คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 27
โดย วราพร คงล้วน
เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส คราวที่แล้วเราจบลงที่บทที่ 4 ข้อ 11 พูดถึงของประทาน ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับผู้เชื่อทั้งหมด อย่างที่เราคุยกันว่าความรอด พวกเราได้เท่ากัน ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ อันนี้เราได้เท่ากัน ได้รับความรอด มีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม เหมือนกับครั้งแรกที่มนุษย์ไม่ได้ล้มลงในความบาปเลย อันนี้เราได้เท่ากัน เพราะว่าความรอดเป็นพระคุณ หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าก็ทรงเตรียมธรรมิกชน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าให้แต่ละคนทำหน้าที่ที่แตกต่างกัน ความรอดได้เท่ากัน แต่หน้าที่ในการดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะแตกต่างกันขนาดไหนก็ตาม รางวัลได้เท่ากันเหมือนเดิม ศิษยาภิบาลกับผู้เชื่อคนหนึ่งที่เพิ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดวันเดียว จะได้รางวัลจากพระเจ้าเท่ากัน ไม่ว่าศิษยาภิบาลคนนั้นจะทำงานหนักหนาสาหัสขนาดไหน? รับใช้พระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? แต่พระเจ้าบอกว่าเราได้รับรางวัลเท่ากัน เพราะผู้ที่ทำงานอยู่ในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน คือพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงนำเราแต่ละคน
เราก็เรียนไปแล้ว ในข้อที่ 11 บอกว่า … “พระเจ้าทรงให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล และบางคนเป็นอาจารย์”
ก็คือมีเพียงบางคนที่พระเจ้าเลือกมาใช้เฉพาะเจาะจง ที่พระองค์จะให้เขาได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า แต่ส่วนคนอื่น พระเจ้าก็ให้หน้าที่แต่ละคนที่แตกต่างกัน เป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ เหตุผลที่พระเจ้าให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อเน้นให้เรารู้ว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ปุ๊บ สิ่งที่เราควรทำ คือให้เราดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ ในพระคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา และพระองค์ทรงนำเรา
ของประทานเหล่านี้ ที่เราคุยกัน เพื่ออะไร? ในข้อที่ 12 บอกว่า …
เอเฟซัส 4:12 “เพื่อเตรียมประชากรของพระเจ้าสำหรับงานรับใช้ เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้รับการเสริมสร้างขึ้น”
พอบอกว่าเตรียมธรรมิกชน ประชากรของพระองค์ เพื่อสำหรับงานรับใช้ปุ๊บ ทุกคนก็คิดแล้ว เตรียมเราเพื่องานรับใช้ เราต้องรับใช้อะไรดี เราต้องคิดแล้ว เราจะออกไปประกาศ หรือเราจะต้องออกไปทำโน่นทำนี่ เยอะแยะมากมาย มันไม่เกี่ยวกันเลยเนอะ เตรียมธรรมิกชนหรือประชากรของพระองค์ สำหรับงานรับใช้ เพื่อว่าพระกายของพระคริสต์จะได้ถูกเสริมสร้างซึ่งกันและกัน
การเตรียมผู้คนของพระองค์จากถ้อยคำแห่งความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า บอกกับประชากรของพระองค์ให้รับรู้ว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วผู้คนที่ได้ยินได้ฟังความจริงเหล่านี้ เขาจะเจริญเติบโต เมื่อเจริญเติบโตปุ๊บ เขาก็พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ ใช้อะไรบ้าง? ใช้ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ใช้เพื่อเราจะได้ฉายแสงแห่งความจริงนี้ออกไป ฉายแสงแห่งพระลักษณะชีวิตที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือฉายความสว่างของพระเจ้าออกไป นี่คืองานรับใช้ของผู้คนของพระองค์
แล้วงานรับใช้เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราว่าเราต้องพยายามดิ้นรน เพื่อไปทำ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเองว่าเราควรจะทำอะไรอย่างไร? ในแต่ละวัน แล้วผลที่มันเกิดขึ้น เกิดจากอะไร? ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผลของการบังเกิดใหม่ ผลของธรรมชาติใหม่ที่ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์นั้น เกิดขึ้น ก็เพราะว่าเราได้รับรู้ความจริง เรียนรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ประทานอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เรียนรู้ความจริงเข้าไปทุกวันๆ
พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอเป็น “เธอเป็น” นะจ๊ะ ไม่ใช่ “เธอทำ” “เธอเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เธอสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เธอได้รับวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนฉันเรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ความคิดจิตใจของเธอ วิญญาณของเธอได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เหมือนฉันเรียบร้อยไปแล้ว”
เมื่อเรารับรู้ความจริง … “อ๋อ! ใช่แล้วๆ ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามีลักษณะเป็นอย่างไร? เราก็รับรู้ความจริง และสำแดงพระลักษณะแบบนั้น ที่อยู่ในตัวเราออกไปให้ผู้คนได้เห็น ได้ฉายแสงสว่างของพระเจ้าออกไป”
เอเฟซัส 4:13 “จนกว่าเราทั้งหมดจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”
ตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าความรอด เราต้องค่อยๆ พัฒนา เพื่อที่จะได้รับความรอด หรือค่อยๆ พัฒนา เพื่อที่เราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่นะ การเป็นลูกของพระเจ้า คือเกิดมาเป็น พอเราวางใจพระเจ้า บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เราเป็นลูกพระเจ้าเลยทันที หลังจากที่เราเป็นลูกพระเจ้า แล้ว เราค่อยๆ มาเรียนรู้ พัฒนาความเป็นลูกของพระเจ้า ให้เพิ่มพูนมากขึ้น
เรายกตัวอย่างเด็กอีกแล้ว สมมติว่าเรามีลูกคนหนึ่ง เด็กคนนี้คลอดออกมาในครอบครัวของเรา ยกตัวอย่างอีสตันก็ได้เนอะ หลานเรา อีสตันเกิดเข้ามาในครอบครัวของเวชสุภาพร เขาเกิดเข้ามาแล้ว เขาเป็นลูกของบ้านนี้เรียบร้อยไปแล้ว เขาไม่ต้องพยายามที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อที่จะสำแดงว่าเขาเป็นลูกของบ้านนี้ เขาเป็นแล้ว แต่สิ่งที่อีสตันจะพัฒนา ก็คือเรียนรู้ว่าความเป็นมนุษย์เขาทำอย่างไร?
คือทุกคนเข้ามาในครอบครัว ไม่ว่าครอบครัวไหนก็ตาม ก็คือมนุษย์ใช่ไหม? มนุษย์คนหนึ่ง เขาเจริญเติบโตอย่างไร? เขาจะทำอะไรแบบไหน? ตามแบบอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตาทวดที่อยู่ในบ้าน ที่เขามองเห็นทุกวันๆ เขาเรียนรู้จากทุกสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟัง ได้เห็นและได้สำแดงออกไป นี่คือเด็กคนหนึ่ง
พวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย แต่ให้พัฒนา สำแดงความเป็นหนึ่งเดียวกันออกไป คือไม่ต้องพยายามหาความเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องแสวงหาการเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ว่าให้พัฒนาความเป็นหนึ่งเดียวกันที่มันมีอยู่ในตัวเราแล้ว ให้มันสำแดงออกไป ให้ผู้คนรอบข้างเขาได้สามารถสัมผัส แล้วก็เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ ที่อาจารย์เปาโลพยายามเน้น ให้รับรู้ตรงนี้ พัฒนาให้คนอื่นได้เห็นว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้วนะ แค่สำแดงความเหมือนพระเจ้าที่อยู่ข้างในเราออกไป ให้คนอื่นได้เห็น จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่
คำว่า “ผู้ใหญ่” คือผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ รับรู้ความจริงมากเท่าไร เราก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนพระเจ้ามากเท่านั้น ถ้าเรารับรู้ความจริงน้อย เราก็เปลี่ยนแปลงเหมือนพระเจ้าน้อย เราก็จะมีความเคยชินเก่าๆ มันจะมีเยอะกว่า แต่ถ้าเรารับรู้ความจริงว่าตอนนี้ ความเคยชินเก่าๆ มันไม่มีอิทธิพลในชีวิตของเราแล้วนะ เพราะว่าวิญญาณตัวเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ความบาปที่เคยมีอยู่ในตัวเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ เราเป็นคนใหม่ เราได้บังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาปเลย วิญญาณของผู้เชื่อทุกคน ณ เวลานี้ ไม่มีบาปเลยนะพี่น้อง
