วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1425

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  กรกฎาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”  มาตอนที่ 5 แล้ว เรารู้แล้วว่าพระเยซูกำลังพูดกับคนยิว ชนชาติยิว ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ที่พูด เพราะไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนเลยในขณะนั้น สักคนเลย เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน ยังไม่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์ และยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย งานของพระองค์ยังไม่สำเร็จเลย

            พระเจ้าได้เลือกชนชาติยิว พวกแรกจากมวลมนุษย์ ที่จะติดต่อกับพระองค์ เพื่อแผนการที่พระองค์วางไว้ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดเลย ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว ซึ่งคนที่ไม่ใช่ยิว คนยิวเขาเรียกเราว่าคนต่างชาติ ไถ่ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ

            พระเจ้ามองลงมา มนุษย์มีอยู่แค่ 2 พันธุ์เท่านั้นเอง จริงๆ พันธุ์เดียวเท่านั้นแหละ แต่มีอยู่ 2 พวก คือพวกยิวกับพวกต่างชาติ  นี่พระองค์มองมาในโลกวิญญาณ  มีอยู่แค่นี้เอง เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด แต่พวกหนึ่งพระองค์เรียกว่าพวกยิว อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกต่างชาติ จะได้จำแม่นๆ นี่คือพื้นฐาน

            พระองค์ทรงวางแผนการ เพื่อจะช่วยมนุษย์ทั้งหมดให้รอด ก็มีพวกยิว พวกต่างชาติ รอดจากอะไร? รอดจากโทษของความบาป ซึ่งพระองค์ก็เลยประทานบทบัญญัติให้กับชาวยิวถือปฏิบัติตาม เป็นพันธสัญญาแรกก่อน ชาวต่างชาติยังไม่ต้องรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าพันธสัญญาเดิม และสัญญากับชาวยิวว่าให้รอ พระองค์จะกระทำพันธสัญญาใหม่ให้ บอกกับชาวยิวว่าให้รอ

            พันธสัญญาใหม่ที่พระองค์บอกให้รอนั้น ก็คือรอพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ พระเมษโปดกของพระเจ้า ที่จะมาไถ่มนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง สัญญาให้กับชาวยิว แล้วพระองค์ก็ทำตามสัญญาจริงๆ คือพระเยซูมาบังเกิดจริงๆ เลย ซึ่งเรากำลังเรียนอยู่นี้ พระเยซูกำลังประกาศอยู่นี้

            พระเยซูมา เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า และนำของขวัญ คือสวรรค์มาให้กับมนุษย์ทุกคน พระองค์มาประกาศบอกว่าที่พระเจ้าสัญญาไว้ นี่เรามาแล้ว มาเพื่อประกาศ พระเยซูไม่ได้มาสอน ให้คนพยายามทำดี ไม่ได้มาสอนให้ชาวยิวในขณะนั้นทำดี แล้วก็ไม่ได้มาสอนให้มวลมนุษย์ทั้งหมดทำดี เดี๋ยวลองฟังต่อไป ไม่ได้มาบอกให้ชาวยิวว่าพยายามทำดีให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ให้สุดความสามารถเลย แล้วพระเจ้าจะได้เห็นใจ สามารถเข้าสวรรค์ได้ ซึ่งหลายคนคิดเช่นนั้น หลายคน คือทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว หลายคนก็คิดเช่นนั้นว่าพระเจ้าคงจะทำอย่างนี้มั้ง  แต่พระองค์ไม่ได้มาทำอย่างนั้นเลย เพราะว่าพระองค์มาประกาศ และบอกชาวยิวว่า …

            พระองค์บอกกับชาวยิวอย่างนี้ อาหารที่เป็นมลทิน กินเข้าไป แล้วก็ถ่ายออกมา ไม่เป็นอันตรายหรอก แต่ว่า …

            “แต่พิษจากความบาปและความตาย จากในวิญญาณ ที่เป็นคนบาปและอยู่ในความตาย ในฝ่ายวิญญาณส่งให้ถึงพินาศนิรันดร์ในนรก”

            นี่พระองค์ชี้อย่างนี้แหละ อย่างนี้เรียกว่าสอนหรือประกาศ  ท่านคิดเอาเองก็แล้วกันว่าสอนศีลธรรมหรือประกาศ กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าเขาทำไม่ได้  เขาจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า พิษจากความบาปและความตายจากวิญญาณ ที่เป็นอยู่ข้างในท่านมันอันตรายมาก ท่านรักษาตัวท่านเองไม่ได้หรอก พิษตัวนี้จะทำให้ท่านตาย พินาศในนรกนิรันดร์

            นี่คือส่วนหนึ่งในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู พระองค์ทรงยกตัวอย่างอย่างนี้เสมอๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงว่าในใจ ในวิญญาณของเขา เป็นหรือมีสภาพเช่นไร? มันสกปรกอยู่ มันเป็นคนบาปและคนตาย มันสกปรก โสโครก เรียกว่าตายทั้งวิญญาณและจิตใจ ช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นคนป่วยหนัก

            พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากความพินาศ เนื่องจากความบาป  ไม่ใช่เป็นพระผู้สอนบทบัญญัติ หรือศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงาม  และจำเป็นมาก สำหรับการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น  เน้นตรงนี้ให้อีกที เพราะว่าบางท่านไม่เข้าใจตรงนี้ นึกว่าพระเยซูไม่ได้มาสอนศีลธรรมหรอก ใช่ แล้วทำไมพระองค์ไม่มาสอนบทบัญญัติ ศีลธรรม พระองค์บอกว่ามันเป็นสิ่งดีงามและจำเป็นในชีวิต  แต่จำเป็นในชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น มันทำให้เกิดความเสียหาย  หรือเกิดความดีงาม เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น  แต่ไม่สามารถทำให้ผู้ใดบริสุทธิ์ ดีพร้อม และเกิดผลในโลกวิญญาณ  คือเข้าไปอยู่ในสวรรคสถานได้หลังความตายเลยสักคนหนึ่ง

            เห็นไหม? ไม่ใช่บอกว่าอย่าทำ แต่กำลังบอกว่าอะไรสำคัญกว่า แล้วพระองค์ก็ชี้ให้เห็นว่าเขาจะอยู่ในสวรรค์หลังความตายได้ ต้องพึ่งพา วางใจในพระองค์เอง พระองค์เป็นพระเจ้า พระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่าน  ที่สัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ มีทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะไปสวรรค์ได้ คือมาทางเราเท่านั้น เพราะว่าวิญญาณของท่านและมนุษย์ทุกคนอยู่ในความตาย ความบาป  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก ท่านตายอยู่ ท่านจะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร? ลองคิดตามเหตุผลก็ได้

