วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1444

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 4.2 “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอน 2

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”  ซีรี่ย์นี้  ตอนนี้ ตอนที่ 5  ชื่อเรื่องว่า “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอนจบ หรือตอน 2 ก็ได้ มี 2 ตอนเท่านั้นเอง

            ความจริงในโลกวิญญาณ  จะทำให้เราเป็นไท  เป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง  วันนี้ตอนที่ 5  อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย ตอนจบ เราได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่แล้วแล้วว่าความจริงในมหาจักรวาลนี้ มีกฎของโลกวิญญาณ และมีกฎของโลกวัตถุควบคู่กันไป  นี่คือความจริงอันดับแรกเลย ที่ต้องเรียนรู้ มาเชื่อในพระเจ้า หรือเริ่มต้นเรียนรู้จากพระเจ้า หรือเริ่มต้นสนใจเรื่องพระเยซูคริสต์ อันดับแรก ท่านต้องเปิดใจเชื่อเสียก่อน  แม้ว่ายังไม่เชื่อพระเยซูก็ตาม จะมาศึกษาก็ตาม เปิดใจไว้ก่อนเลยว่าท่านกำลังมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ มีโลกวิญญาณจริงๆ  มนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย  นี่เป็นอันดับแรกในการเรียนรู้

            เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่ามี 2 กฎควบคู่กันไปบนโลกใบนี้  คือในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ สำหรับในโลกวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้นี้ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  เราต้องเรียนรู้ให้ได้ และยอมรับให้ได้ ยอมจำนนให้ได้ว่าความจริงในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าสอนเรา คือในโลกวัตถุที่เรามองเห็น จับต้องได้นี้ อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของต่างๆ ทั้งหมดที่มองเห็นได้ รวมทั้งร่างกายที่เราเห็น ต้องอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ซึ่งเราเรียกว่าอยู่ใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย หรือเรียกว่าสูญสิ้นไป ทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นก้อนอิฐ เป็นดวงดาว  นี่พูดถึงในมหาจักรวาล โลกวัตถุไม่ได้หมายถึงโลกใบนี้เท่านั้น  คำว่า “โลก” หมายถึงอะไรที่มองเห็นทั้งหมด รวมทั้งบนฟ้า ดวงดาวที่เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่ตาเราไม่สามารถมองเห็น ท้องฟ้า ดวงดาวต่างๆ  เมฆ อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย

            เกิด แก่ เจ็บ ก็คือไปสู่การเสื่อมสูญทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะนานขนาดไหนก็ตาม ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน ร่างกายของมนุษย์จับต้องมองเห็นได้ ถึงวันเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของการเกิดมา เพื่อไปแก่ เพื่อไปโทรม เจ็บ และตาย  นี่คือความจริง อันดับแรกที่เราต้องเรียนรู้

            แต่ในทางโลกวิญญาณล่ะ ซึ่งโลกวิญญาณ พูดถึงวิญญาณของมนุษย์  เป็นตัวตนแท้ๆ ของเขาจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ อาศัยอยู่ในร่างกายที่มองเห็นนี้ได้เท่านั้น  เราได้เรียนรู้ว่าในทางโลกวิญญาณนั้น คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว  ภายในร่างกายที่จะต้องตายได้ของเขา  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาได้รับความรอดจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยแล้ว วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เกิด แก่ เจ็บ วิญญาณไม่ตาย  แต่วิญญาณได้รับความรอด

            ความรอดนี้ ก็คือพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าประทานมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งเรากำลังเรียนรู้อยู่ พระพรนี้ทำให้คนที่เป็นคริสเตียนได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน ในโลกวิญญาณ ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เขาได้พรนี้เรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว

            พรเหล่านี้ สรุปสั้นๆ ก็คือเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซู สะอาดหมดจดเลย เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ทันทีเลย ในโลกวิญญาณ เขาเปลี่ยนที่อยู่ มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมทันที  ซึ่งเป็นพรที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ไม่มีใครที่ไหนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย ยกเว้นพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น  พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ซึ่งพระพรเหล่านี้ เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว

            “เราคริสเตียนได้รับพรทางโลกวิญญาณนี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณนี้ ที่อยู่นิรันดร์นี้ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งข้อสำคัญที่สุด คือมันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราที่จะอยู่นิรันดร์ วิญญาณนี้ได้รับความรอด อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

            คราวนี้เราจะมาสรุปว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องอะไร? เราเรียนรู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์มาช่วยเราให้ได้รับความรอด จากกฎของความบาปและความตาย  แล้วผลของการที่พระเยซูคริสต์มาทำให้เราสำเร็จ ได้รับความรอด ผลเกิดขึ้น 2 ทาง ก็คือผลของความรอดในโลกฝ่ายวิญญาณ  ถูกไหม?  และมีผลของความรอด ทางฝ่ายวัตถุ

            ผลของความรอดทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือเมื่อตะกี้ที่บอก เราได้รับพระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณ ครบถ้วนบริบูรณ์ หมด เรียบร้อยแล้ว คือเราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  เกิดกับพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือผลทางด้านวิญญาณ ซึ่งได้ยกข้อพระคัมภีร์ เอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส1:3  “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ซึ่งมันเป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราอาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นความจริงว่าพอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว สิ่งนี้มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในวิญญาณเราจริงๆ  เพราะฉะนั้น ความเชื่อของเรา ที่เป็นจริงในโลกวิญญาณ ในขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ในโลกวิญญาณ  ความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ เราต้องเชื่อว่าเราได้ความรอดจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า และอยู่ใน สวรรค์กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ พระเยซูคริสต์ คือความมั่นคั่ง คือสุขภาพที่ดีเยี่ยม ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว  กำลังพูดถึงผลของความรอดในโลกวิญญาณ  เพื่อเราจะได้ไม่หลุดออกจากคอนเซปนี้ว่าเรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ทั้งหมดนี้ เป็นอัศจรรย์ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ไม่มีทางใด ไม่มีใคร ไม่มีอำนาจใด แม้กระทั่งมาร ที่จะสามารถเลียนแบบตรงนี้ได้เลย มารอาจจะเลียนแบบสิ่งต่างๆ  ผลอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นได้  แต่นี่โลกวิญญาณ ไม่มีใครทำได้ นอกจากพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์นั้น

            แล้วเราก็ได้เรียนรู้เรื่องผลของความรอด ในฝ่ายโลกวัตถุด้วย ซึ่งได้ยกตัวอย่างในหนังสือฮีบรู 13:5 …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

