วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1422

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราอยู่ในซีรี่ย์ที่มีหัวข้อเรื่องว่า “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”  ตอนที่ 3 เหมือนเคย

            หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 2 ตอน เราก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าในบริบทของคำอธิษฐานตรงนี้ ท่านฟังมา 2 ตอนแล้ว ท่านสามารถที่จะตอบได้แล้วว่าคำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม  เพราะมนุษย์ไม่มีใครสามารถทำได้ครบหรอก

            “พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม”

            เพราะว่าจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถให้อภัยด้วยความบริสุทธิ์ จากใจจริง เพราะในวิญญาณนั้นเป็นคนบาป ข้างในธรรมชาติ  เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เป็นธรรมชาติอยู่ภายในวิญญาณในใจ พระเยซูยกตัวอย่าง ก็คือหลุมศพ ฉาบด้วยปูนขาว คือการกระทำดีภายนอก พระองค์ต้องการชี้ให้เห็นความจริง ให้เห็นถึงความบาปที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งพระองค์กำลังพูดกับชาวยิวที่กำลังฟังอยู่ บอกกับชาวยิวที่หลงตัวเองว่าเป็นคนพิเศษจากพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ  เพราะว่าที่พระเจ้าได้ให้อภัยกับท่าน ไม่ใช่เพราะท่านรักษาบทบัญญัติได้ครบหรอก แต่เป็นเพราะพระเมตตาของพระเจ้าที่ให้ท่านสามารถที่จะกลบเกลื่อนบาปโทษของความบาปของท่านได้แบบชั่วคราว แบบปีต่อปี ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็ยังคงสถานะธรรมชาติในวิญญาณเป็นคนบาป ที่ได้รับการอภัยโทษชั่วคราว ปีต่อปีจากพระเจ้า โดยผ่านทางการถวายโลหิตของสัตว์ เรียกว่าสัตวบูชา ตามพันธสัญญาเดิม  ที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของเขา

            บรรพบุรุษของอิสราเอล คือชาวยิวที่เป็นต้นพันธสัญญา  คืออับราฮัม พระเจ้าบอกว่าที่อับราฮัมทำตามบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้อับราฮัมและลูกหลานของอับราฮัม คือชาวยิวนั้น เป็นผู้ชอบธรรมนะ แต่พระองค์ทรงตรัสบอกว่าความชอบธรรมของอับราฮัม พระองค์ทรงนับจากที่เขาเชื่อต่างหาก ไม่ใช่เขาประพฤติ อับราฮัมนับเป็นความชอบธรรมจากความเชื่อ ไม่ใช่ความประพฤติ เขาเป็นต้นกำเนิดของชาวยิว ที่ทำตามบทบัญญัติเหล่านั้น  แต่บทบัญญัติเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่พระเจ้าเมตตาให้อภัยเขาชั่วคราว  และนับเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อเหมือนอับราฮัม

            ด้วยความเชื่อศรัทธาว่าในโลกที่มองไม่เห็น  มีพระเจ้าจริงๆ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายที่มองเห็นทั้งหมดนี้ และมองไม่เห็นด้วย สรรพสิ่งทั้งหลายที่มองเห็นทั้งหมดและมองไม่เห็นนั้น ถูกสร้างขึ้น โดยผู้หนึ่งที่เรียกว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด และใครเชื่อแบบนี้ พระเจ้านับเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรม นี่ท่านจะได้รู้แบล็คกราว์นของคำว่า “เป็นผู้ชอบธรรม” ในช่วงนั้น  แต่วิญญาณเขาก็ยังเป็นวิญญาณบาปอยู่ เพียงแต่พระเจ้านับเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะด้วยความเชื่อ

            ซึ่งพระเมตตาตามพันธสัญญาเดิม ที่ให้ไว้กับอับราฮัมนี้ พระเยซูกำลังบอกว่ามันกำลังจะถูกยกเลิก มันกำลังจะสิ้นสุดลง  มันกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเร็วๆ นี้ ในอีกไม่นานนี้ เปลี่ยนจากการกลบเกลื่อนชั่วคราว จากการลงโทษเนื่องจากบาปปีต่อปี มาเป็นการลบ ไม่ใช่กลบเกลื่อนแล้วนะ ลบเอาโทษของความผิดบาป ออกไปเลยแบบถาวรนิรันดร์  ซึ่งต้องผ่านทางการบังเกิดใหม่  พระเยซูกำลังมาพูดให้เขาฟังอย่างนี้  กำลังอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง คือท่านต้องบังเกิดใหม่แล้ว เหลืออยู่ทางเดียว คือเกิดใหม่ในวิญญาณของท่าน พระเจ้าจะให้วิญญาณใหม่ ให้ใจใหม่กับท่านที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ เหมือนตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย พระองค์กำลังจะอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งนี้มันกำลังจะเกิดขึ้น พระเยซูกำลังประกาศว่าเพราะฉะนั้น ท่านอย่าพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ก็คือทำตามบทบัญญัติ ที่ท่านทำมาตั้งแต่อดีต และทำจนกระทั่งแทนที่จะรู้ว่าตัวเองนั้นได้รับการอภัย เพราะความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ไม่ใช่เพราะการกระทำ พอทำมานานๆ แทนที่ท่านจะนมัสการขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมีพระเมตตา อภัยให้กับท่าน เพราะว่าท่านนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อว่ามีพระเจ้า นมัสการพระเจ้า กลายเป็นท่านกำลังนมัสการตัวเอง พึ่งพาตัวเอง  และภูมิใจในตัวเองว่า …

            “ฉันทำดี พระเจ้าจึงให้ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

            ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าเปลี่ยนจากบุคคล มาเป็นบูชากฎ เปลี่ยนจากบูชานมัสการพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า มาเป็นขอบคุณกฎ กฎ คือฉันทำได้ พึ่งพาตนเอง พอฉันทำได้ ก็เย่อหยิ่ง แล้วก็บูชากฎ นี่แหละคือรูปเคารพที่อยู่ในใจพวกเขา

