คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2023
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 26
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เราก็มาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 4 เดือนที่แล้วเราเรียนไปข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 ที่พระเจ้าบอกว่าเรามีพระเจ้าองค์เดียวกัน บัพติศมาเดียว ความเชื่อเดียว เราจบลงตรงนี้
เอเฟซัส 4:5 “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว”
คำว่า “พระเจ้าองค์เดียว” หมายถึงพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าพระบิดาส่งมาให้กับพวกเรา ให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ทำให้เราทุกคนผู้เชื่อ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความเชื่อเดียวกัน คือเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์เดียวกัน
“บัพติศมาเดียว” เราก็คุยเรื่องบัพติศมาบ่อยมาก พอพูดถึงคำว่า “บัพติศมา” พี่น้องจะไม่คิดถึงการจุ่มน้ำแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงว่าเราต้องไปทำพิธีบัพติศมา ลงน้ำ เพื่อเราจะได้รับความรอด แต่คำว่า “บัพติศมา” ในถ้อยคำของพระเจ้า เล็งถึงบัพติศมาในวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่าของเรา ที่เป็นบาป ไปจุ่มพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเอาเข้าไปในพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเราก็ได้ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ตัวเก่าของเราที่เป็นบาป ได้ตายพร้อมกับพระองค์ ถูกฝังพร้อมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้มีวิญญาณใหม่ มีความคิดจิตใจใหม่ และพระเจ้าก็ทรงชำระร่างกายของเราให้ใหม่ด้วย ชำระร่างเก่านี่แหละ แต่ชำระให้สะอาดหมดจด จนพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายนี้ได้ ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วทั้งหมดนี้
ณ เวลานี้ ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็น เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ พระเจ้าจึงให้เราใช้ความเชื่อเอา ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าผู้ชอบธรรม คือคนที่พระเจ้าเห็นว่าดีพร้อม ยอดเยี่ยม ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เริ่มต้นเชื่อ สุดท้ายก็เชื่อ ระหว่างดำเนินชีวิตก็เชื่อ พวกเราทุกๆ คนในเวลานี้ เราก็ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในสิ่งที่พระเจ้าได้บันทึกไว้ในถ้อยคำของพระองค์ว่า ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อได้รับอะไรบ้าง? แล้วสถานะในวิญญาณของเราเป็นอย่างไร?
สถานะในวิญญาณของพวกเราตอนนี้ คือเราไม่ได้เป็นทาสของบาปต่อไป เราเป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาป และความตายแล้ว วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ พวกเรารับรู้ความจริงนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเจอกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เราก็อดทนได้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา เป็นที่อยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น เราทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราอยู่แค่ชั่วคราว
ชั่วคราวขนาดไหน? เต็มที่ 100 ปี คนอายุยืนนะ ให้ 120 ปี ตอนนี้ 120 ปีหายากแล้ว พอ 80 กว่าก็เริ่มต้นละสังขาร ไม่ต้องรอ 80 กว่า พอคนอายุ 60 กว่าขึ้นไป ก็เริ่มเจ็บโน่น เจ็บนี่ เป็นโน่นเป็นนี่ จากที่เมื่อก่อนแข็งแรง ตอนนี้ก็ต้องไปหามดหาหมอ ต้องคอยทานยาบำรุง หรืออะไรประมาณนั้นแหละ ทำให้ร่างกายเรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ฉะนั้น พระเจ้าบอกเราว่าขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ยังติดอยู่ในร่างกายเดิมของเราอยู่ ก็คือกำลังเดินทางไปสู่ความตาย มนุษย์ทุกคนต้องตาย นี่เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา เมื่อวันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป กฎนี้ถูกตั้งขึ้นแล้ว ที่พระเจ้าบอกว่า …
“วันใดที่เจ้าขืนกินผลไม้ที่เราห้าม เจ้าจะตายกับตาย”
ตายแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า ไม่สามารถที่จะคุยกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเดินคู่กับพระเจ้าได้ ก่อนหน้านั้นที่มนุษย์ยังไม่ล้มลงในความบาป ทุกเย็น ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าทุกเย็น พระเจ้าจะมาหา แล้วพระองค์ก็จะมาคุยด้วย พระองค์ก็จะเกี่ยวก้อย เดินชมนกชมไม้ แต่พอวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อาดัมเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็เหมือนกับเขากับพระเจ้าถูกตัดขาดไป ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ที่พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ เพราะพระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด แต่มนุษย์ เริ่มเป็นบาปแล้ว ความบาปและความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าพระเจ้าเข้ามาใกล้ มนุษย์ก็ตาย ฉะนั้น พระเจ้าก็ต้องรักษามนุษย์ไว้ เพื่อให้เรายังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยที่พระองค์ก็ถอยออกมา เหมือนกับมนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา มนุษย์คู่แรกไม่ยอมให้พระเจ้าอยู่ด้วย ก็คือปฏิเสธพระเจ้าไปโดยปริยาย แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือพระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งมนุษย์ แม้รู้ว่ามนุษย์ล้มลงในความบาป ทันที พระเจ้าก็หาทางรอดให้กับมนุษย์ครั้งแรกเลย พอล้มลงในความบาปปุ๊บ มนุษย์ทำอะไร? มนุษย์ก็เอาใบไม้มาห่อหุ้มกาย เพราะว่าตามองเห็นว่าตัวเองโป้ จากเมื่อก่อนไม่รู้สึกว่าตัวเองโป้ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของอาดัมและเอวา เขาไม่รู้สึกว่าเขาโป้อยู่ ทันทีที่เขาล้มลงในความบาปปุ๊บ เขามองเห็น ตอนนี้เขารู้แล้ว รู้จักทั้งดี ทั้งชั่ว ซึ่งก่อนหน้านั้น พระเจ้าบอก …
“เธอไม่ต้องรู้ชั่วหรอก เธอแค่รู้ดีก็พอแล้ว เพราะว่าฉันสร้างเธอมาดี ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นเหมือนฉันเป๊ะเลย อยู่ให้สบายใจ ชมนกชมไม้ ทานทุกอย่างที่ฉันสร้างมาให้ อยู่ดีมีสุข”
แต่มนุษย์เลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์ ฉะนั้น พอครั้งแรก มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ เอาใบไม้มาปกปิดร่างกาย แล้วพี่น้องนึกภาพนะ ใบไม้ วันเดียวก็เหี่ยวแล้ว ถ้าตัดออกจากต้น ใช่ไหม?
มนุษย์พยายามใช้ความชอบธรรมของตัวเองที่จะปกปิดตัวเอง ทำให้ตัวเองรู้สึกชอบธรรม แต่มนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้ชอบธรรมได้ พระเจ้าก็ต้องทำให้กับมนุษย์ พระองค์เริ่มต้นฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วเอาหนังสัตว์นั้นมาให้อาดัมกับเอวาห่อหุ้มร่างกาย แล้วจากนั้น พระองค์ก็วางแผนการของพระองค์ โดยกำหนดเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเผ่าพันธุ์นี้ เราเรียกว่าชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกไว้ ให้เป็นต้นแบบสำหรับมนุษยชาติ ในเรื่องของความรอดในอนาคตข้างหน้า ที่พระเจ้าจะกระทำผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ที่มนุษย์ล้มลงในความบาปทันที พระเจ้าบอกว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก พงศ์พันธุ์ของหญิง หมายถึงพระเยซูคริสต์จะมากระทำการงานของพระองค์ ทำให้มารหัวแหลก ก็คือหมดอำนาจไปเลย ทำให้มนุษย์สามารถที่จะรับการปลดปล่อย กลับมาเป็นอิสรภาพเหมือนเดิม มาอยู่กับพระเจ้าได้เหมือนเดิม เดินเคียงข้างพระเจ้าได้เหมือนเดิม พูดคุยกับพระเจ้าได้เหมือนเดิม
เหมือนทุกวันนี้ผู้เชื่อทุกคน เราสามารถคุยกับพระเจ้าได้ทุกเวลา ทุกวินาที ไม่มีเวลาว่าดึกดื่น ค่อนคืน ตีสามตีสี่ เกรงใจพระเจ้า เดี๋ยวพระเจ้านอนหลับ เราคุยกับพระเจ้านาน พระเจ้าง่วงนอน ไม่มี พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงไม่หลับใหล พระองค์ตื่นอยู่ตลอดเวลา พระองค์คอยฟังคำอธิษฐานของเรา คอยที่จะพูดคุยกับลูกๆ ของพระองค์ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในโลกวิญญาณ ที่ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน
เอเฟซัส 4:6-8 “6 มีพระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือทั้งมวลทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด 7 แต่พระคุณนั้น ประทานแก่เราแต่ละคน ตามที่พระคริสต์ทรงจัดสรร 8 ฉะนั้น จึงมีกล่าวไว้ว่า “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง ทรงนำเชลยไปด้วย และประทานของประทานแก่มนุษย์”
ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังบอกความจริงให้กับชาวเอเฟซัสได้รับรู้ว่าความรอด ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา เป็นของขวัญ เป็นของประทาน เป็นพระพร มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย หรือแม้แต่มนุษย์คิดจะทำ ก็ทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์จะพึ่งพาการทำดีของตัวเอง เพื่อจะได้รับความรอด มันไม่มีทาง ฉะนั้น ความรอดนั้น เป็นพระคุณที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ วิธีที่เราจะได้รับความรอด มีวิธีเดียว ก็คือเปิดใจ วางใจ เชื่อใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน แล้วก็มารับเอา แค่นั้นเอง
ฉะนั้น ความรอดตรงนี้ รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าก็บัพติศมาเรา ฆ่าตัวเก่าที่เป็นบาปของเราให้ตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วให้เราบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า การบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เราได้มีวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่า …
“เราจะให้ใจใหม่ เราจะให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า เราจะๆ”
ถ้าพี่น้องอ่านพระคัมภีร์เดิม พี่น้องจะได้เห็นคำว่า “จะ” ตลอดเวลา คำว่า “จะ” หมายความว่าพระองค์ทรงเผยพระวจนะไว้ว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงกำหนดเวลาของพระองค์ พระองค์จะทำแบบนี้ให้เกิดขึ้น แต่พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คือเดินไปที่ไม้กางเขน ถูกตรึง ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ พระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “จะ” มันหายไปแล้ว คือไม่มีคำว่า “จะ” แล้ว พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน แปลว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เราได้รับเลย ได้รับวิญญาณใหม่ คือพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้เราเลย วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้า ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เราไม่ต้องทำตัวเองให้ดีพร้อม แต่เราเกิดมาเป็นคนดีพร้อม เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นคนที่รักคนอื่นได้ วิญญาณเราเป็นแบบนั้น
แม้ว่าร่างกายเราที่อยู่บนโลกใบนี้ เรายังทำไม่ได้ตามวิญญาณของเรา แต่พระเจ้าผู้อยู่ในเราจะค่อยๆ ช่วยเรา ให้เราสามารถทำตามธรรมชาติใหม่ หรือทำตามสิ่งที่เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ แล้วจะมีใครทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีทาง ต่อให้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว เราก็ไม่สามารถทำได้ครบถ้วน สมบูรณ์ แต่ทำได้เท่าที่กำลังเราทำได้ เท่าที่พระเจ้าทรงเสริมกำลังเรา แล้วก็เท่าที่เรายอมให้พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราด้วย มันมีปัจจัยเยอะ
ปัจจัยตรงนี้ ก็คือพระเจ้าไม่เคยบังคับเรา แม้ว่าพระองค์ซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง แต่พระเจ้าไม่เคยบังคับลูกของพระองค์ว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่พระเจ้าจะหนุนจิตชูใจเราว่าตอนนี้เราเป็นแบบนี้แล้วนะ ให้เรามาทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ทำอย่างนี้กันดีกว่า หรือให้มาทำอย่างนี้เถอะ สำแดงตัวตนใหม่ที่เราเป็นแล้ว ให้คนอื่นได้เห็น ได้รับรู้ ได้สัมผัสถึงพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในชีวิตของเรา แล้วเราจะสังเกตว่าผู้เชื่อหลายคนก็สามารถเปลี่ยนได้เร็ว บางคนก็เปลี่ยนช้า บางคนเชื่อพระเจ้ามา 5 ปี 10 ปี ยังเหมือนเดิมเลย ไม่เห็นเปลี่ยนเลย อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนมากหรือเปลี่ยนน้อย ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเขา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณของเขาที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สะอาด หมดจด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าได้บอกกับเรา
ตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าความรอด ทุกคนจะได้เท่ากัน เท่ากันเลยนะ ไม่ว่าเราจะเชื่อพระเจ้านานแค่ไหน? หรือคนที่รับเชื่อ 1 วัน สมมติว่ามีคนหนึ่งเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์วันเดียว แล้วเขาก็จากไปอยู่กับพระเจ้าเลย เป็นคนที่สุดยอดที่สุด เราก็อยากเป็นแบบนั้น คือไม่ต้องมาเผชิญกับโลกใบนี้อีก พอเปิดใจต้อนรับปุ๊บ