ฉะนั้น เมื่อวิญญาณเราไม่มีบาป เราก็ไม่ต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า จริงไหม? ไม่มีบาปแล้วนะ แต่ว่าทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่ ก็เพราะยังอยู่บนโลกใบนี้ไง เรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ แต่เราไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจกฎนี้แล้ว เรามีกำลังที่จะสู้มัน พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะเสริมกำลังเรา ให้เราสามารถต่อสู้ ขัดขืน ไม่ยอมมัน ไม่ยอมให้มันส่งข้อมูล มาหลอกเรา ให้เราทำอะไรก็ตาม ที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ต่อให้เราต่อสู้ ขัดขืนอย่างไร? เราก็มีโอกาสเผลอใช่ไหม? วันดีคืนดี คริสเตียนไปด่าคน เป็นไหม? เจอแบบไม่ไหว เหตุการณ์อย่างนี้มันหยุดไม่ได้ ขอด่าสักหน่อย อะไรอย่างนี้ ก็ด่าออกไปเลย
หรือบางที คริสเตียน ผู้ที่เชื่อนะ ไม่ได้พูดถึงคนไม่เชื่อ คนไม่เชื่อ เขาทำของเขาอยู่แล้ว พูดถึงคนที่เชื่อแล้ว มีวิญญาณใหม่แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเขาแล้ว เขายังมีโอกาสที่จะหมั่นไส้ใครก็ได้
“คนนี้น่าหมั่นไส้จริงๆ เอาไม้ตีหัวซะเลย”
มีโอกาสทำไหม? มีโอกาส หลายคนบอกว่าเป็นคริสเตียนทำไมโกงเขาได้ล่ะ เป็นคริสเตียนแล้ว มีโอกาสโกงเขาได้ไหม? มีโอกาส เพราะว่าคริสเตียนคนนั้นยอมให้อิทธิพลของโลกใบนี้โน้มนำ ดึงเขาไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่เขาเป็นอยู่ ความเป็นจริงที่เขาเป็นอยู่ คือตอนนี้ เขาเป็นคนดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า วิญญาณเขานะ เป็นอย่างนั้น แต่เขายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โอกาสที่จะถูกดึงไปมีเยอะ ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าต้องการ หรือสิ่งที่อาจารย์เปาโล หรือผู้รับใช้ในยุคสมัยเดิม ที่เขาพยายามเน้นย้ำ ก็คือให้เราจดจ่อ จดจำถ้อยคำของพระเจ้า ให้เรารับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้เราอยู่ในสถานะแบบไหน? ณ เวลานี้เราอยู่ในสถานะเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้เราเป็นคนชอบธรรม “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” เราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย เราเป็นความดีงาม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเลย ณ เวลานี้ ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้น พอเรารับรู้ความจริงมากขึ้นเท่าไร? เราก็จะยอมให้พระเจ้าใช้เรามากขึ้นเท่านั้น อนุญาตให้พระเจ้าใช้ทุกอย่างในร่างกายของเรา ความคิด จิตใจ ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา มอบให้พระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะสามารถใช้เราให้สำแดงตัวตนจริงๆ ที่ ณ เวลานี้ ที่เราเป็นอยู่ ออกไปให้ผู้อื่นได้สามารถ สัมผัสและรับรู้ได้ เขาเรียกว่าให้เราฉายแสงออกไป
ตรงนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเราอีก เราพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง มันไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าผู้อยู่ในเรา พระองค์ทรงประกอบกิจอยู่ภายในเรา พระองค์ทรงโน้มนำจิตใจของเรา ทรงคอยบอก คอยเตือนเรา เราเคยรู้สึกไหม บางครั้งเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วข้างในเราไม่ไหว ทำไมเราไม่ไหว ผะอืด ผะอม เหมือนเราแพ้ แพ้อาหาร เราผะอืดผะอม เพราะว่า ณ เวลานี้ วิญญาณใหม่ของเราสะอาด บริสุทธิ์ แล้วไง สะอาด บริสุทธิ์ เราไปคลุกขี้ดิน เราไม่ไหวแล้ว ไปคลุกขี้ดิน มันคันเขยอไปหมดเลย เราต้องรีบลุกขึ้น แล้วก็ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ให้มันสะอาด นี่คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ
ฉะนั้น โอกาสที่เราจะไปโดนโคลนกระเด็นใส่ หรืออะไร? แบบสิ่งสกปรกเข้ามาเกาะมันมี แต่ว่าธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ เป็นเหมือนพระเจ้า เราจะไม่ยอมจมปรักอยู่กับสิ่งที่สกปรกเหล่านั้นตลอดเวลา มันไม่มีทางอยู่แล้ว หลายคนคิดว่าถ้าเราไม่สอนเรื่องจริยธรรม เรื่องความดีงาม ให้กับผู้เชื่อ แล้วอย่างนี้คริสเตียนก็ได้ใจไหม? ทำอะไรก็ได้ใช่ไหม? ทำบาปก็ไม่ถูกลงโทษใช่ไหม? อย่างนั้นก็สบาย เราไปทำให้มันสบายใจเลย
