วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1420

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            คำบรรยายในวันนี้ มีชื่อว่า “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” ตอน 1 “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”

            หัวข้อคำบรรยายวันนี้ ก็คือคำอธิษฐาน ในพระคัมภีร์มัทธิว บทที่ 6:9-15 ซึ่งเรามักจะได้ยินและคุ้นๆ กัน หลายคนท่องจำได้อยู่แล้ว เป็นคำอธิษฐานตามแบบอย่างพระเยซูคริสต์ หัวข้อเขาเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เพราะในพระคัมภีร์ข้อนี้ ขึ้นต้นอย่างนี้ว่า …

            “ฉะนั้น ท่านควรอธิษฐานดังนี้ว่า …”

            นี่คือคำพูดของพระเยซูที่บันทึกเอาไว้นะ เพราะฉะนั้น ถ้าอ่านแค่เฉพาะข้อความตรงนี้ แน่นอน เราก็ต้องเข้าใจว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานตามแบบนี้แน่ๆ แต่ว่าอย่างที่เราเน้นกันมาตลอดว่าการศึกษาพระคัมภีร์ให้เข้าใจความหมาย ควรจะอธิบายความหมายตามบริบทที่ถูกต้อง เราต้องรู้ที่มาที่ไปว่าคำพูดนี้อยู่ในบริบทอะไร? กำลังพูดกับใคร? พูดที่ไหน? พูดเพื่ออะไร?  จุดประสงค์อย่างไร? อยู่ในสถานะอะไรในขณะนั้น ระหว่างคนพูดกับคนฟัง? เราควรจะรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะได้ความหมายที่แท้จริงของความหมายเหล่านั้น

            และวันนี้ เราจะมาศึกษาคำอธิษฐานของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว 6:9-15 นี้อย่างชัดๆ ว่าพระเยซูกำลังพูดกับใคร? สอนให้เราทำตามหรือ? เอาแบบละเอียดเลย เพราะว่ามีพี่น้องผู้เชื่อใหม่หลายท่านก็มาถาม เพราะเนื่องจากได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ในคำบรรยายของเราที่นี่หลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องความเป็นจริงของข่าวประเสริฐ  การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และการอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้ง 10 อย่าง เกิดขึ้นอย่างไร? พระคุณความรอดของพระเจ้าที่เราได้รับมาฟรีๆ แล้ว มันเป็นเช่นไร? ก็เลยนึกถึงคำอธิษฐานนี้ ที่เขาเคยจำได้ ตั้งแต่เริ่มเชื่อใหม่ๆ และเคยได้ยิน ได้ฟังอยู่บ่อยๆ รู้สึกมันแย้งกันกับสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ เขาสงสัย เลยเข้ามาถามว่าจริงๆ แล้วตรงนี้ มัทธิว 6:9-15 มันหมายถึงอะไรกันแน่

            เราจะใช้เวลานี้ในการศึกษา เจาะลึกเข้าไปอย่างลึกซึ้งเลย จะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็ต้องลงรายละเอียดถูกไหมครับ? ให้ถึงรากฐานความจริง เพราะฉะนั้น วันนี้จึงเป็นแค่ตอนที่ 1 ของเรื่องนี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายตอน ฟังให้จบ เอาให้มันชัด เอาให้มันชัวร์เลย เพราะเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เรากำลังประกาศอยู่  คำว่า “เรากำลังประกาศอยู่”  เรา  หมายถึงคริสเตียนทั้งโลก กำลังประกาศถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์กันอยู่ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ด้วย จึงเอาให้อย่างละเอียด

            จริงๆ แล้วตัวอย่างการอธิษฐาน ในหนังสือมัทธิวตรงนี้ มันเป็นช่วงที่พระเยซูกำลังตระเวนประกาศความจริงให้กับชาวยิว จะได้เห็นชัดว่าพูดกับใคร? เราจะเริ่มรู้ ประกาศทำไม? เพื่ออะไร? เป้าหมายที่พระเยซูประกาศตรงนี้ นี่คือหนึ่งในจำนวนประกาศ ข้อพระคัมภีร์นี้ เป้าหมายก็เพื่อจะให้ชาวยิว วางใจและพึ่งในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  “เมสิยาห์” แปลว่าพระคริสต์ “พระคริสต์” แปลว่าผู้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อมาช่วยให้รอด พระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง

            เป้าหมาย คือให้วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ แทนที่จะพึ่งพาการรักษาบทบัญญัติ ด้วยตนเอง เหมือนกับที่ชาวยิวกำลังปฏิบัติกันอยู่ในขณะนั้น ตามความเชื่อเดิมๆ ในเวลานั้น ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้ ถือมาตั้งแต่สมัยโมเสส ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิว เพื่อเมื่อไปละเอียดๆ มากๆ จะได้รู้ว่าพูดไปๆ กลับกลายเป็นตัวฉัน  ท่านใช่ชาวยิวหรือเปล่า? ตอนนี้พระเยซูกำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ผมพยายามให้เน้นตรงนี้ ถ้าเผื่อท่านจำตรงนี้ได้ ท่านจะสามารถอธิบายความหมายเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แจ่มใสเลย จะไม่มีข้อสงสัยในใจของท่านอีกต่อไป

            พระเยซูบอกกับชาวยิว ตอนนี้เรามาเป็นบุคคลที่ 3 นั่งฟังอยู่ ยังไม่ได้พูดถึงเรานะ เอเมนไหม?

            พระเยซูกำลังบอกว่าพระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม? ธรรมบัญญัติเกี่ยวอะไรกับเราหรือเปล่า? “เรา” ไม่ใช่ชาวยิว ตอบว่าไม่เกี่ยว พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ชาวยิวถือธรรมบัญญัติของโมเสส เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโมเสสเลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? เริ่มรู้แล้วใช่ไหม? เริ่มน่าสนใจแล้วใช่ไหม? แต่พระองค์มาเพื่อยืนยันกฎบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่สมัยโมเสส ที่มนุษย์ ก็คือพวกชาวยิวทุกคน ต้องทำตามให้ครบ ทุกจุด ทุกขีด ถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ และสามารถได้รับความรอด ได้เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้ ต้องรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรได้  เพราะต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสวรรค์อยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่พูดกับชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้น