            สรุป ก็คือว่าสำหรับในโลกฝ่ายวัตถุ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผลของการรับเชื่อ และผลที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว พรทางฝ่ายวัตถุ สำหรับคริสเตียน คือ … “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนเป็นลูกกำพร้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน” คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วอยู่กับเราตลอดเวลา  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เราพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่พระองค์ทรงนำพาเราไปบนโลกใบนี้ เอเมนไหม? นี่คือโลกวัตถุ เราอย่าไปสับสน เอาตรงนั้นมาใส่ตรงนี้ เอาตรงนี้ไปใส่ตรงนั้น มันจะยุ่งไปหมด

            ความจริง เรื่องของความเจ็บป่วย ที่เราได้เรียนรู้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเรียนรู้ เพื่อเราจะได้เผชิญกับความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นผลของความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็คือกฎของความบาปและความตาย ที่ยังอยู่บนโลกวัตถุนี้อยู่ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังอยู่ เรามาเรียนรู้ความจริงตรงนี้ พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปเผชิญกับความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวความเจ็บป่วยนั่นเอง

            วันนี้เราจะมาฟังความจริง เรื่องความเจ็บป่วย เพื่อจะได้เป็นอิสระจากความกลัวความเจ็บป่วยมากขึ้น เราเรียนรู้แล้วว่ายิ่งเผชิญกับความจริงมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกลัวน้อยลง ยิ่งกลัวอะไร ยิ่งต้องเข้าไปหามันเลย มันจะได้ไม่กลัว ยิ่งหนี ยิ่งกลัวใหญ่เลย ในเมื่อมันต้องเกิดขึ้น มันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ เข้าไปดูมันสิ มันเป็นอะไร? ยิ่งเข้าไปเท่าไร? แรกๆ อาจจะรู้สึกกลัว  ไปๆ ชักรู้ความจริง มันเป็นอย่างนั้นเอง วันนี้ลองฟังความจริง จากถ้อยคำพระเจ้า  ในเรื่องความเจ็บป่วย จากอาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องเจ็บป่วย ไว้อย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์กาย ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ความอ่อนแอนี้ อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์มากมาย ในการอัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย  เกี่ยวกับเรื่องเจ็บป่วย  อาจารย์เปาโลเริ่มต้นจากการเชื่อในเรื่องพระเจ้า  ในเรื่องพระเยซูคริสต์ จากความเจ็บป่วยนะ เริ่มต้นจากยังไม่เชื่อ แล้วตาบอด  พูดสรุปสั้นๆ พระเจ้าทำการอัศจรรย์มากเลย ส่งคนของพระองค์ ชื่ออานาเนียมา แบบอัศจรรย์เลย มาตามหาเปาโลปุ๊บ วางมือให้เปาโลทันที เปาโลตาหายบอด ได้รับการรักษาให้หาย  แล้วก็กลับใจมาเชื่อพระเยซู นึกภาพออกใช่ไหม?

            แล้วอีกหลายครั้ง ที่เปาโลถูกหินขว้างจนตาย ได้รับการอธิษฐาน จากผู้คนของพระเจ้า ได้เป็นขึ้นจากความตาย ได้ฟื้นจากความตาย อาจารย์เปาโลเหมือนกัน มีประสบการณ์เยอะไหม? แล้วหลายครั้งที่ถูกเฆี่ยนจนปางตาย  ถูกโยนเข้าไปในคุกมืด คุกใต้ดิน ก็ได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์เหมือนกัน แล้วหลายครั้งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ให้กับคนป่วยคนอื่น คนป่วยคนอื่นหายโรคอย่างอัศจรรย์ ขนาดเอามือ วางไว้บนผ้าเช็ดหน้า แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าไปทางแกร๊บ ส่งเป็นพัสดุไป คนป่วยเอาผ้าเช็ดหน้าไปวางให้ตัวเอง หายโรคอย่างอัศจรรย์  เป็นที่ฮือฮามาก นี่คือประวัติของอาจารย์เปาโล

            เราลองมาดูทัศนคติของอาจารย์เปาโล เรื่องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ที่อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์ เยอะแยะมากมาย ทั้งหายโรคอย่างอัศจรรย์ ทั้งรักษาคนอื่นให้หายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่เราเรียกว่าอัศจรรย์ ที่พระเยซูคริสต์ทำงานผ่านทางเปาโล แต่เราเรียกว่าเปาโลรักษาเขาให้หายโรค ถึงขนาดเด็กตกมาจากชั้น 2 สิ้นใจไป ลงมาอธิษฐานให้เด็กคนนั้น ฟื้นขึ้นมาใหม่ อาจารย์เปาโลทั้งนั้น  เราลองมาฟังประสบการณ์ของอาจารย์เปาโลเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสิว่าเป็นอย่างไร? แล้วท่านจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง เกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วย ในร่างกายของเรา นี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย โดยเฉพาะเลยนะ จำได้ใช่ไหม? โลกวัตถุ ก็คือร่างกายของเรา  อยู่บนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ต้องเจ็บแน่ แก่ ก็คือเจ็บแล้ว เกิด แก่ แล้วเจ็บ แล้วก็สูญสิ้น มันจริงไหม? มันมีอะไรมาช่วยได้ไหม? ความเจ็บป่วยนี้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้าหรือไม่? มาฟังอาจารย์เปาโล 2 โครินธ์ 12:8-10 เราจะเริ่มจากตรงนี้ …

        2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

            “ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง” วิงวอน แปลว่าอะไร?  แปลว่าทุกข์มาก ทุกข์มาก เพราะให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า “หนามนี้” ในบริบทนี้ พูดถึงหนามในเนื้อ รู้ไหมว่า “เนื้อ” แปลว่าอะไร?  “เนื้อ” ภาษาเดิม ก็คือร่างกายของเรา  หนามในร่างกายของเรา “หนาม” คือความทุกข์ ทรมาน ทุกข์ทรมานในร่างกายของเรา ของอาจารย์เปาโล ถึงสามครั้ง ก็คือขนาดเปาโล ซึ่งพระเจ้าเคยนำท่านเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าในสวรรค์จริงๆ ได้ไปเห็นสวรรค์มาแล้ว มีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า ในสวรรค์อย่างมากแล้ว ยังอธิษฐาน เรื่องนี้ถึง 3 ครั้ง  บอกพระเจ้าเอาหนามนี้ออกไป “หนาม” นี้คือความทุกข์ ในร่างกาย จากการถูกข่มเหงรังแก จากความเจ็บป่วยทางธรรมชาติ จากกฎของความบาปและความตาย