พระเจ้าบอก … “หมดเวลาแล้ว ไปกลับบ้าน”
พี่น้องนึกถึงใคร? นึกถึงโจร บนไม้กางเขน ที่ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ มีโจร 2 คนซ้ายขวา คนหนึ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อีกคนหนึ่งไม่ยอมเปิดใจ ยังด่าพระเยซูอยู่เลย ยังเยาะเย้ยพระเยซูอยู่เลย แต่คนที่กลับใจ รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วเขายอม เขาตัดสินใจ เขาจะติดตามพระองค์
เขาพูดกับพระเยซูแค่ประโยคเดียว … “พระองค์เจ้าข้า ขอรับลูกให้เป็นลูกของพระองค์ สามารถเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้”
พระเยซูตอบเขาทันทีว่า … “วันนี้เราจะได้เจอกันบนแผ่นดินสวรรค์” เอเมน
แปลว่าพอเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้วทันที เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราจะอยู่บนโลกใบนี้นานแค่ไหน? 1 วัน 1 ปี 10 ปี 20 ปี 50 ปี ผลตรงนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง เหมือนเดิม ก็คือจากโลกนี้ไปเมื่อไร เราก็ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าทันที หรือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเรา ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ พี่น้องหลับตานึกถึงถ้อยคำของพระเจ้า แล้วพระองค์บอกว่า ณ เวลานี้ วิญญาณของผู้เชื่อทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย
แล้วตอนนี้ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า บนสวรรคสถาน และเรากับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เกาะกันเลยนะ แยกกันไม่ได้ เมื่อแยกกันไม่ได้ปุ๊บ พระเยซูอยู่บนสวรรค์ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ พี่น้องนึกภาพออกไหม? เราก็อยู่บนสวรรค์กับพระเยซูคริสต์ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ นี่คือความจริง พระเยซูถึงบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท
เราถูกหลอกมานานแล้วว่าเราจะได้ไปสวรรค์หลังจากที่เราตาย แต่ความจริง ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราไม่ต้องรอตาย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราได้อยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว รอร่างกายนี้ ที่อยู่บนโลกใบนี้ ถึงวาระกำหนดว่าพระเจ้ากำหนดไว้ ใครจะอยู่แค่ไหน? อย่างไร? เราไม่รู้ ถึงวันที่ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปอยู่ที่เดิมแหละ เปลี่ยนมิติ
ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปลี่ยนมิติ” เขาไม่เรียกคริสเตียนว่า “ตาย” คริสเตียนเราไม่ตาย เราแค่ทิ้งร่างกายนี้ไป แล้ววิญญาณเราแปรเปลี่ยนไปอยู่อีกมิติหนึ่ง คือมิติฝ่ายวิญญาณที่เราอยู่แล้วล่ะ แต่ว่า ณ เวลานั้น เมื่อลมหายใจออกจากร่าง เราทิ้งร่างกายนี้ปุ๊บ เราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นชัดๆ เลย ตอนนี้เราไม่เห็น ตอนนี้เราต้องใช้ความเชื่อ แต่ ณ เวลานั้น เราจะได้ไปเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และ ณ เวลานั้น เราไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระคริสต์แล้ว ปัจจุบัน เราถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์ ที่เราใช้คำว่า “ในพระคริสต์” พระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซู พระองค์สถิตอยู่ภายในเรา เราอยู่ในพระเยซู ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่พอถึงวันนั้น วันที่พระเจ้ากำหนด วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ เที่ยวนี้ อยู่แบบจับต้องมองเห็นได้เลย ไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราไม่ต้องซ่อนอยู่ในพระคริสต์อีกแล้ว เราจะหลุดออกจากการซ่อนในพระคริสต์ แล้วเราจะเห็นตัวเราเอง ที่รับร่างกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้มองเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูคริสต์ต่อหน้าต่อ เห็นตัวเราเองที่มีร่างกายใหม่ เห็นกับตา โดยที่ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป นี่คือความจริง ที่พระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้ โลกวิญญาณ เราใช้ความเชื่อ อนาคตข้างหน้า พอวิญญาณออกจากร่าง ความเชื่อไม่ต้องใช้ ความหวังก็ไม่ต้องใช้ เพราะไม่ต้องหวังแล้ว เราเจอแล้ว แต่มีอันเดียวที่อยู่กับเรา อยู่ตลอด ตั้งแต่ที่นี่ ไปจนถึงโลกหน้า ก็คือความรัก
