คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2023
เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองคทรงอยู่)”
ตอน 5 “อิสระจากความกลัวความขัดสนยากจน”
โดย นคร เวชสุภาพร
“อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” วันนี้ตอนที่ 5 “อิสระจากความกลัวความขัดสนยากจน”
อันดับแรกเลย ถามว่า … “ความขัดสนยากจนนี้ มาจากไหน?”
มนุษย์บนโลกใบนี้คิดอย่างไร? เราคิดอย่างไร? ความขัดสนยากจน มาจากไหน? ความจริงคืออะไร? เรามาดูถ้อยคำพระเจ้ากัน เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทราบสาเหตุของความยากจน ความขัดสนบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนเลยว่า เหตุอะไร จึงเกิดความยากจน เหตุใดการทำมาหากินของมนุษย์บนโลกใบนี้ ทำไมมันจึงลำบาก มันยุ่งวุ่นวายถึงการทำมาหากิน ทุกยุคทุกสมัยเป็นอย่างนี้ มันมาจากไหน? มาจากมนุษย์ขี้เกียจหรือ? เราก็ต้องไปที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเลย เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้สร้างสิ่งที่มองเห็น ก็คือโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกที่เรามองเห็น และเป็นผู้สร้างสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ก็คือโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนนี้ ในวัตถุสิ่งของที่มองเห็นนี้ มันเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าสร้างมาเป็นอย่างนี้หรือ? ให้ทุกข์ลำบากอย่างนี้หรือ?
เปล่าเลย ในปฐมกาล พระเจ้าบอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างโลกใบนี้อย่างนี้และดีที่สุดเลย เป็นบ้านให้กับมนุษย์ได้อยู่อาศัย แล้วทำไมบ้านที่ดี ถึงทุกข์ลำบากอย่างนี้ มีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความลำบากในการอยู่อาศัย ก็เพราะว่ามีการผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้น ได้ทำอะไรบางอย่าง ก็คือได้กบฏต่อพระเจ้า ตัดสินใจออกจากบ้านนี้ ตัดสินใจเป็นศัตรู ต่อต้านกับพระเจ้า ไม่อยู่กับพระเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ เชิญพระเจ้าออกจากบ้านไป เมื่อเชิญพระเจ้าออกจากบ้านไป ก็คือพระเจ้าก็ออกไปจากบ้าน คือโลกใบนี้ รวมทั้งชีวิตของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นวิญญาณ และเป็นร่างกาย เป็นวัตถุ รวมกัน ร่างกายสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกวัตถุนี้ ส่วนวิญญาณนั้น มาจากพระเจ้า เต็มด้วยสง่าราศี เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า
ปรากฏว่าเมื่อมนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว ตัดสินใจเดินออกมาจากพระเจ้า ไม่พึ่งพาพระเจ้าแล้ว จะพึ่งตัวเอง พระเจ้าก็จำเป็นต้องออกไป เพราะอะไร? พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เป็นพระเจ้าแห่งความรัก ไม่เคยบังคับใคร? ไม่เคยให้ใครเป็นทาส ให้กำเนิดทุกสิ่ง รวมทั้งมนุษย์ด้วย โดยให้อิสรภาพ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ จะรับพระเจ้าหรือไม่รับก็ได้ ปรากฏว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คือหัวหน้า บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ออกจากบ้าน หรือไม่ก็คือให้พระเจ้าออกจากบ้านไป จะดูแลโลกใบนี้ และดูแลชีวิตด้วยตนเอง
ด้วยตนเอง คือพึ่งพาตนเอง “พึ่งพาตนเอง” ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป “บาป” ที่เราบอกว่าทำอันนั้นบาป ทำอันนี้บาป ยิงนกตกปลาเป็นบาป บาปตัวนี้ แปลว่าการผิดเป้าหมาย จากพระเจ้า ที่พระประสงค์ของพระองค์สร้างเรามา ต้องการให้เราพึ่งพาในพระองค์ ต้องการให้เราอยู่กับพระองค์ ถึงจะได้มีความสุขดี ตามที่พระองค์ทรงสร้างเรามา แต่เราทำบาป ก็คือไม่กระทำตามพระประสงค์ หรือทำตามความต้องการของพ่อของเรา เราต้องการทำตามใจตัวเอง หรือออกมาอยู่ด้วยตนเอง เรียกว่าบาปนั่นเอง ทำบาปครั้งใหญ่เลย ครั้งใหญ่มาก ก็คือการสลัดทิ้งพระเจ้า ออกมาอยู่ลำพัง เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าก็ออกไป ความดีงามที่เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า และตัวพระเจ้าเอง พระเจ้าแห่งความดี ก็ต้องออกไปจากชีวิตของมนุษย์ ทั้งวิญญาณและโลกวัตถุ ทั้งหมดนี้ ออกไปหมดเลย
ความดีงามออกไป เรียกว่าพระสิริ เป็นสง่าราศีของพระเจ้า หลุดออกไป จากทั้งวิญญาณของมนุษย์ และร่างกายของมนุษย์ รวมทั้งวัตถุสิ่งของ โลกใบนี้ที่บอกดีงามนั้น ความดีงาม หลุดออกไปหมดเลย กลายเป็นอะไร? ตรงกันข้ามกับความดีงาม ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สร้างขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกับความดีงาม คือความชั่ว … ความชั่วมันก็ปรากฏออกมา ความชั่วจริงๆ ไม่มีนะ ความชั่ว คือความไม่ดี ความชั่ว คือปราศจากความดี
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นเหมือนกับแสงสว่าง เมื่อแสงสว่างออกไป อะไรเข้ามาแทนที่ ความมืด … ความมืดไม่มีตัวตน ความมืด คือการไม่ปรากฏตัวของแสงสว่างนั่นเอง ความมืดไม่มีจริง แต่แสงสว่างหายไปนั่นเอง เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ จึงไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความดีงาม อะไรเกิดขึ้นมาแทน สิ่งตรงกันข้าม ความชั่วร้ายและความมืดเข้ามาแทนที่ ที่ไหน? ที่ทั้งวิญญาณของมนุษย์ ในโลกวิญญาณ และที่โลกวัตถุใบนี้ รวมทั้งร่างกายของเราด้วย สาเหตุเป็นอย่างนั้น และจะพาท่านไปดูที่บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์ปฐมกาล เริ่มแรกเลยว่าพระเจ้าสร้างมาดีอย่างนี้นะ อธิบายให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ แล้วเกิดอย่างนี้ขึ้น เพราะฉะนั้น มันเป็นไปตามธรรมชาติของกฎระเบียบ เมื่อพระเจ้าออกไป เมื่อแสงสว่างออกไป ความมืดก็เข้ามาแทนที่ เรียกกันว่า “คำสาปแช่ง” กฎเหล่านี้ เรียกว่ากฎแห่งการสาปแช่ง