            “ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน” ความอ่อนแอ คืออะไร? คำศัพท์เดียวกัน  ความอ่อนแอของตน คือความอ่อนแอในร่างกาย อาจารย์เปาโลกำลังจะอวดว่าข้าพเจ้าจึงได้อวดความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม ความอ่อนแอในร่างกาย ความทุกข์ในร่างกาย

            “ด้วยเหตุนี้ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ” อวด แล้วยังแถมชื่นชมอีก ก็แสดงว่าพอใจ เมื่อพระเจ้าตอบว่าปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เพื่อพระคุณของเรา  พระคุณตรงนี้ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ การทรงสถิตของพระองค์ จะได้สำแดงออกในชีวิตของอาจารย์เปาโล ได้เห็นชัด เด่นขึ้น จากความอ่อนแอ จากความทุกข์กาย จากความเจ็บปวด เจ็บป่วยนั่นแหละ  พอพระเจ้าบอกอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความพอใจ ชื่นชมในความเจ็บป่วย ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า

            แล้วยกตัวอย่างให้เห็นว่าความเจ็บปวด เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ในร่างกายนั้น มาจากอะไร? “ในการสบประมาท ในความยากลำบาก  ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยากต่างๆ” เพราะอะไร?  เพราะในขณะที่กำลังทุกข์ยากลำบากในร่างกาย ออกไปประกาศ ก็ถูกเขาขว้างหิน เจ็บปวด บวมไปหมด ออกไปตาก็ไม่ค่อยดี เป็นโรคตา ตาก็มองไม่ค่อยเห็น บางครั้ง ถึงขนาดเหมือนกับบอด เป็นโรค มีแต่ความอ่อนแอมากเลย แต่ข้าพเจ้ายินดี  เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง  เมื่อใดข้าพเจ้าหมดแรง เมื่อใดข้าพเจ้าทำไม่ได้แล้ว พระเจ้าก็จะมาปรากฏ พระเจ้าก็จะมาทำแทน แต่เมื่อใดที่ข้าพเจ้าเข้มแข็ง รู้สึกซ่าส์เหลือเกิน พระเจ้าก็เฉยๆ ปล่อยให้ซ่าส์ไปก่อน

            เปาโลโอ้อวดในความอ่อนแอ ในความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม ความทุกข์ทรมาน ในร่างกาย เห็นได้ชัดเลย จากข้อความพระคัมภีร์นี้  เพราะว่ายังต้องอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายบนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเขายังอยู่ที่นี่  ที่เปาโลไม่กลัวที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วย แต่ยังสามารถโอ้อวดได้  เพราะอาจารย์เปาโลยอมให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมจำนนต่อความเจ็บป่วยนั้น และมอบให้กับพระเจ้า ฝากไว้ที่พระองค์ แล้วแต่พระองค์เถิด อธิษฐานไป 3 ครั้งแล้ว วิงวอนไป 3 ครั้งแล้ว

            เมื่อพระองค์บอกว่า … “พระคุณของเรา หรือฤทธิ์อำนาจของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”

            ก็ตอบว่า … “เอเมน” อดทนเอา

            นี่คือท่าที เราดูในฟีลิปปี 3:20-21 เพิ่มเติมให้เห็นชัดว่าเปาโลมีทัศนคติเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ความอ่อนแอในร่างกายอย่างไร? เขาโอ้อวดอะไรในชีวิตของเขา โอ้อวด ความแข็งแรงในร่างกายของเขาด้วยความเชื่อหรือ? เขาโอ้อวดใช่ไหมว่า …

            “ฉันเปาโล เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า เต็มที่เลย ฉันเคยวางมือคนเจ็บคนป่วย รักษาโรคหาย ฉันวางมือบนผ้าเช็ดหน้า คนก็หายโรค พระเจ้ารักษาฉันอย่างอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีความเชื่อแบบฉัน คุณก็จะแข็งแรง” เขาอวดอย่างนี้หรือไม่?

            หรือเขาอวดอย่างที่เราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ลองดูต่อไป ฟีลิปปี 3:20-21 …

        ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกาย อันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพ ที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เปาโลบอกว่าขณะที่เราอ่อนแอนั้น ร่างกายเราอ่อนแอ เปาโลกำลังบอกว่าในโลกวิญญาณ เห็นไหม? ตะกี้เราพูดถึงโลกวัตถุ ก็คือร่างกายตกอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย คราวนี้อาจารย์เปาโลพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ วิญญาณเราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จำได้ใช่ไหม? เราได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ แต่เรา ในโลกวิญญาณ ก็คือเป็นพลเมืองสวรรค์เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  “เราเฝ้ารอคอย” เรา คือวิญญาณของเรา พระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา

            พระองค์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา  กายที่กำลังอยู่นี้ มันต่ำต้อย “ต่ำต้อย” ภาษาเดิมใช้คำศัพท์ ความหมายเดียวกันกับคำว่า “อ่อนแอ” ข้าพเจ้าโอ้อวดความอ่อนแอ เหมือนกันคำว่าต่ำต้อย คือพระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันอ่อนแอของเรานั่นเอง เดี๋ยวทำอันนั้นก็เจ็บ ทำอันนี้ก็เจ็บ  มันอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย  มันก็ต้องเจ็บ มันอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บและตาย มันก็ต้องเจ็บ มันต้องปวด ไม่เจ็บใจ ก็ความคิด เครียด ก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เชื้อโรค ก็ความเสื่อมโทรมของร่างกาย ความแก่ ความตายนั่นเอง  ความเสื่อมโทรม มันต้องสูญสิ้นไปในที่สุด เพราะมันอยู่ใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บและตาย แต่ในโลกวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรารอวันที่พระเยซูคริสต์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อย  อันอ่อนแอนี้ ให้เป็นเหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติของพระองค์ ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            นี่คือท่าทีกายอันต่ำต้อย ร่างกายที่อ่อนแอ เพราะอยู่ภายใต้กฎของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ที่อยู่บนโลกใบนี้ มันเสื่อมโทรม มันไปสู่การสูญสิ้น  เปาโลจึงมีสติบอกว่าเพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงพูดตรงๆ ว่ามีชีวิตอยู่ ก็จะอยู่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คน ให้พระเยซูใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าจากร่างกายนี้ไป ดีกว่าอยู่ตั้งเยอะ พูดง่ายๆ ว่าตายดีกว่าอยู่ตั้งเยอะเลย