            อย่างเช่นที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ คนหัวใจวาย ช็อคตายไปแล้ว  แล้วเราเอาหนังสือทางด้านสุขภาพ เอา 5 วิธีการในการรักษาหัวใจให้แข็งแรง จะได้ไม่ช็อคตาย มันมีประโยชน์อะไรสำหรับเขา มันมีประโยชน์ตอนเขามีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้วิญญาณเขาตายอยู่ สิ่งที่เขาต้องการ คือเขาต้องการคนมาช่วย  อัศจรรย์ ชุบชีวิตให้เขาเป็นขึ้นมาใหม่  พอเป็นขึ้นมาแล้ว มาสอนเขาทีหลังว่า …

            “ต่อไปนี้นะ ออกกำลังกาย อย่ากินอาหารมันๆ เยอะเกินไป อย่ากินหวานเยอะเกินไปนะ เดี๋ยวเป็นโรคหัวใจ  อย่าคิดมาก อย่าเครียดนะ”

            เขาก็เริ่ม … “ทำอย่างนี้จะได้แข็งแรงเหรอ”

            สิ่งที่เร่งด่วน ก็คือชุบชีวิตให้คนนั้นเป็นขึ้นจากความตายก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกสอน ให้เขาทำทีหลัง นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเยซูกำลังทำอยู่ 3 ปี ประกาศให้กับชาวยิว

            อีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่าพระองค์พูดกับชาวยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ที่เป็นชาวต่างชาติเลย ในบริบทนี้นะ ในช่วง 3 ปีก่อนถูกตรึง 3 ปีที่เดินประกาศ พูดกับชาวยิวเท่านั้น ย้ำอีกทีหนึ่ง ยังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราที่เป็นพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวเลย ดูในลูกา 4:16-21 ที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างอีกหนึ่งอัน ในสัปดาห์นี้ …

        ลูกา 4:16-21 “16 แล้วพระองค์ (พระเยซูคริสต์) เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตเช่นเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม 17 เขาจึงส่งคัมภีร์อิสยาห์ ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ทรงพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ 19 และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ 20 แล้วประทับลง และตาของทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาก็จ้องดูพระองค์ 21 พระองค์จึงเริ่มต้นตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหู ก็สำเร็จแล้วในวันนี้

            เห็นไหมครับ? พระองค์มาประกาศปีแห่งความโปรดปราน พระองค์มาประกาศว่าที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น มาแล้วตอนนี้ สำเร็จแล้ว มาวางใจในเรา ไม่ได้มาสอน  มาเพื่อประกาศข่าวดี  เพื่อจะบอกทาง ชี้ทางให้เขาได้มีโอกาสเข้าสู่สวรรค์ได้ โดยได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ  เป็นคนดีจริงๆ  ข้างในวิญญาณ ไม่ใช่เป็นคนทำดี  แล้ววิญญาณสกปรก ไม่ใช่เป็นคนทำดี แต่ข้างนอก แต่ข้างในเป็นหลุมศพ  ไม่ใช่ข้างนอกฉาบด้วยปูนขาว แล้วข้างในเป็นหลุมศพ  เหม็นมาก ไม่ใช่ข้างนอกทำดี ข้างในเป็นคนบาป ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างนี้มากกว่า พระองค์จึงไม่ได้สอน ไม่ว่าจะเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติ ก็ตาม ทีหลังนะ ให้ทำดีตามศีลธรรม พระองค์มาชี้ให้เขา บอกทางให้เขาว่าเขาจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  ประกาศความโปรดปรานของพระเจ้า ความโปรดปราน แปลว่าประกาศทางของพระเจ้า ให้ฟรีๆ พระองค์มาทำหน้าที่นี้ คือประกาศให้มารับของขวัญ คือสวรรค์จากพระเจ้า มาประกาศตรงนี้

            แล้วก็รู้ว่าก่อนหน้านี้  เขาดำเนินชีวิตกันอย่างไร? มนุษย์อยากจะไปสวรรค์ด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีการพึ่งพาตนเอง ก็เลยบอกเขาว่าให้มารับของขวัญ จากพระเจ้าฟรีๆ โดยการวางใจในพระองค์ และก่อนที่จะมารับ ให้เลิกพึ่งการกระทำดีของตน และหันมาพึงพระองค์ พระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เท่านั้น  เลิกพึ่งความพยายามกระทำดีของตน

            ทุกคนก็ “โอ้โห! สอนอย่างนี้ ก็ไม่ถูกศีลธรรม”

            เดี๋ยวก่อน ฟังให้จบ  พวกชาวยิว ตอนสมัยที่ฟังพระเยซูตรงนี้ ก็ฟังไม่จบ  แล้วก็ไปกล่าวหาพระเยซู พวกเราวันนี้ ก็อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย  อย่าเพิ่งกล่าวหาผมว่าผมพูดอะไรเนี้ย ไม่ต้องพยายามทำดีหรือ? ตั้งใจฟังให้ดีๆ พระองค์กำลังจะบอกว่าให้เลิกพึ่งการพยายามทำความดีของตน ไม่ได้หมายความว่าให้เลิกพยายามกระทำดีของตน นิดเดียว  ไม่ได้เลิกพยายามทำดี  พยายามทำดี มันดีอยู่แล้ว  แต่เลิกพยายามทำดี  พึ่งในความดีนั้น เพื่อจะไปสวรรค์ อันนี้ต้องเลิก ไม่อย่างนั้น  ไม่ได้อยู่ในสวรรค์แน่

            พยายามกระทำดีของตน เลิกซะ ทุกคนก็ตกใจ เลิกกระทำดี เพื่อ … ตรงนี้แหละสำคัญ ทำดีนั้น จะทำให้เราไปสวรรค์ ไม่ได้ไปแน่ ให้เลิกคิด  มันหมายถึงตรงนี้  แต่พยายามทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ได้เกิดใหม่ เป็นเหมือนพลเมืองของสวรรค์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์  ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว ด้วยการวางใจในพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ต่างหาก