พระคัมภีร์บอก พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เท่ากับความรักอยู่ในเราด้วย เราก็เป็นความรัก ผู้เชื่อทุกคนเป็นความรัก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหมด บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อเราจะรักใคร? แต่เรารักอยู่แล้วในวิญญาณ แค่ว่าเราพัฒนาตัวเราเองให้รับรู้ว่าข้างในเราเป็นความรักนะ แล้วเราก็พัฒนาให้ความรักที่อยู่ในเรา ถูกฉายออกไป เขาเรียกฉายแสงออกไป ปรากฏออกไปให้คนรอบข้างได้สัมผัสถึงความรักของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกเราไว้
ฉะนั้น พระคุณที่พระเจ้าให้ ความรอดทุกคนได้เท่ากัน แต่มันมีอันหนึ่งที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือของประทาน
ของประทานที่พระเจ้าให้กับพวกเราแต่ละคนไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันด้วย ให้ตามชอบพระทัยของพระองค์
ตรงนี้ พี่น้องหลายคนอาจจะเข้าใจว่าคนที่มีของประทานเยอะๆ พระเจ้าให้ของประทานเยอะ อย่างเช่น อาจารย์เปาโลอย่างนี้ ของประทานเยอะมาก เขารับใช้พระเจ้าแบบสุดจิตสุดใจ กับอีกหลายๆ คนที่พระเจ้าให้ของประทานนิดเดียว ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ให้เป็นแม่บ้าน อยู่กับบ้าน ดูแลลูกให้ดีที่สุด พระเจ้าให้แค่นั้น แล้วมีข้อสงสัยว่าระหว่างแม่บ้านคนนี้กับอาจารย์เปาโล ใครจะได้รางวัลมากกว่ากัน พี่น้องว่าใครจะได้รางวัลมากกว่ากัน ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าได้เท่ากัน
พี่น้องอาจจะ … “ห๊ะ! เท่ากันจริงหรือ? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉันอยู่ที่บ้านเฉยๆ เลย รับใช้ก็ไม่ได้รับใช้ ประกาศก็ไม่เคยประกาศ ไม่เคยมาช่วยที่โบสถ์เลย โบสถ์เขามีงาน เราก็อยู่ที่บ้าน โบสถ์ทำสารพัด เราก็อยู่ที่บ้าน”
พระเจ้าบอกว่า … “ก็ฉันให้เธออยู่แค่นั้นแหละ”
พอจากไปอยู่กับพระเจ้า ได้รางวัลเท่ากันเลย ไม่มีใครได้รางวัลมากกว่าใคร? เหตุผล คือพระเจ้าที่อยู่ในเรา เป็นผู้กระทำการงาน ประกอบกิจอยู่ภายในเรา แล้วพระเจ้าให้ของประทานใครที่เยอะกว่าคนอื่น แล้วคนที่ทำ คือใคร? พระเจ้า … พระเจ้าที่อยู่ในเราเป็นผู้กระทำ เราเป็นแค่เครื่องมือ เครื่องไม้ของพระองค์ ร่วมมือกับพระเจ้า จับมือกัน พระเจ้าว่าอย่างไร? เราว่าตามนั้น แปลว่าผลงานไม่ใช่ของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด เมื่อพระเจ้าเป็นผู้กระทำทั้งหมด เราจะไปอ้างอะไรที่จะไปเอารางวัลเยอะกว่าคนอื่น
สมัยก่อนถูกสอนมา เราก็เข้าใจผิด เราก็สอนต่อ … “ถ้าคนรับใช้พระเจ้าเยอะๆ บนโลกใบนี้ เราขึ้นไปอยู่ข้างบน เราจะได้บ้านหลังใหญ่กว่าคนอื่น เราจะได้บ้านเดี่ยวเลย ถ้าใครที่ไม่ได้ทำอะไรบนโลกใบนี้ หรือแม้แต่คนที่วันๆ โบสถ์ก็ไม่ยอมมา เขาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เขาจะได้กระต๊อบที่หลังคาโบ๋ด้วย นั่นเป็นความเชื่อผิดนะพี่น้อง เป็นความเชื่อผิดอย่างมหันต์ เพราะพระเจ้าไม่เคยบอกเราว่าเป็นอย่างนั้น เราคิดเอาเอง เราคิดว่าถ้าเราทำเยอะ เราต้องได้เยอะสิ แต่พระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า …
“คนที่ทำอยู่ในท่านทั้งหลาย คือฉันเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเธอเลย ฉันเป็นผู้กระทำ เธอเป็นแค่ภาชนะที่ยอมให้ฉันใช้”
แค่นั้นเอง ฉะนั้น เราสบายใจได้ พี่น้องไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัวว่าอ้าว! เราไม่ได้มาโบสถ์ หรือไม่ได้ทำอะไรให้โบสถ์เลย แล้วต่อไปขึ้นไปบนสวรรค์ เราจะได้บ้าน กระต๊อบสังกะสีที่ผุๆ พังๆ ไหม? ขอบอกตรงนี้เลยนะ ไม่มีทาง พระเจ้าให้เท่ากัน เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา และพระองค์ก็ให้แต่ละคนตามชอบพระทัยของพระเจ้าด้วย เหมือนพระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้อวัยวะทุกส่วนทำงานตามความเหมาะสม โดยมีพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ
พอพูดถึงของประทานปุ๊บ ก็คือพระเจ้าเป็นผู้ให้ แล้วเราก็ทำตามของประทานที่พระเจ้าให้กับพวกเรา นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ พอเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ปุ๊บ
เราก็ไม่ต้องไปคอยผวาว่า … “ตกลง ถ้าเราเป็นแม่บ้านเฉยๆ อยู่บ้านเลี้ยงลูก แล้วเราจะได้รางวัลเหมือนคนอื่นไหม?”
ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า … “เท่ากัน”
เอเฟซัส 4:9-10 “9 (ที่ว่า “เสด็จขึ้น” นั้น ย่อมไม่อาจหมายความเป็นอื่น นอกจากว่าพระองค์ได้เสด็จลงสู่เบื้องต่ำของโลกด้วย 10 พระองค์ผู้เสด็จลง คือองค์เดียวกับที่เสด็จขึ้นสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งมวล เพื่อทรงเติมทั่วทั้งจักรวาลให้สมบูรณ์)”
“พระองค์ผู้เสด็จขึ้นมา” ตรงนี้เล็งถึง … ถ้าพี่น้องอยากอ่านที่มาที่ไป ในพระคัมภีร์ตรงนี้ ดึงเอาหนังสือพระคัมภีร์เดิมมา เป็นคำอธิษฐานของกษัตริย์ดาวิด ในสดุดี บทที่ 68 ถ้าพี่น้องไปอ่าน ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อ 19 ก็จะพูดถึงว่าพระเจ้ามาแล้ว ตอนสดุดี คือตอนที่กษัตริย์ดาวิดอธิษฐาน เป็นคำอธิษฐานที่เผยพระวจนะว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะทำแบบนี้ พอตรงนี้อาจารย์เปาโลก็ดึงออกมาจากพระคัมภีร์เดิม ให้รู้ว่าสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดพูด บัดนี้ มันได้สำเร็จแล้ว
พระองค์ผู้เสด็จขึ้นมากับพระองค์ผู้ลงไป หมายถึงพระเยซูคริสต์ยอมทำตามที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้ คือมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยอมถูกฝังในอุโมงค์ ก็คือลงไปที่ลึกสุด แล้วได้เสด็จขึ้นมา ก็คือเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สาม ทำให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป พระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว ได้ทำให้สิ่งที่พระองค์กำหนดไว้ สำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พระองค์ก็ประทานของประทานให้กับมนุษย์ ก็คือของขวัญ ช่วยมนุษยชาติ หลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป หลุดพ้นจากการเป็นทาสของระบบบนโลกใบนี้ เป็นทาสที่พยายามพึ่งพาการทำความดีด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถที่จะทำความดีได้ครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า
ถ้าไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ในพระคัมภีร์ก็ยังบอกว่าแม้เราทำผิดแค่ครั้งเดียว ทำบาปแค่ครั้งเดียว ถือว่าบาปหมดเลย ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเยซูจึงมาทำแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ณ เวลานี้ เราก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ของประทานต่างๆ เหล่านี้ พระพรนานับประการ ที่พระองค์ได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เราได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ พระองค์ทรงซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ทำสำเร็จแล้ว
ตอนนี้ พระองค์ก็บอกกับเราว่าใครก็ตามที่มาหาพระองค์ พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวัตถุเลย แต่เกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณ หายเหนื่อยก็คือเราไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ในการพยายามทำความดี เพื่อให้ได้ไปสวรรค์ หรือเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเราจะได้รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้สามารถนั่งพักได้เลย พระเยซูบอกว่าท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะว่าท่านได้รับความรอดแล้ว ไม่ต้องดิ้นรน เพื่อทำตัวเองให้ดี เพื่อที่จะได้สวรรค์ แต่ท่านได้สวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว
เอเฟซัส 4:11 “พระองค์เองทรงเป็นผู้ให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์”
พอมาถึงข้อนี้ ที่ตะกี้เราคุยกัน ก็คือความรอด ทุกคนได้เท่ากัน แต่พอของประทานปุ๊บ ทุกคนจะได้รับไม่เท่ากัน แต่ว่ายังคงได้รับผลของพระพร รางวัลเท่ากันเหมือนเดิม ฉะนั้น ตรงข้อที่ 11 บอกว่า “พระองค์เองทรงเป็นผู้ให้บางคนเป็นอัครทูต” แค่บางคนนะ ไม่ใช่ทุกคนเป็นอัครทูต