            แล้วเปาโลเขียนจดหมายเหล่านี้จากในคุก  บางครั้งจากคุกใต้ดินด้วย  เป็นความหวัง เต็มไปด้วยความเชื่อ ศรัทธา เฝ้ารอคอยวันที่จะพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  อย่างใจจด ใจจ่อ ตาไม่กระพริบเลย  ก็คือความหวังในโลกวิญญาณ  พระคัมภีร์พระเจ้า จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน คือในโลกวิญญาณ  ในสวรรคสถาน  ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่นั้น  ท่านอยู่กับพระองค์ที่นั่น  ไม่ใช่จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายโลก อย่าไปสนใจฝ่ายโลกมากนัก อะไรอย่างนี้

            บนโลกใบนี้ พระเจ้าพระบิดากำลังฝึกฝน  กำลังจูงมือให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สมกับที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ที่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเราดังแก้วตาดวงใจ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยอยู่กับเราตลอดเวลา ทุกฝีก้าว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบและทรงเข้าใจตลอดเวลาเลย  และให้เราไว้ใจในพระองค์ เพื่อเมื่อถึงวันหนึ่ง เมื่อเราพร้อม หรือเมื่อถึงวันเวลาของพระเจ้า  เราก็จะได้ออกจากร่างที่มัน ต้องทุกข์ทรมาน ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ออกไปสู่ร่างกายใหม่  เข้าไปสู่โลกใหม่ โลกวิญญาณ  ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            นี่คือหนทางเดินของผู้เชื่อ คริสเตียนทั้งหลาย  และมันจะไปได้อย่างไร?  ได้รับร่างกายใหม่ได้อย่างไร?  โดยทั่วๆ ไป ก็คือมันต้องผ่านขบวนการเกิด แก่ เจ็บ  และล่วงหลับ  มันต้องมีการเจ็บ และล่วงหลับ  ก็คือเปลี่ยนร่างกายใหม่  ไปสู่ความรอดนิรันดร์อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนและรับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์

            เพราะฉะนั้น บนโลกนี้ เราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าในโลกวิญญาณแล้ว ขาดแค่ยังอยู่ในร่างกายเดิม  และบนโลกเดิม ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่งของกฎของความบาปและความตาย  กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ ซึ่งพระเจ้าได้สัญญาว่าได้เตรียมทั้งร่างกายใหม่ แบบสวรรค์ที่เหมือนพระเยซูให้  และได้เตรียมสร้างโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ บนโลกใหม่ ที่ดีกว่าเดิมอย่างมากมาย  หาที่เปรียบไม่ได้ ให้กับเรา ได้อยู่อาศัยนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราเรียนรู้จากอาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลพอใจ ชื่นชมยินดี ในความอ่อนแอ ก็คือความเจ็บป่วย  ความทุกข์ทรมานในร่างกาย ไม่ใช่เป็นซาดิสต์ …

            “ฉันชอบ” ไม่ใช่

            อธิษฐานถึง 3 ครั้ง เรียกว่าหนามในเนื้อ ไม่ชอบแน่นอน  เราเจ็บป่วย เราไม่ชอบแน่นอน  แต่มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น และเราจะทำอย่างไร?  เราวางใจในพระเจ้าดีกว่า  กาลาเทีย 4:13-15 …

        กาลาเทีย 4:13-15 “13 ท่านก็ทราบอยู่ ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น  ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน  ท่านก็ไม่ได้ดูถูก หรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย  กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้า เป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้า เป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่าน หายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่าน ให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงประสบการณ์ของท่าน  ที่เดินทางไปกาลาเทีย กะว่าจะเดินทางผ่านเฉยๆ  ปรากฏว่าถึงกาลาเทียปุ๊บ ป่วย ป่วยหนักเลย  ไปต่อไม่ได้ ต้องอยู่ที่กาลาเทีย  ถามว่าป่วยเป็นอะไร? เป็นโรคตา เหมือนกับตาบอด มองไม่เห็น  เรารู้ได้อย่างไร? ในบรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

            “ถ้าทำได้ ท่านคงควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            ก็หมายความว่าชาวกาลาเทียช่วยเหลือ ดูแลอาจารย์เปาโล เป็นดวงตาให้ตอนนั้น  เอาหยูกยามาให้ คอยจูงมือเข้าห้องน้ำ กินข้าว และอาจารย์เปาโลก็ใช้เวลานั้น ในการประกาศข่าวประเสริฐ ให้กับชาวกาลาเทีย จนชาวกาลาเทียเปิดใจรับเชื่อพระเจ้า อาจารย์เปาโลมารื้อฟื้นความหลังให้เขาได้เห็นว่า …

            “เห็นไหมตอนที่ข้าพเจ้าไปหาท่าน ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งไม่ได้ตั้งใจ ข้าพเจ้าป่วยอยู่ ป่วยหนักด้วย  ท่านไม่ได้สบประมาท ท่านไม่ได้ดูถูกข้าพเจ้าเลยว่า … “นักประกาศใหญ่ ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เลย ทำไมป่วยขนาดนี้ ไม่มีความเชื่อเลยหรือไง?”

            นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า  จากประวัติของอาจารย์เปาโลที่เราเรียนรู้ว่ามีอัศจรรย์มากมาย ที่ท่านได้ผ่านมาเยอะแยะ ถามว่าความเชื่อของเปาโลหายไปไหน? ตกลงไปหรือ! ถึงจะเขียนจดหมายอย่างนี้ ลืมไปแล้วหรือว่าวางมือบนผ้าเช็ดหน้า เอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนอื่น ยังหายโรค ลืมไปแล้วหรือ? อธิษฐานให้เด็กตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาใหม่? ลืมไปแล้วหรือ? จับงู แล้วตัวเองไม่เป็นอะไร? อะไรอย่างนี้ เปาโลความเชื่อหายไปไหน?

