คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 28
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส เรายังอยู่ในเอเฟซัส บทที่ 4 ต่อข้อที่ 15 คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อที่ 14 บอกว่า …
เอเฟซัส 4:14 “เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทารกอีกต่อไป ถูกกระแสซัดไปซัดมา ถูกพัดไปทางโน้นทางนี้ โดยลมปากแห่งคำสอน และโดยกลลวงอันฉ้อฉลแยบยลของมนุษย์”
พูดถึงของประทานที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับพวกเราทุกๆ คน เพื่อที่จะสอนเราให้สามารถเข้าใจถึงความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้เจริญเติบโต พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บ เราก็รู้จักแยกแยะ ผิดชอบชั่วดี รู้จักแยกว่าอันนี้เป็นของพระเจ้า อันนี้ไม่ใช่ เราจะได้ไม่แถไปตามที่ใครมาว่าอะไร ใช่ๆๆๆ แล้วตามเขาไป เรามาต่อข้อที่ 15 …
เอเฟซัส 4:15 “แต่โดยการพูดความจริงด้วยความรัก เราจะเติบโตขึ้นในทุกสิ่งสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์”
“แต่ให้เราพูดความจริงด้วยความรัก” ความรักมีในพวกเราทุกๆ คน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทรงเป็นความรัก แล้วเมื่อพระองค์เป็นความรัก พระองค์ผู้นี้แหละ ได้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น ความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า ก็เข้ามาอยู่ในเราด้วย เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเรามีความรักของพระเจ้าปุ๊บ ในข้อนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราพูดความจริง ด้วยความรัก หลายครั้ง เราเข้าใจว่าคำว่า “พูดความจริง” คืออย่าโกหกกัน
เวลาเจอหน้ากัน เพื่อนถาม … “กินข้าวหรือยัง?”
เราเกรงใจ ก็ตอบว่า … “กินแล้วๆ”
จริงๆ ยังไม่กินหรอก ท้องร้องจ๊อกๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าโกหกใช่ไหม? เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเราจะไปโกหกใคร ความจริงตรงนี้ หมายถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์
ความจริงที่พระเจ้าบอกกับเรา ในถ้อยคำของพระองค์ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยบนไม้กางเขน ทุกอย่างได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาได้อะไรบ้าง? เขาเป็นอย่างไร? ณ เวลานี้ สถานะของผู้เชื่อเป็นอย่างไร? นี่คือความจริง
ฉะนั้น ให้เราพูดความจริง ด้วยความรัก คือพูดความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พอถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? เราก็พูดว่า “เอเมน” … เอเมน แปลว่าใช่ เรายอมรับ พระเยซูบอกว่า …
“ตอนนี้เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว”
เราก็ … “เอเมน ใช่ เราสะอาดบริสุทธิ์”
“ตอนนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”
เราก็ … “เอเมน ใช่ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”
“ตอนนี้เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว”
เราก็ … “เอเมน ใช่ ถูกต้อง เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว”
ตอนนี้ผู้เชื่อ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา วิญญาณที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย ทั้งหมดที่พูดนี้ ในโลกวิญญาณหมดเลย อย่าไปมองโลกวัตถุ ถ้าเรามองโลกวัตถุ …
“จริงหรือ? บอกเราสะอาดบริสุทธิ์จริงหรือ? เราชอบธรรม เราดีพร้อมจริงหรือ? เรายังทำไม่ได้เต็มที่เลย”
อันนั้น เรื่องของการประพฤติบนโลกใบนี้ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกเราว่าตอนนี้เรา เป็นอย่างนี้จริงๆ เราได้อยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ได้อยู่ในเรา เรียบร้อยไปแล้ว เราก็เอเมน นี่คือความจริงหมดเลย แล้วความจริงที่พระเจ้าบอกเรา คือเรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าไม่พอนะ เรามีความคิดจิตใจ เหมือนพระเจ้าด้วย คือพระเจ้าเปลี่ยนใหม่เลย ณ เวลานี้ แม้ว่าความคิดที่เราอาจจะหลงไปเชื่อตามระบบของโลกนี้ แล้วคิดต่างจากที่มันควรจะเป็น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าความคิดตรงนี้ให้เราจับมันให้มั่น