แล้วคำว่า “อัครทูต” จะใช้กับเฉพาะสาวก 12 คนเท่านั้น อัครทูต คือคนที่ติดตามพระเยซู อยู่กับพระเยซู ตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตรงนี้ พระเจ้าเรียกเขามาให้เป็นอัครทูต แล้วต่อจาก 12 คนนี้ ไม่มีแล้วนะอัครทูต
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนอีก ผู้เผยพระวจนะ คือคนที่นำเอาข่าวสารของพระองค์ไปบอกกับประชากรของพระองค์ ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าก็จะเรียกผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่ได้ให้อยู่ยงคงประพันถาวร ไม่ใช่ พระเจ้าจะใช้ใครก็ได้ที่จะไปกล่าวถ้อยคำของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนสติ หรือบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร นั่นแหละ เขาเรียกว่าผู้เผยพระวจนะ บอกเรื่องราวที่พระองค์กำลังจะกระทำ
บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนอีกนะ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ ก็คือไปประกาศบอกความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์ให้กับคนอื่นได้รับรู้ อย่างเช่นพวกอัครสาวก หรือคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ จากนั้น พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมา
เราจำได้ใช่ไหม สัปดาห์ที่แล้วเราเพิ่งเฉลิมฉลองวันเพ็นเทคอสต์ไป ก็คือเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาอยู่ในมนุษย์ … มนุษย์กลายเป็นวิหารของพระเจ้า ตั้งแต่เกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วจากนั้น ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นวิหารของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาอยู่ในเรา ฉะนั้น คนเหล่านี้ ก็เป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บอกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็มาถึงประเทศไทย เพราะในช่วงนั้น ช่วงที่อัครสาวก หรือผู้เชื่อรุ่นแรกจะถูกข่มเหงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถูกข่มเหงจากพวกชาวยิว ซึ่งชาวยิวเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเขาควรจะเชื่อ เพราะว่าพระเจ้าบอกเขาล่วงหน้า ตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ พวกอัครสาวกมาประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าปุ๊บ คนเหล่านี้ เขาไล่ล่าฆ่าเลยแหละ เหมือนกับมาทำให้ คนไม่ยอมมาทำตามบทบัญญัติ แต่พระเยซูยังคงยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติ แต่พระองค์มาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้บทบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากพระเยซูผู้เดียวเท่านั้นเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ และเป็นมนุษย์ผู้แรกที่ไม่มีบาปเลย สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์
จากนั้น พระเจ้าก็ให้บางคนเป็นศิษยาภิบาล … ศิษยาภิบาล ก็คือคนที่ดูแลผู้เชื่อ ที่พระเจ้าได้มอบหมายให้ อย่างในสมัยอดีต ที่อาจารย์เปาโลไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แล้วมีคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็หาใครคนใดคนหนึ่ง ที่ดูแล้วว่ามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์แข็งขัน แล้วก็สามารถที่จะสอนคนอื่นได้ด้วย สามารถที่จะวางรากฐานที่มั่นคงให้กับคริสตจักรนั้นๆ อาจารย์เปาโลก็เลยแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล อย่างเช่นที่เอเฟซัส อาจารย์เปาโลก็แต่งตั้งทิโมธี เป็นศิษยาภิบาล
แล้วก็ให้บางคนเป็นอาจารย์ … อาจารย์กับศิษยาภิบาลก็ต่างกัน ศิษยาภิบาลเหมือนพ่อแม่ อาจารย์เหมือนครู นึกออกไหม? ความผูกพันมันต่างกัน พ่อแม่ ก็คือดูแลเราตั้งแต่เกิดจนตาย ต่อให้พี่น้องจะรู้สึกว่า …
“ฉันโตขนาดไหน? หรือฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันมีลูกเต้าแล้ว พ่อแม่อย่ามายุ่งกับฉันเลย”