            1 ทิโมธี 5:23 ย้ำยืนยันอีก ชัดเจนว่าอาจารย์เปาโลมีทัศนคติเรียนรู้เรื่องการเจ็บป่วยนี้อย่างไร? ว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นกฎเป็นเกณฑ์ …

        1 ทิโมธี 5:23 “ตั้งแต่นี้ไป อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่าน และความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ”

            อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายไปหนุนใจทิโมธี ศิษย์เอก ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล ศิษย์เอก น่าจะเขียนไว้อย่างนี้นะ ความเชื่อท่านหายไปไหนทิโมธี  ทำไมท่านไม่อธิษฐานกับพระเจ้า แค่ป่วย แค่นี้เอง ท่านลืมไปแล้วหรือ? มีคนป่วยที่ไหน วางมือรักษาโรค ท่านลืมผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าแล้วหรือ? เอาผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าไปวางไว้ตรงท้องของเจ้า ท่านอธิษฐานไม่พอ  ท่านอธิษฐานน้อยไป  หรือทิโมธี ท่านไปทำบาปอะไรมาหรือเปล่า? เปล่าเลย ความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ เรื้อรังนั้น ทิโมธีปวดท้องเรื้อรัง แล้วอาจารย์เปาโลใช้อะไรไปหนุนใจ ศิษย์เอกของเขาล่ะ

            “อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย”

            เปาโลใช้สติปัญญาจากโลกนี้  ตามกฎเกณฑ์ของโลกนี้  กฎเกณฑ์ของโลกนี้คืออะไร? ด้วยสติปัญญาที่พระเจ้า เกี่ยวกับโลกใบนี้ ก็คือสาเหตุของการป่วยเป็นโรคอะไร แล้วก็หาต้นเหตุ ค่อยแก้ไขไป  นี่คือเหตุผล ตรรกแบบโลกวัตถุนี้ แก้ไขปัญหา ไม่ใช่ใช้วิญญาณตลอดไป ไม่ใช่ ทิโมธีอาจจะอธิษฐานมาตั้งเยอะแล้ว  เปาโลอาจจะอธิษฐานให้ทิโมธีมาตั้งเยอะแล้ว เปาโลก็ใช้วิธีบอกว่าเรียนรู้ปัญญาแบบโลกด้วย คือเจ็บป่วยพระเจ้าก็ทรงรักษา ผ่านทางกินยา หาหมอเหมือนกันนะ

            แล้วอาจารย์เปาโลได้เรียนรู้จากยูทูปด้วย ในยูทูปบอกว่าถ้าท้องไส้เป็นอย่างนี้ เรื่องโรคกระเพาะอย่างนี้ ให้กินน้ำผสมเหล้าองุ่นนิดหนึ่ง มันจะออกมาคล้ายๆ กับยาธาตุ หรืออาจจะผสมเหล้าองุ่นนิดหนึ่ง  ทำให้น้ำมันสะอาดขึ้น ทิโมธีอาจจะแพ้น้ำเปล่าๆ มันไม่มีการต้ม ทำให้สะอาดได้อย่างไร?  เขาก็มีเทคนิค ก็คือเอาไวน์หรือเหล้าองุ่น ซึ่งมีแอลกอฮอล์อยู่ไปผสมในน้ำ  เพื่อจะฆ่าเชื้อโรค เพื่อลำไส้จะได้สบายขึ้น อะไรอย่างนี้ ผมไม่รู้แล้วนะ อธิบายเทียบ เพื่อท่านจะได้เห็นภาพ อาจารย์เปาโลวันๆ อาจจะเปิดยูทูปดู ไม่อย่างนั้น อาจารย์เปาโลจะรู้ได้อย่างไร? เจ็บป่วย ก็กินยาหาหมอ เปาโลอาจจะคุยกับหมอแผนโบราณ หรือเปาโลอาจจะคุยกับหมอลูกาก็ได้ …

            “ลูกา ทิโมธีเขาป่วยอย่างนี้  อธิษฐานตั้งเยอะแล้ว ไม่หาย”

            ลูกาไปเปิดตำรา … “อันนี้เป็นโรคลำไส้อักเสบ ลองกินน้ำผสมไวน์ดูบ้าง”

            นี่กำลังจะบอกให้ท่านฟังว่าอะไรคือความจริงเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วย ในร่างกายของเรา  ที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ไม่กลัว มันเกิดแน่ เพราะฉะนั้น  พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราจะให้สติปัญญากับเรา ในการให้วิธีรักษา นอกเหนือจากการอธิษฐานวิงวอน  ฝากไว้ที่พระเจ้า อันนี้ต้องทำทุกคนอยู่แล้ว  แต่ไม่ใช่บังคับ แล้วต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น พระเจ้าต้องทำให้เราอย่างนี้  ไม่ใช่ มีอีกหลายวิธีที่พระเจ้าจะทำได้ พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้อาจารย์เปาโลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกาย ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้อย่างไร? อย่างชัดเจนเลยว่าเมื่อเกิดความเจ็บป่วย พระเจ้าบอกให้มองตรงไหน? มองอย่างไร?  และพิจารณาอย่างไร?  2 โครินธ์ 4:16-18 …

        2 โครินธ์ 4:16-18  “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (ที่มีชีวิตนิรันดร์ของพระคริสต์สถิตอยู่) ของเรานั้นกำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอกที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา (ให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไปด้วยความยินดี เพื่อเข้าไปสู่โลกวิญญาณ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายอมตะ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์) เข้าร่วมในสง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ (ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลก) แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น (แต่จดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณที่พระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายใน) เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น (คือความทุกข์ในร่างกายบนโลกนี้) เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (คือร่างกายใหม่และพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในผู้เป็นสง่าราศีและสิริของเรา) เป็นถาวรนิรันดร์”

            จำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอก แต่การเผชิญความจริงในตอนแรกๆ มันอาจจะทำให้เราตกใจ  ถ้าเราหนีมัน เราไม่มีทางเป็นอิสระเลย  เราต้องเผชิญกับมัน  ฟังซีรี่ย์นี้ ตอนนี้ อาจจะหวั่นๆ ว่าเราต้องเผชิญ มันหนีไม่พ้น มันต้องเจออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราเตรียมเผชิญกับมันเลย มันจะดีกว่า และข้อสำคัญ ก็คือมันเป็นความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรามาดูสิว่าเราควรจะทำอย่างไร? เผชิญมันด้วยวิธีใด?

            ข้อ 16 บอกว่า “ฉะนั้น เราจึงไม่ท้อถอย”

            ไม่ท้อถอย คือไม่ผิดหวัง  ไม่เสียใจ ไม่กลัว แม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป  กำลังอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ และตายอยู่ มันไปสู่ความตายตลอด ทุกนาทีไปสู่ความเจ็บไข้ตลอด ไม่ว่าอาการจะออกมาแล้วหรือยัง? ไม่ว่าเราจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม มันเกิดขึ้น บางคนบอกมีความเชื่อมากเลย ฉันแข็งแรงในนามพระเยซู แต่จริงๆ แล้วมีทั้งปวดหัว เป็นหวัด ท้องเสีย ปวดเมื่อย สิ่งเหล่านี้ มันบ่งบอกว่าเรากำลังเจ็บ ไปสู่ความตาย เพียงแต่ว่าเราปฏิเสธมัน  ไปอยากได้อย่างอื่นแทน

