วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1417

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  พฤษภาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 9 “จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การนมัสการพระเจ้าและการบรรยาย ในคริสตจักรอภิสุทธิสถานที่แพรกษานี้ สวัสดีอีกครั้งหนึ่งครับ

            วันนี้เรามาเรียนกันต่อถึงซีรี่ย์ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่อง “จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์” วันนี้เราจะมารับรู้มรดกของเรา กำลังจะได้อีก เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ ในโลกหน้า ทั้งหมดนี้ได้รับมาเพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราถึงใช้ชื่อว่าอัศจรรย์ อัศจรรย์มาก ไม่ต้องทำอะไรเลย เปิดใจเท่านั้นเอง

            เราเรียนรู้กันมาแล้วว่าอัศจรรย์ที่ได้รับแล้วทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือ .-

                        1. วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        2. ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

                        3. ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        4. พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายนี้

                        5. ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะที่กำลังฟังอยู่นี้ ถ้าท่านเปิดใจแล้วนะ

                        6. พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย นั่งอยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน หรือนั่งอยู่ที่บ้าน ที่ไหนก็ตามในโลกวิญญาณนั้น เราได้นั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            นี่คือ 6 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว

                        7. ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า คือมีรางวัลให้กับเรา จนไปถึงโลกหน้าเลย ที่ทรงสัญญาเอาไว้

            นี่คือ 7 อย่างที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์เขียนชัดเจน  แล้วเราก็รับรู้แล้ว โดยข้างในวิญญาณของเรา รู้อยู่ในใจว่าสิ่งนี้เราได้รับเรียบร้อยแล้ว

            ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า หลังความตาย พูดตามภาษามนุษย์ทั่วๆ ไปนะ แต่เรารู้แล้วว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับ และได้รับ 7 อย่างนี้แล้ว เราไม่มีการตายอีกแล้ว เราเรียนรู้ไปแล้วนะ เรียกว่าล่วงหลับไป ได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างใหม่เท่านั้น  แต่พูดภาษาให้ง่ายๆ  ก็คือหลังความตาย ส่วนอัศจรรย์ที่เราจะได้รับในโลกหน้า ก็คือ …

                        8. จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ หลังจากสิ้นลมหายใจแล้ว

            อันนี้เราเรียนรู้ไปเมื่อครั้งที่แล้ว และอันดับที่ 9 ที่วันนี้เราจะเรียนรู้กัน ก็คือ …

                        9. จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์

            ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ พระเจ้าเนรมิตขึ้นมาทั้งหมดนี้  เราทำแค่อย่างเดียวเอง ง่ายมากเลย ขนาดคนทำอะไรไม่ได้เลย เดินไม่ได้ จนจะหมดลมหายใจแล้ว อยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย ทำแค่อย่างเดียวเอง ที่ทำได้แค่นั้น  ก็จะได้รับทั้ง 9 อย่างนี้เลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด พูดไม่ได้ ก็ใช้คิดเอา แค่นั้นเอง  คือตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ สามารถเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้ทันที และถ้าเรารับ ทั้ง 9 อย่างนี้  ก็จะเป็นของเราทันที  พระเจ้าจะเข้ามาทำทันทีให้กับเราทั้งหมด 8, 9 อย่างนี้ ด้วยการอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เดช เหมือนที่พระองค์ตอนสร้างโลก สร้างสรรพสิ่งใหม่ๆ ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระองค์ทรงเนรมิต ที่เราเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้น

            มีพระเจ้าองค์นี้ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ มนุษย์แค่เปิดใจ เหลือเชื่อจริงๆ เราจึงเรียกว่าพระคุณ ความเมตตา ความรอดนี้ คือความรอด โดยพระคุณเมตตา เราไม่ได้กระทำสักนิดหนึ่งเลย

            เพราะฉะนั้น สรุปรวมๆ อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว  มีชื่อจดอยู่ในทะเบียนหนังสือสำมะโนครัวของพระเจ้า  ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัว ชื่อพระเยซูคริสต์ เราไปต่อ เหมือนเป็นผู้อาศัยคนหนึ่งอยู่ในทะเบียน หนังสือแห่งชีวิตนี้  เรียกว่าครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ในพระคริสต์ และในครอบครัวนี้ เราได้เป็นธรรมิกชน พระคัมภีร์เรียกว่าธรรมิกชน เป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรม ดีพร้อม เป็นครอบครัวในสวรรค์ เรียกว่าครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูคริสต์ เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเรียกว่าธรรมิกชน คนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว

            แล้วทำอะไรต่อไป ก็เฝ้ารอคอยไง รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่นี้ เหมือนพระเยซู เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า  และได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์ แบบเห็นกันหน้าต่อหน้าเลย ก็คือหลังความตายนั่นเอง  นี่เรารอคอยตรงนั้น

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของคริสเตียน การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงอยู่ในข้อพระคัมภีร์นี้ บันทึกไว้ชัดเจนเลย ผมคัดเอามาให้ท่านเห็นว่าข้อพระคัมภีร์แค่ 8, 9 ข้อนี้ บ่งบอกชัดเจนเลยว่าชีวิตของคริสเตียน ผู้ที่ได้มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ อยู่ในทะเบียนบ้าน ที่เรียกว่าพลเมืองสวรรค์แล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป้าหมายในชีวิตของเขา คืออะไร? อ่านปั๊บ ท่านจะอ๋อ! ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น พระวิญญาณจะนำท่านมา มีชีวิตอย่างนี้เท่านั้น 2 โครินธ์ 5:1-9 …