แล้วเอามันมาอยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อความคิดของเราจะได้เปลี่ยนแปลงใหม่ ตามในถ้อยคำโรมบอกว่าให้เราได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ เมื่อความคิดจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลง ให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น เราก็จะสามารถประพฤติ ปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้ามากขึ้น สามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ที่ตอนนี้ เราเป็นอยู่ คือความดีงามของพระเจ้า ความรักของพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เป็นเกลือ สามารถสำแดงออกไป ให้ผู้คนได้เห็น อย่างชัดเจน ความจริงตรงนี้
เราจะเติบโตขึ้นในทุกสิ่ง สู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังเน้นย้ำ ให้เราเห็นว่าพวกเราทุกคน เป็นอวัยวะในพระกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ
ที่ต้นๆ ที่บอกว่าพระเจ้าทรงเรียกบางคนเป็นอัครทูต เป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ เป็นศิษยาภิบาลและเป็นอาจารย์ นี่คือส่วนต่างๆ ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ คือพระองค์ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าผู้เชื่อที่อยู่ในคริสตจักรแห่งนี้ คือคริสตจักรอภิสุทธิสถาน หรือผู้เชื่อที่อยู่ในคริสตจักรอื่น หรืออยู่ในประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไรก็ตาม ทั่วโลก ทันทีที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เรากับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เรากับเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน เรากับเขารักกันเลย โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามไปทำตัวให้รักเขา ในโลกวิญญาณเรารักเลย พระเจ้าบอกว่าพระองค์เป็นความรัก เมื่อเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์เป็นความรัก เราก็รักคนอื่นที่เป็นของพระองค์เช่นเดียวกัน ฉะนั้น ตรงนี้ คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมดบนโลกใบนี้
มีจุดหนึ่งที่น่าสังเกตมาก คือเวลาเดินทางออกไปข้างนอก แล้วเราตามรถคันหนึ่งที่มีรูปปลา พี่น้องนึกภาพรูปปลาออกไหม? เป็นสัญลักษณ์ของคริสเตียน พอเราเห็นรถคันข้างหน้าเราติดรูปปลาปุ๊บ ข้างในเรามีความสุข ถามว่าทำไมสุขล่ะ เขาไม่รู้จักกับเรา เราก็ไม่รู้จักกับเขาด้วย แต่มีความสุข ข้างหน้า คือคริสเตียน เราเป็นพี่น้องกัน คือมันเกิดจากข้างในวิญญาณเราจริงๆ เห็นปุ๊บ มีความสุขเลย
หรือเวลาเราไปซื้อของ คุยไปคุยมา อ้าว! คนที่ขายของเป็นคริสเตียน เป็นพี่น้องเรา ดีใจ อยากอุดหนุน อะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่แปลก แต่เป็นเรื่องที่จริงมันเกิดขึ้นจริงๆ กับพวกเรา พอเรารู้จักเรื่องราวความจริงของพระเจ้า เราก็จะไม่แปลกใจเลย เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรัก เรารักพี่น้องทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่วางใจในพระเจ้า เขากลับใจใหม่ปุ๊บ เรารักเขาเลย โดยไม่มีเงื่อนไขด้วย แล้วเราก็อยากจะช่วยเหลือ ถ้าสามารถทำอะไรให้กับเขา เราก็อยากทำ
หรือในขณะเดียวกัน ความรักตรงนี้ ที่อยู่ข้างในเรา ทำให้เราสามารถเอื้อเฟือเผื่อแผ่ ไม่ใช่เพียงแต่พี่น้องคริสเตียนเท่านั้น กับคนอื่นด้วย คนที่ไม่ใช่คริสเตียน เวลาเราไป เราก็อยากจะช่วยเหลือ ไม่ว่าความช่วยเหลือนั้นจะเล็กหรือใหญ่ แต่เราก็อยากจะทำ
สมมติคนกำลังเดินทาง แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาควรจะนั่งรถสายไหน? เขาจะไปโน่นมานี่ เราก็มีความรู้สึกว่าเราอยากจะช่วยเขา เราก็แนะนำเขาได้ คือเขาไม่ได้ขอเราเลย แต่เราอยากจะแนะนำ เราเห็นเขาเลิกลักๆ อยู่ที่ป้ายรถเมล์ เราก็จะไปถาม …
“ขึ้นสายอะไรค่ะ? จะไปไหนค่ะ?”
อะไรอย่างนี้ แล้วเราก็แนะนำเขาได้ นี่คือส่วนหนึ่งที่มันออกมาเองโดยอัตโนมัติในชีวิตประจำวัน ที่เราทำอยู่ ตรงนี้แหละ คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา ผ่านทางอาจารย์เปาโลว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในข้อ 16 …
