วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1421

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เข้าสู่คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 ซีรี่ย์นี้ที่เริ่มต้นสัปดาห์ที่แล้ว เป็นตอนที่ 1 วันนี้เป็นตอนที่ 2 “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”  “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 2

            เราได้เรียนรู้กันตอนที่ 1 สัปดาห์ที่แล้ว จำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ขอให้จำตรงนี้ได้ว่าในคำอธิษฐานที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว  ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า  ที่จะประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐ  เรื่องเกี่ยวกับความรอด พระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวก่อน  แล้วค่อยตามมาประกาศผ่านทางเปาโล ให้กับชาวต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวทั่วโลก จนมาถึงเราทุกวันนี้

            “ต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว”

            อันนี้ ทีหลัง เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้  เป็นถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่กำลังพูดกับชาวยิวก่อน เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แล้วพอชาวยิวได้รับเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงค่อยมาประกาศกับพวกเราชาวที่ไม่ใช่ยิว ทีหลัง ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือโรมก็มี หนังสือกาลาเทียก็มี เอเฟซัสก็มี บอกว่า เป็นแผนการล้ำลึกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว

            ในหนังสือโคโลสีบอกว่าเป็นแผนการอันลึกล้ำที่มีค่ามากมายสูงสุด สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย  ที่พระองค์ทรงแอบซ่อนเอาไว้ในพระคริสต์ ไม่มีใครรู้เลย และพระองค์มาเปิดเผยตอนไหน? ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แผนการนี้จึงได้ถูกประกาศ เปิดเผยออกมา แผนการ ก็คือความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ ให้กับชาวยิวก่อน แล้วก็ให้กับคนต่างชาติทีหลัง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้ เพราะว่าตรงนี้เป็นพื้นฐาน ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ ควรจะเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นเราจะสับสนวุ่นวาย อ่านตรงนี้ก็นึกว่าเป็นของเรา อ่านตรงนั้น ก็นึกว่าเป็นของเรา  แล้วมันไม่ใช่  มันก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด

            ถ้าเรารู้ขั้นตอนว่ามันเป็นอย่างนี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เดิม ก็รู้ว่าพระคัมภีร์เดิมเน้นไปที่ใคร? เน้นไปที่ชาวยิว เราจะรู้ทันทีแล้ว โดยพื้นฐาน

            แล้วพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระคัมภีร์เน้นที่ใคร? เน้นที่ชาวต่างชาติ

            เราอ่าน เราจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้เน้นถึงเรา เราจะมาใช้สำหรับเราได้ แต่มันไม่ใช่โดยตรงนะ อะไรต่างๆ เหล่านี้  เหมือนกัน เหมือนข่าวประเสริฐในพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ก็เช่นเดียวกัน เป็นของเรา  แต่ชาวยิวมาอ่าน ก็ต้องระมัดระวังนะว่านี่เป็นของเรา ชาวยิวก็ต้องอีกแบบหนึ่ง แต่พื้นฐานเดียวกัน คือพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อช่วยให้มนุษยชาติรอดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ที่มาจากบรรพบุรุษ นี่คือพื้นฐาน

            เราทบทวนครั้งที่แล้วหน่อย เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง? จากครั้งที่แล้ว นอกจากว่าพูดกับชาวยิวแล้ว อันนี้ต้องจำได้แล้วนะ พอใครพูดถึง หรือได้ยินถึงคำอธิษฐานของพระเยซูที่เขาว่ากัน ในมัทธิว  6:9-15 นี้เมื่อไร?  เราจะได้รู้ว่าอันนี้กำลังพูดกับชาวยิวนะ แล้วรู้อะไรอีก สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนรู้แล้วว่าพระเยซูกำลังสอนให้ชาวยิวทำ? ชาวยิวทำอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ได้มาสอนให้ทำ แต่พระองค์กำลังมาเตือนชาวยิวว่าอย่าทะนงตน พึ่งตนเอง ในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้าให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งท่านทำอยู่นั้น ท่านไม่มีทางทำสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะเป้าหมายของพระเจ้าที่จะช่วยท่านรอด คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลยนะ  ท่านทำด้วยตัวเองไม่ได้หรอก

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างสั้นๆ อุปมาเหมือนอูฐลอดรูเข็ม  เอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้  ท่านไม่มีทางที่จะทำจนสมบูรณ์ครบถ้วนได้ เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างนั้น ตามเกณฑ์ของพระเจ้าแน่นอน และถ้าท่านพึ่งในตนเอง ท่านก็มีค่าเท่ากับกำลังฝืนใจตนเอง เพราะใจมันเป็นบาปอยู่ พระองค์กำลังมาชี้ว่าในใจของท่าน ในวิญญาณของท่านเป็นบาป ท่านก็รู้อยู่ เพราะว่าท่านทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านก็เย่อหยิ่งบอกว่า …

            “ทำได้  ฉันจะทำ”

            พระเยซูกำลังมาชี้อย่างนั้น และเลยบอกว่าท่านทำไปให้ตาย ก็เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม พยายามเท่าไรมันก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว กลับใจใหม่เถิด พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ คนที่ฟังอยู่ โดยเฉพาะคนที่เชื่อพระองค์นะ คนที่ไม่เชื่อ ก็เย่อหยิ่ง จองหอง

            “ฉันทำได้”

            กลับไปด้วย เหมือนมีอะไรติดคอหอยอยู่ กลืนไม่ลง รู้ว่าพระองค์พูดจริง ฉันทำไม่ได้  แต่ในใจเย่อหยิ่งจองหอง  เพราะเป็นคนบาป  รับไม่ได้  กลับไปด้วยความฉุนเฉียว โกรธพระเยซูอีก  พวกที่เชื่อฟังพระเยซูในช่วงนั้น ก็คือพวกที่เรียกว่าสาวก  สาวกไม่รู้พูดอะไรมา ก็เชื่อไว้ก่อน อย่างเช่นพวกเปโตร ยอห์น ที่เดินตามพระเยซู เมื่อได้ยินดังนั้นว่าเอาอูฐลอดรูเข็ม ไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง รักษาบทบัญญัติอย่างนี้ ฟาริสีเอย สะดูสีเอย ธรรมาจารย์เอย นักเคร่งศาสนาต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูบอกไม่มีทางได้หรอก พวกเปโตร คนเก็บภาษี มัทธิว เป็นชาวบ้าน ชาวช่อง เป็นชาวประมง เขาเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระมาซิฮาห์ แต่เขาไม่เข้าใจที่พระเยซูพูด ขนาดฟาริสี ธรรมาจารย์ นักเคร่งศาสนาที่เขามองเห็นด้วยตา คนนี้เคร่งมากๆ เลย รักษาบทบัญญัติอย่างดี อย่างละเอียดเลย พระเยซูบอกว่ายังทำไม่ได้หรอก เข้าสวรรค์ไม่ได้  แล้วพวกเขาจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? เขายังทำไม่ได้ ขนาดนั้นเลย รักษาบทบัญญัติ ยังไม่ได้เลย รักษาวันสะบาโตยังไม่ได้เลย อดอาหารถึงขนาดนั้นยังไม่ได้ ไปวิหารก็ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ก็เลยถามพระเยซูเป็นส่วนตัว …