กฎแห่งการสาปแช่ง คือกฎที่ทำให้เกิดความไม่ดีงาม ไม่พอใจ เสียหาย สำหรับมนุษย์นั่นเอง และโลกใบนี้ มนุษย์ตกอยู่ใต้กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งคำสาปแช่ง อยู่ใต้ความชั่ว อยู่ใต้ความมืด เรียกว่าอยู่ใต้กฎของความสาปแช่งนั่นเอง ดูนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ อ่านเองเลยว่าพระเจ้าพูดกับเราว่าอย่างไร? นี่คือความเป็นจริงของโลกที่เราอยู่อาศัยนี้ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ มันเป็นอย่างนี้แหละ
ปฐมกาล 3:17-19 เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่าความขัดสนยากจน มาจากไหน? ความลำบากลำบนในการทำมาหากินบนโลกใบนี้ มาจากไหน? อ่าน แล้วตั้งใจดูให้ดีๆ ว่ามาจากไหน? …
ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต 18 ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง 19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม”
คำสาปแช่งของกฎนี้ ก็คือ “แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”
“เจ้า” ก็คืออาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา เจ้าของโลกใบนี้ ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นเจ้าของด้วย เราเป็นลูกหลาน เป็นทายาท โลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของมนุษย์ ได้ตกลงไป อยู่ในคำสาปแช่ง แผ่นดิน หมายถึงแผ่นดินโลกนี่แหละ จึงต้องถูกสาป เพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินโลกนี้ ด้วยความทุกข์ ลำบาก ตลอดชีวิต ทุกข์ลำบากตลอดไป เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนกลับไปเป็นดิน เป๊ะไหม?
“เจ้าจะต้องหากิน” ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย เจ้าและลูกหลาน เหลน โหลนของเจ้าที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จะต้องอยู่บนโลกใบนี้ด้วย เหงื่ออาบหน้า จนกลับไปถึงดิน เป๊ะเลย ไม่มีคนไหนที่เกิดขึ้นมา แล้วอยู่สบายๆ ไม่มี มันรวมทั้งความเจ็บป่วย การดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะป่วยทางกาย หรือป่วยทางใจ ป่วยทางความคิด ทุกอย่างมันลำบากลำบนไปหมดเลย มีอะไรที่ง่ายบ้าง? ปากกัด ตีนถีบทุกคน บนโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น มันคือผลที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยบรรพบุรุษของเรา
และใครมาแก้ไข? ในพระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่าพระเยซูมาแก้ไข ให้มันกลับคืนสภาพปกติ และผลสำเร็จในพระเยซูที่มาแก้ไข ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ผลของความสำเร็จของพระเยซูนั้น เราได้เรียนรู้แล้ว ในตอนก่อนๆ ว่ามีผลเกิดขึ้นทั้งในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าในสวรรค์ และในโลกวัตถุในโลกนี้ อย่างที่อธิบายเมื่อสักครู่นี้ มีผลทั้ง 2 อันเลย ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ในวิญญาณของเรา พระเยซูทำสำเร็จแล้ว มีผลทันทีเลย ทั้งหมดเลย เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับผลทางโลกวิญญาณทันที
ตามที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว ตอนก่อนๆ ส่วนในโลกวัตถุให้รอก่อน ในขณะที่รอ ก็รออยู่พร้อมๆ กับพระเยซูและพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายของเรา ถูกไหม? นี่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว และพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในร่างกายของเรา ก็จะจูงมือเราเดิน ผ่านทางการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ยังคงอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ คือเปรียบเสมือนหุบเขาเงามัจจุราช ก็คือต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ แม้ว่าวิญญาณของเราจะได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรายังอยู่ในคำสาปแช่ง เราอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช เราอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อาบเหงื่อต่างน้ำ เหมือนเดิมอยู่เลย เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้ยังอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง รอให้วันหนึ่ง ให้โลกสิ้นสุด ไปเมื่อไร นั่นแหละ คือจบคำสาปแช่ง โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้นั้น ไม่มีคำสาปแช่งแล้ว แต่ให้รอก่อน
ในยอห์น 16:33 พระเยซูจึงพูดความจริงกับเราตอนนี้ ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ มาประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องการช่วยกู้ของพระองค์ เรื่องการช่วยให้รอดของพระองค์ จากคำแช่งสาปนี้ ในไม่ช้านี้ พระองค์ได้ทรงประกาศความจริงนี้ เช่นเดียวกันว่า …
ยอห์น 16:33 “พระเยซูตรัสว่าเราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”
ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอกความจริงให้กับเราเลย … “แม้ท่านจะเชื่อเรา วางใจในเรา เป็นคริสเตีนแล้วก็ตาม แต่บอกความจริงเลยว่าขณะที่ท่านเป็นคริสเตียน วางใจในเรา เราเข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้วก็จริง แต่ตราบใดที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก อย่างแน่นอน” ก็คือคำสาปแช่งมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องรอก่อน แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกใบนี้แล้ว ก็คือจงชื่นชมยินดีเถิด เพราะวิญญาณเรามีพระเจ้าอยู่ในนั้นแล้ว พระสิริของพระเจ้าเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว เราเพียงรอร่างกายใหม่เท่านั้นเอง แต่ขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเก่านั้น เรายังอยู่ภายใต้กฎของคำสาปแช่งเหมือนเดิมอยู่ นี่มันเป็นอย่างนี้ มันต้องเข้าใจอย่างนี้ วางใจในพระเจ้า ก็คือวางใจในความเป็นจริงที่พระองค์ทรงบอกเราด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วต้องยอมรับในความจริงเหล่านี้ ถ้าเราฝ่าฝืน เราอาจจะได้รับความรอดในทางวิญญาณ แต่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราอาจจะทุกข์มากขึ้น
ใครที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์กับพระบิดาจะมาสร้างบ้านอยู่ในตัวเขา เห็นไหม? พระองค์บอกว่าพระองค์กับพระเจ้าพระบิดาจะมาอยู่กับเขา ก็คือจะดำเนินชีวิตไปกับเขาบนโลกใบนี้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์รู้ว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้นั้น เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่พระองค์ต้องการเข้ามาช่วยเรา คือนำพาเรา ดำเนินชีวิตผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปด้วยกัน แม้ว่ามันจะอีกไม่นานก็ตาม แต่พระองค์ต้องการเข้ามาดูแลเรา
นี่แหละ คือความรักอันยิ่งใหญ่ ที่บอกว่ารักเราดังแก้วตาดวงใจ แม้แต่อยู่บนโลกใบนี้อีกนิดเดียว พระองค์ก็เข้ามาดูแลชีวิตของเรา คือดำเนินชีวิต ไปกับเรา พร้อมๆ กับเราในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น
วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความจริง ในเรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ ความขัดสน ยากจน โดยเฉพาะจะเน้นในเรื่องนี้ว่าเรื่องจริงๆ มันคืออะไร? เกี่ยวกับความขัดสนยากจน บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ ยังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากจริงๆ หรือ? เราจะได้มาเรียนรู้ความจริงว่ามันจริงตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นไหม? เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าจริงๆ มันไม่ได้แปลก แตกต่างกับคริสเตียนคนอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จนมาถึงทุกวันนี้ พระเจ้าบอกล่วงหน้าถึงการไถ่มนุษย์ และโลกนี้มาตลอด ตั้งแต่ปฐมกาลมา เป็นแผนการของพระองค์ที่วางไว้แล้วว่ามนุษย์ตกลงไปในความทุกข์ยากลำบาก ตกลงไปในคำสาปแช่ง แต่พระเจ้าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกมา โดยการประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นผู้ช่วยรักษา ให้มนุษย์กลับมาหาพระองค์ที่เดิมให้ได้ กลับมาให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้น ให้ได้ พระเจ้าวางแผนนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ตลอดเวลา จนมาถึงหลายพันปี
เรามาดูแผนการอันหนึ่งที่ผมยกมาให้ท่านเห็น นี่คือแผนการอันหนึ่งที่บอกล่วงหน้า โดยพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะมากระทำให้สำเร็จ บนไม้กางเขน 1,000 ปี จริงๆ บอกมาตลอดหลายพันปีเลย แต่นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือสมัยกษัตริย์ดาวิด พระเจ้าบอกกษัตริย์ดาวิด โดยให้กษัตริย์ดาวิดเผยพระวจนะให้เห็นนิมิตตรงนี้ นี่คือแผนการล่วงหน้าที่จะมาไถ่มนุษย์ อยู่ในหนังสือสดุดีบทที่ 22 และบทที่ 23
บทที่ 22 พูดชัดเจนเลย พูดถึงตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 และเกิดอะไรขึ้น นี่คือบทที่ 22 ท่านไปอ่านเองนะ ผมจะพาท่านไปดูบทที่ 23 ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์มาทำให้สำเร็จแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และบนโลกวัตถุนี้เกิดอะไรขึ้น ตามที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ท่านฟัง ตั้งแต่สมัยปฐมกาลแล้วว่ามันเป็นจริงไปตามแผนการของพระองค์จริงๆ ว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ
นึกถึงภาพว่านี่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น 1,000 ปี เป็นเงาของสิ่งที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ ในอีกพันปีข้างหน้านี้ ก็คือมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย สดุดี 23:1-4 …
สดุดี 23:1-4 “1 พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3 พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์”
นี่คือตัวอย่างของแผนการที่บอกล่วงหน้าว่าผลสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำที่ไม้กางเขนนั้น เกิดผบทางด้านโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ
ดูสิโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น … “พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ใครก็ตามที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้รับสิ่งนี้ คือพระยาห์เวห์เลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