            สรุปรวมความ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าท่านต้องดีพร้อม บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะอยู่ในสวรรค์ ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ที่ตัดสินท่าน ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ความจริง คือไม่มีชาวยิว หรือแม้กระทั่ง คนที่ไม่ใช่ยิว ผู้ใดเลย ที่จะสามารถรักษากฎบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด ไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีมนุษย์คนไหน ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็ตาม ที่จะสามารถทำตัวเอง ให้ดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่ทำบาปเลยแม้แต่นิดหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้เลย

            พระเยซูยกตัวอย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนกับท่านเอาอูฐลอดรูเข็ม เอาแค่ไข่ไก่ลอดรูเข็ม ก็ไม่ได้แล้ว แต่นี่พระองค์บอกเอาอูฐทั้งตัวลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้เลย กำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ชาวยิวฟังตกใจ

            เราจึงได้ข้อสรุปว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะพึ่งพาตนเอง ในการทำให้ตัวเองนั้นสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ โดยการรักษากฎบัญญัติ  สำหรับชาวยิว ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสบันทึกเอาไว้ แต่สำหรับเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิวล่ะ เปรียบเหมือนอะไร? ก็เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรม กฎหมายทางศาสนา กฎแห่งกรรม การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่เราเอามาเปรียบเทียบให้ดู ไม่มีใครสามารถรักษากฎเหล่านี้ ตามศาสนาได้อย่างดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว

            สรุป ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถเข้าสวรรค์ได้ด้วยการกระทำของตนเองนั่นเอง พระเยซูกำลังเน้น แล้วบอกกับชาวยิวต่อว่าไม่มีใครทำได้เลย เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ถ้าคุณจะรักษาบทบัญญัติ เพื่อจะได้รับความรอด จากการลงโทษหลังความตาย ไปสวรรค์ได้ ไม่มีทาง เป้าหมายของพระองค์ ก็คือมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านบริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าได้ ตามเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนดไว้ นั่นก็คือผ่านทางพระองค์เอง ซึ่งพระองค์เป็นพระเมสิยาห์ พระเจ้าทรงประทานให้มา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดจากโทษของความบาปนั่นเอง มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องพึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์ โดยการเชื่อในข่าวดีของพระองค์ เพื่อได้รับการบังเกิดใหม่ จะได้สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ ใครเป็นคนทำแล้ว? พระเจ้าทำ เราทำด้วยตัวเองไม่ได้ พระองค์ยกตัวอย่าง เหมือนกับท่านทำด้วยตัวเอง เพื่อจะไปสวรรค์ เท่ากับเอาอูฐลอดรูเข็ม ทำไม่ได้ แต่ถ้ามาพึ่งในพระองค์ พึ่งในพระเจ้า วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ล่ะก็ พระองค์ตรัสตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่นี้

            บอกว่า … “ถ้าท่านวางใจในเรา ท่านจะบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำ”

            พระองค์ตรัสว่า … “สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ เอเมน

            นี่คือเป้าหมายที่พระองค์กำลังพูดอยู่ ตลอด 3 ปีนี้ พระองค์พูดอย่างนี้  … “เขาจะทำด้วยตนเองนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ต้องมาพึ่งเรา วางใจในเราว่าเราเป็นคนนั้นแหละ ที่ท่านรอคอย คือเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้า  ที่พระองค์ส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะช่วยท่านทั้งหลาย  และโดยพระเจ้า โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระองค์นี่แหละ สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ คือท่านเข้าสวรรค์ได้  สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ โดยผ่านทางเรา” เอเมนไหมครับ?

            คำถามที่ว่า “พระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานตามแบบอย่างนี้ จริงหรือ?” ลองมาพิสูจน์กันตอนนี้ ลองอ่านกันดูนะ ท่านพอจะรู้ระแคะระคายแล้วว่าถ้อยคำที่เรากำลังจะอ่านนี้ เราคุ้นหูกันดี ตอนนี้ ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่ข้อความที่มาถึงเรา เรากำลังแอบอ่านหนังสือที่พระเยซูเขียนหรือพูดกับชาวยิว เรากำลังไปแอบอ่าน ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าที่เราอ่าน พูดถึงใคร? ไม่อย่างนั้นจะยุ่งไปหมด เราแอบอ่านของเขา เราก็ไปนั่งรวมกับเขาด้วย แล้วก็แยกกันไม่ออกว่าใคร? เราเป็นเขา เขาเป็นเรา มั่วไปหมด

            คราวนี้ อ่านให้ท่านฟัง แล้วท่านคิดตามนะว่าเราไปแอบฟังเขา พระเยซูพูดกับชาวยิวอย่างนี้ว่า … มัทธิว 6:9-15 …

        มัทธิว 6:9-15 “9 ฉะนั้น  ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์  สำเร็จในโลก  เช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้  12 ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน  พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะทรงอภัย ให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            พระเยซูกำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ตั้งแต่ข้อ 9-13 ที่เราอ่านกันเมื่อสักครู่นี้  เป็นคำอธิษฐานของชาวยิวโดยปกติอยู่แล้ว  แต่พระเยซูได้เพิ่มข้อ 14 กับข้อ 15 เข้าไป เพื่อให้ชาวยิวเขาได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง จะได้รับการอภัยโทษ หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากตายแล้ว จะได้เข้าสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมา นี่พูดถึงปัจจุบันนี้นะ ตั้งแต่เราเป็นคริสเตียนมา แต่ไหนแต่ไรมา คริสเตียนแทบทุกคนทั้งโลกเลย ถูกสอนให้ท่องคำอธิษฐานนี้ ให้จำจนขึ้นใจ หลายคนท่องคำอธิษฐานนี้ทุกคืน

            สังเกตนะว่าผมใช้คำว่า “ท่องคำอธิษฐาน” ผมไม่ได้ใช้คำว่า “อธิษฐานแล้ว” แต่ก่อนไม่รู้เรื่อง ก็ใช้คำว่าอธิษฐานตามอย่างพระเยซู ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าไม่ใช่ ผมเลยเปลี่ยนเป็นคำว่า “ท่องคำอธิษฐาน” คริสตจักรบางแห่งให้สมาชิกท่องถ้อยคำนี้ ก่อนประชุมนมัสการ ทุกๆ วันอาทิตย์ตอนเช้า พูดเสมือนหนึ่งเป็นคำอธิษฐานของตนเอง เป็นคำปฏิญาณของตนเอง ท่านเริ่มคิดตามแล้วนะ ท่านเริ่มเข้าใจของท่านแล้วนะ