            “พระเยซูถ้าอย่างนั้น ใครจะเข้าสวรรค์ได้ล่ะ ถ้าทำถึงขนาดนั้น เอาอูฐลอดรูเข็มยังทำไม่ได้เลย”

            พระเยซูบอกว่า … “แต่ว่าถ้าไปด้วยกันกับพระเจ้า มันเป็นไปได้ เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งเป็นไปได้”

            นี่มันคู่กัน ท่านจำแค่ 2 อย่าง พระองค์กำลังมาบอกว่าทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าไปด้วยกันกับพระเจ้า  ตามแผนการของพระเจ้า พระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง คือพระเจ้าสามารถทำให้ท่านสามารถเกิดใหม่ได้ไง นี่คือสรุปสั้นๆ นะ

            ถ้าท่านทำด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติด้วยตัวเอง ท่านไม่มีทางที่จะเกิดใหม่ได้หรอก ท่านก็อยู่ในความบาปนั่นแหละ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  แต่ท่านมาเชื่อในพระเจ้า ไปกับพระเจ้า พระเจ้าวางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว คือมาวางใจในเรา ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน นี่คือเบื้องหลังในสิ่งที่พระเยซูกำลังทำ

            ถ้าท่านพึ่งในพระเจ้า พระเจ้าก็สามารถทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง  ทำให้ท่านสามารถเกิดใหม่ได้ ก็แสดงว่าผู้คนที่จะเข้าสวรรค์ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งพระเยซูก็พูดตรงนี้ ในการเตือน การสอนนี้เช่นเดียวกัน ท่านต้องเกิดใหม่ ท่านถึงจะบริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ ท่านทำด้วยตัวเอง ท่านไม่มีทางเกิดใหม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เป็นเป้าหมาย

            และทุกอย่างที่พระองค์กำลังพูดกันอยู่นี้ ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ พระองค์กำลังพูดถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อย่าสับสน เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะว่าตัวตนของมนุษย์แท้ๆ จริงๆ  ที่จะอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไปเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เรามองเห็นกันอยู่ มันเป็นร่างกาย แต่ตัวจริงๆ ที่เรามองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของมนุษย์ทุกคน เราจำเป็นต้องรู้สิ่งเหล่านี้ และตัวตนจริงๆ และในวิญญาณของเราจริงๆ นั้น เป็นบาปอยู่ เรียกว่าเป็นคนบาป คนอธรรม เป็นคนสกปรก เป็นหลุมศพ พระเยซูยกตัวอย่าง จึงจำเป็นต้องพึ่งพระองค์ ซึ่งเป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งแปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้มาช่วยเท่านั้น ท่านถึงจะรอดได้

            เพราะวิญญาณท่านเป็นบาปอยู่ ทำอย่างไรมันก็บาป  ท่านไม่มีทางทำอะไร แล้วพระเจ้าอภัยบาปให้กับท่านได้หมด อภัยบาปในที่นี้ ก็คือยกหนี้บาป ก็คือการลบเอาบาป  ออกไปจากวิญญาณของท่าน  ท่านทำไม่ได้หรอก ด้วยตัวเอง  ทำให้ตายอย่างไร? พระเจ้าอยากจะช่วย ก็ช่วยไม่ได้  เพราะวิญญาณท่านบาปอยู่ มีทางเดียวเท่านั้น คือท่านต้องตายจากบาปนั้นและเกิดใหม่ ซึ่งพระองค์ก็ทรงสอน  ทรงเตือน ทรงชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเขาเป็นยิว พระองค์จึงพูดยกตัวอย่างบนพื้นฐานของธรรมเนียมปฏิบัติ บทบัญญัติ และประเพณีวัฒนธรรมของยิว ซึ่งเขาคุ้นเคยกันอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นอุปมาอูฐลอดรูเข็มก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอุปมาต่างๆ ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่างก็ตาม หรือบัญญัติต่างๆ ที่พระองค์ทรงยกขึ้นมาก็ตาม ทั้งหมดนั้นเป็นประเพณี การกระทำ เป็นศาสนายิว บัญญัติของยิวที่ยิวเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว ชาวต่างชาติอย่างเราไม่รู้เรื่อง  ไม่เข้าใจ  เพราะว่าไม่ได้พูดกับคนต่างชาติ แต่พูดกับชาวยิว

            อันนี้ก็เป็นหลักฐานอีกอันหนึ่งว่าสิ่งที่เรากำลังวิเคราะห์กัน มันเป็นจริงว่ากำลังพูดกับชาวยิว  เพราะฉะนั้น พูดสิ่งต่างๆ นี้  เรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีชาวยิวทั้งหมดเลย การพูดทุกอย่าง  เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิวทั้งสิ้น รวมทั้งคำอธิษฐานที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ คือมัทธิว 6:9-15  ก็เช่นกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิว  เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่ามาคุยกับเรา เราก็จะไม่รู้เรื่องใหญ่เลย  เพราะว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย บัญญัติต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เราถืออยู่ ไม่เกี่ยวกัน

            พระองค์จึงเอามาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ของชาวยิว ที่มีประเพณีบนพื้นฐานของบทบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส เราก็ไม่รู้จักอีกแหละว่าโมเสสเป็นใคร? แต่ชาวยิว พอบอกโมเสสเขารู้ พอบอกอับราฮัม เขารู้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระองค์กำลังชี้ให้ชาวยิวเขาได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติเหล่านั้น ให้ได้ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ ซึ่งกำลังมาตั้งอยู่ เห็นไหม? ก็แสดงว่าชาวยิวเหล่านี้ เขารอคอยสวรรค์มาตั้งอยู่ตั้งนานแล้ว ถูกไหม? พระองค์จึงมาบอกว่าที่รออยู่นั้นกำลังมา

            เคยสั่งของทางอีเมล์ไหม?  แล้วเขาก็จะมาบอกเราว่าที่สั่งไว้ กำลังจะมา  แล้วในที่สุด พอถึงวันมา เขาจะมาบอกเราอีกว่าสิ่งที่รอมาแล้ว พระเยซูกำลังบอก กำลังมา ซึ่งสวรรค์ที่กำลังมา และในที่สุด พอถึงวันมา ก็จะมาบอกเราอีกว่ามาแล้ววันนี้ จะส่งให้  พอใกล้ๆ ถึงเวลาส่ง จะมีคนโทรศัพท์มาบอก …