            “แต่ตัวตนภายใน” ก็คือวิญญาณของเราที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว “ตัวตนภายในของเรานั้น กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่” กำลังเจริญเติบโตทุกวันเลย  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราภายใน เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระวิญญาณเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครองดูแลวิญญาณเรา  และเรากำลังเจริญเติบโต “เรา” หมายถึงวิญญาณนะ  จำได้ใช่ไหมครับ?  พอบอกร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวเรา  เดี๋ยววันหนึ่ง ก็ต้องสูญสิ้นไป

            ข้อ 17 “เพราะความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอกที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” จริงๆ แล้วในนี้ เปาโลได้มีข้อความหนึ่งที่ไม่ได้ใส่อยู่ในนี้ ก็คือ … “แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า …” ก็คือพระเจ้าเปิดตาอาจารย์เปาโลในวิญญาณได้เห็น “แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บป่วย การเสื่อมโทรมในร่างกายภายนอก ที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น  มันอยู่เพียงชั่วคราว  ภาษาเดิมเรียกว่าแป๊บเดียว  ภาษาไทยเรียกว่าเพียงชั่วคราว อาจจะฟังได้ยาว  แต่จริงๆ แล้วในภาษาเดิม มันใช้คำว่า “แป๊บเดี๋ยว” ชั่วขณะเดียว  มันจึงเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างล่อหลอม จัดเตรียมเรา มันจัดเตรียมเรา มันเสริมสร้างเราให้เราเข้มแข็ง ให้เราอดทน ให้เรามองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจน และพร้อมเหมือนอาจารย์เปาโลพร้อมที่จะจากร่างกายนี้ไป รับร่างกายใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าในสวรรค์ ซึ่งดีกว่ามาก ถ้าเราไม่พร้อม ก็กลัวตาย  กลัวเจ็บ กลัวป่วย แต่ถ้าเราพร้อม เราก็กลัวเจ็บน้อยหน่อย  ไม่กลัวตาย  เพราะว่าตายของเรา ก็คือการเปลี่ยนร่างกายใหม่ สู่สวรรค์ สู่การพักผ่อนนิรันดร์

            “เป็นการจัดเตรียมเราให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยความยินดี  เพื่อเข้าไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่สวมร่างกายใหม่ในร่างกายอย่างเป็นอมตะ  ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์” … ถ้ามองตรงนี้ได้ มันตื่นเต้นมาก ยิ่งป่วย ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งโทรม ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งจะจากไปเท่าไร? ยิ่งตื่นเต้นใหญ่ เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่าตายก็ดีกว่าอยู่ เพื่อร่วมในสง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย ห่างกันลิบลับเลย  ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บป่วย จากกฎของความบาปและความตาย คำสาปแช่งบนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ มันนิดเดียว เทียบกับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ หลังจากนี้ จนถึงนิรันดร์ เทียบกันไม่ได้เลย

            เมื่อเราเห็นอย่างนี้แล้ว เปาโลเลยสรุปว่า … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือโลกวัตถุ  ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลกใบนี้ ไม่จดจ่ออยู่กับความเจ็บป่วย ในร่างกาย ความอ่อนแอนี้ แต่จับตาดู สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือโลกวิญญาณ  แต่จดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณ  ที่พระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา ไม่ใช่พระคริสต์อย่างเดียว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น ก็คือร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก  เจ็บป่วย เจ็บปวดนั้น  มันอยู่เพียงชั่วคราว อยู่แค่แป๊บเดียว มันเหมือนเงา ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว  ไม่ยั่งยืน  เงามันอยู่แป๊บเดียว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือร่างกายใหม่ ในโลกวิญญาณ  และพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายใน ผู้เป็นสง่าราศีของเรานั้น อยู่กับเรานิรันดร์  และเราจะได้รับร่างกายใหม่นั้น นิรันดร์

            นี่คือทัศนคติที่เห็นชัดเจนว่าเราควรจะมองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณ เหมือนดังพระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระเจ้าพอใจมากเลย  ที่ผู้เชื่อ  คือลูกๆ ของพระองค์ จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น  สิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน  คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์ ก็คือลูกๆ ของพระองค์ ในโลกนี้ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ เกินกว่าเหตุผลของมนุษย์ มีมากมาย  ที่ไม่ได้เป็นความจริงมาจากพระเจ้า  แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถที่จะอธิบายความจริงได้ว่ามันคืออะไร? อยู่ในปริศนาอยู่ อะไรที่เหนือธรรมชาติ อย่างเช่น วิทยาคม คาถาอาคม  ไสยศาสตร์ การสะกดจิต พลังจิต อะไรอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราเหมากันว่าเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันอาจจะไม่ใช่โลกวิญญาณจริงๆ พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่ง บางคนอยากได้การหายโรคมากๆ ก็หลุดเข้าสู่การถูกล่อลวง  ถูกหลอกลวง ให้เข้าไปสู่วิทยาคม  ไสยศาสตร์ สะกดจิต พลังจิตอะไรเยอะแยะมากมาย เพราะอยากจะได้การหายโรค ซึ่งถูกหลอก โดยใช้ชื่อพระเจ้า  พระเยซูคริสต์เข้ามาสวม บอกว่า …

            “นี่มาจากพระเจ้า มาจากพระเยซูคริสต์ พระเยซูต้องการให้ท่านหายโรค พระเยซูต้องการให้ท่านหายจากโรคนี้แน่นอน”

            ท่านกลับไปคิดเองก็แล้วกันว่ามันเป็นจริงไหม? ตามที่เราได้เรียนรู้ความจริง จากประวัติ จากประสบการณ์ของอาจารย์เปาโล ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้

            ในโลกนี้เราควรมีความพึงพอใจในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นชีวิตของเรา  เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้ปลอบโยนจิตใจ เป็นสติปัญญาอันล้ำเลิศ  เป็นราชาจอมราชา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา  เดินอยู่กับเรา จูงมือเราเดิน ทุกเสี้ยววินาทีบนโลกใบนี้  กำลังนำพาเราไปสู่สวรรค์ที่พักอันถาวร นิรันดร์ ไปสู่โลกใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ  เราควรจะยึดตรงนี้ไว้ อย่างแน่นอน ไม่ถูกหลอก  แล้วเราก็จะเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และล่วงหลับ หรือถ้าไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือตาย บนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นแน่นอน ด้วยสันติสุขในพระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ด้วยความเต็มใจ  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ มันควรจะเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม? นี่แหละ คือมองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจน แทนที่จะมาบีบบังคับพระเจ้า เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่ใจตัว เอาหัวโขกพื้น …

            “ฉันจะได้ ฉันต้องได้ๆ”