            พระเยซูกำลังจะมาบอกว่าให้เขาหันกลับ กลับใจจากรูปเคารพเหล่านี้ จากการพึ่งพาตนเองเหล่านี้ ไม่พึ่งพาตนเอง แล้วก็กลับมาหาพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ กลับมาวางใจ พึ่งในพระองค์ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ส่งมา  เป็นทางใหม่ ทางเดียวนี้เท่านั้น  ที่ท่านจะสามารถได้รับการอภัยโทษรอดพ้นจากความบาป และรอดพ้นจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป หลังความตายได้ ถ้าท่านยังบูชาตัวเองและนมัสการการกระทำดีของตัวเอง ท่านไปไม่รอดแน่

            เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูอธิบายในบริบทนี้  ที่บอกว่าไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง  แต่ให้พึ่งพาพระองค์เท่านั้น พระเยซูกำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ว่ากันตามจริงแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            จะตีความหมายอะไร? ต้องคิดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ฉะนั้น พระเยซูกำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเกี่ยวกับการเข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า เข้าอาณาจักรของพระเจ้า  ไม่ได้หมายถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านจะตีความหมาย และรู้ความหมายของสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้นั้น ได้ชัดเจนถูกต้องมากขึ้น เช่น พระเยซูบอกว่า …

            “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

            พระองค์กำลังเล็งถึงอะไร? โลกฝ่ายวิญญาณ คำว่า “แสวงหาความชอบธรรม” ตรงนี้ ก็หมายถึงแสวงหาการบังเกิดใหม่ ความชอบธรรมตรงนี้ไม่ได้แปลว่าแสวงหาการกระทำ แสวงหาความดีงาม ความชอบธรรมตรงนี้ หมายถึงการบังเกิดใหม่ ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า ความชอบธรรมที่เป็นของพระเจ้า  ที่พระเจ้าประทานให้ ผ่านทางพระองค์ ก็คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะการบังเกิดใหม่นี่ ทำให้เรามีเชื้อสายเป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ ตรงนี้เรียกว่าวิญญาณของคนชอบธรรม ท่านพอมองเห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้ มันต้องมาจากความรู้พื้นฐานว่าพระเยซูกำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่ความประพฤติ การปฏิบัติ ท่านจะเขวไปอีกทางหนึ่งเลย  ซึ่งพระองค์กำลังจะมาบอกว่าอย่าไปพึ่งพาการไปปฏิบัติ อย่าไปเพ่งมองดูแต่การปฏิบัติ แต่จงมาเพ่งมองดูที่ความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร? และมาทำอะไร? เห็นไหม? โลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่พระองค์ทรงตรัสอีกว่าถ้าทำต้นไม้ให้ดีก่อน ผลก็ออกมาดี แต่ถ้าทำต้นไม้เลว ผลออกมาก็เลว ผลจะเลวหรือจะดี เกิดจากชนิดของต้นไม้

            ต้นไม้ คืออะไร? ถามแล้วตอนนี้ ผมบอกใบ้ให้ท่าน ท่านเริ่มจะรู้แล้วตอนนี้  พระองค์พูดถึงเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ต้นไม้ ก็คือวิญญาณ ถ้าวิญญาณข้างในดี ผลออกมา ก็ดี ถ้าวิญญาณข้างในไม่ดี ผลออกมา ก็ไม่ดี ผล คือความรอด ในวิญญาณของท่าน ไม่ดีแน่ ท่านจะเริ่มเข้าใจ สิ่งที่พระเยซูพูดมากขึ้น เข้าใจหลักการพื้นฐานตรงนี้  ช่วยท่านเยอะ มันเป็นกฎของวิญญาณ กฎก็คือกฎ กฎแปลว่าอะไร? กฎแปลว่าพระเจ้าวางไว้ แล้วพระองค์ทรงดูแลให้เป็นไปตามกฎ ใครประพฤติตามกฎ เขาก็ได้ตามกฎ ใครไม่ประพฤติตามกฎ เขาก็ไม่ได้ตามกฎ

            กฎในสวรรค์ ก็คือใครจะอยู่ในสวรรค์ได้ ต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย 100% เพราะฉะนั้น ใครที่ผิดพลาด  จากกฎฝ่ายวิญญาณนี้ แม้แต่นิดเดียว คือมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่บริสุทธิ์นิดเดียว ก็ต้องได้รับโทษตามกฎนี้เหมือนกัน คือเข้าสวรรค์ไม่ได้ ไม่ว่าจะไม่บริสุทธิ์ แค่ 1%  หรือไม่บริสุทธิ์ 50% ไม่มีใครดีกว่าใคร? ก็คือไม่บริสุทธิ์เท่ากัน ถูกไหม? จะบาป ฆ่าคนตาย หรือฆ่าช้างตาย มีค่าเท่ากัน ถ้ายกตัวอย่างนี้ยิ่งชัดเลย ท่านจะฆ่าวัวตาย  หรือตบยุ่งตาย มีค่าเท่ากัน นี่เอามาเทียบในสายตามนุษย์นะ  ท่านจะฆ่าคนตาย หรือบอกว่าไอ้บ้า มีค่าเท่ากัน คือวิญญาณท่านต้องสะอาดบริสุทธิ์ 100% ถึงจะเข้าสวรรค์ได้

