วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1443

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 4.1 “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอน 1

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            บางคนป่วยเป็นโรคกลัวนานๆ ไม่ได้รับการรักษา ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า … ซึมเศร้า เกิดจากความกลัวมาก่อน เริ่มต้นจากกลัว ในทางการแพทย์ การใช้การรักษาที่เรียกว่าพฤติกรรมบำบัด ซึ่งภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือการเรียบเรียงความคิดเสียใหม่ CBT คือการเรียบเรียงความคิดให้มันถูกต้อง พฤติกรรมบำบัด ก็คือวิธีที่มาปรับความคิดของคนที่กลัว โดยให้ผู้ป่วยเข้าหาและฝึกเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว เพื่อให้คนที่กลัวหรือคนป่วยนั้น เกิดความเคยชิน และรู้ความจริง และกลัวน้อยลง  ตั้งใจฟังนะ

            ถ้าเกิดปรับความคิดไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ทันการกับการดำเนินชีวิต ที่ทุกข์ลำบากขึ้น เกิดจากความกลัว เป็นซึมเศร้า อันตรายถึงชีวิตได้ มันไม่ทัน ทำอย่างไร? ขณะที่ปรับความคิดไป เขาก็ให้ยาแบบสารเคมีเข้าไปช่วย ให้ทุเลาอาการของความกลัวนั้น เรียกกันว่ายาจิตเวช นี่วิทยาศาสตร์ล้วนๆ นะ

            หลักการพฤติกรรมบำบัด หรือ CBT ก็คือการทำให้ผู้ป่วยเห็นว่าความคิด เช่น กลัวความมืด ซึ่งมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ก็คือความสว่างที่มันค่อยๆ น้อยลงๆ  แล้วมันมืดสนิท ก็คือความสว่างมันหายไป  ความมืดไม่มีตัวตนด้วยซ้ำไป เขาก็เอาวิธีการนี้ไปใช้กับทุกอย่างที่กลัว ยกตัวอย่างเช่น กลัวแมลงสาป กลัวแมลงปอ กลัวแมลงวัน กลัวหนอน กลัวตุ๊กแก อย่างนี้เป็นต้น ใครกลัวตุ๊กแก ยกมือขึ้น? พยายามๆ ไปจับมันให้ได้นะ  แต่หมายถึงจับแบบปลอดภัยนะ  บางคนกลัวแมงมุม ต่างประเทศไม่ค่อยมีตุ๊กแก ก็พาไป ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย

            มีความกลัวอะไรต่างๆ มา เราต้องไปเรียนรู้หมดเลย แล้วเอาความจริงเหล่านั้น มาเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนสถานการณ์ได้ไหม? เปลี่ยนให้เรามีความสุขได้ไหม? ไม่ได้ เปลี่ยนให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราได้ไหม?  ตอบสิ ตามสติปัญญา ตามขบวนการเมื่อตะกี้เรารับรู้ความจริง เปลี่ยนได้ไหม? ไม่ได้

            คนป่วยคนนี้ จะพยายามเปลี่ยนได้ไหม จากที่หมอพยายามบอกเขา แล้วเขาเชื่อหมอ แต่ไม่เปลี่ยนความคิด ช่วยเขาไม่ได้  เขาอาจจะกินยาช่วยได้บ้าง แต่เขามาหยุดยา ก็กลัวอยู่เหมือนเดิม สิ่งที่เขาจะหายได้ เขาต้องยอมเผชิญกับมันทีละนิดทีละหน่อย  แล้วก็เปลี่ยนความคิดของเขาไปเรื่อยๆ ความจริงย่อมเป็นความจริง หนีไม่พ้น  ถ้าเราพยายามหนีความจริง เราก็กำลังฝืนความเป็นจริงเหล่านั้น  และเมื่อยิ่งฝืนไปเท่าไร ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะว่ายิ่งปฏิเสธความจริง ก็แสดงว่าเรายังกลัวการเผชิญความจริง ความกลัวและความวิตกกังวลลึก ในความคิดนี้ ที่ไม่เปลี่ยน จะก่อให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่มากก็น้อย  ก็ต้องเกิดความทุกข์ขึ้น  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ที่เราได้เรียนมาตั้งเยอะแยะ หลายตอนแล้ว อิสระจากความกลัว ความตายอย่างนี้  บางคนบอกว่าพูดถึงความตาย ไปเคาะ มันไม่เกิดๆ แล้วได้ไหม? มันเกิดไหมล่ะ เห็นไหม?

            “อย่าพูดๆ ถึงเรื่องความตาย อัปมงคล ไม่ดีๆ”

            พยายามหนีมันใช่ไหม?  ถ้าเรียนรู้จักว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วจะเผชิญกับมันอย่างไร?  มันดีกว่า  หรือเราเรียนจากเรื่องอิสระจากความกลัว การพิพากษาหลังความตาย

            “ไม่อยากจะไปคิดมันเลย”

            ถึงจะไม่คิดอย่างไร? ความกลัวจากการพิพากษา หลังความตาย มันก็อยู่ในตัวเรา แล้วมันบั่นทอนชีวิตของเรา ขาดสันติสุข  เราเรียนรู้มันเลยดีไหมว่าหลังความตายเป็นอย่างไร? มาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราก็จะพบแล้วว่ามีผู้เดียวที่พูดไว้หลังความตายว่าจะช่วยเหลือเราได้อย่างไร? เราจะรอดได้อย่างไร? มีพระเยซูผู้เดียวที่พูด …