มันไม่ยุ่งไม่ได้ ความผูกพันตรงนี้ ก็คือเรารักเขา เราก็คอยดูแล คอยห่วงใย แต่ไม่ได้หมายความว่าไปยุ่งทุกส่วนในชีวิตของเขา ไม่ใช่ แต่ความผูกพันตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามาเอง อดที่จะห่วงใยลูกเต้าของเราไม่ได้ ต่อให้เขามีลูก มีหลานแล้ว เราก็ยังรักและห่วงใยเขาอยู่ แล้วเรามีภาษีเหนือกว่าตรงที่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสามารถอธิษฐานให้กับลูกหลานเราได้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา ดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง ลูกหลานเราบางคน อาจจะยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็อธิษฐานเผื่อเขา ขอพระเจ้าเมตตาให้เขาได้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เมื่อเขาได้ยินได้ฟัง ขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจ ให้เขามีความสามารถและถ่อมใจที่จะมายอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทำ หรือศิษยาภิบาลทำ
แต่ครู อาจารย์ ก็คือเขาดูแลเราช่วงหนึ่งเอง อาจารย์ ก็คือสอนถ้อยคำของพระเจ้า ดูแลเราช่วงหนึ่ง ไม่ได้ลงละเอียด ลึกเท่ากับพ่อแม่
นี่คือความแตกต่าง ฉะนั้น ของประทานเหล่านี้ พระเจ้าเป็นผู้ใส่เข้ามา เมื่อพระองค์ให้ของประทานเหล่านี้ พระองค์ก็จะใส่ใจที่สามารถ อย่างศิษยาภิบาล พระเจ้าเรียกให้มาเป็นศิษยาภิบาล พระองค์ก็ใส่เรียกว่าความสามารถให้กับคนที่ถูกเรียกให้มาเป็นศิษยาภิบาล เหมือนกับพระเจ้าให้ของประทานในร่างกายของพวกเรา ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นตา พระองค์ก็ใส่ความสามารถ ให้เราสามารถมองเห็นได้ ถ้าพระเจ้าให้เราเป็นหู พระองค์ก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถได้ยิน นี่เรายกเว้นคนที่เขาผิดปกติ ไม่ได้ยิน ถ้าเป็นมนุษย์ปกติ หูเขาจะได้ยิน พระเจ้าให้เราเป็นปาก พระเจ้าก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถพูดได้ ทานข้าวได้ อะไรอย่างนี้ ก็คือเป็นของประทาน พระเจ้าให้เราเป็นมือ พระเจ้าก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถหยิบจับอะไรได้ ให้เราเป็นขา ก็ใส่ความสามารถให้เราสามารถเดินได้
นี่คือของประทานที่ให้เรามาเปรียบเทียบกับร่างกายของมนุษย์ หรือของประทานที่บางคนมองไม่เห็น คืออะไร? ตับ ไต ไส้ พุง ที่มันอยู่ข้างใน เรามองไม่เห็น แต่ทุกส่วนในร่างกายมีประโยชน์ทั้งนั้น แล้วก็มีความหมายทั้งนั้น พระเจ้าสามารถใช้ทุกส่วนในร่างกาย และทุกส่วนในร่างกาย ทำงานร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้อวัยวะทุกส่วน ร่างกายนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ความปิติยินดีของเราอยู่ในพระคริสต์
ฟีลิปปี 4:4-7 … “4 จงปิติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงปิติยินดีเถิด! 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”
ความปิติยินดีของผู้เชื่อ เป็นความปิติยินดีที่โลกนี้ให้เราไม่ได้ เป็นความปิติยินดีที่คงทนถาวร หนักแน่น ฝังรากลึกลงในวิญญาณ ไม่เหมือนความยินดีของโลก ที่มาแป๊บเดียวแล้วหายไป
ความปิติยินดีนี้ เกิดจากแม้เราจะเผชิญความทุกข์ยากต่างๆ แต่ในขณะที่เผชิญอยู่นั้น เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เป็นที่ปรึกษา คอยนำพา หนุน ให้กำลังใจเรา ให้ความเข้มแข็งกับเรา และพาเราเดินผ่านสถานการณ์นั้นๆ แบบวินาทีต่อวินาที นาทีต่อนาที ชั่วโมงต่อชั่วโมง วันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เดือนต่อเดือน ปีต่อปี ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย
การเผชิญ และเดินผ่านความทุกข์ยากอย่างมีความปิติยินดีกับพระเจ้านี้ เป็นความเข้มแข็ง ที่พระเจ้าเป็นผู้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของเรา ค่อยๆ แทงราก เพื่อต้นไม้ต้นนี้ (ชีวิตเราในขณะอยู่ในโลกใบนี้) จะเติบโตแข็งแรง ในความเชื่อ ความรัก และความหวังใจในพระองค์
นี่คือหนึ่งในธรรมชาติใหม่ในวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่ เป็นอยู่ในชีวิตผู้เชื่อ โดยไม่ต้องพยายามด้วยสติปัญญา แรงและกำลังของเรา
พระเจ้าอวยพรครับ