คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2023
เรื่อง “แม่ ในพระเยซูคริสต์”
โดย ธิดารัตน์ ร่มพระคุณ
จริงๆ วันเกิดเราก็เป็นวันแม่ ความจริงแล้ว วันแม่ควรจะมีทุกวัน ก็เนื่องจากว่าการได้ตั้งปฏิทินไว้ ก็ดีอย่างหนึ่งว่าเราดำเนินชีวิตในโลกนี้ เราก็จะเหมือนกับละเลยการที่จะหันมาสนใจผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน แล้วเรามัวแต่ทำมาหากิน จนกระทั่งเราไม่ได้หันกลับมาสนใจ หรือว่าหันมามองผู้ที่เป็นบุพการีของเรา ที่มีอายุมากแล้ว แล้วต้องการการพึ่งพิงจากเรา ซึ่งบางครั้ง บางครอบครัว ก็ …
“ไม่จำเป็นหรอก คุณไม่ต้องมาทำอะไรให้ฉันหรอก ขอให้คุณมีชีวิตที่ดี ก็พอแล้ว” … บางครอบครัวก็จะเป็นอย่างนั้น
ในหนังสือ 2 โครินธ์ 3:2-3 เป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไปถึงเมืองโครินธ์ ที่ได้บอกว่าคนในโครินธ์ เป็นเหมือนตัวหนังสือ ที่ทำให้ได้เห็นถึงพระคุณ ความดีงามของพระเจ้า
2 โครินธ์ 3:2-3 (TH1971) “2 ท่านเองเป็นหนังสือของเรา จารึกไว้ที่ดวงใจของเรา ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน 3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ ซึ่งเราได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์”
ในขณะที่ดิฉันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นความเป็นแม่ของหลายๆ ครอบครัว ในคริสตจักรของพระเจ้า ทำให้เห็นถึงพระเจ้าในชีวิตของทุกคน แน่นอนพระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่าไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงพระองค์แล้ว พระเจ้าได้อยู่ท่ามกลางเรา และพระเจ้าทรงอยู่กับเรา และพระเจ้าทรงอยู่ในเรา ดิฉันถึงได้เห็นชีวิตของครอบครัวหลายๆ ครอบครัว ที่อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า
สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบมากๆ ก็คือการได้มองดูครอบครัวของพระเจ้า ในคริสตจักรแห่งนี้ ดิฉันจะมีความสุขมากๆ แล้วดิฉันก็เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ที่งดงามมากๆ แน่นอนคำว่างดงามของดิฉัน ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นยอดเยี่ยม เพอร์เฟค ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นดี แต่บางครั้งครอบครัวทะเลาะกัน ตีกัน แต่ยังเห็นความงดงามของพระเจ้า ในชีวิตของครอบครัวเหล่านั้น ดิฉันเห็นได้อย่างไร? เพราะว่าพระคริสต์ได้อยู่ในคนเหล่านั้น
การที่เราจะมาอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า วันแม่ หลายๆ คริสตจักร หลายๆ ที่ หรือว่าตามสถานที่ต่างๆ ก็มักจะมาสอนว่าเราจะต้องเป็นแม่แบบไหน? เราจะต้องเป็นลูกแบบไหน? แต่ในพระเยซูคริสต์เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงอยู่ในเราทุกคน และทุกคนมีความเป็นครอบครัวที่พระเจ้าทรงนำพา ให้มีรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรหลานของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน พระเจ้าจะอยู่ในท่าน และทรงนำท่านในการเลี้ยงดูบุตรหลานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เรามาดูแม่คนแรกของโลกใบนี้กัน พระเจ้าทรงสร้างโลกที่งดงาม ดียอดเยี่ยม แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้น คือผู้หญิงคนนั้นเอวาได้กบฏต่อพระเจ้า ก็คือตัดสินใจที่จะพึ่งพาในตัวเอง ไม่พึ่งพาพระเจ้า โดยการกระทำการอย่างหนึ่ง ก็คือทำในสิ่งที่เรียกว่าไม่เชื่อฟัง …