            “นอกจากเรา ไม่มีทางอื่น ที่ท่านจะเข้าสวรรค์ ไปถึงพระบิดาได้”

            เพราะฉะนั้น การเผชิญความจริง  ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ ยอมรับความจริงเหล่านั้น ชีวิตทุกข์น้อยลง  เพราะถ้าเราคอยหนีความจริงตลอด แทนที่จะยอมรับรู้ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญและตั้งรับความจริงเหล่านี้ ด้วยสติปัญญาและด้วยความคิดใหม่ สันติสุข อิสระจากความกลัว ก็เป็นของเรา ความกลัวก็จะสิ้นไป หมดไป หายไป ลดน้อยลง

            มายอมรับรู้ความจริงเริ่มต้นกัน  เรื่องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ความจริงที่เราควรจะยอมรับรู้ ไม่ว่าอันเก่าที่เราคิดอยู่ จะถูกหลอกมาอย่างไรก็ตาม  ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  เราควรจะยอมรับรู้ ไม่ว่าเราจะกลัวขนาดไหนก็ตาม ความจริง ต้นเหตุของความเจ็บป่วย คืออะไร? เราถูกหลอกมาเยอะแยะ จนเรากลัวไปหมดแล้ว มาดูต้นเหตุของความเจ็บป่วยของมวลมนุษยชาติว่าพระเจ้าบอกไว้ว่าอย่างไร? ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ความคิดเดิม เราอาจจะบอกความเจ็บป่วยมาจากเวรกรรมของเราในอดีต ทำอะไรบาปไว้ จึงเกิดมะเร็งกับเรา  นี่คือความคิดเดิม ที่ทำให้เราเกิดความกลัว  พอเราเจ็บป่วยขึ้นมา เราก็คิดว่าไปทำกรรมอะไรไว้ อันโน้นอันนี้เยอะแยะไปหมด เรามาดูสิว่าพระเจ้าบอกความจริงเราอย่างไร?  แล้วเราควรจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราอย่างไร?

            ต้นเหตุของความเจ็บป่วย คือมวลมนุษย์ทั้งโลกตกลงไปในความบาป เป็นคนบาป ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ซึ่งพระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ พ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดจากคำสาปแช่งนี้แล้ว สำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  ซึ่งความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำ เกิดผลแล้ว สำเร็จแล้ว ในโลกวิญญาณก่อน  เราต้องแยกออกให้ชัดเจน  เราต้องรู้ อย่างที่บอกรู้ความจริงอันดับแรก ก็คือมนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย  เราไม่ยอมรับความจริงนี้ เราก็ไม่มีทางที่จะพบกับความรอดจากความกลัว อิสระจากความกลัวได้เลย

            ความจริงอันดับแรก อย่างที่บอกตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นซีรี่ย์ ก็บอกว่าเรากำลังมาเริ่มต้นเรียนรู้โลกวิญญาณ ต้องยอมรับก่อนเลยว่ามนุษย์เรา ตัวเราเป็นวิญญาณและอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าไม่ยอมรับตรงนี้ ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว ไม่มีประโยชน์ เริ่มต้นกระดุมเม็ดแรก ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ยอมรับ รับแบบผิดๆ ไป ยิ่งเรียนต่อ มันยิ่งวุ่นวาย แต่ถ้ากระดุมเม็ดแรกถูก เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ถูกไปเรื่อยๆ มีโอกาสถูกเยอะ  เพราะว่าเริ่มต้นถูก เพราะฉะนั้น เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า …

            “ฉันเป็นวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของฉันเป็นวิญญาณ แต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ชั่วคราวเท่านั้น”

            เพราะฉะนั้น ผลของความรอดที่พระเจ้าได้กระทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น มันเกิดผลในวิญญาณก่อน แล้วร่างกายวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ตามมาทีหลัง นี่คือความจริง เพราะฉะนั้น โลกใบนี้กำลังอยู่ในความพินาศ อยู่ในความสูญสิ้น กำลังจม โลกใบนี้ คือโลกวัตถุต่างๆ ที่มองเห็น  เหมือนเรือกำลังจม  พระเจ้ากู้เรือได้ไหม? กู้เรือ แต่ไม่ถึงเวลา กู้มนุษย์ไหม? กู้ กู้ทางวิญญาณก่อน แต่วัตถุรอเวลา

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าเรือกำลังแตกอยู่ กำลังจมอยู่ ก็คือทุกอย่างบนโลกใบนี้  ที่เรามองเห็นได้  ที่เป็นโลกวัตถุนี้ เหมือนเรือที่กำลังจม เป็นไปตามคำสาปแช่ง ซึ่งมนุษย์เป็นผู้ยินยอมรับเข้ามาเอง โดยอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ เป็นผู้ยอมรับเอาคำสาปแช่งนี้ ทำให้คำสาปแช่งนี้เกิดขึ้นเอง ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนสาปแช่ง มนุษย์ทำเอง  เอาเข้ามาสู่ครอบครัวของตัวเอง สู่เผ่าพันธุ์ของตนเอง แล้วพระเจ้ามีหน้าที่อะไร? พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ควบคุม ดูแลให้เป็นไปตามกฎของคำสาปแช่งนี้ ด้วยตาปริบๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็ลูกเราเป็นคนเอาเข้ามาเอง เราเป็นผู้พิพากษา เราก็ต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎ

            เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งในโลกที่เป็นวัตถุ อ่านพระคัมภีร์หรือฟังคำบรรยาย พอพูดถึงในโลก  จงนึกถึงภาพร่างกายของเรา วัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้ เขาเรียกว่าโลก แต่ในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่าวิญญาณภายใน เบื้องบน  ก็คือสวรรค์ นี่คือเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ  ถ้าวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ จะเรียกว่าโลก ทางโลก ฝ่ายโลก ทุกสิ่งในโลกจึงอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เห็นภาพออกแล้วนะ  อยู่ในกฎเกณฑ์ ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “กฎเกณฑ์ของความบาปและความตาย, กฎเกณฑ์แห่งการพึ่งพาตนเอง” ภาษาไทยเรียกว่า “กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้น” คุ้นๆ ไหม? กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ไม่มีใครหนีพ้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งรวมทั้งคริสเตียนด้วย

            คริสเตียนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้วิญญาณเขาจะได้รับความรอด ตามพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว ตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้แล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายเขายังอยู่บนโลก ร่างกายของเขายังเป็นวัตถุสสาร จับต้องมองเห็นได้ ฉะนั้น อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  คือภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย  เพียงแต่ว่าคริสเตียนพิเศษกว่าชาวบ้านเขา คือคริสเตียนอยู่ภายใต้กฎของคำสาปแช่งนี้ แต่วิญญาณของเขา มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน ผ่านร่างเดิม อยู่บนโลกใบนี้  ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตายบนโลกใบนี้  แต่วิญญาณเขาอยู่ในกฎแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ พอนึกภาพออกไหม?  พยายามอธิบายให้ละเอียด  เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเรื่องความเจ็บป่วย ซึ่งมนุษย์ถูกหลอกตรงนี้เยอะมาก คริสเตียนก็ถูกหลอกในเรื่องนี้ด้วย สับสนในเรื่องนี้ว่า …

            “ทำไมเป็นคริสเตียนยังเจ็บป่วยอยู่ ไม่เจ็บป่วยได้ไหม? น้ำพระทัยพระเจ้าเป็นอย่างไร? ให้ชัดเจนเลยนะ”

            สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ และตาย แต่เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขารอดจากความตาย เขาจึงอยู่ภายใต้กฎของความเกิด แก่ เจ็บ ตายจึงเปลี่ยนเป็นหลับไป  เพราะว่าไม่ตายแล้ว มันได้รับร่างกายใหม่มาแทนที่ร่างกายที่สูญสิ้นไปนั่นเอง เราจึงเรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ และหลับไป เปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ คือรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เข้ามาแทนที่ นี่คือชีวิตของคริสเตียน ในโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างกับชีวิตของมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ยังไม่เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายและตายในที่สุด  คือ 2 ตายเลย คือเกิด แก่ เจ็บ ร่างกายตาย ร่างกายไม่มีวิญญาณ วิญญาณก็ตาย ถูกพิพากษานิรันดร์ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ อยู่ในความทุกข์ยากลำบากนิรันดร์ นี่คือทางของคนที่ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู

            เห็นชัดแล้ว โอเค เรามาดูผลของความรอดในโลกฝ่ายวิญญาณก่อนว่าพระเจ้าพูดอย่างไรเกี่ยวกับผลของความรอดที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  เกิดผลในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ตรงไหน? ว่ามันเป็นอย่างไร? ผลที่เกิดขึ้น จากความรอดที่พระเยซูคริสต์กระทำ ทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราเกิดอะไรขึ้นแล้วตอนนี้ในโลกวิญญาณ  เราที่เป็นวิญญาณ ที่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันเป็นอย่างไร? กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ มีสถานะเป็นอย่างไรบ้าง? ใครจะรู้ได้ เราก็มองไม่เห็น พระเจ้าเท่านั้นที่มาบอกความจริงกับเรา ในถ้อยคำของพระองค์ อยู่ในข้อนี้เลย  เอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส1:3  “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ในวิญญาณ เราได้รับพรนานัปการ หมายถึงพรทุกอย่างเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ (ได้รับเมื่อไร?) ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            ในโลกวิญญาณ เราได้รับพระพร ได้รับการไถ่ในพระเยซูคริสต์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  ก็คือวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ตามถ้อยคำพระเจ้าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกัน ในโลกวัตถุ ร่างกายของเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการกระทำ กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย สูญสิ้นไป นี่คือชีวิตของคริสเตียน ทางด้านวิญญาณ เราไม่ต้องไปแสวงหาอะไรแล้ว เราได้รับครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จบหมด เรียบร้อยแล้ว  ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ได้รับเมื่อไร? ทันที ไม่มีทางสูญเสียด้วย จบแล้ว เพียงแต่ร่างกายยังต้องคอย ต้องรอ

            โคโลสี 3:1-2 พระเจ้าจึงต้องการให้เรามองไปที่ไหนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ควรจะมองไปที่ไหนลูกเอ๋ย เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เพื่อจะให้เรามีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีสันติสุขมากที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แนะนำ สอนเรา ให้เรามองไปที่ไหน? …

        โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว 2 ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ก็คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณท่านเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่างที่ตะกี้ผมบอก เบื้องบน ก็คือโลกวิญญาณ จดจ่อไปที่โลกวิญญาณ เดินไป มองไปเห็นแต่โลกวิญญาณ  จดจ่อ หมายถึงมีสมาธิ มีสติอยู่ตลอดเวลา มองไปที่โลกวิญญาณตลอดเวลา โลกวิญญาณที่ใครใหญ่? พระคริสต์ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับวิญญาณ หรือสิ่งที่อยู่เบื้องบนนี้ หรือเรียกว่าสวรรค์ ที่ท่านอยู่นี้ และอยู่ตลอดไป  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เห็นไหมครับ? ไม่ได้มาจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บป่วย ในร่างกายนี้ นี่เราพูดถึงเฉพาะวันนี้นะ ไม่ได้มาจดจ่อกับความสุขบนโลกใบนี้  ไม่ได้มาจดจ่ออยู่กับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่สำคัญหรอก วิญญาณฉันอยู่กับพระเจ้าแล้วในสวรรค์ พระพรในฝ่ายวิญญาณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามสัญญา พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขน

            ส่วนโลกวัตถุในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาว่าอย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่านในเอเฟซัส 1:3 นั่นคือสัญญาของพระเจ้า ที่ให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ คือพรทุกอย่าง เอาไปหมดเลย เรียบร้อยแล้ว เช่น เป็นลูกพระเจ้า มีมรดก รอคอยร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ นี่ก็ให้ไว้เรียบร้อยแล้ว จะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ หลังจากออกจากร่างนี้แล้ว ก็ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะได้ครอบครองโลกใหม่  สวรรค์ใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็ให้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว รอคอยเพียงอย่างเดียว คือร่างกายใหม่ และในร่างกายใหม่ที่รออยู่นี้ กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ได้สัญญาอะไรไว้กับเราบ้าง เราจะได้รู้ไงว่าพระองค์ทรงสัญญาอะไรไว้กับเรา ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้เรามองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ พระองค์จัดเตรียมไว้หมดแล้ว ยิ้มแย้มแจ่มใส

            ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาอะไรกับเรา  ฮีบรู 13:5 คราวนี้ มาดูผลในความรอด ที่พระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ทางโลกวัตถุ คืออะไร? อยากรู้ไหม? เราจะได้รู้ เราจะได้ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความจริง เราจะได้ดำเนินชีวิตบนโลกวัตถุนี้ เราได้สิ่งเหล่านี้แล้วเหมือนกัน ดูสิ มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง? มีการหายป่วย มีไหม? มีการอัศจรรย์ การหายโรคมีไหม? มีความมั่งคั่ง มีความร่ำรวยอยู่ในนั้นไหม? มีความสุขอยู่ในนั้นไหม? ลองดูสิว่าพระองค์สัญญาว่าอย่างไร? ข้อเดียวเท่านั้น อ่านดูก็รู้ทันที ผลของความรอดทางฝ่ายวัตถุ ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าเมื่อมาเชื่อในพระองค์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกวัตถุ ท่านได้อันนี้แน่นอนเลย 100% ไม่อธิษฐานก็ได้ เหมือนในโลกวิญญาณ ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทางโลกวิญญาณท่านได้รับทันที ท่านรู้หรือไม่รู้ ท่านก็ได้  คือท่านบังเกิดใหม่ ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในโลกวิญญาณแน่นอน 100% ได้ไปเลย เช่นเดียวกัน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในโลกวัตถุ พระเจ้าก็สัญญาว่าอันนี้ฉันได้แน่  ได้ไปเลย อะไร? …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า)  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            ได้ไปแล้ว 100% เลย ได้ทุกอย่างเลย อะไรล่ะ  พระเจ้าสัญญาว่าจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา  เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ และซ่อนอยู่ในพระเจ้า พระวิญญาณเข้ามาปกคลุมเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา เป็นพยานย้ำยืนยันกับเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ คอยจูงมือเราเดิน ผ่านความสุข ไม่ใช่  ผ่านอุปสรรคปัญหาทุกๆ อย่าง เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช  ไปพร้อมๆ พระองค์ เอเมนไหม? นี่ไง ยอมรับไหม? กลัวไหมเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช  กลัว ทำไมจะไม่กลัวล่ะ  แต่พระองค์กำลังบอกความจริง  เหมือนไหม? เหมือน CBT เหมือนการรักษาพฤติกรรมความคิดของคนป่วย  ที่ตะกี้เราเริ่มต้น จากความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ มันจำเป็นต้องเป็นอย่างนี้  ต้องรับรู้ความจริง จะหนีมันได้อย่างไร?  ในที่สุด เราก็ต้องยอมรับความจริงว่านี่คือความจริง …

            “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่”

            จงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และมีอยู่ ก็คือจงพอใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้ความจริง คืออยู่ภายใต้คำสาปแช่ง อยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ แต่ไม่ตาย  ล่วงหลับไป แล้วเปลี่ยนร่างใหม่ ใช่ไหม? แต่มันผ่านขบวนการเกิด แก่ เจ็บ แก่ คือการเสื่อมโทรม  ให้เราพึงพอใจในทุกสถานการณ์เหล่านี้  พึงพอใจ เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า …

            “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนลูกกำพร้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า หรือปล่อยให้เจ้าอยู่ตามลำพัง เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน” … เราหวังอะไร? เราได้หมดเลย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