        2 โครินธ์ 5:1-9 “1 เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ 2 เพราะว่าในร่างกายนี้ เราคร่ำครวญและปรารถนาจะสวมใส่ที่อาศัยของเรา ที่มาจากสวรรค์ 3 เพราะเมื่อสวมแล้ว เราก็จะไม่เปลือย 4 เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้ คร่ำครวญ และเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่เพราะปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อกายที่ต้องตายนั้น จะถูกกลืนโดยชีวิตอมตะ 5 แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ประทานพระวิญญาณ เป็นมัดจำแก่เรา 6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า 9 ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดี หรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่ พระเจ้าพอพระทัย”

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะเป็นอย่างนี้แหละ ท่านจะคร่ำครวญ และปรารถนาภายในวิญญาณของท่าน  ภายในใจของท่าน ที่จะสวมใส่ที่อาศัยของเรา จากสวรรค์ ก็คือร่างใหม่ ที่เหมือนพระเยซูนั่นแหละ

            ในข้อ 4 บอกว่า “เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้  ก็คือในร่างกายนี้  ที่เจ็บป่วย อ่อนแอ แก่ลงไปทุกวันๆ ไปสู่ความตายนี้ กำลังคร่ำครวญและเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่ปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาที่จะสวมใส่กายใหม่”

            ใครอยากได้กายใหม่บ้าง? ยกมือขึ้น ก็ยกมือทุกคนแหละ ใช่ไหม? ไม่มีใครรักร่างกายนี้เลยสักคนหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าเมื่อถึงวันเวลาหนึ่ง มันเจ็บ มันปวด แล้วในที่สุด มันต้องแก่ และมันต้องทุกข์ทรมาน แล้วมันก็ต้องตายแน่นอน จึงไม่มีใครอยากจะรักร่างกายนี้ อยู่ในร่างกายนี้ต่อไป ถ้าเผื่อเขารู้ว่ามีร่างกายใหม่รออยู่

            ผมนึกถึง เหมือนคนๆ หนึ่งเป็นโรคหัวใจ แล้วก็เป็นมะเร็งด้วย แล้วก็เป็นเบาหวาน แล้วเป็นความดันสูง ทำอะไรก็ไม่ได้ สมมติว่าตอนยังไม่แก่มาก ก็เป็นอย่างนี้ แล้วหมอมาบอกว่า …

            “รักษาไม่หายทุกโรคหรอกครับ ต้องทรมานอย่างนี้ แต่รอก่อนนะเขามีเทคโนโลยีใหม่ ประมาณอีกสัก 2 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีใหม่จะออกมา เราสามารถฉีดยานี้ให้ท่าน แล้วก็เปลี่ยนร่างกายให้ใหม่ สามารถที่จะมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ เอาไหม?”

            แล้วเรามีเงินด้วย เราก็บอก … “เอาสิ”

            พอเราเอา ก็จ่ายเงินไป ก็เซ็นสัญญาไว้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราทำอะไร? เราอดทน ความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดที่เป็นอยู่ตะกี้นี้ เราอดทนได้หมดเลย เพราะเรากำลังรอยามา จะได้ร่างกายใหม่สักทีหนึ่ง นั่นแค่ร่างกายบนโลกใบนี้นะ ซึ่งได้ร่างกายมา โดยได้ยามาฉีดให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น แล้วมันก็กลับมาเป็นโรคใหม่อีก ถูกไหม? มันก็แก่ลงไปเหมือนเดิม  แต่นี่พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อวันหนึ่งที่เราจากร่างนี้ไปนะ จะมีร่างใหม่ให้กับเรา เป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วเราจะครวญคราง จดจ่ออยู่ที่นี่มากกว่านั้นสักเท่าใดหรือ? เอเมนไหม?

            แต่ปรารถนาที่จะสวมใส่กายใหม่ เป็นกายที่ไม่ต้องตาย  เพราะกายที่ต้องตายนั้น จะถูกกลืน โดยชีวิตอมตะ  ก็คือกายที่แก่ตายนี้ จะต้องถูกกลืน ถูกแทนที่ด้วยกายที่ไม่มีการตายอีกต่อไป ที่เหมือนพระเจ้านั่นเอง  และพระเจ้าผู้ทรงเตรียมเราไว้ สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ พระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำแก่เรา นี่แหละ คือสิ่งที่เรารู้อยู่ในใจ เพราะพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ข้อ 6 บอกว่า “เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” คือพระวิญญาณอยู่ในเรา เรารู้ว่าสิ่งนั้นที่พระเจ้าสัญญาไว้  เป็นจริง แล้วตัวเราก็บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ  แต่เรามองไม่เห็น  ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

            คำว่า “อยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายถึงเรามองไม่เห็น แต่เรารู้ว่าอยู่ข้างในนี้  ในนี้จึงบอกว่าพระเจ้าทรงอยู่ไกลจากเรา

            จึงบอกว่า “ขณะนี้  เพราะว่าเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่มองเห็น” ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อว่านี่เป็นจริง เชื่อ หมายถึงเชื่อจริงๆ แล้วรู้จริงๆ จับต้องมองเห็นได้เลยว่ามันอยู่ในตัวของเรา อยู่ในใจของเรานี้แหละ แต่เรามองไม่เห็นไง ก็เรียกว่าใช้ความเชื่อ

            “และเรามั่นใจ พอใจที่จะจากร่างกายนี้ไป” เห็นไหม? มีแต่คนเขากลัวตาย แต่นี่กำลังบอกว่าคนที่เป็นคริสเตียน ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่กลัวตาย  พอใจที่จะออกไปจากร่างกายนี้  ก็คืออกจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับพระเจ้ามากกว่า เราอยากไปอยู่กับพระเจ้า