ปฐมกาล 3:13-20 “13 พระเจ้าตรัสถามหญิงว่า … “เจ้าทำอะไรไป” หญิงนั้นทูลว่า … “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” 14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า … “เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่ง มากกว่าสัตว์ใช้งาน และสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดิน จนตลอดชีวิต” 15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” 16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า … “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า” 17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า … “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดิน ด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต 18 แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป 19 เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” 20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่า … “ เอวา” เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต”
นี่คือต้นสายปลายเหตุ มนุษย์คู่แรก ก็คือบรรพบุรุษของเราได้ล้มลงในความบาป และเมื่อล้มลงในความบาป สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเราต้องตาย ทางด้านร่างกาย และเราต้องตายฝ่ายวิญญาณ นี่คือความจริง
มนุษย์หล่นลงในความบาปแล้ว มันหนักตรงนี้ คือว่าพระพรยังอยู่ เมื่อพระเจ้าทรงตรัสแล้ว ไม่คืนคำ เมื่อตรัสออกไป สิ่งนั้นจะต้องเกิด และยังดำรงอยู่ และไม่ถูกลบออก เพราะว่าในพระวจนะของพระเจ้า ตอนที่พระองค์ทรงสร้างโลก และได้สร้างมนุษย์สำเร็จนั้น ในปฐมกาล 1:26-28 บอกว่า …
ปฐมกาล 1:26-28 “26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” 27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน”
พระพรยังอยู่ ในขณะที่มนุษย์คนหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ต้นแบบของเรา ที่ถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้า ได้กลายเป็นมนุษย์ที่ตายแล้ว ฝ่ายวิญญาณ หมายความร่างกายเราจะดำรงไปสู่ดิน และวิญญาณของเราตาย แต่ว่าพรข้อนี้ยังอยู่ …
“จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน”
มันจะเกิดอะไรขึ้น ในโรม 5:12 บอกว่า …
โรม 5:12 (TH1971) “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”
นั่นหมายความว่ามนุษย์ที่เป็นมนุษย์บาปได้ทวี ดกขึ้นจนเต็มแผ่นดิน ถามว่าพระวจนะพูดถูกไหม? เราย้อนกลับไปดูโลกของเรา ไม่ว่าวิวัฒนาการจะดียอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม มนุษย์ก็ยังทำลายล้างโลกใบนี้ ค่อยๆ ทำลายล้าง เราเกิดมา สิ่งที่เราอยู่ เรากิน เรานอน เราก็ทำร้ายตัวเอง เราบอกว่าเราเกิดมา เราอยู่ในครอบครัว เราแต่งงานด้วยความรัก สุดท้าย เราก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ความรักของเรา ก็ไม่สมบูรณ์ เมื่อเราคลอดลูกออกมา เราเลี้ยงลูกเรา เรารักลูกเราปานจะกลืนกิน เรารักชนิดว่าตายแทนเขาได้ แต่ในพฤติกรรม การกระทำในแต่ละวันที่เรากระทำ บางครอบครัวใส่บาดแผลลงไปในจิตใจของลูกๆ ของตนเอง จนกลายเป็นมนุษย์ที่ผิดเพี้ยนมากขึ้นๆ ไปกว่าเดิม เราจะสังเกตว่ามนุษย์ก่อนหน้านี้ ที่เข้มงวดมากๆ จะเป็นรุ่นของผู้ใหญ่ที่เด็กรุ่นนี้เรียกว่าดึกดำบรรพ์ ก็จะเป็นพ่อแม่ที่เข้มงวดมากๆ พอรุ่นต่อมาก็เรียนรู้จากพ่อแม่ที่เข้มงวดนั้น ก็กลายเป็นครอบครัวที่ …
“แต่ก่อนนี้ฉันไม่มีฐานะ ฉันไม่มีอะไรมาก ตอนนี้ฉันมีฐานะแล้ว ฉันจะปรนเปรอลูกของฉัน ทุกอย่าง ที่สมัยก่อนฉันเคยขาด”