            “รับของด้วยนะครับ อยู่บ้านไหมครับ สิ่งที่รอมาแล้ว”

            พระเยซูบอกสวรรค์ที่กำลังมา จะเข้าสวรรค์ได้ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติของท่าน ชาวยิว  ไม่ใช่ด้วยการรักษาบทบัญญัติของท่าน ที่บรรพบุรุษของท่านสั่งมาตั้งนานแล้ว ให้ประพฤติอย่างนี้ ตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้ ตอนนี้ สิ่งที่รอคอยมาถึงแล้ว ซึ่งมันดีกว่าตั้งเยอะ คือต้องผ่านทางพระเมสิยาห์  คือพระคริสต์

            พระเมสิยาห์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้  ซึ่งภาษากรีก คือพระคริสต์ พระเมสิยาห์ เป็นภาษาฮีบรู ซึ่งแปลเป็นไทย แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ต้องผ่านทางพระมาซิฮาห์ คือพระองค์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น  ถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้

            แล้วพระองค์ก็ทรงยกตัวอย่างเช่น ท่านบอกว่าท่านรักษาบทบัญญัติได้ นี่คือบทบัญญัติของชาวยิว  คือไม่ฆ่าคน แต่พระเยซูบอกว่าท่านบอกว่าท่านทำได้ ท่านรักษาบทบัญญัติได้ ท่านไม่ฆ่าคนเลย  แต่เราบอกว่าไม่ใช่ไม่ฆ่าคนอย่างเดียว  ท่านต้องไม่คิดเกลียดชัง ริษยาคนอื่น เพราะการเกลียดชัง ริษยาคนอื่น  ก็เท่ากับฆ่าคนตาย เป็นบาปเท่าๆ กัน เป็นคนบาปเหมือนกัน พระองค์ทรงชี้ให้เขาเห็นว่าท่านทำได้  แต่ในวิญญาณท่านเหมือนกัน คือท่านคิด ก็คือข้างในท่าน มีความโกรธ เกลียด ข้างนอกท่านอาจจะบังคับตัวเองไม่ฆ่าคน แต่ในใจคิดริษยา ก็เท่ากับทำบาป ฆ่าคนตายเหมือนกัน

            พระเยซูต้องการทำอะไร? ต้องการชี้ให้เขาเห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป จากภายในวิญญาณ  เป็นเหมือนหลุมศพ ที่ฉาบด้วยปูนขาวอยู่ภายนอก คือข้างนอก ทำดูดี รักษากฎบัญญัติได้ แต่ข้างใน ทำอย่างไร มันก็เป็นหลุมศพ สกปรก เป็นคนบาป ที่ท่านบอกว่าไม่ว่ากฎระเบียบอะไร ท่านทำได้ทุกอย่าง ท่านกำลังเย่อหยิ่งจองหอง  เพราะท่านทำไม่ได้อยู่แล้ว  ท่านไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ทั้งหมด ที่พระเจ้าวางไว้ ท่านเอง ก็รู้อยู่ บทบัญญัติของชาวยิว มีไว้ตั้ง 600 กว่าข้อ ก็ทำไม่ได้ครบอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังดื้อ ที่จะเถียงพระเยซูว่า …

            “ฉันทำได้”

            แทนที่จะมาเชื่อฟังพระองค์ พระองค์บอกว่าทำไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ เย่อหยิ่งไง ยังฝืน ทั้งๆ ที่ในใจตัวเองก็รู้ว่าทำไม่ได้

            เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้ท่านยึดถือเอาไว้  เหตุผล ก็คือไม่ใช่ เพื่อช่วยท่านให้รอด จากการเป็นคนบาป แต่เพื่อชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านเป็นคนบาป มันกลับกัน หัวเป็นท้าย ท้ายเป็นหัวเลยนะ พระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้กับท่าน ไม่ใช่ เพื่อให้ท่านทำ แล้วท่านจะได้กลายเป็นคนชอบธรรม เป็นคนไม่บาป เปล่า พระองค์เอาบทบัญญัติ ให้ท่านถือไว้ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าท่านเป็นคนบาปจริงๆ เพราะท่านทำไม่ได้  พอนึกออกนะ

            พระองค์ทรงตั้งใจจะให้กฎเกณฑ์เหล่านี้  ชี้ให้มนุษย์เห็นว่าตนนั้นเป็นคนบาป ไม่สามารถพึ่งพาตนเอง ทำให้ได้ครบตามที่ใจต้องการ ทุกคนรู้หมด นี่สามารถเอามาใช้ได้กับคนต่างชาติ คือมนุษย์ทุกคน เป็นอย่างนี้หมด  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับมนุษย์ ถ้าเป็นอิสราเอล ก็บทบัญญัติ  613 ข้อ ที่โมเสสบันทึก ให้เขียนออกมา บทบัญญัติของชาวต่างชาติ  ก็คือจิตใต้สำนึกของเราข้างใน รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้  แต่เย่อหยิ่งว่า …

            “ฉันทำได้ ฉันจะรักษาบทบัญญัติให้ได้”

            แต่ในที่สุด ก็รู้ว่าทำไม่ได้ครบ แล้วก็อ้อมแอ้มๆ ตัวเองบอกว่าหยวนน่า อย่างน้อย ก็ยังทำดีกว่าคนอื่น ใช่ไหม? คุ้นๆ ไหม?

            อ้าว! ก้มหน้านิดหนึ่ง แล้วก็พูด … “อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าคนอื่น ฉันก็ยังทำได้เยอะกว่าเขา”

            พูดว่า … “ไม่ได้พูดกับฉันหรอก กำลังพูดถึงชาวยิว”

            อย่างนี้ต้องไปโบ้ยให้ชาวยิว  อ้าว! พูดกับชาวยิวจริงๆ แล้วชาวยิวก็พูดอย่างนี้จริงๆ พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกนักเคร่งศาสนา เขาได้ยินอย่างนี้ เขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนบาปอย่างนั้นจริงๆ เขาก็อ้อมแอ้มๆ บอก …

            “ก็ยังดีน่า” ยังดีอย่างไร? “อย่างน้อย ฉันก็ยังทำดีกว่าพวกเขา พวกคนเก็บภาษี คนเป็นโสเภณี คนเป็นชาวประมง ไม่รักษาบทบัญญัติ ฉันยังทำดีกว่าเขาเลย”

            นี่เขาพูดอย่างนี้จริงๆ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าพระองค์มาบอกว่าบาปเท่าๆ กัน ผิดข้อเดียว ก็เท่ากับบาปเท่าๆ กันหมด

            เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ มันจึงเหมือนกระจกเงา เหมือนกับเครื่องเอ็กซ์เรย์ … กระจกเงา เอ็กซ์เรย์มีไว้ทำอะไร? กระจกเงา มีไว้มองดู เพื่อจะได้รู้ว่าหน้าเรามีโรค มีสิว มีอะไรสกปรก มีหนองอะไรต่างๆ จะได้เห็น แต่กระจกรักษาเราไม่ได้ เหมือนไปเอ็กซ์เรย์ปอด  เอ็กซ์เรย์หัวใจดูว่ามันเป็นอะไร? เป็นมะเร็งที่ปอดหรือเปล่า?  เป็นมะเร็งที่ปอด เอ็กซ์เรย์ทำให้หายได้ไหม? ไม่ได้ แต่มันมีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์ มันช่วยชี้ให้เราเห็นว่าเราเป็นคนป่วย บทบัญญัตินี้ ก็เป็นเหมือนสิ่งเหล่านี้ เหมือนเอ็กซ์เรย์ เหมือนกระจกเงา ชี้ให้เราได้เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราต้องการหมอ เราเป็นคนป่วย เราต้องการหมอ หน้าเราเป็นหนองอยู่ เราต้องไปหาหมอรักษาสิว  ปอดเราเป็นมะเร็ง เราต้องการหมอรักษามะเร็ง ไม่ใช่ไอ เพราะเป็นหวัด แต่ไอ เพราะเป็นมะเร็ง อย่างนี้เป็นต้น

            นี่คือหน้าที่ของบทบัญญัติที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับชาวยิว แล้วพระเยซูก็จะพูดอย่างนี้เสมอ บทบัญญัติ กฎเกณฑ์นี้เขียนไว้ สำหรับชาวยิว ก็คือเขียนอยู่ในแผ่นหินใช่ไหม? แล้วก็มาเป็นหนังสัตว์ 613 ข้อ สำหรับชาวยิว รักษาไม่ได้หมดหรอก อันนี้แน่นอน อันนี้เขียนแค่บางส่วนนะ  613 ข้อ คนต่างชาติเขียนที่ไหน? เขียนไว้ในจิตใต้สำนึก เต็มไปเลย  และจิตใต้สำนึกตรงนี้  ก็จะมีมนุษย์ในบางช่วง ในบางยุค  ก็พยายามจะเขียนออกมา เป็นกฎศีลธรรม กฎทางศาสนาต่างๆ ให้เรายึดถือไว้ แล้วทำได้ไหม?  ไม่หมด ยังไง มันก็ไม่หมด เพราะว่าวิญญาณมันบาปอยู่

            พระเยซูยกตัวอย่างใช่ไหม? บอกพวกท่านชาวยิว ทำเป็นเก่ง รักษาบทบัญญัติได้ …

            “ฉันไม่ได้ฆ่าคน”

            บอกแล้วใช่ไหม? แค่คิด ริษยาเขา ก็เท่ากับฆ่าคนตาย

            “ฉันไม่ได้ล่วงประเวณี สามารถรักษาบทบัญญัติ ไม่ล่วงประเวณีได้”

            พระเยซูบอก … “ท่านอาจจะบังคับตนเองไม่ทำอย่างนั้นได้บ้าง  แต่อยากจะบอกว่าแค่ท่านคิด หรือมีความรู้สึกอะไรอย่างนั้น  ประมาณนั้น ก็เท่ากับท่านทำแล้วล่ะ”

            ไม่มีใครทำได้  พระองค์ก็เลยบอกว่าเพราะฉะนั้น ถ้าท่านคิด หรือรู้สึกล่วงประเวณี  ก็เท่ากับได้ทำการล่วงประเวณีแล้ว เพราะฉะนั้น วิธีแก้ พระองค์เลยคิดย้อนกลับไป เหมือนพูดแย้งกลับไปแทงใจดำว่าเพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะทำ ไม่ล่วงประเวณี ถ้าท่านจะทำไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้ารู้ว่าต้องคิดหรือรู้สึก ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว  ท่านไม่อยากล่วง ท่านก็ต้องกำจัดเอาอวัยวะนั้นทิ้ง ตาทำให้ท่านคิดล่วงประเวณี ท่านต้องควักลูกตาออก มือสัมผัสแล้วเกิดอารมณ์กำหนัด ตัดมือทิ้ง นั่นแหละ ถ้าท่านจะพึ่งพาตนเอง  มันต้องทำอย่างนั้นแหละ

            นี่แหละ คือสิ่งที่พระเยซูพูดออกมา เพราะต้องการชี้ให้เขาเห็น  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอยากจะไปสวรรค์ ก็มีคนไปสวรรค์ได้ ก็พิการหมดแหละทุกคน  ต่อให้พิการหมด ก็ยังไปไม่ได้  มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณจะตัดมือทิ้ง ควักลูกตาออก มันช่วยอะไรวิญญาณไม่ได้เลย ต้องพึ่งในพระมาซีฮาห์เท่านั้น พระเจ้าทรงเข้าใจ และรักท่านมากมาย จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือฉัน คือพระเยซู มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อมากำจัดบาป  เพื่อมาลบล้างบาป เพื่อมาเอาบาปออกไปจากวิญญาณของท่าน โดยการทำให้วิญญาณของท่านตายต่อบาป และเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมอย่างไรล่ะ ปรบมือขอบคุณพระเจ้า

            นี่กำลังพูดกับชาวยิว ซึ่งทำไมต้องชาวยิวก่อน เพราะชาวยิว พระองค์ทรงเตรียมแผนการนี้ให้เขาตั้งแต่แรก ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว ซึ่งต่างชาติยังไม่รู้เรื่องเลย แต่บรรพบุรุษของชาวยิวรู้เรื่องเหล่านี้หมด ควรจะเข้าใจแล้วว่านั่นมันเป็นอย่างนี้นะ นี่พระองค์ทรงพูดเหมือนเดิมกับหลายพันปีก่อน ก่อนที่พระองค์จะทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  พระเจ้าเผยแผนการนี้ เป็นคำเผยพระวจนะมาตลอด หลายพันปีว่ามันจะเป็นอย่างนี้แหละ พระองค์ก็เลยเหมือนกับว่าไม่พอใจนิดๆ ว่ามันน่าจะเชื่อและวางใจในเราเถิด ไม่ได้พูดกับชาวต่างชาติ  แต่มาพูดกับชาวยิวที่คุ้นเคย น่าจะเป็นอย่างนั้น

            ซึ่งเรื่องที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ คือมัทธิว 6:9-15 ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในทำนองนี้ ซึ่งเขียนบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ที่เราถือกันอยู่นี้ ต่อจากที่ตะกี้นี้ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งในนี้ ในช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ ก็คือพระองค์มาชี้ให้เห็นว่าท่านทั้งหลาย ไม่สามารถรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ โดยไม่มีผิดพลาดเลย แม้แต่จุดเดียว  ท่านทั้งหลายไม่มีทางทำให้ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ดังนั้น อย่าเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดีในการกระทำดี คือรักษาบทบัญญัติด้วยตนเองอย่างมากมาย แล้วก็เปรียบกับคนอื่นว่าคนอื่นทำได้น้อย ฉันทำได้เยอะ แต่ท่านจงกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์เท่านั้น อย่าวางใจในตนเอง