            ให้แม่ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ  เราหันกลับมาเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ โดยการไว้วางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพ่อที่แสนดี  และสามารถให้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ ของพระองค์ทุกคน เกินกว่าที่ลูกจะคิด หรือสามารถขอจากพระองค์ได้ เราบอกอย่างนี้ดีแล้ว จะเอาอย่างนี้ๆ  แต่พระองค์มีสิ่งที่ดีกว่านั้น เยอะแยะที่เราไม่เข้าใจ ฝากไว้ที่พระองค์ดีกว่าหรือไม่?  เพราะฉะนั้น จดจ่อไปที่พระพรทางฝ่ายวิญญาณ นานัปการที่ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว และดำเนินชีวิตด้วยความยินดี ในชัยชนะเหนือความตาย ด้วยความกล้าหาญ อดทน มั่นใจที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยพร้อมกับพระองค์  บางคนไม่กล้าพูดนะ …

            “ไม่อยากเจ็บ”

            ไม่ได้ มันต้องเจ็บ เราต้องกล้าเผชิญกับมัน เผชิญความเจ็บป่วยพร้อมกับพระองค์ ไม่ใช่เผชิญคนเดียว แล้วเคารพในกฎเกณฑ์กติกาที่พระองค์ทรงวางไว้ พระองค์เป็นผู้ดูแล กฎเกณฑ์กติกาเหล่านั้น การเกิด แก่ เจ็บ และตายบนโลกใบนี้ ก็เป็นกฎที่พระองค์เป็นผู้ดูแล  มันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเคารพในพ่อของเรา ต้องเคารพกฎทุกกฎ มันเป็นกฎอยู่อย่างนั้น  อย่าต้องให้พ่อเราละเมิดกฎ กฎกติกามันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้เรามาเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระองค์แล้ว ก็ต้องอยู่ในกฎกติกาของพระองค์ พระองค์เปลี่ยนมาได้แค่ พอเรามาเป็นลูกของพระองค์ เปลี่ยนใจ เปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์ยังให้เราอยู่ในกฎ เรายังคงอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ แล้วหลับ  เปลี่ยนร่างกายใหม่  ไม่ใช่เกิด แก่ แล้วไม่เจ็บ เปลี่ยนร่างกาย เป็นอย่างไร? ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พ่อบอกมันไม่ได้ มันเป็นกฎ ลูกเอ๋ย มันต้องทำอย่างนี้

            ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวการเจ็บป่วย  และเผชิญได้ด้วยสันติสุข และทุกข์น้อยลง ตอนที่ฟังอาจจะตื่นเต้น ตกใจ ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อน ไหนบอกเชื่อพระเจ้าแล้ว มีความหวังว่าจะหายโรค วันนี้มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รู้ความจริงว่าไม่มีหายโรคหรอก ยังไงก็ไม่หาย กล้าฟันธงได้เลยว่าอย่างไรก็ไม่หาย  เพราะมันเป็นกฎที่พระเจ้าดูแลอยู่ แต่ถ้าท่านเผชิญกับกฎนี้ด้วยความจริง ความถูกต้อง ท่านจะสงบลงด้วยสันติสุขในพระเยซูคริสต์และทุกข์บนโลกใบนี้แน่ๆ แต่มันทุกข์น้อยลง หวังลมๆ แล้งๆ แต่ทุกข์หนักขึ้น

            เราไม่สามารถที่จะเข้าใจพระเจ้าได้ด้วยสติปัญญา  ด้วยความคิดของเราเอง  เราต้องใช้ความเชื่อและความไว้วางใจในถ้อยคำพระองค์ที่บอก เช่น พระองค์บอกว่าทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา  24 ชั่วโมง ไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่ตลอดเวลา  เราไม่สามารถจะเห็น  รู้สึก หรือจับต้อง มีเซนต์ว่าพระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ  เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าพระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ  และพระองค์ทรงยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเราจริงๆ พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นผู้รับผิดชอบ ปกป้อง คุ้มครองวิญญาณภายในของเรา  ที่ได้รับความรอด เป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว ตลอดนิรันดร์ ไม่มีใครที่ไหน อะไรมาทำร้าย ทำลายวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราได้เลย ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่ต้องกลัว แต่เรายังมีอีกส่วน คือร่างกายที่เป็นวัตถุ สสารอยู่บนโลก ซึ่งเป็นเหมือนเสื้อของวิญญาณ เป็นร่างกายที่อยู่บนโลกนี้ เพียงชั่วคราว เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อดทนรอคอยการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่างกายที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เข้าสู่สวรรค์ โลกวิญญาณจริงๆ นิรันดร์กาล

            นั่นคือท่าทีที่ถูกต้องของคริสเตียน อยู่บนโลกใบนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ หรือด้วยเหตุผลของมนุษย์ ด้วยอะไรก็ตามที่จับต้องมองเห็นได้ ด้วยความรอบรู้ของตนเอง ด้วยความเฉลียวฉลาดของตนเอง  ด้วยสติปัญญาของตนเอง  เราไว้ใจไม่ได้เลยสักอย่าง นอกจากวางใจในถ้อยคำพระเจ้า  เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ดี มีเมตตา เป็นความรัก ไม่มีความเกลียดชัง  เป็นผู้ยุติธรรม  เป็นผู้ชอบธรรม รักเราดังแก้วตาดวงใจ ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเรา  เป็นพ่อที่คอยดูแลลูกเล็กๆ ของพระองค์ ด้วยความหวงและห่วงใยสูงสุดเลย  เราผู้ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ พระองค์พูดอย่างไรว่า …

            “เราจะอยู่กับเจ้าตลอด ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า”

            คำว่า “ไม่เคยทอดทิ้ง” ภาษาเดิม หมายถึงไม่เคย เหมือนเด็กทารก เด็กทารกเขาไม่เคยอยู่คนเดียว  ภาษาเดิมตรงนี้บอกว่า “ไม่เคยทอดทิ้งให้เจ้าอยู่เพียงลำพัง” แปลว่าอย่างนั้น เหมือนกับเราดูแลเด็กทารกคนหนึ่ง แล้วเราก็บอกเด็กทารกนั้นว่า …

            “ฉันไม่มีมีทางปล่อยให้เธออยู่ลำพัง”