คำว่า “จะไม่ขัดสน” แปลว่าความไม่ขัดสนทางโลกวิญญาณ วิญญาณเขาจะไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป วิญญาณเขาจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป วิญญาณเขาจะไม่ถูกสาปแช่งให้ตาย อีกต่อไป วิญญาณเขาจะกลับคืนเป็นลูกของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซู ก็คือผลของการทำให้สำเร็จของพระเยซูคริสต์ในฝ่ายวิญญาณนั่นเอง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้นเลย
ข้อ 2 ก็ใช่ “พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้นคืนความสดชื่น แก่ชีวิตของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”
3 ข้อนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้นว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรมทันที เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ริมน้ำแดนสงบแล้ว วิญญาณเราไม่ขัดสนแล้ว วิญญาณเราไม่ต้องไปแสวงหาอะไรแล้ว เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในโลกวิญญาณ
ถ้าเราไม่เข้าใจในสิ่งนี้ หลายคนก็เอาไปใช้ในโลกวัตถุว่าอยู่บนโลกใบนี้ มาเชื่อพระเยซูฉันจะไม่ขัดสน ฉันจะร่ำรวยมั่งมี ไม่ลำบากยากจนอีกแล้ว ใช่หรือ? ไม่ใช่ ถูกหลอก เอาไปใช้ผิด
ข้อ 4 คือผลที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เป็นผลที่เกิดขึ้นบนโลกวัตถุนี้ ทันทีเหมือนกัน ก็คือ “แม้ข้าพระองค์จะเดินผ่านหุบเขา เงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตอยู่กับข้าพเจ้า คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์”
เห็นหรือยัง? วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม แต่แม้ว่าตอนนี้ข้าพระองค์จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช แต่ไม่กลัว เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณของพระองค์ พระคุณ ความรักของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา รักเราดังแก้วตาดวงใจ เผชิญได้ทุกสิ่ง แม้ความยากจนก็ตาม
เราจะมาวิเคราะห์ดูถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้นว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่งคั่ง ร่ำรวยหรือไม่? อย่างไร? โดยไปดูพระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ดูสิว่าอัครสาวกตอนเริ่มต้น ประกาศข่าวดี เขาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ร่ำรวย สำหรับคนที่เชื่อสำหรับคริสเตียนอย่างไรบ้าง? เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจน 2 โครินธ์ 8:9 ดูอาจารย์เปาโลพูดอย่างไรถึงเรื่องนี้ …
2 โครินธ์ 8:9 “เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่าแม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์”
มีคริสเตียนหลายคน เอาไปใช้ว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อแล้ว เราต้องมั่งคั่ง ร่ำรวย เพราะว่าพระเยซูยอมยากจน เพื่อเราทั้งหลาย คิดในใจว่าใช่หรือไม่? เปาโลกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งนี้ เราอยากรู้ เราต้องไปดูที่ก่อนหน้านี้ ในบริบทเดียวกัน ก็คือ 2 โครินธ์ 8:1-4 จะได้รู้ว่าพระเยซูยอมมาเกิดเป็นคนยากจน เพื่อเรามั่งมีนั้น มันหมายถึงพระเยซูเกิดมา อยู่ในรางหญ้า เพราะฉะนั้น เราต้องอยู่ในวังเจ้าหรือ? แปลว่าอย่างนั้นหรือ? พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่มีที่ซุกหัวนอน เรามาเชื่อพระเยซู เราต้องอยู่ในคฤหาสน์หรือ? แปลว่าอย่างนั้นไหม? หลายคนเอาไปแปลว่าอย่างนั้น
เรามาดูสิว่าคริสเตียนในยุคเริ่มต้น ที่หลายคนในนี้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 2 โครินธ์ 8:1-4 …
2 โครินธ์ 8:1-4 “1 และบัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้า ประทานแก่บรรดาคริสตจักร ในแคว้นมาซิโดเนีย 2 จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด ความชื่นชมยินดีอันล้นพ้น และความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น ก็เอ่อล้น เป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 3 เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้ และด้วยความสมัครใจของเขาเอง 4 เขาได้คะยั้นคะยอ ขอรับสิทธิพิเศษที่จะมีส่วนร่วมในการรับใช้นี้ เพื่อประชากรของพระเจ้า”
“พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย”
นึกภาพนะ ผู้เชื่ออยู่ในแคว้นมาซิโดเนีย พระเจ้าประทานพระคุณ พระคุณนี้คืออะไร? ดูสิว่าประทานอะไร?
“จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด” ทดลองความเชื่อของเขาว่าเป็นคริสเตียนจริงไหม? “คือความชื่นชมยินดี อันล้นพ้น” คงจะมั่งมีมากนะ รวยมากเลย เพราะว่าอยู่ในบริบทเดียวกันกับที่ตะกี้เราบอกว่าเราทั้งหลายมั่งคั่ง เพราะว่าพระเยซูยอมยากจน เพื่อให้เรามั่งคั่ง เราควรจะร่ำรวย เพราะฉะนั้น นี่กำลังพูดถึงความร่ำรวยมั้ง และดูสิว่าใช่หรือไม่?
“การทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด คือความชื่นชมยินดีอันล้นพ้น และความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น” บริบทเดียวกัน “ความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น ก็เอ่อล้น เป็นความเอื้อเฟือเผื่อแผ่” ขนาดเขายากไร้ เป็นอย่างยิ่ง เขายังมีพลังความรักจากภายในเอ่อล้นออกมา เป็นความอยากจะให้กับคนที่ด้อยกว่าเขา “เอ่อล้นเป็นความเอื้อเฟือเผื่อแผ่ เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้ และด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาได้คะยันคะยอ ขอรับสิทธิพิเศษที่จะเป็นส่วนร่วมในการรับใช้นี้ เพื่อประชากรของพระเจ้า”