            นี่คือบทสรุปของข้อความที่พระเยซูกำลังพูด ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่นี้ สรุปสั้นๆ เป็นอย่างนี้ อย่าเย่อหยิ่ง พูดกับใครครับ? ไม่ได้พูดกับเรานะ  พระองค์ไม่ได้กำลังว่าเรา เราไม่เย่อหยิ่งอยู่แล้ว เพราะเราไม่รู้เรื่อง  แต่พวกชาวยิวรู้เรื่องหมด ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกคงแก่เรียน เคร่งศาสนายิว รักษาบทบัญญัติมาตั้งแต่บรรพบุรุษเขารู้ดีมากๆ เลย รู้เยอะๆ เลย  แต่เขาเหมือนแกล้งไม่รู้ เขาเย่อหยิ่ง พระเยซูเลยพูดสิ่งเหล่านี้ให้เขาฟัง เตือนแล้ว เตือนอีก กำลังพูดกับชาวยิว

            เพราะฉะนั้น พอเรารู้เป็นชาวยิว เราจึงรู้ว่ามันเป็นไปได้ มันน่าจะพูดแดกดัน หรือจี้ใจดำอย่างนี้  แต่สำหรับชาวต่างชาติ  พระองค์ทรงเมตตากรุณามากเลย เพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย สำหรับชาวยิวแล้ว ชาวต่างชาติ คือหมู คือสุนัข สังคมเขารังเกียจ เขาถือว่าเราเป็นมนุษย์ประเภท 2  ประเภทด้อยค่า พวกบาบาเลียน คือพวกป่าเถื่อน ไม่มีศาสนา คำว่าศาสนาของเขา หมายถึงไม่มีพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราควรรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้

            สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ ก็คือเราควรรู้ว่าในช่วง 3 ปีนี้ พระเยซูประกาศอยู่นี้  ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ เป็นช่วงที่ยิวยังอยู่ในพันธสัญญาเดิม นี่เป็นยุคตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยุคที่ชาวยิวต้องรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ถึงจะได้รับการอภัยโทษ เป็นผู้ชอบธรรมได้ ยุคที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังกระทำงานนี้ไม่สำเร็จ ถูกไหม? พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ไปตายที่ไม้กางเขน  ในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งพอท่านฟังอย่างนี้ปุ๊บ วิเคราะห์อย่างนี้แล้ว  ท่านก็จะคิดเหมือนผมคิด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วพันธสัญญาใหม่ หรือเราเรียกกันว่าพระคัมภีร์ใหม่ สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน เป็นคนต่างชาติ  ที่เราถือกันอยู่ ที่เราใช้กันอยู่นี้  ที่เขาเขียนไว้ว่าพระคัมภีร์ใหม่ จริงๆ แล้วพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ น่าจะเริ่มที่หนังสือกิจการ ไม่ใช่เริ่มต้นที่หนังสือมัทธิว

            เพราะว่ามัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น  4 เล่มนี้ เป็นหนังสือเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ ในช่วง 3 ปีของพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และประกาศข่าวดีของพระองค์บนโลก ยังไม่ได้ตายบนไม้กางเขน  ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด รวมทั้งชาวยิวด้วย ก็ยังอยู่ในพันธสัญญาเดิม อยู่ในพันธสัญญาตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต้องรักษาบทบัญญัติอยู่ ถูกไหม? มันน่าจะเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น น่าจะเริ่มต้นที่พระเยซูตายบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งก็คือหนังสือกิจการนั่นเอง ไม่ใช่เริ่มต้นที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี เป็นมนุษย์เฉยๆ หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  พระองค์เป็นพระเจ้า พระบุตร กลับมาเป็นพระเจ้าแล้วครับ แต่ตอน 33 ปี พระองค์ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ เป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพระองค์ ประกาศข่าวดี ในฐานะพระเมซิยาห์ พระเจ้าที่เตรียมท่านไว้ เห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเรียนรู้และมีพื้นฐานตรงนี้อยู่ ทำให้เราอ่านพระคัมภีร์ และสามารถที่จะเข้าใจบริบท เข้าใจว่ามันคืออะไร?

            ไปอ่านพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะทำงานให้สำเร็จ ตั้งแต่ปฐมกาลถึงหนังสือกิจการ ไม่ใช่ถึงหนังสือมัทธิว  เป็นเกี่ยวกันกับช่วงที่พระเจ้าใช้กฎหมายเดิม กฎหมายเก่า เรียกว่าบทบัญญัติเก่าอยู่เลย รวมทั้งชาวยิวเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น เริ่มต้นใหม่ที่กิจการ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะได้รู้ว่าเราจะวิเคราะห์ข้อความในพระคัมภีร์เดิม นี่พูดถึงเราแล้วนะ เราในปัจจุบัน ตอนนี้เราอยู่ในยุคพระคัมภีร์ใหม่  เพราะฉะนั้น เราอ่านข้อความต่างๆ ในหนังสือพระคัมภีร์ ในยุคพระคัมภีร์เดิม เราก็ควรที่จะแปลความหมายบนพื้นฐาน สายตามองของพระคัมภีร์ใหม่ที่เราเข้าไปร่วมด้วย มันถึงจะได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นมันจะสะเปะสะปะ กฎหมายเขาเลิกไปแล้ว เราก็ไปเอามาใช้ กฎหมายใหม่มี ไม่ใช้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            คราวนี้ พอมายุคพันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์เรียกว่ายุคพระคุณ เห็นไหม? ต่างกันไหม? ยุคพระเดช คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ตอนนี้มายุคพระคุณแล้ว มันต่างกันลิบลับ  มาถึงพระคัมภีร์ใหม่ พันธสัญญาใหม่ เรียกว่ายุคพระคุณ  คือยุคหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย นี่เรียกว่ายุคพระคุณ พระเยซูก็จะมาชี้ให้ชาวยิว และพวกเราชาวต่างชาติด้วย ได้เห็นถึงบทบัญญัติในพระคัมภีร์ บทบัญญัติ คือกฎทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคัมภีร์ใหม่ ในยุคใหม่ ในยุคพระคุณ ที่พระองค์ทรงทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงชี้ให้เรา สอนให้เราชาวต่างชาติ เหมือนกับที่ทรงชี้ให้ชาวยิว ได้รับรู้ ก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ ท่านก็ถามว่า …

            “อ้าว! พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วจะมาชี้ให้เราพวกต่างชาติ  มาสอนเรา เหมือนกับสอนชาวยิวได้อย่างไร? ไม่ได้เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