จริงๆ เราไม่กลัวเรื่องนี้เลย เพราะมันไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ บังเกิดใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ ที่เรายังคงอยากจะอยู่ในที่เดิมอยู่ อยู่ในบาปอยู่ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทุกคนจะตะเกียกตะกาย คือจะดิ้นรน เพื่อที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่อยู่ที่กำลังเราพอไหม? เหมือนปกติ นี่ธรรมชาติใหม่เลยนะ ธรรมชาติปลาก็จะว่ายน้ำ ปลาต้องอยู่ในน้ำ ไม่มีปลาตัวไหน ที่มีความสุขมากเลย เวลากระโดดออกจากน้ำ แล้วก็มาดิ้นผลักๆ บนบก มันไม่มีทาง นอกจากเวลาฝนตกน้ำท่วม หลงระเริง ว่ายมาที่ถนน พอน้ำลดปุ๊บ อ้าว! อยู่บนถนนแล้วทำอย่างไร? ดิ้นผลักๆ …
“ไม่ได้แล้วๆ ต้องหาน้ำลงให้ได้” เป็นภาพเดียวกัน
ผู้เชื่อได้รับวิญญาณใหม่แล้ว ได้รับความคิดจิตใจใหม่แล้ว ได้เป็นเหมือนพระเจ้า 100% แล้ว จะไม่สามารถจมปลักอยู่ในความบาปได้นาน มันเป็นไปไม่ได้ พอทำผิดปุ๊บ เรารู้ว่าไม่ใช่ๆ เราต้องรีบถอยตัวออกมา แล้วเราก็พยายามทำให้ตัวเราเองเข้ามาอยู่ในพระองค์ให้ได้ แต่จริงๆ แล้วเราอยู่ในพระองค์อยู่แล้วล่ะ แค่ว่าความเป็นจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างที่บอกไง พระเจ้าซื้อชีวิตเราแล้ว พระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว แต่อันหนึ่งที่อยากให้พระเจ้าบังคับเรามากเลยว่าพอซื้อชีวิตเราแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตีกรอบเราเลย ใช้รีโมตคอนโทรลเลยว่า …
“เป็นอย่างนี้ๆ ทุกวันตื่นขึ้นมา เธอจะรักฉัน เธอจะเชื่อฉัน เธอจะประพฤติตามที่ฉันบอกทุกประการ”
แต่ความเป็นจริงในวิญญาณ คือเรารักพระองค์แล้วนะ เราเชื่อฟังพระองค์ 100% เลย แต่ร่างกายเรา ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีโอกาส ที่จะดื้อกับพระเจ้าได้ เราอยากให้พระเจ้าบังคับเรามากเลย เพราะเราไม่อยากดื้อกับพระเจ้า แต่พระเจ้าของเราน่ารักที่สุด คือพระองค์ไม่บังคับเรา แม้พระองค์เป็นเจ้าของชีวิตเรา พระองค์ซื้อเราเรียบร้อยแล้ว แต่พระองค์ยังให้อิสรภาพกับผู้เชื่อทุกคนที่จะตัดสินใจ อิสรภาพตรงนี้แหละ ที่พระเจ้าให้เราว่าแต่ละวัน แต่ละนาที แต่ละวินาที เราจะตัดสินใจอย่างไร? เราจะตัดสินใจตามที่พระเจ้าบอกเรา หรือเราจะตัดสินใจตามที่โลกนี้ส่งข้อมูลเข้ามาหาเรา เราเป็นคนตัดสินใจ แล้วเมื่อเราตัดสินใจปุ๊บ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลด้วยนะ การตัดสินใจของเราทุกอย่าง เราจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ด้วย
เมื่อเราตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทำตามธรรมชาติใหม่ ยอมให้พระเจ้าใช้ ยอมให้พระเจ้าดูแล นำพา ให้ส่งผลของความเป็นตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้ผู้คนได้เห็น ได้รับรู้ ได้สัมผัส ได้ประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราทำอย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น อันดับแรกเลย พระพร คือเรามีความสุขไง พี่น้องรู้สึกไหม? เวลาเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เรามีความสุข แต่พอเราดื้อ มันมีโอกาสดื้อไหม? มีโอกาสดื้อตลอดเวลา ทุกวินาทีอีกต่างหาก พอเราดื้อปุ๊บ เราก็ …
“ไม่เอา พระองค์เจ้าข้า ไม่อยากเป็นคนดี ขอทำตามใจตัวเองหน่อย”
พอเราทำออกไปปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน มันเป็นผลนะ ข้างในเราทุกข์ พวกเราเป็นไหม? มันทุกข์ไง เขาเรียกเห็นผลทันตา มันทุกข์ พอทุกข์ทำอย่างไร? ทุกข์แล้วไม่ต้องไปจมปลักกับความทุกข์นั้น แค่บอก …
“พระเจ้าขอช่วยลูกด้วย ในคราวต่อไปถ้าลูกจะดื้อ ขอพระเจ้าให้กำลังที่ลูกจะไม่ดื้อ หรือลูกจะดื้อน้อยลง” อะไรประมาณนี้
สิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ ไม่ว่าพฤติกรรมอะไรทั้งหมด ที่เราทำอยู่บนโลกใบนี้ มีอยู่คำเดียว คือมันไม่มีผลอะไรกับความรอดของเราเลย พระเจ้าไม่ได้สนใจเลย นี่ต้องบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สนใจว่าเราทำอะไร? แต่พระเจ้าสนใจว่าเราอยู่ไหน?
