก่อน โรม 8:1-2 …
โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”
“เหตุฉะนั้น บัดนี้ ไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาปแล้ว เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ก็คือกฎใหม่ ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย ก็คือเป็นอิสระจากกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง ก็คือเป็นอิสระจากกฎแห่งกรรมนั่นเอง ท่านไม่ได้อยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี อีกต่อไป ไม่ได้พึ่งพาการกระทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วของตนเองต่อไป แต่พึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ ดีลูกเดียว เอเมน ให้เชื่อกฎเหล่านี้อย่างตัวสั่นเลยว่ามีกฎเหล่านี้อยู่จริงๆ
ในทางโลก มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของแรงดึงดูดของโลก อย่างที่ตะกี้นี้บอก จนกระทั่งมีการค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน มนุษย์จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกได้ โดยใช้กฎแห่งการยกขึ้น คือนั่งบนเครื่องบิน ไม่ถูกดูดลงไป ตราบใดที่กฎแห่งการยกขึ้นยังใช้อยู่ ยังมีน้ำมัน เชื้อเพลิงอยู่ ทุกอย่าง อุปกรณ์ยังอยู่ครบถ้วน ก็ยังชนะแรงดึงดูดของโลก ไม่ตกลงมาเช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วน บริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย ซึ่งมาตรฐานของพระเจ้า คือจะต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้ ซึ่งไม่มีใครทำได้หรอก กฎแห่งกรรมหมายถึงอย่างนี้ จนกระทั่ง เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเยซูคริสต์มาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย หรือเรียกว่ากฎแห่งกรรมนี้ พูดง่ายๆ …
กฎเดิม ที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย หรือกฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง พยายามกระทำดี ละเว้นชั่วด้วยตนเอง เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์
กฎใหม่ คือที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ก็คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ นี่คือกฎใหม่ มีมา 2,000 ปีแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์
ให้เราจงเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น ต่อกฎทั้ง 2 กฎนี้ว่ามันมีอยู่จริงๆ อย่าทำเป็นเพิกเฉย และหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สถาปนากฎใหม่ ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกที่จะดำเนินชีวิตอยู่ใน กฎใดกฎหนึ่ง กฎเดิมหรือกฎใหม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์คนนั้นเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอีกแล้ว พระเจ้าเปิดประตูสวรรค์ให้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้ารักและรอคอย ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อไรจะกลับมาๆ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์คนนั้นแล้วว่าจะกลับหรือไม่กลับ จะกลัวพระเจ้าต่อไปไหม? หรือจะยอมกลับเข้ามาหาพระเจ้า แล้วจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน?
เพราะฉะนั้น เป็นการตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทางไหน? ระหว่าง …
(1) พึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ในการเป็นคนดี บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ได้ หรือ …
(2) ไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทานมาให้ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติทั้งปวง โดยการวางใจ แค่นั้นพอ
ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ หรือกฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการเปิดประตูสวรรค์ ให้กับมนุษยชาติทั้งปวง นี่คือข่าวดี ที่มนุษย์ฟังแล้วต้องตัดสินใจ ด้วยตนเอง เพราะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเราเองแล้ว พระเจ้ากระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ด้วยความรักของพระองค์ มนุษย์ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว สิ่งที่สมควรที่สุด ก็คืออย่างที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมด ควรจะเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น ครั่นคร้ามในความรักอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เป็นจริงขนาดนี้เชียวหรือ? ในแผนการ การช่วยให้รอดของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น
ให้เราเคารพ ยำเกรงว่านี่คือความจริง พระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นพระเจ้าแท้ๆ ของมนุษยชาติทั้งปวง เป็นพระผู้เดียวเท่านั้น นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ก็แสดงว่าพระเจ้าที่เราพูดกันทั้งหมด ที่อ้างว่าเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าปลอมทั้งสิ้น เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้เดียว ก็คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้านั่นเอง
เพราะฉะนั้น จงยำเกรงต่อความจริงเหล่านี้ ยำเกรงต่อกฎหมายเหล่านี้ ยำเกรงต่อคำพูดของผู้พิพากษา พูดถึงกฎหมายเหล่านี้ ให้ยำเกรง แต่ตัวผู้พิพากษาเอง รักเราดังแก้วตาดวงใจ เพราะฉะนั้น อย่าเพิกเฉยต่อกฎวิญญาณนี้ ผู้พิพากษาย้ำแล้วย้ำอีก บอกกับเราแล้ว บอกกับเราอีก บอกกับมนุษย์ทั้งปวงว่า …
“เรารักเจ้าอย่างมาก เรารักเจ้าดังแก้วตาดวงใจ เพราะฉะนั้น เจ้าทั้งหลาย อย่าเพิกเฉยต่อกฎวิญญาณเหล่านี้ โดยคิดว่าไม่สำคัญ กฎทางวิญญาณนี้ส่งผลอย่างเด็ดขาด เฉียบขาดต่อผู้ที่เคารพยำเกรง เชื่อฟัง ปฏิบัติ คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร ที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวงด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่สุด”
นี่คือสารที่มาจากพระเจ้าผู้พิพากษา เตือนเราทั้งหลายว่าอย่าเพิกเฉย เพื่อเราจะได้เข้าไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระบิดาของเราได้ตลอดชั่วนิรันดร์ ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ต้องพินาศนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้และไม่เพิกเฉย ไม่ล้อเล่นกับมัน พูดง่ายๆ ได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว มันเป็นเรื่องจริง จงตัดสินใจให้ดีๆ พระองค์ขอร้องเราทั้งหลาย อันนี้พูดจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์นะ พระเยซู พระเจ้าขอร้องให้เราทั้งหลาย โปรดเลือกที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนดีกับพระองค์ เข้าสวรรค์ อยู่สวรรค์กับพระองค์ ไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป ประตูสวรรค์ได้เปิดเรียบร้อยแล้ว สำหรับมนุษย์ทั้งปวง ไม่ต้องกลัวพระองค์อีกต่อไปแล้ว พระเจ้าอวยพรครับ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ในสายพระเนตรของพระเจ้า มืดก็คือมืด ไม่มีมืดมากหรือมืดน้อย บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กหรือบาปใหญ่ แล้วท่านจะยอมให้พระองค์ย้ายท่านมั้ย?
โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ เพราะการประพฤติดี)”
การบังเกิดใหม่ คือการย้ายจากที่อยู่เดิม ในอาณาจักรแห่งความมืด มาอยู่บ้านใหม่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร ก็คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระเยซูคริสต์
ย้ายโดยการผ่าตัดทางวิญญาณโดยพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์
ในสายพระเนตรของพระเจ้า มืดก็คือมืด ไม่มีมืดมากหรือมืดน้อย บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กหรือบาปใหญ่ สว่างก็คือสว่าง ไม่มีสว่างมากหรือสว่างน้อย ผู้ชอบธรรมก็คือผู้ชอบธรรม ไม่มีชอบธรรมมากชอบธรรมน้อย สวรรค์ก็คือสวรรค์ ไม่มีสวรรค์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม
พระเจ้าอวยพรครับ