เอเฟซัส 4:16 “จากพระองค์ทั่วทั้งกายซึ่งประสาน และยึดเข้าด้วยกัน โดยเส้นเอ็นทุกเส้นนั้นเจริญเติบโต และเสริมสร้างตัวเองขึ้นในความรัก ขณะที่แต่ละส่วนทำหน้าที่ของตน”
“ทำหน้าที่ของตน” ด้วยความรัก เราคุยกันแล้วใช่ไหม? พระเจ้าทรงประทานของประทานให้แต่ละคนที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าของประทานที่พระเจ้าให้กับเรา เป็นของประทานที่คนอื่นมองเห็น หรือเป็นของประทานที่คนอื่นดูแล้วยิ่งใหญ่มากเลย อย่างอาจารย์เปาโล พระเจ้าให้ของประทานเยอะมากเลยนะ ไปประกาศกับคนต่างชาติ ไปวางมือรักษาโรค เอาผ้าเช็ดหน้าวางปุ๊บ คนหายโรคเลย อะไรอย่างนี้ แต่ว่างานรับใช้ของอาจารย์เปาโลเขาจะได้รับรางวัลเท่ากับคนๆ หนึ่งที่มาเชื่อใหม่ เพิ่งกลับใจใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เขามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเท่ากัน เพราะว่าพระเจ้าเองเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในผู้เชื่อทุกๆ คน แล้วพระองค์เป็นผู้จัดสรร ให้แต่ละคนเป็นอะไรก็ได้ ตามชอบพระทัยของพระเจ้าด้วย ไม่ใช่ตามใจเรา
ถ้าเป็นเรา เราก็อยากเป็นของประทานอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่คนเห็น พอมองปุ๊บ เห็นชัดเจนเลย กับของประทานบางอย่างที่มองไม่เห็นเลย แต่พระเจ้าบอกว่าทุกส่วนในร่างกายสำคัญเท่ากัน ตา หู จมูก ใบหน้า เรามองเห็น พอเราเดินมาปุ๊บ เราเห็นเลยหน้า เห็นตัว คนนี้ไม่พิการ มีแขน ขา ครบถ้วนทั้งหมด มีนิ้ว ครบหมด หน้าตาโอเคเลย เรามองเห็น แต่ส่วนที่เรามองไม่เห็น ก็คือตับ ไต ไส้ พุง เส้นเลือด หัวใจ ปอด ม้าม ทุกอย่างมันอยู่ภายในร่างกายเรา แต่ทุกส่วนนี้ เป็นส่วนที่สำคัญ เท่าๆ กันหมด ถ้าสมมติว่าอวัยวะในร่างกายเรา ตับ ไต ไส้ พุง เกิดรวนขึ้นมา
“ฉันไม่ได้หน้าเลย ไม่มีใครเห็นฉันเลย ฉันทำงานแทบตาย ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่มีใครเห็นเลย ไม่ทำดีกว่า”
ประท้วง นั่งเฉยๆ ลำไส้ไม่ทำงาน ไม่ลำเรียงอาหารไปเลี้ยง เส้นเลือดไม่ทำงาน ไม่ส่งเลือดสูบฉีดไปที่หัวใจ หรืออะไรต่อมิอะไรรวนไม่ทำงานปุ๊บ ผลที่เกิดมา ก็คือร่างกายของคนๆ นั้น ป่วย นึกภาพออกไหม? เจ็บป่วย รวนขึ้นมา เราก็ไม่สบาย ดังนั้น ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราทุกคน เป็นอวัยวะทุกชิ้นส่วน ในพระกายของพระคริสต์ ซึ่งถ้าแต่ละชิ้นส่วน ได้ทำงานตามความเหมาะสมแล้ว ร่างกายนี้ ก็จะได้เจริญเติบโตและแข็งแรง โดยมีจุดศูนย์กลางของพวกเราทุกๆ คน อยู่ที่พระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ขับเคลื่อนทุกอย่างในอวัยวะของพระคริสต์นี้ เพื่อทำงานไปตามความเหมาะสม ในข้อที่ 17 บอกว่า …
เอเฟซัส 4:17 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบอกและยืนยันกับท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าแต่นี้ ไปท่านอย่าดำเนินชีวิตแบบคนต่างชาติอีกเลย ซึ่งคิดแต่สิ่งไร้สาระ”
ตอนนี้ อาจารย์เปาโลเริ่มมาบอกว่าในเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์เลย เป็นความดีงาม สะอาดบริสุทธิ์ เป็นความรัก ฉะนั้น ต่อแต่นี้ไป เริ่มสอนแล้วนะ เริ่มสอนเรื่องการประพฤติ เราจะสังเกตว่าก่อนหน้าที่เราเชื่อ ต่อให้สอนขนาดไหน เราก็ทำไม่ได้ เราทำไป ก็ผิดไป เราทำไป ก็พลาดไป กำลังไม่พอ ฉะนั้น ตอนที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนยิว พระเยซูคริสต์ไม่ได้สอนคนยิวว่าให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ แต่บอกอยู่คำเดียวว่าให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ก็คือให้มารู้จักพระเจ้าก่อน ให้เขามาอยู่ในพระคริสต์ก่อน ให้เขามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าก่อน ต่อจากนี้ไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะขับเคลื่อน ในชีวิตของเรา ต่อจากนี้ไป ก็จะมาสอน
ก็คือไม่เชิงสอนหรอก แนะนำว่าตอนนี้เราควรจะทำอะไรบ้าง? ตอนนี้ธรรมชาติใหม่ของเรา สถานะใหม่ของเราเป็นอย่างไร? แล้วเราควรจะทำอะไรบ้าง? แต่คำว่า “ควร” ตรงนี้ หมายความว่าเมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว ต่อให้เราทำได้แค่ไหน? หรือทำไม่ได้เลย ก็ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือข้างในเราเปลี่ยนแล้ว พอข้างในเราเปลี่ยนแล้ว เราก็อยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราไม่อยากที่จะเข้าไปอยู่ในชีวิตเดิม ที่ความเคยชินเดิมอีกต่อไป แต่ความเคยชินเดิมเหล่านี้ไม่มีอำนาจ หรือไม่มีอิทธิพลเหนือเราเลย เราต้องรู้ความจริงตรงนี้ เราไม่ได้อยู่ใต้บังคับของกฎเหล่านี้อีกต่อไป