            เดี๋ยวก่อน เพราะท่านคิดเหมือนกับที่ชาวยิวเขาคิด  แต่พอดูในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ท่านอ่านในพระคัมภีร์ใหม่ ท่านจะรู้ว่าพระเยซูชี้ให้เราคริสเตียน ผู้เชื่อ ชาวต่างชาติ  ได้รู้ถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในกฎใหม่ต่างๆ เหล่านี้ ในลักษณะของคนต่างชาติ  บนพื้นฐานของคนต่างชาติ  โดยผ่านทางอัครทูต ผู้รับใช้ต่างๆ ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ภายใน แล้วก็ประกาศ สอน เหมือนเดิม  พระองค์เป็นผู้ทำการงานในอัครทูตเปาโล สอนเราเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ให้สมกับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เมื่อวางใจ เมื่อเชื่อในพระองค์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่จะมาเกิดใหม่ พระองค์ก็จะสอนวิธีว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็คือให้ทุกคนรักกัน มีความสามัคคีกัน ไม่โกรธกัน ไม่เคืองกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ให้อภัยกัน ไม่อิจฉากัน

            และก็จะจบลงตรงนี้ สังเกตนะว่าพระเยซูสอน ในยุคพระคุณให้กับคริสเตียนแล้วนะ หลังที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว คริสเตียนได้บังเกิดใหม่แล้ว พระองค์ทรงสอนอย่างไร?  ซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้  ที่เราวิเคราะห์กัน กำลังพูดกับชาวยิวในยุคพันธสัญญาเดิม  เรื่องเกี่ยวกับคำอธิษฐานของพระองค์ ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ ในเอเฟซัส 4:32 ท่านสังเกตดูนะ …

        เอเฟซัส 4:32 “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงได้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

            ผู้ที่เชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูบอกว่า “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงได้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

            จากข้อนี้ ถามท่านว่าใครให้อภัยใครก่อน? ก่อนที่เราจะให้อภัยคนอื่น พระเจ้าให้อภัยเราก่อนแล้ว ถูกหรือเปล่า? พระเจ้าได้ให้อภัยเรา  และรับเราเป็นลูกก่อนแล้ว แล้วเราจึงอภัยให้กับคนอื่นได้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว โดยการอภัยจากพระเจ้าก่อน รับเราก่อน ให้เราได้เกิดใหม่ เกิดจากหน่อเชื้อนิรันดร์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า วิญญาณเราจึงได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ได้เป็นผู้ให้อภัยเหมือนพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่ความประพฤติของเรายังผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย ใช่หรือไม่ใช่? ชัดไม่ชัด? ชัด อะไรมาก่อน? พระองค์ทรงอภัยให้เรา  รับเราเป็นลูกก่อน ไม่ว่าเราจะประพฤติอย่างไรก็ตาม  ถูกหรือไม่ถูก? แล้วอ่านข้อความเมื่อสักครู่นี้เห็นชัดไหม? ชัดเจนเลย โคโลสี 3:13  ที่ผมยกขึ้นมานี้ ก็เช่นเดียวกัน  ยิ่งเห็นชัดใหญ่เลยว่าใครให้อภัยใครก่อน พึ่งพาในตนเองไหม?  ไม่ได้พึ่งเลย เพราะเป็นยุคใหม่ ยุคพระคุณ ผ่านทางการช่วยเหลือของพระเมซิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย  โคโลสี 3:13 …

        โคโลสี 3:13 “จงอดทน อดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่านแล้ว”

            นี่กำลังพูดกับเราคนต่างชาติชัดๆ เลย คนต่างชาติที่กลับใจใหม่ หันมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะวางใจในตนเอง พึ่งพาในการรักษาบทบัญญัติ ก็คือรักษาศีลธรรมตามศาสนา รักษาหลักข้อเชื่อตามหลักศาสนา รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้หมด หันมาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ให้ชำระบาปให้ พระเยซูก็ชำระบาปให้แล้ว พอชำระบาปให้แล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเยซูก็ทรงสอนเราอย่างนี้ว่า …

            “เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่านแล้ว

            ใครยกโทษก่อน? พระเจ้ายกโทษให้เราเรียบร้อยแล้ว เราจึงได้เป็นลูกพระเจ้า พอเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าจึงบอกว่านั่นแหละ เราสามารถทำได้ จากวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว ข้างนอกก็ฝึกฝนในการให้อภัย ฝึกฝนแปลว่าทำได้หมดไหม?  ไม่หมด ไม่หมดไม่เป็นไร? เพราะวิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว  เห็นไหม ต่างกันกับพันธสัญญาเดิมพูดกับชาวยิวใช่ไหม?

            ชาวยิว คือท่านต้องให้อภัยคนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้ท่าน แล้วทำได้ไหม? ไม่ได้ สังเกตเมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน …

            “และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน”

            อยากถามว่าตอนนี้พระเยซูพูดกับใคร? ทดสอบการแปลพระคัมภีร์หน่อยว่าท่านต้องรู้ว่าเรื่องนี้กำลังคุยกับใคร?  พระเยซูพูดผ่านทางเปาโล พูดกับคนที่เป็นคริสเตียนว่า …

            “ท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน”

            “คริสเตียนมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน” ก็แสดงว่าคริสเตียนยังคงมีความประพฤติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ไหม? ไม่ นี่พระเยซูพูดเองนะ ท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน จงฝึกฝนในการอภัยให้กัน  เพราะว่าพระเจ้าได้ให้อภัยท่าน วิญญาณเกิดใหม่ ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่านแล้ว  ท่านมีกำลังตรงนี้แล้ว ฝึกฝน ทำได้หรือไม่ได้ ทำได้มากหรือได้น้อย  ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์อภัยให้ท่านแล้ว นี่เขาถึงเรียกว่าพระคุณ ความรอดจึงเป็นความรอดนิรันดร์ ความรอดฟรีๆ รอดแล้วรอดเลย  ก็เป็นเพราะอย่างนี้

            โดยพระคุณของพระเจ้า เราจึงได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ ก็เป็นความเมตตากรุณา เป็นคนที่ให้อภัยเสมอ เป็นธรรมชาติอยู่ในวิญญาณตลอดเวลาเช่นเดียวกัน มันเป็นธรรมชาติ ที่เราเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มันเป็นอย่างนี้  และวิญญาณตัวนี้ ที่เป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมนี้ ก็คือเป็นวิญญาณที่จะอยู่ไปนิรันดร์  เมื่อจากโลกนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่าง ทิ้งร่างนี้ไว้ วิญญาณไป วิญญาณธรรมชาติเป็นอะไร?  เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้านั้น ควรจะอยู่ที่ไหน? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน

            วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านควรจะไปอยู่ที่ไหน?  มันชัดเจนเลย แทบจะไม่ต้องบอกแล้ว ท่านตอบเองได้เลยว่าก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ตั้งแต่เมื่อไร? ก็อยู่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็อยู่แล้ว  เพียงแต่ตอนจากร่างนี้ไปปุ๊บ พระเจ้าสัญญาว่าจะเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับท่าน เหมือนเสื้อผ้าสวมใส่ ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก ขอบคุณพระเจ้า เอเมน มันง่ายนิดเดียวเลย ความรอด ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันง่ายอย่างนี้จริงๆ ง่ายจนกลายเป็นทางแคบ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันง่ายเกินไป มันไม่น่าใช่ มันต้องยากๆ หน่อย มันต้องฝึกฝน ทรมานตัวเอง  ต้องอันโน้นอันนี้ ต้องให้ดีพร้อม ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดพลาดก็ไม่ได้ คิดก็ต้องสะอาดหมดจด จับความคิดให้มันสะอาดหมดจด ทำก็ต้องทำให้ดี พลาดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ กินเหล้านิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดกันใหญ่เลย สูบบุหรี่หน่อยหนึ่งก็ไม่ได้  อันโน่นก็ไม่ได้ อันนี่ก็ไม่ได้  ก็คิดพยายามที่จะทำๆ รักษาบทบัญญัติ รักษาเคร่งในศาสนา มันไม่สามารถเปลี่ยนวิญญาณได้เลย นี่ชัดเจน

            แล้วสมมติว่าถ้าใครที่ต้องการชัดเจน ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังคงอยู่ใต้บทบัญญัติเดิมอยู่ ยังคงพึ่งพาตนเองอยู่ ยังคงพึ่งในการกระทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าหลังความตาย ซึ่งพระองค์ก็บอกแล้วบอกเล่าว่าไม่มีใครทำได้ บอกกับชาวยิวก่อน แล้วก็มาบอกกับเราทีหลัง ที่ไม่ใช่ชาวยิว มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราเองก็รู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าผู้ใดรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ และได้ยินข่าวประเสริฐ ที่พระเยซูพูดนี้ จะผ่านทางเปาโล หรือผ่านทางผู้เชื่ออื่นๆ ที่รู้จักข่าวดีนี้

            พูดง่ายๆ ว่าข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์นี้ รอดโดยพระคุณนี้ มาถึงเขา และเขาเชื่อ ผู้ใดเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน  และได้รับการอภัยในความบาปผิดทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดเกลี้ยงเลย โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ และความประพฤติของเขาเลย ตามที่เราได้เรียนรู้มา เขาไม่ต้องพึ่งพาการกระทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว พระเยซูทำให้สำเร็จหมดเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงรัก และพระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ฟรีๆ ตามยอห์น 3:16 พระเยซูตรัส ประกาศดังลั่นเลย  ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ …

            “เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อว่าผู้คนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่ไปสู่ความพินาศ หลังความตาย แต่จะเข้าสู่สวรรค์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตของพระเจ้านั่นเอง”

            ในกาลาเทีย 3:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 3:10-11 “10 เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง 11 เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ”

            เห็นไหมครับ พอเราอ่านตรงนี้ บนพื้นฐาน เรียนรู้ว่ายุคไหนเป็นยุคไหน? เราจะรู้ว่าที่กำลังอ่านอยู่นี้ กำลังพูดกับใคร? อ้าว! ไม่ใช่ชาวยิวแล้วนะ พูดกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  เพราะว่าเขียนหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ยุคนี้แล้ว ยุคคนต่างชาติ  พูดกับคนต่างชาติ เห็นไหมเราจะได้เข้าใจมากขึ้น พูดอย่างไร? พูดอะไร?  ก็พูดเหมือนตอนพูดกับชาวยิว  แต่คนละยุคกัน พูดประกาศ เพื่อเตือน  ไม่ใช่มาสอนให้ทำ มาเตือน มาบอก มาชี้ให้เห็นในโลกวิญญาณว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง ก็เหมือนกับตอนที่พูดกับชาวยิวว่าอภัยให้กับคนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน  ท่านทำไม่ได้หรอก  นี่ก็เหมือนกัน

            “เพราะว่าคนชอบธรรม” ก็คือคนที่จะบริสุทธิ์ ดีพร้อม จะไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ  ใครเป็นคนพูด? พระเยซูพูด พูดกับใคร? พูดกับคนต่างชาติที่มีชีวิตอยู่ หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ประกาศผ่านทางอัครทูตคนหนึ่งที่เป็นชาวยิว ที่กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซูคริสต์ และพระเยซูแต่งตั้งเขาเป็นอัครทูต เพื่อนำเอาข่าวประเสริฐนี้ไปประกาศให้กับคนต่างชาติ พระองค์ทรงประกาศผ่านทางเขา  พระองค์ให้ชีวิตใหม่กับเขา และเข้าไปสถิตอยู่กับเขา นำพาชีวิตของเขา เท่ากับพระองค์ทรงประกาศให้กับคนต่างชาตินั่นเอง

            เห็นไหมครับ? บทบัญญัติเดิม พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีดในหนังสือธรรมบัญญัตินั้น ก็ถูกสาปแช่ง คือพินาศในบึงไฟนรก หลังความตายนั่นเอง แต่บทบัญญัติใหม่ในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ท่านอยากรู้ไหมว่าพระเยซูมาบอกว่าตอนนี้มีบทใหม่แล้ว ตอนที่พูดกับชาวยิว ตอนพันธสัญญาเดิม ท่านทำไม่ได้หรอก ท่านถูกสาปแช่งแล้ว แต่ยังไม่ได้มีกฎใหม่  ก็เลยบอกว่าวางใจในเราสิ แล้วได้เกิดใหม่ จบแค่นั้น

            แต่หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย มาพูดกับชาวต่างชาติ เพิ่มเติมขึ้น  เพราะว่าพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว  โรม 8:1-2 บอกชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายแล้ว บัดนี้ อยู่ในกฎใหม่แล้ว มาเลยๆ พี่น้อง หมายถึงมนุษย์ที่เป็นชาวต่างชาติ  ได้ยินได้ฟังคำนี้แล้ว พระเยซูบอกเข้ามาเลยๆ มาอยู่ที่นี่ เข้าสวรรค์ พ้นจากความพินาศ …

        โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ หลังความตาย แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะพ้นจากโทษของความบาป)”

            “เหตุฉะนั้น บัดนี้ ไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ หลังความตาย แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์” … ก็คือคนที่เปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วย เป็นพระมาสิฮาห์ ชำระบาปให้กับเขา เห็นหรือยัง? ก่อนหน้าที่พูดกับชาวยิว ไม่มีตรงนี้ว่าได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้บอก แต่ตอนนี้ได้บอกแล้ว