ส่งลูกเรียนทุกอย่าง จนลูกไม่มีเวลาที่จะเล่นเลย ทุกอย่างถูกป้อน เพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างที่เอาตัวรอดได้ ทุกคนพยายามต่อสู้กับความบาปของโลกนี้ พยายามต่อสู้กับความเสื่อมของโลกนี้ โดยการใส่ทุกอย่างลงไปในชีวิตของลูกตัวเอง แล้วผลพวงก็มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเกิดอะไรขึ้น พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าในยุคสุดท้ายนี้ ความรักจะเยือกเย็นลง ลูกหลานจะไม่ฟังเราแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่คิดว่าจะเจอ ตอนนี้เจอแล้ว ออกมาพูดกันในโซเซียลถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ไม่ใช่บุญคุณ แต่เป็นหน้าที่ แน่นอนเป็นหน้าที่ค่ะ แต่ในหน้าที่นั้น แฝงด้วยความรัก แฝงด้วยความทุ่มเท ความอดทนนาน การเสียสละ อย่างใหญ่หลวงของพ่อแม่ ฉะนั้น บางคนอาจจะไม่เห็นสิ่งนี้ของพ่อแม่ ทำให้ไม่สามารถที่จะนึกถึงด้านของการกตัญญูกตเวที หรือไม่ได้มองเห็นถึงความรู้สึกว่าเป็นบุญคุณ
การกตัญญูกตเวทีกับการมีบุญคุณ มันต่างกัน มีบุญคุณ หมายถึงเรายึดไว้ในใจด้วยตัวของเราเอง แล้วเราตอบแทนสิ่งนั้น กตัญญูกะตรรกเวที ต้องเกิดมาจากความเป็นมนุษย์ของเรา มนุษย์ที่เกิดมา ที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่มนุษย์ผิดเพี้ยน และไม่สามารถที่จะกตัญญูกตเวทีได้ อาจจะมีหลายๆ ปัจจัย เช่น ความยากลำบากในชีวิต ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ได้ เพราะว่าแค่ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว มีปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อคลอดลูกออกมา ก็เลี้ยงลูกไม่ไหว ลูกก็ลำบาก เกิดบาดแผล ความบาปก็แผ่กระจายไปเต็ม ลงไปในจิตใจ ในโรม 3:23 บอกว่า …
โรม 3:25 (TH1971) “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”
แน่นอนเราอยู่ในโลกโซเซียล ในทุกวันนี้ เราอาจจะเห็นครอบครัวหลายๆ ครอบครัวที่พยายามจะสร้างครอบครัวตัวเองให้เป็นครอบครัวที่ดี ถามว่าได้ไหม? ได้ อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ได้เอาตัวเองเข้าไปสู่ภายใต้กฎแห่งระเบียบที่ตัวเองสร้างขึ้นมา โดยการที่วางระบบระเบียบเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ด้วยตัวเองได้ ครอบครัวนั้น ก็จะสามารถที่จะสร้างครอบครัวที่ดีให้กับตัวเองได้เช่นกัน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้าแล้วเขาจะทำไม่ได้ เขาทำได้ แต่อย่างที่บอก ต่อให้ทำได้ ครอบครัวเขารอดไหม? อันนั้นต่างออกไป
ดังนั้น ในโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน เราก็สามารถที่จะทำให้ครอบครัวเราล้มเหลวได้เหมือนกัน เราสามารถที่จะทำให้ครอบครัวเรา ไปได้อย่างราบรื่น ดีงามได้เหมือนกัน มนุษย์ในโลกนี้มีความเท่าเทียมกัน ในการสร้างตนเอง สร้างครอบครัวที่ดีหรือไม่ดีได้ แต่ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถทำให้รอดได้ แม้แต่ครอบครัวคริสเตียนเอง ไม่ใช่ว่าท่านกำเนิดลูกมาแล้ว ลูกของท่านจะเป็นคริสเตียนอัตโนมัติ อันนี้ต้องบอกก่อน ก็คือว่าลูกทุกคน ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องมีความสามารถตัดสินใจ ด้วยตัวเองว่าเขาจะวางใจในพระบุตรนี้หรือไม่? เขามีสิทธิของความเป็นมนุษย์ ที่จะตัดสินใจว่าเขาจะวางชีวิตลง เลือกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่? ดังนั้น อย่าโมเมว่าเราอยู่ในครอบครัวคริสเตียน ลูกเราจะเป็นคริสเตียนตามไปด้วย โดยที่เราไม่ทำไรเลย