ก่อนหน้านั้น ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เราอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกใบนี้ หลายอย่างเราไม่อยากทำ แต่พอเผลอปุ๊บ เราก็ทำไป แต่พอเรากลับใจใหม่ มาอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้แล้ว เราสามารถที่จะต่อสู้ ขัดขืนมัน สามารถที่จะบอกว่า …
“ไม่เอา ฉันไม่ทำตามเธอ”
ทำได้นะ แต่ส่วนใหญ่ผู้เชื่อ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ แล้วยังคิดว่าเราต้องยอมมันอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าไม่ต้องยอมมัน ตอนนี้ เราดำเนินชีวิตอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระวิญญาณ เรามีอิสระเสรีภาพที่จะตัดสินใจ พระเจ้ายังให้เราตัดสินใจอยู่ว่าเราจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเราจะทำตามสิ่งล่อลวงบนโลกนี้ ที่ส่งเข้ามา หรือความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ เราสามารถตัดสินใจทำได้ พระเจ้าอนุญาตด้วย แต่ว่าพระองค์ก็ลุ้นกับเรานั่นแหละว่า …
“ลูกเอ๋ยๆ อย่าไปเดินทางเก่านะ แล้วลูกจะเจ็บตัว” … เจ็บตัวบนโลกนี้แหละ ไม่ได้เจ็บตัวอะไรในโลกหน้า
ฉะนั้น เมื่อเราวางใจ เมื่อเราเปิดใจ เมื่อเรากลับใจเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตในพระคริสต์ “ในพระคริสต์” ก็คือพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าบอกเรา
แล้วเรามาดูว่าลักษณะของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ในสมัยก่อน เรายังไม่ได้กลับใจใหม่ มีลักษณะแบบไหน? ในข้อที่ 18
เอเฟซัส 4:18 “ความเข้าใจของเขามืดมัวไป (เมื่อก่อนเขายังไม่เข้าใจเรื่องของพระเจ้าเลย) และเขาแยกห่างจากชีวิตฝ่ายพระเจ้า เนื่องด้วยความไม่รู้อันเนื่องมาจากจิตใจที่แข็งกระด้างของเขา”
สมัยก่อนเราก็เป็น ตัวดิฉันเอง ได้ยินเรื่องราวของพระเจ้ามานานมากเลย ตั้งแต่เรียนหนังสือนั่นแหละ มีคนมาคุยเรื่องพระเจ้าให้ฟัง แล้วเพื่อนที่เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนนะ เวลาคริสตมาส เขาก็จะชวนไปโบสถ์ โบสถ์ไหนก็ได้ ก็คือเวลาคริสตมาส โบสถ์ไหน คนเข้ามา เขาก็ต้อนรับหมด เป้าหมายที่ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปโบสถ์ เพราะว่าเราอยากจะไปกินอาหารฟรี เพราะวันคริสตมาส อาหารเยอะมาก แล้วของดีๆ ทั้งนั้น พอถึงปีเราก็ไป แต่ว่าเราไม่ได้สนใจเลยว่าเรื่องของพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เพราะถึงเวลากินเสร็จ เขาก็ชวนเราเข้ามาในห้องประชุม เพื่อฟังเรื่องของพระเจ้า เราก็หาเรื่องบ่ายเบี่ยงไป กลับบ้านเถอะ แล้วเราก็ชวนกันกลับบ้าน อะไรประมาณนี้
แต่ว่าพอถึงวันหนึ่ง เรื่องของพระเจ้าที่ได้ยิน ได้ฟังมาเป็นสิบๆ ปี จนมีครอบครัว มีลูก ก็ยังได้ยินเรื่องพระเจ้าอยู่ พระเจ้าก็เตรียม คือพี่สาวมาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาก็คุยเรื่องพระเจ้าให้ฟัง เราก็ต่อต้าน คือต่อต้านสุดฤทธิ์เลย …
“อย่ามายุ่งกับฉัน ขอความกรุณาอย่ายุ่ง เลิกพูดเรื่องพระเยซูคริสต์ อยากเอาลูกไปโบสถ์ เอาไปเลย อย่ามายุ่งกับฉัน”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าข้างในเราต่อต้าน เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า เราพยายามที่จะไม่ยอมรับเรื่องราวของพระเจ้า เรากระด้างกระเดื่องกับพระเจ้า จิตใจ ความคิดเรามืดมัวไปหมดเลย อย่าพูดคำว่าพระเยซูคริสต์ ห้ามพูดเด็ดขาด พูดปุ๊บมีเรื่องทะเลาะกัน ทะเลาะกับพี่สาว อย่าพูดๆ
แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าตามหาเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก ในพระธรรมยอห์น 3:16-18 จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
พระเจ้ารักมนุษยชาติ พระองค์วางแผนการมาเป็นพันๆ ปี เพื่อที่จะนำมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ กลับมาหาพระองค์ กลับมาสู่อ้อมแขนของพระองค์ ครอบครัวของพระองค์ ได้เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม เหมือนครั้งแรกที่พระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวา เข้ามาเสวยสุขกับพระเจ้า แต่มนุษย์ถูกปิด