            คำว่า “อยู่” ตรงนี้หมายถึงกลับไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า กลับไปใกล้พระเจ้า “ใกล้พระเจ้า” หมายถึงการได้เห็นหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป มันหมายถึงอย่างนั้น

            ข้อ 9 จึงสรุปว่า “ฉะนั้น เราตั้งเป้าว่า …” ท่านตั้งเป้าอย่างนี้ไหม? “จะอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ดี หรือจะจากไป ก็ดี เราก็เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว” หมายถึงไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป  จะอยู่หรือจะตาย  เราก็เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและพอพระทัยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากทั้งนั้น จะอยู่ก็ดี พระเจ้าก็รัก และอยู่กับเรา ข้างในใจเรา ถึงเวลาจากไป พระเจ้าก็เห็นเรา และเราเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า  พระเจ้าก็ยังคงรักเราเหมือนเดิม อยู่ก็ได้  ไปก็ดี อยู่ก็ได้ พระเจ้าก็อยู่กับเรา รักเรา เราก็อยู่กับคนที่เรารัก รอบข้างเรา ที่เห็นๆ อยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าตายไป ก็ดีกว่า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือการชนะความตาย

            เราเฝ้าใจจดใจจ่อ รอคอย โดยมีมัดจำ มัดจำของเราคืออะไร? รวมความ มัดจำ ก็คือพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในเราแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งแต่เปิดใจรับเชื่อ พระคริสต์ผู้เป็นชีวิตนิรันดร์ของเรา อยู่ภายในเรา เป็นอัศจรรย์ทั้ง 7 อย่างที่เราได้รับทั้งหมด  รวมความแล้ว ก็คือในพระคริสต์ ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นมัดจำให้เรามีความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังเอาไว้นั้น ไม่ใช่หวังลมๆ แล้งๆ  สิ่งที่เราหวังนั้น มีจริงๆ  เพราะพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ยืนยันให้กับเราภายในว่ามีจริงๆ จับต้องมองเห็นได้ ด้วยความเชื่อ  ภายในวิญญาณของเราในพระคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงพูดว่าเราจึงมีชีวิตอยู่ โดยความหวังนี้ คือความจริง ก็คือ “พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” ท่านต้องจำให้ได้เลย ทั้งหมดที่สรุปมา มีประโยคนี้ประโยคเดียว โคโลสี 1:27 นั่นเอง “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” ที่เราจะร่วมรับกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล เริ่มรับเดี๋ยวนี้เลย  แล้วก็รับไปเรื่อยๆ จนตายออกจากร่าง รับต่อไป จนกระทั่งอยู่กับพระองค์ เห็นหน้าพระองค์นิรันดร์กาล อยู่กับพระสิริของพระองค์นิรันดร์ นี่คือเป้าหมายของคริสเตียนทุกคน

            ขั้นตอน ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่าง หรือเรียกว่าตาย กายเรือนดินนี้ จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นร่างกายแบบสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู และพระเยซูกลับมารับเรา อันนี้เกิดพร้อมๆ กัน แค่พริบตานะ เราจะพบเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เห็นเหมือนเราเห็นในปัจจุบัน เห็นคน เห็นมนุษย์ที่เดินอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ แล้วเราก็จะอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพี่น้องผู้เชื่อ  ที่เรียกว่าธรรมิกชนของพระเจ้า ที่จากไปก่อนหน้าเรา ที่อยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ ในสวรรค์นี้ มีชื่อว่าเมืองบรมสุขเกษม หรือภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่าพาราไดร์ เมืองบรมสุขเกษม อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้าแล้ว และเมื่อถึงวันแห่งการพิพากษา ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาบนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลก คือวันที่โลกเดิม ฟ้าสวรรค์เดิมจะดับสูญสิ้นไป  โลกเดิม ฟ้าสวรรค์เดิม ก็คือโลกที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้

            และเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น พระเยซูกลับมา เราก็จะมาพร้อมพระเยซูคริสต์ มารับคนที่เป็นพี่น้อง ผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้น  เข้ามาสู่สวรรค์กับพวกเรา  และพระเจ้าพระบิดาจะทรงสร้างฟ้าใหม่ โลกใหม่ให้พวกเราทั้งหมด ที่เป็นธรรมิกชน ลูกๆ ของพระองค์ ที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต ได้อาศัยอยู่ร่วมกันกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ นี่คือย่อๆ คร่าวๆ ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร? ท่านสามารถฟังหรืออ่านคำบรรยาย ที่ผมได้อธิบายอย่างละเอียด ในเรื่องนี้ ในคำบรรยายที่ชื่อเรื่องว่า “อะไรเกิดขึ้น เมื่อวิญญาณออกจากร่าง” ตอน 1 และตอน 2 เข้าไปที่เว๊บไซด์หรือยูทูปก็ได้ จะมีบอกอย่างละเอียดว่าขั้นตอนเหล่านี้เป็นอย่างไร?  เมื่อท่านได้รู้ จะได้มีความหวังว่าขั้นตอนมันเป็นลักษณะอย่างนี้ แต่เราไม่สามารถเข้าใจได้ละเอียดยิ๊บ เพราะว่ามันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  เราสามารถรู้ได้เพียงพอเท่าที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบเท่านั้น แต่ที่เปิดเผยให้ทราบนั้น ก็เพียงพอแล้ว

            ร่างกายใหม่เป็นอย่างไร? ก็พอรู้แล้ว ที่อธิบายไปแล้ว ตั้งแต่คำบรรยายครั้งที่แล้ว สรุป คือร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            วันนี้มาดูว่าที่เราจะอาศัยอยู่กับพระเจ้าในโลกใหม่เป็นเช่นใด? โลกใหม่ ฟ้าใหม่ เป็นอย่างไร? อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที แค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ

            พระเยซูบอกว่า … “เราพูดความจริง เราไม่ได้พูดโกหก เราบอกว่าแค่วางใจในเรา เปิดใจต้อนรับเราเท่านั้นเอง อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที  แค่เปิดใจเท่านั้นจริงๆ”

            อย่างที่ 9 ก็คือในโลกหน้า จะได้อาศัยอยู่กับพระเจ้า ในฟ้าใหม่ โลกใหม่ ด้วยร่างกายใหม่นิรันดร์ เป้าหมายสุดท้ายของเราผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็คือเราเฝ้ารอคอย จ้องตาไม่กระพริบ รอคอยร่างกายใหม่ และฟ้าใหม่ โลกใหม่  บ้านของเรานั่นเอง สรุปว่าเราเฝ้ารอคอย จ้องไปที่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับ หลังความตาย และจะอยู่ในโลกใหม่ ฟ้าใหม่ คงไม่มีใครไม่ทราบว่าโลกเก่า ฟ้าเก่าที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ มันแย่ลงทุกวันๆ ทั้งควัน ทั้งโพลูชั่น ความเสียหายยับเยินอะไรต่างๆ  ไม่มีใครอยากจะอยู่หรอก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็จำเป็นต้องอยู่ แต่ถ้ามีที่ไปใหม่ ไม่มีใครอยากอยู่หรอก แม้ว่าจะอยากไปอยู่ที่ต่างจังหวัดที่ดีกว่า ยังมีความคิดว่าอยากจะย้ายไปอยู่ที่จังหวัด ที่มันมีอากาศดีๆ มีความสงบสุข แล้วมีไหมล่ะ? ไม่มีโจร ไม่มีขโมย มีไหม? ไม่มีความทุกข์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีไหม? ไม่มี ไม่รู้จะไปไหน? วิวรณ์ 21:1-8 บอกเราคร่าวๆ ถึงฟ้าใหม่ โลกใหม่ว่าเป็นลักษณะอย่างไร? เราลองอ่านดู …

        วิวรณ์ 21:1-8 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว  2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเอง จะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่า ได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้ และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เรา คืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้น ดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะ จะได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา 8 ส่วนคนขี้ขลาดตาขาว คนที่ไม่เชื่อ คนชั่วช้า ฆาตกร คนผิดศีลธรรมทางเพศ คนใช้คาถาอาคม คนกราบไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดโกหก ที่ของเขา คือบึงไฟกำมะถันลุกโชน นั่นคือความตายครั้งที่สอง”

            “ข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีก” ข้อ 1 บอกไว้อย่างนี้

            นึกถึงถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  พูดถึงเรื่องการกลับมาใหม่ ในมัทธิว 24:35 พระองค์ตรัสว่า …

        มัทธิว 24:35 “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่ถ้อยคำของเรา ไม่มีวันสูญสิ้น”

            ถ้อยคำของพระองค์ คือถ้าใครเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เขาจะได้รับความรอดจากการพิพากษาลงโทษ  และความจริง ก็คือพระองค์บอกว่า … “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป” แสดงว่ามันสูญสิ้นจริงๆ  มีความเชื่อหลายความเชื่อบอกว่าฟ้าและดิน ก็คือโลกใบนี้จะไม่มีสูญสิ้นหรอก มันจะอยู่ไปอย่างนี้ มันจะพัฒนา แต่นี่คำพูดของพระเยซูชัดเจน “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป” และตะกี้ที่เราอ่านบอกว่า … “ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไป แต่พระองค์จะทรงสร้างฟ้าใหม่ และโลกใหม่” สร้างใหม่นะ ไม่ใช่ไปปรับปรุงใหม่ ไม่มีการปรับปรุง เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง โลกใบนี้จะสูญสิ้นไป จะค่อยๆ เสื่อมไปเรื่อยๆ เหมือนแตงโมที่ติดเชื้อแบคทีเรีย เน่า จุดเดียว เมื่อหลายพันปีก่อน เมื่อสมัยอาดัม บรรพบุรุษของเรา เอาบาปและคำสาปแช่งเข้ามา โลกใบนี้ติดเชื้อแล้ว มันค่อยๆ เน่าขึ้นๆ แล้วในวันหนึ่งมันก็จะเละตุ้มเป๊ะเลย จะไม่เหลือ เห็นแตงโมใบนี้อีกแล้ว แต่พระเจ้าเตรียมแตงโมใบใหม่ให้ นี่นึกถึงภาพง่ายๆ

            ใน 2 เปโตร 3:10-13 เปโตรก็ได้พูดในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ย้ำอย่างชัดเจนว่าโลกใบนี้ ฟ้าเดิม โลกเดิมจะสูญสิ้นไป ลักษณะละเอียดขึ้นอย่างไร? เราลองอ่านดูนะ …

        2 เปโตร 3:10-13  “10 กระนั้น วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไป ด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลาย จะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้น จะถูกทำลายสิ้น 11 ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายลงเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหน พวกท่านควรดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ และอยู่ในทางพระเจ้า 12 ขณะที่พวกท่านเฝ้ารอและเร่งวันแห่งพระเจ้าให้มาโดยเร็ว วันนั้น ฟ้าสวรรค์จะล่มสลายด้วยไฟ และโลกธาตุต่างๆ จะหลอมละลายในความร้อน 13 แต่ด้วยการยึดมั่น ในพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของความชอบธรรม”