นี่คือความหมายของเมื่อตะกี้นี้ว่าแม้พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ทรงมั่งคั่ง ก็ทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้
หมายถึงว่าในโลกวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ยอมสละความเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อย ยอมสละมาเป็นต่ำๆ เพื่อว่าการยอมสละนั้น จะมาช่วยเหลือเรามนุษย์ที่เป็นคนต่ำต้อยนั้น ที่เป็นคนบาปนั้น จะได้กลับมา กลายเป็นผู้ชอบธรรม พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือพระเยซูผู้เป็นพระเจ้า ยอมลดตัวลงมา เกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์ที่เชื่อในพระองค์จะได้มาเกิดเป็นลูกพระเจ้า นี่คือความหมาย มันต้องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ
พระเยซูเป็นพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์ที่ตายอยู่จะได้เกิดใหม่เป็นเหมือนพระเยซู เข้าไปรับตำแหน่ง หมายถึงอย่างนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุเลย แต่เราเอาไปใช้กันผิดๆ เพราะอะไร? เดี๋ยวตามไป จะรู้ว่าเพราะอะไร? มาดูต่อไป นี่คือคริสเตียนยุคเริ่มต้นทั้งนั้นนะ ยุคเริ่มต้นที่ชัดในเรื่องข่าวดีมากๆ เลย กาลาเทีย 2:9-10 …
กาลาเทีย 2:9-10 “9 เมื่อยากอบ เปโตร และยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้ เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว 10 เขาทั้งสาม ขอแต่เพียงให้เรา คิดถึงคนจนเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะทำอยู่แล้ว”
“เมื่อยากอบ เปโตร ยอห์น ก็คืออัครสาวกชาวยิวรุ่นแรก ก็คือ 12 อัครสาวก ที่พระเยซูเลือก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลัก เห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า (หมายถึงเปาโล) ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน”
ร่วมงานกันทำอะไร? “เขาเหล่านั้นเห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ” ก็คือให้เปาโลไปประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ “ส่วนพวกเขา ก็คืออัครสาวก เปโตร ยอห์น ยากอบ พวกเขาไปหาคนยิว คือประกาศให้กับชาวยิว
ข้อนี้สำคัญ “เขาทั้งสาม ได้ขอร้องเราเพียงแต่ว่า …” ทุกอย่างถูกต้องหมดแล้ว ตามข้อมูลข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เช็คความเชื่อ หลักข้อเชื่อของข่าวดีของเปาโลกับหลักข้อเชื่อของบรรดาอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม ชาวยิวนั้น ตรงกันแล้ว เรียบร้อยแล้ว “แต่เขาทั้ง 3 ขอเพียงแต่ว่าให้เรา (คือเปาโล) ที่จะไปหาคนต่างชาติ ให้เราคิดถึงคนจน ก็คือประชากรของพระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือชาวยิว ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ในยุคแรกนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีกลุ่มแรกนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ยากจนถึงขนาดต้องขอความช่วยเหลือจากคนต่างชาติ ให้ช่วยกันบริจาค เพราะเปาโลจะเดินทางออกไปประกาศข่าวดีให้กับชนต่างชาติเยอะแยะ ที่ไม่ใช่ชาวยิว อย่าลืมนะเปาโล บอกคนต่างชาติด้วย ให้ช่วยเหลือพวกเราชาวยิวที่ยากจนด้วย
เปาโลก็บอกว่า “ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำอยู่แล้ว”
ความเชื่อของเปโตร ยอห์น ยากอบ อัครสาวกรุ่นแรก ที่ทำการอัศจรรย์ สั่งในนามพระเยซูให้คนง่อยลุกขึ้นเดิน คนง่อยก็หายโรคอย่างอัศจรรย์ ความเชื่อไปไหน? เปโตรไม่เห็นสั่งการ ในนามพระเยซูให้ประชากรรุ่งเรืองเลย
“ในนามพระเยซู ขอให้พวกท่านทั้งหลาย ชาวยิวทั้งหลายที่มาเชื่อพระเจ้าจงมั่งคั่ง จงร่ำรวย”
ไม่เห็นเปโตรและอัครสาวกสอนผู้เชื่อเหล่านั้น ให้มีความเชื่อเยอะๆ จะได้เรียกเงินเข้ามาสู่คริสตจักรของพระเจ้า จะได้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ยากจน เพราะพวกท่านอธิษฐานน้อย พวกท่านความเชื่อน้อย ใช่ไหม? ซึ่งผู้คนเหล่านั้น ที่ยากจน หลายคนเดินกับพระเยซูมาก่อน เดินตามพระเยซู ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวดีบนโลกใบนี้ และหลายคนในนั้น เห็นพระเยซู หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในร่างกายใหม่แล้ว และหลายคนเห็นพระเยซูลอยเข้าไปสู่สวรรค์ แล้วความเชื่อไปไหน? ยังยากจนอยู่ สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ท่านได้เลยว่าปัญหาของความยากจน ความขัดสน มาจากไหน? และพระเยซูแก้ไขได้ด้วยวิธีใด?
ท่านก็อาจจะสงสัยว่าแล้วอย่างนี้มาเชื่อพระเจ้า ไม่มีโอกาสร่ำรวย มั่งคั่งหรือ? มี แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของเรา แต่ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราว่าน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราแต่ละคนเป็นอย่างไร? เราเรียกกันว่าของประทาน
บางคนพระเจ้าให้ของประทานในการทำมาหากิน มั่งมีเงินทองมากมาย มี เดี๋ยวจะพาไปดู แต่ก็ให้ใช้ของประทานเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกายของพระคริสต์ ก็คือให้เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรของพระองค์ ให้เป็นประโยชน์ต่อประชากรของพระองค์ ให้เป็นประโยชน์ต่อการงานของพระองค์ นี่คือเป้าหมายของพระเจ้า ที่ต้องการในผู้เชื่อในแต่ละคน 2 โครินธ์ 8:14 …
2 โครินธ์ 8:14 “คือที่พวกท่านมีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี้ ก็เพื่อช่วยเขาทั้งหลายที่ขัดสน และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน”