บังตาใจ ดื้อรั้น กระด้างกระเดื่องกับพระเจ้าตลอดเวลา แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์มีความหวังในพวกเราทุกๆ คน ไม่เคยถอดใจเลย พระองค์ก็ส่งคนของพระองค์ คนแล้วคนเล่า ลากยาวมาเป็นยี่สิบปี กว่าที่จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นช่วงเวลายาวนานมาก แต่พระองค์ไม่เคยถอดใจจากเรา
ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราทิ้งไปแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ตามแล้ว แต่เราขอบคุณพระเจ้า พระองค์ตามเรา พระองค์มองทะลุเข้าไปในวิญญาณของเรา พระองค์รู้จักทุกคนบนโลกใบนี้ รู้ว่าคนนี้ แม้ว่าตอนนี้ ดูเหมือนกระด้างกระเดื่อง แต่ภายในจิตใจ เขาสามารถที่จะรับการฝึกฝนจากพระเจ้า ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วพระองค์ก็เรียกคนๆ นั้น ส่งข้อมูลเรื่องราวของพระเจ้ามาเป็นระยะๆ
พี่น้องจะสังเกต ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราจะได้ยินข้อมูลของพระเจ้ามาเป็นระยะๆ ถ้าเราต่อต้านมาก ข้อมูลนั้นจะทิ้งห่างไปไกลนิดหนึ่ง ไปดูห่างๆ ก็ได้ แล้วก็ถึงเวลาที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระองค์จริงๆ คือวางใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราก็ไม่รู้ว่าวันที่เราเดินออกมารับเชื่อพระเจ้า ใช่วันที่เราเปิดใจจริงหรือเปล่า เราไม่รู้ ในโลกวิญญาณ เราอาจจะเปิดใจไปก่อนหน้านั้น ก็ได้ แค่พฤติกรรมเราว่าวันนี้เราขอเดินออกมารับเชื่อ ก็แล้วกัน แต่ว่าสิ่งที่สำคัญ คือเมื่อเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา พระองค์ได้ทำขบวนการของพระองค์ ทำให้เราสามารถที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า
พอเราบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือเรารักพระเจ้ามาก ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น พี่น้องสังเกตไหม? ตอนที่เรามาเชื่อใหม่ๆ เรารักพระเจ้ามาก เราอยากจะอยู่กับพระเจ้าตลอด 24 ชั่วโมง เรารู้สึกหิวกระหายพระเจ้ามากเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทำการงานในวิญญาณของเรา เพราะว่าพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก
ในพระคัมภีร์เขียนว่า “จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน”
ตรงนี้ เราทำเองไม่ได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรักพระเจ้าได้ขนาดนี้ จนกว่าคนๆ นั้น ได้เปิดใจยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำงานในวิญญาณของเขา เปลี่ยนวิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณแห่งความรัก รักพระเจ้าเลย รักแบบสุดจิต สุดใจเลย รักโดยที่เราไม่ต้องพยายามเลย พระเจ้าให้มาเลย เราเคยสงสัยไหมว่าทำไมเรารักพระเจ้าได้ขนาดนี้ ทำไมตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้า เราไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอย่างอื่นเลย เรียกว่าขบวนการอะไร ที่เกี่ยวกับวิญญาณ เราไม่อยากทำแล้ว เพราะว่าวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นอิสรภาพเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว พวกนี้อยู่ในโลกวิญญาณหมดเลย เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ ข้อที่ 19 …
เอเฟซัส 4:19 “เขาปราศจากความยั้งคิดใดๆ ปล่อยตัวตามกามราคะ ลุ่มหลง มัวเมาในความเสื่อมทรามทุกแบบด้วยตัณหาไม่สิ้นสุด”
นี่คือสภาพ ลักษณะชีวิตของคนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้าก่อนหน้านั้น แต่ในพระคัมภีร์พูดถึง ไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนเป็นแบบนี้ แต่ว่าสิ่งที่มันสำคัญ ก็คือก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า ทุกคนเป็นคนบาป อยู่ในบาป อยู่ในอาดัม วิญญาณเราถูกตัดขาดจากพระเจ้า วิญญาณเราไม่สามารถมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย แล้วไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะแสวงหาขนาดไหนก็ตาม ทำความดีมากขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะเข้ามาถึงพระเจ้าได้เลย ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ ตามที่พระเยซูคริสต์บอกไว้ว่าถ้าเราคิดที่จะทำดี มาถึงพระเจ้า ได้สวรรค์ คือเราต้องทำดี 100% สอบให้ผ่าน 100% ตลอดเวลา ไม่ว่างเว้น แม้ความคิด ในพระคัมภีร์ พระเยซูบอกแค่คิด ก็บาปแล้ว แล้วมีใครบ้างที่จะไม่คิด นั่งอยู่เฉยๆ ก็คิด คิดไปร้อยแปดพันเก้า คิดโน่นคิดนี่ คิดแบบเราควบคุมความคิดไม่ได้ เราจับความคิดให้อยู่นิ่งไม่ได้เลย ต่อให้ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ความคิดมันก็วิ่งมาตลอดเวลา ความคิดทั้งจากที่เราเรียนรู้จากถ้อยคำของพระเจ้า ความคิดทั้งจากโลกนี้ส่งเข้ามา จากสื่อต่างๆ ที่เราไปดู มันส่งเข้ามาตลอดเวลา
ฉะนั้น พอความคิดเหล่านั้นมันมาเยอะๆ เข้า เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยืนนิ่งๆ แล้วก็ดูว่าความคิดนั้น ใช่มาจากพระเจ้าไหม? ความคิดนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า เราไม่เอามัน ไปไกลๆ เลย บอกได้นะ
“ไสหัวแกไป ไปไกลๆ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ไม่ต้องมาโน้มนำฉัน ไม่ต้องมาพยายามทำให้ฉัน เรียกว่าไปทำตามแก ฉันไม่เอา ฉันจะทำตามพระเจ้า”
แต่ต่อให้เราทำขนาดนี้ มีโอกาสเผลอไหม? มีนะ บางทีเราก็เผลอไปทำตามระบบของโลกนี้ แต่ว่าพระเจ้าผู้อยู่ในเราจะคอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา ในข้อที่ 20 บอกว่า …
เอเฟซัส 4:20 “ส่วนท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น”
ในข้อที่ 18-19 พูดถึงลักษณะชีวิตของคนที่ไม่มีพระเจ้า ฉะนั้น พอถึงข้อที่ 20 อาจารย์เปาโลบอกว่า “แต่ท่านไม่ได้เรียนรู้จักพระคริสต์อย่างนั้น” แปลว่าเมื่อท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความเคยชินต่างๆ เหล่านี้ มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของท่านเลย ท่านไม่จำเป็นต้องไปทำตามมัน ให้มาเรียนรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ลักษณะชีวิตใหม่ของเราเป็นอย่างไร? แล้วเราก็ทำตาม พอเราเรียนรู้เยอะๆ เข้า ก็จะส่งผลออกมาเป็นความดีงาม
ดูง่ายๆ เลย เด็ก เวลาอยู่กับเรา สมมติว่าลูกเราเล็ก อยู่กับเรา เราก็พยายามพูดคุยเพราะๆ กับเขาใช่ไหม? …
“สวัสดีครับ? เป็นไงบ้างครับ? วันนี้กินข้าวแล้วหรือยังครับ? อิ่มไหมครับ? วันนี้ไปโรงเรียน คุณครูสอนเรื่องอะไรครับ?”
เราก็ครับตลอดเวลา พอเราพูดครับปุ๊บ เขาก็ครับตามเรา พอเราไม่ครับ ไปโรงเรียนปุ๊บ มีภาษาแปลกๆ มา พูดจาไม่เพราะมาด้วย ไม่มีหางเสียงด้วย มีแถมมาด้วย แถมมาจากตรงไหน? จากการอยู่ด้วยกันกับคนอื่น แล้วก็ซึมซับเอาส่วนที่เขาพูด สมมติว่าเพื่อนพูดไม่เพราะ ไม่มีหางเสียง ไม่มีคำว่า “ครับ” กลับมาบ้าน เขาจะพูดตามตรงนั้นเลย พูดกับเรา เขาจะไม่มีคำว่า “ครับ” แต่ว่าไม่เป็นไร เขาเป็นอย่างนั้น เราก็ใส่เข้าไปใหม่ …
“เป็นอย่างไรบ้างครับ? ครับด้วยสิครับ”
เหลนดิฉัน “ครับ” ต้องครับตลอดเวลา “เวลาพูดกับผู้ใหญ่ต้องครับนะครับ” แล้วพอเราครับปุ๊บ เขาก็ครับตาม ถ้าเราไม่ครับ เขาก็ไม่ครับเหมือนกัน ก็คือมันเป็นการซึมซับจากภายนอก
เราเป็นคริสเตียนเหมือนกัน ถ้าเราไปเสพข่าวข้างนอกเยอะๆ เครียดๆ เราก็ซึมซับ พอซึมซับมากๆ แทนที่เราจะมีสันติสุขในพระเจ้า พระเจ้าบอกให้เราดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ เราจะมีสันติสุข ไปเสพข่าวเยอะๆ มา เครียดๆ หน้ายุ่งเป็นยุงตีกันเลย ซึ่งมันเกินความจำเป็นของเรา เสพข่าว เสพได้นะ แต่อย่าเยอะไป พอเยอะไป เราเก็บสะสมมาไว้ มันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร สำหรับชีวิตของเราเลย อันนี้แน่นอน เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกไว้ ข้อที่ 21-23
เอเฟซัส 4:21-23 “21 แน่ทีเดียว ท่านได้ฟังเรื่องพระองค์ และรับคำสอนในพระองค์ ตามความจริง ซึ่งอยู่ในพระเยซู 22 เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมนั้น ท่านได้รับการสอนให้ทิ้งตัวตนเก่าของท่าน ซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไป โดยตัณหาอันล่อลวงของมัน 23 เพื่อรับการสร้างท่าทีความคิดจิตใจขึ้นใหม่”