            คำถาม ก็คือจากที่เราได้เรียนรู้ไปบ้างแล้ว ถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับการพึ่งตนเอง กับพึ่งพระเยซู ในการที่จะรอดจากโทษของความบาป หลังความตาย มาจนถึงทุกวันนี้แล้ว เราได้เรียนรู้กันที่นี่ มาพอสมควรแล้ว พออ่านถ้อยคำตรงนี้ เมื่อสักครู่นี้แล้ว มีคำถามหรือมีความสงสัยตรงไหนไหมครับ? สงสัยเต็มไปหมดเลย เยอะเลย เพราะเราเริ่มเรียนรู้แล้ว

            ยกตัวอย่าง ในข้อที่ 12 บอกว่า … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน”

            คิดตามช้าๆ “ขอทรงยกหนี้บาป ก็คืออภัยโทษจากบาป ให้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย” ขอพระเจ้านะ “เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ ทำผิดต่อข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            แปลว่าอันไหนเกิดก่อน? คิดตาม อย่าลืมว่าเราไปแอบอ่านหนังสือของเขา ถ้าแปลตรงๆ ตามตัวหนังสือ

            ตรงนี้ต้องแปลว่า … “เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์แล้ว ดังนั้น ข้าพระองค์จึงขอให้พระองค์ยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเช่นกัน”

            ถูกต้องไหมครับ? ถูก อ่านตามนี้ มันแปลว่าอย่างนี้แหละ ถูกต้องสำหรับตรงนี้ แต่ดูต่อไปนะ ใครที่ตอบว่าไม่ถูก ย้ำกันอีกทีว่าข้อ 14 กับข้อ 15 ได้บอกอย่างชัดเจน บางคนอาจจะแปลไม่ถูก

            ในข้อ 14 ข้อ 15 พระเยซูจึงชี้ลงไปให้เห็นชัดๆ เลย ตรงๆ เลยว่าอูฐลอดรูเข็ม มันคืออะไร?  ข้อ 14 กับข้อ 15 ที่พระเยซูเติมลงไป แล้วบอกพวกเขา

            “เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านที่อยู่ในสวรรค์ จะทรงอภัยให้ท่านด้วยเช่นกัน”

            เห็นภาพหรือยัง? มันมีเงื่อนไขขึ้นมาทันที … “แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยความผิดบาปของผู้อื่นก่อน พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านด้วยเช่นกัน”

            ก็คือขึ้นอยู่กับพระเจ้า หรือขึ้นอยู่กับตัวเราเอง พึ่งพระเจ้า หรือพึ่งตนเอง ต้องพึ่งตนเอง ถูกไหมครับ?  ถ้าเราทำไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ให้อภัยเรานะ ถ้าพระเจ้าบอกว่าท่านต้องทำอย่างนั้นก่อน เราถึงจะทำอย่างนี้ให้ ก็แสดงว่าเราต้องพึ่งตนเอง

            สรุป แปลว่าใครต้องอภัยใครก่อน? ถ้าอ่านตามแค่นี้ ก็กลายเป็นว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน พระเจ้าถึงอภัยให้กับเรา ใช่ไหม? แปลตรงๆ ชัดๆ เลย

            พระเยซูกำลังบอกว่า … “ถ้าท่านอยากได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้า ท่านต้องอภัยให้กับคนอื่นก่อน เพราะฉะนั้น ท่านต้องพึ่งพาตนเอง”

            ใช่ไหม? ใช่สิ่งที่เราเรียนรู้ไหมว่าพระเยซูมาประกาศ เพื่ออะไร? ตะกี้นี้เราบอกต้นๆ แล้ว แล้วที่เราเรียนรู้เรื่องข่าวดีมาตลอด ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามาตลอดว่าความรอดจากบาปนั้น การอภัยโทษ จากการลงโทษเนื่องจากบาปนั้น ที่เราได้รับจากพระเจ้านั้น เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ประทานให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะฉะนั้น มันขัดแย้งกับตะกี้นี้ไหม? ขัดแย้งกันมาก พระเยซูผู้เดียวกันนั้น ขัดแย้งกันได้อย่างไร?  เห็นอะไรบางอย่างไหม? เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันตามนั้นว่านี่คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ นี่คือข่าวดีที่พระเยซูนำมา เพื่อโลกใบนี้ ไม่ใช่มาให้กับชาวยิวอย่างเดียว  แต่มาให้กับมวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่ใช่ชาวยิวด้วย หลักการของข่าวประเสริฐที่พระเยซูนำมา ก็คือเอเฟซัส 2:8-9 อ่านดูนะ …

        เอเฟซัส 2:8-9  “8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ  เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            นี่คือสำหรับเราทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ชาวยิว ที่เป็นคริสเตียน และจริงๆ แล้ว ก็สำหรับชาวยิวที่กลับใจใหม่ ไม่พึ่งพาตนเอง มาพึ่งพระเยซู เป็นคริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน เห็นไหมครับ? แล้วเรานึกว่าเป็นของเรา พระเยซูมาสอนให้เราปฏิบัติ มันก็แย้งกันยุ่ง วุ่นวายไปหมด

            ย้ำกันอีกว่าเวลาจะอ่านพระคัมภีร์ จะศึกษาพระคัมภีร์ ถ้าจะให้เข้าใจความหมายที่ถูกต้องจริงๆ  เราต้องศึกษา ดูที่ไป ที่มาของบริบทนั้นๆ ด้วยว่าถ้อยคำตรงนี้ กำลังพูดกับใคร? พูดถึงใคร?  พูดในสถานการณ์แบบไหน? วัตถุประสงค์เพื่ออะไร?  ไม่ใช่ไปหยิบยกมาข้อ สองข้อ แล้วก็ตีความหมาย 2 ข้อนั้นไป ไม่ได้พูดกับเรา เราก็ไปเอามาใช้ ไม่ใช่สถานะเรา เราก็ไปเอามาใช้ มันก็วุ่นวาย ใช่ไหม?