            นี่คือบทสรุปของพระเยซูคริสต์ พูดให้ฟังว่าเลิกกระทำดี  เพื่อจะพึ่งในความดีของตนเอง แล้วก็จะไปสวรรค์ เพราะการกระทำดี มันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาพึ่งพระเจ้า พึ่งพระองค์ พระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้ท่าน แล้วท่านจะได้รอด ไปสวรรค์ พอไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าได้แล้ว ท่านก็กลับมาพยายามกระทำดีมากๆ  ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้า  แล้วมีพลังการกระทำดีอยู่ในตัว เป็นธรรมชาติ อยู่ในตัวที่เป็นลูกพระเจ้านั่นเอง เลิกล้มการพยายามกระทำดี เพื่อไปสวรรค์

            ชาวยิวที่ได้ฟัง ที่เคร่งศาสนา รักษาบัญญัติ กระทำดี มีศีลธรรม ก็ลุกขึ้นมาด้วยความเย่อหยิ่งเลย กล่าวหาพระเยซู แน่นอน เพราะตัวเองทำอยู่ หาว่าพระเยซูมาต่อต้านการกระทำดีของเขา ไม่เข้าใจความหมาย เป้าหมายที่พระองค์ต้องการสื่อให้เขาได้เห็น และเข้าใจว่าอย่ายึดถือความดีนั้น  ให้กระทำดีนั่นแหละดีแล้ว  แต่มันไม่สามารถช่วยท่านไปสวรรค์ได้หรอก คุ้นๆ ไหม?

            นี่ 2,000 ปีแล้วนะ  ที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  แล้วทุกวันนี้ พวกเราคริสเตียน  พระวิญญาณนำเรา บอกเราเป็นอย่างนี้ แล้วคนไม่เข้าใจ ก็จะกล่าวหาเราอย่างนี้เหมือนกัน  ไม่ต่างกัน  พระเยซูบอกว่า …

            “อย่ายึดถือความดีตรงนั้น  เธอทำความดีตรงนั้นแหละดีแล้ว  แต่ให้แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

            เห็นไหม? ท่านทำดีอย่างนั้น ดีแล้ว ถูกแล้ว เราต้องทำดี  เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า ให้เป็นลูกพระเจ้าเสียก่อน  เข้าสวรรค์ได้เสียก่อน  ให้หาสวรรค์ให้เจอเสียก่อน  เข้าสวรรค์ด้วยวิธีการผ่านทางความเชื่อในพระบุตร  คือวางใจในพระองค์ ที่เป็นพระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าส่งมาเกิดตามสัญญา เดินอยู่ตรงนี้แล้ว …

            “เชื่อเราสิๆ ด้วยความรักทั้งสิ้นเลย”

            ผมมั่นใจ 100% เลย ด้วยความรักที่พระเยซูพูดต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้พูดเพื่อประชด แต่เพื่อชี้ให้มนุษย์ โดยเฉพาะช่วงนั้น ชาวยิวได้เห็นถึงความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนี้

            เรากลับมาภาพเมื่อตะกี้นี้ที่พระองค์ประกาศปีแห่งความโปรดปราน ในหนังสือลูกา ที่เราอ่านว่ามันหมายความว่าอย่างไร?  ในช่วง 3 ปีนั้น  พระองค์จะทำอย่างนี้ตลอด  ประกาศเรื่องนี้ตลอด

            ลูกา 4:16 “แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น” คือมาที่บ้านเกิดของตนเอง มาทำอะไร? มาประกาศให้ญาติๆ ได้รู้ถึงข่าวดีนี้  ข่าวดีต้องไม่เหมือนเดิมแน่ อันเดิม คือท่านต้องทำด้วยตนเอง  ข่าวดีนี้ท่านไม่ต้องทำแล้ว  มาวางใจในเรา

            “พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลา ในวันสะบาโตเช่นเคย ยืนขึ้นอ่านพระธรรม อ่านถ้อยคำตรงนี้” ก็คือถ้อยคำในพระคัมภีร์เดิม  ที่เราบอกว่าเดิม แต่ในสมัยนั้น คนยิวเขาบอกอ่านพระคัมภีร์เฉยๆ  อ่านพระคัมภีร์ที่พระเจ้าให้ยึดถือมาตลอด คือบัญญัติโมเสส พระคัมภีร์เขียนถึงอะไร? เขียนถึงพันธสัญญาว่าพระเจ้าให้พระบัญญัติอย่างนี้ แล้วพระเจ้าสัญญาว่าๆๆๆๆ สัญญาว่าจะทำพันธสัญญาใหม่ จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาช่วย พระเมสิยาห์ พระคริสต์ลงมาช่วย แล้วพระองค์ก็หยิบหนังสือพระคัมภีร์ พระบัญญัตินั้นขึ้นมา แล้วก็อ่านอิสยาห์ บทที่ 61 ก็คือผู้เผยพระวจนะ ในสมัยอดีต ก่อนที่พระเยซูจะอ่าน 600 ปี จริงๆ พระคัมภีร์เดิมก็พูดถึงเรื่องที่พระเยซูจะมาเกิด เป็นพันธสัญญา ตลอดเลย นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น

            นี่เขียนไว้ สัญญาว่าพระเมสิยาห์จะมา พระผู้ช่วยให้รอด สัญญาไว้ มาแน่นอน สรุปให้ฟังสั้นๆ ตอนนี้มาแล้ว อยู่ที่นี่แล้ว สำเร็จแล้ววันนี้ เราคือผู้นั้น  แล้วเกิดอะไรขึ้น รับไม่ได้ ญาติๆ คนใกล้ชิดทั้งนั้น รับไม่ได้ เพราะว่าเห็นพระเยซูตั้งแต่เด็ก วิ่งเล่น เป็นช่างไม้ 30 ปีไม่ได้ทำอะไร เชื่อไม่ได้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้น อย่างที่บอกแหละว่าดูถูกพระเยซู

            ที่ผมยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างนี้ ก็เพื่อให้ท่านเห็นว่าสิ่งที่พระเยซูทำ พูด เป็นภาพพระเยซูกำลังพูด คลุกคลี ประกาศข่าวดี ชี้ให้เห็นถึงทางรอด ไปสวรรค์ ให้กับชาวยิวเท่านั้น ซึ่งเรื่องที่พูดทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย อย่างเช่น ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า