            นี่คือกฎบัญญัติในโลกวิญญาณ ที่บันทึกไว้  และมีบันทึกไว้ว่าคนที่จะเข้าสวรรค์ได้ จะต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ที่จะทำให้คนนั้นบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ เขาต้องเป็นลูกพระเจ้า  เป็นวิญญาณนิรันดร์ที่เกิดจากพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่บริสุทธิ์ ต้องดีพร้อมเหมือนพระเยซู ซึ่งมีใครทำได้บ้าง พึ่งพาตนเอง ทำไม่ได้ ไม่มีทางเลย นอกจากเชื่อในพระเยซู ก็คือเชื่อในพระเมสิยาห์ ก็คือเชื่อในผู้พูด ก็คือพระเยซูที่มาชี้ให้เขาเห็น  ก็คือถ้าเชื่อในพระเยซู เขาก็จะตายกับพระเยซู ถูกฝังไว้กับพระเยซู และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซู ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้  กระบวนการเหล่านี้ คือการบังเกิดใหม่เหล่านี้ทั้งหมด ด้วยพระองค์เอง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เขาทั้งหลายต้องพึ่งในพระเจ้าเท่านั้น นี่คือในบริบทนี้ พระองค์กำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็น ได้เข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณ

            การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็มีกฎหมาย ที่เราต้องปฏิบัติตาม กฎของโลกวัตถุ ก็เป็นกฎ แต่มันแตกต่างจากโลกฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งไม่ใช่บอกว่าฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎของโลกวัตถุนี้อีกต่อไป  กฎบัญญัติทางโลกวิญญาณกับกฎบัญญัติแบบโลกนี้ มันคนละเรื่องกันเลย แต่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นถึงกฎทางโลกวิญญาณเท่านั้น

            ทางโลกวิญญาณ ใครที่เชื่อพระเยซู วางใจในพระเยซู ก็ได้รับการอภัยจากความผิดบาปหมดทั้งสิ้นแล้ว ไม่มีการกล่าวโทษอีกแล้ว ถ้าเชื่อพระเยซู ความรอด จากโทษของความบาป ความผิด  ที่เราได้รับนั้น เป็นความรอดนิรันดร์ วางใจในพระเยซู ได้ความรอดนิรันดร์ รอดตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนถึงหลังความตาย  จนถึงนิรันดร์ เอเมนไหม? พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ เราไปสวรรค์แน่นอน เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ด้วย  แต่ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้  เรายังอยู่ภายใต้กฎระเบียบ เขาเรียกว่ากฎของวัตถุ ตามธรรมชาติของโลก และตามกฎหมายบ้านเมือง ใครที่ทำผิดกฎเหล่านี้ ต่อให้เป็นผู้เชื่อที่อยู่ในกฎของโลกวิญญาณแล้วก็ตาม ก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ตามกฎธรรมชาติของโลกใบนี้ด้วย  ไม่มีใครพิเศษกว่ากันเลย  เท่ากันหมด  ไม่ว่าจะเป็นคนเชื่อพระเจ้า  หรือไม่เชื่อ  หรือแม้กระทั่งไม่เชื่อพระเจ้า ทำดีมากหรือทำดีน้อยบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีนะ แล้วอะไรดีล่ะ  นั่งเรือไป เรือแตก ไม่มีชูชีพ  อยู่กลางทะเล  ถ้าไม่มีใครมาช่วย ไม่ช้าไม่นาน  ก็ต้องจมน้ำตาย  ถูกไหม?  หรือว่าคนทำดีนั้น ได้นานกว่า หรือว่าคนที่จม จมเหมือนกันนะ ถูกไหม?  หรือว่าถูกฟ้าผ่าตาย  ฟ้าผ่าเฉพาะคนที่สาบานไว้ว่า …

            “นี่คือความจริง ถ้าไม่เชื่อ ฉันขอให้ฟ้าผ่าตาย”

            เดินออกไปเลย ฟ้าผ่า นี่สงสัยสาบานไว้  ไม่ว่าจะคนดีหรือไม่ดี ถ้าทำผิดกฎของวัตถุของโลกใบนี้ เอามือถือเดินออกไปกลางฝนฟ้ากำลังคะนอง เป็นสื่อล่อ แล้วก็ถูกฟ้าผ่าตาย  แล้วเราก็ไปตรวจดูกันใหญ่เลยว่าเขาทำดีหรือไม่ดี? เขาทำบุญไว้เยอะหรือไม่เยอะ? หนักกว่านั้น คือเขาเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า? เขาเชื่อทำไมเขาเป็นอย่างนี้? เขาอธิษฐานเยอะแยะ ทำไมเขาถูกฟ้าผ่าตาย? คุ้นๆ ไหม?

            หรือตกต้นไม้ตายยิ่งชัดใหญ่เลย คริสเตียนที่ไม่ระวัง ไม่เคารพต่อกฎของโลกวัตถุนี้ ก็คือกฎของแรงดึงดูดของโลก ปีนต้นไม้ขึ้นไป โดยไม่มีเชฟตี้ ไม่มีอะไรเลย เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว  แล้วตกมาตายไหม?  มีโอกาสตกไหม? ตกแน่นอน กับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเลย ปีนต้นไม้ขึ้นไป แต่เคารพในกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก รู้ว่าสิ่งเหล่านี้อันตราย  มีคนเตือนไว้ เคารพต่อสิ่งเหล่านี้ ก็เลยเซฟตี้ไว้ เอาเข็มขัดนิรภัย รัดไว้ด้วย ตกลงมา ตายไหม?  ไม่ตาย เพราะเข็มขัดช่วยไว้  หรือพระเจ้าช่วย? ใครช่วยไว้ เข็มขัด เพราะเขาทำถูกกฎไง?  นี่ชัดเจนเลย