            ลองคิดดูถ้าเกิดผมพูดอย่างนี้ ง่ายๆ เลย ยกตัวอย่างให้ดู สมมติผมยกข้อ 2 ขึ้นมาพูดว่า …

            ข้อที่ 2 การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี การเป็นศัตรูกันก็ดี การโกรธกันก็ดี การเมาเหล้าก็ดี  การนับถือรูปเคารพก็ดี

            อ่านข้อ 2 ถ้าท่านอ่านเพียงแค่นี้ แล้วก็แปลเลย การกระทำสิ่งเหล่านี้ มันทำไม? มันดีหมด ใช่ไหม? แต่ถ้าอ่านตามบริบทจริงๆ ก่อนข้อ 2 มา

            ผมอาจจะบอกว่า … “จงทำตัวให้สมกับฐานะที่ท่านเป็นบุตรพระเจ้า อย่าทำตัวตามอย่างระบบของโลกนี้  ที่เขาทำกัน การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี การเป็นศัตรูกันก็ดี การโกรธกันก็ดี การเมาเหล้าก็ดี  การนับถือรูปเคารพก็ดี”

            ข้อ 3 มา ผมพูดต่อว่า … “ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าคนที่ประพฤติเช่นนั้น  ไม่ได้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย ทั้งๆ ที่ท่านได้รับความรอดแล้ว”

            สรุปแล้ว ดีหรือไม่ดี? ไม่ดี อย่าทำ แต่ถ้าอ่านข้อเดียวตะกี้นี้ มาตีความเลย มันไปกันแบบคนละทางเลย กลายเป็นผมส่งเสริมให้คนโลภ อะไรอย่างนี้ เพราะข้อนี้ เขาเอาไปอ้าง …

            “อ้าว! ก็อาจารย์บอกว่าโลภก็ดี ไหว้รูปเคารพก็ดี เมาเหล้าก็ดี”

            นี่ยกตัวอย่างให้แบบชัดๆ เลย ความหมายมันเปลี่ยนไปเลย อีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ชัดมากเลย ผมเห็นหลายคนเข้าใจผิด

            สมมติว่ามีประกาศ อ่านประกาศ ตอนนี้โซเซียลมีเดียมีเห็นชัดเลย …

            “ประกาศ เรียนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ให้ใช้บริการฟรีได้ในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากเปิดสายนี้ใหม่ ฉลองสายใหม่ให้ทดลองใช้ 1 เดือนฟรี (แล้วก็พูดอะไรอีกเยอะแยะ) เพราะฉะนั้น ท่านผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า เชิญใช้บริการฟรี ภายในเดือนมิถุนายน”

            โอ้โห! ดีใจกันใหญ่เลย เอาอะไรไปพูด จับไม่ได้หมด เอาตอนสุดท้ายไปพูด …

            “เชิญครับ ใช้บริการรถไฟฟ้าฟรี ภายในเดือนมิถุนายน”

            ไม่ได้อ่านตอนต้น … “ประกาศให้กับผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” เท่านั้น มันจะมีสีอื่นอีกเยอะแยะ กลับไปบ้าน ไปพูดกับคนโน้น คนนี้ ไป ใช้บริการฟรีหมด เขาไปใช้สีเหลือง สีม่วง ตกใจ เสียเวลาไปตั้งเยอะ คิดว่าจะไปใช้ฟรี ที่ไหนได้ ต้องจ่ายตังค์เหมือนเดิม

            เคยคุ้นๆ ไหม? อันนี้ก็เสียหายไม่เยอะนะ แต่ชี้ให้ท่านเห็นชัดๆ ที่เสียหายเยอะ ที่ถูกหลอกมาก  เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ ผมเองก็เคยเข้าใจผิด ยกตัวอย่าง อันนี้คนก็เข้าใจผิดเยอะ ใน 1 เปโตร 2:24 อันนี้ชัดเจนเลย ลองอ่านดู …

        1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

            “ด้วยรอยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้การรักษาให้หาย” เอาไปท่อง บอกต่อๆ กันไป  ผมเองก็ไปบอกคนอื่นเขาเยอะแยะ  ผมเองก็ทำให้เขาเข้าใจผิด เหมือนผมไปประกาศเรื่องรถไฟฟ้าสีส้ม เหมือนกัน เพราะจิตใจมันอยากได้อยู่แล้ว มันอยากจะหายป่วยอยู่แล้ว  อยากจะได้สิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เป็นทุน ดังนั้น ก็เลยทึกทักเอา ใช่แล้ว มีคนเขามาบอกว่า …

            “โดยรอยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คุณนครได้รับการรักษาให้หาย ดูข้อพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้”

            “ใช่”

            “ใน 1 เปโตร 2:24 เขียนไว้ใช่ไหม?”

            ไปเปิดดู “ใช่” แล้วจะเถียงได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ แล้วรู้ไหมว่า 1 เปโตร 2:24 มาจากไหน? จริงๆ รู้ แต่แกล้งไม่รู้ รู้ได้อย่างไร? ก็ 1 เปโตร 2:24 ก็มาจาก 1 เปโตร 2:23 แล้ว 1 เปโตร 2:23 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:22 แล้ว 1 เปโตร 2:22 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:21 แล้ว 1 เปโตร 2:21 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:20 แล้ว 1 เปโตร 2:20 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:19 แล้วถ้าไม่เข้าใจ ก็อ่านย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะเจอเองว่าเขากำลังพูดกับใคร? …

            (1) เขากำลังพูดกับคริสเตียน … “เราก็เป็นคริสเตียน” … “ใช่”

            (2) แล้วเขาพูดกับคริสเตียนเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับความรอด ทางวิญญาณ การตาย แล้วได้ไปสวรรค์ การตายแล้วได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน

            (3) แล้วพูดเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ทรมาน บาดแผลนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร? เกี่ยวกับเรื่องว่าคริสเตียนสมัยนั้น ถูกข่มเหง รังแก ถูกต่อต้าน บางคนถูกเฆี่ยน ถูกเอาไปทรมานอะไรต่างๆ ต้องทนทุกข์ลำบาก เขาจึงให้กำลังใจว่าพระเยซูก็ทนทุกข์ลำบากอย่างนี้แหละ แต่พระองค์ทรงทนทุกข์ เพื่อแบกรับเอาบาปของเราไปรักษาแล้ว ให้หายจากโรคของความเป็นคนบาป โรคที่อยู่ในวิญญาณ คือเกิดมาเป็นคนบาป รักษาเราให้หาย ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            เขาพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องร่างกายนี้เลย แม้แต่นิดเดียว คิดดูสิ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้อยู่แล้ว ท่านก็เคย เสียหายเกิดขึ้น

            อีกข้อหนึ่ง ก็ชัดเหมือนกัน คล้ายๆ กัน 2 โครินธ์ 5:7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:7 “เราจึงดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น”