            แล้วก็บอกเหตุผล ข้อ 2 ว่า “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต” … ก็คือกฎใหม่นั้น ซึ่งตอนพูดกับชาวยิวตอนนั้น ยังไม่มีกฎใหม่นี้อยู่ แต่กฎใหม่กำลังจะมา กฎใหม่มาพร้อมสวรรค์ที่พระองค์บอกว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ก็คือกฎใหม่ในการเข้าสวรรค์กำลังจะมา แต่ยังไม่มา ยังขาดอีก 3 ปี แต่ตอนนี้หลัง 3 ปีแล้ว  ทำสำเร็จแล้ว ก็เลยบอกว่า … “กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย” กฎแห่งความบาปและความตาย ก็คือกฎเดิม ตอนนั้นที่คุยกับชาวยิว ชาวยิวถืออยู่ กฎแห่งการรักษาบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น กฎแห่งการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี

            สำหรับชาวต่างชาติ ก็คือการกระทำดีตามศาสนา ตามศีลธรรม ตามจิตใจที่บอกอยู่ในใจว่าทำอย่างนี้ดี ต้องพึ่งในการกระทำของตนเอง สำหรับชาวยิว ก็คือกฎแห่งการรักษาบทบัญญัติของโมเสส กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อและได้บังเกิดใหม่นั้น ทำให้เราเป็นอิสระ ถ้าเป็นชาวยิว ก็เป็นอิสระจากกฎของบทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ ก็เป็นอิสระจากกฎของศีลธรรมที่อยู่ในใจเรา เรารู้ จะศีล 5 ศีล 7 ศีล 8 ศีล 20 ศีล 217 ศีลเท่าไรก็แล้วแต่ เรารู้ว่าเรารักษา ศีล 5 ยังไม่ได้เลย คนได้ศีล 5 ก็พยายามทำศีล 8 ต่อไป พอได้ศีล 8 ก็ทำศีล 20 ต่อไป  คนได้รับศีล 20 ทำอย่างนี้อีกต่อไป ทำเป็น 217 คนทำ 217 ก็ต้องทำอย่างนี้อีก ต้องละไว้ตรงนี้อีก  เพื่อที่จะไปสวรรค์หลังความตาย แต่พระเยซูคริสต์บอกมาวางใจในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ ไปอยู่ในสวรรค์ เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้

            พระเยซูจึงประกาศเตือนอย่างชัดเจนในมัทธิว 6:14-15 ในตอนท้ายของบทนี้  ไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 6:14-15 “14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            ถ้าท่านอภัย ทำได้ พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่าน ชำระท่านให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าท่านไม่ทำ  ทำไม่ได้ ท่านก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยความบาปผิดให้กับผู้อื่น  ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  พระบิดาก็ไม่ให้อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน

            แต่ในยุคพระคุณ ที่เราเรียนรู้เมื่อสักครู่นี้  พระองค์กำลังบอกว่าให้กลับใจใหม่ มาเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์เถิด วางใจในพระองค์แล้ว ต่อให้ท่านอภัยให้กับคนอื่นไม่ได้ กำลังฝึกฝนในการอภัยให้คนอื่นไม่ได้ ยังรู้สึกคิดริษยา อิจฉาอยู่ แล้วก็อภัยไม่ได้ พยายามแล้ว พยายามอีก นอนไม่หลับ อยากจะอภัย ก็อภัยไม่ได้ แต่วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  หลังความตาย ก็ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์พร้อม โดยความเชื่อ ในพระคุณของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้ ก็คือพระเยซูกำลังเตือนชาวยิวว่าอย่าคิดว่าตัวเองแน่ และสามารถรักษาบทบัญญัติ เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านจะไปไม่รอด จงหันมาพึ่งพา วางใจในพระองค์ พระเมสิยาห์เถิด นี่สำหรับชาวยิว

            แล้วสำหรับชาวที่ไม่ใช่ยิว ชาวต่างชาติ พระองค์กำลังเตือนว่าอย่าคิดว่าตัวเองทำได้ ในการรักษาศีลธรรม ความดีงาม  แม้ว่าคนทั้งหลายจะเห็นว่าดีก็ตาม  อย่านึกว่าท่านรักษา เคร่งในศาสนาที่ท่านยึดถืออยู่ และเป็นสิ่งที่ดี สำหรับสังคม ใครๆ ก็รู้ว่าดี ถูกต้อง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเรื่องกฎของวิญญาณ เพราะว่าท่านไม่สามารถทำดีจนครบถ้วนบริบูรณ์  ตามสายพระเนตร ตามเกณฑ์ของพระองค์ได้  เพราะว่าใจของท่าน วิญญาณของท่านเป็นบาปตั้งแต่กำเนิด  ต้องได้รับการรักษา ต้องได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ท่านจึงจะสามารถรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษในความพินาศหลังความตายได้

            สรุป พระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำบทบัญญัติเหล่านั้น ไม่ได้มาสอนให้เรารักษาบทบัญญัติเหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนชาวยิวให้รักษาบทบัญญัติของโมเสส ไม่ได้มาสอนชาวต่างชาติ ให้มารักษาบทบัญญัติทางศาสนาของแต่ละกลุ่ม แต่ละก้อน แต่ละประเทศ แล้วแต่ แต่ละความเชื่อ แต่พระองค์มาเตือนให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ ในการพึ่งตนเอง  เพื่อที่จะไปสวรรค์หลังความตาย แต่เตือนให้กลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์ และข่าวประเสริฐของพระองค์เถิด แล้วเราค่อยต่อสัปดาห์หน้าให้ลึกขึ้นกว่านี้ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            แผนการของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คือมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์

 ปราศจากบาป สะอาดสมบูรณ์ดีพร้อมตลอดไป โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ

            โคโลสี 1:14 … “ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์)  เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาปทุกครั้งที่เราทำบาป เพราะพระเยซูชำระหนี้บาปของเราหมดเรียบร้อยแล้ว)”

            เมื่อเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเรา บนไม้กางเขนแล้ว ความบาปของเราได้รับการลบออกไปทั้งหมดเลย โดยการบังเกิดใหม่

            เราได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราจึงเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ได้

            และในพระเยซูคริสต์นี้ เรายังได้รับการอภัยในความบาปทุกครั้ง ที่เราอาจถูกล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้กระทำในร่างกายนี้อีกด้วย

            ทั้งหมดนี้  เป็นพระคุณความรักจากพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้เราเปล่าๆ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ แค่ยอมมารับสิทธิของตนเท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาปของเราเลย

            ก่อนที่เราจะสารภาพบาปนั้น  พระเจ้าได้ประทานอภัยโทษให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะพระโลหิตของพระเยซู  ได้ชำระหนี้บาปเวรกรรมทั้งสิ้นของเราหมดแล้ว

            ฮีบรู 10:14 … “และโดยพระประสงค์นี้  (แผนการของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก) เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้วตลอดไป โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ (สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน) เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

            พระเจ้าได้ตรัสว่า … สดุดี 103:11-12 … “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น  12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

            พระเจ้าอวยพรครับ