            ปีแห่งความโปรดปราน ภาษาเดิมตรงนี้ คือปีแห่งการนิรโทษกรรมเผยพระวจนะมา 600 ปีแล้ว ในข้อความนี้ว่าปีแห่งการนิรโทษกรรม คือปีที่พระเจ้าจะส่งพระเมสิยาห์ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาปลดปล่อยมนุษย์ แจกฟรี เรารู้ใช่ไหม? นิรโทษกรรม คือใครทำผิดอะไรมา ยกให้หมดเลย  เป็นพระคุณ ประกาศพระคุณนั่นแหละ โดยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ นี่คือหัวใจ เห็นภาพเลยว่าพระองค์มาประกาศ

            มาประกาศให้พี่น้องชาวยิวได้เชื่อ แล้วกลับใจใหม่ซะ เลิกพึ่งพาการกระทำของตนเอง แล้วกลับใจมาวางใจในพระองค์ ง่ายๆ อย่างนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวเลย นึกภาพนะ นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำตลอด 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก่อนที่จะเป็นขึ้นจากความตาย  ทำงาน การไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์สำเร็จ

            เห็นชัดไหมครับว่าพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพันธสัญญาเดิมนี้เลย ที่พระเยซูยกตัวอย่าง อ่านให้เขาฟังนี้ เสร็จแล้ว ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า พระองค์สัญญากับชาวยิว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ซึ่งมีผลกับเราด้วยก็จริง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับเราในหนังสือที่บันทึกเอาไว้นี้เลย

            ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านฟังดู แล้วเอามาเป็นของตัวเอง ท่านจะรู้เรื่องได้อย่างไร?  เราเป็นคนต่างชาติ เราไม่รู้ว่าธรรมศาลาคืออะไร? วันสะบาโตคืออะไร? ใครคืออิสยาห์? ที่พระเยซูพูด แต่พวกชาวยิวเขารู้หมด  เขารู้ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว วันสะบาโต คือวันเสาร์ ต้องเข้าธรรมศาลา คือสถานที่ที่จะมาเรียนถ้อยคำพระเจ้า เหมือนเราเข้าโบสถ์ แต่สำหรับชาวยิว โดยเฉพาะ คนไม่ยิว ไม่รู้เรื่อง ยิ่งบอกว่าหนังสืออิสยาห์บันทึกไว้อย่างนี้ ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย อิสยาห์คือใคร? เพราะฉะนั้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราเป็นคนต่างชาติ ไม่รู้จักกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เขากำลังพูดถึง ไม่เข้าใจถึงพันธสัญญาเดิมที่เขาทำกันไว้กับชาวยิว เราเป็นคนต่างชาติที่ยังอยู่ในความเชื่อเดิมๆ ของเรา ในศาสนา ในรูปเคารพต่างๆ ในความเชื่อแบบเทพ แบบผีสางนางไม้ เยอะแยะไปหมด ชาวยิวเขาเรียกพวกเราว่าคนต่างชาติ พวกป่าเถื่อน ไม่ศิวิไลซ์ ไม่รู้จักพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เพียงพระองค์เดียว ผู้ที่มีชีวิตอยู่ ที่ดูแลทุกอย่าง เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายที่มองเห็น เขาบอกพวกเราเป็นคนตาบอด พวกนอกสวรรค์ พูดง่ายๆ เขานึกว่าเขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า เขาสูงกว่าเราเยอะมาก เขาไม่คบกับเราด้วยซ้ำไป  พวกเราเป็นมลทิน เห็นไหม? เขากำลังคุยกับชาวยิว เราไปแอบอ่านของเขา แล้วเราเอามาใช้กับตัวเราเอง ก็หนักสิ

            คราวนี้เราลองมาดูถ้อยคำแห่งความจริงที่พระเยซูพูดกับคนต่างชาติ ท่านอาจจะสงสัย มีด้วยเหรอ พระเยซูพูดกับคนต่างชาติ ก็บอกแล้วไงว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วก็ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์ ได้ถูกประกาศให้กับคนต่างชาติ คนต่างชาติได้มาเชื่อในพระเยซู แล้วได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเขาสะอาดหมดจดแล้ว พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่ในตัวเขา พระวิญญาณของพระคริสต์ก็สถิตอยู่ในตัวเขา พระเยซูคริสต์ก็สถิตอยู่ในตัวเขา เวลาจะประกาศ จะพูดเรื่องถ้อยคำพระเจ้าใครพูด? พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์เป็นผู้พูดผ่านทางคนๆ นั้นที่เชื่อ ดูสิว่าพระเยซูคริสต์พูดอะไรกับเรา เราซึ่งเป็นคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ที่กลับใจมาพึ่งพระองค์แล้ว เป็นคริสเตียนที่เกิดใหม่แล้ว เห็นไหม มันต่างกันนะ ตะกี้พูดกับชาวยิวยังไม่เกิดใหม่เลย ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่ตอนนี้พูดกับเราที่เป็นคนต่างชาติ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว มาดูข้อมูล ดูหลักฐาน คำพูด สื่อให้เราได้เห็น  แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ ฟ้ากับเหวเลย แต่เป็นเรื่องเดียวกันทางโลกฝ่ายวิญญาณ คือเรื่องของการได้เข้าสวรรค์ โดยพระคุณ ด้วยข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น เอเฟซัส 2:11-19 …

        เอเฟซัส 2:11-19 “11 เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อน ท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ชาวยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ซึ่งกระทำทางกายด้วยมือมนุษย์) (คือชาวยิว) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” 12 จงระลึกว่าตอนนั้น ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14 เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก คือพวกยิวและพวกคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง 15 โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว (ในพันธสัญญาเดิม) ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์(พระเยซูคริสต์) จุดประสงค์ของพระองค์ ก็เพื่อยุบสองพวกสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ (พระเยซูคริสต์) เช่นนี้แหละจึงทรงทำให้มีสันติสุข 16 และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป 17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล (หมายถึงพวกต่างชาติ) และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ (หมายถึงพวกยิว) 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 19 ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

            นี่พระองค์ก็กำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนกัน เหมือนกับตะกี้นี้ ที่พูดตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตอนนี้หลังตรึงแล้ว ก็พูดเหมือนกัน อย่างที่ผมบอกว่าเรื่องข่าวดีของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ตั้งแต่หน้าแรก ถ้อยคำแรก จนถึงถ้อยคำสุดท้ายของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น

            ข้อ 11-12 บอกว่า “เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนนี้ท่านเป็นคนต่างชาติ” เห็นไหมครับ เรารู้แล้ว ผมปูพื้นให้ท่าน เข้าใจตรงนี้แล้ว