คำว่า “เราอยู่ไหน?” พี่น้องนึกภาพออกไหม? ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เธออยู่ไหน? ตอนนี้เราอยู่โบสถ์โฮลี่ ที่แพรกษา ไม่ใช่ มันไม่เกี่ยวกับตรงนี้
เราอยู่ไหน? หมายความว่าวิญญาณของเรา ณ เวลานี้ อยู่ที่ไหน? วิญญาณของผู้คนบนโลกใบนี้ ณ เวลานี้ อยู่ที่ไหน? แล้ววิญญาณของพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เรานั่งอยู่ที่นี่ คือวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ อย่างไรเราก็ปลอดภัย ปลอดภัยในด้านของวิญญาณ คือสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าเมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา พระองค์ก็จะคอยดูแล นำพา ย่างเท้าตลอดชีวิตของเรา จนถึงจุดหมายปลายทาง ก็คือวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วิญญาณเราได้ไปพบกับพระเจ้า ที่สวรรคสถาน ก็คือที่เดิมนั่นแหละ ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เราอยู่กับพระเจ้าบนสวรรคสถานแล้วใช่ไหม? พระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้นะ เราก็เชื่อตามนี้
พระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา และ ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทรงให้พระเยซูคริสต์ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรคสถาน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็อยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรคสถานเหมือนกัน คือที่เดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แยกกันไม่ได้ ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องใช้ความเชื่อใช่ไหม? เชื่อตามที่ถ้อยคำพระเจ้าบอก
แต่จะมีวันหนึ่ง เมื่อถึงวาระของแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะให้เราแต่ละคนอยู่บนโลกใบนี้ นานสักแค่ไหน? หรือค่ำคืนนี้ พระเจ้าอาจจะบอกดิฉันว่า …
“วราพรจบงานแล้ว กลับบ้านได้”
แล้วพรุ่งนี้ก็จะส่งข่าวถึงสมาชิกว่าเรามีงานไว้อาลัยที่โบสถ์ นั่นแน่ะ คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วผู้เชื่อ เราสามารถพูดเรื่องนี้ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ที่เราไม่เชื่อพระเจ้า หรือถ้าอยู่บ้านคนจีน ยิ่งห้ามพูดคำว่า “ตาย” อัปมงคล ก็จะโดนผู้ใหญ่ดุ พูดอะไรเรื่องตายๆ พูดไม่ได้นะ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา คือความตาย คือประตูที่เราจะเดินเข้าไปสู่สวรรค์ ในสถานที่ที่เราจะไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาลจริงๆ ตอนนี้ เราจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เราจะไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะสามารถออกมาเห็นตัวตนใหม่ของเราเองจริงๆ ก็คือร่างกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าสัญญาว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง เราจะไปสวมร่างกายใหม่นี้ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี
ฉะนั้น ความตายจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับผู้เชื่อเลย ไม่มีความน่ากลัวเลย เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอก “อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร” เราเป็นคริสเตียน ตายปุ๊บ กำไรทันที กำไรตรงไหน? ตรงที่เราไม่ต้องมาเผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว
เพราะพระเยซูบอกว่าในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ท่านทั้งหลายจะประสบกับความทุกข์ยาก พระเยซูก็ไม่ได้บอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความสุขสบาย แฮปปี้จิงกะเบลทุกวัน พระเยซูไม่ได้บอกอย่างนั้น บนโลกใบนี้ เราประสบกับความทุกข์ยาก แต่ความทุกข์ยากเหล่านี้ ถ้าเทียบกับนิรันดร์กาล ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเรา มันเทียบไม่ได้เลย เพราะว่าโลกนี้ แค่ชั่วคราว แป๊บเดียวเอง โลกนี้ไม่ใช่ที่อาศัยถาวรของเรา แต่โลกหน้าต่างหาก สวรรค์นิรันดร์กาลที่ผู้เชื่อทุกคนรอคอย ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า ที่สวรรคสถาน