            ความจริงในเรื่องความเจ็บป่วย  จากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ก็คือสิ่งที่มนุษย์ทุกๆ คนอยากได้  รวมทั้งคริสเตียนก็อยากได้ ก็คือสุขภาพแข็งแรง หายป่วย ใช่ไหม?  ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เราอยากจะหายป่วย ทุกคนก็อยากได้ ก็คืออยากจะแข็งแรง กลัวความเจ็บป่วย พยายามหนีความเจ็บป่วย  แล้วมันหนีได้ไหม? ไม่ได้  พอหนีไม่ได้ ก็พยายามแสวงหา พอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  ก็เกิดความคิดว่าพระเจ้าให้ได้ทุกอย่าง ตอนนี้เรารู้ความจริงแล้ว ก็อยากถามว่าสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย หายป่วย  เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนหรือไม่?

            เอาใหม่อีกที คิดตามนะ เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา อะไรที่ไม่ถูกจะได้เอามันออกไป เอาความคิดที่ถูกต้องตามหลักความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าเข้ามาใส่แทนที่  เพื่อเราจะได้ขจัดความกลัวออกไป

            ถามว่าสุขภาพแข็งแรง การหายจากการเจ็บป่วย เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนหรือเปล่า? ไม่ใช่ บางคนบางความเชื่อสอนว่าพระเยซูได้แบกเอาความเจ็บป่วยของเราไปไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขนแล้ว อ้างจากข้อความพระคัมภีร์ 1 เปโตร2:24-25 ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาวิเคราะห์กัน ฉะนั้น ถ้าเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว  เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วยังป่วยอยู่ ก็แสดงว่าความเชื่อไม่พอ ยิ่งเชื่อมาก ก็ยิ่งแข็งแรงมาก เขาเชื่ออย่างนั้น มันเป็นความจริงไหม? แล้วถ้าเราพยายามสร้างความเชื่อแล้ว  แต่ก็ยังป่วยอยู่อีก ก็เกิดการค้างคาใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่รักษา ทำไมๆๆๆๆ นี่เชื่อเต็มที่แล้ว ยังไม่เกิดเลย  เราก็สงสัยพระเจ้าว่า …

            “เราก็ทำเต็มที่แล้ว พระเจ้าก็ยังไม่รักษา ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีก”

            เราก็พยายามดิ้นรนๆ อ้อนวอนๆ พยายามฝืนๆ ฝืนความจริงว่ามันไม่ได้อยู่ในสัญญา  ที่พระเจ้าสัญญาไว้  พระองค์บอกดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สัญญาแล้วจะอยู่กับเราเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้สัญญา ในขณะที่บางครั้งบางคราวเราเห็นบางคน เกิดอัศจรรย์ หายโรคจริงๆ แต่เอ๊ะ ทำไมไม่เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดเวลา  เราก็อยากได้ ยิ่งอยากได้มากเท่าไร?  เราก็ยิ่งพยายามเรียกร้องจากพระเจ้ามากๆ ถึงขนาด อดอาหารเยอะๆ อธิษฐานเยอะๆ เพื่อจะได้อัศจรรย์เหล่านั้น ให้พระเจ้าทำ พยายามเรียกคนมาเยอะๆ เรียกคนมาอธิษฐานจะได้สิ่งเหล่านั้น  พยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อจะได้สิ่งเหล่านั้นมา แล้วมันไม่ได้ เพราะมันฝืนความจริง  ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่อยากได้ของจากพ่อแม่ แล้วเอาหัวไปโขกพื้น โขกๆ เพราะว่าเคยได้ เคยร้อง แล้วก็ให้ พ่อแม่ตามใจมากให้ คราวนี้อยากได้หมด ไม่มีวันหยุด  แล้วพ่อแม่ทำอย่างไร? ต้องให้หมดทุกอย่างไหม? ถ้าให้หมดทุกอย่าง วันหลัง เขาก็จะเอามีดมาจ่อคอเขา แล้วก็บอกว่า …

            “ถ้าไม่ให้ ฉันจะฆ่าตัวฉันเองให้ตาย”

            นึกภาพออกใช่ไหม? บ้านใครมีเด็กเล็กๆ จะชัด เรามาดูสิว่าในข้อพระคัมภีร์ที่บอก หมายถึงโลกวิญญาณ หรือผลในโลกวัตถุ ที่ตะกี้เราวิเคราะห์กันมาแล้ว 1 เปโตร 2:24-25 …

        1 เปโตร 2:24-25  “24 พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย 25 เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป แต่บัดนี้ ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และพระผู้ทรงดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว”