            หรืออย่างคนที่อยู่ในประเทศไหนก็ได้  ที่มีกฎบัญญัติว่าอย่างไร? ก็ทำตามกฎบัญญัติเหล่านั้น เขาก็ไม่ต้องรับโทษใช่ไหม? แต่ถ้าอยู่ในประเทศนี้ หรือประเทศไหนก็ได้ เขามีกฎอย่างนี้อยู่ แล้วเราไม่เคารพกฎเขา เราไปทำละเมิดกฎเขา โดนหรือไม่โดน? โดน แล้วเราไปอ้างว่าเราเป็นคริสเตียนนะ ได้หรือเปล่า? มันคนละกฎกัน เขายังไปสวรรค์อยู่ แต่เขามีความทุกข์มากขึ้นบนโลกใบนี้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะมันมีตัวอย่างเยอะแยะ ถือโอกาสมาทำความเข้าใจกับท่าน ให้ท่านได้เห็น บางทีท่านอาจจะวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อ กับคริสเตียนในปัจจุบัน มันสับสน ระหว่างโลกวิญญาณกับโลกวัตถุ สับสนระหว่างกฎของวิญญาณกับกฎของวัตถุ มาตีสลับกัน จนกระทั่ง ยุ่งมาก ท่านเลยไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร? ทำไมคริสเตียนเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นกับเขา ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด 19 ที่หนักๆ ที่ผ่านมา ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่าง ที่มีผู้ที่แยกไม่ออกระหว่างโลกวิญญาณกับโลกวัตถุชัดเจนเลยนะ เวลาเกิดวิกฤตอะไร จะเห็นชัดเจนว่าโลกวิญญาณ โลกวัตถุมันสลับวุ่นวายกันหมด เช่น กฎหมายออกมาบอกว่าให้รักษาระยะห่าง ให้ social distancing ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักๆ ตายกันเป็นเบือ ให้ละเว้นการไปในที่ชุมชน  มีคนจำนวนมากๆ  เราเคยได้ยินใช่ไหม? ซึ่งจากข่าวที่ออกมา เราก็ได้เห็นผู้เชื่อ หรือคริสเตียนหลายแห่ง ที่ไม่ยอมทำตามกฎนี้  โดยใช้เรื่องพระเจ้า ใช้เรื่องโลกวิญญาณเข้ามาเป็นข้ออ้างว่า …

            “นี่ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองฉันได้”

            คริสตจักรบางแห่ง ก็ถูกตัดสินลงโทษ ตามกฎหมาย นี่ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ  คริสตจักรบางแห่งถูกตัดสินว่าการประกาศให้สมาชิกในคริสตจักร  ไม่ทำตามกฎหมายบ้านเมือง  ที่เขาออกมา มันเดือดร้อนคนอื่นเขาด้วย ถูกลงโทษนะ ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

            เราเคยได้ยินใช่ไหม? ที่ออกข่าวมา คริสเตียนหลายคน ในหลายคริสตจักรต้องเสียชีวิต เพราะความเชื่อแบบผิดๆ  ผิดอย่างไร? ก็คือบอกว่า …

            “พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลฉันได้ ในนามพระเยซู พระเจ้าทรงรักษาฉันให้หายได้ ในนามพระเยซูฉันสั่งอะไรออกไป ฉันมีฤทธิ์เดชอำนาจในนามพระเยซู ฉันสั่งไวรัสโควิดอย่ามาแตะต้องฉันเด็ดขาด”

            เราเรียนรู้ตรงนี้มาเยอะแล้ว เราก็พอจะเข้าใจ เราอาจจะคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอ? แล้วมันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปแล้วจริงๆ ซึ่งผมเองก็พบกับตัวอย่างนี้เหมือนกัน ในช่วงที่ระบาดหนักๆ  ก็พบกับคริสเตียนกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกัน ก็ได้พูดคุยกัน พอคุยกันไปได้สักพัก ผมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แล้วเขาไม่ใส่

            ผมก็เลยถามว่า … “ทำไมไม่ใส่หน้ากากอนามัย”

            เขาบอก … “ไม่ใส่หรอก เชื่อในพระเจ้า เรามีฤทธิ์อำนาจใหญ่กว่าเชื้อโรคโควิด โควิดทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

            ผมก็เลยเงียบๆ ผมไม่ได้ตามเขา ผมก็ใส่ของผมไป ผมก็พูดไป ท่านลองคิดดูสิ ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้น เขาอาจจะไม่ติดก็ได้ แต่สิ่งที่เขาทำ อาจจะทำให้คนที่ไม่ติด ไม่ควรจะติด กลับกลายเป็นติดก็ได้ อาจจะ นี่ผมกำลังพูดถึงว่าอาจจะ เขาอาจจะนำเชื้อไป โดยที่ตัวเองไม่มีอาการ อาจจะนำเชื้อไปให้คนทางบ้านก็ได้  เราไม่รู้ ช่วงที่โควิดกำลังรุนแรง แล้วทางรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญทั้งโลก เตือนแนะนำให้ทำอะไรบ้าง? ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

            เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้ว่ากฎของวิญญาณ เขาเป็นอย่างหนึ่ง กฎของโลกวัตถุนี้เป็นอย่างหนึ่ง  อย่างในพระคัมภีร์ในหนังสือ 1 เปโตร สอนเราว่าอย่าทนทุกข์ทรมาน เพราะทำชั่ว หรือจากการประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง แต่ถ้าทนทุกข์เพราะพระคริสต์ ถูกข่มเหงเพราะพระคริสต์ ก็ไม่เป็นไร ก็ยินดี มันจำเป็น มันเกิดขึ้น อย่างนี้ เห็นชัดเลยนะ ยกตัวอย่างให้ท่านดูใน 1 เปโตร 4:15-16 ท่านจะเห็นชัดเจนระหว่าง 2 กฎนี้ …

        1 เปโตร 4:15-16 “15 ถ้าท่านทนทุกข์  ก็อย่าให้ทนทุกข์  ในฐานะที่เป็นฆาตกร  ขโมย  หรืออาชญากรประเภทต่างๆ  หรือแม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น 16 แต่ถ้าท่านทนทุกข์ในฐานะที่เป็นคริสเตียน ก็อย่าละอาย แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่ท่านได้รับการเรียกขานตาม”

            เห็นไหมมันแยกกัน 2 กฎชัดเจนเลย นี่กำลังพูดถึงคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว  อยู่ในกฎโลกวิญญาณ แต่ขณะเดียวกัน อยู่ในโลกวัตถุ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของโลกใบนี้ด้วย