ตะกี้เราพูดถึงคริสเตียนในมาซิโดเนีย ยากไร้เป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้มาพูดถึงคริสเตียนที่อยู่ในโครินธ์ ทั้งหมดนี้เป็นคริสเตียนต่างชาติทั้งนั้น ที่คริสเตียนชาวยิว คือเปโตร หัวหน้า ได้ขอร้องเปาโลบอกให้คริสเตียนต่างชาติ อย่าลืมพวกเขานะ ให้ไปช่วยเหลือชาวยิวที่ยากจน เพราะฉะนั้น มีโอกาสมั่งมีเหมือนกันนะ
“พวกท่านที่มีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี่ ก็เพื่อช่วยคนทั้งหลายที่ขัดสน” นี่กำลังพูดถึงชาวยิวที่ขัดสน “และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น” ก็คือไม่แน่ในอนาคต ชาวยิวเหล่านั้น อาจจะมีอย่างเหลือล้น “เขาจะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน” แล้วแต่พระเจ้า คนนี้ขาดอันนั้น พระเจ้าก็ให้อีกคนหนึ่งมาช่วย ก็คือคริสเตียนช่วยเหลือกันเองนั่นแหละ เห็นไหม? มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีความเชื่อมากหรือน้อย ท่านจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้มั่งมีเยอะๆ
ชาวมาซิโดเนียยากจน ถูกไหม? แต่เปาโลบอกว่าเขาฝึกฝนในการให้ออกไป ตั้งแต่ยังไม่มี ก็คือเขายากจน ยากไร้ แต่เขาฝึกในการที่จะให้ออกไป ฝึกความรักที่อยู่ภายในใจเขา ให้ออกไปด้วยใจ และมันเกิดอะไรขึ้น เกิดผลขึ้นง่ายๆ ก็คือเมื่อเขาฝึกอย่างนี้แล้ว มันเกิดขึ้นว่าเมื่อโอกาสที่พระเจ้าให้เขามี เขาก็จะไม่โลภ เขามี ก็ยิ่งจะให้ใหญ่เลย ส่วนชาวโครินธ์มั่งมีอยู่แล้ว ก็ให้ฝึกในการให้ ตอนที่มั่งมี เพราะมี ถ้าไม่ให้ออกไป ยิ่งมียิ่งโลภ ยิ่งโลภ ก็กลายเป็นยิ่งจน มีแต่รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน เหมือนกับคนรวย สบายเลย คนรวย แต่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้
การมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันและกัน ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้ แบ่งปันให้กับผู้อื่นนั้น เป็นการฝึกฝน ลดความโลภ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์เตือนเอาไว้ นี่คือท่าทีของคริสเตียนที่มีต่อการเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ร่ำรวย การฝึกฝนในการให้ แบ่งปันนี้ สามารถฝึกได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีทรัพย์สินมากหรือน้อยก็ตาม โดยให้แบ่งปันตามขนาดความสามารถของแต่ละคน ด้วยความเต็มใจ มีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก ตามขนาดความสามารถของทรัพย์สินของแต่ละคน ที่มีอยู่ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ เรียกว่าฝึกฝนความรัก ที่อยู่ภายในใจ ที่พระเจ้าทำให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ให้ด้วยใจนั่นเอง ใน 1 ทิโมธี 6:17-19 ได้บันทึกไว้ถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ …
1 ทิโมธี 6:17-19 “17 สำหรับคนเหล่านั้น ที่มั่งมีร่ำรวยฝ่ายโลก จงกำชับเขา อย่าให้มีมานะทิฐิ ทะนงตน เย่อหยิ่ง ดูถูกคนอื่น หรือยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอน แต่ให้ยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้พวกเรา (ลูกของพระองค์) เพื่อความสะดวกสบาย ชื่นชมยินดีของเรา (ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้) 18 จงกำชับให้เขากระทำดี ให้ร่ำรวยในการกระทำการดีให้มากๆ ให้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว ให้พร้อมที่จะให้ และแบ่งปันให้กับผู้อื่น 19 การกระทำเช่นนี้ เป็นการวางรากฐานอันมั่นคง สำหรับตนเอง (เผื่อวันเวลาข้างหน้าบนโลกนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน) เพื่อยึดมั่นในความเชื่อ และความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นความร่ำรวยถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ อันแท้จริง ที่ได้รับมาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ชัดมากเลย “สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมี ร่ำรวยฝ่ายโลก อย่าให้มีมานะ ทิฐิ ทะนงตน เย่อหยิ่ง ดูถูกคนอื่น หรือยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอน” บนโลกใบนี้ พระเจ้าให้ท่านได้ ก็เอาออกจากท่านได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพระเจ้า “แต่ให้ตั้งมั่นไว้ในความหวังในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้กับเราทั้งหลายนั่นเอง” เห็นไหม?
แล้วก็บอกว่าอย่างไรอีก “การกระทำเช่นนี้ เป็นการวางรากฐานอันมั่นคง สำหรับตนเอง เพื่อวันข้างหน้าบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน” เมื่อเรารู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน พระเจ้าเป็นผู้ประทานความมั่งคั่งให้ เราก็พร้อมที่จะทำตามที่พระเจ้าแนะนำหรือนำพาในการให้ออกไปเช่นเดียวกัน เพื่อยึดมั่นในความเชื่อและความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณ เห็นไหม?
ให้เรามีความหวังใจแน่นอน กอดเอาไว้แน่นๆ เลย ก็คือผลของโลกวิญญาณ ที่เราได้รับนั้น คือเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในฝ่ายโลกวิญญาณ คือชีวิตนิรันดร์กอดไว้ให้แน่นๆ ส่วนความมั่งมี การมีทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นของชั่วคราว เป็นของที่พระเจ้าใช้เราให้เป็นประโยชน์ ชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นความร่ำรวย ถาวรนิรันดร์ในสวรรค์อันแท้จริง ชีวิตนิรันดร์ที่ได้มา ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ได้เท่าๆ กันหมดทุกคนเลย