            พอต่อจาก 1 เปโตร 2:24 ก็เลยบอกว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้เลยว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น เพราะฉะนั้น ตามองเห็นว่า …

            “มีอาการหวัด มีอาการน้ำมูกไหล ปวดหัว”

            จะต้องบอกว่า… “ไม่ใช่ ไม่ปวด ปวดได้อย่างไร เราใช้ความเชื่อ ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น คือความไม่เห็น ก็คือการหายโรคนั่นแหละ ปวดก็บอกว่าไม่ปวด เป็นก็บอกว่าไม่เป็น ถ้าท่านรักษาความเชื่ออย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดขึ้นตามที่ท่านเชื่อนั่นนะ ก็คือท่านปวด ท่านก็บอกว่าไม่ปวดๆ แล้วเดี๋ยวมันไม่ปวดจริงๆ หายจริงๆ  และบางครั้ง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ เขาเรียกว่าอุปทาน  แต่มันไม่ได้เป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า  ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ 2 โครินธ์ 5:7 อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นจริงๆ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?  ก็ต้องมาจาก 2 โครินธ์ 5:6 พวกเราตีความหมาย รู้เลย อยากรู้ความหมาย ตรงนี้พูดถึงใคร? พูดถึงอะไร? เป็นความหมายอย่างไร? กลับไปดูที่ 2 โครินธ์ 5:5 ข้อ 5 มีความหมายว่าอย่างไร? กลับไปดูข้อ 4 … ข้อ 4 มาจากข้อ 3 … ข้อ 3 มาจากข้อ 2 … ข้อ 2 มาจากข้อ 1 … ข้อ 1 มาจาก 2 โครินธ์ บทที่ 4 ถ้าอยากรู้ว่าบทที่ 5 หมายถึงอย่างไร ก็กลับไปอ่านบทที่ 4 ถ้ายังไม่รู้อีก ไปอ่านบทที่ 3 จะรู้ว่าบทที่ 4 หมายถึงอะไร? มาถึงบทที่ 5 ข้อ 7 นี้หมายถึงอะไร?

            พูดสั้นๆ ตรงนี้ ก็คืออาจารย์เปาโลกำลังเปรียบเทียบถึงร่างกายของเรา ร่างกายของเรา มันต่ำต้อย มันทุกข์ มันลำบาก มันเจ็บไข้ได้ป่วย มันต้องตาย มันเสื่อมโทรมไปทุกวัน มันกำลังตายไปทุกวัน  แต่เราไม่ท้อใจ เรามองดูที่ตัวตนที่วิญญาณข้างใน  ที่เราได้บังเกิดใหม่ โดยพระเยซูคริสต์ ให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันเจริญเติบโตทุกวัน กำลังก้าวไปสู่การเจริญเติบโต เข้าไปรับร่างกายใหม่ ที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อเราจากร่างกายนี้  ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว อย่าไปสนใจมัน ร่างกายต่ำต้อยเหล่านี้ แต่ให้มองไปที่วิญญาณข้างในที่บังเกิดใหม่ และร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น ให้ดำเนินชีวิตอย่างนี้

            นี่มันคนละเรื่องกันเลยกับความเข้าใจผิด  เสียหายไหม? เสียหาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียหายข่าวประเสริฐ เพราะเราใช้ไป แล้วมันไม่เกิดผล คนอื่น ทั้งตัวเราเองก็สงสัยใคร? ก่อนเลย สงสัยตัวเราเองก่อน …

            “เราเชื่อไม่พอ เราต้องเชื่อมากกว่านี้ เชื่อมากกว่านี้ จะได้เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น”

            ไปกันใหญ่ พอสงสัยตัวเองไม่พอ สงสัยใครอีก พยายามทำความเชื่อเยอะๆ ก็บอกว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  พยายามเชื่อๆ พยายามอธิษฐานมากๆ พยายามท่องถ้อยคำพระเจ้ามากๆ จำได้ขึ้นใจ พยายามหลับตาเห็นว่า …

            “ฉันหายๆ ฉันได้ๆ ฉันรวยๆ ฉันแข็งแรงๆ ฉันพยายามทำงานให้สำเร็จ”

            พยายามๆ พยายามเองไม่พอ เขาบอกให้มาโบสถ์ ก็มาโบสถ์ เขาบอกมาโบสถ์วันอาทิตย์อย่างเดียวไม่พอ มาทำงานรับใช้ที่โบสถ์เยอะๆ มารับใช้ด้วย ไปสัมนาที่ไหน ก็จะไป ฟื้นฟูที่ไหนก็จะไป ครอบครัว งานการประจำ ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องนี้ อยากจะได้ๆ ทำอะไรอีก เขาบอกยังไม่ได้  แสดงว่าทำอะไรไม่พอ ถวายไม่พอ ถวายๆ สิบลดถวายไม่ครบ ได้แค่ 7 ลด 8 ลดเอง ให้ครบสิบ เช็คดูสิ อะไรมันขาดอยู่ อันนี้ขาดอยู่ ไม่ได้ ก็ทำด้วยความเชื่ออีก  เขาบอกความเชื่อยังไม่พอ เพราะว่ามีคำสาปแช่งหลงเหลืออยู่ คำสาปแช่งที่มาจากบรรพบุรุษ ไปทำอะไรผิดไว้ไหม? เช็คดูอีก เช็คๆ ก็ยังไม่ได้อีก ไม่ได้ จนกระทั่ง จนหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว สงสัย ขั้นต่อไปที่เราควรสงสัย ก็คือใคร? ก็คือพระเจ้า …

            “พระเจ้าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมพระองค์ทำกับลูก ลูกทำหมดทุกอย่างแล้ว ทำไมไม่ได้”

            ก็เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาไว้อย่างนี้ เกิดเหตุไหมล่ะ เสียชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คนอื่นมองมา ก็เลยกล่าวหาพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์พูดโกหก …

            “ไหนล่ะ บอกโดยรอยแผลเฆี่ยน พระเยซูรักษาโรคหาย คริสเตียนป่วยกันตั้งเยอะแยะ ทุกคนก็ป่วยกันหมด  อยู่โรงพยาบาล ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิต ไหนล่ะ บอกว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์จะทำให้หายโรค ไหนล่ะ โดยความเชื่อแล้ว จะได้รับสิ่งที่อยากจะได้ ในนามพระเยซู ไหนบอกอธิษฐานในนามพระเยซูแล้วจะได้ ตามถ้อยคำ ไม่เห็นได้เลย ไม่จริงนิ”