            ในนี้บอกว่า “ถ้าท่านทนทุกข์ ก็อย่าให้ทนทุกข์ ในฐานะเป็นฆาตกร” คริสเตียนเป็นฆาตกรได้ด้วย  “หรือเป็นขโมย หรืออาญชากรประเภทต่างๆ” คริสเตียนประพฤติอย่างนี้ได้หรือ? ตอบสิ ได้หรือไม่ได้? ได้ ก็นี่เขียนไว้  ถูกหลอกจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ และทำให้มันเกิดทุกข์ แม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น เห็นไหม? คริสเตียนยังปฏิบัติอย่างนี้เลยนะ ปฏิบัติแล้วเกิดอะไรขึ้น? ในโลกวิญญาณเขายังเป็นคริสเตียน  เขาได้รับความรอดนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน 100% แต่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความทุกข์ที่ไม่จำเป็น ทุกข์เกินความจำเป็น  อยู่บนโลกใบนี้ ก็มีความทุกข์ตามปกติอยู่แล้ว แต่นี่ไปทำสิ่งต่างๆ ที่ละเมิดกฎของโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่น การฆ่าคนตาย การขโมย การเป็นอาชญากรประเภทต่างๆ หรือแม้แต่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นเขา อย่างนี้ก็ทำให้มันทุกข์มากขึ้น ท่านพอเห็นหรือยัง? อาจารย์เปโตรบอกว่าถ้าท่านทุกข์มากขึ้น เพราะว่านี่โลกวิญญาณแล้วนะ  ถ้าถูกข่มเหง ข่มเหงแปลว่าอะไร? ข่มเหงเพราะความเชื่อเป็นลูกพระเจ้า วิญญาณของท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านอยู่กับพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านเป็นศัตรูกับระบบของโลกใบนี้กับวิญญาณที่อยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นวิญญาณมืดบอด วิญญาณบาปที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ท่านอาจจะถูกข่มเหงรังแก ก็คือการเป็นศัตรูกัน จากภายในในโลกวิญญาณ  เห็นไหมมันต่างกันแล้ว  ท่านอาจจะถูกข่มเหงจากผู้คนรอบข้าง  ที่เขายังไม่เชื่อ อาจจะมาจากครอบครัว คนใกล้ชิด คนที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน  เพื่อนฝูงที่เคยรักกัน  พอรู้ว่าเราเปลี่ยนแปลงมาเชื่อพระเยซู เริ่มรู้สึกทำอะไรแปลกๆ กับเรา อะไรต่างๆ อย่างนี้ เรียกข่มเหง นี่เรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            คราวนี้เรากลับมาตามหัวข้อเรื่อง กลับมาที่มัทธิว 6:9-15 ที่เรากำลังทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามบริบทอยู่นี้ ซึ่งมันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับโลกวัตถุ ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กันถึงข้อพระคัมภีร์ก่อนหน้า ก็คือบทที่ 5 จำได้ใช่ไหมที่ผมบอกว่าถ้าเราจะวิเคราะห์หรือตีความ ข้อพระคัมภีร์ตรงไหน?  แล้วเราอยากจะรู้ลึกซึ้ง ในบริบทว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เพื่อจะได้ตีความหมายได้ถูกต้อง  เราต้องย้อนกลับไปดูที่ก่อนข้อความนั้น  ในบริบทเขาพูดถึงอะไร?  และหลังจากข้อความนั้น ในบริบทเขาพูดถึงอะไร? มันจะมีความกระจ่างมากขึ้น

            ตอนนี้เราจะวิเคราะห์เรียนรู้กันในข้อพระคัมภีร์หลังบทที่  6 ครั้งที่แล้วเราวิเคราะห์กันตามข้อพระคัมภีร์ก่อนบทที่ 6 ก็คือบทที่ 5 วันนี้หลังบทที่ 6 ก็คือบทที่ 7 ซึ่งพระเยซูก็ได้เตือนพวกเขา ก็คือชาวยิวเหมือนเดิม ในบริบทเดียวกันกับมัทธิว 6:9-15 นี่แหละ เหมือนกัน ถ้าสรุป 2 ตอน ก็คือสรุปสั้นๆ บริบทนี้คืออะไร?  พระเยซูกำลังเตือนว่าอย่าพึ่งพาในการกระทำของตนเอง  จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในพระองค์ เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ง่ายนิดเดียว แค่นี้เอง เกี่ยวกับโลกวิญญาณใช่ไหม? ใช่ ไม่ใช่กำลังมาบอกท่านว่าให้ท่านไปทำงานต่างๆ ให้พึ่งพระเยซู อันนั้นพึ่งทางวิญญาณ ทำงานต่างๆ พึ่งในพระเยซู พึ่งในคำอธิษฐาน ไม่ใช่กฎ แต่กฎคือตรงนี้  พระองค์กำลังพูดถึงกฎทางโลกวิญญาณ ซึ่งแก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้

            เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะวิเคราะห์ เราต้องฝังฐานไว้เลยว่าพระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ บอกเขา เตือนเขาว่า …

            “อย่าพึ่งพาในการกระทำด้วยตนเอง รักษาบทบัญญัติ แต่จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งเรา เราเป็นพระเมสิยาห์”

            แค่นี้  แล้วท่านจะรู้ว่ามันควรจะตีความหมายอย่างไร? ในมัทธิว บทที่ 7 ผมเลือกข้อนี้มา มันชัดหน่อย มัทธิว 7:21 …

        มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น (คือวางใจในเรา ที่พระเจ้าส่งมา) ที่จะได้เข้า”

            พระเยซูกำลังพูดถึงพวกเขา “พวกเขา” คือชาวยิว ที่ไม่ยอมรับความจริง ทั้งๆ ที่ใจ ก็รู้ว่าสิ่งที่พระองค์พูดนั้นมันจริง  ยังไม่ยอมรับ และพวกชาวยิว หรือเป็นคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียนเลย ยังไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือคนที่วางใจในเรา ที่พระเจ้าส่งมา

            คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งพระประสงค์ของพระบิดา ที่เขายังไม่ได้กระทำเลย ตอนที่พูดอยู่นี้ พระประสงค์ของพระบิดานั้น มีอยู่สิ่งเดียว พระองค์ทรงตรัสไว้ อธิบายให้ฟังชัดเจน คือให้พวกเขาวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระบิดาประทานให้มา ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ ตั้งแต่นานมาแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟัง ในบริบทนี้นะ นี่ไม่ได้ยกข้อความในพระคัมภีร์มา เขาถามพระเยซู โต้ตอบกัน ตอนที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟัง ชี้ให้เขาเห็น  เขาถามว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง? ในการที่จะได้เข้าสวรรค์กับพระเจ้า พระเยซูพูดกับเขาบอกว่า …

            “สิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านต้องทำ  เพราะพระเจ้าต้องการให้ท่านทำ ก็คือวางใจในพระบุตร จงวางใจในเรา อย่างเดียวเท่านั้นเอง”

            สิ่งที่ผมกำลังมาชี้ให้ท่านเห็น ข้อสำคัญ คือไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน ฟังให้ดีๆ ตะกี้นี้ที่อ่าน ไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  หรือคนที่ได้วางใจในพระมาซิฮาห์แล้วว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ถูกไหม?  พูดง่ายๆ คือไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียนเลยนะ …

            “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกว่าพระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”

            พูดกับชาวยิว และเป็นคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อวางใจในพระมาซีฮาห์  คือพระเยซูคริสต์  พระบุตรของพระเจ้า ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ซึ่งพระองค์ยังไม่ได้ทำให้สำเร็จเลย  แต่กำลังจะไปทำ ตอนนี้ไปพูดให้เขาฟัง ให้เขาเตรียมพร้อมไว้  เพราะฉะนั้น คำพูดที่พูดเมื่อสักครู่นี้ กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อ แล้วมันน่าเศร้าไหมล่ะ คนที่เชื่อแล้ว นำไปใช้ มันจะเกิดอะไรขึ้น? ท่านลองคิดตามไปนะ

            เราจะมาอ่านต่อไป มัทธิว 7:22-23 ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าถ้าเราเอามาใช้ผิด มันจะเกิดอะไรขึ้น? …

        มัทธิว 7:22-23 “22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่เคยได้รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น’”

            เห็นไหม? พูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ แล้วคนที่เชื่อแล้วไปอ่าน แล้วบอกว่า .. “นี่พูดกับฉัน” … แล้วมันเกิดอะไรขึ้น พระเยซูกำลังไล่ฉันไปให้พ้น  กลับบ้านไป เสียใจใหญ่เลย ชักไม่แน่ใจในความรอดของตนเองแล้ว เรามาวิเคราะห์กัน

            “หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า …”

            ตามบริบทนี้ หลายคน ก็คือคนยิว กำลังพูดกับคนยิว เราจะเอามาใช้กับพวกเราที่ไม่ใช่ยิว ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ บริบทนี้ กำลังพูดกับใคร? “ชาวยิวหลายคนจะพูดกับเราในวันนั้น” ท่านจะได้แปลตรงนี้ได้ถูกต้องเสียก่อน แล้วจะเอาไปใช้ ดัดแปลงมาใช้กับเราทีไม่ใช่ชาวยิวทีหลัง ค่อยว่ากัน เพื่อท่านจะได้รู้ความหมายที่พระเยซูกำลังพูดนั้นหมายถึงอะไร? …

            “หลายคน คือชาวยิวจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’”

            นี่ก็ชี้ให้เห็นถึงชาวยิวอีกแหละ “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” มาจากคำว่า “พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้าจอมเจ้านาย” ก็ชาวยิวเขารู้จักพระเจ้าผู้นี้ แต่เราชาวต่างชาติไม่รู้จัก  ก็กำลังพูดถึงชาวยิวไง พระเจ้าเจ้าข้า พระเจ้าจอมเจ้านาย นี่คือคำเดิม ภาษาเดิม  ที่บันทึกในพระคัมภีร์ คำนี้เป็นคำของคนยิว ที่เขาเรียกพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” คือเขารู้จักพระเจ้าองค์นี้ดี  แล้วเขาก็บอกพระเจ้าบอกว่า …

            “พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?”

            พวกเขากำลังบอกพระเจ้าว่าอย่างไร? … “พระเจ้าเราได้ทำตามบัญญัติมากมายเลย รักษาบทบัญญัติตั้งเยอะแยะมากกว่าคนอื่น มากกว่าคนบาปตั้งเยอะแยะ เราเป็นฟาริสี เราเป็นธรรมาจารย์ เรารักษาบทบัญญัติอย่างดีงาม เราอดอาหารเยอะกว่าเขาตั้งเยอะ เราถวายสิบลดมากกว่าเยอะ เราเคร่งครัดในบทบัญญัติต่างๆ เราดูดีมากเลย ในสายตาของคนบนโลกใบนี้ เขากำลังพูดอย่างนั้น พูดกับใคร? พูดกับพระเจ้า พูดตอนไหน? เราจะมาค้นคว้าในข้อที่ 23 บอกว่า …

            “เมื่อนั้น เราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น’”

            เมื่อนั้น ก็คือเมื่อวันพิพากษามาถึง หลังความตาย  เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง  และวิญญาณเขาไม่ได้บังเกิดใหม่  เป็นวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นวิญญาณของคนชั่วคนบาป  ไม่ได้ทำชั่ว แต่ทำชั่วที่อยู่ในใจอยู่ในวิญญาณของเขา เมื่อถึงวันพิพากษาเขาจะมาอ้างตัวว่าเขาทำอันโน้นอันนี้ เขาพึ่งพาตนเอง  พึ่งพาบทบัญญัติ พระเยซูบอกสายไปแล้ว ทำไมเขาเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาพบพระเยซูแล้ว วันพิพากษา วันที่วิญญาณเขาออกจากร่าง เขาพบพระเยซูแล้ว เขารู้ว่า …

            “นี่เป็นจริงนี่นา”

            “อะไรเป็นจริง ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันเป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์ พระเจ้าส่งฉันมา ฉันเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยท่าน แล้ววันพิพากษา ฉันจะเป็นผู้พิพากษาเองว่าท่านไปรอดหรือไม่รอด บอกแล้วตั้งแต่วันนั้น ตอนนี้เพิ่งรู้ใช่ไหม?”