เหมือนอาจารย์เปาโลจะบอกว่า … “ข้าพเจ้าไม่สนใจอะไรแล้ว ข้าพเจ้าโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อที่จะไปฉวยรางวัล ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ผู้เชื่อทุกคน”
ความหวังของผู้เชื่อทุกคนจดจ่ออยู่ที่โลกหน้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาไว้กับเรา ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ดำเนินชีวิตปกติ ในพระวิญญาณ ทุกวันตื่นขึ้นมาพระวิญญาณนำเราทำอะไร เราก็ทำ ถ้าเราทำอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้สึกว่าฟ้องผิดข้างใน แปลว่าพระวิญญาณนำเรา แต่ถ้าเราทำแล้วแย่ๆ อย่างนี้ แปลว่าไม่ใช่แล้วล่ะ คือข้างในวิญญาณเราจะรับรู้จริงๆ ว่าอันนี้ไม่ใช่ แต่เราต้องการฝืนพระวิญญาณ
ในข้อ 13 ที่บอกว่า … “จนกว่าเราทั้งหลายจะบรรลุความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ ในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า แล้วจนกว่าเราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
คำว่า “เติบโตเป็นผู้ใหญ่” คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์
เติบโตขนาดไหนที่เป็นผู้ใหญ่ ก็คือรับรู้ความจริงของพระเจ้า เพิ่มพูนมากขึ้นๆ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พอเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บ สิ่งที่สำแดงของการเป็นผู้ใหญ่ อันดับแรกเลย คืออดทนมากขึ้น จริงไหม? เราจะอดทนมากขึ้น ผู้ใหญ่จะอดทนได้มากกว่าเด็ก ยิ่งเด็กทารกนี่ไม่มีความอดทนเลย เด็กทารกเราเห็นไหม? ถ้าเด็กตัวเล็กๆ หิวปุ๊บจะร้องแบบลั่นบ้านเลย แล้วคนในบ้านก็จะวิ่งตาตั้งเลย หานม หาอะไรให้กิน แต่พอโตขึ้นๆ เขาก็จะเรียนรู้จักว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ โตขึ้นแล้ว ไม่ใช่จะร้องโวยวายตลอดเวลา ไม่ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะรอนิดหนึ่ง แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นๆ อดทน รู้จักรอคอยพระเจ้ามากขึ้น
ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ทำไมบางครั้ง เราไม่ทันอธิษฐานขอเลย พระเจ้าก็ส่งของที่เราแค่คิดมาเลยทันที แต่พอเราเชื่อพระเจ้านานๆ ขอแล้วทำไมยังไม่ได้อีก อะไรแบบนี้ ตกลงความเชื่อเรายังมีอยู่ไหม? ตกลงพระเจ้ายังรักเราอยู่ไหม? ตกลงอะไร เราก็โดนคำถามร้อยแปดพันเก้า ที่อยู่บนโลกใบนี้ ส่งเข้ามาๆ แต่ให้เรารับรู้ความจริงอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเราไปไหน? พระเจ้าอยู่ในเรา แล้วพระองค์คอยตอบคำอธิษฐานของเรา เมื่อเราโตขึ้น คำอธิษฐานไม่ใช่ทุกอย่างที่เราอยากได้ เป็นน้ำพระทัย แต่ถ้าบังเอิญสิ่งที่เราอยากได้เป็นน้ำพระทัย พระเจ้าก็ให้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นน้ำพระทัย พระเจ้าก็ไม่ได้ให้ พระเจ้าไม่ได้ทำให้เราเสียผู้เสียคน อยากได้อะไรให้หมดเลย เด็กอายุ 5 ขวบ ขอพ่อ …
“พ่อๆ ออกมอไซด์ให้คันหนึ่งสิ ขอบิ๊กไบร์ทด้วย”
แล้วพ่อก็บ้าจี้ตาม รักลูกมากเลย ออกมอไซด์ให้ทันที
“ลูกมา เดี๋ยวพ่อสอนให้ขี่”
ขี่เสร็จ ฉายเดี่ยวเลย เป็นอะไร? ตายลูกเดียว ออกไปก็ชนรั้วตาย อะไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น
ฉะนั้น พระเจ้าดูความเหมาะสมว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรคือสิ่งที่เหมาะสำหรับเรา เมื่อเราอธิษฐานขอ พระเจ้าก็ให้สิ่งที่พระเจ้าสัญญา ก็คือพระองค์จะจัดเตรียมทุกสิ่ง ที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรานะ จำเป็น
ฉะนั้น ในวิญญาณ พระเจ้าได้เตรียมทุกอย่างให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนของโลกใบนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัย พระองค์อยากจะอวยพรเราแบบไหน พระองค์ก็ทำของพระองค์เอง โดยที่มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย พี่น้องนึกออกไหม? โดยที่เราไม่ต้องไปเลียนแบบใคร …