แต่ความมั่งมี ร่ำรวยในโลกวัตถุ ไม่มีเท่ากันทุกๆ คน และมันเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น คริสเตียนที่ยากจนหรือมั่งมีก็ตาม ในโลกนี้ มีฐานะเท่ากัน คือพระเจ้าจูงมือเขาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช บนโลกนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนละแง่มุม คนที่ยากจน พระเจ้าก็จูงอีกแบบหนึ่ง สอนอีกแบบหนึ่ง คนที่มั่งมี พระเจ้าก็จูง สอนอีกแบบหนึ่งว่าอย่าโลภ ทั้งสองฝ่าย ก็อย่าโลภทั้งคู่ อะไรทำนองนี้
ฮีบรู 13:5 จึงได้กำชับอย่างชัดเจนเลยว่าในโลกวัตถุนี้ ผลของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้เราสำเร็จแล้ว สัญญาอีกว่าพระองค์จะอยู่กับเรา ไม่ต้องกลัว จงอย่าโลภก็แล้วกัน ทำตามที่พระองค์ทรงบอก …
ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่านห่างไกลจากการรักเงินและความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้” พอใจในขณะนี้ สถานะเราเป็นอะไรในขณะนี้ จงพอใจ ทั้งในโลกวิญญาณ เราได้เท่ากันหมดเลย เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับมรดก เป็นทายาท ในโลกวัตถุ แล้วแต่พระองค์จะให้เราเป็นอะไรก็ว่าไป ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ทอดทิ้งเรา และจะไม่ทำให้เราผิดหวังเด็ดขาดอย่างแน่นอน เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
นี่คือการพักผ่อน สบายใจของการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริง เราเห็นอยู่บ่อยๆ บนโลกใบนี้ แม้ตัวเราเอง ก็เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาบ้าง ก็คือเราถูกล่อลวงด้วยความโลภ ให้ใช้พระนามพระเยซูคริสต์ที่จะประสบความสำเร็จ บนโลกใบนี้ ให้มั่งมี ร่ำรวย แข็งแรง ซึ่งเมื่อใช้พระนามพระเยซูคริสต์ไปอย่างนั้นแล้ว หลายๆ ครั้ง เริ่มต้นด้วยการประสบผลสำเร็จด้วยซ้ำ ประสบผลสำเร็จจริงๆ ตามที่สั่ง หลายคนก็เคยผ่านประสบการณ์นี้ พอสั่งไปในนามพระเยซู ได้ ก็เลยติดใจ เหมือนยาเสพติด เราเจอวิธีการหลักใหญ่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องมั่งมี ร่ำรวยแน่นอน มาเป็นคริสเตียนดีกว่า ร่ำรวยแน่นอน สุดท้ายก็ว่างเปล่า ถูกหลอก หมดตัว
ในโลกนี้ มีอะไรหลายๆ อย่าง หลายๆ สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ที่ผมเคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้ว ในตอนที่แล้ว เช่น เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ คาถา อาคม สิ่งลี้ลับที่ทำให้เกิดอะไรบางอย่าง ที่เราไม่เข้าใจ ซึ่งมันเหมือนกับการหายโรคอย่างอัศจรรย์ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ความมั่งมี ร่ำรวยก็เช่นเดียวกัน เหมือนกัน เช่น เราไม่สามารถอธิบายหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เรามั่งมีได้ “เรา” ในที่นี้ หมายถึงใครก็ตาม ไม่ใช่คริสเตียนก็มีเยอะแยะ เช่น พวกพลังจิต การพูดซ้ำๆ พูดทางบวก ที่เราเรียกว่า “Positive Thinking” ฮิตกันใหญ่ หรือเรียกว่าขบวนการการล้างสมอง ให้เชื่อตามนั้น และบางครั้ง มันก็เกิดผลจริงๆ ซึ่งอธิบายไม่ได้ หลายคนก็แห่ไป ถูกหลอกทั้งหมดแหละ เพราะมันไม่จริง ไม่มีใครได้จริงๆ ตามนั้นหรอก ถ้าได้จริง ทั้งโลกก็รวยกันหมดทุกคนแล้ว เพราะมันง่ายจะตาย ตามที่เขาบอก 1, 2, 3, 4 ทำตามนี้ ได้เลย เอาไปท่องๆ พูดๆ ทุกวัน มันได้ตามนี้ มันก็ได้หมดทุกคน
มันเหมือนขบวนการที่เขาเอามาใช้ทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องการทดสอบยา หรือวิตามินอะไรต่างๆ วิธีการทดสอบ วิชาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เขาเรียกว่า “ยาหลอก” คือสมมติว่าจะทดสอบยาแก้โรคมะเร็ง ดูว่าสูตรนี้ใช้ได้ผลจริงไหม? เขาก็จะให้ … สมมติว่า 100 คน กินยานี้ แล้วอีก 100 คนกินยานี้ แต่เป็นยาปลอม แป้งธรรมดา แล้วเขาก็บอกว่ายานี้ จะทำให้มะเร็งหาย สมมติว่าภายใน 1 เดือน จะหาย วันละนิด วันละหน่อย แล้วค่อยๆ หาย ยาหลอกก็เหมือนกัน แต่เขาไม่บอกว่ายาหลอก เขาก็แจกไป แล้วเขาก็ให้ไปกิน 1 เดือน สมมติ ผลปรากฏว่า … คนกินยาจริง ไม่ต้องไปพูดถึง ก็ว่ากันไปตามจริง คนกินยาหลอก มีคนหายด้วยนะ ได้ผล 50% บ้าง 20% บ้าง มันได้อย่างไร มันเป็นแป้งธรรมดา เป็นแป้งมัน นี่แหละ มันเกิดอะไรบางอย่าง บอกเกิดความเชื่อก็ไม่ใช่ เขาจึงเรียกว่ายาหลอก อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งบอกไม่ได้ว่าคืออะไร? นี่คือสิ่งลี้ลับอะไรบางอย่าง ซึ่งพระเจ้าบอกอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ถูกหลอก
หรือแม้กระทั่งถูก ล๊อตเตอร์รี่ บางคนบอก … “เข้าฝัน พระเยซูมาบอกฉันเลยนะ เรื่องนี้” แล้วซื้อ ถูกด้วย ครั้งต่อไปซื้ออีก ถูกเหมือนกัน ถูกอะไร? ถูกกิน ตอบได้ไหมวันที่ถูก ทำไมมันถึงถูก ตอบไม่ได้ เพราะฉันเห็นจริงๆ ฉันฝัน ฉันเห็นพระเยซูเดินมาจริงๆ กับตัวเลย แล้วจะฝันอีกได้ไหม? ไม่ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น
พลังจิต ยิ่งชัดใหญ่ ให้ท่องไปมากๆ ยิ่งเห็นพระเยซูเดินมาเลย อะไรต่างๆ หรือแม้กระทั่งการบนบานศาลกล่าว ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ เหล่านี้ให้ได้รับผลสำเร็จ บางคนเขาไม่ได้ใช้นามพระเยซู เขายังสำเร็จ เพราะให้เขาเรียกชื่อตัวเองว่าลูกช้าง เขายังสำเร็จเลย เขาไปบนบานศาลกล่าวกับจอมปลวก เขายังสำเร็จเลย แล้วบางทีเราไปใช้นามพระเยซูอย่างนี้ แล้วบอกสำเร็จ มันไม่ใช่เสมอไปว่าจะถูกต้องตามนั้นว่ามันเป็นมาจากพระเจ้าจริงๆ แต่เราตอบไม่ได้ว่าที่เขาเจอความลี้ลับนั้น มันมาจากอะไร?