            การไถ่บาปที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ เป็นการไถ่บาปในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ไถ่บาปในโลกวัตถุ นึกภาพนะ กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไถ่วิญญาณของเรา ซึ่งเป็นคนบาป  ไม่ได้ไถ่เราออกจากประพฤติบาป ฟังให้ดีๆ  ไม่ได้ไถ่เราออกจากการกระทำบาป  ถ้าไถ่เราออกจากการกระทำบาป  จากทางโลกวัตถุ เมื่อเราเชื่อพระเยซู เราต้องไม่ทำบาปเลย  ถ้าเป็นความจริง  ถูกไหม? แต่นี่ไม่ใช่ นี่ไถ่เราออกจากการเป็นคนบาป ก็คือเป็นวิญญาณของเรา  เพราะฉะนั้น การหายจากโรคตรงนี้ ก็คือหายจากโรคทางวิญญาณ  ก็คือโรคบาป ทางวิญญาณ  หายจากการเป็นคนบาป  หายจากการเป็นคนชั่ว  มาเป็นคนดี  เป็นนะ หายจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  “เป็นศัตรูกับพระเจ้า” คือเข้ากับพระเจ้าไม่ได้  วิญญาณเป็นบาป สกปรก เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้แล้ว  หายจากความพินาศในนรก มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายวิญญาณเบื้องบน ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ จดจ่อที่วิญญาณตรงนี้  ไม่ใช่ให้เรามาจดจ่อว่าหายจากโรคมะเร็ง หายจากโรคหัวใจ โรควัณโรค หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่เป็นฝ่ายโลก  พระเจ้าบอกว่าให้เราวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย  ถ้าเป็นมะเร็ง พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย จะรักษาให้เราหายอย่างไร? ก็แล้วแต่พระองค์ ตามน้ำพระทัย แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าจะรักษาเราหายจากมะเร็ง  หายจากเบาหวาน หายจากโรคหัวใจอย่างอัศจรรย์เปล่าเลย แต่พระองค์ทรงบอกว่าขณะที่เราป่วยอยู่นั้น ซึ่งป่วยเป็นธรรมดา ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้  พระองค์อยู่กับเราด้วย เอเมน  ไม่ทิ้งเราไปไหนเลย เอเมนไหม?  บางคนไม่กล้าเอเมน กลัวว่าจะป่วย ถึงจะเอเมนหรือไม่เอเมน ก็ต้องป่วย  บางคนรีบเคาะใหญ่เลย  เคาะให้ตาย สักวันหนึ่งมันต้องล่วงหลับ ต่อให้ไม่ล่วงหลับจากการเจ็บไข้ได้ป่วย  บอกว่าเกิดอุบัติเหตุตายก็ได้  ก่อนเกิดอุบัติเหตุก็ป่วยอยู่แล้วล่ะ  แต่ป่วยแบบมีอาการรู้หรือไม่เท่านั้นเอง มันทนอยู่ได้หรือไม่เท่านั้นเอง มันป่วยตั้งแต่เริ่มต้นคลอดออกมา  ตั้งแต่อยูในครรภ์มารดา ก็ป่วยแล้ว  เพราะคำสาปแช่งมันอยู่ในนั้น  อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น การจะหายโรคอย่างอัศจรรย์หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า  เพราะพระองค์ทรงสัญญาของความรอดทางวิญญาณ  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แต่ในฝ่ายวัตถุ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ต้องจำให้แม่นๆ เลย พระองค์ทรงสัญญาอย่างเดียวเท่านั้นเอง คือ 3 พระภาคจะไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ให้เราจดจ่อไปตรงนี้ และทำการพึงพอใจในทุกสถานการณ์  ไม่ว่ามันจะหายจากมะเร็งหรือไม่หาย  มันจะหายอย่างอัศจรรย์หรือไม่หาย มันจะหายจากการไปหาหมอทำคีโมหรือไม่ มันจะหายไปนิดหนึ่ง หรือไม่หาย มันจะอยู่ไปอีกกี่ปี  ในที่สุด เราก็จะต้องสิ้นสุดชีวิตลง  และรับร่างกายใหม่ เตรียมไว้แล้วในสวรรคสถาน อยู่กับพระองค์นิรันดร์ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน

            ต้องยอมรับ ต้องกล้า ไม่อย่างนั้น เราไม่กล้าที่จะเผชิญ ไม่กล้าที่จะรู้ความจริง รู้ความจริง ทำให้ความหวังหมด ใครบอกเรา  ความหวังนั้นควรจะหมดไป เพราะเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ  เป็นความหวังที่ถูกหลอก  เคยเห็นคนถูกหลอกไหม?  ที่คนโทรศัพท์มา หลอกให้ลงทุน  มันของปลอม มันไม่ใช่ของจริง  ไม่ใช่พระเยซูโทรมา มันใช้เพจเจอร์ของพระเยซู ทำหน้าเหมือนเลย เสียงก็เหมือนด้วย แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นตัวปลอม แล้วมาเชื้อเชิญ ชักชวนเรา แล้วบอกว่าจะได้กำไรเยอะแยะ ให้เราลงทุน ค่อยๆ ผ่อนเดือนละหมื่น สิ้นปี คุณจะได้สิบล้าน มันหลอกเรา แล้วเราก็จ่ายไปๆ แล้วเราก็มีความหวัง สิ้นปีได้ 10 ล้าน มันหลอก พอถึงสิ้นปี มันทุกข์กว่าเก่าอีก  มันไม่ได้อะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เช่นเดียวกันนั่นแหละ มันหลอกเราว่ามาเชื่อพระเจ้า บนโลกใบนี้ เราต้องได้อันนั้น อันนี้  ฟังดูดีไหม? ดี อยากได้ไหม? อยากได้  แต่มันหลอกเรา มันไม่จริง มันไม่แน่นอน บางคนอาจจะได้ บางคนอาจจะไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แล้วก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร? ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงตัดสินเอง พระองค์ทรงรู้วิธีต่างๆ เหล่านั้นว่าสมควรเป็นเช่นไร? และพระองค์ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎด้วย  และกฎนั้น ก็คือกฎของความบาปและความตาย  และคำสาปแช่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ดูแลเอง เรากินอาหารไม่ดีเอง เราทำอะไรไม่ดีเอง  เราขับรถเร็วเอง มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราจะไปอ้างใครล่ะ พระเจ้าต้องการให้เกิดหรือ? ไม่ใช่ แล้วใครต้องการให้เกิด เราต้องการให้เกิดหรือ? เราก็ไม่ใช่ แต่เราอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย

            มันอาจจะเป็นความผิด ความรับผิดชอบของคนอื่น มือที่ 3 ยกตัวอย่างเช่น คนเขาเผาป่า แล้วเราป่วยเป็นภูมิแพ้ เราจะไปบอกพระเจ้าทำหรือ? ไม่ใช่ เราทำหรือ? ก็ไม่ใช่อีก แล้วใคร? ก็มือที่ 3 ทำ ใครก็ไม่รู้ ก็คนที่เขาเกิดความกลัว ความโลภ อยากไปหาเห็ด อยากไปทำไร่ไถนา แบบไม่ลงทุน หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปเผา หรือคนที่เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาอยู่ในความบาป  เหมือนกับเราอยู่ในโลกใบนี้  เหมือนกัน อยู่ในความวุ่นวาย คำสาปแช่งในโลกใบนี้ เขาก็ทำผิด ทำพลาด เกิดผลมาถึงเราด้วย ทำให้ชีวิตเราเกิดความป่วยไข้ขึ้นมา นึกออกไหม? แล้วจะไปอ้างว่าพระเจ้าทำ ไม่ใช่ พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราเสมอ อยากให้เราได้ดีที่สุด  แต่อยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ต้องดูแลกฎต่างๆ ให้มันเป็นไปตามกฎ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์จะอยู่กับเรา ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา  เพราะว่าเราเป็นคนทำ หรือคนอื่นเป็นคนทำ  หรือโลกใบนี้ ธรรมชาติเป็นตัวทำเอง เพราะว่าธรรมชาติตกไปในคำสาปแช่งแล้วก็ตาม  พระเจ้าก็จะอยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา ช่วยเราเสมอ ถ้าพระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงทำ  อัศจรรย์พระองค์ก็ทำ เราไม่รู้ แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเรา ให้เราวางใจในพระองค์ นี่ชัดเจนเลย

            อันตราย ก็คือสิ่งที่เราเชื่อผิดๆ ความคิดที่ถูกหลอก หวังในสิ่งที่ไม่เป็นจริง หวังในสิ่งที่ถูกหลอกเหล่านั้น  เป็นความหวังที่ลมๆ แล้งๆ มันอันตรายด้วย 2 ต่อ ยิ่งถูกทำลาย เมื่อถูกทำลาย เราก็นึกว่าพระเจ้าทำไมเป็นอย่างนี้ เสียชื่อพระเจ้าอีกต่างหาก อันตรายที่ผมเคยเห็น คือพอตั้งความหวังไว้ที่ผิดๆ ยิ่งทุกข์หนักขึ้น

            ยกตัวอย่างบางคน นี่ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาเห็นกับตา ผ่านมากับมือเลย บางคนเป็นโรคความดัน พอมาเชื่อพระเจ้า ทิ้งยาหมดเลย ไม่ดูแลสุขภาพของเขาเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็อย่างที่บอก ใช้ความเชื่อๆ ในที่สุด มันก็เลวร้ายกว่าที่เขากินยาอีก พระเจ้าก็รักษาผ่านทางหมอ ทางยา ทางอะไรต่างๆ มิได้หมายถึงว่าทุกคนต้องไปหาหมอ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น  แต่กำลังยกตัวอย่าง 1 ราย

            หรืออีกรายหนึ่งเป็นโรคเบาหวาน ก็ค่อยๆ งดกินยา  แล้วก็ใช้ความเชื่อ ให้เขาอธิษฐาน แรกๆ ก็ดูเหมือนดีขึ้น แล้วก็เริ่มปล่อยตัว เริ่มไม่ควบคุมอาหาร ตามที่หมอบอก  แล้วในที่สุด ก็ช็อค

            อะไรอย่างนี้ เราเคยได้ยินบ่อยๆ  สิ่งเหล่านี้ มันเกิดจากความหวัง จากควาคิดผิดในถ้อยคำ คำหลอกลวง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเกิดเป็นภัยต่อผู้เชื่อต่างๆ ความเชื่อของเราที่เป็นจริงในพระเยซูคริสต์ว่าเราได้รับความรอดแล้วทางฝ่ายวิญญาณ หมดเรียบร้อยแล้ว ทางโลกวัตถุให้เรารอก่อน รออะไร? รอร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ อันนี้หายโรค 100% เฉียบขาดเลย หายแบบเที่ยวเดียว เกลี้ยงเลย  ก็คือเปลี่ยนร่างให้เราใหม่ เป็นร่างกายที่สะอาด หมดจดบริสุทธิ์ พร้อมเหมือนพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย …

            “รออีกนิดเดียวลูกเอ๋ย  รออีกหน่อยนึงนะ อดทนหน่อย ตอนนี้พ่อกำลังดูแลเจ้าอยู่ กำลังโอบกอดเจ้าอยู่ เดินไปด้วยกัน อีกนิดเดียวๆ ไปสู่ชัยชนะนิรันดร์  เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว เผชิญไปกับพ่อด้วย  พ่อจะจูงมือเจ้าเดินเอง เมื่อความเจ็บป่วยเข้ามา  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่”