            เปาโลก็ยืนยันตามนี้ว่าทุกคนเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่ โลกใหม่และร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู โลกใบนี้จะสิ้นสุดลง และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้จะสิ้นสุดลงด้วยการทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ มโหฬารด้วยไฟ นักวิทยาศาสตร์ก็รู้แล้วว่าโลกใบนี้ มันค่อยๆ ถูกเผาไหม้มากขึ้นไปทุกวันๆ  เราไม่ต้องเรียนรู้รายละเอียด แต่เรารู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่เขาเขียนมา 2,000 ปีแล้ว ขณะที่เขียนยังไม่ได้ปรากฏให้เห็นถึงความพินาศของโลกใบนี้ชัดเจนนัก แต่ผ่านมา 2,000 ปีเราเห็นชัดเจน ไม่ว่าแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด การเปลี่ยนแปลงของระบบอากาศบนโลกใบนี้ น้ำท่วมอะไรต่างๆ เหล่านั้น บรรยากาศของธรรมชาติต่างๆ เสียหายมากมายไปหมดเลย ใช่ด้วยน้ำมือมนุษย์ด้วย  และด้วยคำสาป ที่บอกไว้แล้วว่าโลกนี้จะต้องสิ้นสุด ถ้าไม่มีการสิ้นสุดลงของโลกใบนี้ ก็ไม่มีโลกใหม่ ฟ้าใหม่เกิดขึ้น

            เราจะมาดูคำว่า “โลกใหม่” “ฟ้าใหม่” บางฉบับเขา แปลว่าฟ้าสวรรค์ โลกใหม่ พระองค์จะทรงสร้างสวรรค์ใหม่ ท่านคิดดูว่าใช่ไหม? สร้างสวรรค์ใหม่ หมายถึงที่ผมเคยอธิบายให้ฟังว่าฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้านั่นเอง แต่ใช้คำเดียวกัน ก็คือมองที่เบื้องบน เรียกว่า “ฟ้า” “ท้องฟ้า” คำนี้ ภาษาเดิม หมายถึงท้องฟ้าสวรรค์ คือมองไปที่เบื้องบน สวรรค์ แปลว่าเบื้องบน  แต่คำว่า “สวรรค์” ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น  เป็นสวรรค์โลกฝ่ายวิญญาณ เราเรียกว่าสวรรค์ ใช้คำเดียวกัน แต่หมายถึงสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าประทับอยู่

            เพราะฉะนั้น คำว่า “สวรรค์” โลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าประทับอยู่นั้น มีเปลี่ยนแปลงไหม? พระองค์ทรงประทับอยู่ที่พระที่นั่งของพระองค์ พระที่นั่งของพระองค์ ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เป็นนิจนิรันดร์ ไปตลอดกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง “พระที่นั่งของพระองค์” ก็คือสวรรค์ของพระเจ้า สวรรค์ของพระเจ้ามีที่แห่งเดียว  ก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย ก่อนจะสร้างทั้งหมด ก็มีพระที่นั่งของพระเจ้า  ก็มีบัลลังก์ของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ที่อยู่ของพระเจ้าแล้ว ก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย  ก่อนทุกอย่าง พระองค์ทรงอยู่ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณทรงอยู่ นั่นแหละ เรียกว่าสวรรค์ แล้วมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไหม? มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลง มันเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป

            เพราะฉะนั้น คำว่า “ฟ้าใหม่ และโลกใหม่” หมายถึงฟ้าที่เรามองจากบนดินนี้ มองขึ้นไปบนฟ้า เราเห็นนก เห็นเครื่องบิน ตรงนี้ เรียกว่าฟ้าชั้นที่ 1 นักวิทยาศาสตร์ก็รู้ว่าหมายถึงอะไร? ชั้นบรรยากาศชั้นที่ 1 ชั้นบรรยากาศชั้นที่ 2 คือเลยออกจากที่เครื่องบิน ที่เรามองเห็น หลุดสายตาไป มีสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ไหม? มี แต่เราเห็นไหม? ไม่เห็น แต่เราส่งยานอวกาศออกไป เห็นไหม? เห็น มีอยู่จริงๆ ตรงนี้เรียกว่า “ฟ้าชั้นที่ 2”  หรือภาษาที่เขาแปลเขาเรียกว่าฟ้าสวรรค์ ชั้นที่ 2 เป็นสวรรค์ ชั้นที่ 2 จริงๆ ก็คือฟ้า ก็คือโลกใบนี้นั่นเอง  แล้วหลุดจากฟ้าชั้นที่ 2  ไป ทะลุออกไปเลย  ก็คือไม่มีสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างแล้ว จบแล้ว  ฟ้าชั้นที่ 2 ก็คือดวงดาวต่างๆ ใช่ไหม? ก็คือมหาจักรวาล ระบบสุริยะจักรวาล ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ไม่รู้ มันเยอะมากมาย  รู้แค่นี้เอง มนุษย์ค้นพบแค่นี้เอง  เพราะฉะนั้น เลยจากนั้นไป ไม่มีอะไรแล้ว เลยจากนั้นไป เขาเรียกว่าโลกวิญญาณ ซึ่งมนุษย์ก็อุปโลกน์ว่าในโลกวิญญาณนั้น  เป็นที่อยู่ของพระเจ้า คือฟ้าสวรรค์เบื้องบน สูงกว่าที่ตามองเห็น คือชั้นที่ 1 ตามองเห็น ฟ้าที่ 2 มองเห็นบ้างนิดหน่อย  ก็คือเห็นดวงดาวแว๊บๆ แต่เลยจากดวงดาวที่เรามองเห็นมีอีกไหม? มี มีอีกเยอะแยะ แต่ใช้กล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องส่องทางไกลดู ยังเห็นไหม? ยังพอเห็น  เลยจากกล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล ยังมีอีกไหม? มีอีก แล้วเห็นไหม? ไม่เห็น นั่นเลยไปไม่รู้อีกเท่าไร? เรียกว่าฟ้าชั้นที่ 2 ถ้าฟ้าชั้นที่ 3 ไม่มีแล้ว ที่ว่าก็คือสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งหมายถึงสวรรค์ของพระเจ้า ที่เราจะไปอยู่นั่นแหละ อยู่ตรงนี้