            “ท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” ซึ่งกระทำทางกายด้วยมือมนุษย์ ก็คือชาวยิว ชาวยิวเขาทำพันธสัญญากับพระเจ้า สมัยโน้น ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด โดยการเข้าสุหนัต

            “พวกยิวเรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” ก็คือพวกที่อยู่นอกพันธสัญญา  สัญลักษณ์ของพันธสัญญาเดิมกับยิว พระเจ้าให้ทำ คือการขลิบปลายอวัยวะเพศชาย ซึ่งต่างชาติไม่เกี่ยว ก็เลยเรียกต่างชาติว่าคนนอกพันธสัญญา คือไม่มีพระเจ้านั่นเอง

            “จงระลึกว่าตอนนั้น ท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์” ไม่อยู่ในพันธสัญญา ก็คือแยกออกมา ไม่มีการสามัคคีธรรม ไม่มีการติดต่อกันกับพระเจ้า สรุป ตอนนั้นท่านไม่รู้จักพระเจ้า ท่านถูกแยกออกจากพระคริสต์ เห็นหรือเปล่า ใช้คำว่าพระคริสต์เลย ก็แสดงว่าตอนนั้น พระคริสต์ก็สำแดง หรือว่าทำการงานอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะเรียกว่าพระคริสต์ หรือพระวิญญาณ เผยพระวจนะ หรือพระเจ้าพระบิดา  พระองค์กระทำการงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกกันทำงานตามหน้าที่ ลักษณะการงานต่างกัน  เห็นไหมครับ?

            “ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว” เห็นหรือยัง? ไม่ได้เป็นประชาชนยิว

            “และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวัง” เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาอะไรกับเรา  แต่ชาวยิว พระเจ้าสัญญาว่าเดี๋ยวจะมีพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าจะส่งพระเมสิยาห์มาช่วย เห็นไหม และขณะเดียวกัน พระเจ้าไม่สถิตอยู่กับเขาด้วย อยู่ที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ อยู่ที่อภิสุทธิสถาน  พลับพลาที่โมเสสสร้างขึ้น เป็นวิหารของพระองค์อยู่บนโลก ในขณะนั้น พวกต่างชาติเหล่านั้น ในนี้บอกว่า …

            “และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” ชัดหรือยัง? ปราศจากพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าเลย  แต่พวกชาวยิวเขารู้จัก

            ข้อ 13 “แต่บัดนี้” บัดนี้ คือตอนนี้ ตอนที่หลังจากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว หลังจากนั้นแล้ว แล้วเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดเช่นเดียวกันแล้ว บัดนี้ ก็คือหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ แสดงว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เลย

            “แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์” ก็คือแต่ก่อนนี้ เราไม่รู้จักพระเจ้า อยู่ไกลมากเลย  ไกลสุดเลย ไม่รู้จักพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ที่สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย บัดนี้ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้เรา ทำให้เราสามารถบริสุทธิ์ สะอาดได้นั้น เราได้รับการเข้าไปอยู่ในพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด รู้จักพระองค์ ใกล้ชิดมากเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เลย  คืออยู่ในพระองค์ทันที

            ข้อ 14 “เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา” รู้ไหมว่าสันติสุขคืออะไร?  ไม่ใช่ความสงบนะ  เพราะพระองค์เองเป็นสันติสุขของเรา คือพระองค์เอง เป็นความรอดนิรันดร์ ในจิตวิญญาณ ในใจของเรา และรับรู้ว่าเราได้รับความรอดแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่กลัวชีวิตหลังความตายแล้ว เรามีความหวัง 100% เราหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว ขอบคุณพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์เอง เป็นผู้ทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข เป็นสันติสุขของเรา คือพระเยซูคริสต์

        “ผู้ทรงทำให้เราสองพวก คือพวกยิวและพวกคนต่างชาติ” เห็นไหมครับ มี 2 พวกเอง มนุษย์ “ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน” ต่างคน ต่างมาเชื่อพระเยซูเหมือนกัน ต่างคนต่างมาวางใจในพระเยซูเหมือนกัน หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็ต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ คืออยู่ในพระคริสต์ได้เหมือนกัน

            “ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง” ทำลายสิ่งกีดขวาง กำแพงความเกลียดชัง ก็คือทำลายความรู้สึกที่ชาวยิวมีต่อเราว่าเป็นคนด้อย เป็นคนไม่มีพระเจ้า เป็นคนป่าเถื่อน แล้วเราก็มองชาวยิวว่าเย่อหยิ่งเหลือเกิน ทำเป็นแน่ ไม่ค่อยเข้ากันนะ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่คบกันด้วยซ้ำไป

            นี่ก็คือหนึ่งในจำนวนที่ถูกทำลายไปด้วยการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ แล้วอีกอันหนึ่ง ทำลายสิ่งกีดขวาง ก็คือทำให้กลับคืนดีกับพระเจ้า แทนที่จะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ชาวยิวที่ไม่เชื่อในพระเยซู เป็นศัตรูกับพระเจ้า และชาวต่างชาติที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าอยู่ เพราะไม่รู้จักพระเจ้า ได้ถูกทำลาย กลับมาเป็นลูกพระเจ้า เป็นมิตรกับพระเจ้า ตรงนี้ด้วย

            ข้อ 15 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น โดยอะไร? … “โดยทรงล้มเลิก” ใครล้มเลิก “พระเยซูคริสต์ทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว” 3 ปีก็บอกแล้วไง อย่ามายึดถือบทบัญญัติ กำลังจะล้มเลิกๆ พระเจ้าพระบิดากำลังจะเลิกแล้ว ถ้าขืนยึดอยู่ต่อไป ท่านตายแน่

        “ทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิวในพันธสัญญาเดิม” ผมใส่ให้ในพันธสัญญาเดิม ก็คือสำหรับเราและสำหรับชาวยิว ในขณะที่เป็นคริสเตียนแล้ว มีพันธสัญญาใหม่ เขาก็เรียกพันธสัญญาสมัยก่อนว่าพันธสัญญาเดิม  “เดิม” มันเลยโผล่ขึ้นมา