“คนนั้นทำแบบนี้ พระเจ้าอวยพร เราต้องไปทำบ้าง?” มันไม่เกี่ยวกันเลยนะ
ดังนั้น พระเจ้าพอใจจะอวยพระพรใคร พระองค์ก็จะอวยพระพรคนนั้น นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า พี่น้องไม่ต้องไปคอยจ้องคนโน้นคนนี้ ให้รับรู้อย่างเดียวว่าพระเจ้ารักเรามาก มากขนาดไหน? มากขนาดยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ตายบนไม้กางเขน เพื่อเรา พระเจ้ารักเราขนาดนี้ พอไหม? ถ้ามาแลกกับความทุกข์ทรมานที่เรากำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ ร่างกายก็ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยอีก เป็นโน่นเป็นนี่ เศรษฐกิจก็ไม่ดี ขายของก็ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไปทำงานเงินเดือนลดอีก อะไรอย่างนี้ เราจะยอมให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราท้อใจไหม? ท้อได้นะ แต่ว่าไม่ทำให้เราถอดใจ อธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้ารู้ทุกอย่าง
ฉะนั้น ปัญหาไม่ได้เกิดเฉพาะคริสเตียน ปัญหามันเกิดขึ้นทั่วโลก แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา อย่างไรพระองค์ก็พาเราผ่าน ผ่านรูปแบบไหนเราไม่รู้แหละ แต่พระเจ้าพาเราผ่านแน่นอน เหมือนกับคนที่เจ็บป่วย คนที่เจ็บป่วยอธิษฐานขออะไร? ส่วนใหญ่เราป่วย เราขออะไร? …
“พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงรักษาลูกด้วย รักษาให้หายเลยนะ ลูกเป็นมะเร็ง ขอรักษาลูกให้หายเลย”
เราก็อธิษฐานแบบนี้ใช่ไหม? แต่พระเจ้าก็จะตอบคำอธิษฐานของเราตามน้ำพระทัยของพระองค์ มันมีอยู่แค่ว่าถ้าเราอธิษฐาน แล้วเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่พระองค์จะรักษาเราหาย เราหายได้ หายได้ผ่านยา ผ่านหมอ ผ่านอะไรก็ได้ แต่ให้พี่น้องรับรู้ว่าต่อให้เราหายวันนี้ วันหนึ่งเราก็ต้องตาย นี่คือความจริง หายวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้า ไม่ตายด้วยโรคมะเร็ง เราก็แก่ตาย มีค่าเท่ากัน แต่ว่าบางครั้ง พระเจ้าก็ไม่รักษาเรา พระองค์เห็นว่าพอแล้ว พระเจ้าให้งานเราทำบนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ได้เวลากลับไปพักผ่อนกับพระองค์ ได้แล้ว ไม่ต้องทุกข์ทรมาน อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว พระองค์ก็อนุญาตให้เราจากโลกนี้ไป หลายคนก็คิดว่า …
“โอ้! พระองค์ใจร้ายจัง แทนที่พระองค์จะรักษาเรา ทำไมมาเอาชีวิตเราไป”
แต่ว่าพี่น้องให้รับรู้ความจริง ทุกอย่างที่พระเจ้าให้กับเรา คือสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเรา ดีมากๆ ด้วย ก็คือตาย เราจะได้กำไร อยู่เราก็ต้องดิ้นรนต่อไป นี่คือเรื่องปกติบนโลกใบนี้ แต่ถ้าพระเจ้าให้เราอยู่ พระองค์ผู้อยู่ในเรา พระองค์จะทรงเสริมกำลังเรา ให้เราสามารถที่จะไปได้ ถูลู่ถูกัง ยังไงเราก็ไปได้ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เอเฟซัส 4:14 “เมื่อนั้นเราจะไม่เป็นทารกอีกต่อไป ถูกกระแสซัดไปซัดมา ถูกพัดไปทางโน้นทางนี้ โดยลมปากแห่งคำสอน และโดยกลลวงอันฉ้อฉลแยบยลของมนุษย์”
ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงสิ่งที่ผู้รับใช้ ของประทานที่พระเจ้าให้ เพื่อสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พอสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เหมือนเรากินนมถูกต้อง กินอาหารถูกต้อง เราก็เจริญเติบโตตามวัย เราก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเราไปกินนมผิด กินอาหารผิดสำแดง ร่างกายเราก็เจ็บป่วย เราก็ไม่แข็งแรง เราก็เจริญเติบโตไม่ค่อยสมส่วนอะไรเท่าไร? แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณของเราว่าเมื่อเรารับรู้ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า เราจะได้บรรลุถึงความเป็นหนึ่งใจเดียวกัน บรรลุถึง โตเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ พอโตเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บ เราก็มีความยับยั้งชั่งใจใช่ไหม? ผู้ใหญ่ เขารู้จักแยกแยะ เด็กไม่รู้จักแยกแยะ ถ้าเป็นเด็ก ใครพูดอะไรก็ตามไป คนนี้มาบอกว่าตรงนี้ดี เราก็ไป ตรงนั้นดี ก็ไป เด็กแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความเท็จ แต่ถ้าเราได้รับถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าทุกวันๆ สถาปนาลงไปทุกวันๆ จน มันหยั่งรากลงไป พอหยั่งรากลงไป ตอนนี้เรามั่นคงแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็จะไม่ถูกกระแสของโลกใบนี้ ที่มันส่งเข้ามาหลอกลวง อาจจะส่งมาเหมือนเป็นถ้อยคำพระเจ้า แต่เป็นถ้อยคำปลอมปน มันไม่ใช่ เราก็จะแยกแยะออกว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว
ยกตัวอย่างพระเยซูบอกว่าพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ได้ชำระล้างความผิดบาปของพวกเราทั้งหมด ทั้งสิ้น หมายความว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคต มันจบแล้ว นี่คือความจริงที่พระเยซูบอก แต่ว่าถ้ามีใครมาบอกเราว่า …
“ไม่จริงๆ ยังไงเธอทำบาป เธอก็ต้องสารภาพบาป เธอยังเป็นคนบาปอยู่เลย”
อันนั้นไม่จริง อันนั้นเป็นกระแสของโลกนี้ที่เข้ามา ทำให้เราหลงเชื่อ เราไม่เป็นคนบาปอีกแล้ว พระเจ้าบอกเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ ตัวบาปของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่เข้ามาเป็นตัวตนใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เหมือนพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ มีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าแล้ว ตัวเราเองไม่มีบาปเลย ถ้าใครมาบอกเราว่า …
“ท่านเป็นคนบาป”
ไม่ต้องรับ เพราะว่านั่นคือคำโกหก ตรงนี้แหละ ความจริงของพระเจ้าจะไม่ทำให้เราสงสัยว่า …
“ใช่ๆ เรายังบาปอยู่หรือ? รีบๆ ไปสารภาพบาป”
ไม่ใช่เลย เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว พระเจ้าบอกอย่างนั้น ไม่ว่าถ้อยคำอะไรก็ตาม ที่เราได้ยินได้ฟังผ่านปากของใครก็ตาม ที่มาบอกเราตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าความรอด เรารอดแล้วรอดเลย เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้ว เป็นเลย ไม่ว่าเราทำอะไร ไม่มีผลอะไรที่จะทำให้เราหลุดไปจากทางของพระเจ้าได้เลย แล้วถ้าเราได้ยินคำอะไรก็ตามที่บอกเราว่า …
“เธอทำอย่างนี้ เดี๋ยวหลุดจากทางของพระเจ้า พระเจ้าไม่เอาเธอแล้วนะ เดี๋ยวเธอก็ไม่รอดหรอก เดี๋ยวเธอก็ตกนรกหรอก”
อันนั้น คือคำโกหก มันไม่จริง พอไม่จริง เราแยกแยะได้ เราก็ไม่รับมัน
นี่คือผลของคนที่เจริญเติบโตในด้านวิญญาณ ที่จะสามารถรับรู้ว่าอะไรคือคำโกหกหลอกลวง อะไรคือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เพื่อเราจะได้สามารถที่จะยืนหยัดอยู่ในความเชื่อ ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าแล้ว เราเป็นความรักแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน
โรม 5:12 … “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”
เชื้อบาปก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณ ที่ทำให้มนุษย์ถึงตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนคนเดียว คืออาดัม ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง ก็คือปฏิเสธการรับการรักษานั่นเอง
1 ยอห์น 1:8-10 … “8 ถ้าเราปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเรา 9 ถ้าเรายอมจำนนรับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”
ถ้าท่านยอมรับความจริงว่าพระเจ้าสามารถรักษาท่านให้หาย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ยอมจำนนต่อความจริง แล้วรับการรักษาเถิด
วิธีรักษา …
โรม 10:9-10 … “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด (รอดจากความพินาศ ในวิญญาณหลังความตาย) ได้เข้าอาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์”
พระเจ้าอวยพรครับ