            เพราะฉะนั้น ฟ้าเดิมและโลกเดิมจะสูญสิ้นไป หมายถึงโลกใบนี้ คำว่าโลกใบนี้ คำนี้คำเดียว ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าพระองค์ทรงสร้างโลก  หมายถึงโลกบนดินที่เราเดินอยู่บนนี้ 1  รวมทั้งฟ้าชั้นที่ 1 ชั้นบรรยากาศที่มองขึ้นไป มีอวกาศ แล้วฟ้าชั้นที่ 2 หลุดจากบรรยากาศชั้นที่ 1 ไป สู่อวกาศเบื้องลึกขึ้นไป ตรงนี้รวมแล้วเรียกว่าโลก  โลกประกอบไปด้วยต้นไม้ ใบหญ้า มนุษย์ สัตว์ โลกใบนี้ใช่ไหม?  และรวมถึงนกที่บินอยู่ใช่ไหม? แล้วรวมไปถึงออกซิเจนต่างๆ เหล่านั้น  และรวมไปถึงดวงดาวต่างๆ

            คำว่า “ดวงดาวต่างๆ” ก็คือทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง นั่นแหละ เรียกว่าโลก เพราะฉะนั้น โลกจะถูกทำลายลง ฟ้าจะถูกทำลายลง จะสูญสิ้นไป หมายถึงตรงนี้ ต้องเข้าใจ ตรงนี้ก่อน มันถึงจะเห็นชัดเจนว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่มันคืออะไร? เพราะฉะนั้น ฟ้าใหม่และโลกใหม่มาแทนที่ มันก็คือโลกที่จับต้องมองเห็นได้อย่างนี้ มีต้นไม้ มีสัตว์ แล้วเราก็เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็โลกใหม่แล้วนะ เพราะฉะนั้น อะไรต่างๆ ที่อยู่บนโลกนี้จะใหม่หมด นึกภาพออกนะ แล้วอะไรใหม่อีก ฟ้าใหม่ ก็แสดงว่าจากโลก มองไปชั้นบรรยากาศ ชั้นที่ 1 ใหม่ ไม่มี PM 2.5 ไม่มีมลพิษใดๆ ยังเห็นนกบิน ฟ้าชั้นที่ 1 บรรยากาศใหม่ ฟ้าชั้นที่ 2 หลุดไป เจอดวงดาวอะไรต่างๆ ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีด้วย เพราะว่าในนี้เขียนเอาไว้ว่าฟ้าใหม่และโลกใหม่ นี่พยายามจะอธิบายช้าๆ วนไปวนมา พยายามให้เข้าใจ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าเข้าใจได้แค่ไหน? แต่ให้ท่านจินตนาการและคิดไปตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเข้าใจมากขึ้น แล้วจะชื่นชมยินดีมากยิ่งขึ้น และมีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยู่เพื่ออะไร? อะไรคือความหวังของเรา ขณะที่กำลังมีมลพิษอย่างมากมาย  ไปไหนก็มีมลพิษ ทั้งมลพิษที่เป็นฝุ่นละออง และมลพิษที่เป็นเชื้อโรคต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ที่มีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็น แต่วันหนึ่ง เราจะอยู่ในโลกที่ไม่มีมลพิษเลย ฟ้าใหม่ โลกใหม่

            ฉะนั้น ใน 2 เปโตรที่เราอ่าน จึงบอกว่าพวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของผู้ชอบธรรม ใครเป็นผู้ชอบธรรมยกมือขึ้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คืออย่างนั้น

            คราวนี้บางคนก็ถามแบบไม่เข้าใจ  แล้วก็อยากรู้ว่ารอยต่อระหว่างฟ้าสวรรค์เดิมและโลกเดิมกับฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ มันเป็นเช่นไร? ฟ้าเดิมและโลกเดิมจะสูญไป ฟ้าใหม่และโลกใหม่จะมาแทนที่ ตราบใดที่โลกเดิมยังอยู่ จะไม่มีโลกใหม่มาแทนที่ โลกใหม่จะแทนที่เมื่อวันหนึ่งที่โลกเดิมสูญสิ้นไป พระองค์จะทรงเปลี่ยนโลกใบนี้ใหม่ เป็นโลกใหม่ เพราะฉะนั้น ขณะที่รออยู่ทำอย่างไร? ถูกไหม? แล้วคนที่จากไปแล้ว จะอยู่อย่างไร? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน? ที่ตะกี้บอกเราอยู่ที่เมืองบรมสุขเกษม แล้วเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร? แล้วจะไปอยู่อย่างไร? ในเมื่อโลกใหม่ยังไม่ได้สร้างขึ้น คิดไหม? แล้วสมมติว่าเราจากไปวันนี้ พระเยซูกลับมารับเรา เราเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  แล้วพระคัมภีร์บอกว่าเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่าเมืองบรมสุขเกษมกับพระองค์ กับธรรมิกชนทั้งหลาย โลกใหม่ไม่มี ฟ้าใหม่ก็ไม่มี แล้วมันอยู่ตรงไหน? คำตอบสั้นๆ ก็คือ … “ไม่รู้”

            แต่จริงๆ แล้วคำตอบสั้น คือ … “มิติที่มีเวลากำหนด” คือโลกใบนี้กำลังเดินอยู่ กำลังมีชีวิตอยู่ กำลังดำเนินอยู่ ยังไม่สิ้นสุดไป มันมีมิติของกำหนดเวลาอยู่ มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มีน้ำขึ้นน้ำลง มีกำหนดเวลาของวันและคืนอยู่มันนับได้  เรียกว่ามิติของโลกใบนี้ มันต่างกับมิติในโลกสวรรค์ที่ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลา แล้วมิติวิญญาณที่ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลานี้ อยู่ที่ไหน?  ก็อยู่ในสวรรค์ที่ตะกี้นี้บอกไง เลยทะลุออกไปจากมหาจักรวาลที่มีดวงดาว ที่เป็นที่อยู่ของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ ถูกไหม?

            ในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้นที่ 3 หมายถึงในมุมมอง ไปข้างบน หลุดออกไปจากมหาจักรวาลแล้ว ซึ่งเรียกว่าชั้นที่ 2 แล้ว  เป็นที่อยู่ของพระเจ้าแล้ว จึงใช้ชื่อว่าสวรรค์ชั้นที่ 3

            ในสวรรค์ชั้นที่ 3 ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น และที่เราจากโลกนี้ไป แล้วไปอยู่นั้น ที่บอกว่าเมืองบรมสุขเกษมเอย ที่บอกว่าเป็นพาราไดซ์เอย ไปอยู่กับพระเยซูเอย เห็นหน้าพระเยซู ไปอยู่กับธรรมิกชน ที่เชื่อในพระเจ้า จากเราไปก่อน ไปอยู่ที่นั่นแล้ว  เราจากโลกนี้ไป เราก็ไปเจอกับเขา ที่เมืองบรมสุขเกษม ที่อยู่ในสวรรคสถานนี้  สวรรค์ที่พระเจ้าประทับอยู่นี้ ไม่มีกำหนด ไม่มีเวลา พระบัลลังก์ของพระเจ้า การทรงสถิตของพระเจ้า  ที่ประทับของพระเจ้า อยู่มาก่อน ตั้งแต่สิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นบัลลังก์นิรันดร์ สวรรค์นิรันดร์ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่มีมิติเวลามากำหนดว่าต่างกันอย่างไร? เพราะเราคิดตามภาษามนุษย์ว่ามันต่างกันอย่างไร? ว่าโลกใหม่จะสร้างเมื่อไร? และช่วงรอยต่อระหว่างโลกใหม่ยังไม่ได้สร้าง แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? ก็เขาอยู่ในสวรรค์ไง ก็เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า จะอยู่กี่ปี? พันปี สองพันปี สามพันปี  ก่อนพระเยซูคริสต์กลับมา ไม่รู้กี่ปี? มันไม่มีเวลากำหนด แล้วจะไปนั่งนับได้อย่างไร? ส่วนบนโลกใบนี้ ก็คิดกันใหญ่เลย ต้องรอพันปี ต้องรอสองพันปี สามพันปี แต่โดยความเชื่อส่วนตัวของผม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมเห็นชัดเจนเลยว่าเมื่อเราจากโลกนี้ไป หลุดออกจากมิติที่มีเวลาแล้ว หลุดเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีเวลาแล้ว จะมากำหนดไม่ได้ว่าพันปี สองพันปี สามพันปี จะไปรออีกกี่ปี กว่าโลกใหม่จะได้สร้าง มันไม่มีเวลาแล้ว มันก็คือเข้าไปอยู่ในมิติของฝ่ายวิญญาณ ในสวรรคสถาน ที่ไม่มีกำหนดเวลา งงไหม? งง ผมจึงบอกว่าคำตอบแรกๆ ไม่รู้ กลับไปคิดดูตามเหตุผลแล้วกัน

            และพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด  ตามที่เราเห็นทุกวันนี้ อะไรที่ทรงสร้าง สิ่งที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างอีกเยอะแยะบนโลกใบนี้ โลกเดิมนี่แหละ ที่เรามองไม่เห็น ที่มันมีอยู่จริงๆ ทั้งดวงดาว ทั้งสัตว์ตัวเล็กๆ ไวรัสอะไรต่างๆ เหล่านี้  เราไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ ค้นพบไปเรื่อยๆ

            พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์สามารถที่จะควบคุมและกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างแน่นอน สิ่งที่ผมเล่าตะกี้นี้ทั้งหมด มันเกินกว่าปัญญาของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ และเกินกว่าความรับรู้ของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้  เราได้รู้แค่พอสังเขป นิดๆ หน่อยๆ ตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราได้รู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งเท่านี้จริงๆ พอแล้ว

            ยกตัวอย่างเช่น เปิดเผยให้เรารู้ว่ามันจะมีฟ้าใหม่ โลกใหม่ ที่พระเจ้าจะทรงสร้างขึ้นใหม่ เตรียมไว้ให้กับเราเข้าไปอยู่อาศัย ในฐานะลูกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นฟ้าใหม่ โลกใหม่ที่ดียอดเยี่ยม เป็นเลิศ สุดจะพรรณนาได้ แปลว่าไม่มีวันที่จะอธิบาย ฟังเข้าใจได้ แต่เรารู้อยู่ในใจว่ามันดียอดเยี่ยม แค่นั้น ก็เป็นพรแล้ว