หลายครั้งเวลาเราสอนอยู่บนเวทีนี้ เราก็จะบอกว่าเราได้ความรอด โดยไม่ทำอะไรเลย อันนั้น พระเจ้าเป็นผู้ทำ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้บอกไว้ว่าให้เรานำทางบุตรหลานของเรา ไปในวิถีอันชอบธรรม เราจะต้องนำพาบุตรหลานของเราไปในวิถีอันชอบธรรมของพระเจ้า เราจะต้องให้เขาได้เรียนรู้ในความเป็นตัวเอง โดยการพึ่งพาพระเจ้า โดยการวางใจพระเจ้า และนำพาเขามาสู่ความรอด ในพระเจ้า มนุษย์มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ดังนั้น เมื่อเรามีสายสัมพันธ์ทางสายเลือด เมื่อเราเกิดมาในโลกนี้ ถ้าเราไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ เรายังเป็นกลุ่มก้อนที่ เป็นมนุษย์ที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ ก็คือว่ามีสายพันธุ์ที่จะต้องตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณด้วย
มนุษย์ตกลงไปในกฎของความบาปและความตาย จำเป็นจะต้องมีบทบัญญัติมาควบคุมมาชี้ให้เห็นการกระทำบาปของตัวเอง ทำไมบทบัญญัติจึงจำเป็นสำหรับคนที่ไม่เชื่อ เพราะมีไว้สำหรับควบคุมหรือให้เราดูว่านี่คือบาป อย่าทำ นี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ อย่าทำ ทำไปแล้วมันจะทุกข์ มันจะเป็นกรรม เราตีความเป็นกรรมในโลกหน้า แต่จริงๆ แล้วกรรมของการกระทำมันเกิดขึ้นในโลกนี้ สิ่งใดดี เราทำ เราได้กินผลของความดี สิ่งใดที่ไม่ดี เรากระทำ เราก็กินผลของมัน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ดังนั้น บทบัญญัติจึงมีไว้ สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า จำเป็นต้องมี ไม่มีไม่ได้ สังคมวุ่นวายแน่ๆ
ดังนั้น พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์เป็นแบบนี้ จึงเตรียมแผนการกอบกู้โลกให้รอด จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว ทันที เมื่อเกิดขึ้น ในปฐมกาล 3:15 บอกว่า …
ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”
นี่กำลังพูดถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมาเกิด ว่าไม่ใช่พงศ์พันธุ์ตามสายเลือดของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เราเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเอวา มนุษย์ที่เป็นคนบาป ที่มีความตายอยู่ในนั้น จำเป็นจะต้องอยู่ใต้บัญญัติ บัญญัติใดบัญญัติหนึ่ง บัญญัติ 5 ข้อ บัญญัติ 8 ข้อ บัญญัติ 600 กว่าข้อ เราต้องมีบัญญัติ หรืออยากเขียนบัญญัติเองก็ได้ แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีบัญญัติ เพื่อจะให้ตัวเองไม่หล่นลงไปในการทำกรรมให้กับตัวเอง แต่รอดไหม? อย่างไรก็ไม่รอด เพราะว่าจะดีไม่ดี ก็ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ นั่นก็คือมนุษย์ที่มาจากสายพันธุ์ของเอวา คือตายแล้ว ตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สายพันธุ์นี้ ก็จะต้องตาย ดังนั้น ไม่ว่าใครที่เกิดออกมา ก็เป็นมนุษย์แห่งความบาป ตามสายพันธุ์ของพันธุกรรม ถ้าไม่เชื่อ ลองย้อนกลับชีวิตของตัวเอง ตอนเด็กๆ เราว่าแม่เรานิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ พอโตแล้ว ท่านเห็นแม่ท่านในตัวท่านไหมค่ะ ท่านเคยเห็นพฤติกรรมของแม่ท่านในตัวท่านไหมค่ะ ดิฉันเห็นนะคะ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวแม่ บางอย่างที่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเห็นว่านิสัยหลายอย่างของแม่ พฤติกรรมหลายอย่างของแม่อยู่ในตัวเรา นิสัยหรือพฤติกรรมหลายอย่างของพ่ออยู่ในตัวเรา เราเป็นเชื้อสายและพงศ์พันธุ์ที่สืบทอดพันธุกรรมแห่งความบาป
ดังนั้น พระเจ้าจึงเตรียมผู้หนึ่งที่ต้องไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกันกับเรามาไถ่เรา การไถ่ถอนนั้น จะต้องเป็นการไถ่ถอนที่มีค่าสูงกว่า ถ้าเอามนุษย์กับมนุษย์มาไถ่กัน ไถ่ไม่ได้ ต้องเอามนุษย์มีค่าสูงกว่าเรา ถึงจะไถ่ได้ เวลาที่เราเป็นหนี้ เราเอาที่ดินเราจำนอง จำนำ เราจำนำล้านหนึ่ง เราไม่สามารถเอาเงินล้านหนึ่งไปไถ่ แล้วเขาจะให้เราคืน เขาไม่ให้เราคืนนะ เราจะต้องไถ่ด้วยราคาที่สูงกว่า อาจจะเป็นล้านห้า สองล้าน สามล้าน บางคนดอกเบี้ยโหดมาก จะเป็นห้าล้าน แต่ดอกเบี้ยชีวิตเราโหดจริงๆ ค่ะพี่น้อง สูงมาก จนต้องใช้ พระบุตรของพระเจ้ามาไถ่เรา ในมัทธิว 1:20-23 บอกว่า …
มัทธิว 1:20-23 “20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอ เป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า “เยซู” เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา 22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า 23 “ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)”
ในพระวจนะของพระเจ้าในยอห์น 3:16 บอกว่า …
ยอห์น 3:16-18 (TH1971) “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลก ให้รอดโดยพระบุตรนั้น 18 ผู้ที่วางใจในพระบุตร ก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจ ก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจ ในพระนามพระบุตร องค์เดียวของพระเจ้า”
ดังนั้น เป็นวิธีเดียว ก็คือว่ามนุษย์จะต้องย้ายสายพันธุ์ บ้านของเราเป็นบ้านของคริสเตียน เมื่อเราคลอดลูกออกมา เราจะต้องนำพาลูกของเราย้ายฝั่ง คลอดออกมาปุ๊บ อย่าลืมว่าร่างเรา ยังเป็นร่างที่อยู่บนโลกนี้อยู่ ดังนั้น เราจะต้องนำพาบุตรหลานของเรา มาวางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง โรม 6:3-4 เราต้องเข้าส่วนร่วมกับการตาย การฝัง และการเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ …
โรม 6:3-4 “3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์” 4 เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมา เข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา จากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน”
ในหนังสือโรม 5:18 บอกว่า …
โรม 5:18 (TH1971) “ฉะนั้น การพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น”
ดังนั้น การตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ก็นำการปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาปและความตาย จากมนุษย์ที่ตายแล้ว กลายมาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์มนุษย์ที่ตายกลับมีชีวิตใหม่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการที่มนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแต่ลูกหลานที่อยู่ในครอบครัวคริสเตียน ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ จะต้องบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจึงจะสามารถบังเกิดใหม่ ย้ายเผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นพงศ์พันธุ์เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือการที่ตะกี้นี้เราได้เป็นสายพันธุ์ทางสายเลือดในพระเยซูคริสต์ สายใยของพันธุกรรม ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ให้เป็นแบบเดียวกันกับพระคริสต์ นั่นคือการบังเกิดใหม่ เป็นการบังเกิดใหม่ที่สำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ก่อนที่จะสำเร็จ พระเยซูคริสต์ได้คุยกับนิโคเดมัสถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ ถ้าใครอยากจะรู้ ก็ไปอ่านในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ได้
สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักและรู้จริงๆ ก็คือว่าในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของคริสเตียนหรือไม่ใช่ครอบครัวของคริสเตียนก็ตาม ไม่มีภาพชีวิตของมนุษย์คนใดหรือครอบครัวใด ที่จะสวยงาม 100% ต้องพูดว่าทั้งเป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียน ไม่มีครอบครัวไหนสวยงาม 100% ทุกๆ ครอบครัวมีปัญหาของเขาเอง ทุกๆ ครอบครัวมีความยากลำบากแสนสาหัส ทุกๆ ครอบครัวมีความทุกข์ในแต่ละวาระของชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ในพระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่าจงรักซึ่งกันและกัน แล้วให้เราพยุงกันและกัน ดูแลกันและกัน และไม่พิพากษาตัดสิน
และสิ่งหนึ่งที่ผู้รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรนี้หรือคริสตจักรอื่นๆ ควรจะต้องทำอย่างยิ่ง คืออย่าเข้าไปล่วงล้ำสิทธิการปกครองดูแลของคนในครอบครัวใคร? สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักและรับรู้ ก็คือทุกคนมีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขาเหล่านั้น ทุกคนมีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล และเป็นผู้ให้คำปรึกษาเขาอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ได้เอ่ยปาก และไม่ได้ขอคำปรึกษาจากเรา อย่าก้าวเท้าของเราเข้าไปล่วงล้ำ หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวคนอื่น และตัดสินวิธีการเลี้ยงแบบนั้นแบบนี้ของแต่ละครอบครัว เราไม่มีสิทธิ์ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีสิทธิ์ เหมือนกันกับที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์มาในโลกนี้ ไม่ได้มาพิพากษาโลก แต่มาช่วยกู้โลกให้รอด
เราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินครอบครัวของคนอื่นว่าควรจะทำแบบนั้น หรือแบบนี้ เราทุกคนที่เป็นพี่น้องคริสเตียน อยู่ร่วมกัน สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าที่เปาโลมักจะพูดกับเรา พระเยซูพูด คือให้เรารักซึ่งกันและกัน พยุง ดูแล ช่วยเหลือ พร้อมในความยากลำบาก เมื่อใดก็ตามที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นและอยากจะร้องไห้กับเรา ร้องไห้กับเขา เมื่อไรก็ตามที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้น เพื่อที่จะระบายความทุกข์ของเขา ให้เราฟัง จงฟัง เมื่อใดก็ตามที่เขาขอการช่วยเหลือ ให้เข้าไปช่วยเหลือในครอบครัว เราค่อยก้าวเข้าไป โดยการพึ่งพาในพระเจ้า โดยการไว้วางใจในพระเจ้า เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม เราก็อาจจะพลาดพลั้งได้ถึงการพึ่งพาตัวเองกับพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เรามีลูก มีบุตรหลาน เราเลี้ยงได้แต่ตัว เราไม่สามารถควบคุมดูแลจิตใจและจิตวิญญาณของเขาได้ มีสิ่งเดียวที่เราจะสามารถทำได้ ก็คืออธิษฐาน พึ่งพา วางใจในพระเจ้า สำหรับบุตรหลานของเรา สำหรับสุขภาพของแม่เรา พ่อเรา สำหรับคนที่เรารัก และห่วงใย อธิษฐานๆ และอธิษฐาน
ดิฉันเห็นหลายๆ ครอบครัว ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ที่เชื่อในพระเจ้า แต่สิ่งหนึ่งที่มี ก็คือไม่ว่าเขาจะอายุขนาดไหนแล้ว เขาก็เป็นเหมือนหลังคาบ้านให้กับลูกหลาน คืออธิษฐาน และพร้อมอยู่ ที่จะให้คำปรึกษาทางด้านวิญญาณกับลูกๆ เสมอ เป็นที่ปรึกษาและคอยแบ็คอยู่ข้างหลังเสมอ เราอาจจะให้เงินทองลูกไม่ได้แล้ว ไม่มีกำลังในการเลี้ยงดูลูก บุตรหลานของเรา แต่เราสามารถที่จะให้คำปรึกษาทางด้านวิญญาณลูกหรือเปล่า? เราสามารถมีถ้อยคำแบบเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่จะให้ถ้อยคำนั้น เข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกเราหรือไม่?
ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าอย่าทุกข์ร้อน แน่นอนเราอยู่ในโลกนี้ มีแต่ความกลัว ความน่ากลัวว่าลูกเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร? พ่อแม่เราสุขภาพไม่ดีแล้ว เราจะเป็นอย่างไรบ้าง? พ่อแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง? ยิ่งตัวเราเอง โตแล้วเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? ในพระวจนะของพระเจ้าในฟีลิปปี 4:6-7 บอกว่า …
ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”
และในโรม 8:28 บอกว่า …
โรม 8:28 (TH1971) “เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
ในอิสยาห์ 49:15 พระเจ้าตรัสกับพวกเราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคนว่า …
อิสยาห์ 49:15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรชาย จากครรภ์ของนางได้หรือ? แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า”
จำไว้อย่างหนึ่งว่าในขณะที่เราเกิดในโลกนี้ ทุกวันนี้โลกใบนี้มันทำตัวให้ง่ายขึ้น เราจำคำที่อ่านพระคัมภีร์ตอนต้นๆ ได้ไหมบอกว่า …
“เมื่อเจ้าคลอดลูก เจ้าจะเจ็บปวดมาก”
เขาบอกว่ามีความเจ็บปวดที่ร้ายแรงที่สุด เท่าที่ดิฉันทราบ ก็คือการเจ็บปวดแบบคลอดลูก คืออันดับแรก อันดับต้นๆ เลย และการเจ็บปวดมะเร็ง และการเจ็บปวดฟัน ปวดฟันนี้จี๊ดขึ้นสมอง แต่สำหรับดิฉันขอบวกเข้าไปอีกอันหนึ่ง ปวดชนิดที่อยากจะตายไปทีเดียว ก็คือปวดประจำเดือนของผู้หญิง สำหรับดิฉันแค่ประสบการณ์ปวดอันนั้น ก็ปวดมากแล้วนะ แต่ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าเขาจะเจ็บปวดมาก ในรุ่นของดิฉัน แม่คลอดแบบธรรมชาติ ทุกวันนี้บางคนก็ยังเลือกที่จะคลอดแบบธรรมชาติ แต่หลายคนเลือกที่จะผ่าคลอด ถามว่าผิดไหม? ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ก็จะไม่ได้ชิมรสชาตินั้น แล้วหนักไปกว่านั้น ก็คือสมัยดิฉัน ดิฉันยังได้ดื่มนมจากอกแม่ ทุกวันนี้ เนื่องจากสุขภาพร่างกายของมนุษย์ก็ไม่ดีขึ้น เมื่อคลอดลูก บางคนก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงลูกด้วยเลือดที่กลั่นออกมาเป็นนมให้ลูกได้ ก็เลี้ยงลูกด้วยนมวัว นมที่ผลิตจากโลกนี้ เราก็อาจจะไม่ต้องแปลกใจว่าพฤติกรรมของเด็กในอนาคตข้างหน้า จะเป็นอย่างไรต่อไป
เลือดแม่มีประโยชน์มากๆ ให้ชีวิตเรา พ่ออาจจะเป็นผู้ที่เป็นต้นกำเนิดที่เข้ามาฝังตัวในรังไข่ของแม่ แต่ผู้ที่ให้การเจริญเติบโตเรา ฟูมฟักเรา ก็คือแม่ที่ฟูมฟักเราในครรภ์ของเธอ แม่กินอะไรเรากินด้วย แม่เจ็บป่วย เราเจ็บป่วยด้วย แม่กินไม่ดี เรากินไม่ดีด้วย แม่กินดี เรากินดีด้วย ในครรภ์และเจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ และคลอดออกมา แล้วยังเอาเลือดของเธอให้เราดื่มกิน จนกระทั่งคนที่ได้ดื่มนมของแม่ ส่วนใหญ่แล้วนายแพทย์จะบอกว่าเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกว่าคนที่ดื่มนมที่แปรรูป