            ปล่อยได้อย่างไร เด็กทารกอยู่ลำพังได้อย่างไร? คำนี้แปลอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปล่อยให้เราเจ็บป่วยอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น  ทุกข์ทรมานในร่างกาย เจ็บปวดอย่างนี้ ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ในขณะที่เราเจ็บป่วย เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อธิษฐานไป 30 ครั้ง บางคนอธิษฐานไป 300 ครั้งแล้ว  ก็ยังไม่เห็นหายเลย นี่เปาโล 3 ครั้งเอง  พระเยซูก็ 3 ครั้งเอง  แต่พวกเราอาจจะ 300 ครั้ง  30 ครั้ง แต่ในขณะที่เรา 300 ครั้ง ให้รู้ดีว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น พระองค์กำลังจูงมือเรา เดินผ่านอุปสรรคปัญหานั้น ด้วยกันกับพระองค์ตลอดเวลา ไม่ใช่พระองค์อย่างเดียว ทั้ง 3 พระภาคเลย ชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระองค์ กับพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา

            แทนที่เราจะคิดหาเหตุผล หรือเข้าใจตามสติปัญญาของเราเอง เราตัดสินใจแล้ว  ที่จะเชื่อและวางใจ เราก็บอกกับพระองค์เลย ตัดสินใจแล้ว เชื่อและวางใจสุดๆ แล้ว บอกต่อพระองค์ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บอกไว้ เมื่ออ่านถ้อยคำของพระองค์แล้ว มีหน้าที่พูดอย่างเดียวว่า “เอเมน” ไม่ว่ามันจะเจ็บ มันจะปวดขนาดไหน? มันจะไม่สบายอย่างไร?  พระเจ้าบอกเราอยู่กับเจ้า เราก็ตอบว่าเอเมน  ถึงจะตอบเบาๆ ก็ตาม “เอเมน” ก็คือขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ อย่าให้เป็นไปตามความต้องการของลูกเลย เหมือนพระเยซูคริสต์อธิษฐานเลย เหมือนเปาโลอธิษฐานเลย  เพราะว่าพระองค์พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ดีกว่าที่ลูกคิดหรือเตรียมเอง  หรือขอเองอย่างมากมาย  พระองค์สามารถให้ลูกมากยิ่งกว่าสิ่งที่ลูกขอ และคิดเองด้วยซ้ำ  เพราะฉะนั้น ขอพระองค์ทรงจูงมือลูกไปเถิด ตอบพร้อมกันว่า “เอเมน” ตอนไหน? ตอนแข็งแรงดี หรือตอนเจ็บป่วย โอ้อวดอะไร? โอ้อวดตอนอ่อนแอสุดๆ ตอบคำเดียวว่า …

                        *3. ข้าขอพระเจ้าทรงจูงมือไป ไม่ว่าจะนำสู่ตำบลใด

                              จะเกิดความทุกข์หรือสุขก็ดี พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

                        3. ข้าขอพระเจ้าทรงจูงมือไป   ไม่ว่าจะนำสู่ตำบลใด

                            จะเกิดความทุกข์หรือสุขก็ดี พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

                        2. บางคราวต้องผ่านความทุกข์มืดมัว

                            บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

                            บางคราวราบรื่น  ชื่นใจยินดี

                          พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าให้อิสระเราเลือกตัดสินใจ

                        1. จะเป็นเกลือในวิหาร

                                    หรือ …

                        2. เป็นเกลือบนถนน

            เราตอบ ……….?

            มัทธิว 5:13 … “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็มแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป มีแต่จะถูกสาดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ”

            เกลือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าบูด คริสเตียนเป็นเกลือของโลก รักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ ก็คือเป็นเกลือท่ามกลางความบาปบนโลก

            พระเยซูยกคำอุปมานี้ ซึ่งชาวยิวเข้าใจดี คือในพระคัมภีร์ยิวเดิม ปุโรหิตในพระวิหารจะใช้เกลือทาเนื้อและอื่นๆ ที่จะถวายแด่พระเจ้า

            หนังสือเลวีนิติ 2:13 …  “เจ้​าจงปรุงบรรดาธัญญบู​ชาด้วยใส่​เกลือ เจ้​าอย่าให้​เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้า ขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้​าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า”

            พระเจ้าสั่งให้เอาเกลือทา  เพื่อให้มันบริสุทธิ์ เพื่อถวายแด่พระเจ้า เกลือมีหน้าที่ที่จะชำระสิ่งต่างๆ ที่จะเน่า ไม่ให้มันเน่า พอพระเยซูยกเรื่องเกลือ ชาวยิวจะรู้ทันที

            “แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็ม” ไม่ได้ หมายถึงสูญเสียความเป็นเกลือไป แต่หมายถึงหมดคุณภาพ มันยังคงเป็นเกลืออยู่  แต่มันไม่ใช่เกลือที่มีความเค็ม 100%  ความเค็มลดลง

            ลักษณะคล้ายๆ กับเกลือหมดอายุ อาจจะเก็บไว้ไม่ดี เกิดความชื้น น้ำและความสกปรกจากพื้นดิน ทำให้เกลือที่อยู่ล่างๆ ติดพื้นดิน  สูญเสียคุณลักษณะความเค็มของมัน เขาจะใช้ความเค็มของเกลือเป็นประโยชน์  แต่เมื่อมันสูญเสียความเค็มแล้ว เขาก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ตามที่ควร ทำได้อย่างเดียว ก็ต้องเอาไปทิ้งบนถนน ถมถนนไม่ให้เฉอะแฉะ และยังช่วยกำจัดวัชพืช ไม่ให้ขึ้นตามถนนที่คนเดินผ่านไปผ่านมา คนก็จะเดินเหยียบย่ำบนเกลือนั้น

            ไม่สามารถทิ้งที่ผืนดิน ไร่นา หรือสวนได้ เพราะจะทำให้ดินเพาะปลูกเสียหาย จึงนำมาใช้ประโยชน์ในการถมถนน แทนที่จะใช้ประโยชน์ในวิหารของพระเจ้า

            พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านเป็นเกลือแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว มาบังเกิดใหม่แล้ว ท่านก็ทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อย

            เมื่อท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ผู้คนก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจน ท่านก็จะมีประโยชน์มากต่อโลกใบนี้

            แต่ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านทำตัวไม่สมกับการเป็นคริสเตียนเลย ไม่สำแดงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้าออกมา

            ตรงนี้แหละ คือสูญเสียความเค็มไป เจ้าของเกลือก็จะเอาไปถมถนนให้คนเดิน แต่ท่านยังคงเป็นเกลืออยู่ เพียงแต่เจ้าของเอาไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร แทนที่จะไปอยู่ในวิหารได้รับเกียรติ  ใช้เป็นของถวายแด่พระเจ้า  แต่กลับมาอยู่บนพื้นดินให้คนเหยียบย่ำน่าเสียดาย

            พระเจ้าอวยพรครับ