            จะเป็นโลกใหม่ ฟ้าใหม่ ไม่อยากจะบอกว่าฟ้าสวรรค์นะ รู้แล้วว่าสวรรค์คืออะไร? เป็นโลกใหม่ ฟ้าใหม่ที่ไม่มีความเศร้าโศกเลย อันนี้พระองค์ทรงบอกแล้ว  คือไม่มีวันไหนเลย  ไม่มีเวลาไหนเลย ไม่มีวินาทีไหนในโลกใหม่นี้ ที่จะมีความเศร้าโศกเลย ตลอดชั่วนิรันดร์กาล  ตลอดไปเลย ไม่มี เอเมนไหม? ไม่มีอะไรที่ทำให้เสียใจอีกแล้ว  ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความตาย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีอาชญากรรม อาชญากร ไม่มีฆาตกรรม ฆาตกรเลย ขอบคุณพระเจ้าไม่มีข่าวให้ฟัง ให้อ่านอีกต่อไป ฮาเลลูยา ปรบมือขอบคุณพระเจ้า ทุกวันนี้เราอ่านข่าว เราฟังข่าว มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องดีๆ เขาไม่เอามาพูดหรอก มีใครฟังบ้างเรื่องดีๆ ไม่มีใครฟัง มีแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องทุกข์ทรมาน เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องเศร้าโศกเสียใจทั้งสิ้น แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า คนอ่านข่าวก็ต้องหางานใหม่ นักหนังสือพิมพ์ก็ต้องหางานใหม่ เป็นโลกที่ไม่มีมารมาล่อลวง  ไม่มีบาป  ไม่มีการขโมย ฆ่า ทำลาย ไม่มีข่าวร้ายๆ มีแต่ความยินดี ชื่นชม สดใส บริสุทธิ์ตลอดเวลา

            ทุกคนในสังคมโลกใหม่นี้  มีแต่คนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย แม้กระทั่งความคิดก็ดีเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย คิดดูสิ ท่านเดินไปที่ไหน?  ในโลกใหม่นี้ ไปเจอกับใคร? คนเหล่านั้นเป็นลักษณะอย่างนี้ทั้งหมด ไม่มีความคิดหลอกลวง ชั่วร้าย อิจฉาริษยา คดโกง คิดทำลาย เพราะว่าระบบของบาปและมารในโลกเดิมนี้ได้ถูกขจัดออกไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีอีกแล้ว เจอใครก็มีแต่ความจริงใจ ความรัก บริสุทธิ์ใจ ซึ่งในที่นี้ รวมทั้งตัวท่านด้วย เชื่อไหมว่าท่านจะไม่นินทาใครอีกต่อไปแล้ว? เชื่อไหมว่าท่านจะไม่ว่าร้ายใครอีกต่อไปแล้ว? เป็นไปได้หรือ? เชื่อไหมท่านจะไม่ใส่ร้าย นินทา คิดชั่วอีกต่อไป? ท่านนึกในใจตอนนี้ว่ามันเป็นไปได้หรือ? คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ด้วยเช่นกัน แล้วสังคมเราจะเป็นเช่นไร? ท่านลองคิดดู มันก็จะเต็มไปด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความสดชื่น ในความปลอดภัย ไร้กังวลทุกอย่าง ท่ามกลางการทรงสถิตของพระเจ้า พระองค์เดินท่ามกลางเราตลอดเวลา ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความหวังอีกต่อไป มีแต่ความรักเป็นปัจจุบัน ไปนิรันดร์

            ทุกวันนี้เราอยู่ เรามีความหวัง ใช้ความหวัง ทุกเรื่องเราใช้ความเชื่อ แต่ถึงวันนั้น ไม่ต้องใช้ความเชื่อ เห็นหน้าต่อหน้า ไม่ต้องมีความหวัง เพราะว่าได้รับยืนอยู่ ใช้อยู่แล้ว มีอย่างเดียว ก็คือความรัก เจอกัน มีแต่ความรัก รักแท้ รักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า เป็นของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ เป็นพอสังเขปที่พระเจ้าเปิดเผยให้เราว่าโลกใหม่ ฟ้าใหม่ที่เราจดจ่อ รอคอยที่จะไปอยู่ ที่ทั้งเปาโล เปโตร และพระเยซูคริสต์บอกเราว่ามันเป็นเช่นไร? พอสังเขป มันยากที่จะเข้าใจตามปัญญาของมนุษย์ แต่มันไม่ยากในการจินตนาการ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเรา  และถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นอย่างนี้จริงๆ เอเมนไหม? พระเยซูบอกว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยืนยันในใจเราว่ามันเป็นจริงๆ

            ครั้งนี้เราจะจบลงที่วิวรณ์ 21:27 ว่าสิ่งเหล่านี้เราได้มาอย่างไร? เงื่อนไขมีนิดเดียว …

        วิวรณ์ 21:27 “สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน หรือพูดมุสา จะเข้าไปในนครไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น จึงจะเข้าไปได้”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้คนที่ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมแล้วนั้น  ไม่ได้มีชื่อจดอยู่ในหนังสือแห่งชีวิต อยู่ในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้ ตายแล้ว ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ตรงนี้ได้นั่นเอง เฉพาะผู้คนที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น พระเมษโปดก ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ มีจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงจะเข้าไปได้ เพราะฉะนั้น เรามีชื่อจดไว้แล้วหรือยัง? มีแล้ว ชื่อเราจดไว้แล้ว เราเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนแล้ว วันที่เราตาย เราจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์อย่างนี้แหละ พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระคริสต์ เข้ามาในชีวิตท่านแล้ว จงเชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน

            ฮีบรู 13:5 … “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อ และวางใจในพระเจ้า)  เพราะพระเจ้า ได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

            พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง พระองค์จะดูแล เอาใจใส่ ประคับประคองเรา ดังนั้น ให้เราพอใจ คือมีความสุขได้ เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันพอใจแล้ว ฉันได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บนึง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ที่จะอดทนรอคอย ที่จะได้รับพระเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ให้เราดำเนินชีวิต ด้วยการตระหนัก และระลึกอยู่เสมอว่า …

            “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉัน ผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่กลัว”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย”

            “พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจได้อยู่เสมอ”

            ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซู พระเจ้าอวยพรครับ