การสร้างท่าที ความคิดจิตใจขึ้นใหม่ คือขึ้นอยู่กับเราเข้ามาเรียนรู้ถ้อยคำของพระเจ้า เรียนรู้มากๆ ท่าทีความคิดตรงนี้เราจะเปลี่ยน ถ้าเราเสพสิ่งที่ดีๆ ความคิดตรงนี้เราจะเปลี่ยน เราจะเริ่มคิดตามสิ่งที่ดีๆ ที่เราไปเรียนรู้มา แต่ถ้าเราไปเรียนรู้สิ่งที่ไม่ดี ความคิดเราก็เปลี่ยนเหมือนกัน เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีเช่นเดียวกัน ข้อที่ 24 …
เอเฟซัส 4:24 “และเพื่อสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”
สวมตัวตนใหม่ ถ้าเราพูดลักษณะอีกอันหนึ่ง ก็คือความเคยชินเก่าๆ เหมือนกับเสื้อผ้าเก่าที่มันขาดวิ่น ที่มันขาดเป็นรูโบ๋ แล้วเราเผลอ เราลืมไป เราแขวนไว้ที่ราวตากผ้า ไม่ทิ้ง พอเผลอ เราก็ไปหยิบเอามาใส่ พอใส่แล้ว มันไม่งาม ใครจะไปใส่ผ้าขาดวิ่นออกไปข้างนอก คนดูมา ก็ไม่งาม
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็แนะนำเราว่าให้ทิ้งตัวเก่า สิ่งที่มันเคยชินเก่าๆ เหมือนเสื้อผ้าเก่า อย่าเอามาสวม ให้ถอดทิ้งไป แล้วมาสวมเสื้อใหม่ เสื้อใหม่ที่พระเจ้าใส่ให้กับพวกเรา ก็คือเป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย พอเราสวมเสื้อใหม่ปุ๊บ ออกไปมันสง่างาม ใช่ไหม? ดูดี มีราคา สง่าราศี ดูแล้ว ทุกคนมีความสุข ทำไมคนนี้ถึงน่ารักอะไรขนาดนั้น
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากที่เรากลับใจใหม่ เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ธรรมชาติ ที่เป็นธรรมชาตินิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ว่าเป็นอย่างไร? เพื่อเราจะได้นำเอาธรรมชาตินี้ พอเราเรียนรู้เยอะๆ มันจะออกไปเอง เราไม่ต้องพยายามนะ มันจะออกไปเอง ลักษณะเหมือนเราปลูกต้นไม้ แล้วเราค่อยๆ รดน้ำ พรวนดิน พอถึงฤดูกาลของมัน มันจะออกดอก ออกผล แตกใบ แล้วก็ให้ชื่นชม ลักษณะเดียวกัน ชีวิตคริสเตียนเหมือนกัน รดน้ำ พรวนดิน คือเรารับรู้ความจริงของพระเจ้าว่าตอนนี้เราเป็นอย่างไร? กินอาหารให้ถูกส่วน กินแบบเต็มที่ วิตามินกินหมดเลย แล้วเราก็แข็งแรง พอแข็งแรง ถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะเจริญเติบโตขึ้น มันจะส่งผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหน? ส่งผลออกไป ให้คนอื่นได้สามารถสัมผัส จับต้องได้
นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกไว้ พระเยซูคริสต์ได้ทำงานผ่านทางอาจารย์เปาโล แล้วก็สอนเรา เคล็ดลับที่สำคัญที่สุด คือเราเกิดก่อน แล้วพระเจ้าจะสอนเราทำทีหลัง แต่บางทีเราก็เผลอ เราคิดว่าเราต้องทำ เพื่อเราจะได้เกิด
การบังเกิดใหม่เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เราทำเองไม่ได้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ หลังจากนั้นพระเจ้าก็จะค่อยๆ สอนเราว่าเราควรจะทำอะไร? แบบไหน? อย่างไร?
คำว่า “ควร” หมายความว่าพระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าให้เราตัดสินใจว่าเราจะยอมทำตาม ที่พระเจ้าบอกไหม? ยอมตามน้ำพระทัยของพระเจ้าไหม? ถ้าเรายอม พระเจ้ายิ้มแก้มปริเลย ทำไมพระเจ้ายิ้มแก้มปริ พระเจ้าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเราเลยนะ พี่น้องนึกออกไหม? แต่ที่พระเจ้ายิ้มแก้มปริ เพราะพระเจ้ารู้ว่าถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ชีวิตเราจะสงบสุข สันติสุขเต็มเปี่ยม เป็นสันติสุขที่จริงๆ ที่พระเจ้าให้กับเรา เรียบร้อยแล้ว มีเต็มเปี่ยม แต่ถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า สันติสุขตรงนี้ มันจะเด้งขึ้นมาให้เราสัมผัส สัมผัสว่ามีความสุขมากเลย เวลาเราทำอะไรตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ข้างในวิญญาณ พระพรมาเต็มที่เลย พระพรแรก คือมีความสุข สุขมากเลย แต่ถ้าเราไม่ยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราดื้อ เราจะทำตามการล่อลวงของข้างนอก ทำปุ๊บ เกิดผลเหมือนกันนะ ทุกข์ ความทุกข์มันมาทันทีเลย ข้างในวิญญาณเราจะรู้เองว่าอันนี้ ไม่ใช่ๆ
เหมือนเราแต่งตัวสวยๆ แล้วโดนรถวิ่งแบบแรงเลย ยิ่งหน้าฝนด้วย ขี้โคลนสาดเต็มตัวเลย โอ้โห! ทุกข์ เราต้องทำอย่างไร? รีบกลับบ้าน ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ให้สะอาดสะอ้าน แล้วมีความสุข แฮปปี้ นั่นแหละ ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ พระเจ้าอวยพรค่ะ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