ดังนั้น การที่จะมีชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือเลือดและเนื้อของพ่อของแม่ เช่นเดียวกัน การที่เรากำเนิด เกิดใหม่ขึ้นมาได้ ก็ต้องดื่มเลือดและเนื้อของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อผ่านมาตะกี้นี้ เราก็ทำมหาสนิทใช่ไหมค่ะ? นั่นคือสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เราที่อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า จึงเป็นเสมือนพี่น้องที่คลอดมาจากท้องเดียวกัน คือท้องพระเจ้า คือท้องฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า เราเป็นพี่น้องกันในองค์พระเยซูคริสต์ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือดูแล หนุนใจ ให้กำลังใจกัน สิ่งใดที่ผิดพลาดไป ล้มไป พยุงกันขึ้นมา ดูแลกัน เดินไปด้วยกัน และอย่าลืมสิ่งหนึ่ง ก็คือว่านำพาลูกหลานของท่าน ไปในวิถีทางอันชอบธรรมของพระเจ้า แล้วท่านจะไม่หนักหนาในการเลี้ยงดูบุตรหลานของท่าน พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน เป็นการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ให้มีมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?
1 ทิโมธี 6:17-19 … “17 จงกำชับบรรดาผู้ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งทะนง หรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติ ซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา”
ความหมาย คืออย่าฝากความหวังไว้ที่ชื่อเสียง เกียรติยศ ลาภ ยศ สรรเสริญที่ได้รับบนโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่จีรังยั่งยืนมันอยู่ชั่วคราว ไม่สามารถนำติดตัวไปสวรรค์หลังความตายได้ แต่จงเบิกบานใจยินดี พอใจในสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้กับเรา ผู้เชื่อทุกคนอย่างเพียงพอแล้ว ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยินดีในทรัพย์สินในโลกวิญญาณในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่างครบถ้วนบริบูรณ์
“18 จงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี ร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน”
ความหมาย คือแต่จงนำเกียรติยศ ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าประทานให้บนโลกใบนี้นั้น ใช้ให้เป็นประโยชน์บนโลกนี้ ด้วยการทำดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันจากใจ ด้วยความรักความยินดี และเต็มใจ ไม่รู้สึกฝืนใจ
“19 การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า เพื่อเขาจะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้”
ความหมาย คือการกระทำเช่นนี้ มิได้เป็นการเพิ่มพูนรางวัล คือชีวิตนิรันดร์ และทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ในฐานะเป็นคริสเตียน เพราะคริสเตียนทุกคนไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ก็ได้รับรางวัลนี้เท่าๆ กัน เพราะทุกคนได้รับโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการประพฤติปฏิบัติดีของตนเองเลย
แต่ … การกระทำเช่นนี้ เป็นการย้ำยืนยันให้กับตนเองในความหวัง ในความรอดนิรันดร์ คือเกียรติสิริ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์สถาน ที่ประทานให้แล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเป็นมรดกที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมกับชีวิตนิรันดร์หลังความตาย
พระเจ้าอวยพรครับ