        “ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ (พระเยซูคริสต์) จุดประสงค์ของพระองค์ ก็เพื่อยุบสองพวกสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ (พระเยซูคริสต์) เช่นนี้แหละจึงทรงทำให้มีสันติสุข” ด้วยพระกาย การสิ้นพระชนม์ การหลั่งพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน  ได้ทำลายบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น เลิกล้มบทบัญญัติเหล่านั้น ให้มาบังเกิดใหม่ มาถือพันธสัญญาใหม่ เพราะเดี๋ยวจะไปถึงพันธสัญญาใหม่แล้ว ต้องจำให้แม่นๆ

            ข้อ 16 “และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวก” ทั้งสองพวกคือชาวยิวกับชาวต่างชาติ “ในกายเดียวกันนี้” คือในพระคริสต์ ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็อยู่ในพระคริสต์ เมื่อมาเชื่อในพระคริสต์ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว สวรรค์ก็คือพระคริสต์นั่นแหละ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ในพระคริสต์ เกิดใหม่ในพระคริสต์ เป็นกายเดียวกันในพระคริสต์ ได้รับความรอดในพระคริสต์

        “และในกายเดียวกันนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า” เห็นไหม จึงกลับคืนดีกับพระเจ้า คือพ้นบาป เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้ากับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย แฮปปี้ ผ่านอะไร? “โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป” เป็นศัตรูกับพระเจ้าหมดสิ้นไปเลย  โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ทำให้มวลมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า นี่คือความโปรดปรานของพระเจ้าจริงๆ แทนที่จะเป็นศัตรูกัน กลับมาเป็นลูก แทนที่จะเป็นคนบาป ไม่เชื่อฟัง ที่ต่อต้านพระเจ้า กลายมาเป็นลูกที่เชื่อฟัง น่ารัก น่าเอ็นดูของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน

            ข้อ 17 “พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล” ใครประกาศ คือพระองค์ พระเยซู อย่างที่ผมบอกแล้วไงว่า 3 ปีก่อนที่จะทำงานสำเร็จ  พระองค์ประกาศกับชาวยิว พวกแรก ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเราเลย อ่าน ฟัง แล้วจะได้รู้ว่าพื้นฐานเป็นอย่างไร? เพื่อจะได้ไม่หลงทาง  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย 3 ปีนั้น พอหลัง 3 ปี งานสำเร็จเรียบร้อยที่ไม้กางเขนแล้ว คราวนี้ ประกาศกับคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว ประกาศเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์มาตั้งอยู่ สวรรค์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสันติสุข ใครแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข คนไหนที่อยู่ในโลกใบนี้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก เหมือนอยู่ในนรกเลย มาหาเรา เราจะให้เขาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือสันติสุขในพระคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข

        “พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล คือคนต่างชาติ ไม่รู้จักพระเจ้า ไกลโพ้นเลย  และสันติสุข คือสวรรค์ แก่ผู้ที่อยู่ใกล้ ก็คือยิว” อยู่ตั้งแต่บรรพบุรุษเลย  รู้จักสนิทสนม  ทุกวันสะบาโต วันเสาร์ก็ไปวิหาร  ถึงเวลาบ่าย 3 โมง วันละ 3 ครั้ง ก็ไปวิหาร นมัสการ ถึงเทศกาล ก็ไปทำพิธีถวายสัตวบูชา อะไรก็ว่าไป สนิทสนมกับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ด้วย  คนต่างชาติอยู่ไกลมาก ไม่รู้เรื่องเลย พระเจ้าอะไรไม่รู้เรื่อง ทำพิธีอะไร? เรายังบูชาภูเขาไฟอยู่เลย นึกว่าภูเขาไฟเป็นพระเจ้า  นึกว่าฟ้าผ่าเป็นพระเจ้า นึกว่าต้นไม้ใหญ่ๆ เป็นพระเจ้า นึกว่าสัตว์เหล่านี้เป็นพระเจ้า สร้างรูปอะไรต่างๆ “เรา” หมายถึงคนต่างชาติ ตั้งแต่สมัยอดีต

            ข้อ 18 “เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

            ขอบคุณพระเจ้า เห็นชัดเลยนะ  “เพราะโดยพระองค์” คือใคร? ก็ผู้ที่มาพูดให้ฟัง มาประกาศให้ฟัง  …

            “เรานั่นแหละ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ผ่านทางเราเท่านั้น ท่านถึงจะไปถึงพระบิดาได้ นอกจากทางเรา ท่านไปหาพระเจ้าไม่ได้ นอกจากทางเรา ท่านเข้าสวรรค์ไม่ได้เลย ไม่มีทางเลย  ไม่ว่าท่านกระทำดีแทบตาย ก็เข้าไม่ได้ ผ่านทางเราเท่านั้น ไม่ใช่ผ่านทางใครก็ตาม  แต่ต้องผ่านทางเรา พระเมสิยาห์ คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มีผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เราทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมายขนาดนี้ ท่านยังไม่เชื่อเราอีกหรือ? บรรพบุรุษของท่านตั้งเยอะแยะมากมาย รอเราอยู่ แล้วเรามาทำทุกอย่าง ตามที่บทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าเราจะมาอย่างไร? ตรงหมดเลย ท่านยังไม่เชื่ออีกหรือ?” นี่พูดกับชาวยิว

            ท่านควรจะเป็นหลักได้รับความรอด ก่อนคนต่างชาติอีก แต่ที่ไหนได้ ท่านกลับดื้อ และเย่อหยิ่งในความดีของตนเอง ในการสะสมความดี นึกว่าเราทำดีเยอะแยะมากมายกว่าคนต่างชาติตั้งเยอะ เรารักษาบัญญัติอย่างนี้ เราควรจะไปสวรรค์ก่อนแล้ว ไม่มีทางหรอกที่คนต่างชาติจะไปสวรรค์ได้ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย อิจฉาเขาอีก ตัวเองก็ไม่ได้รับความรอด         นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในพระคัมภีร์ก็มีสัญญาไว้ว่าในที่สุดแล้ว เขาก็จะเชื่อในข่าวประเสริฐนี้

        ข้อ 19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป” ทำไมพูดอย่างนั้น แต่ก่อนนี้เราไม่ใช่พลเมืองยิว พลเมืองยิว พระเจ้าถือว่าเป็นประชากรของพระองค์ แม้ว่าเขาจะอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนกับเราทั้งหลาย  แต่เขารู้จักพระองค์ เขาอยู่ในพันธสัญญาเดิม  เขารักษาบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์ เราไม่ได้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นประชากรของใครรู้ไหม? มีอยู่ 2 พวก …