            รู้เพราะว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว ตายไป ก็จะเห็นพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ปฏิเสธไม่ได้แล้ว ตกใจ ตกใจแล้วทำอย่างไร? อ้างในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ แล้วพึ่งพาตนเอง พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ตอนที่มีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น จึงเกิดสิ่งที่ตะกี้นี้ผมบอก คือกฎก็ต้องเป็นกฎ มันไม่รู้จะทำอย่างไร?  แม้จะกระทำดีมากมายสักเท่าไร?  คนที่ไม่ได้พึ่งพาในพระบุตร พระเยซูคริสต์ ก็คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่บังเกิดใหม่ ยังทะนงตนที่จะพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เมื่อถึงวันนั้น วันพิพากษาหลังความตาย พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น

            “สิ่งเหล่านี้” คืออะไร? คือฟีลิปปี 2:10-11  นี่บันทึกไว้ชัดเจนเลย …

        ฟีลิปปี 2:10-11 “ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลกและใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลง นมัสการพระนามของพระเยซู และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริ  แด่พระเจ้าพระบิดา”

            ทุกชีวิต เมื่อจากโลกนี้ไป จะเห็นเลย ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่มันสายไปแล้ว ยอมรับว่าอะไร?  เพราะเห็นกับตา เห็นกับตัวตน เห็นตาต่อตา เห็นหน้าต่อหน้าแล้วว่าเป็นพระเยซู เป็นความจริง สายไปแล้ว นี่คือกฎ กฎนี้ใช้กับมนุษย์ทุกคน  ไม่มีพิเศษ  แม้ว่าพระองค์จะทรงรักชาวยิว มากขนาดไหนก็ตาม  แม้ว่าพระองค์จะเตือนแล้วเตือนอีก มากขนาดไหนก็ตาม พระองค์ทรงรักและเป็นห่วงพวกเขา  แต่ถ้าเขาไม่ทำตาม ไม่เชื่อฟัง  เขาก็ได้รับในสิ่งที่มันจำเป็นต้องเกิดขึ้นตามกฎ เมื่อถึงวันพิพากษาหลังความตาย มนุษย์ทุกคน ไม่ใช่ชาวยิวอย่างเดียวคราวนี้ ทุกคนจะต้องคุกเข่าลง และยอมรับ ยอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริง ซึ่งถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว แม้เขาเหล่านั้นที่ยังไม่เชื่อ จะยังคงอ้างความดีที่พวกเขาทำมาในอดีต  แต่มันก็ไม่เกิดผลใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระองค์ทรงเตือนแล้วไง

            ในบริบทนี้ คือพวกเขาเหล่านั้น ก็คือชาวยิวที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขาเหล่านั้น ยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะพึ่งพาในความดีที่ตนเองกระทำ ในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้าให้ได้ พึ่งในการรักษากฎบัญญัติ กฎหมายทางศีลธรรม จริยธรรม เพื่อจะได้ผ่านการพิพากษา และเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ซึ่งพระเยซูก็เตือนแล้วว่ามันเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ สาวกถามว่าแล้วใครเล่าที่จะรอดได้ พระองค์ตอบว่าอย่างไร? เอาอูฐลอดรูเข็ม ลอดไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำได้เลย พวกเราก็ทำไม่ได้ “พวกเรา” คือสาวกพระเยซู พวกเปโตร แล้วใครจะทำได้ล่ะ พระเยซูตอบว่า …

            “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่ฝ่ายพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง”

            ก็คือพระเจ้าทำได้ครับ ก็คือมาวางใจในเรา แล้วเจ้าจะเกิดใหม่ พอแล้ว จบ เจ้าเกิดใหม่เองไม่ได้หรอก เอาอูฐลอดรูเข็มง่ายกว่า

            เพราะฉะนั้น เมื่อวันพิพากษา หลังความตายมาถึง แม้คนพวกนี้ ตามบริบทนี้ คือชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหอง ยังพึ่งพาตนเอง ยังทะนงตนในการรักษาบทบัญญัติของตนเอง  ยังไม่ยอมที่จะมาวางใจในพระเยซูคริสต์ แม้คนพวกนี้ คือพวกชาวยิวยังไม่เป็นคริสเตียน ที่ยังไม่เชื่อ

            “แม้คนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบ และยอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ”

            แม้คนเหล่านี้ คือพวกชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหองเหล่านี้  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบวันแห่งการพิพากษา วันที่วิญญาณเขาออกจากร่าง  เขาได้เห็นพระเยซูด้วยตาเป็นๆ แล้ว เขาตกใจมาก เขารู้แล้ว ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ พระเยซูก็จะพูดกับเขา ซึ่งพระองค์ไม่อยากจะพูดสิ่งนี้เลย แต่มันเป็นกฎ ต้องชี้ให้เห็น เวลาเราจะเตือนใคร ตามกฎ เราต้องชี้ให้เห็นจริงๆ ไม่ใช่ไปว่าเยาะเย้ยหรอก แต่กำลังเตือนเขา ระวังนะ เดี๋ยวก็จมน้ำตายหรอก ระวังนะ เดี๋ยวก็ตกลงมาตายหรอก ระวังตัวด้วย เอาเชฟตี้ไว้หน่อยไหม? เหมือนกัน แต่เขาไม่เชื่อเรา แล้วเกิดเหตุขึ้น  เพราะเราเกลียดเขาเหรอ เปล่า พระเยซูก็พูดกับเขาว่า …

            “เราไม่รู้จักเจ้าเลย ไปให้พ้น”