ทั้งหมดนี้ เรียกว่าปาฎิหารย์ อัศจรรย์อันลี้ลับของมนุษย์ ซึ่งอยากจะรู้ อยากจะเห็น อยากจะได้ อยากจะเอามาใช้เป็นประโยชน์ ตั้งแต่ดึกบรรพ์แล้ว และมันถูกหลอกกันหมดทุกคน ซึ่งมันไม่ใช่ของจริงที่มาจากพระเจ้า เราก็อาจจะถูกหลอกให้ยึดติดและมัวเมา อยากได้ เพราะมันมาจากสิ่งเดียว ก็คือถูกหลอก เพราะความโลภ … ความโลภของใคร? พระคัมภีร์บอกอย่าไปโทษพระเจ้าว่าพระเจ้าทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ เพราะความโลภ ไม่ว่าจะโลภทรัพย์สินเงินทอง หรือโลภวัตถุสิ่งของอื่นๆ เช่นการหายโรคเป็นต้น ชื่อเสียงต่างๆ เหล่านี้ ใช้นามพระเยซูแล้ว ก็ดูว่าผลบางทีมันเกิดขึ้น ก็เลยติดใจ อยากใช้ใหญ่ ซึ่งพอเราได้ตามนั้นจริง เราก็หลงเชื่อว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ต้องการให้เรามั่งมี ร่ำรวย ได้สิ่งเหล่านั้น ซึ่งเกี่ยวกับการหายโรค ที่มันหายโรคได้แปลกๆ เราก็นึกว่าน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราหายโรคแบบนั้น ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ 1 ยอห์น 2:16 จึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ เตือนเราทั้งหลายว่า …
1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก”
นี่คือความจริง ทุกสิ่งที่อยู่ในโลก และเราทั้งหลายก็ดำเนินชีวิตในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภ ยศ อิทธิพลของโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้หมดเลย การดำเนินของโลกใบนี้ที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้หมดเลย ให้เราอย่าไปจดจ่อกับมัน เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก ซึ่งถูกสาปแช่งไปแล้ว มันไปสู่สูญสิ้น มันหลอกเรา อย่าไปตามๆ อย่าไปเชื่อมัน มองไปที่เบื้องบน มองไปที่วิญญาณ มองไปที่สิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา มองไปตรงนั้น เราจะได้ไม่ถูกหลอก
เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ความจริงว่าพระเจ้าสอนเรา ให้มีทัศนคติอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับความมั่งมี เกี่ยวกับความยากจน เกี่ยวกับความมีหรือไม่มีทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ ฟีลิปปี 4:11-13 …
ฟีลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าไม่ได้พูด เนื่องจากความขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ 12 ข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลน และรู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใด หรือในทุกกรณี ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้อง และความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์ และความขัดสนแล้ว 13 ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”
เปาโล อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ซึ่งเคยเข้าไปอยู่ในสวรรค์มาแล้ว ได้เห็นประสบการณ์ในสวรรค์จริงๆ พระเจ้าพาเข้าไปสู่สวรรค์จริงๆ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ รุ่นแรก ให้กับชาวต่างชาติ ได้พูดอย่างนี้ชัดเจนเลย
“ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเนื่องจากความขัดสน” คือตะกี้นี้ พูดกับชาวต่างชาติต่างๆ ให้ถวาย ให้อะไรต่างๆ เพราะว่าต้องการให้ไปช่วย ชาวยิวคนจน ไม่ใช่ เพราะว่าตัวเปาโลเองขัดสน เพราะอะไร? “เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในทุกสภาวะ เป็นอยู่แล้ว เพราะข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลน” เพราะเคยผ่านความขาดแคลนมาแล้ว รู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่ากรณีใดๆ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญกับความอิ่มท้อง และความอดอยาก เปาโลยังอดอยากเลย ความอุดมสมบูรณ์และความขัดสน ข้าพเจ้าเผชิญทุกอย่างได้ โดยพระองค์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเผชิญความยากจน ความขัดสน ความลำบาก สิ่งของเหล่านี้ที่จำเป็นต้องใช้สอยได้ โดยกำลังจากพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน นี่ชัดเจนเลย
ฟีลิปปี 4:4-7 ได้บอกอย่างนี้ ให้เราทำหน้าที่ของเรา ในการเป็นคริสเตียนผู้เชื่อ ดำเนินชีวิตในโลก ในการดำเนินชีวิตนี้ มีท่าทีอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ …
ฟีลิปปี 4:4-7 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 จงให้ความอ่อนสุภาพของท่านทั้งหลายประจักษ์แก่ทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์”
นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง นี่คือความจริงเกี่ยวกับความขัดสน ยากจน ในการทำมาหากิน ในการดำรงชีวิตบนโลกนี้ ในฐานะ เป็นคริสเตียน นี่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านทั้งหลาย ก็คือตามข้อพระคัมภีร์ฟีลิปปี 4:4-7 ก็คือ …
“3 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ ฝากเอาไว้ให้พระองค์
อธิษฐาน วิงวอนทุกอย่าง ด้วยใจขอบพระคุณ”
4 พระเยซูจะทรงประทาน สันติสุขมากมาย
จะคอยคุ้มครองใจของข้า ทุกวันทุกเวลา”
เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรครับ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป
2 โครินธ์ 5:10 … “เพราะเราทุกคน (วิญญาณตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคน) จะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (หลังความตาย) เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทน ตามความดีหรือความชั่ว (เลว) ที่ทำมาตอนที่ (วิญญาณ) ยังอยู่ในร่างกายนี้”
ถ้าทำดีได้ไปสวรรค์ ถ้าทำชั่วแม้นิดเดียวก็พินาศโดยพลัน
โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้วเราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิว และคนต่างชาติล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้ายอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะ และทุกข์เข็ญไว้ ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”
บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว
พระเจ้าอวยพรครับ