มนุษย์เรา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย เพราะฉะนั้น เนื้อหนังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเลย
โรม 6:12-14 … “12 เหตุฉะนั้น อย่ายอมให้บาป (มัน) ครอบงำกาย (ภายนอก) ที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของมัน 13 อย่ายอมยกอวัยวะของท่านให้แก่มัน ให้เป็นเครื่องใช้ในการทำบาป แต่จงยอมถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงยอมให้อวัยวะ ต่างๆ ในร่างกายของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรม 14 เพราะว่าบาปมันไม่ได้เป็นเจ้านายที่มีอิทธิพล ครอบงำท่านทั้งหลาย ด้วยตัณหาของเนื้อหนังต่อไปแล้ว เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสบาปแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ (ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์)”
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าตามที่มีบันทึกในพระคัมภีร์ มนุษย์เรา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ …
1. “วิญญาณ” (ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริง) หรือ “Spirit”
2. “ความคิดจิตใจ” หรือ “Soul”
3. “ร่างกาย” หรือ “Body”
คำว่า “วิญญาณ” หรือ “Spirit” มาจากคำว่า “Pneuma” ในภาษากรีก ที่แปลว่า “ลมหายใจ” หรือ “อากาศ”
“ความคิดจิตใจ” หรือ “Soul” มาจากภาษากรีก คำว่า “Su ke” ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า “Psychology” หมายถึงความคิด หรือความรู้สึกทางจิตใจ
ส่วน “ร่างกาย” หรือ “Body” ก็คืออวัยวะทุกส่วนที่ประกอบเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นร่างกายที่เราใช้ ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนกว่าจะถึงวันที่เราได้รับร่างกายใหม่
มาถึงคำว่า “เนื้อหนัง” หรือ “Flesh” พอใช้คำว่า “เนื้อหนัง” หลายคนเลยเข้าใจผิด คิดว่าเนื้อหนัง หมายถึงร่างกายเรา
อย่างที่บอกเมื่อกี๊ว่ามนุษย์เรา ประกอบด้วย 3 ส่วน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย
เพราะฉะนั้น เนื้อหนัง ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเลย
ถ้าเราเปรียบว่าทั้ง 3 ส่วนของตัวเรา (วิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย) ประกอบเข้าด้วยกัน เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง คือ เป็น “Hardware”
เนื้อหนัง หรือ “Flesh” ก็จะเปรียบเสมือน “Software” หรือโปรแกรมภายนอกที่ถูกเขียนขึ้นแล้วใส่เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่จะเป็นตัวบอกว่า “Hardware” ควรจะทำงานอย่างไร?
เนื้อหนัง ก็ทำงานลักษณะเดียวกับ “Software” คือจะเป็นตัวคอยโน้มน้าวความคิดของสมองของเรา ให้ทำตามมัน ที่เราเรียกว่าตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง และตราบใดที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ เจ้าเนื้อหนังตัวนี้ ก็จะทำตัวเป็นปรสิต หรือกาฝาก แอบซ่อนอยู่ในร่างกายของเรา ซึ่งถ้าเมื่อไหร่ที่เราเผลอ มันก็จะแสดงตัวออกมา และมีกำลังสามารถล่อลวงชักจูงให้เราทำตามกิเลสตัณหาของมัน คือทำ สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความต้องการแท้จริงของเราในวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยภายในนั้น ซึ่งเราเรียกว่าล้มลงในความบาปนั่นเอง
และวิธีการที่เราจะเอาชนะ เจ้าตัวปรสิตนี้ได้ ก็คือมันเป็น software ใช่มั๊ย เหมือน เวลาที่เราใช้คอมพิวเตอร์ พอซื้อเครื่องใหม่ ก็ต้อง refresh s/w ใหม่ ล้างเอาโปรแกรมเก่าออก แล้วใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่ได้ software ดี เครื่องก็ทำงานดีได้ software ไม่ดี เครื่องก็ทำงานไม่ดี
Software เก่า ที่เป็นเนื้อหนัง ก็คือโปรแกรมเดิมของเรา คือความคิดเดิมๆ ความประพฤติเดิมๆ นิสัยเดิมๆ
วิธีการ ก็คือต้องหมั่นล้างโปรแกรมเนื้อหนังออก และใส่โปรแกรมใหม่เข้าไปแทนที่โปรแกรมใหม่ ก็คือความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำให้เราเป็นไท และวิธีล้างโปรแกรมเนื้อหนัง เพื่อลดทอนอิทธิพลกำลังของเจ้าปรสิตนั้น ก็คือการจดจ่อ ความคิดของเราไปที่เบื้องบน คือความจริงในโลกวิญญาณว่า …
“เราคริสเตียนเป็นใครในพระเยซูคริสต์”
พระเจ้าอวยพรครับ