            “อะไรไม่จริง”

            “ถ้อยคำเหล่านี้มันไม่จริง”

            ซึ่งมันไม่ใช่ถ้อยคำของพระเยซูจริงๆ เราไปทึกทักเอาเอง อันนี้เสริมให้เรื่องนี้เข้าไป เพราะพูดแล้วสนุก จะได้รู้ว่าเวลาตีความผิด มันทำให้ข่าวประเสริฐเสียหายมาก

            ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ถ้าเรายังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แล้วเอาไปสอนแบบผิดๆ เอาไปแนะนำแบบผิดๆ  ก็จะทำให้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ถูกบิดเบือนไป และตรงนี้แหละ คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่รู้ความจริง เกิดความขัดเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัครทูตที่เริ่มต้น ประกาศความจริงเรื่องข่าวประเสริฐ มาถึงพวกเราชาวที่ไม่ใช่ยิว ชาวต่างชาติ คืออาจารย์เปาโลเคืองมาก โกรธมาก ถึงขนาดต่อว่าอย่างรุนแรง สำหรับผู้คนที่สอนผิดๆ

            ยกตัวอย่างเช่น คริสเตียนที่เป็นชาวยิวไปสอนคริสเตียนที่ไม่ใช่ชาวยิวว่า …

            “เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านต้องรักษาบทบัญญัติด้วย ไปด้วยกัน ท่านต้องถวายสิบลด ท่านต้องเข้าสุหนัต ท่านต้องทำพิธีอีกหลายๆ อย่าง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ในสายพระเนตรพระเจ้าไว้”

            ซึ่งมันไม่จริง อาจารย์เปาโลโกรธมาก ถึงขนาดบอกเลยว่าคนที่สอนเหล่านั้น น่าจะจับไปตอนซะ การเข้าสุหนัต มันไม่จำเป็นต้องไปบอกให้คนที่เป็นคริสเตียน จากคนต่างชาติ มารักษาเข้าสุหนัตเหมือนชาวยิว  แต่ไปสอนเขาอย่างนั้น อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าน่าจะจับคนสอนไปตอนซะ อย่างนี้ รุนแรงไหม?

            โอเค กลับมาที่คำอธิษฐานเมื่อสักครู่นี้ ในมัทธิว 6:9-15 ต่อ ตรงที่บอกว่า …

            “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            คริสเตียนหลายคนท่องคำอธิษฐานตรงนี้ โดยที่ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริง ท่านลองคิดดูสิ พระเยซูอภัยบาปของเราทั้งสิ้นเรียบร้อยแล้ว แล้วเราไปท่องว่า …

            “โอ้! พระเจ้า ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกโทษนาย ก. นาย ข. กำลังพยายามยกโทษให้คนนี้ ขอทรงยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”

            ทั้งๆ ที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้อภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของเราแล้ว ไม่ว่าเราจะยกโทษให้คนอื่นหรือไม่ทำ ก็ตาม ให้ไปก่อนแล้ว แล้วเราก็มานั่งท่องทุกวัน คิดดู อะไรเกิดขึ้น

            จริงๆ แล้วคำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังประกาศให้กับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสี ที่เคร่งศาสนา เคร่งการรักษาบทบัญญัติ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหองว่า …

            “ฉันรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ ฉันบริสุทธิ์กว่าเธอ ฉันชอบธรรมมากกว่าเธอทั้งหลาย ที่ไม่ได้อธิษฐาน ไม่ได้รักษาบทบัญญัติดีเท่าฉันเลย”

            กำลังเตือนพวกชาวยิว ประกาศให้รู้ความจริงเหล่านี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่พระองค์จะสละพระชนม์ชีพ เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ ก่อนหน้านั้น ท่านต้องพึ่งธรรมบัญญัติจริง  แต่จงเตรียมตัว เพราะสวรรค์มาถึงแล้ว ก่อนที่จะมาถึงคำอธิษฐานตรงนี้ ในตอนเริ่มต้นของคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูได้พูดลักษณะแบบเดียวกันนี้ เป้าหมายเดียวกันนี้ ในมัทธิว 6:9-15 ถ้าเราอยากรู้ตอนเริ่มต้น ก่อนหน้านี้ ก็ต้องไปอ่าน ง่ายๆ ตอนนี้รู้แล้ว ก็คือมัทธิว บทที่ 5 ลองดูสักนิดหนึ่งว่ามันเป็นจริงไหมว่าพระองค์กำลังพูดถึงเป้าหมายของพระองค์ ที่ประกาศให้กับชาวยิวนี้ คืออะไร? มัทธิว 5:17-18 …

        มัทธิว 5:17-18 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ  หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ  เราไม่ได้มาล้มล้าง  แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะสำเร็จครบถ้วน”

            ชาวยิว โดยเฉพาะฟาริสีที่เคร่งศาสนา ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ พวกเคร่งศาสนา ถือบัญญัติอย่างเคร่งเลย เย่อหยิ่งจองหอง พอพระเยซูประกาศเตือนอย่างนั้น เถียงอยู่ในใจ …

            “อ๋อ! จะมาล้มเลิกให้ผู้คนเขาไม่ต้องรักษาบทบัญญัติเหล่านี้แล้วใช่ไหม? มาล้มเลิกหรือ? มายกเลิกหรือ?”

            เหมือนไหม? เหมือนกับคนปัจจุบันไหม? ที่เราบอกว่าพระเยซูมาประทานความรอดให้กับเราฟรีๆ โดยไม่ต้องประพฤติอะไรเลย …

            “อ๋อ! จะมาสอนให้คนทำไม่ดีหรือ?”