            –  พวกหนึ่งเรียกว่าพวกยิว  เรียกว่าประชากรของพระองค์  ของพระเจ้า

            –  และอีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกต่างชาติ เรียกว่าประชากรของโลกนี้

            มีอยู่แค่ 2 อย่างเอง โลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรู ต่อต้าน ปฏิเสธพระเจ้า มันเป็นอย่างนี้

        “แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า” ก็คือเป็นเหมือนกับชาวยิว สมัยก่อนที่เล็งให้เห็นถึงการไถ่ การเป็นลูกของพระเจ้า ฝ่ายวิญญาณในอนาคต

            เพราะในนี้เขียนว่า “แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า” พระเจ้าให้ชาวยิวในสมัยก่อนเป็นเหมือนประชากรของพระเจ้า  เป็นครอบครัวของพระเจ้า เล็งให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณในอนาคตว่าประชากรของพระเจ้า จะเป็นหนึ่งเดียวในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาทั้งหลายจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่เรียกว่าครอบครัวของพระคริสต์ ในพระคริสต์ ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เป็นคนของพระคริสต์ เราก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระคริสต์  เราก็มีพระบิดาเดียวกัน คือพระบิดาผู้สถิตในสวรรคสถานของพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เราซึ่งเป็นพวกต่างชาติ ที่หันมาวางใจในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพันธสัญญาใหม่แล้ว  อยู่ในพระคริสต์แล้ว  ไม่ได้อยู่ และไม่เคยอยู่ใต้บทบัญญัติของพันธสัญญาเดิมเลย  ก็ คือบทบัญญัติในสมัยโมเสส เราเป็นคริสเตียน อยู่ในพันธสัญญาใหม่อยู่แล้ว

            คำถาม คือแล้วทำไมจึงไปเอากฎบัญญัติในพันธสัญญาเดิม บทบัญญัติของโมเสสของชาวยิวนั้น มาสอนให้คริสเตียนผู้เชื่อปฏิบัติ ทั้งๆ ที่พระเยซูก็ได้มายกเลิกแล้วด้วยซ้ำไป  ที่ผมกำลังพูด เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์ประกาศเมื่อ 3 ปี ก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ให้กับชาวยิว ให้เขาเลิก

            พูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ เราที่เป็นคริสเตียนในปัจจุบัน หลังจากพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูกระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้  เราเกิดใหม่เป็นคริสเตียน เต็มประตูแล้ว แล้วก็อยู่ในพระคริสต์ อย่างที่เราวิเคราะห์ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ ในเอเฟซัสด้วยกันแล้ว ไฉนจึงเอากฎบัญญัติในพันธสัญญาเดิม บทบัญญัติของโมเสส ของชาวยิวนั้น มาประพฤติ มาปฏิบัติ มาสอนให้คริสเตียน ผู้เชื่อปฏิบัติ ทั้งๆ ที่พระเยซู ก็ได้มาบอกว่ายกเลิกแล้วด้วยซ้ำไป ถึงไม่ยกเลิก ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราไม่รู้ด้วยว่าบัญญัติมีอะไรบ้าง?  แต่เราพยายามกลับไปเรียนรู้ในสิ่งที่เขายกเลิกแล้ว เราก็ไปทำ

            เพราะฉะนั้น คำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 ที่เรากำลังเรียนรายละเอียดอยู่ในซีรี่ย์นี้  เป็นคำอธิษฐานอยู่ภายใต้บทบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ในสมัยโมเสส

            ย้ำอีกครั้งหนึ่ง และคำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 นี้ ที่ดังมาก เป็นคำอธิษฐานภายใต้บทบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ในสมัยโมเสสทั้งสิ้นใช่หรือไม่? ใช่ แล้วเราควรจะทำอย่างไร?

            แต่เราผู้เป็นคริสเตียน อยู่ในพันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์แล้ว  อยู่ในพันธสัญญาใหม่ บัญญัติใหม่ พันธสัญญาใหม่ ในพระคริสต์คืออะไร? เราควรจะเรียนรู้ตรงนี้มากกว่า ในพระคริสต์ ในบ้านใหม่ บทบัญญัติว่าไว้อย่างไร? ไม่ใช่อยู่บ้านใหม่ แล้วไปเอาบ้านเก่ามารวมความ เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่างว่าเอาถุงหนังเก่ามาใส่ไวน์ใหม่ ถุงหนังก็ขาด รับไม่ได้ เอาผ้าเก่าไปปะผ้าใหม่ ก็ขาด เอาพระคัมภีร์เดิมมา แล้วเราอยู่ในพระคริสต์ก็อึดอัด ขาดเหมือนกัน ไม่มีสันติสุขเหมือนกัน

            บัญญัติใหม่ ในพันธสัญญาใหม่ ในพระคริสต์คืออะไร? ที่เราควรแนะนำ และให้คริสเตียน ผู้เชื่อทุกคน  ได้รับรู้ ได้เรียนรู้ และได้ฝึกฝน กระทำตาม ทั้งคริสเตียนที่เป็นยิวด้วย  และไม่ใช่ยิว คือคนต่างชาติ ควรจะทำอย่างนี้ จากนี้ต่อไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของเปาโลและอัครทูต ประกาศ สอน หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แล้ว นี่ต่างหาก เพราะคำสอนเหล่านั้น  เป็นคำสอนมาจากพระวิญญาณเดียวกัน คือพระวิญญาณของพระคริสต์

            อยากรู้ไหมว่าในพระคริสต์ เรามีบทบัญญัติใหม่ที่ต้องถือไว้ อยากจะบอกว่า “ต้องถือ” เลยนะ ตอนนี้บอกว่าต้อง จะได้รู้ว่าต้องมันหายไปเพราะอะไร? บทบัญญัติที่พระเยซูคริสต์ให้กับเรา คนที่อยู่ในพระคริสต์ ฟังให้ดีๆ  นี่คือบัญญัติที่ต้องถือไว้ ยอห์น 13:34 …

        ยอห์น13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียว ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร  เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            บทบัญญัติในโมเสสมี 613 ข้อ พระเยซูบอกบทบัญญัติของคนที่อยู่ในพระคริสต์ มาเชื่อเราแล้ว บทบัญญัติเหลือกี่ข้อ? ตอบเองแล้วกัน