            นึกถึงภาพว่าพระองค์กำลังสอนเรา กำลังรักษาเราให้หายจากพฤติกรรมความกลัว ความเจ็บป่วย เราไม่กลัวตายแล้วตอนนี้ เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว  เราเป็นอิสระแล้ว แต่ตอนนี้ เราจะเป็นอิสระจากความกลัวก่อนตาย ก่อนจะล่วงหลับ  คือกลัวความเจ็บป่วย ซึ่งต้องเผชิญ เดินเข้าไปหามัน  แล้วก็ไปกับพระเยซู ไปกับพระเจ้า อันนี้จะช่วยทุเลา ให้เรามีสันติสุขและดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างทุกข์น้อยลงมากกว่า พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียนอาจถูกเข้าใจผิดว่าล้มเลิกศาสนา และบทบัญญัติเดิม ที่เคยยึดถือ

            แท้จริงเรายึดถือ เคารพให้ความสำคัญกับกฎบัญญัติในศาสนา กฎศีลธรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมาก ไม่เพิกเฉย ละเลยในการพยายามประพฤติ ปฏิบัติตามทุกข้อ ทุกอย่าง แม้ข้อเล็กน้อยที่ศาสนาได้บอกว่าดี ให้ทำ และภายในจิตใจเราก็เห็นว่าดีด้วย

            แต่ด้วยพลังอำนาจของกิเลสตัณหา มันทำให้เราไม่สามารถที่จะทำดีได้ ตามที่ศาสนาต้องการ และจิตใจเราก็เห็นด้วย และอยากจะเชื่อฟังทำตาม

            ทุกครั้งที่เรากระทำชั่ว ผิดศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งเราไม่อยาก ไม่ต้องการที่จะกระทำแม้เป็นเพียงข้อเล็กน้อยก็ตาม เราก็รู้สึกทรมาน ทุกข์ใจ อยากจะแก้ไขให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

            แต่ยิ่งพยายามให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่าเราไม่มีความสามารถ ไม่มีทางที่จะรักษาบทบัญญัติ กฎศีลธรรม ที่ระบุไว้ในศาสนา และในใจของเราให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ผิดเลยแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม

            เราจึงรู้ว่าเราไม่มีทางที่จะไปสวรรค์   ตามที่หวังไว้หลังความตายได้เลย เพราะเราเชื่อถือเคารพอย่างมากในกฎศาสนาที่ได้ระบุไว้ และเราก็เห็นด้วยว่าเป็นจริง และเป็นจริงในสากลโลก คือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

            ซึ่งเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราได้ทำผิด ทำชั่ว ทำบาปไม่รู้กี่ครั้งในชีวิต เรายอมรับอย่างสุดใจเลยว่าเราต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรมที่เราได้ทำ ไม่ว่ามากหรือน้อยนี้แน่นอน เราจึงสิ้นหวัง

            เราไม่เพิกเฉยละเลยต่อกฎหมายฝ่ายวิญญาณ คือกฎแห่งกรรมนี้ โดยอ้างว่าเราทำดีมากกว่าคนอื่นๆ ตั้งเยอะ ทำชั่วทำบาปแค่นิดหน่อยเท่านั้น

            แสดงว่าเราได้ให้ความเคารพศาสนา เคารพนับถือต่อกฎหมาย คือกฎแห่งกรรมนี้อย่างเคร่งครัด อย่างละเอียดมากใช่หรือไม่?

            ใครหนอสามารถช่วยเราให้พ้นจากบ่วงกรรมนี้ได้?

            ใครหนอสามารถช่วยเราให้เข้าสวรรค์ได้?

            มัทธิว 5:11 … “พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ท่าน เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ข่มเหง และใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา”

            ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมนั้น ได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์  ก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระองค์ ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ

            พระเยซูบอกว่า “เขาข่มเหงเราอย่างไร เขาก็จะข่มเหงท่านอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะท่านกับเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อท่านเข้าสู่สวรรค์”

            พระเยซูถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ามาล้มเลิกศาสนา และบทบัญญัติในศาสนา แล้วท่านล่ะคริสเตียนทั้งหลาย! ถูกกล่าวหาว่าล้มเลิก ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติอันดีตามกฎศีลธรรมในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วหรือยัง?

            เช่นเขาจะกล่าวหาท่านว่า “เอะอะ อะไรๆ ก็อ้างพระคุณ รอดแล้วรอดเลย! ความประพฤติบนโลกใบนี้ไม่เกี่ยวกับผลของความรอดทางด้านวิญญาณ เพราะที่ท่านรอดก็รอดด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความประพฤติของท่าน” (เอเฟซัส 2:8-9)

            โรม 6:1-2 …  “1 เราจะว่าอย่างไรในเรื่องพระคุณพระเจ้านี้? เราจะยังคงทำบาปต่อไป เพราะรู้แล้วว่า พระคุณมากมาย สามารถปกคลุมไปถึงอย่างนั้นหรือ? 2 มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราได้ตายต่อบาปแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? (วิญญาณของเราไม่ได้ตายอยู่ในบาปในอาดัมแล้ว)”

            พระเจ้าอวยพรครับ