            มันคนละเรื่องกัน เรากำลังพูดถึงความรอดในโลกวิญญาณ การไปสวรรค์หลังความตาย การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนา เรื่องการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ นี่เหมือนกันเลย ชาวยิวตอนนั้น ก็คิดอย่างนี้

            “อ๋อ! คิดมาเลิก”

            พระองค์เลยตรัสดังนี้ว่า …

            “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้มบทบัญญัติ อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกศีลธรรมอันดีงาม ที่ท่านถืออยู่ ไม่ใช่ กำลังมาบอกความจริง”

            พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว พระองค์ยืนยันว่า …

            “บทบัญญัติทั้งหมดของพระเจ้า ยังคงอยู่ครบถ้วน มันดีอยู่ ที่ไม่ดี คือตัวคุณ”

            “คุณ” คือใคร? ก็คือชาวยิว กำลังพูดกับชาวยิว ไม่ดีนี้ คือตัวของคุณ ข้างในคุณ ในวิญญาณของคุณ ไม่ได้มาล้มเลิกบทบัญญัติเลย  แต่กำลังจะมาบอกว่าบทบัญญัตินั้นสำคัญ และต้องอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษ จากความผิดบาป ที่ตนกระทำ เนื่องจากโทษนั้น คือต้องตกนรกนั้น ก็มาจากบทบัญญัติที่บอกว่าดี เพราะว่าบทบัญญัตินั้นดี แต่ท่านทำไม่ได้  ท่านไปโทษว่าบทบัญญัตินั้น ไม่ดี ไม่ใช่ บทบัญญัติดี ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านไม่สามารถรักษาให้มันครบบริบูรณ์ได้  นี่ต่างหากที่ทำให้ท่านตกนรก ไม่ใช่เรามายกเลิกบทบัญญัติ ไม่ใช่ ถ้าเรามาบอกท่านว่าถ้าท่านรักษาบทบัญญัติ รักษาอย่างไร มันก็ไม่ได้ครบถ้วนหรอก  ไม่ได้มาบอกว่ากฎทางศีลธรรมต่างๆ เหล่านั้นไม่ดี ไม่ต้องรักษา ไม่ใช่อย่างนั้น  ก็ย้ำอีกว่านี่คือคำตรัสของพระเยซูที่กำลังพูดกับชาวยิว โดยเฉพาะพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เย่อหยิ่งจองหอง และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังสอนอยู่นี้  ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

            ถ้อยคำของพระเจ้าที่เรากำลังศึกษากันในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก็พูดกับชาวยิว ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือก่อนการไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ ก็แปลว่าตอนนั้น มนุษย์ทั้งหมด รวมทั้งยิวด้วย ยังคงเป็นทาสของความบาปอยู่ อยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ยังคงต้องรักษากฎบัญญัติทุกข้อ ยังคงต้องพึ่งการกระทำของตัวเอง ยังคงต้องถวายสัตวบูชา เพื่อขออภัยในความผิดบาปของตน เพื่อจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดบาป เมื่อทำผิดบาปไป ถูกไหม?

            พระเยซูจึงสอนให้อธิษฐานอย่างนี้  … อย่างที่เรากำลังศึกษาวิจัยกันอยู่นี้  ที่บอกว่า …

            “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นเดียวกัน ก่อนแล้ว”

            ก็คือต้องพึ่งในตนเอง ถ้าตนเองทำไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ทำให้ เป็นความรอด เป็นการอภัยโทษ ที่มีเงื่อนไข แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ไม่มีเงื่อนไขแล้ว ให้ฟรีๆ ต่างกันนะ ซึ่งความหมาย ก็คือผู้ใดที่อยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้น ต้องทำให้ได้ตามนี้ ผู้ใดที่อยู่ใต้กฎบัญญัตินี้ ก็คือมนุษย์ทุกคน รวมทั้งชาวยิวเหล่านี้ ที่ฟังอยู่ พระเยซูกำลังบอกว่าผู้ใดอยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้น ก็ต้องทำให้ได้ตามบทบัญญัตินี้ ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่น ให้ได้ก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน  แต่ถ้าท่านไม่สามารถอภัยให้กับผู้อื่นได้ พระเจ้าก็จะไม่อภัยให้กับท่านเช่นเดียวกัน  ชาวยิวเข้าใจไหม?  เข้าใจนะ ไม่ใช่เขาไม่เข้าใจ ม้วนตัวเลย เข้าใจทุกคนแหละ ขึ้นอยู่กับคนนั้นถ่อมใจรับไหมว่านี่เป็นความจริง  พระเยซูประกาศความจริงให้เขานะ

            หลายคนเข้าใจและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป พระเยซูบอกว่าคนเหล่านี้เป็น Poor in Spirit คือในวิญญาณ รู้ตัวเองว่าขัดสน ขาดแคลน  ผิดพลาด ทำไม่ได้ คนเหล่านี้ สวรรค์เป็นของเขา อีกไม่นานเขาจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะเขารู้ตัวว่าเขาทำไม่ได้  แต่ก็จะมีอีกพวกหนึ่งที่เย่อหยิ่ง จองหอง ที่ไม่ยอมรับ ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ยังมั่นใจว่า …

            “โอ๊ย! ฉันทำดีกว่าพวกนี้ โอ้! ฉันรักษาบทบัญญัติได้ดีกว่าพวกชาวประมง  คนเก็บภาษี โสเภณี  อีกไกล  ฉันทั้งรักษาบทบัญญัติ ทั้งอดอาหารอธิษฐาน ทั้งถวายสิบลด ทั้งไปวิหารเป็นประจำ ถวายอะไรต่างๆ เป็นประจำ ฉันดีงามกว่าเยอะ ฉันรอดแน่ พึ่งในตัวเอง คนเหล่านี้จะไปไม่รอด ซึ่งที่พระเยซูสอนเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ตัว … ทุกคนคือใคร?  คือชาวยิว  ที่รักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด ให้รู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย  ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถทำได้

            คำว่า “ให้อภัย” ไม่ใช่หมายถึงการให้อภัยในเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น พระเยซูพูดตรงนี้เลยนะ พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เขาบอกให้อภัย เราก็ให้อภัย เรื่องใหญ่ๆ เราให้อภัยได้  พระเยซูบอกนึกว่าทำได้หรือ? นึกว่ารักษาบทบัญญัติได้หรือ? มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ที่ท่านคิดเท่านั้น แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พระเยซูยกตัวอย่างอะไร? แม้กระทั่งโกรธนิดหนึ่ง  ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงชี้ไปที่ใคร? ท่านไม่ฆ่าคน แต่ท่านบอกไอ้บ้า เท่ากับฆ่าคนตาย ไอ้โง่ เท่ากับฆ่าคนตาย ไม่มีใครทำได้  ก็ฆ่าคนตายหมดทุกคนแหละ พูดง่ายๆ ทุกคนก็เป็นคนบาป

            “โอ้! ฉันรักษาบทบัญญัติได้ดีมาก  ดีกว่าพวกนี้อีก  พวกนี้เป็นหญิงโสเภณี พวกนี้ไม่รักษาความบริสุทธิ์  ฉันบริสุทธิ์ ไม่มีล่วงประเวณีใดๆ”