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ให้กับเรา  และชีวิตที่เป็นของพระองค์ ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ได้มาจากตอนที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นจากความตาย  และชีวิตนิรันดร์นั้น พระเยซูก็แบ่งให้กับใครก็ตาม มนุษย์ทุกคน ที่วางใจในพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้ามาแชร์ คือให้เข้าร่วม รับไปด้วย ชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์มีลักษณะอะไร? พูดง่ายๆ รวมๆ คือมีลักษณะเป็นความรัก ที่เหมือนพระเจ้า ได้ให้กับเราแล้ว  แล้วเราก็จะแบ่งปันความรักนี้ เหมือนที่พระเยซูแบ่งปันความรักให้กับเรา  เราก็จะให้ความรักนี้ถ่ายทอดออกมา ให้แก่คนอื่นได้ เป็นไปตามธรรมชาติ  จากวิญญาณและใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์แล้ว

            อันนี้ต้องเหนื่อยไหม?  ต้องรักษาบัญญัติไหม? ต้องรักษาบัญญัติ แต่มันเป็นธรรมชาติของฉัน เหมือนบอกปลา …

            “เธอต้องรักษาบัญญัติของเธอนะ  เธอต้องอยู่ในน้ำนะ”

            ปลาบอกสบาย  … “ฉันอยากอยู่ๆ แล้ว เพียงแต่ฉันถูกหลอกขึ้นมาดิ้นอยู่บนบก ที่จริงฉันอยากอยู่ในน้ำอยู่แล้ว” เอเมนไหม?

            บัญญัติของพระองค์ คือไม่เป็นภาระ พระองค์บอกแล้ว  … “แอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา” บัญญัติ 613 ข้อ มาเหลือข้อเดียว  แล้วแถมให้ความสามารถจบแล้ว ง่ายนิดเดียวเลย

            หลังจากที่พระองค์ได้ทรงตระเวนประกาศให้กับชาวยิว เป็นเวลา 3 ปีแล้ว ก็ถูกตรึงบนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เริ่มต้นพันธสัญญาใหม่ ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศเอาไว้แล้ว 3 ปีนั้น บอกไว้แล้ว ผู้ใดที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้  ที่พระองค์ประกาศนี้  ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ใช่ยิวก็ตาม  ก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าพระคริสต์ทันที ได้อยู่ในพระคริสต์ และได้ชีวิตนิรันดร์ เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์เลยทีเดียว ง่ายนิดเดียว

            นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี แล้วก็ให้ชาวยิวได้เห็นก่อนว่า … “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน ทางของเราแคบนะ  แต่เข้าไปแล้ว มันกว้าง” ทางมันแคบ เพราะว่ามันง่ายเกินกว่าที่ท่านคิด “แล้วได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณ” พอเปิดใจแล้ว ได้เกิดใหม่ทางวิญญาณ  อันเกิดใหม่ทางวิญญาณ เกิดจากหน่อเชื้ออมตะของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ในวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่พระองค์ทรงสัญญาเอาไว้  ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมแล้ว แล้วก็ดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่เข้ามาสถิตอยู่ด้วย ข้างในเรา  ตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระวิญญาณนี้ก็จะนำทางเรา ในความรักแบบพระเจ้าอย่างนี้ จะสอนเรา บอกเรา นำพาเราด้วยความรักอย่างนี้ ดำเนินชีวิตด้วยความรักอย่างนี้ ตามธรรมชาติอย่างนี้ ไปจนกระทั่งถึงตายหรือ? ไม่ใช่ ไปจนกระทั่งถึงหลังความตาย  ก็คือนิรันดร์ ไปอยู่กับเราจนถึงนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว  เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าเลย อยู่กับพระเจ้าแล้วอยู่เลย อยู่ในพระคริสต์แล้ว ไม่มีไปไหนอีกแล้ว  เอเมน อยู่ในพระคริสต์แล้ว ย้ายจากอยู่ในนรก ย้ายจากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เพราะฉะนั้น ไม่มีความเปลี่ยนแปลง

            สิ่งที่ควรจะรับรู้ สำหรับคริสเตียน ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ควรจะจำได้มากกว่าจำคำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 น่าจะจำตรงนี้แทน นี่คือจำนวนหนึ่งที่ควรจะเป็นบทภาวนา เป็นบทอธิษฐาน ให้จดจำให้ได้ สำหรับผู้คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ และเป็นคริสเตียนแล้ว …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์  เป็นผู้ชอบธรรม   บริสุทธิ์   ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์  และพระคริสต์อยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งพระสิริ  ที่ฉันได้ร่วมรับกับพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้ บนโลกนี้ จนถึงโลกหน้า นิรันดร์ วิญญาณภายในฉัน จึงเป็นความรัก เป็นสง่าราศีของพระเจ้า ฉันจึงสามารถดำเนินชีวิตด้วยความรักนี้ อย่างง่ายดายตลอดไป เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ในพระเยซูคริสต์?

            โคโลสี 2:10 … “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวโทษเรา) เหนือพวกผู้ครอบครอง  (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้บัญญัติโจมตีกล่าวโทษเรา)  และเหนือเหล่าพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้น ที่มีฤทธิ์อำนาจในจักรวาล”

            เมื่อเราเปิดใจยอมรับ ให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณ พอวิญญาณเราย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นชีวิตนิรันดร์ที่กำเนิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย เราก็ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระองค์เลย

            เราเป็นชีวิตนิรันดร์  วิญญาณที่เกิดใหม่ของเรา เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            ดังนั้น อย่ายอมเชื่อมาร ที่คอยพยายามกล่าวโทษฟ้องร้องเราทั้งหลาย ผู้ชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วว่าเรายังเป็นคนบาป ทำสิ่งที่เป็นบาปอยู่เลย ไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม ไม่บริสุทธิ์สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ทำสิ่งนั้นผิด ทำสิ่งนี้ผิด ยังไม่ได้ทำสิ่งนี้ ยังไม่ได้ทำสิ่งโน้น ไม่ว่าจะส่งข้อกล่าวโทษโดยตรงมาที่ความคิดของเรา หรือฟ้องเราผ่านทางใคร หรือสื่ออะไรที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม  อย่าถูกหลอก แต่จงเชื่อในพระเจ้า ที่ได้บอกกับเรา ย้ำยืนยันกับเราไว้ใน …

            โรม 8:1-2 …  “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์  (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระ  จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            โรม 8:33-34 …  “ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย”

พระเจ้าอวยพรครับ