            ไปให้พ้น ก็คือเจ้าไม่สามารถอยู่กับเราได้  เราเข้ากันไม่ได้ เจ้าไม่บริสุทธิ์ เพียงพอในการอยู่กับเราในสวรรค์ เจ้าไม่เคยมีความสัมพันธ์ สนิทสนมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย เจ้าไม่เคยบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือไม่เคยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  พระเมสิยาห์เลย  ไม่เคยพึ่งพาในพระองค์ พระเจ้า พระเมสิยาห์เลย  ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย  เพราะว่าท่านต้องการที่จะพึ่งตนเอง  มันเป็นไปไม่ได้  ท่านเหมือนคนป่วยที่ทะนงตนว่าไม่ป่วย จะรักษาตนเอง  ในที่สุดก็ตาย แต่ถ้าท่านเป็นคนป่วย และรู้ตัวเองว่าป่วย และช่วยตัวเองไม่ได้  ท่านก็แสวงหาหมอ

            หมอ ก็คือพระเยซูคริสต์ ท่านก็จะมาหาพระเยซู พระเยซูก็จะรักษาท่านให้หาย พระเยซูก็บอกแล้วว่าโรคที่ท่านเป็นอยู่นั้น ท่านพึ่งพาตนเองรักษาไม่หายหรอก เพราะท่านเป็นโรคเรื้อรังทางวิญญาณ เรียกว่าโรคบาป  ถ้าท่านรู้ตัวว่าท่านบาป ท่านไปหาหมอ เราเป็นหมอผู้เดียวที่จะรักษาท่านให้หายจากโรคบาปได้  แต่ถ้าท่านเย่อหยิ่ง ท่านคิดว่าท่านรักษาตนเองได้ กินยา เดี๋ยวก็หายแล้ว ท่านมีอาการดีขึ้นกว่าคนอื่นที่เป็นโรคบาป ท่านเป็นนิดเดียว เดี๋ยวท่านก็รักษาได้  ในที่สุด ท่านก็จะตาย เราเตือนท่านแล้ว

            พระเยซูเตือนแล้วเตือนอีกว่าให้วางใจในพระองค์เถิด การจะเข้าสวรรค์ได้นั้น การบังเกิดใหม่ในวิญญาณนั้น ต้องดำเนินการในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้และวางใจในเราขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะว่าหลังจากความตายแล้ว หลังจากวิญญาณท่านออกจากร่างแล้ว มันสายไป ท่านต้องให้หมอรักษาตอนที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตายแล้ว ค่อยมาให้หมอรักษาได้ไหม? ไม่ได้ เพราะท่านตายแล้ว  วิธีเดียว ก็คือท่านต้องตัดสินใจ เลิกที่จะพึ่งพาความพยายามของตนเองในการที่จะรักษาบทบัญญัติ เลิกที่จะพึ่งพาความดี ตามกฎบัญญัติที่มนุษย์มองเห็นกันนี้ ท่านทำดีได้ แต่ท่านอย่าพึ่งพาในความดีที่ท่านทำว่าความดีเหล่านี้จะช่วยท่านให้ผ่านพ้นกฎทางวิญญาณ คือหลังความตาย จะไปอยู่ในสวรรค์ มันไม่ได้ มันคนละกฎกัน  เพราะถ้าท่านทำดี ท่านอาจจะได้ผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎของวิญญาณ

            กฎของวิญญาณ คือกฎวิญญาณที่ให้ชีวิตไม่ตาย อยู่ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านต้องตัดสินใจให้เร็วที่สุด ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ เพราะถ้าท่านขืนรอ จนกระทั่งท่านหมดลมหายใจ  มันสายไปแล้ว นี่พระเยซูกำลังเตือนชาวยิว  ซึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่เชื่อ  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเรา ที่ไม่ใช่ยิวเลย  คนที่ไม่ใช่ยิวมาอ่านดู ก็อาจจะไม่รู้เรื่อง เพราะหลายอย่าง เป็นสิ่งที่ชาวยิวเขานับถือ เขาเชื่อศรัทธา เขาดำเนินชีวิตมาอย่างนั้น เราต้องรู้ตรงนี้ก่อน  เราจะรู้เคล็ดลับแล้วว่าความจริง ก็คือนี่ไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน

            และถ้าเราเอามาใช้กับปัจจุบัน คนที่เป็นคริสเตียนแล้วก็ไม่เกี่ยวเรื่องนี้ รอดแล้วก็รอดเลย เห็นหรือยังครับ นี่กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นชาวยิวก่อน แล้วค่อยเอามาใช้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  และไม่เชื่อด้วย ในคนต่างชาติ ทีหลัง เราซึ่งเป็นคนต่างชาติที่เป็นคริสเตียน เชื่อแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าเราเอาเหล่านี้มาใช้ มันเป็นขยะในชีวิตเรา แล้วลากเราไปสู่ความทุกข์ ที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น  พระเจ้าอวยพรครับ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านไม่รู้หรือว่า…? ท่านอยู่ในพระคริสต์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ในสากลโลกทั้งที่เห็นและมองไม่เห็น

            โคโลสี 1:16 … “เพราะโดยพระองค์ (พระเยซูคริสต์) ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์  หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ  หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”

            “เทพ” คือวิญญาณนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่มองไม่เห็น เป็นวิญญาณที่มีสิทธิอำนาจครองบัลลังก์ วิญญาณที่ทรงเดชานุภาพ วิญญาณที่เป็นผู้ครอบครอง วิญญาณเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ เพื่อพระองค์

            สิ่งเหล่านี้  คือสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน เป็นวิญญาณทูตสวรรค์แบบดีหรือแบบเลวก็ตาม ทั้งหมดพระเยซูคริสต์เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา

            เพราะฉะนั้น พระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ ทรงยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน และเราอยู่ในพระคริสต์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสากลโลก ทั้งที่เห็นและมองไม่เห็น

            เอเมน ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