            พระเยซูบอก “เธอไม่ล่วงประเวณีก็ดีแล้ว แต่รู้ไหม แค่คิดกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว”

            ชี้ลงไปในใจของเขาเลย ท่านไม่โลภ ก็ดีแล้ว  แต่ที่ท่านอธิษฐานขอต่อพระเจ้า นั่นแหละ ท่านกำลังโลภอยู่ จะอยากได้ใช่ไหม?  แค่อยากได้ นี่พระเยซูกำลังชี้ ให้พวกเขาเห็น ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ได้ด้วยว่าชี้ให้มนุษย์ เห็นว่าข้างในมันเป็นคนบาป  มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก

            และเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้  ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือมาพึ่งเรา ผู้ที่พูดอยู่ คือพระมาซีฮาห์  คือพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  ที่พระเจ้าสัญญาไว้ให้กับท่าน และบรรพบุรุษของท่าน  ตั้งแต่ในอดีตมาแล้ว ให้ท่านรอคอยผู้นั้น  ตอนนี้ผู้นั้นมาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว  และให้ท่านได้บังเกิดใหม่ จงเลิกล้มทางเก่าที่จะพึ่งพาตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติ แล้วกลับใจใหม่ หันมาหาเรา วางใจในเรา เชื่อว่าเราเป็นพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด ทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะได้รับความรอด  ไปพบพระบิดาได้ในสวรรค์ เหมือนกับยากอบ 2:10  ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ว่า …

        ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            ให้มาพึ่งพระเยซูคริสต์ พอยากอบ 2:10 บอกว่า … “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            ต่อให้รักษาทั้งหมดเลย แค่คิดไม่ดีนิดเดียว ก็เท่ากับผิดทั้งหมด เพราะความคิดนั้น มันมาจากใจ ใครที่คิดอิจฉาริษยา นินทาชาวบ้านเขานิดเดียวเท่านั้นเอง มันมาจากใจทั้งสิ้น  โรม 3:20 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 3:20  “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม”  ก็คือ “ดังนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้เลย  โดยการรักษาบทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือบทกฎหมายทางศีลธรรม ทางศาสนา เพียงแต่ทำให้รู้ว่าตนนั้น มีบาป อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก บทบัญญัติที่มีไว้ เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นคนบาป  เราทำไม่ได้  ถ้าพูดถึงโมเสส และกฎของโมเสส ที่ชาวยิวรักษาอยู่ มีไว้ดี แต่เป็นกระจกให้กับชาวยิวได้มองเห็นตนเองว่าเราทำไม่ได้ครบถ้วน ถ้าเราทำไม่ได้ครบถ้วน เราก็เป็นคนบาป ก็ไม่มีทางบริสุทธิ์ได้เลย  ไม่มีทางรักษาได้ครบ 100 เลย เป็นไปไม่ได้ ถ้าเอามาเทียบกับคริสเตียน มนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็เหมือนกัน เราอาจจะไม่มีบทบัญญัติเหมือนเขา เป็นบทบัญญัติโมเสส แต่เรามีบัญญัติของบรรพบุรุษของเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิว  ก็คือมีบทบัญญัติทางศาสนา  กฎระเบียบทางศีลธรรม ความเชื่อต่างๆ เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ถึงทุกวันนี้ก็มีเยอะแยะไปหมด

            กฎบัญญัติเหล่านี้ถูกเขียนออกมา จากบทบัญญัติของพระเจ้าที่เขียนอยู่ในใจของมนุษย์ว่าเราเป็นคนบาป  เรารู้ว่าเราทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดี แต่มีอีกหลายๆ สิ่งที่มันดี ที่เราควรจะทำ และเราไม่ได้ทำ  เหมือนที่ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้บอก เราอยากอภัยให้ แต่อภัยไม่ได้ มันมาจากไหน?  เราไม่อยากทำอย่างนี้ แต่เราถูกบังคับให้ทำ โดยข้างใน  บทบัญญัติเหล่านี้จึงเป็นตัวชี้ ให้เห็นว่าเราเป็นคนบาป

            เพราะฉะนั้น เราเป็นคนบาป เราก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทางที่จะได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้าได้ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็ต้องได้รับโทษแห่งการเป็นคนบาป  แต่พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน  เพื่อชำระบาปให้กับเรา  โดยไม่ต้องทำ ชำระที่วิญญาณ วิญญาณของเราที่จะอยู่ไปนิรันดร์ เมื่อเราทิ้งร่างกายนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่างไป วิญญาณมันบริสุทธิ์ แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้า ร่างกายสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ เพราะมันบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า กำลังพูดถึงวิญญาณ เห็นไหม? ความประพฤติมันไม่ได้เกี่ยวเลย มันเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ

            แล้วเราค่อยมาต่อสัปดาห์หน้า ค่อยๆ ว่ากันไปถึงเรื่องนี้ว่าพระเยซูกำลังประกาศให้ชาวยิว ชี้เน้นเรื่องอะไร?  และเราที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่เป็นคริสเตียน เราควรจะตอบสนองต่อถ้อยคำเหล่านี้  และนำมาใช้ในชีวิตของเราอย่างไร ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ในการเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ทรงไถ่ไว้เรียนร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เป็นการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าผู้ใดได้ถูกย้ายเข้ามา อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์  เขาก็ได้บังเกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์

            2 โครินธ์ 5:17 AMP …  “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  [ถูกต่อกิ่งเข้ากับพระองค์  โดยความเชื่อในพระองค์  ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด] เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ [เกิดใหม่และทรงสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์]  สิ่งเก่าๆ [ความประพฤติในอดีตทั้งหมด และสถานะวิญญาณที่ตาย และเป็นศัตรูกับพระเจ้าก่อนหน้านี้] ได้ล่วงไปสูญสิ้นไปแล้ว  ดูเถิด ทุกสิ่งเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ดังนั้น ถ้าผู้ใดได้อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม การกระทำการงาน หรือว่าสถานะในวิญญาณที่มืดบอดนั้น หรือตัวเก่าของเรา ได้ตายไปแล้ว มันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด สิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้นได้ปรากฏขึ้นมา เพราะการบังเกิดใหม่นี้ นำมาซึ่งชีวิตใหม่

            พระเจ้าอวยพรครับ